[สำหรับท่านที่ต้องการโหลดรูปภาพ ขอเชิญลิงค์ที่ท้ายบทความได้เลยครับ]


ความเป็นมาของการจัดกิจกรรมที่จังหวัดเชียงใหม่

หลังจากที่เราได้จัดงาน SWIFT standout ที่สุวรรณภูมิไปในช่วงกลางเดือนมีนาคมและได้รับการตอบสนองด้วยดี ทาง Suzuki จึงเสนอแนวทางว่า ถ้าหากเราสามารถจัดกิจกรรมแบบเดียวกันนี้ตามหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดได้บ้างก็คงเป็นเรื่องดี ประกอบกับการที่ทางเว็บไซต์ Headlightmag ไม่เคยมีโอกาสจัดมีตติ้งกับคุณผู้อ่านอย่างเป็นทางการนอกเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ดังนั้นการร่วมมือตอบโจทย์ความต้องการของทั้ง 2 ฝ่ายได้ในครั้งเดียวกัน จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและได้ประโยชน์กับทั้ง 3 ฝ่าย คือเรา, คุณผู้อ่าน และรวมไปถึงทาง Suzuki


สำหรับจังหวัดเชียงใหม่นั้น คุณวัลลภ ได้บอกกับเราว่าที่แห่งนี้ เปรียบเสมือนเมืองหลวงของ Suzuki เพราะไม่ว่าจะไปมุมไหนของเมือง ก็สามารถพบเห็นรถ Swift กับ Ciaz วิ่งได้เต็มไปหมด ประกอบกับผลจากการทำแบบสำรวจ ซึ่งทาง Headlightmag ได้ทำไปเมื่อช่วงเดือนมีนาคม ก็บ่งชี้ว่านอกเหนือจากเขตกรุงเทพและปริมณฑลไปแล้ว ก็มีเชียงใหม่ นครราชสีมา และขอนแก่น ซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่ห่างกรุงเทพ ที่มีผู้อ่านของเราอยู่มากที่สุด คุณวัลลภและทีมงาน Suzuki จึงได้เลือกเชียงใหม่ และขอนแก่นเป็นการนำร่อง

ส่วนพวกเราทีมงานนั้น ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ที่ใดก็ตามเป็นเมืองหลวงแห่งการกิน มีอาหารอร่อยๆ เราก็ไปหมดแหละครับ พูดเหมือนล้อเล่น แต่นี่คือพูดจริง เชียงใหม่นี่เป็นจังหวัดที่คุณ J!MMY ชอบอยู่แล้ว ด้วยบรรยากาศสบายๆ ร้านน่านั่งมาก และคุณผู้อ่านที่สนิทกับเรามาตั้งแต่วันที่เรายังเป็นแค่เว็บต๊อกต๋อยเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน ก็อาศัยอยู่ที่นี่กันเยอะ

ในครั้งนี้ จำนวนผู้สมัคร ทาง Suzuki แจ้งว่าเรารับได้ของ 60 ท่าน (ส่วนอีก 40 ท่านที่เหลือจะเป็นการประสานงานไปยังคลับ และลูกค้า VIP ซึ่งทางดีลเลอร์จะเชิญมา) ในช่วงแรกๆก็หวั่นใจว่าเราไม่เคยจัดงานต่างจังหวัด จะมีคนให้ความสนใจมากมายแค่ไหน แต่เวลาผ่านไปไม่กี่วัน จำนวนคนที่สมัครก็เกินโควต้าไปแล้ว นับว่าชาวเชียงใหม่ก็มีความสนใจที่จะอยากลองรถรุ่นนี้เช่นกัน

หากจะพูดในด้านแนวทางการจัดกิจกรรม มันก็ยังเป็นไปในทางเดียวกับงานที่กรุงเทพ ซึ่งทุกคนจะทราบดีว่าผมและคุณ J!MMY จะเป็นพิธีกรสด เราไม่มีการเตรียม Script และข้อดีข้อเสียของตัวผลิตภัณฑ์เป็นอย่างไร เราพูดเองแบบเดียวกับใน Full Review และยังมีการสัมภาษณ์ผู้อ่าน โดยสนับสนุนให้มีการพูดตามความคิดจริงๆของผู้ร่วมกิจกรรม

