ในที่สุดหลังจากที่รอกันมานาน เราก็มาถึงภาคจบของ 50 รถรุ่นดังในเมืองไทย 1985 – 2005 กันเสียที

คุณผู้อ่านหลายท่าน ได้ส่งข้อความหลังไมค์มายังผม พร้อมกับคำถามในบางสิ่งเกี่ยวกับบทความที่เขียนไป ผมต้องขอยืนยัน
อีกครั้งว่าการที่รถบางรุ่นไม่ได้ถูกรวมอยู่ในนี้นั้นไม่ได้เป็นเพราะว่ารถรุ่นนั้นๆไม่ดี หรือเป็นรถที่มีปัญหา (จริงๆแล้วรถที่เราเขียน
ถึงบางรุ่นก็ใช่ว่าจะปลอดปัญหาเลยเสียทีเดียว) แต่นี่คือการมองจากมุมมองของผม และ J!MMY ซึ่งแม้เราสองคนจะยังไม่เข้า
วัยแซยิด แต่เราทั้งคู่เกิดทัน และได้ใช้ชีวิตที่เติบโตมาพร้อมกับรถเหล่านี้มาโดยตลอด และพวกเราเองก็อาศัยความบ้าส่วนตัว
ในการแสดงความคิดเห็น รวบรวมข้อมูล นั่งคุยนั่งเถียงกันจนเป็นที่มาของบทความที่ท่านเห็นอยู่นี้ ฉะนั้นมุมมองของท่าน กับ
ของกระผมอาจจะมีความประทับใจกับรถบางรุ่นในแง่มุมที่ต่างกัน จงอย่าคิดมากครับ สิ่งที่เขียนนี้ไม่ได้บอกว่ารถเหล่านี้ดีเลิศ
ประเสริฐล้ำไปเสียทุกด้านหรอกครับ แต่เรามองความสำคัญที่มันมีต่อประวัติศาสตร์รถไทยยุคโมเดิร์นที่ผ่านมา และหลังจากที่
รอให้คนอื่นเขียนถึงรถเหล่านี้ให้เราอ่านไม่ไหวแล้ว เพราะไม่มีใครเขียนสักที ก็เลยขออาสาทำเสียเอง เผื่อจะมีคนอยากลองทำ
ในเวอร์ชั่นของพวกเขาเองบ้าง แล้วนำมาแชร์มุมมองที่ต่างกัน แบ่งปันกันบนพื้นฐานความชอบในเจ้าสี่ล้อทั้งหลายเหมือนกัน

บางท่านก็บอกว่าดีใจที่บทความมีรถธรรมดาๆเยอะเหลือเกิน (อันนี้ประชดหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ) เพราะตอนแรกที่ได้ยินว่าจะทำ
บทความ เขานึกไว้ก่อนแล้วว่า ตาเถรที่รัก มันต้องมีแต่พวก Lamborghini, Ferrari, Porsche และซูเปอร์คาร์กับไฮโซคาร์ทั้ง
มวลเป็นแน่แท้ ไม่ใช่! เพราะรถเหล่านี้มีบางรุ่นเท่านั้นที่เรียกได้ว่าน่าจับขึ้นทำเนียบด้วยการจุดประกายความฝันให้เราอยากได้
อยากลูบ อยากคลำ แต่ทั้งประเทศมีคนได้คลำอยู่ไม่กี่คน ถ้าเป็นเช่นนี้เราจะให้ความสำคัญมันเกินไปกว่ารถยนต์ธรรมดาหนึ่งรุ่น
ที่นำพาครอบครัวนับพันทั้งประเทศไปมาหาสู่กันไม่ได้กระมัง?This is a story of 50 legendary cars..not only exotic cars
นะจ๊ะ

ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเสนอแนะความเห็นกันเข้ามาจากใจจริงครับ เพื่อเป็นการตอบแทน เรามาดูครึ่งหลังของบทความชุด
นี้กันเลยดีกว่า


Nissan Sunny B11 (Sunny FF): รถคันแรกของครอบครัวและคันแรกของวัยทะโมน

J!MMY : เป็นรถรุ่่นนึงที่ข้าพเจ้าผูกพันมาก เพราะอย่างน้อย มันเคย เป็นพาหนะ รับส่ง จากบ้าน ไป โรงเรียน ตั้งแต่ ป.3 ยัน
ม.4 มีงอแงจอดเสียบนทางด่วนบ้าง 2 ครั้ง ตอนเช้า ชั่วโมงรถติดเลยนั่นแหละ อันที่จริง รถรุ่นนี้ เปิดตัวบ้านเราประมาณปี
1983 ลากขายถึง มีนาคม 1996 เลยทีเดียว  ดังนั้นพูดได้เลยว่าเป็นหนึ่งในรถที่ถูกลากขายนานที่สุด รุ่นหนึ่งในบ้านเรา คือ
13 ปี แทบจะในทันทีที่เปิดตัว Sunny B11 กลายเป็นรถยอดฮิตในกลุ่มลูกค้าที่เริ่มมีรถคันแรกทั้งคนโสดและคนที่มีครอบครัว
สมัยต่อมา ราวปี 1988 คุณรัชนก พูนผลินเล่นโฆษณาให้กับรถรุ่นนี้จนกลายเป็นผลงานที่ช่วยแจ้งเกิดให้เธอเลยก็ว่าได้ สยาม
กลการตั้งราคาขายเอาไว้ตั้งแต่ 2 แสนกว่าจนถึง 395,000 บาท ในช่วงปลายอายุตลาด เหตุผลที่คนชอบเรียกว่า Sunny FF
ก็เพราะว่ามันเป็น Sunny ขับหน้ารุ่นแรกในบ้านเรา ความที่รูปทรงสวย ประหยัดน้ำมัน ดูแลง่าย เลยกลายเป็นที่นิยมมากขนาด
คุณแอม เสาวลักษณ์ ลีละบุตร นักร้องนำวง สาว สาว สาวก็เคยถอยรุ่นคูเป้ สีแดงมาใช้ ออพชั่นแทบไม่ค่อยเปลี่ยนตลอด 10
ปีหลังที่ทำตลาด สิ่งที่เปลี่ยนไป ตามกาลเวลา มีเพียงวิทยุ เบาะหนังวีนีล พวงมาลัย กระจังหน้า (สารพัดลายจนจำไม่ไหว)
และขายได้ในราคาแบบนั้น ขายดีจนกระทั่งนิสสันต้องตัดสินใจยอมใช้ชื่อ Sentra กับรถรุ่นเปลี่ยนโฉมเพื่อให้ Sunny FF
สามารถทำตลาดกลุ่มลูกค้าเบี้ยน้อยหอยน้อยต่อไปได้ จนกระทั่งการมาถึงของ Sunny โฉม B14 ในเดือนพฤษภาคม 1995

Commander CHENG : Sunny FF มีขายหลายรุ่นหลายแบบ ในยุคต้นๆสำหรับคนที่รักสบายก็มีรุ่น 1.5 ลิตรเกียร์อัตโนมัติ
ให้เลือก จากนั้นก็มีรุ่น Laurel Spirit ที่เป็นกระจังหน้าลายฝาปิดท่อประปา..แต่สวยนะ หลังไมเนอร์เชนจ์ก็มีรุ่นเกียร์ธรรมดา 4
สปีดและ 5 สปีด

แต่ที่ชอบที่สุด และเป็นรถที่พ่อผมเคยซื้อให้แม่ขับเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว ก็คือรุ่น 3 ประตูแฮทช์แบ็ค (แต่งงว่าทำไมคนชอบ
เรียกว่า Sunny Coupe นะ) ด้านหน้าก็เหมือน Sunny 4 ประตูทั่วไปนี่ล่ะ แต่ด้านท้ายสปอร์ตเนียน สวยกว่ากันแบบคนละเรื่อง
ใช้เครื่อง E15 1.5 ลิตรที่แรงกว่ารุ่นธรรมดา และให้เกียร์ธรรมดา 5 สปีด วัยรุ่นชายสมัยนั้นกรี๊ดป่าแทบราบด้วยความอยากได้
เรียกว่าถ้าเอนท์ติดเมื่อไหร่ ผู้ปกครองเตรียมร้อนๆหนาวๆกันได้เพราะไอ้ลูกชายของพ่อน่ะ มันต้องขอเจ้าสิ่งนี้เป็นของขวัญแน่
นอน

J!MMY : ลืมบอกไปนิดนึง ตัวถัง สเตชันแวกอน 5 ประตูในรูปนี้ แม้สยามกลการ จะไม่เคยสั่งมาขาย แต่ก็มีหลุดรอดจากญี่ปุ่น
เข้ามาวิ่งเล่นในบ้านเราอยู่หลายคันเหมือนกันนะ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย อีกอย่างนึงก็คือ ในหนังโฆษณาทางโทรทัศน์ เรื่องก่อน
หน้าที่คุณรัชนก พูลผลิน จะมาแสดงให้นั้น เป็นหนังในสไตล์ คู่หนุ่มสาว ชายหญิง แล้วมีเพลงประกอบ เป็นเพลงญี่ปุ่นชื่อว่า
First Memory ที่เหมาะสมกับบุคลิกตัวรถ และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของมัน ชะมัดยาด ใครที่พอรู้ว่า เป็นของศิลปินญี่ปุ่น วง
อะไร ช่วยบอกผมทีเถอะนะครับ กำลังตามหากลับมาฟังอยู่ หลังจากที่เคยติดใจเมื่อฟังครั้งแรก ตอนยังเด็กอยู่ นี่เอาจริงนะ!

———————————————————————————————————-

Nissan Cefiro A31: ตำนานซีดานหรูพ่วงโซนาร์หาปลา ไปๆมาๆกลายเป็นรถแข่งเฉยเลย

J!MMY : Cefiro A31 เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 13 มีนาคมปี 1990 ด้วยสโลแกน “ลีลาแห่งอนาคต” ถือเป็นรถยนต์ Nissan 1
ในหลายๆรุ่น ที่สร้างตำนานให้กับตลาดรถในเมืองไทยเอาไว้ ตั้งแต่ก่อนจะนำมาขึ้นไลน์ประกอบในประเทศไทยเลยทีเดียว
เพราะแท้จริงแล้ว A31 เป็นรถที่ผลิตขึ้นมาเพื่อตลาดญี่ปุ่นเท่านั้น แต่คณะผู้บริหารไทยได้มีโอกาสยลโฉมมันและมองเห็นลู่ทาง
ในการทำตลาด จึงพยายามสุดความสามารถในการนำมันมาประกอบขายในไทยให้ได้ แม้จะได้ไฟเขียวให้กับคำขอนี้แล้ว
ทีมงานสยามกลการ ในยุคคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช อันมีกุนซือเป็น คุณประพัฒน์ เกตุมงคล พยายามงัดข้อกับ Product
Planning ของ Nissan ที่ญี่ปุ่นอย่างถึงพริกถึงขิง เพราะทางญี่ปุ่นเล่นแทงกั๊ก ให้เครื่องสเป็คเก่า RB20E บล็อก 6 สูบ SOHC
12 วาล์ว 2.0 ลิตร 121 แรงม้า (PS) มาให้ใช้ แถมจะไม่ให้ออพชั่นอะไรเลยมาด้วยซ้ำ ฝ่ายไทยเลยอัดกลับ ด้วยอารมณ์
ประมาณว่า “ถ้าจะให้ของเล่นมาแค่นี้ก็ไม่ต้องมาขายกันเลยดีกว่า” งัดข้อจนในที่สุดทางญี่ปุ่นก็ยอม และให้ของเล่นติดรถมา
มากขึ้น ซึ่งในภายหลังมันกลายเป็นจุดเด่นในการขายของรถรุ่นนี้ เช่นช่วงล่าง DUET-SS มีโซนาร์ซึ่งปรับช่วงล่างแข็ง-อ่อนได้
(รถ Mass Market ในบ้านเราไม่เคยมีแบบนี้มาก่อน)

