Ferrari F8 Tributo – ราคาเริ่มต้น 23,850,000 บาท

Likes: แรงมหาศาล โหดได้ แต่ขับง่าย อยู่ด้วยง่ายกว่าที่คิดแม้จะขับย่องๆ ช่วงล่าง พวงมาลัยคม คนตัวโตเข้าออกง่ายกว่า Toyota Supra

Dislikes: ถ้าคุณเก็บเงินซื้อได้เดือนละสองหมื่น คุณจะต้องเก็บเงินไป 99 ปีกว่าจะซื้อได้

ผมไม่แน่ใจว่านี่จะเป็นรีวิว Ferrari ครั้งแรกของ Headlightmag หรือไม่ แต่สำหรับตัวผม มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ควบม้าป่าชั้นดีอย่างนี้ F8 Tributo ทำให้ผมนึกถึง Ferrari คันแรกที่ได้ขับในชีวิต (F355) ซึ่งแม้จะลองเพียงช่วงสั้นๆแต่ก็ทำให้รู้ซึ้งได้ว่า ประสบการณ์อันโชกโชนจากสนามแข่ง..โดยชายผู้ซึ่งมีความฝันอยู่กับรถแข่ง และทำซูเปอร์คาร์มาขายเพียงเพื่อเอาเงินไปขยายฝันตัวเอง มันให้ความรู้สึกที่ดีเพียงไร ตำแหน่งนั่งที่ติดพื้น เสียงเครื่องยนต์ที่แม้กระทั่งรอบเดินเบา ทารกยังร้องไห้เมื่อได้ยิน รูปทรงที่วิ่งผ่านใครก็เหลียวมอง

แต่ F8 เป็นรถที่มีแรงม้ามากกว่า F355 ถึง 340 แรงม้า …ซึ่งนั่นคือแรงม้าสูงสุดของรถอย่าง BMW Z4/Toyota Supra.. ความโหดของพลังจึงล้นบาร์เรลที่คนส่วนใหญ่บนโลกจะรองรับ ในวันอากาศร้อน โดยมีน้ำหนัก 242 กิโลกรัมบนรถ เปิดแอร์ และกดออกตัวเต็มโดยไม่ใช้ Launch Mode เจ้าม้าอสูรตัวนี้ดีดจาก 0-180 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายในเวลาแค่ 8.4 วินาทีเท่านั้น หากเป็นวันที่อากาศเย็น ใช้ Launch Mode และคนขับน้ำหนักไม่เกิน 90 ผมว่ามันยังเร็วได้อีกมาก

แรงถีบตอนออกตัวก็จุกแล้ว แต่ที่น่าทึ่งคือแม้จะผ่านเกียร์ 3 ไปแล้วแรงอัดตัวติดเบาะก็ยังคงอยู่ ไหลมาเทมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้ว่าเสียงเครื่องยนต์จะไม่แผดแสบๆหวานๆอย่าง 430 หรือ 458 แต่ F8 มอบแรงดึงมหาศาลให้เป็นสิ่งตอบแทนที่ผมเชื่อว่าลูกค้า Ferrari น้อยคนมากที่จะไม่โผเข้ากอดมัน ชื่อ “Tributo” มาจากการ “Tribute to The Great V8” เครื่องแปดสูบทวินเทอร์โบ F154CG ซึ่งมีพื้นฐานเดียวกับเครื่องยนต์ของ 488 Pista รุ่นพิเศษที่เพิ่มพลังจาก GTB ปกติ แรงม้าแรงบิดของ F8 นั้นเท่ากับ Pista คือ 720 แรงม้า กับ 770 นิวตันเมตร

เมื่อเทียบกับ 488 GTB เครื่องยนต์ของ F8 จะมีชุดท่อร่วมอากาศที่ออกแบบใหม่ ท่อร่วมไอเสียแบบ Inconel ทำจากวัสดุ Titanium Aluminide (TiAL) ฝาสูบมีการปรับรายละเอียดใหม่ ก้านสูบไทเทเนียม ข้อเหวี่ยงและฟลายวีลแบบ Lightweight ปรับจูน ECU ใหม่ นี่คือสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อให้ได้อัตราส่วนพลังระดับ 185 แรงม้าต่อ 1.0 ลิตร สูงที่สุดในบรรดาเครื่อง V8 ใน Production Car ของ Ferrari

เมื่อเจอกับน้ำหนักตัวแค่ประมาณ 1.4 ตัน (เบาลงกว่า 488GTB 40 กิโลกรัม) และระบบควบคุมการขับเคลื่อนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Adaptive Performance Launch ที่ช่วยให้ F8 ดีดออกตัวได้เกือบจะเหมือนรถขับสี่ และระบบที่ช่วยคุมการตอบสนอง/ช่วงล่าง Ferrari Dynamic Enhancer (FDE+)  ที่สามารถเปิด RACE Mode ผ่านสวิตช์ Manettino ที่พวงมาลัยได้ ..ไม่นับระบบ Side Slip Control และช่วงล่างแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่ง Ferrari ใช้มานาน และพัฒนามาตลอด

