โดยปกติเมื่อรถมีอายุมากขึ้น ความน่ากลัวระหว่างการเดินทางก็คือเมื่อไหร่จะกินข้าวลิง เมื่อไหร่จะโอเวอร์ฮีท โดยเฉพาะกับรถยุโรปที่อายุเลยวัยเลือกตั้งมาแล้ว แต่สำหรับ Land Rover 86″ Station Wagon คันนี้ ที่มีอายุถึง 64 ปี อาจเป็นข้อยกเว้น เพราะนี่ไม่ใช่เพียงการเดินทางเพื่อทดสอบรถ แต่เป็นการทดสอบความทรหดของคน ที่แฝงไว้ด้วยตำนาน เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ จากคนกลุ่มหนึ่ง

สำหรับ Alex Bescoby มันคือ “ความปรารถนาแรก” ในการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ ..สำหรับ คุณปู่ Tim Slessor วัย 87 ปี มันอาจเป็น “ความปรารถนาสุดท้าย” ในการย้อนรอย สิ่งที่เขาเคยทำไว้ในอดีต เพื่อความทรงจำ  และสำหรับรถ มันคือ การพิสูจน์สมรรถนะและความไว้ในเนื้อเชื่อใจ

นี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ซึ่ง Alex และปู่ Tim จะขับรถ Land Rover คันนี้ จากสิงคโปร์ ไปถึงลอนดอน โดยมีระยะทางประมาณ 16,000 กิโลเมตรที่ไม่ได้วิ่งแค่บนถนนยางมะตอย ต้องข้ามเขา ข้ามแอ่งโคลน ปีนผ่านอุปสรรคต่างๆมากมาย แม้จะมีทีม Support ใน Land Rover Defender รุ่นใหม่ขับตามประกบพร้อมด้วยทีมงานภาคสนามและช่างซ่อมที่ชำนาญการ มีแม้กระทั่งสาวเบลเยียม PR ที่คอยถ่ายรูปและโพสท์ลง Facebook ให้ด้วย แต่การเดินทางในรถยุคเก่า ที่ไม่มีแอร์ เกียร์แบบไม่มีซิงโครเมช และหลังคาที่รั่วทุกครั้งที่ฝนตก ยังไม่นับช่วงล่างและเสียงรบกวนที่ดังสนั่น น้อยคนนักจะกล้าทำ

ปู่ Tim นั้น ก็ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา ในปี 1955 ในวัย 20 ต้นๆ เคยเปรยว่า อยากขับรถจากลอนดอนไปสิงคโปร์ แล้วบังเอิญมีคนไปพูดสะกิดปู่ว่า “บ้า ไม่มีทาง ทำไม่ได้หรอก” ปู่เลยบอกว่า “ก็นี่และข้าจะทำมันเอง” จากนั้นก็รวบรวมสมาชิกทีม ซึ่งเป็นนักศึกษาจบใหม่จาก Cambridge University โดยมี Land Rover อังกฤษ ให้รถมาสองคัน โดยรถทั้งสองถูกตั้งชื่อว่า Oxford และ Cambridge และการเดินทางครั้งนั้น ถูกตั้งว่า “The First Overland” ซึ่งได้เดินทางผ่านประเทศไทยโดยขับข้ามแม่น้ำสายเล็กจากพม่าเข้าสู่ไทยที่เชียงราย และไปถึงสิงคโปร์ในที่สุด

หลังจากการเดินทางครั้งนั้นเสร็จสิ้นลง รถทั้งสองคันก็มีชะตากรรมต่างกันออกไป Cambridge พังสาหัสและไม่สามารถใช้การได้อีก ส่วน Oxford นั้น ถูกขายต่อ และเปลี่ยนเจ้าของรวมถึงเปลี่ยนประเทศด้วย จนในที่สุด ก็ถูกแยกชิ้นส่วนบางชิ้นไปขาย เหลือแต่บอดี้รถเช่น โครงหลัก ฝากระโปรง ประตูรถ และจอดทิ้งให้สนิมกินอยู่บนเกาะ Saint Helena..เกาะที่อยู่ห่างจากชายฝั่งแอฟริกาใต้ไปทางมหาสมุทรแอตแลนติก ที่ซึ่งจักรพรรดินโปเลียน ถูกเนรเทศและเสียชีวิต ณ ที่แห่งนั้น