ตอนเปิดตัวมามีราคา 1 ล้านบาทเศษ แพงกว่ารถญี่ปุ่นขนาดเครื่องยนต์ และตัวถังใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังขายดีเป็น
เทน้ำเทท่า ถือเป็นรถรุ่นดังในเมืองไทย ณ ยุคสมัย ปี 1990 กันเลยทีเดียว ใครซื้อมาขับ เป็นต้องถูกเพื่อนร่วมถนนมองค้อน
จนเหลียวหลัง ยิ่งช่วงหลังปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ยิ่งราคาลดลงมาเหลือ 7 แสนปลายๆ ก็เลยยิ่งขายดีไปกันใหญ่ (ท่าม
กลางอารมณ์เสียใจ ปนเซ็ง ของคนที่ซื้อไปขับก่อนหน้านั้น) หลังจากนั้นในปี 1992 ก็มีรุ่น 24 วาล์วตามมาอย่างที่ว่าไว้ เสริม
ให้ว่ารถ 24 วาล์วนั้นไฟหน้าจะเป็นสีขาวจัดกว่า 12 วาล์ว กระจังหน้าจะเป็นแบบช่องเดียว และไฟท้ายก็จะมีรูปแบบไม่เหมือน
กับ 12 วาล์ว มีเบาะปรับไฟฟ้าด้านคนขับ พวงมาลัย 4 ก้าน และภายในหุ้มด้วยหนังสีดำ ปี 1994 มีการไมเนอร์เชนจ์ครั้งสุด
ท้ายโดยทั้งรุ่น 12 และ 24 วาล์วได้กระจังหน้าใหม่ และไฟท้ายที่เป็นสีแดงสดขึ้น พวงมาลัยเป็นแบบ 4 ก้านทั้ง 2 รุ่น ทำ
ตลาดต่อมาอีก 2 ปีก่อนจะถูกแทนที่ด้วย “ลีลาแห่งอดีตกาล” อย่าง Cefiro A32 ในเดือนสิงหาคม 1997

Commander CHENG : ในช่วงที่เปิดตัวแรกๆนั้นความสวยเปรียวของมันทำให้ถูกจับจองโดยคน (เกือบ) รวย ไปจนถึงคน
ในวงการบันเทิงมากมาย เสี่ยตา ปัญญา นิรันดร์กุล, คุณแหม่ม จินตรา สุขพัฒน์ และคุณโอ วรุฒ วรธรรมก็เป็นดาราที่เป็นเจ้า
ของ A31 โดยเฉพาะคุณโอ นี่เคยมีข่าวไปจอดติดสี่แยกไฟแดง แล้วก็หลับสนิทคาพวงมาลัยจนเจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องทุบกระจก
ปลุก…แล้วก็ไม่ต้องแปลกใจที่มันจะกลายเป็นรถคันโปรดของหัวขโมย ก็เล่นทรงบาดใจแถมทันสมัยซะขนาดนั้น ที่บางคน
ชอบพูดติดตลกว่ามันขโมยเอาโซนาร์ไปติดเรือหาปลา แต่ที่จริงโซนาร์ของ DUET-SS ใน A31 นั้นมีไว้อ่านความเรียบของพื้น
ถนนและปรับโช้คอัพให้นุ่ม-แข็งเหมาะกับ สถานการณ์ A31 ทันสมัยมาก แต่เครื่องยนต์ของมันกลับเป็นแบบ 2 วาล์วต่อสูบ
ธรรมดาๆ 121 แรงม้าที่วิ่งสู้รถเล็กยังแทบจะไม่ได้ ในภายหลังจึงมีรุ่น 24 วาล์ว 152 แรงม้าตามออกมาในปลายปี 92 และนั่น
คือรถประกอบในประเทศรุ่นแรกของไทยที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด 10 ปีหลังจากนั้นมันก็ยังเป็นที่นิยมอยู่เพราะการเป็นรถขับ
หลัง และห้องเครื่องที่ยาวจนวางเครื่อง 6 สูบเรียงได้ ทำให้มันเป็นที่นิยมในการนำมาโมดิฟาย ถ้า 200SX เป็นเจ้าสนามดริฟท์
ไอ้ A31 นี่ก็เป็นเจ้าแห่งสนามควอเตอร์ไมล์ ไปคลองห้าเมื่อไหร่เป็นเจอ

ที่ สงสัยอยู่อย่างหนึ่งเกี่ยวกับ A31 นี่ก็คือ..ท่าทางมันจะเป็นที่ออกแบบมาโดยอาศัยแนวคิด “Man minimum, Machine
Maximum”หรือเปล่าหว่า เพราะรถกว้าง 1.695 เมตร ยาว 4.675 เมตร แต่ภายในแคบบรรลัย ยิ่งเบาะหลังนั้นแคบแบบแมว
ดิ้นตาย แต่ห้องเครื่องยาว ใหญ่ และกว้าง พูดง่ายๆคือออกแบบรถมาเหมือนเอาใจเครื่องยนต์มากกว่าผู้โดยสารงั้นเถอะ

J!MMY: แต่อย่างไรก็ตาม จนถึงทุกวันนี้ ยากที่เราจะปฏิเสธได้ว่า มันยังคงดูสวย และไม่ได้ดูล้าสมัยไปเลย แม้จะเลิกผลิตไป
ตั้ง 15 ปีแล้วก็ตามเถอะ (นี่เราว่ากันเฉพาะรถคันที่ยังคงสภาพดีอยู่ และเจอปัญหา หลังคาขึ้นสนิมไม่มากนัก เท่านั้นนะ)

———————————————————————————————————-

Nissan Skyline GT-R : The King of Drag Racing

J!MMY : จริงๆแล้วรถรุ่นนี้ผมว่า ไม่น่าจะบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทยเท่าไหร่ เพราะว่า มันไม่ใช่รถที่ผู้คนทั่วไปรู้จักกันนัก
มีแค่กลุ่มคนบ้ารถ เช่นพวกเรา หรือกลุ่มที่ชอบยืนเกาะสนามแดร๊ก ทั้งหลาย จะกรี๊ดกร๊าดกัน เมื่อได้เห็น หรือแค่ได้ยินเสียง
เครื่อง RB26DETT บล็อก 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 2.6 ลิตร 280 แรงม้า (PS) ของมัน ที่ผ่านการโมดิฟาย จนม้าในคอก
ทะลุ 500 ตัวขึ้นไปแล้ว หรือแพนมีความเห็นว่ายังไง?

Commander CHENG : ไม่พูดถึงก็บ้าแล้ว มันนี่ล่ะคือก้าวหนึ่งของสปอร์ตญี่ปุ่นในการยืนหยัดสู้รถสปอร์ตจากยุโรป และเป็น
ตัวปลุกปั่นกระแสบ้าพลังในโลกมอเตอร์สปอร์ต ใช่..เราอาจจะไม่ได้เห็นมันบ่อยๆบนท้องถนน แต่เราก็ไม่ได้เห็น Ferrari หรือ
Porsche บนถนนบ่อยเช่นกัน แต่ถ้าพูดถึงสนามแข่งหรือโลกของมอเตอร์สปอร์ต R32 เป็นนับว่าเป็นอสูรในสนามแข่งเลยก็ว่า
ได้ และคนไทยเราก็เคยใช้มันวาดลวดลายในสนามแข่งระดับนานาชาติมาตั้งแต่เกือบ 20 ปีก่อนหน้านี้ จำชื่อนี้ได้บ้างไหม? พี่
ปั้น พฤติรัตน์ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ กับพี่แมน มานิตย์ สองท่านนี้ควบ Skyline R32 ลงแข่งรายการ SEA Touring Car ตั้งแต่
ช่วงต้นยุค 90 หรือถ้าใครไม่รู้จักรายการแข่งเซอร์กิตแบบนั้น ผมจะลองเอ่ยอีกชื่อนึง.. ป๊อปปิ ฐิติพันธ์ สุทธิสัมพันธ์ ผู้ซึ่งมี
ความโด่งดังในโลกวงการแดร็กในช่วงใกล้เปลี่ยนศตวรรษ ใช้ Skyline R32 เป็นรถแข่ง ซึ่งถูกปรับจูนมาอย่างเต็มพิกัด ลงทุน
จ่ายค่าแรงจ้างเจ้าสำนักชาวญี่ปุ่นอย่างคุณโคยาม่า จากสำนัก JUN มาเป็นคนจูนเครื่องให้โดยแลกกับค่าแรงมหาโหดระดับ
ชั่วโมงละ 20,000 บาท ส่วนตัวเครื่อง RB26DETT นั้นประกอบโดยช่างฑูรย์ ว่ากันว่ารถคันนี้มีพลังแตะระดับ 1,000 แรงม้า
และทุกครั้งที่มีการประกาศว่าคุณป๊อปปิจะวิ่ง ผู้คนจะให้ความสนใจมาดูกันมากเป็นพิเศษ เพื่อที่จะมาลุ้นกันว่า R32 คันนี้จะตอก
เวลาเลขตัวเดียว (วิ่งควอเตอร์ไมล์ได้เร็วกว่า 10 วินาที) หรือไม่

กระแสดังกล่าวปลุกปั่นและยั่วยุให้มีการพัฒนาฝีมือในการทำรถแข่งแบบจริงจังโดยมีเป้าหมายเพื่อทำเวลาวิ่งให้ชนะรถพันม้า
คันนี้ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีคนเอาชนะมันได้ในที่สุดเพราะ R32 ไม่ได้มีแค่คันเดียวนี่นา ในยุคคลอง 5 เปิดใหม่เมื่อหลายปี
ก่อน หากเป็นการแข่งขันในรุ่น Open ที่ประกาศศักดากันในด้านพลังและความเร็วกันอย่างเต็มพิกัด ก็จะมี R32 เป็นผู้เข้าร่วม
ปี 2006 ระเด่น เศรษฐพาณิชย์ หรือที่รู้จักกันในนามนาย D แห่ง Speed D ใช้รถ R32 ที่โมดิฟายจนได้ 1,200 แรงม้า ตอก
เวลา 8.324 วิ ลงใน Record ของประเทศ แรงมากจนฝากระโปรงหลุดกระเด็นก่อนเข้าเส้น ลอยไปในอากาศสูง 15 เมตร
และร่มชูชีพท้ายรถไม่กาง ผล? รถก็มิดดิครับ

J!MMY : เรียกได้ว่าเป็นแรงบันดาลใจให้สิงห์สนามและคนข้างสนามว่างั้นเถอะ จะว่าไปแล้วก็ไม่เคยมี GT-R ถูกนำเข้ามา
ขายอย่างเป็นทางการนะ ไม่ว่าจะเป็น R ไหนก็ตาม แต่ในช่วงปี 1992 มีบริษัท เอม มอเตอร์สปอร์ต นำเอารุ่น GTS-t เครื่อง
RB20DET 215 แรงม้าเข้ามาจำหน่าย แต่ไม่มีใครบันทึกไว้ว่าขายไปได้กี่คัน

———————————————————————————————————-

Nissan Fairlady Z : ที่สุดของแจ้ ที่สุดของนิสสัน

Commander CHENG: ต้องขอบคุณมิสเตอร์บีน เอ้ย ไม่ใช่ คุณ Carlos Ghosn แห่ง Nissan ที่ไฟเขียวให้มีโครงการชุบ
ชีวิต Z เพื่อกลับมาวาดลวดลายบนท้องถนนอีกครั้ง และกลายเป็นว่า 350Z เป็นที่นิยมในคนหมู่กว้างตั้งแต่คนบ้ารถเข้าขั้น
ไปจนถึงไฮโซที่อยากเปลี่ยนรสชาติในการขับขี่มาลองตำนานญี่ปุ่นดูบ้าง แน่นอนว่าวัสดุภายในของมันแทบจะไม่ต่างจากรถ
บ้านราคาล้านบาท และการประกอบในบางส่วนยังไม่จัดว่าพิถีพิถันนัก และน้ำหนักของตัวรถไม่ได้เบาอย่างที่หลายคนคิด
(ด้วยพิกัด 1.5 ตัน มันเบากว่า Toyota Supra Twinturbo แค่ไม่กี่สิบกิโลเท่านั้น)