คุณวัลลภ ให้ความสำคัญกับแนวคิดการจัดกิจกรรมของ Headlightmag ซึ่งไม่ได้มีจุดประสงค์อยู่ที่การเป็น Advertorial หลังพวงมาลัย แต่เป็นการเปิดโอกาสให้คนอ่านได้ค้นพบข้อดีข้อเสียจากการลองขับลองนั่งด้วยตัวเอง อีกทั้งตัวคุณวัลลภเองก็ได้ให้เกียรติมาร่วมงาน และยืนฟังความคิดเห็นทั้งสองแง่มุมจากผู้อ่านที่เข้ามาร่วมทดลองขับเพื่อนำไปพิจารณาในการปรับปรุงรถครั้งต่อไป

เรามีทีมงาน Instructor ของคุณกรณ์และพี่ใหญ่จาก Win Win Win พี่ฝนคนสวยทำหน้าที่ MC เสริมสร้างบรรยากาศสมดุลย์กับพิธีกรปากขวานจามเช่นผม สำหรับคนที่จะนั่งไปในรถกับผู้ร่วมกิจกรรม ล้วนแล้วแต่เป็นนักขับฝีมือดี บางท่านเช่นคุณโจอี้ ก็เป็นนักแข่งจิมคาน่ามืออาชีพ รวมถึงคุณเฟื่องที่เป็นนักแข่งเซอร์กิต และอีกหลายท่านที่ผมอาจไม่ได้เอ่ยชื่อ

ในการขับนั้น สังเกตได้ว่าผู้เข้าร่วมงานหลายท่านจะเกร็ง เพราะนึกว่า Instructor ในรถทำหน้าที่เหมือนครูสอบใบขับขี่ ยิ่งในบรรดาคนอ่านชาวเชียงใหม่นั้นรู้สึกได้ว่าอัตราส่วนของคนที่ขับช้าจะมากกว่ากรุงเทพ ไม่ใช่เพราะขับเร็วไม่ได้ แต่เพราะเกรงใจคนนั่งข้างๆ ดังนั้นสำหรับใครที่อ่านอยู่ ต้องย้ำอีกรอบครับว่า Instructor ของเราเจอคนที่ขับน่ากลัวมาแล้วเยอะมาก ถ้าอยากขับเร็ว ให้ดันให้สุด ถ้า Instructor ไม่บอกให้ลดความเร็ว แปลว่าคุณยังขับไม่เร็วพอในสายตาพวกเขา

เรื่องการสึกหรอของรถ มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ จะให้ลองกันเต็มที่แล้วยางดอกเต็มกลับบ้านก็คงไม่ใช่เรื่องดี จัดงานโดยมาไกลจากบ้าน 700 กิโลเมตร แล้วให้มาขับย่องๆก็คงโดนด่า เราถึงพยายามบอกว่า “จัดเลยนะ ใส่เท่าที่อยาก ถ้า Instructor ไม่ร้องห้าม แปลว่าคุณยังไม่เร็วพอ เสียงยางยังไม่ร้องเอี๊ยดอ๊าด แปลว่าคุณยังใส่ไม่เต็ม” ขนาดคุณวัลลภยังบอกเลยว่าลองให้เต็มที่ ขอแค่อย่าให้ผู้ร่วมกิจกรรมบาดเจ็บก็พอ ส่วนเรื่องรถนั้นไว้คุยกันได้ (ว่าจะซื้อซาก หรือตีมูลค่าชดเชย – อันนี้ล้อเล่นนะครับ)

สำหรับครั้งนี้ เนื่องจากที่เชียงใหม่ไม่มีสนามแข่งแบบมอเตอร์สปอร์ต เราจึงต้องใช้ลานกว้างของประเสริฐแลนด์ แล้วใช้วิธีวางกรวยเพื่อกำหนดทิศทางการวิ่ง  ข้อดีคือแทร็คจะกว้างจะแคบแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการวางกรวยกำกับ แต่ข้อเสียก็คือพื้นเป็นสนามปูน และบางช่วงยังมีฝุ่นผงทรายหยาบ แถมวิ่งๆไปเจอแนวท่อระบายน้ำเหล็กคาดผ่านอีก..แต่จะไปกลัวมันทำไมล่ะ เราก็ใช้ความไม่สมบูรณ์แบบเนี่ยล่ะเป็นตัวทดสอบประสิทธิภาพรถไปเลย!

