McLaren 720S

ราคาอย่างเป็นทางการ (นำเข้า CBU โดย Niche Cars  Group)

  • 720S ราคาเริ่มต้น  26,500,000 บาท

นับเป็นการเปิดตัวแบบ Re-launch หลังจากที่เผยโฉมครั้งแรกในงาน Bangkok International Motor Show ปี 2017 ซึ่งราคาเดิมตั้งเอาไว้ที่ 29,500,000 บาท ลดลง 3,000,000 บาทสำหรับราคาเริ่มต้น โดยในวันที่ 19 มิถุนายน 2018 ที่ผ่านมา นอกจากประกาศราคาใหม่แล้ว ยังได้นำรถ 720S ซึ่งเป็นของลูกค้ารายแรกในประเทศไทยมาโชว์ในงาน ซึ่งสำหรับรถของลูกค้าคันนี้จะมีอุปกรณ์ติดตั้งพิเศษเพิ่มเติมจนมีราคารถรวมทั้งคัน 32 ล้านบาท

ปัจจุบันในตลาดโลก McLaren จะแบ่งรถในค่ายตัวเองเป็นสามพิกัด คือ Sports Series (540S และ 570S), Super Series (720S) และ Ultimate Series ซึ่งเป็นรถผลิตจำนวนจำกัดอย่าง P1, P1 GTR และ Senna

Engine เครื่องยนต์

เครื่องยนต์เบนซิน รหัส M840T V8 90 องศา ขนาด 4.0 ลิตร 3,994 ซีซี. เทอร์โบแบบ Twin-scroll พร้อมเวสต์เกตไฟฟ้า 2 ลูก 32 วาล์ว ขนาดปากกระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก เท่ากับ 93.0 x 73.5 มิลลิเมตร ให้พลังสูงสุด 720 แรงม้า (PS) ที่ 7,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตรที่ 5,500 รอบต่อนาที

M840T นั้น แม้จะมีลักษณะทางกายภาพของเครื่องยนต์เหมือนกับ M838T ในรุ่น 540S/570S แต่ได้ใช้ชิ้นส่วนใหม่ถึง 41% และใช้อ่างน้ำมันเครื่องแบบ Dry Sump (อ่างใต้ท้องเรียบ กดเครื่องต่ำ และใช้ปั๊มแรงดันสูงสูบฉีดน้ำมันเครื่องไปยังจุดต่างๆ) รองรับการใช้งานให้ลากรอบเครื่องได้สูงสุด 8,500 รอบต่อนาที

ระบบส่งกำลังของ 720S เป็นแบบคลัตช์คู่ SSG (Seamless Shift Gearbox) 7 จังหวะ

อัตราทดเกียร์

  •  #1  3.980
  •  #2  2.610
  •  #3  1.900
  •  #4  1.480
  •  #5  1.160
  •  #6  0.910
  • #7  0.690
  • เกียร์ถอยหลัง  2.800
  • เฟืองท้าย  3.31

ตัวเลขสมรรถนะ 720S ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายใน 2.9 วินาที และเร่งจาก 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.8 วินาที วิ่งควอเตอร์ไมล์ได้ภายใน 10.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 341 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถเบรกหยุดจากความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลา 4.6 วินาทีกับระยะเบรก 117 เมตร

Dimension มิติตัวรถ – ข้อมูลตัวรถ

  • มิติตัวถัง ยาว x กว้าง x สูง : 4,543 x 1,930 x 1,196 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ : 2,670 มิลลิเมตร
  • ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน Cd=0.36
  • น้ำหนักตัวรถเปล่าแบบไม่มีของเหลว 1,283 กิโลกรัม น้ำหนักตัววัดตามมาตรฐาน DIN 1,419 กิโลกรัม
  • ที่เก็บสัมภาระด้านท้าย 210 ลิตร ด้านหน้า 150 ลิตร

ระบบช่วงล่าง – ระบบบังคับเลี้ยว – ระบบเบรก

  • ด้านหน้า/หลัง : อิสระปีกนกคู่พร้อมระบบ Proactive Chassis Control II ปรับความหนืดตามสภาพถนนและการขับขี่อัตโนมัติแบบแปรผัน
  • พวงมาลัย แร็คแอนด์พีเนียน ควบคุมด้วย Electronic ผ่อนแรงไฟฟ้าตามความเร็วรถ
  • ระบบเบรก : ดิสก์เบรก 4 ล้อ ระบบเบรกคาร์บอนเซรามิก จานเบรกหน้า 390 มิลลิเมตร จานเบรกหลัง 380 มิลลิเมตร
  • เฟืองท้ายแบบปกติ กำกับการส่งแรงขับเคลื่อนระหว่างล้อซ้ายและขวาด้วย Brake Steer แยกจับเบรกแบบอิสระ
  • ล้ออัลลอย หน้าขนาด 9Jx 19 หลัง 11J x 19
  • ยาง Pirelli P-Zero
  • ยางคู่หน้า ขนาด 245/35R19 – คู่หลัง 305/30R20