แต่สิ่งที่น้อยคนนักจะรู้เกี่ยวกับ Z ก็คือแม้รูปทรงจะดูแล้วไม่ธรรมดาขนาดไหน การบำรุงรักษาของมันไม่ได้กินทรัพยากรเงิน
มากอย่างที่คิดเลยในรุ่นแรกที่ใช้เครื่อง VQ35DE ส่วนรุ่นหลังที่เป็นเครื่อง VQ35HR นั้นมีความซับซ้อนในระบบสายไฟที่ทำ
ให้เล่นกับมันได้ยากขึ้น  อย่างไรก็ตาม Z เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าแม้จะมีค่าตัวทะลุ 4 ล้าน และเป็นรถญี่ปุ่น แต่ก็มีแฟนๆที่พร้อมควัก
กระเป๋ายอมซื้อจำนวนไม่น้อยและส่งผลให้สามารถก่อตั้งเป็น Community ผู้ใช้ Fairlady ซึ่งมีขนาดไม่เล็กเลย พี่แถม TKF
เจ้าของดีลเลอร์ Nissan กระทุ่มแบน ที่เราเคยสัมภาษณ์ไปตั้งแต่ปีที่แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่รัก Z เข้าขั้น ที่คอยซัพพอร์ตอยู่

J!MMY: แต่สำหรับผมแล้ว รถที่แสดงให้เห็นถึงการกลับมาของ Z อย่างเต็มภาคภูมิน่าจะเป็น 300ZX ตัว Z32 มากกว่า
เพราะในยุคต้นทศวรรษ 90 สยามกลการเข้าเอาเจ้าตัวนี้เข้ามาโชว์ตั้งแต่ยุคที่ยังไม่เปิดรถนำเข้าเสรีด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ มันก็ยัง
ครองความเป็น Nissan 1 ในไม่กี่รุ่น ที่ผมยังอยากเป็นเจ้าของอยู่ จนถึงทุหวันนี้ แม้จะอุ้ยอ้ายขนาดไหนก็ตาม

สมัยนั้น การที่มีรูปทรงเฉี่ยวแหลมแบนราบ วางเครื่อง V6 ทวินเทอร์โบ 280 แรงม้าที่ว่ากันว่าปลดล็อคความเร็วแล้วสามารถ
วิ่งได้ 270 ก.ม./ช.ม. (นั่นคือสิ่งที่คนสมัยนั้นพูดกัน แต่ทำได้จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ 300ZX มาพร้อมด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าท่วมคัน
เรียกว่าตกน้ำทีโดนไฟช็อตดิ้นเลย (ล้อเล่นน่ะ) มันเป็นสิ่งที่เกินกว่าคนทั่วไปจะบรรยายได้ สมัยนั้นคนไทยส่วนมากยังไม่รู้จักรถ
อย่าง NSX และ RX-7 รุ่น FD ก็ยังไม่เปิดตัว Supra จอมพลังปีกหลังสูง นั่นก็ยังไม่โผล่มาให้เห็น เป็นใครมาเจอ 300ZX
ก็ต้องทึ่งกันทั้งนั้น

และที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือในที่สุดรถรุ่นนี้ก็ถูกนำเข้ามาขายโดยสยามกลการเองจริงๆ! โดยสั่งเข้ามาอวดโฉมเป็นดาวเด่นกลาง
งาน Bangkok International Motor Show 1991 กันก่อน และในช่วงปี 1992 ทางสยามกลการ ก็เลยสั่งเข้ามาขาย ในโชว์
รูม Nissan ที่ขายเฉพาะรถนำเข้า ร่วมกับทั้ง 200SX Presea และ รถตู้ Serena รุ่นแรก โชว์รูมนั้น มีชื่อว่า Nissan Pavillion
ตั้งอยู่บนถนนชิดลม (ปัจจุบันนี้ กลายสภาพเป็นร้าน McDonalds ไปแล้ว) แถมในช่วงนั้นมีการประกวดนางงามจักรวาล ช่วง
เวาเดียวกับที่ มีเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ พอดีเป๊ะ ทางผู้จัดงาน (เมืองนอก ก็เลยมาดีลกับสยามกลการเมืองไทย จนมีการส่ง
มอบ 300ZX ให้กับนางงามจักรวาล เป็นของรางวัลติดมือกลับประเทศอีกด้วย

Commander CHENG : ใช่…เป็นรุ่นเครื่องหายใจธรรมดา 230 แรงม้ากับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด.. คนที่อยากเล่นรุ่นเทอร์โบ
ในตอนนั้น ก็ต้องหมุนโทรศัพท์หา เอม มอเตอร์ สปอร์ตเอา นอกจากนางงามแล้วคงมีไม่กี่คนหรอกที่อยากขับ Fairlady ทรง
เฉี่ยวแล้วพอกดคันเร่งกลับไล่ตาม 200SX เกียร์ธรรมดาราคาล้านเดียวไม่ได้ แต่ส่วนรุ่นเทอร์โบนั้นวิ่งใช่เล่นนะ ไวกว่า
3000GT แต่แพ้ Supra เพราะเกียร์ไม่ได้มี 6 สปีดเหมือนชาวบ้าน เห็นด้วยเรื่องที่ 300ZX เป็นรถคันหนึ่งที่น่าจดจำ ผมเองยัง
อยากได้มาไว้สักคัน แต่ก็อยากได้ 350Z ด้วยเหมือนกัน สรุป ฝันต่อไป..ทาเคชิ

J!MMY : ทาเคชิ นี่ใครวะ เป็นเพื่อนกับ ทาคูมิ หรือเปล่า?

Commander CHENG : เปล่า เป็นเพื่อนของพ่อของน้าของคนข้างบ้านของคุณเอ็ดเวิร์ด สเตฟาน เต๊กเฮงหยู..มั้ง

———————————————————————————————————-

Nissan 200SX/Silvia : ญี่ปุ่นมี AE86 เมืองไทยก็มีเจ้าสองสหายนี่แหละ

Commander CHENG : เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีงานดริฟท์ที่ไหนจะขาดรถสองรุ่นนี้ไปได้ ลองนึกดูสิว่าวงการดริฟท์ใน
ประเทศไทยที่เป็นอยู่ทุกวันนี้จะเป็นอย่างไรหากเราไม่มี 200SX? จากผลิตผลคูเป้สไตล์สปอร์ตเครื่องวางหน้าขับหลังของ
Nissan ที่ราคาถูกพอให้คนบางส่วนเอื้อมมือคว้ามาไว้ได้ (ราคาเริ่มต้นต่ำกว่าล้าน!) แม้บ้านเราจะไม่มีการนำ Silvia S13 เข้ามา
จำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่ 200SX นั้นได้รับโอกาสแจ้งเกิดโดยยุคนำเข้าเสรี ไม่นานหลังจากเปิดตัว นักเล่นรถหลายคนก็
เอามาปรับแต่งโมดิฟายจนกลายเป็นรถในฝันของหลายคนที่เงินไม่ถึง บางท่านเช่นคุณอั๋น Kansai (ปัจจุบันคือคุณอั๋น ATP)
ได้นำเครื่องเดิม 1.8 ลิตรมาโมดิฟายจนม้าแตะ 500 ตัว นี่คือในยุคแดร็กก่อนคลองห้าจะเกิดนานเลยนะ ส่วนในปัจจุบัน
นักดริฟท์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในวงการหลายคนฝากชีวิตไว้กับรถตระกูลนี้ทั้งนั้น คุณมิก PTT ดีเจเดย์ PTT หรือจอมกวาดท้าย
จากช่วงเปลี่ยนสหัสวรรษอย่างคุณป๊อบ P-Style ทุกวันนี้การหารถสภาพดีมาใช้เริ่มจะยากเข้าทุกที คนชอบรถขับหลังไม่ควร
พลาด แต่เห็นราคาแล้วอย่าตกใจนะ รถอะไรก็ไม่รู้ อายุ 16-17 ปี ราคาแม่(ง) ตกลงไปจากตอนป้ายแดงแค่ครึ่งเดียว ใครบอก
Nissan ราคาขายต่อตกวะ? คงไม่ใช่รุ่นนี้มั้งครับ

J!MMY : สยามกลการ ไม่เคยนำเข้ามาขายอย่างเป็นทางการ กระนั้น พวกเขาก็เคยจับมาขึ้นแท่นหมุน อวดโฉมให้คนไทยดู
กันเป็นบุญตา ในงาน Bangkok International Motor Show มีนาคม 1989 นั่นละ ส่วนรถรุ่น S13 ตัวถังปกติ ที่เห็นวิ่งกันอยู่
ทุกวันนี้ก็เป็นผลงานของเกรย์มาร์เก็ตนำเข้ามาเสียส่วน มาก ถ้าใครอ่านหนังสือการ์ตูนประจำคงจำกันได้ว่าหนังสือเรื่อง
“อ้วนซ่าขาซิ่ง”นั้นพระเอกของเรื่องขับ S13 ผีสิงที่ช่วยปลุกปั้นให้เขากลายเป็นนักซิ่งในตำนานแห่งเมืองคาวาโกเอะ

ส่วน 200SX น่ะ สยามกลการเอาเข้ามาขายอย่างไม่น่าเชื่อว่า she จะกล้า สเป็คที่เข้ามาเป็นสเป็คออสเตรเลีย CA18DET
171 แรงม้า สมรรถนะไม่เลวเลย ขับสนุก ท้ายปัดมันส์สะใจ ความนิยมในตัวรถไม่เคยลดลงเลยในแต่ละวัน แล้วนั่นก็ทำให้ราคา
มือสองไม่มีวันตกจนถึงปัจจุบัน (ผ่านไป 18 ปี ราคาตกแค่ราว 50%..) แต่ตลกก็ตรงที่รถในไทยใช้เลข “200SX” แต่กลับได้
เครื่อง 1.8 ลิตร ในอเมริกาเหนือ เรียกมันว่า “240SX” ส่วนรถรุ่นเดียวกันนี้ ที่ญี่ปุ่นเรียกว่า “180SX” แต่กลับได้เครื่องใหม่
SR20DET 205 แรงม้ามาใช้ (และในช่วงที่เปิดตัวในไทยนั้นเครื่อง SR ได้วางขายในญี่ปุ่นมานานแล้วเหมือนกัน) อันที่จริงคง
เป็นเหตุผลเรื่องที่ว่าสภาพอากาศ คุณภาพน้ำมัน และสิ่งแวดล้อมโดยรวมของบ้านเรานั้นมีความคล้ายกับออสเตรเลีย เราจึงได้
เครื่องสเป็คเดียวกันกับเขา..น่าเสียดายนะ ว่าไหมแพน?

Commande CHENG: สงสัยเป็นโรคกล้าแบบยักแย่ยักยันน่ะ 55 แต่พูดก็พูดเถอะ ถ้าตอนเข้ามานั้นเป็น 205 แรงม้าตั้งแต่
แรกก็ดีน่ะสิ แต่ถึงจะมี 171 ม้าก็ขายดีใช้ได้เลยนะ เราต้องไม่ลืมว่า 200SX S13 นั้นขายในบ้านเราอยู่แค่ไม่กี่ปี พอปี 1995
สยามกลการก็เอารุ่น S14 เข้ามาแทน ทีงี้ล่ะมาเป็นแบบ 200 แรงม้าเครื่อง SR20DET เชียวแต่กลับขายไม่ดีเท่ารุ่นเดิมเพราะ
หน้าตาไม่โฉบเฉี่ยวและราคาแพงขึ้นพอสมควร ยังไงเสีย ตำแหน่งตำนานดริฟท์กับตำนานรถ เราขอฟันธงให้ S13 ชนะในเรื่องนี้
อย่างไม่ต้องสงสัย

————————————————————————————————————-

Opel Corsa: วงสวิงสวยๆที่ตีได้ดีแค่ 9 หลุมแรก..หลังจากนั้น..อืม

J!MMY : รถท้ายตัดเคยมีมาขายก่อนหน้าปี 1990 หลายรุ่นอยู่ และพวกมันก็หายไปจากตลาด นานไม่ใช่เล่น แต่เมื่อรัฐบาล
ของ ฯพณฯ อานันท์ ปัณยารชุน ลดอัตราภาษีนำเข้าลงในปี 1992 Opel Corsa ก็เป็นหนึ่งในรถที่เข้ามาในประเทศไทยพร้อมๆ
กับ Calibra และ Omega สิ่งที่ออกจะเหลือเชื่ออย่างหนึ่งก็คือแบรนด์ Opel ของ พระนครยนตรการซึ่งสมัยนั้นนอกจากรุ่น
Kadette ที่ขายได้ทีละน้อยละนิดมาเรื่อยๆแล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษ

แต่การมาของ Corsa นั้นสร้างกระแสรถยุโรปราคาโ-ค-ต-รจะถูก เรียกได้ว่า เป็นรถยุโรป ที่มีป้ายราคาถูกที่สุด ในช่วงปี 1993
– 1995 ส่งผลให้มียอดขายดีเกินคาดสำหรับรถที่หน้าตาน่ารัก แต่ใช้เครื่องยนต์เทคโนโลยีโบราณ จ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด จุด
เดียวที่มีแค่ 60 แรงม้า ราคาเริ่มต้นกับรุ่น 3 ประตู เครื่อง 1.4 ลิตรนั้น อยู่ที่ประมาณ 3.7 แสนบาท และรุ่น 5 ประตูเกิน 4 แสน
บาท ไปไม่มาก ในภายหลังกลัวรุ่นที่มีอยู่จะประหยัดน้ำมันไม่พอ ก็เลยสั่งรุ่น 1.2 ลิตรมาอัดตลาดเสริมเข้าไปอีก แต่รุ่นที่ขายดี
และเป็นที่นิยมที่สุด ก็ยังเป็นรุ่น 1.4 ลิตรอยู่ดี ความที่ราคาไล่เลี่ยกับรถญี่ปุ่นรุ่นถูก แต่ได้ดีกรีรถยุโรปเข้ามาผสม ผู้คนก็เลยซื้อ
ใช้ทั้งเมืองแต่ด้วยความที่เป็นพระนครยนตรการ พอนานวันเข้ารถเริ่มต้องมีการซ่อมบำรุงชุดใหญ่บ้าง หรือมีปัญหากับระบบหัว
ฉีดทำให้กินน้ำมันน้องๆรถ 6 สูบบ้าง แล้วมาเจอสุดยอดบริการอันเป็นที่กล่าวขวัญสรรเสริญกันในยุคนั้น ลูกค้าเหล่านั้นก็เข็ด
ขยาดทั้งเมืองเช่นกัน

Commander CHENG : จะเรียกมันว่าเป็น Opel รุ่นแรกและสุดท้ายที่ขายดีที่สุด เท่าที่เคยมีมาขายในบ้านเราก็ได้นะ เพราะ
หลังจากนั้นก็มีการนำเอา Vectra รุ่นที่สองเข้ามาจำหน่าย ก็ขายไม่ดีเท่าไหร่ จากนั้นแบรนด์ Opel ก็ยุติการทำตลาดใน
ประเทศไทย Corsa นั้นจริงๆเป็นรถที่น่าสนตรงที่รูปทรงก็กระป๋อง ยางก็เท่าหนังสติ๊ก แต่เวลาขับ เห้ย..มันไม่กระป๋องเท่าไหร่
นา ใช่ได้เลย แต่เรื่องความแรงนี่ต้องทำใจเอาหน่อย ถึงแม้ Opel จะพยายามตั้งชื่อรุ่นให้ดูเปรี้ยวด้วยการเรียกรุ่น 1.4 ว่า
Swing และเรียกรุ่น 1.2 ว่า Joy ก็ตาม แต่อนิจจา รถเจ้ากรรมทั้งสองไม่ได้ enjoy swinging อย่างชื่อเลย (ในความเห็นผม)
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นในสมัยนั้นคิดกัน จำได้เลยว่าเลี้ยวหัวมุมถนนไหนก็จะมี Corsa วิ่งผ่าน จะเรียกมันว่าเป็น Civic 3 ประตู
แห่งวงการรถยุโรปดีไหม? ที่ขายดีส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะดีไซน์ซึ่งดูแล้วเหมือนจะมาจากอนาคต ยอมรับว่าทำได้ดีทั้งภายนอก
และภายใน  ทุกวันนี้ยังพบเห็นวิ่งได้เป็นจำนวนมาก น่าจะเป็น Opel รุ่นที่ยังหลงเหลือบนท้องถนนมากที่สุด หลายคันโละ
เครื่องเดิมทิ้งวาง Opel 1.4 ECOTEC ไม่ก็ข้ามพันธุ์ไปคบกับ 5E จากค่ายสามห่วง Toyota ไปเรียบร้อย

——————————————————————————————————————–

Peugeot 305: สิงห์พันธุ์เล็กตะกายหน้า ผงาดครองใจคนไทย

Commander CHENG : นี่คือรถ Peugeot ขับหน้ารุ่นแรกที่ประกอบขายในประเทศไทยและสร้างยอดขายชนะรถญี่ปุ่นได้
หลายค่าย ผมลองค้นหนังสือรถเก่าๆ รุ่นพวกเราเพิ่งเกิดดู ได้ความว่าในปี 1985 นั้นยอดขายสะสมทั้งปี (ไม่รวมเดือนธ.ค.)
305 ขายได้ 2,695 คันในขณะที่ Corolla ขายได้ 2,513 คัน!
อีกนานไหมกว่าเราจะได้เห็นการแข่งขันแบบนี้เกิดขึ้นอีก? คงไม่
ล่ะมั้งโดยเฉพาะกับรถที่เอามาขายหลังจากประเทศอื่นๆเขา 7 ปี! ใช่แล้วล่ะ 305 นี่เปิดตัวลงขายในยุโรปตั้งแต่ปี 1978 แล้ว
ก่อนหน้าที่ 505 เสียด้วยซ้ำไป กรณีนี้ดูจะคล้ายกันกับ 190E ของ Mercedes ที่รถใกล้ตกรุ่นของต่างประเทศกลับมาขายดีใน
เมืองไทย

J!MMY : 305 ถือเป็นตัวผลักดันให้ค่ายสิงโตชกมวยมีกำไรไหลเข้าบริษัทอยู่พักใหญ่หลังจากที่ปล่อยให้ 505 และ 504
ขายกันแบบเรื่อยๆมาเรียงๆอยู่เป็นนาน..นานจนยอดขายของทางค่ายเริ่มห่อเหี่ยว ก็มี 305 นี่ล่ะเป็นยาต่อชีวิต และถ้าให้พูด
ตรงๆ 305 นี่ล่ะเป็นรุ่นส่งท้ายแห่ง “ยุคทองของสิงห์น้ำหอม” เพราะหลังจากนั้นมาแล้ว การสร้างยอดขายแบบติดอันดับแชมป์
เช่นนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย สำหรับ 305 นี่สเป็คของเครื่องยนต์เทียบกับรถในยุคสมัยนั้นถือว่าไม่ล้าหลัง เครื่อง XU5 1.6 ลิตร
92 แรงม้า มีเกียร์ธรรมดา 5 สปีด หน้าปัดแพรวพราวสวยงาม ราคาค่าตัว 359,000 บาท (ในปี 1985) ก็ถูกกว่า Honda
Accord แพงกว่า Toyota Corolla และสูสีกันกับ Corona  ส่วนที่เป็นจุดเด่นอีกประการของรถรุ่นนี้คือกันชนแบบบิ๊กบัมเปอร์ที่
ยุคนั้นกำลังฮิตกันอยู่ใน 505 และ BMW หลายรุ่น

Commander CHENG: แต่จุดด้อยก็ใช่ว่าจะไม่มีนะ เคยได้ยินคำว่าหัวเกียร์หลุดติดมือไหม? ถ้าไม่เคย ลองไปถามหาคุณ
หมอท่านหนึ่งที่เปิดคลีนิกหู คอ จมูกอยู่แถวๆริมคลองประปาใกล้ๆประชานิเวศน์ 1 ดูก็ได้ ขนาดว่าคุณหมอไม่ใช่มืออสูรตีนผี
อะไร ขับไปขับมา เห้ย! เกียร์หลุดติดมือมายังไงวะ?

นอกจากนี้บางคนยังบอกว่ามันทำตัวไม่ค่อยเหมือน Peugeot โดยเฉพาะในเรื่องช่วงล่างที่ออกอาการยวบยาบค่อนข้างมาก
แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราที่เกิดก่อนน้าชาติขึ้นเป็นนายกคงจำกันได้ว่าคันหลายพันคนไม่สนเรื่องนี้! ที่จริงแล้วยังมีรถฝรั่งเศสอีก
ยี่ห้อคือ Citroen BX ที่ขายอยู่ในช่วงเวลาใกล้ๆกัน ใช้เครื่องยนต์แบบเดียวกันแถม Citroen เจ๋งกว่า ช่วงล่างไฮดรอนิวเมติก
ยกตัวขึ้นลงได้ด้วย ปัญหาคือเมื่อรวมคุณสมบัติทุกด้านและความสำเร็จในยอดขายแล้วเห็นได้ชัดว่า 305 เป็นแฝดพี่ที่ไปได้ดี
กว่า

J!MMY : แน่ละ คุณคิดว่าจะมีทางได้เห็น Peugeot คันละ 3 แสน 5 หมื่นบาท ขึ้นโชว์รูมเป็นรถใหม่ป้ายแดงในไทย อีกไหม
ละ? ขนาด อากู๋ สามีของน้องสาวหม่อมแม่ของข้าพเจ้า ยังเคยถอย 305 มาใช้อยู่หลายปี ยังจำได้เลยว่า ปี 1987 เรา ทั้ง 2
ครอบครัว ต้องเดินทางกันไปรวม 7 คน นั่งอัดเป็นปลากระป๋อง ในรถ 305 หน้าตา และสีฟ้า เหมือนในรูปข้างบนนี้เปี๊ยบ บุกไป
แอ่วอุบลราชธานี อยู่ จำได้เลยว่า เข็ดขยาด ไม่อยากนั่งรถคันนี้อีกเลย ทุกวันนี้ ยังจำกลิ่นห้องโดยสารของมันได้ ไม่เคยลืม!!
(ฉุนจมูกชะมัด)

——————————————————————————————————————-

Peugeot 405: สิงห์พันธุ์หนึบ..ทำไมรถสมัยนี้ไม่ทำช่วงล่างให้ได้อย่างนี้?

Commander CHENG: ขอแสดงความเห็นส่วนตัวว่านี่เป็น Peugeot รุ่นที่ผมชื่นชอบมากที่สุดเท่าที่เคยทำตลาดในไทยมา
ดีไซน์ของรถเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องขอเอาน้ำแดงมาถวายด้วยความเคารพในฝีมือของ Pininfarina ทุกวันนี้ผ่านมา 20 ปีนับตั้งแต่
วันแรกที่ 405 ลงสู่ตลาดในไทย มันยังเป็นรถที่ดูสวยแบบมีความบึกบึน แต่คล่องแคล่วไปพร้อมๆกัน 405 คว้ารางวัล Car of
the year 1988 ที่ยุโรปโดยทำคะแนนได้สูงสุดในรอบ 25 ปีตั้งแต่มีรางวัลนี้มา และหลังจากเวอร์ชั่นพวงมาลัยขวาเปิดตัว
เมืองไทยก็ได้มีโอกาสใช้ 405 อันเป็นรถโมเดลใหม่รุ่นแรกของ Peugeot ไทยในรอบ 4 ปี คือประมาณปี 1989 ในช่วงแรก
ของการเปิดตัวมีให้เลือก 3 รุ่น สำหรับคนทั่วไปมีไฟแต่พอเีพียงก็จะมีรุ่น 405GR เครื่อง XU9-2C 1.9 ลิตร 110 แรงม้าจ่ายน้ำ
มันด้วยคาร์บูเรเตอร์ ซึ่งจะมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ อย่างหลังนี่ตามสเป็คแจ้งไว้ว่าทำความเร็วสูงสุดได้
184 ก.ม./ช.ม. รถญี่ปุ่นสมัยใหม่ที่ม้ามากกว่านี้บางคันยังวิ่งไม่ได้เร็วเท่านี้เลย