จนกระทั่งในปี 2017 นาย Adam Bennett ผู้ซึ่งหลงใหลใน Land Rover รุ่นคลาสสิค และมีความเชี่ยวชาญในการ Restore รถ (โดยเฉพาะรถที่น้ำท่วมมา..แหมน่าจะมาทำงานที่ไทย) ได้ค้นพบรถคันนี้ และตัดสินใจซื้อ จากนั้นก็ส่งรถข้ามมหาสมุทร มาบูรณะต่อที่ประเทศอังกฤษ

อยู่มาวันหนึ่ง Tim Slessor ซึ่งหลังจากจบทริป First Overland แล้วกลับไปใช้ชีวิตที่อังกฤษ เป็นผู้ประกาศข่าว เป็นนักทำสารคดีให้กับ BBC และกำลังจะเข้าวัยนั่งเก้าอี้โยก ก็ได้รับการติดต่อมาว่า “ปู่สนใจมั้ย ถ้าเรามีรถ Oxford คันที่ปู่เคยขับ และเราจะขับมันย้อนเส้นทางจากที่ปู่เคยไปเมื่อ 64 ปีก่อน” ปู่ Tim ตอบตกลงในทันที และยังได้ Alex Bescoby ชายหนุ่มซึ่งจบจาก Cambridge เหมือนกันมาเป็นมือช่วยขับให้ โดยมี Nathan George หลานของเขาที่ตกลงใจร่วมเส้นทางไปด้วย

ทั้งปู่ Tim และ Alex ต่างก็ต้องเผชิญความท้าทายกันคนละอย่าง สำหรับ Alex นั้น รถยุคเก่าที่ไม่มีแอร์ และยังต้อง Double clutching ก่อนเปลี่ยนเกียร์นั้น เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ซึ่งปู่ Tim ก็สอนให้ ส่วนปู่เองนั้น มีประสบการณ์มาก แต่ด้วยวัยที่มากถึง 87 ปีก็ทำให้ต้องระวังเรื่องสุขภาพเช่นกัน

เด็กยุคใหม่ๆเกิดมา อาจจะไม่รู้ว่ารถยุคเก่านั้นคุณจะไม่สามารถเหยียบคลัตช์-เปลี่ยนเกียร์-ถอนคลัตช์ แล้วขับต่อไปได้ เพราะไม่มีซิงโครเมชช่วยจับเฟืองเกียร์ คุณต้องเหยียบคลัตช์ ปลดเกียร์ว่าง เหยียบคลัตช์ เร่งเครื่องให้สัมพันธ์กับความเร็วแล้วใส่เกียร์ ถอนคลัตช์ ถึงจะไปต่อได้ แค่คิดแค่เมื่อยเท้าแล้ว

ข้อมูลของรถ Oxford

  • บอดี้รถ ประตู ฝากระโปรงหน้า รวมถึงชิ้นส่วน Panel ของรถ อยู่ในสภาพเดิม บางชิ้นไม่เคยทำสีตั้งแต่ปี 1956
  • เครื่องยนต์เดิมพังพินาศไปแล้ว Adam Bennett ได้นำเครื่องยนต์ดีเซลตรงรุ่นมาติดตั้งใหม่
  • อัตราเร่ง 0-64 กิโลเมตรต่อชั่วโมง = 22 วินาที ความเร็วสูงสุด 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้ามีเนินลงช่วยจะได้ 96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  • ช่วงล่าง คานแข็งและแหน็บทั้ง 4 ล้อ
  • ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Shift-on-the-ground คือต้องลงจากรถไปขันและปลดดุมล้อเอาเอง

