Ford Ranger พร้อมกลับไปทำตลาดในสหรัฐอเมริกา อันเป็นประเทศบ้านเกิดแล้ว หลังมีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับกระบะคันนี้ โดยวางตำแหน่งให้เป็น Compact Pick-up (Mid-Size) ที่ยังคงแข็งแกร่ง เทียบเท่ากระบะรุ่นใหญ่ แต่คล่องตัว และ ประหยัดน้ำมันกว่า

ในอดีต Ford เคยผลิตรถกระบะ Mid-Size หรือก็คือ Ranger สำหรับตลาดอเมริกา มาตั้งแต่ปี 1983 และ สิ้นสุดการผลิตในปี 2012 สาเหตุที่ทำให้ Ford ต้องยุติการผลิต Ranger ลงในตอนนั้น เพราะ ยอดขายรถกระบะ Mid-Size หดตัวลงมากถ้าเทียบกับในอดีต อีกทั้ง Ford ก็ยังมี F-150 รถกระบะที่ขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องนำ Ranger โฉมใหม่รหัสพัฒนา T6 มาผลิตในประเทศอีกต่อไป

แต่ปี 2018 Ford ก็ตัดสินใจนำ Ranger กลับมาทำตลาดอีกครั้ง เพราะทุกวันนี้ตลาดกระบะ Compact Pick-up หรือ Mid-Size Truck ในสหรัฐอเมริกา กลับมามีบทบาทอีกครั้ง

หน้าตาของ Ford Ranger US Spec สำหรับประเทศสหรัฐฯ ยังคงเอกลักษณ์มาดแกร่งเอาไว้ โดยบอดี้ และ แชสซีส์ทั้งหมดก็คือ Ranger T6 เหมือนกับที่ขายทั่วโลก แต่มีการปรับงานดีไซน์ด้านหน้า และ ด้านหลังใหม่ โดยพยายามถอดแบบจากรุ่นพี่ F-150

ด้านหน้าเด่นด้วย ไฟหน้า Projectors Lens แบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED ที่ปรับรายละเอียดภายในโคม ไม่เหมือนกับ Everest ที่ขายทั่วโลก ส่วนรายละเอียดอื่นๆเช่น กระจังหน้า กันชนหน้า คิ้วซุ้มล้อก็ใช้สีเทา Gun Metallic ในการตกแต่งเพื่อเพิ่มความดุดัน

ด้านท้าย มาพร้อมกับไฟท้ายแบบ LED ซึ่งแน่นอนว่ารายละเอียดในโคมจะแตกต่างจาก Ranger ในบ้านเรา ฝากระบะออกแบบใหม่ให้มีสปอยเลอร์ในตัว ปั๊มตรา R A N G E R แบบนูนต่ำ ยาวตลอดแนว ส่วนกระจกบังลมหลังมีการเจาะช่องหน้าต่างเพิ่ม และ บนหลังคาติดตั้งเสาอากาศแบบครีบฉลาม Shark Fin

ภายในห้องโดยสารตกแต่งในโทนสีดำ รองรับผู้โดยสารสูงสุด 5 ตำแหน่ง พวงมาลัยก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เหมือนกับ Ranger Wildtrak ที่ขายอยู่ปัจจุบันทั่วโลก ชุดมาตรวัดเป็น หน้าจอแสดงผลแบบ Dual LCD ขนาดข้างมาตรวัดความเร็วตรงกลาง และ ขอแสดงความยินดีกับใครที่อยากได้ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start Button ใน Ranger ก็ได้มาสมใจอยากแล้ว เหมือนค่ายญี่ปุ่นที่มีมาให้แล้วเสียที ! นั่นก็รวมไปถึงระบบกุญแจ Smart Keyless Entry น่าจะมาเป็นแพ็คคู่ด้วยเช่นกัน

แดชบอร์ดกลางด้านบน บุนุ่มเดินตะเข็บด้ายจริง เพิ่มขนาดช่องใส่ของด้านหน้า มาพร้อมกับหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับระบบ SYNC3 ทั้งยังมีระบบ Wi-Fi ที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้ถึง 10 เครื่อง ในเวลาเดียวกัน ส่วนสิ่งที่น่าสนใจคือ มีชุดลำโพงจาก B&O หรือ Bang & Olufsen ให้เลือกติดตั้งเพิ่มด้วย

เบาะนั่งก็มีการปรับเปลี่ยนรูปทรงของตัวเบาะคู่หน้า และ รูปแบบการตกแต่งใหม่ ต่างจาก Ranger ที่ขายอยู่ปัจจุบัน จากภาพจะเห็นว่ามีการเสริมความหนาของฟองน้ำ ให้ดูแน่น และ นุ่มกว่าเดิม