แต่ที่เด็ดสุด..สุดยอด โดนใจผู้การนี่ก็คือ ไอ้รุ่นท้อป ที่ไม่รู้ว่าผีอะไรเข้าสิง ยนตรกิจ she กล้ามากที่นำเอารุ่น 405 Mi16 มา
ขายด้วย ซึ่งเจ้านี่ก็ถือว่าเป็นตัวท้อปในตลาดแห่งอื่นๆในประเทศที่พัฒนาแล้วด้วย รถรุ่นพิเศษนี้มองภายนอกถ้าไม่มีป้ายบอก
ชื่อรุ่นแล้วมองดูไม่ต่างจากรุ่น GR เลย แต่สามารถสังเกตเอาจากเบรคหลังก็ได้เพราะรุ่นพลังแรงนี้จะให้ดิสก์เบรค 4 ล้อมา นอก
จากนี้ยังมีช่วงล่างที่ปรับให้หนืดขึ้น และหัวใจหลักก็คือเครื่องยนต์ เปลี่ยนมาใช้แบบ XU9J4 ขนาดความจุเท่าเดิม แต่ใช้ฝาสูบ
ไฮเทค 16 วาล์ว วางท่อไอดีไว้ด้านหน้าเหมือนพวกรถแข่งทางเรียบที่หันเครื่องกลับ ส่วนท่อร่วมไอเสียยิ่งเป็นเอกลักษณ์
เพราะมีการแยกแบบวาล์วใครวาล์วมัน ถ้าดูจากหลังเครื่องจะมีท่อยิงออกมาจากพอร์ทไอเสียถึง 8 ท่อ รวมทั้งหมดนี้ทำให้มี
แรงม้าสูง 160 แรงม้า สำหรับรถเกียร์ธรรมดาทดจัดน้ำหนักแค่ 1.1 ตัน ทำให้เวลา 0-100 ก.ม./ช.ม.ที่สเป็คบอกว่า 10
วินาทีนั้นดูเหมือนจะถ่อมตัวไปมาก ความเร็วสูงสุด 220 ก.ม./ช.ม.ทำให้ 405Mi16 เป็นรถบ้านราคาหลักแสนที่แรงหาตัวจับ
ยากในยุคก่อนทลายกำแพงภาษีนำเข้า

J!MMY : ไม่ใช่แค่ผู้การแพนที่จะประทับใจ แต่ 405 เองก็ยังเป็น Peugeot เพียงรุ่นเดียวในดวงใจ ที่ผมยังอยากเป็นเจ้าของ
จนถึงทุกวันนี้ ในฐานะที่รถรุ่นนี้ ซึ่งจะว่าไปแล้ว 405 ก็ยังเคยเป็น รถหัดขับของผู้หญิงรุ่นป้าๆ น้าๆ รอบๆตัวผมหลายคน 405
มีคาแร็คเตอร์ของช่วงล่างที่น่าประทับใจ ทั้งๆที่ดูแล้วก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ด้านหน้าแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็นเทรลลิ่ง
อาร์ม แต่การบังคับควบคุมให้ความรู้สึกที่เฟิร์มและมั่นใจกว่า Peugeot รุ่นที่ผ่านๆมา ยิ่งรุ่น Mi16 นี่ยิ่งขับสนุกแล้วก็ไม่กระด้าง
สะเทือนจนเวอร์เกินเหตุ การจัดพื้นที่ห้องโดยสารก็ไม่เลวเพราะฐานล้อของมันยาวกำลังเหมาะ และความกว้างตัวถัง 1,714
มิลลิเมตร ก็ยิ่งทำให้มันได้เปรียบรถญี่ปุ่นยุคนั้นหลายคัน ถ้ามีอะไรจะติ ก็คงเป็นแผงแดชบอร์ดและวัสดุที่ไม่น่าเอาเยี่ยงอย่าง
ยิ่งในรถอายุมากแล้วแทบจะละลายแข่งกับ M&M ในปากช้าง

แต่หลังจากเปิดตัวครั้งแรกในเมืองไทย เมื่อปี 1989 และขายกันเพียงแค่ 405 GR กับ 405 Mi16 เราต้องรอจนถึงปี 93 จึงมี
การแต่งหน้าทาปากกันใหม่ให้ดูสวยงามขึ้น แต่ทว่า วิญญาณผีจีนใจดี ก็ดันออกจากร่างของยนตรกิจไปดื้อๆ เลยทำให้พวกเขา
ยุบรุ่น GR และ Mi16 ลงเหลือแค่รุ่น SRi เครื่องยนต์เปลี่ยนมาใช้แบบ 4 สูบ SOHC 8 วาล์ว 2.0 ลิตร 123 แรงม้า ที่น่าเบื่อ
หน่ายพอกับ Cefiro A31 กระนั้น ภายในกลับถูกออกแบบใหม่ดูทันสมัยขึ้นเป็นกอง มีลายไม้แปะมาให้เป็นแผ่นเล็กๆตรง
แดชบอร์ดฝั่งคนนึ่ง ส่วนภายนอกนั้นแม้จะใช้ล้อลายเดิมแต่กันชนหน้า-หลังแบบที่เป็นสเกิร์ตในตัว กับสปอยเลอร์บนฝา
กระโปรงท้ายไม่มีให้แล้ว ภาพลักษณ์ของรถจึงออกไปทางหรูขึ้น ต่อมาก็มีรุ่นประหยัด 405GRi วางเครื่อง 1.6 ลิตร 90 แรงม้า
ซึ่งทำราคาแข่งกับรถญี่ปุ่น (593,000บาท) ท้ายสุดก่อนที่ 405 จะหลีกทางให้กับการมาของ 406 ก็ยังมีหมัดสั่งลาโดยการ
นำเอาชื่อ Mi16 กลับมาขายใหม่โดยใช้บอดี้ SRi แต่ใส่ชุดแต่งสปอร์ตไฟหน้ากลม 4 ดวง และนำเครื่องยนต์จาก 306S16
2.0 ลิตร 155 แรงม้ามาใส่ รถรุ่นนี้หายากมากถึงมากที่สุด เพราะในวันที่ยังขายเป็นรถป้ายแดง ก็ไม่ค่อยมีคนเหลียวแลมัน
เท่าใดนัก

————————————————————————————————————————————————–

Peugeot 505 : สิงห์พันธุ์ใหญ่ ขวัญใจตำรวจ ทหาร และผู้จัดการแบงก์

J!MMY :  นี่ก็เป็นรถอีกรุ่นหนึ่งที่ลากขายกันข้ามทศวรรษ เพราะ 505 โฉมแรกนั้นมาถึงเมืองไทยตั้งแต่ปี 1980 แล้ว สมัยนั้น
505 มาได้ค่อนข้างถูกจังหวะถูกเวลาพอดี เพราะ 504 ที่ขายอยู่นั้นรูปทรงเริ่มจะล้าหลังชาวบ้าน และ Peugeot เองก็ยังขาด
รถขนาดใหญ่เต็มตัวที่จะสามารถนำมาแข่งขันกับยุโรปค่ายอื่นอย่าง BMW 520 และเบนซ์ W123 แน่นอนว่าการมาถึงของมัน
ได้รับการต้อนรับอย่างดีด้วยราคาเปิดตัวในยุคแรกๆนั้นอยู่ที่ 4.8 แสนบาท ในช่วงแรกออพชั่นติดรถยังไม่มีอะไรมาก
เกียร์ธรรมดา 4 สปีด ล้อเหล็ก ไม่มีมาตรวัดรอบ แต่แค่ 2 ปีหลังจากนั้นก็มีการเพิ่มล้ออัลลอย นาฬิกา และไฟ Econoscope
ซึ่งเป็นหลอดไฟสามดวงบนหน้าปัดข้างใต้วัดรอบ ทำหน้าที่บอกว่ากดคันเร่งมากน้อยแค่ไหนจะประหยัดน้ำมันเพียงไร คล้ายๆ
กับ Vacuum gauge ของพวกเบนซ์รุ่นเก่านั้่นเอง

พอย่างเข้าปี 1984 ก็มีการเปลี่ยนกันชนมาเป็นแบบบิ๊กบัมเปอร์..ซึ่งจะว่าไป เจ้านี่ก็มีส่วนในการจุดกระแสกันชนบิ๊กบัมเปอร์
ให้ดังระเบิดในยุคปี 1984-1986 เช่นกัน และเป็นรถรุ่นโปรดของตำรวจทางหลวงในสมัยนั้นเพราะมี 505 ถูกจัดซื้อไปเป็น
จำนวนมาก รถสเป็คหลังๆนี่มีเกียร์เดินหน้า 5 สปีดแล้ว และ Peugeot เองก็ดูเหมือนจะภูมิใจกับการมีเกียร์จังหวะที่ 5 ให้
โฆษณามากเพราะสามารถเอาอัตราทดมาเป็นจุดขายได้ว่าช่วยประหยัดน้ำมัน

Commander CHENG : สโลแกนของเขาคือ “เปอโยต์ 505 คงคุณค่า คู่เวลา” ก็รู้สึกว่าจะคู่เวลาอยู่นานโคดรๆ เลยอ่ะนะ
แถมเจ้า Rhino Mango สมาชิกกลุ่ม the coup team เราก็มีใช้อยู่คันนึงนี่หว่า? ว่าแต่มันเป็นรถที่ช่วงล่างเกินคำบรรยาย
จริงๆ มองจากข้างนอกแล้วไม่คิดเลยว่าพอเข้าไปนั่งข้างใน วิ่งผ่านถนนขรุขระแถบหลัง ม.ธุรกิจบัณฑิตย์กับซอยสามัคคีแล้วมัน
จะนุ่มสบายเกินคาด นี่ขนาดว่ารถเก่าแล้วนะ ถ้าตอนเป็นรถใหม่นี่พูดได้เลยว่านุ่มสบายและเกาะจนรถเยอรมันอายได้ละกัน
แต่สังเกตว่าแดชบอร์ดรถตา Rhino Mango กับคันที่เห็นตามหนังสือรถเก่าๆมันไม่เหมือนกันเลย? รุ่นนี้มีไมเนอร์เชนจ์ด้วย
หรือ?

J!MMY : ใครว่าไมเนอร์เชนจ์? โคตรนาโนเชนจ์ต่างหากล่ะ! ที่พูดไปตะกี้นี่ก็มีสามเชนจ์แล้วครับท่าน แต่มันยังไม่จบแค่นั้น
ปี 1986 นี่มีเปลี่ยนรูปลักษณ์กันใหม่ เอาไฟท้ายแบบลาดที่มาใช้ (ได้ข่าวว่าราคาอะไหล่แพงมาก ตา Rhino แกยังตะแง๊วๆ
ถวิลหาอยากได้อยู่ทุกวันนี้) มีการเปลี่ยนกันชนสไตล์ใหม่ เปลี่ยนเข็มวัดความเร็วจากแบบ 180 มาเป็น 220 ก.ม./ช.ม.
ปี 1987 เปลี่ยนรายละเอียดที่เครื่องยนต์ คาร์บิวเรเตอร์ลูกใหม่ เปลี่ยนท่อไอดีใหม่

Commander CHENG : ได้ข่าวว่ามีเรื่องพอร์ทเหลี่ยมกับพอร์ทกลม เข้าใจว่าเครื่องตัวใหม่นี้คือตัวที่เปลี่ยนพอร์ทอย่างที่
ตา Rhino เคยบอกไว้ อ้อ! นึกออกละ พอปรับปรุงเครื่องตามนี้ แรงม้าก็เพิ่มจาก 96 เป็น 108 แรงม้า แล้วก็ภายในก็มีเปลี่ยน
คอนโซลใหม่ที่ตั้งเป็นบั้งแต่ไล่ขอบมุมสายตาให้ดูโค้งกว่าเดิมแบบรถตา Rhino เช่นกัน …ยังมีไมเนอร์เชนจ์อะไรอีกไหม?