ทีมงานของพี่กรณ์เลือกที่จะจัดให้ได้มาตรฐานใกล้เคียงกับงานที่สุวรรณภูมิมากที่สุด เช่น การวางไลน์ (เส้นทางการวิ่ง) ในสนามในลักษณะ Autocross (หรือถ้าบอกว่าจิมคาน่า หลายคนจะคุ้นกว่า) ซึ่งอาจจะไม่ได้เปิดโอกาสให้ใช้ความเร็วสูงระดับเลขสามหลัก แต่ทางทีม Instructor ได้จัดแนวการวิ่งให้ได้มีการเข้าโค้งด้วยแรงเหวี่ยงสูง ทำให้มีโอกาสได้สัมผัสประสิทธิภาพรถมากกว่าให้เอาไปวนเล่นรอบคูเมืองหรือขับตามถนนชุมชนแน่นอน

ลักษณะของการทดสอบ

สิ่งที่ครอบคลุมในการทดสอบครั้งนี้ เมื่อเทียบกับงานที่กรุงเทพ

  1. การใช้งานระบบช่วยออกตัวบนเนินชัน Hill Hold Control – มีการปรับลดความชันของเนินเนื่องจากเมื่อครั้งงานที่กรุงเทพมีผู้อ่านท้วงมาว่าความชันมากกว่าที่จะได้เจอในชีวิตจริง และขึ้นลงยาก กันชนกับใต้ท้องครูด
  2. การทดสอบพละกำลังของรถในการไต่เนินชัน – นับว่าตัดออก เพราะจากการปรับในข้อ 1 ทำให้เนินไม่ได้ชันมากเท่าก่อน
  3. ความคล่องตัวในการตอบสนองของรถ – ด่านเดียวที่ต่างจากกรุงเทพคือ Sudden Lane Change (หักหลบหมา) เนื่องจากถ้าใส่ด่านนี้ไป จะไม่มีที่พอให้ทดลองอัตราเร่ง
  4. การตอบสนองและน้ำหนักของพวงมาลัย
  5. การเข้าโค้งที่ความเร็วปานกลาง หักพวงมาลัยเยอะ
  6. ความสะดวกสบายในการนั่ง และภาพรวมของอุปกรณ์ต่างๆในห้องโดยสาร

สิ่งที่ไม่ได้ครอบคลุมในการทดสอบครั้งนี้

  1. การทดสอบด้วยความเร็วสูงกว่า 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
  2. การทรงตัวที่ความเร็วสูง
  3. การกระโดดจัมพ์สะพานแบบมอเตอร์เวย์ด้วยความเร็วสูง
  4. การทดสอบแบบถนนขรุขระมากกว่าปกติ

เราให้ผู้เข้าร่วมงานทุกท่านได้มีโอกาสขับรถตามกันไปรอบสนาม โดยที่มี Instructor มืออาชีพคอยอธิบายการเข้าโค้งกับความเร็วที่ควรใช้ในช่วงต่างๆก่อนหนึ่งรอบ จากนั้นจึงขับกลับเข้ามาพิท เพื่อตั้งแถวเตรียมตัวเข้าสู่การทดสอบจริง ซึ่งผู้กำกับสนามจะปล่อยรถให้วิ่งเพียงครั้งละ 1 คัน เพื่อลดความกดดันกรณีคันหน้ากับคันหลังมีทักษะการขับขี่ต่างกัน และลดโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุ

สังเกตได้ว่าอัตราส่วนของคนที่เลือกจะขับแบบเร็ว กับคนที่ขับแบบปกติ จะแตกต่างจากที่กรุงเทพ งานที่กรุงเทพนั้น 80% ของผู้ร่วมงานจะขับเหมือนกับโลกจะบึ้มในวันพรุ่งนี้ ส่วนงานที่เชียงใหม่นั้น ผมคาดว่ามีแค่ 30% ที่ขับแบบนั้น และมีประมาณ 3 ท่านที่ผมกะประมาณแล้วว่าน่าจะขับเร็วจนทำเวลาได้เกือบเท่าผมขับเองเลยทีเดียว ซึ่งผมก็ได้มอบรางวัลเป็นหนังสือ This-is-a-รถ ให้กับทั้ง 3 ท่านนั้นด้วย

 

แน่นอนว่าหลังจากที่ปล่อยให้ทุกท่านขับกันเอง เราก็มีรอบพิเศษที่จับสลากผู้โชคดี ได้นั่งไปรอบสนามโดยมี Instructor ซึ่งมีดีกรีเป็นทั้งอาจารย์สอนแข่งรถ, นักแข่งมืออาชีพ เป็นผู้ขับพานั่งรอบสนามอย่างเร็ว แล้วก็ไม่ได้วิ่งคันเดียว แต่วิ่งแบบจี้ติดกันไป 4-5 คัน ให้มีลุ้นนิดๆว่าจะมีจูบท้ายกันหรือไม่ (สถิติเท่าที่เก็บได้ – ไม่มีการจุมพิตก้น แต่มีกรวยบาดเจ็บ 3-4 กรวย)

ปิดท้ายด้วยรอบพิเศษสำหรับผู้โชคดี จะได้นั่งไปรอบสนามเพียงคันเดียวโดยมีพี่ J!MMY เป็นผู้ขับให้