นอกจากนี้ชุดคอนโซลกลาง บริเวณฐานเกียร์จนถึงที่วางแขน ดูผิวเผินอาจจะเหมือนที่ขายอยู่ปัจจุบันทั่วโลก แต่เมื่อมาดูรายละเอียดดีๆ จะพบว่า ช่องวางแก้วน้ำคู่จากวงกลม ถูกเปลี่ยนเป็นแบบเหลี่ยม คันเกียร์เองก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนไป แม้จะเป็นแบบถุงหุ้มหนัง แต่ส่วนของหัวเกียร์ถูกออกแบบใหม่ และ เพิ่มปุ่ม + – สำหรับการเปลี่ยนเกียร์แบบ Manaul Mode เหมือนที่อยู่ในรถเก๋งอย่าง Fiesta / Focus จากเดิมที่โยกคันเกียร์ขึ้น – ลงเพื่อเปลี่ยนเกียร์

สำหรับชุดสวิตซ์เปลี่ยนระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ – 4 ล้อ ที่เป็นปุ่มบิดหมุนขนาดเล็ก ก็ได้ทำการยกสวิตซ์ระบบขับเคลื่อนจาก Everest มาใส่ไว้แทน แต่รายละเอียดจะต่างจากของ Everest ตรงที่ของรุ่นพี่จะเป็นแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full Time พร้อมฟังก์ชั่น Terrain Management (Normal / Snow-Mud-Glass / Sand / Rock ) ไม่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นขับเคลื่อน 2 ล้อ 2WD ได้

แต่ใน Ranger US Spec คาดว่าจะเป็นขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Part – time ปกติ มีให้บิดเลือก 2H – 4H – 4L แต่มีปุ่มตรงกลางที่เขียนว่า TM ซึ่งอาจเป็นฟังก์ชั่น Terrain Management แบบชุดเล็ก (รายละเอียดยังเปิดเผยไม่ครบทั้งหมด)

ขุมพลังของ Ford Ranger US Spec สำหรับประเทศสหรัฐฯ เป็นเครื่องยนต์เบนซิน EcoBoost 2.3 ลิตร พร้อมระบบ Direct Injection และ เทอร์โบแบบ twin-scroll ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ แต่ยังไม่ได้ระบุตัวเลขสมรรถนะ คาดว่าน่าจะไม่ต่างจาก Ford Mustang EcoBoost ที่มีสเป็คเครื่องยนต์คล้ายกัน (Mustang เบนซิน 2.3 EcoBoost Turbo ให้กำลังสูงสุด 314 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 434 นิวตันเมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที)

ระบบความปลอดภัยที่น่าสนใจ มีมาให้หลายรายการทั้ง ระบบเบรกอัตโนมัติพร้อมตรวจจับคนเดินถนน, ระบบล็อคความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน และ ระบบ Trail Control ที่ทำหน้าที่เหมือน Cruise Control ทั่วไป สามารถเร่ง และ ลดความเร็วเองได้ แต่ระบบนี้ออกแบบมาไว้สำหรับทางวิบากโดยเฉพาะ โดยจะควบคุมความเร็วในแต่ละล้อด้วยตัวเอง เพื่อให้คนขับสามารถเพ่งสมาธิไปที่พวงมาลัย

platform ของ Ford Ranger สำหรับประเทศสหรัฐฯ เป็น frame ทำจากเหล็กแรงดึงสูง มีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ในรหัส FX2 และ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในรหัส FX4 ซึ่งอย่างหลังสามารถติดตั้งชุดแต่ง Off-Road Package เพิ่มได้ประกอบด้วย ช่วงล่างสำหรับทางวิบาก, ยาง All-terrain, แผ่นกันกระแทกใต้ท้องทั้งหน้า – หลัง และตราสัญลักษณ์ FX4

Ford Ranger สำหรับประเทศสหรัฐฯ มีให้เลือก 2 ตัวถังระหว่างแบบ SuperCab และ SuperCrew มีให้เลือกด้วยกัน 3 รุ่นย่อย ประกอบด้วย XL, XLT และ Lariat โดยรุ่นท็อปสามารถเลือกได้ว่า จะให้ตกแต่งภายนอกแบบ Chrome หรือ Sport สำหรับกำหนดการผลิตจะเริ่มต้นในช่วงปลายปี 2018 นี้ ที่โรงงานในรัฐ Michigan และ ออกจำหน่ายในช่วงต้นปีหน้า 2019 ดังนั้นรอติดตามชมข้อมูลเพิ่มเติมกันได้เลย

ที่มา: ford