J!MMY : มี! ปี 1991 เพิ่มหมอนรองศรีษะที่เบาะหลัง..แล้วก็คิ้วขอบประตูเป็นแถบใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเป็นไง? โคตร
ไมเนอร์เชนจ์ จริงๆแล้วมีรายละเอียดที่เปลี่ยนอีกเยอะแต่จำได้ไม่หมด คลับคล้ายคลับคลาว่ามีเปลี่ยนกระทั่งพวกเรื่องกระจก
ไฟฟ้า เซ็นทรัลล็อคซึ่งบางทีก็เป็นฝีมือของผู้แทนจำหน่ายติดตั้งให้เอง ต่อมาปี 1992 นี่ยอดขายเริ่มเข็นไม่ไปแล้ว
เพราะอายุตลาดของรถก็ 12 ปี อยู่มานานจนเพื่อนร่วมรุ่นเขาเปลี่ยนหน้าตาไปกันหมดแล้ว แต่ก็ยังมี 505 ขายอยู่ Peugeot
ไปได้ดีลกับธนาคารกรุงเทพ จนได้ถูกสั่งซื้อไปใช้เป็นรถประจำตำแหน่งของผู้จัดการสาขา หลังจากนั้นก็มีจำหน่ายต่อมาแบบ
เต่าหาวนอน จนกระทั่งเลิกทำตลาดไปในปี 1994 ปิดตำนานรถโมเดลเดียวดึงขายข้ามทศวรรษอีกรุ่นหนึ่งไป

Commander CHENG : ขออนุมัติเปลี่ยนสโลแกนใหม่ ..”เปอโยต์ 505 คงคุณค่า นาโนเชนจ์ไปตามเวลา”

————————————————————————————————————————————————–

Porsche 911 : กบพิฆาต ผงาดครองไฮเวย์

Commander CHENG : 911 ที่พูดถึงนี่ รวมตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นระบบระบายความร้อนด้วยอากาศด้วยนะ 911 นี่ถือว่าเป็น
ไฮไลท์ของงานประกวดรถยนต์ จัดที่ไหน เจอที่นั่น ตั้งแต่สมัยที่รัฐบาลยังตั้งกำแพงภาษีรถนำเข้าในระดับมหาโหดแล้ว ที่มี
เศรษฐีไทยใจหาญสั่งเข้ามาขับกินลม ผมอ่านคอลัมน์หนึ่งในนิตยสารกรังด์ปรีซ์ ฉบับปี 1984 มี 911 Turbo (ตัวถัง 930)
คันหนึ่งถูกนำเข้ามาในประเทศไทยโดยเจ้าของไม่เปิดเผยนาม (รู้แต่ว่ารวย) สเป็คของรถก็ดูเหมือนไม่มีอะไร 300 แรงม้า
เกียร์ธรรมดา 4 สปีด ฟังดูธรรมดามากถ้าเป็นมุมมองจากพวกเราในยุคที่เครื่องยนต์ญี่ปุ่นม้าเกือบ 300 ตัวมีราคาซื้อขายกันไม่กี่
หมื่น แต่นี่คือสหัสวรรษใหม่ และ 911 คันนั้นก็เป็นรถในไทยเมื่อ 26 ปีก่อนซึ่งรถบ้านที่แรงม้ามากที่สุดในตลาดยังมีม้าไม่แตะ
200 ตัวด้วยซ้ำ และคงไม่นับว่าธรรมดาสำหรับสมัยนั้นถ้าจะมีรถสักคันสร้างความเร็ว 255 ก.ม./ช.ม.บนทางด่วนกรุงเทพได้

ต่อมาเมื่อรัฐบาลคุณอานันท์ลดภาษีนำเข้าลง Porsche 911 บอดี้ 964 ก็มาขายในไทยโดยมีบริษัท A.A.S Autoservice
เป็นผู้นำเข้า ราคาเริ่มต้นสำหรับรุ่นพื้นฐาน Carrera 2 3.6 ลิตร 250 แรงม้าอยู่ที่ประมาณ 6 ล้านบาท ไล่ขึ้นไปจนถึง 8 ล้าน
บาทสำหรับ 911 Turbo 3.3 ลิตร 320 แรงม้า จุดเด่นของ 911 นี้ไม่ใช่แค่ในเรื่องความแรง หรือความยากในการบังคับควบ
คุมของรถ แต่กลับเป็นอุปกรณ์เพื่อความสบายอย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน แต่สมัยนั้นมีแค่ Porsche ที่ขึ้นชื่อ สิ่งที่
ว่านี้ก็คือเกียร์แบบ Tiptronic หรือเกียร์อัตโนมัติแบบส่งกำลังผ่านทอร์คคอนเวอร์ตเตอร์ที่มีโหมด +/- สำหรับเพิ่มหรือลด
จังหวะเกียร์ได้ด้วยตัวเองนั่นล่ะ ปฏิเสธสิว่า Porsche ไม่ใช่ตัวจุดกำเนิดให้กับระบบเกียร์แบบนี้ ถึงแม้ว่าในภายหลังจะมี Audi
และ Mitsubishi ที่นำมาให้คนสามัญใช้ แต่นั่นมันหลังจากที่ Porsche เอา Tiptronic มาขายในไทยหลายปีอยู่นะ

J!MMY : แล้วรุ่นอื่นล่ะ? ไม่เห็นพูดถึง อย่างตัวถัง 993 ที่ตามมาในช่วงกลางยุค 90 นั่นก็ใช่ย่อยนะ เพราะรุ่นเทอร์โบมันแรง
จัดตั้ง 408 แรงม้า โห! สมัยนั้น 400 แรงม้านี่เป็นเลขศักดิ์สิทธิ์นะ แต่ราคาขายก็ยิ่งเขยิบตัวห่างจาก “คนกึ่งรวยแต่เขือ” อย่าง
พวกเราไปทุกที 911 มีการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่แบบไฉไลขึ้นเยอะในปี 1998 (รหัส 996) เปลี่ยนมาใช้ระบบระบายความร้อน
ด้วยน้ำแล้ว Porsche 911 รุ่นหลังๆมีการปรับปรุงพัฒนาให้สามารถขับได้เร็วและมั่นใจกว่าเดิม เช่นการเปลี่ยนช่วงล่างหลัง
เป็นแบบมัลติลิงค์ และเพิ่มระบบช่วยรักษาการทรงตัวของรถ (แต่ไม่ใช่ว่าพวกรถอย่าง 996 GT2 ที่ส่ง 489 แรงม้าลงล้อหลัง
จะขับได้ง่ายนะ) มันเป็นรถที่ยอมรับกันว่าสามารถรองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดีกว่าพวก exotic car อิตาลี และใน
ขณะเดียวกันเรื่องความแรงก็ไม่เป็นรองใคร คุณสามารถพาหวานใจ และอาจจะมีลูกเล็กๆสักคน แพ็คของเดินทางไปเที่ยวต่าง
จังหวัดได้สบาย ลองนึกภาพว่าคุณพยายามทำแบบนี้ใน Ferrari F355 ดูสิ ฝันร้ายชัดๆ!

911 เป็นรถที่มีความผูกพันธ์กับบุคคลที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก เช่นคุณปีเตอร์ บุนนาค และคนสกุลบุนนาคซึ่งสืบเชื้อสายสกุล
เก่าแก่นานกว่าศตวรรษ รวมไปถึงดาราวัยรุ่นอย่างจอห์น ดีแลน ซึ่งเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าหลังจากที่ Porsche 911 เกิด
อุบัติเหตุที่แหลมฉบัง จนไฟลุกท่วมย่างสดคาซากรถ พร้อมเจ้าของรถที่นั่งไปด้วยกัน โดยไม่มีใครสามารถช่วยเขาทั้งคู่
ออกมาได้ทันการ

————————————————————————————————————————————————–

SAAB 9000 : เทคโนโลยีจากอากาศยานตัวแม่

J!MMY : บริษัท ออโต้เทคนิค ในเครือของ ตรีเพชร อีซูซุ และ มิตซูบิชิ คอร์ปฯ แห่งญี่ปุ่น นำรถสวีเดนแบรนด์นี้ กลับมาแจ้ง
เกิดอีกครั้งหลังจากที่หายจากประเทศไทยไปนานมาก นานจนลูกหลานที่เกิดเป็นวัยรุ่นในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 นึกไม่ออก
ด้วยซ้ำว่าเป็นรถประเทศอะไร สิ่งที่น่าประหลาดใจสำหรับรถรุ่นนี้คือการตอบรับของลูกค้า ทั้งๆที่ 10 ปีก่อนหน้าที่ออโต้เทคนิค
จะนำ SAAB เข้ามาในประเทศไทยนั้นแทบไม่มีใครรู้จัก SAAB เลย ต่างจาก Volvo ซึ่งอยู่คู่ประเทศไทยมาโดยไม่เคยทิ้ง
ตลาด และปั้นรถรุ่นใหม่ๆอย่าง 700 Series และ 900 Series มาขายอย่างต่อเนื่อง SAAB งัดวิธีการเล่นกับจิตวิทยาโดยใช้
ความปลอดภัย ซึ่งเหมือนจะโชคดีเพราะเป็นรถสัญชาติเดียวกับ Volvo คนเลยเหมารวมว่ารถสวีเดน และเหล็กสวีเดนจะแข็ง
และมีความปลอดภัยสูง (ในขณะที่ Volvo โชว์การพุ่งชนตรงๆ SAAB เอารถทิ้งลงจากตึกให้เห็นจะจะ)

แต่สิ่งที่ SAAB ดึงภาพพจน์ตัวเองให้ต่างจาก Volvo คือการชูจุดเด่นด้านความปราดเปรียวจากอัตราเร่ง และการทรงตัวที่เป็น
เลิศ โดยใช้หนังโฆษณาจากต่างประเทศ ที่มีการขับแบบผาดโผนโดยทีม SAAB Demonstration มาโฆษณา (ปัจจุบัน หา
เวอร์ชันเต็มดูได้ใน youtube) อีกทั้งการนำ Background ความเป็นบริษัท ที่ผลิตอากาศยานมาประยุกต์ใช้กับการผลิตรถ
จนประสบความสำเร็จในการสร้าง Brand Loyalty กับลูกค้ากลุ่มขนาดเล็กได้อย่างเหนียวแน่นด้วยรุ่น 9000 และเจ้า 9000 นี่
แหละคือความสำเร็จของ SAAB ในการกลับมาปักหลักในบ้านเราได้สำเร็จและปูพรมรอรุ่น 900, 9-5, และ 9-3 ที่ตามมาใน
ภายหลังก่อนจะโบกมือลากลับสวีเดนไปอีกครั้งหลังจากที่อยู่มานานกว่า 15 ปี

Commander CHENG : ถ้าวัดกันด้านยอดขายอย่างเดียวรถรุ่นนี้คงไม่มีอะไรให้ต้องเขียนถึง แต่ถ้าดูให้ลึกทางด้านเทคนิค
SAAB 9000 เป็นรถที่มีความทันสมัยทั้งในแนวคิดการออกแบบและวิศวกรรม การใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าในตัวถังขนาด
ใหญ่ทำให้มีพื้นที่ภายในที่นั่งสบายกว่ารถระดับเดียวกันคันอื่นๆ เครื่องยนต์ในช่วงแรกที่ทำตลาดจะมีขนาด 2.0 ลิตร กับ 2.3
ลิตรไม่มีเทอร์โบที่แรงพอไหว้วานได้ และตบท้ายด้วย 2.3 ลิตรเทอร์โบชาร์จ 200 แรงม้า รุ่น 9000CS นั้นเป็นรถที่ผสาน
ความเอนกประสงค์แบบรถแฮทช์แบ็คเข้ากับรถขนาดใหญ่ ซึ่งถ้าไม่นับ Citroen XM แล้วก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่ามีใครทำอีก
ในปี ในภายหลัง SAAB 9000 โละเครื่องยนต์ 4 สูบหายใจธรรมดาทิ้งหมด โดยนำรุ่น 2.0 ลิตรเทอร์โบแรงดันต่ำ 150 แรงม้า
มาแทนที่รุ่น 2.0i และรุ่น 2.3 ลิตรเทอร์โบแรงดันต่ำ 170 แรงม้ามาแทนรุ่น 2.3i ส่วนรุ่น 200 แรงม้ายังคงอยู่ และในรุ่น
4 ประตูจะมีรุ่นพิเศษ Griffin วางเครื่อง V6 210 แรงม้าของ GM มาให้เลือก แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมมากเท่ารุ่น 4 สูบเพราะ
ยังไงก็ตาม SAAB ในใจของคนส่วนใหญ่คือ “A Turbo Car Company”

———————————————————————————————————-

Subaru Impreza GC : อะไรเอ่ยขับสี่มีหอย ชอบสอยรถสปอร์ต?