โครงสร้างตัวถังของ 720S เป็นแบบ Carbon Fibre Monocage II ซึ่งใช้โครงสร้างอ่างคาร์บอนแบบซูเปอร์คาร์ขนานแท้ โดยใน 720S นี้ ส่วนที่เป็นคาร์บอนจะเลยมาถึงเสา A-pillar เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับตัวถัง ประตูรถแบบ Twin-hinged Dihedral doors ซึ่งเวลาเปิด จะกางออกโดยยกตัวขึ้นและเลื่อนไปข้างหน้า และกินเนื้อที่บริเวณกระจกตรงหลังคาไปด้วย ทำให้คนตัวสูงสามารถเข้าออกจากรถได้ง่ายและยังนับเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของ McLaren

Interior ภายในห้องโดยสาร

เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง ปรับไฟฟ้า (สามารถเลือกวัสดุหุ้มได้ตามรสนิยมและกำลังเงิน) พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทางด้วยมือ (ขึ้น-ลงและเข้า-ออก) แถมยังมาแปลกด้วยการปฏิเสธ Trend พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น เพราะย้ายปุ่มควบคุมมาอยู่ตรง Lower stack ของคอนโซลกลางและแดชบอร์ดใกล้หัวเข่าซ้่ายคนขับ นอกจากนี้ คอนโซลกลาง เป็นจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ สามารถใช้เพื่อแสดงระบบนำทางระบบบันเทิง หรือแม้แต่การปรับความเย็นแอร์ ก็ใช้นิ้วแตะแล้วลากเหมือนสมาร์ทโฟน


หน้าปัดของ 720S เป็นแบบจอ TFT ซึ่งสามารถปรับการแสดงผลบนหน้าจอได้หลายแบบ และยังสามารถปรับเป็น Race Mode ซึ่งจะพับหน้าปัดลงโชว์แต่ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการขับแบบแข่งขัน การพับหน้าปัดลงนี้ก็เพื่อให้ผู้ขับได้พื้นที่ทัศนวิสัยด้านหน้าของรถเพิ่มขึ้นจากเดิมนั่นเอง

นับเป็นการจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวรถยนต์ครั้งแรกของ Niche Cars หลังจากผ่านกรณีที่เจ้าหน้าที่ DSI เข้าสอบสวนไปตั้งแต่ปีที่แล้ว สำหรับเรื่องราวและข้อมูลเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวนั้น ผู้บริหาร คุณวิทวัส ชินบารมี ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่กล่าวว่าจะมีการชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมในภายหลัง

อย่างไรก็ตาม คุณวิทวัสได้ยืนยันว่าจากช่วงวิกฤติที่ผ่านมานั้น ไม่มีกรณีใดที่ลูกค้าเดิมของ McLaren ในไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากการสืบสวนของทาง DSI พร้อมย้ำว่าในปัจจุบันกรณีดังกล่าวได้ถึงข้อยุติ และเป็นการเปิดโอกาสให้ทาง Niche Cars Group สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยมีแผนที่จะสร้างยอดขาย McLaren ในไทยให้ได้อีก 15 คันก่อนสิ้นปี 2018 (ยอดสะสมต่อปีโดยเฉลี่ยคือ 30 คัน)

พร้อมกันนี้ยังได้เตรียมผุด Workshop สำหรับการซ่อมสีตัวถังรถซูเปอร์คาร์ โดยใช้งบลงทุนขั้นต่ำ 20 ล้านบาทสำหรับอาคารและอุปกรณ์ต่างๆที่ต้องใช้ และจะมีการส่งช่างชาวไทยไปฝึกอบรมคอร์สการทำสีของ McLaren ซึ่งจะต้องใช้ความชำนาญเฉพาะทางพิเศษ ทั้งหมดนี้เพื่อให้สามารถบริการลูกค้าซูเปอร์คาร์ทั้ง McLaren และยี่ห้ออื่นได้อย่างทั่วถึง