Subaru Forester 2.0 i-S 1,380,000 บาท

Likes: ความเกาะของ AWD แท้ ช่วงล่างนุ่มแต่ไม่ย้วยเหมือนรุ่นเดิม เบาะหลังนั่งสบายขึ้น อุปกรณ์มากขึ้นในราคาที่ถูกลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน

Dislikes: อัตราเร่งออกตัวแบบแมวหาว การเก็บเสียงช่วงบนของตัวถัง เครื่องเสียงตอบสนองช้า ใช้ยาก และ..ขอไฟท้ายใหม่อย่างด่วน

รถรุ่น 2.0 i-S นี้ นับเป็นรุ่นย่อยที่มีความหรูหราอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อเทียบกับรุ่น i-L และรุ่น i-S EyeSight และมีราคาถูกกว่ารุ่นท้อปอยู่ 70,000 บาท แน่นอนว่าสิ่งที่หายไปก็คือระบบช่วยเหลือการขับขี่ EyeSight (ระบบเบรกอัตโนมัติ+ระบบ Radar Cruise Control) และกล้องด้านข้าง แต่ในส่วนอื่นๆ เกือบเหมือนกันหมด รวมถึงล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว การตกแต่งภายนอกและภายในก็เหมือนกัน 99% ดังนั้นจึงอาจเป็นทางเลือกที่เซฟเงินสำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการระบบ EyeSight

ดูเหมือนว่า Subaru จะมีความกวนอะไรสักอย่างในการออกแบบ SUV อย่าง Forester เพราะแต่ไหนแต่ไรมา แม้เจนเนอเรชั่นที่ 1 และรุ่นที่แล้วจะมีบางส่วนที่พอมีเสน่ห์ แต่รุ่นอื่นๆรวมถึงเจนเนอเรชั่นล่าสุดนี้จะต้องมีบางอย่างที่ขัดหูขัดตา อย่างเช่นไฟท้ายวงเล็บนั้นคงมีแต่มารดาเขา ผู้เดียวเท่านั้นที่รักได้ แต่ผมไม่ติดขัดกับรูปทรงที่สูงโปร่งคล้ายกล่องเหลี่ยม เพราะนั่นคือวิธีการสร้างพื้นที่ในห้องโดยสาร เป็น SUV พื้นฐานเก๋ง C-segment ที่ให้ทัศนะวิสัยโปร่งตาขับสบายที่สุด

อัตราเร่ง ตอนออกตัวหรือขับในเมือง จะมีอาการหน่วง ลักษณะเดียวกับ XV แต่ด้วยรถที่หนักกว่าทำให้มีความรู้สึกยืดยาดไม่ทันใจ ช้ากว่ารุ่นเก่าเสียด้วยซ้ำ แต่หากเป็นช่วงเร่งแซง 80-120 กลับทำได้ไวกว่าเดิม รวมถึงอัตราสิ้นเปลืองซึ่งถ้าวิ่งแบบทางไกลนิ่งๆ ก็ทำได้ดีกว่ารุ่นเดิม คุณมีลุ้นกับตัวเลข 14 กิโลเมตรต่อลิตรได้ในชีวิตจริง..แต่ถ้าเริ่มเจอรถติด หรือกดคันเร่งแซงบ่อยๆ ก็จะลงไปหา 9 กิโลเมตรต่อลิตรได้เหมือนกัน

ส่วนช่วงล่างนั้น ไม่ได้มีปาฏิหารย์อะไรให้ตกใจ ทั้งหมดเป็นเพราะการปรับเปลี่ยนโครงสร้างตัวถังมาใช้ Subaru Global Platform ที่เหนียวและแข็ง (จากเดิมไม่มีใครเคยด่าว่าแย่อยู่แล้ว) และเปลี่ยนปีกนก ปรับช่วงล่างใหม่หมด ส่งผลให้อาการย้วยหยึยเวลาเปลี่ยนเลนเร็วๆบนทางด่วนของรถรุ่นเดิม ลดน้อยลงไปมาก แต่ให้พูดตามตรงคือเสถียรภาพที่ความเร็วสูง ไม่ได้เด่นไปกว่า CR-V Gen 5 ที่ Honda ก็พัฒนาได้ดีกว่ารถรุ่นก่อนราวฟ้ากับเหว