J!MMY: ตั้งชื่อได้น่าหวาดเสียว จะโดน เจ๊ระเบียบรัดติ้วๆๆ มาหิ้วไปอบรมจังเลย แต่ เอาละ ในฐานะที่ ผู้การแพนของเรา
ชื่นชอบ และรู้จักรถรุ่นนี้ ละเอียดยิบมากๆ เอ้า! ให้แพนโซโล่เลยละกัน

Commander CHENG : Impreza นี่คือจุดเริ่มต้นแห่งความนิยมรูปแบบใหม่ของรถซิ่งในบ้านเราด้วยการผสาน “แก้วสาม
ประการ” เข้าไว้ด้วยกัน

แก้วประการแรกคือพลังของเครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบ แก้วประการที่สองคือเครื่องยนต์แบบนอนยันที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ส่วนแก้ว
ประการที่สามคือระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา All-wheel-drive ซึ่งถูกล่ะ..Audi Quattro ก็มีเทอร์โบ แล้วก็ขับสี่ แถมยัง
ออกมานานแล้วด้วย แต่ประเทศไทยไม่ได้หาซื้อรถรุ่นนี้ขับกันง่ายๆนะครับ ดังนั้น Impreza รุ่นแรกรหัส GC นี่ล่ะถือว่า original
ที่สุดสำหรับวงการขับสี่แรงๆในบ้านเรา

ย้อนหลังกันไปหน่อยดีกว่า หลังจากที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในญี่ปุ่นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1992 บริษัท วี.อาร์.วิคเตอร์
ซึ่งอยู่ในเครือของบริษัทสยามกลการก็นำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราหลังจากที่ก่อนหน้านั้นได้นำ Legacy ตัวถัง BC เข้ามา
จำหน่ายในบ้านเราแล้วสร้างยอดขายได้แค่พอประมาณ เกรงว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างแล้ว Subaru อาจจะได้กลับบ้านเกิด
อย่างที่เคยทำมาหลายปีก่อนหน้านั้น Impreza นี่แหละคำตอบที่พวกเขารออยู่!

รุ่นที่นำเข้ามาไล่ไปตั้งแต่รุ่น 1.6 ขับเคลื่อนล้อหน้า 90 แรงม้า มีแต่บอดี้สี่ประตู ราคา 695,000 บาท รุ่น 1.8 ขับเคลื่อนสี่ล้อ
103 แรงม้า มีทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ และมีบอดี้ให้เลือกทั้งตัว 4 ประตูและ 5 ประตูสปอร์ตแวก้อน ราคาอยู่ที่
795,000 บาท สำหรับตัว 4 ประตู และปิดท้ายด้วยตัวแรง WRX เทอร์โบ เครื่อง EJ20 ท่อไอดีสีเงิน อินเตอร์คูลเลอร์วาง
เฉียง และจุดระเบิดด้วยไดเร็คคอยล์ มีแรงม้า 210 ตัวให้ขย่มเล่น อัตราเร่ง 0-100 ป้วนเปี้ยนอยู่แถว 6 วินาทีเท่านั้น สมัยนั้น
ที่ยังไม่มี Evo แปลงหรือ Evo แท้วิ่งกัน GC8 นี่ถือว่าเป็นรถบ้านผัดพริกขี้หนูที่คนไม่รู้เรื่องรถ เห็นแล้วก็จะเฉยๆเพราะหน้าตา
มันไม่ได้ต่างจาก Corolla เลย แต่ถ้าเป็นคนที่ขลุกอยู่กับรถแรงๆจะทราบทันทีว่าไม่ธรรมดา โทนเสียงบุ่มบั่มไม่สม่ำเสมอของ
มันมักจะโดนล้อว่า “เครื่องเดินไม่เต็มสูบ” แต่กลายเป็นเสน่ห์ที่หลายคนหลงรักในเวลาต่อมา อ้อ..ราคาตอนเปิดตัวนั้น
985,000 บาท เราอาจจะมองว่าไม่แพง แต่สมัยนั้น Accord นำเข้าราคา 1.17 ล้านนะ ทีนี้คิดว่าไง?กับรถที่นอกจากแรงและ
ขับสนุกแล้ว อย่าอื่นอย่าไปคาดหวังกับมันมาก โดยเฉพาะเรื่องความหรูและอุปกรณ์ที่เมื่อเข้าไปข้างในแล้วได้บรรยากาศรถ
ราคาถูกๆมาก

ส่วนรุ่นรองๆนั้นก็ไม่ได้ถูกละเลย ที่จริง Impreza ที่ขายออกไปส่วนมากจะเป็นรุ่น 1.6 กับ 1.8 นี่ล่ะ แถมยังได้พรีเซนเตอร์หนุ่ม
มาดฉลาดเฉลียวอย่าง คุณอา ไตรภพ ลิมปพัทธ์ มาเล่นหนังโฆษณาให้ ทีนี้ทั้งลูกค้าเก่าที่ภักดีกับซูบารุ และลูกค้าใหม่ที่ชอบ
ลองของแปลกเลยเปิดใจเซ็นใบจองกันเต็มที่ ขายมาได้เรื่อยๆ เป็นตัวทำเงินหลักให้กับซูบารุ เมืองไทยเรื่อยมา ภายหลังมีการ
ไมเนอร์เชนจ์ตามตลาดออสเตรเลีย (ไม่ต้องพูดถึงญี่ปุ่นซึ่งไมเนอร์เชนจ์กันเป็นเวอร์ชั่น 2,3,4,5 กันไปก่อนแล้ว) โดยเปลี่ยน
ไฟหน้าทรงใหม่ตัดมุมใน และเป็นเลนส์ตาเพชร กระจังหน้าและกันชนลายใหม่ เปลี่ยนล้อจาก 15 นิ้วมาเป็น 16 นิ้ว เปลี่ยน
สปอยเลอร์หลังสูงขึ้นกว่าเดิม เปลี่ยนแดชบอร์ดใหม่หมดให้ทันสมัยขึ้น เครื่องยนต์ชื่อบล็อค EJ20 เหมือนเดิมแต่มีการเปลี่ยน
รายละเอียดปลีกย่อยเช่นอินเตอร์คูลเลอร์เป็นทรงสี่เหลี่ยมไม่เฉียงที่ระบายความร้อนได้ดีกว่าเดิม และคอยล์จุดระเบิดเปลี่ยน
จากคอยล์แยกอิสระมาเป็นแบบ 1 คอยล์จุด 2ลูกสูบ แรงม้าเพิ่มเป็น 218 แรงม้า ซึ่งถูกตอนไว้เท่านี้เพื่อไม่ได้เกินเพดานภาษี
ซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะสามารถเอาไปทำต่อเพื่อเพิ่มม้า 60 ตัวได้ไม่ยาก ดังนั้นคงไม่ต้องแปลกใจว่าความแรง
และความเกาะถนน ส่งผลให้มันมีคนหลงใหลเยอะมาก ทุกวันนี้ก็ยังวิ่งกันให้เห็นอยู่ไม่น้อย

J!MMY : แต่ผมชอบรถรุ่นนี้ ต่อเมื่อ มันเป็น WRX 5 ประตู และเป็นรถของตาหมีน้อยเบิ้ม เพื่อนของแพน ที่ขายออกไปนั่นละ!!
คริคริ

———————————————————————————————————

Suzuki Caribbean : อาร์ตตัวลูกแห่งการลุย..ลุยไปเห๊อะ!!

Commander CHENG : ไอ้เจ้านี่ผมว่าต้องยกให้มันเป็นตำนานลูกชิ้นนายใบ้ นายชัยท้าพิสูจน์ แม่*เด้งจริงๆ ผมเคยคิดจะ
เข้าคอร์สลดน้ำหนักโดยนั่ง Caribbean ลุยทุ่งสักวันสองวันด้วยซ้ำ

 

J!MMY : ฮ่าๆๆ ข้าพเจ้าก็เคย! จำได้เลย รถของพี่ชาย กับพี่นา ที่ตอนนี้ ลาออกจาก Thaidriver มาทำเว็บ Motortrivia นั่น
ละ สมัยนั้น แค่วิ่งไปบนถนนพระราม 5 ขอย้ำ ถนนพระราม 5 ที่เทปูน เรียบๆ นั่น แค่นั้น ก็กระเทือนถึง ตับ ม้าม ไต เลยไปจน
ถึงมดลูก กันได้เลยทีเดียว!! ในช่วงแรกนั้น ที่จริงแล้ว Caribbean เคยเป็นจี๊ปสวัสดิการทหารด้วยนะ เพราะผู้จำหน่าย อย่าง
สยามอินเตอร์เนชันแนล ในเครือสยามกลการ สมัยก่อน เขาอยากหารถมาประกอบขายในบ้านเรา..ทำอะไรก็ได้ที่ช่วยมาเสริม
กำลังกับรถเก๋งขนาดเล็กที่มีขายอยู่ในตลาดอย่าง SA413 (CULTUS รุ่นแรก) ซึ่งก็ได้ผล เพราะเจ้าจี๊ปเล็กนี้มันได้รับความนิยม
เป็นอย่างมากตั้งแต่ปี 1988  รถรุ่นนี้ในต่างประเทศอาจจะดูเหมือนเป็นบอดี้จิ๊ปสองตอน แต่ในเวอร์ชันไทย ที่จริงแล้วมันก็คือ
บอดี้กระบะซึ่งได้รับการต่อหลังคาไฟเบอร์ด้านหลังจนดูคล้ายรุ่น VAN เวอร์ชั่นญี่ปุ่นไม่น้อย ความที่ราคาถูกมากทำให้มันเป็น
รถคันแรกในชีวิตของหลายคน หรือหลายครอบครัว เพราะเป็นตัวเลือกที่สร้างความแตกต่างด้วยความสามารถในการลุย
เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่ต้องไปทำธุระในถิ่นทุรกันดาร แต่ไม่อยากใช้ปิกอัพ ครั้นจะใช้รถเก๋งอย่าง Lancer Champ หรือ Sunny
FF ใต้ท้องก็เตี้ยไปอีก สมัยนั้นไม่ค่อยมีการโปรโมตเรื่องการทดลองขับก่อนซื้อ อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าลูกค้าพวกนั้นได้ลองขับ
ไปบนถนนปูนสภาพไม่พร้อมสักรอบ เขาจะยังซื้ออยู่ไหม

Commander CHENG : เห้ย เห้ย เห้ย แต่อย่าไปดูถูกไอ้เสือเล็กในป่าใหญ่นี่เชียวนา Caribbean เป็นหนึ่งในรถที่มีส่วนใน
การช่วยโปรโมตวัฒนธรรมทิ้งเมืองเข้าป่าไปกับออฟโรด ถึงแม้จะไม่มีพละกำลังเอาเสียเลย แต่ด้วยความเบาของตัวรถและ
ขนาดที่เล็กทำให้มุดพงไพรได้คล่องตัวมากจนบางครั้งทำเอาออฟโรดรุ่นพี่อย่างพวก Hilux ขับสี่ Pajero หรือแม้กระทั่ง Land
Cruiser ก็เหอะ โดนเด็กล่อซะอายม้วนได้เหมือนกัน ทุกวันนี้แม้เราจะไม่ได้เห็นมันมากเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ถ้าลองสังเกต
ดีๆเวลามีการแข่งขันอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับ Dirt track off-road พนันได้เลยว่าเสือจิ๋วจอมเด้งจอดรอชิงถ้วยอยู่แถวๆนั้นแน่นอน

J!MMY : ล่าสุด ภาพยนตร์เรื่อง “เราสองสามคน” ก็เอาไปเป็น รถประกอบฉากด้วยนี่นะ

——————————————————————————————————-

Suzuki Vitara : Caribbean ในมาดผู้ดี หรือ Pajero ในแบบพอเพียง?