***FEEDBACK จากผู้เข้าร่วมกิจกรรม***

เราพยายามสอบถามความคิดเห็นจากผู้ร่วมงาน และนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้เข้ารวมกิจกรรมที่กรุงเทพ เราได้ภาพรวมที่คล้ายกันมาก แต่มีโฟกัสในบางจุดที่แตกต่าง โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

 

สิ่งที่รู้สึกดีกับตัวรถ

  1. อัตราเร่งช่วงออกตัว – หลายคนที่ขับชมว่าดี คนที่เคยขับรถรุ่นที่แล้ว บอกว่าดีดออกตัวดีขึ้น เกียร์ทำงานดีขึ้น ซึ่งเหมือนกับ Feedback ที่เราได้รับจากชาวกรุงเทพ
  2. การตอบสนองของพวงมาลัยดี น้ำหนักและความไว – ความแตกต่างคือชาวเชียงใหม่ดูจะให้ความสำคัญกับพวงมาลัยมากกว่าอัตราเร่ง ในขณะที่ถ้าเป็นชาวกรุงเทพจะกลับกัน แต่ในภาพรวมทุกคนชื่นชอบกับน้ำหนักและความไวของพวงมาลัยที่ทำให้ขับขึ้นลงดอย และขับในตัวเมือง แวะเวียนตามกาดต่างๆหาที่จอดได้สะดวก
  3. ตัวรถเกาะถนนดี – ได้รับคำชมในลักษณะเดียวกับงานที่กรุงเทพ แต่ในจำนวนที่น้อยกว่า เนื่องจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่วนมากไม่ได้ซัดตึงจนรถแสดงประสิทธิภาพได้เต็มที่
  4. ภายในรถ นั่งสบาย ขับถนัดกว่ารุ่นเดิม – ตรงกับจุดที่ชาวกรุงเทพชื่นชม
  5. ช่วงล่างไม่ได้แข็งกระด้างอย่างที่คาดไว้ – ข้อนี้คนกรุงเทพจะชมเยอะ แต่คนเชียงใหม่ไม่ได้พูดถึงมากเท่า โดยส่วนมากจะรู้สึกว่ารถสไตล์นี้ แข็งอ่อนก็ประมาณนี้ ไม่ได้น่าตื่นเต้นหรือดีเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งอาจเพราะสภาพถนนของลานประเสริฐซึ่งมีจุดที่เป็นฝาท่อไม่เรียบ ทำให้ผู้ขับได้สัมผัสความตึงตังมากกว่า
  6. การออกแบบภายในดูดีขึ้น

สิ่งที่รู้สึกว่ายังปรับปรุงให้ดีขึ้นได้

  1. ลายล้ออัลลอยไม่สวย ดูเหมือนฝาครอบราคาถูกๆ – ประเด็นนี้มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมพูดถึงบ้าง แต่ในอัตราส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับที่กรุงเทพ
  2. บรรยากาศภายใน เรื่องของวัสดุยังสู้ Mazda 2 ไม่ได้ – ไม่มีลูกค้าชาวเชียงใหม่ตำหนิในข้อนี้ มีเพียง 2-3 ท่านที่บอกว่าบรรยากาศภายในของ Swift เจนเนอเรชั่นที่แล้วดูสวยและลงตัวกว่า
  3. ราคาขนาดนี้ ถ้าไม่มีกล้องหลังอย่างน้อยก็น่าจะมีเซ็นเซอร์ถอยจอดมาให้ – กรุงเทพกับเชียงใหม่..ใจตรงกัน
  4. ความมั่นใจของช่วงล่าง ยังไม่เท่าคู่แข่งบางเจ้า – เช่นเดียวกัน เพราะชาวเชียงใหม่จำนวนไม่น่าต่ำกว่าสิบท่าน ขับ Mazda 2 ใหม่มาร่วมงาน ก็จะบอกในลักษณะที่คล้ายกัน
  5. เกียร์ CVT ยังมีอาการเย่อเบาๆในความเร็วต่ำบางช่วง – ไม่มีผู้ร่วมงานที่พูดถึงการเย่อ แต่พูดถึงอาการหน่วงนิดๆที่ยังมีอยู่บ้างตอนออกตัว
  6. หน้าตาของรถมีเสน่ห์น้อยลง – มีจำนวน 1-2 ท่านที่บอกว่ารุ่นเก่าสวยกว่ามาก นอกนั้นจะบอกว่าสวยเท่ากันหรือรุ่นใหม่ดูสวยกว่า
  7. ยางที่ใช้น่าจะเกรดดีกว่านี้จะช่วยให้รถเกาะโค้งดีขึ้น- มีเพียง 1-2 ท่านที่แนะนำว่ายางติดรถควรใช้เกรดสปอร์ตที่จะทำให้เกาะถนนดีกว่านี้
  8. ประเด็นใหม่ที่มีคนพูดถึงคือ อยากให้มีทางเลือกในการสั่งเบาะหนังพร้อมถุงลมนิรภัยข้างได้ เพราะปัจจุบันมีแต่เบาะผ้า และถ้าไปหุ้มหนังเองข้างนอกก็จะส่งผลต่อการทำงานของชุดถุงลม หรือถ้าทำไม่ได้เพราะต้นทุนเกิน ก็อยากให้ลูกค้ามีสิทธิ์เลือกว่าจะเอาเบาะหนัง หรือจะเอาเบาะผ้า แต่ได้ถุงลมข้าง