*หมายเหตุ – แมวกวัก และพวงมาลัยดอกไม้ เป็นอุปกรณ์เพิ่มพิเศษ

ปู่ Tim พูดถึงความตื่นเต้นในการได้กลับมาพบกับเจ้า Oxford คันเก่าของเขาอีกครั้งว่า “ครั้งสุดท้ายที่ผมขับเจ้ารถคันเก่าคันนี้อย่างจริงจัง มันผ่านมานานมาก ดังนั้น การได้เห็นรถคันเก่าอีกครั้งในวันนี้ มันทำให้ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เราจะออกเดินทางในครั้งนั้น ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้บอกกับเราว่าเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสภาพภูมิศาสตร์ และไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการเมืองเลย การเดินทางไม่น่าจะสำเร็จได้ แต่สิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นกลับทำให้เรามีความมุ่งมั่นมากขึ้น”

“สิ่งที่ผมตั้งใจไว้ก็คือปลายเดือนสิงหาคมผมจะขับรถคันนี้ออกจากสิงคโปร์กลับไปที่สหราชอาณาจักรอีกครั้ง ขณะที่ผมอายุมากขึ้น ผมถูกรบเร้าด้วยเสียงกระซิบที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ‘ลงมือทำเลย ก่อนที่จะสายเกินไป’ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมมาอยู่ที่นี่ในวันนี้ ผมอายุ 87 ปีแล้ว หากผมไม่ทำเสียแต่ตอนนี้ ผมอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำอีกเลย ท้ายที่สุด เมื่อเสียงกระซิบเตือนผมว่า ‘คุณมาที่นี่ได้เพียงครั้งเดียว’ ดังนั้น ผมหวังว่าจะได้ขับเจ้ารถคันเก่าหมายเลขทะเบียน SNX891 ในเดือนสิงหาคม การเดินทางครั้งนี้ก็คงจะเป็นเหมือนกับ ‘ชายชราคนนี้ช่วยพาหญิงชรากลับบ้าน’”

สำหรับเส้นทางที่ใช้ในการ “พาหญิงชรากลับบ้าน” นั้น จะแตกต่างจากเส้นทางเดิม เพราะในปี 1955-56 นั้น การขับ Land Rover ผ่านดินแดนคอมมิวนิสต์โซเวียต เป็นเรื่องยาก จริงต้องขับอ้อมภูเขาไปมาหลายลูก แต่ในปัจจุบันซึ่งรัสเซียเปิดประเทศแล้ว ทำให้ง่ายกว่าถ้าจะเดินทางผ่านเส้นทางใหม่ (สีแดง – ส่วนเส้นทางเดิมจะเป็นสีน้ำเงิน)

ทีม The Last Overland ได้เริ่มต้นการเดินทางของพวกเขา เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม จาก Marina Bay ประเทศสิงคโปร์ จากนั้นคณะเดินทางได้เดินทางจากหาดใหญ่ (ชายแดนของไทย) ไปยังจังหวัดสุราษฎร์ธานี หัวหิน และกรุงเทพ คณะเดินทางได้หยุดพักเป็นกรณีพิเศษที่ราชกรีฑาสโมสร เนื่องจากในปี 1955 คณะขอปู่ Tim ก็ได้เดินทางมาแวะที่นี่

ผู้ที่รอให้การต้อนรับที่ราชกรีฑาสโมสรได้แก่สมาชิกของสถานทูตอังกฤษ, สมาชิกของกลุ่มผู้ใช้รถยนต์แลนด์โรเวอร์ประเทศไทย, บริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์แลนด์โรเวอร์อย่างเป็นทางการ ที่ได้ให้ความดูแลการจัดการเป็นอย่างดี

ในภาพ เราจะไม่เห็นปู่ Tim เนื่องจากปู่ป่วยกระทันหัน จึงต้องเดินทางไปรักษาตัวที่อังกฤษชั่วคราวก่อนกลับมาร่วมทริปอีกครั้ง สำหรับท่านที่ต้องการติดตามให้กำลังใจคนและรถ ในการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์นี้ คุณสามารถติดตามพวกเขาได้ที่ เพจของ The Last Overland

https://www.facebook.com/thelastoverland/

ทั้งนี้ พวกเขามีกำหนดที่จะเดินทางถึงลอนดอนในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน มาร่วมเป็นกำลังใจ และเป็นสักขีพยานให้กับการเดินทางตามความฝันของคนที่มีความฝัน และรถ Land Rover Oxford ปี 1955 คันนี้กันครับ