จุดที่แตกต่างคือในโค้ง ซึ่งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อของ Subaru…คงไม่ต้องบอกว่ายังไงก็ได้เปรียบระบบ Part-time สมัครเล่นของคู่แข่งทุกรุ่น ช่วงล่างอาจจะยวบตัวจังหวะหักเลี้ยว แต่เมื่อยุบไปถึงจุดหนึ่ง ช่วงล่างจะขืนสู้ และให้การบังคับเลี้ยวที่แม่นยำ..จนสงสัยว่าจะมีครอบครัวไหนที่ซื้อรถแบบนี้แล้วมาเล่นโค้ง? แต่รู้ว่าในสถานการณ์ฉุกเฉิน อากาศไม่เป็นใจ มันคือรถที่ไว้ใจได้มากที่สุดในกลุ่ม ผมลองเหวี่ยงแรงมาก จนลงเอยด้วยข้าวของท้ายรถกระจัดกระจายกระเด็นไปทั่ว คุณสามารถขับแบบนั้นได้โดยที่รถไม่มีการไถลเสียการควบคุมแม้แต่นิดเดียว

เบาะนั่งหน้า มีทรวดทรงที่นั่งสบายแม้ฟองน้ำจะไม่นุ่มเท่า CR-V พนักรองหัวแข็งกว่าด้วย แต่มีดีตรงที่ปรับองศาได้ ช่องเก็บของจุกจิกไม่เยอะเท่า เครื่องเสียง เสียงดีใช้ได้ แต่ทำตัวบ้าบอเวลาจะ scroll เลือกเพลง ยากมาก แถมระบบทำงานช้า ส่วนเบาะหลังจะเตี้ยกว่า X Trail กับ CR-V และเอนได้ไม่เยอะนัก การเก็บเสียงพื้นล่างดีกว่า Honda แต่พอวิ่งเกิน 100 เสียงลมจะเข้ามามากกว่าใครในกลุ่ม โดยเฉพาะเสียงลมจากกระจกหน้าที่ตั้งชันกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ยาง Bridgestone Dueler HP Sport แม้จะเกาะถนนดีระดับหนึ่งแต่ไม่ใช่ยางประเภทเก็บเสียงแน่ๆ

อุปกรณ์ไม่น่าเกลียดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่ไม่มีอะไรที่เด่น ยกเว้นไฟหน้ากระดิก SRH อย่างไรก็ตาม ระบบ X-Mode Special ของระบบขับเคลื่อนนั้น ถือเป็นของที่คุณอาจไม่ได้ใช้..แต่มีความเจ๋ง ตรงที่มันสามารถจัดการบริหารระบบการขับเคลื่อนให้สามารถลุยไปบนทางออฟโรดได้ดีกว่าคู่แข่ง ในรถระดับเดียวกัน ไม่มีรถรุ่นไหนแน่นอนที่เหลือแรงเกาะจากล้อเดียวแล้วยังสามารถไถๆตัวเองลุยไปข้างหน้าได้ นับว่าทำมาเผื่อการลุยทางโคลนมากพอ แต่อย่าลืมว่าท้ายสุด ถ้ายังใช้ยางถนนอยู่ อย่าคาดหวังจนเกินไป

โดยสรุปแล้ว Forester ไม่ใช่รถซิ่งแน่นอน แต่เป็นรถที่ครอบครัวที่มีรถซิ่งอยู่แล้ว อาจจะอยากซื้อไว้ใช้ในวันแบบเบาๆ ด้วยความอเนกประสงค์ พื้นที่กว้างขวาง ช่วงล่างที่นั่งสบาย ส่วนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนั้น มีไว้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการหักหลบกระทันหัน เพิ่มความมั่นใจในการเดินคันเร่งบนถนนเปียก และลุยไปในทางที่ CR-V หรือ CX-5 อาจไม่อยากไปยุ่ง แต่แน่นอนว่า ถ้าไม่นับสิ่งเหล่านี้ คุณอาจจะไปซื้อ CR-V 2.4ES 5 ที่นั่งใช้แทนก็ได้ เพราะวิ่งมอเตอร์เวย์ได้นิ่งเหมือนกัน และได้อัตราเร่งที่ดีกว่า งานนี้ ต้องเลือก โดยใช้วิจารณญาณตัวคุณเองครับ