บทสรุปของกิจกรรม Headlightmag presents SWIFT standout in Chiang Mai

การจัดกิจกรรมครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จในแง่ของการนำเอาผลิตภัณฑ์มาให้ผู้ที่สนใจได้สัมผัส และทดลองขับในสถานที่ที่ปลอดภัย และ “จัดหนัก” ได้มากกว่าการไปลองเองบนถนนซึ่งมีตัวแปรในแง่ความปลอดภัยเยอะกว่า นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้เราชาวทีม Headlightmag ได้มีโอกาสพบปะกับคนอ่านในจังหวัดหัวเมืองที่ห่างไกล และได้ค้นพบมิตรภาพความจริงใจอ่อนโยนของชาวเชียงใหม่แบบที่เราได้สัมผัสก็ทราบเลยว่าทำไมใครต่อใครถึงชอบมาที่นี่

ส่วนในแง่ของความสำเร็จเชิงขายนั้น เราไม่ได้นำมาเปรียบเทียบ การจัดกิจกรรมลักษณะนี้ไม่ได้ส่งผลดีเป็นรูปธรรมในแง่ยอดขาย เพราะต่อให้ขายรถในงานของเราได้ 20 คัน กำไรที่ได้ก็ยังไม่พอกับงบประมาณที่ต้องทุ่มไปเพื่อจัดงานนี้ขึ้นมา ดังนั้นจึงพูดได้ว่ามันคือเรื่องของการสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับคนที่ได้รู้จักกับตัวรถ และเปิดโอกาสให้คนทั่วไปได้พบปะพูดคุยกับทีมการตลาด ทีมเทคนิค ตลอดจนผู้บริหารของค่ายรถยนต์โดยตรง ซึ่งไม่ใช่โอกาสที่หาง่าย

เรายังเชื่อในแนวทางของเราเสมอว่าบางครั้งการทำสิ่งที่ลำบาก จะส่งผลดีในระยะยาว เราถึงเลือกที่จะใช้งบประมาณและเวลาจำนวนมากโดยไม่ได้หวังผลทางด้านยอดขาย ถามคนที่ไปร่วมงานได้ว่าอันที่จริงแทบจะขายรถไม่ได้เลยด้วยซ้ำ และถึงไม่ได้จัดกิจกรรมนี้ยอดจองของ Swift ทั่วประเทศก็ไม่ได้เพิ่มหรือลดกี่มากน้อย หากเราเลือกที่จะลง Advertorial ให้ Suzuki ผมเรียนตามตรงว่าทางเขาจะเหนื่อยน้อยกว่า ทางเราก็เหนื่อยน้อยกว่า และยอดขายรถก็ได้มากน้อยไม่ต่างกัน

แต่เราเลือกทางที่ยาก เพราะในความยาก มันมีความสนุก และเราก็อยากชวนคุณมาสนุกด้วยกัน มันจะเป็นสิ่งที่คุณจำติดใจไปได้นานกว่า จะอ่านรีวิวเราสิบรอบก็ไม่สู้ได้ขับเอง จริงไหมครับ?

ป้ายหน้า? ขอนแก่น! เจอกันครับ!

—-////—-

***LINK ดาวน์โหลดรูปภาพกิจกรรม***

** รูปทั้งหมด สงวนสิทธิ์โดยคุณแบงก์ กาญจนวิลัย / Suzuki Motor ประเทศไทย / Headlightmag อนุญาตให้โหลดไว้ดูเล่นได้ โพสต์ส่วนตัวได้ แต่ไม่ยินยอมให้มีการนำไปใช้ในเชิงการค้าขาย พาณิชย์ ธุรกิจอื่นที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้สงวนสิทธิ์ทั้งสามฝ่าย **