F8 เวลาอยู่ในมือผม เป็นรถที่ “คุย” กับผู้ขับผ่านคันเร่งอย่างตรงไปตรงมาที่สุด อยากจะ Grip คุณได้ Grip ที่เหลือเชื่อ..เลี้ยวเข้าโค้ง หน้าจิกไปไว อยู่กลางโค้ง อยากจะ Drift หรือ Grip ก็ขึ้นอยู่กับคันเร่ง มันเป็นรถที่มือใหม่ต่อโลกซูเปอร์คาร์ขับได้ง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก แต่มืออาชีพก็หวดรอบสนามได้ไวกว่ารุ่นก่อนมากเช่นกัน เมื่อคิดว่ากำลังขับรถ 23.85 ล้าน และถ้าชนหรือทำพังผมต้องลี้ภัยหนีหนี้ไปต่างประเทศ..มันเลยกลายเป็นครั้งหนึ่งที่ความสนุกกับความกลัว มาพร้อมกันอย่างรุนแร

พวงมาลัยมีน้ำหนักต้านมือมาก แต่ก็ไวมากจนหักนิดเดียว เล่นกับทุกโค้งบนพีระได้สบาย เบรกคาร์บอนเซรามิก มีประสิทธิภาพการปราบม้าดีมาก แต่ถ้าคุณไม่เคยขับซูเปอร์คาร์เบรกเซรามิกมาก่อนอาจจะต้องปรับแรงกระทืบเบรกเพิ่มขึ้น แป้นเบรกวางห่างจากคันเร่งมากกว่า McLaren 720S ทำให้ผมไม่เผลอเหยียบเบิ้ล 2 แป้นจนต้องใช้เท้าซ้ายเบรกแทน

สำหรับการใช้งานในวันปกติที่ไม่ซิ่ง F8 Tributo ในโหมด SPORT (Ferrari ไม่มีโหมด Comfort) คือรถที่ช่วงล่างไม่แข็งกระด้างไปกว่ารถสปอร์ต 200-300 ม้ากลางๆที่มีขายในไทย การขึ้นลงจากรถ วัดจากไซส์ตัว 5XL ของผม สามารถขึ้นและลงได้ง่ายกว่า Toyota Supra J29 ตัวใหม่ด้วยซ้ำไป เบาะนั่งไม่ทรมานแบบรถแข่ง สบายตัวและรัดกุมดีพอให้ขับในสนามเล่นๆได้ มีเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ ..แบบ Dual Zone ซะด้วย มีระบบนำทาง ซึ่งจะโชว์บนจอ MID ด้านซ้ายของหน้าปัด และแน่นอน แม้จะเป็นซูเปอร์คาร์ที่ทัศนะวิสัยด้านหลังดีกว่าแต่ก่อนมากแล้ว Ferrari ก็ยังมีกล้องถอยหลังให้ใช้ วัสดุต่างๆที่มีในรถ เป็นหนังกับคาร์บอนชั้นดี คุณลองพิจารณามันใกล้ๆ ลองเอามือลูบ ต่อให้หลับตาก็รู้ว่าไม่ใช่รถทั่วไป

นี่คือสิ่งที่คุณได้ เมื่อต้นทุนไม่ใช่ปัญหา และราคา 8 หลัก ไม่ใช่เรื่องที่ลูกค้าแคร์ ด้วยเวลารวมกันที่อยู่กับรถไม่ถึงชั่วโมง ผมยังไม่รู้จะติอะไรนอกจากว่าอยากให้เสียงเครื่องยนต์แผดลั่นกว่านี้สักหน่อยใน RACE Mode แต่อาจจะไม่ถึงกับต้องเหมือน 458 เด๊ะก็ได้ เข้าใจว่ารถเทอร์โบจะมีข้อจำกัดในการสร้างเสียงให้แผดอยู่ แต่พอกระแทกคันเร่งปุ๊บ ผมก็ลืมทุกอย่าง และหายสงสัยว่า ทำไม Ferrari ถึงถูกจัดให้เป็น Benchmark ในการสร้างซูเปอร์คาร์มาตลอด

นับเป็นความทรงจำที่เยี่ยมยอด..แต่มาคิดว่าคนธรรมดาอย่างเราต้องเก็บเงิน 99 ปีเพื่อออก Ferrari ป้ายแดง จากที่ดีใจสุดๆ มันก็กลับมาเศร้าเหมือนเดิมครับ