Commander CHENG : จำไม่ได้ละว่าเจ้านี่มันโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ดูเหมือนว่ามันมาถึงทันเวลายุคออฟโรดพอดี และ
Vitara เองก็สร้าง Brand recognition ในหมู่ลูกค้าได้ดีเสียด้วย ความที่ราคาไม่แพงเหมือนออฟโรดรุ่นใหญ่ๆ แต่มีอุปกรณ์ติด
รถมานับว่าทัดเทียมรถเก๋งขนาดกลางได้เหมือนกัน เครื่องที่ที่เอาเข้ามาขายตอนแรกคือรุ่น 1.6 ลิตร มีเกียร์ธรรมดา
และอัตโนมัติ (3 สปีด..แม่เจ้า) บอดี้ก็มีให้เลือกทั้ง 3 ประตูและ 5 ประตู แต่อย่างหลังนี่ตามมาเปิดตัวในภายหลังนะ

Vitara เป็นรถที่ผสานเอาคุณลักษณะที่คนเมืองชอบลุยจะคลั่งใคล้เอาไว้ อย่าลืมว่าในยุคนั้นเรายังไม่มีรถอย่าง CR-V นะ ดังนั้น
จะมีอะไรตอบโจทย์พวกเขาได้ดีไปกว่ารถที่นำความเล็ก เบา คล่อง เซฟน้ำมัน ซึ่งเป็นข้อดีของ Caribbean มาปรับปรุงให้อยู่
ในบอดี้ที่ใหญ่ขึ้น ช่วงล่างแม้จะยังเข้าข่ายลูกชิ้นปลานายใบ้อยู่บ้างแต่รับรองว่าปลอดภัยต่อลูกในครรภ์มากกว่า Caribbean
อยู่ เพราะเปลี่ยนจากคานแข็งและแหนบมาใช้ช่วงล่างหน้าอิสระปีกนก 2 ชั้นพร้อมคอยล์สปริงแล้ว ด้านหลังยังเป็นคานแข็งอยู่
ก็จริง แต่ก็ใช้คอยล์สปริงเช่นกัน นอกจากนี้ หน้าปัด อุปกรณ์และภายในก็ดูหรูหรากว่ากันมาก กระจกไฟฟ้า เซ็นทรัลล็อคพร้อม
ในยุคเดียวกันนั้นที่จริงแล้วยังมี Kia Sportage ซึ่งมีคุณลักษณะคล้ายกัน แต่ในเรื่องความทนทานสมบุกสมบันนั้น Suzuki ได้
รับการยอมรับว่าเล็กแต่แจ๋วจริง เป็นรถเล็กพร้อมลุยจริงและไม่ใช่ “Soft-roader” ที่วิ่งกันดาษดื่นในปัจจุบัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้
ข้อติ เพราะเครื่องยนต์ 1.6 ลิตรเดิมๆของมันนั้นสมรรถณะไม่ได้ดีอะไรมากมาย ผมเคยขับรถเกียร์อัตโนมัติ 1.6 ของเพื่อน ฟลอร์
คันเร่งกันจน 1 บะหมี่สุกยังได้ความเร็วแค่ 140 ก.ม./ช.ม. วันไหนทำได้เกินนั้นแทบสั่งโต๊ะจีนมาเลี้ยง Suzuki เองก็คงทราบ
ปัญหานี้ดีจึงนำรุ่น V6 2.0 ลิตรมาเปิดตัวอีกครั้งในปี 1997 และพลัง 140 แรงม้าที่มีให้นั้นก็ทำให้ Vitara เป็นรถที่น่าขับทาง
ไกลขึ้นมาก

J!MMY : เอ่อ เหลือเชื่อว่า เราสองคนเคยมีระสบการณ์บน Vitara มาเหมือนกัน แต่ต่างกรรมต่างวาระ Vitara เป็นรถที่ คุณ
พ่อของเพื่อน ขับพาผมกับลูกชายของเขา ไปยังเหมืองของเขา ที่ บึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ์ จำได้แต่ว่า เหยียบให้ตีนมิดติด
เหล็กรถยังไง ก็ไปได้แค่ 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่านั้น แถม พอต้องเบรกกระทันหัน เพราะเจอ ซากศพหมา กลางถนน และ
ไม่อาจหักหลบได้ Vitara 3 ประตู คันนั้น ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ทุกอย่างผ่านพ้นมาได้อย่างปลอดภัย แต่ใช้น้ำมันไปไม่เบาเลย
ทีเดียว ออกจาก กทม เติมน้ำมันที่รังสิต แล้วไปเติมอีกที ที่บึงสามพัน

ที่จริงแล้ว Suzuki กำลังเมามันส์อยู่กับการขาย Caribbean ในช่วงกลางยุค 90 เลยล่ะ ลำพังรถประกอบในประเทศที่มีอย่าง
Caribbean กับ Swift รุ่นซีดาน 1.3 ลิตรก็น่าจะพอให้รอดไปได้เรื่อยๆแล้ว แต่การมาของ Vitara นั้นเหนือความคาดหมายของ
สื่อในยุค No Internet มากเพราะไม่มีใครคิดเลยว่ามันจะมา นั่นอาจเป็นเพราะว่า Vitara เปิดตัวในญี่ปุ่นด้วื่อ Escudo มาตั้งแต่
ปี 1989 แล้ว แต่ใครจะไปคาดคิดละว่า จู่ๆมันก็โผล่มาแบบไม่ให้เราตั้งตัว จนกระทั่ง กลายเป็น SUV รุ่นแรกๆ ที่ได้รับความ
นิยมอย่างดีในบ้านเรา รุ่น 3 ประตู เหมาะมาก กับคนเพิ่งหัดขับรถ ถ้าไม่ติดใจ ในตำแหน่งเบาะนั่งกับพวงมาลัย ที่ปรับยังไง
ก็ไม่เข้ากับสรีระของคนขายาวเลยสักที และราคาอะไหล่ โดยเฉพาะ ชุด ขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่ค่อนข้างแพงเอาเรื่อง หากเบิกจาก
ศูนย์อะไหล่โดยตรง ขายไปได้เรื่อยๆ จนกระทั่งมีรุ่น Grand Vitara 5 ประตู เข้ามาในราวๆ ปี 1999 นั่นแหละ

——————————————————————————————————-

Toyota Corolla (88-92): ยุคหน้าของ Toyota ยังแรงในใจอยู่ในยุคนี้

J!MMY: Corolla AE92 นี่มาเปิดตัวในไทย เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 1987 และ โอ้!มายโดเรม่อน! นี่แหละใช่เลย สิ่งที่
Toyota ต้องการมานานหลายปีที่ทนขายโฉมก่อนหน้านั้น ภาพลักษณ์เปลี่ยนจากรถ AE80 12 วาล์ว ที่ดูเหลี่ยมๆป้อมๆโย่งๆ
หน้าตาน่าถีบ เพราะดูเหมือนปี๊บ มาเป็นโฉมใหม่ที่ออกเรียว เพรียว มีเส้นสายที่มีความทันสมัย สปอร์ตเหนือคู่แข่งอย่าง
Nissan Sentra และ Honda Civic อย่างชัดเจนทั้งภายนอกและภายใน ความสำคัญอีกอย่างของรถรุ่นนี้ก็คือมันเป็นตัวที่ปลุก
ปั่นเทรนด์ “แค็มแยะวาล์วเยอะ” ให้เป็นที่รู้จักในบรรดาลูกค้าไทย ถ้ายังจำกันได้ ลองนึกดูซิว่าสติกเกอร์ข้างแปะคำว่า
“TWINCAM 16 VALVE” น่ะคุณเห็นครั้งแรกในรถอะไร? จะว่าไป Toyota นี่เป็นอะไรกับวาล์วมากหรือเปล่าอ่ะ?
สมัย Starlet มาก็โปรโมตเทคโนโลยี 12 วาล์วซะอิ่ม

เสียดายอย่างเดียว เวอร์ชันไทย ตอนเปิดตัวครั้งแรก ติดตั้งอุปกรณ์มาได้แบบว่า…อย่าได้หันไปมองเวอร์ชันญี่ปุ่น ซึ่งเปิดตัว
เมื่อเดือนพฤษภาคม 1987 ปีเดียวกันนั่นเลยนะ เห็นแล้วจะชีช้ำกะกล่ำปลีเปล่าๆ เวอร์ชันญี่ปุ่น กันชนหน้า-หลัง สีเดียวกับตัว
ถัง ประตูมีกรอบกระจกสีดำ ตัวรถมีสีขาวให้เลือก ล้อลลอย 13 นิ้วขึ้นไป ภายในใช้เบาะกำมะหยี่สีแดง แอร์แบบกดปุ่ม
หน้าปัดดิจิตอล ตามแนวทาง Crown Junior ที่ Toyota ตั้งใจเอาไว้ พอมาถึงเมืองไทย ทุกสิ่งที่กล่าวมา มันหายวับกลับ
หลังหัน จากหน้ามือ เป็นหลังตีนเลยทีเดียว กันชนหน้า-หลัง สีดำยูรีเทน เบสิคๆ ทั้งรุ่น 1.6 และ 1.3 ลิตร เหมือนกันหมด
ล้ออัลลอย อย่าหวัง รุ่น 1.6 SE Limited เอาฝาครอบล้อแบบเต็มพื้นที่ จาก Corolla AE80 เวอร์ชันยุโรปไปก่อนแล้วกัน ภาย
ใน สีดำ หน้าปัดเข็มอะนาล็อกธรรมดาๆ โอ้ยยย เห็นแล้ว จิตเสื่อมจริงๆ

Commander CHENG : ใช่ (ออกเสียงยาวๆกึ่งประชด) แต่ Corolla รุ่นนี้ก็ยังเป็นรถที่น่านับถืออยู่ดีในฐานะที่เป็นค่ายแรก
ซึ่งจับเทคโนโลยีมัลติวาล์ว ยัดมาให้ในรถยนต์นั่งระดับทั่วไป สมกับสโลแกนของ Toyota ในยุคนั้นเลย (เร้าใจทุกเส้นทาง
ยุคหน้า..โตโยต้า) ว่าแต่ไม่ได้มีแค่เครื่อง 4A-F 1,600 ซี.ซี.นะ เพราะยังมีรุ่น 1.3 ลิตร 12 วาล์วเครื่อง 2E ตัวเก่าขายไป
พร้อมกันนี่แหละ และก็มีรุ่นพิเศษคือ Corolla Sporty ที่นำเอาเครื่อง 4A-F มาดัดแปลงเป็นคาร์บูเรเตอร์คู่ของเวบเบอร์ มีม้าให้
ขย่มเล่น 106 ตัว (เพิ่มขึ้น 12 ตัว) ภายนอกจะตกแต่งด้วยล้ออัลลอยขอบ 14 นิ้ว สปอตไลท์ และสปอยเลอร์หลัง เปิดฝากระ
โปรงหน้า โอ้โฮเว้ย! มีค้ำโช้คมาให้

J!MMY : รู้ป่ะ สมัยนั้นศัพท์การตลาด Toyota เขาเรียกค้ำโช้คว่าอะไร?

Commander CHENG : คงเป็น Strut bar ไม่ก็ Strut tower bar มั้ง ฝรั่งเรียกงั้น..

J!MMY : เปล่า เขาเรียกว่า “PERFORMANCE ROD”!!นี่เอามาจากโบรชัวร์เลยนะเฟ้ย

Commander CHENG : *%*!!@#&$ PERFORMANCE ROD! แท่งสมรรถนะ! hahaha ได้ยินว่าแม้แต่ช่วงล่างเขาก็เรียก
แม็คเฟอร์สันสตรัท 4 ล้อของเขาว่า Super GEO-SUS นี่หว่า (Super Geometrical Engineering Optimum SUSpension)
นัยว่าถึงจะเป็นแม็คเฟอร์สันสตรัทหน้าตาธรรมดาแต่ก็คำนวณองศาการยืดและยุบของช่วงล่างมาอย่างดีว่างั้น..เอาเถอะ แล้วรุ่น
ไมเนอร์เชนจ์ล่ะ?

J!MMY : นี่ละ ต้องรุ่นนี้ แก้ปัญหาทุกอย่างได้จบ เปิดตัวกันอย่างเป็นทางการ 2 พฤศจิกายน 1989 ไง แต่ความเปลี่ยนแปลง
หลักๆจะชัดที่รุ่น 1.6 นะ เพราะมันจะได้ไฟท้ายขาวแดงอย่างสวย จากเวอร์ชันไมเนอร์เชนจ์ที่ญี่ปุ่น มาใช้ เครื่องยนต์เดิมยังอยู่
ครบ แต่ที่เด็ดก็คือรุ่น SE.Limited Automatic มีเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ และมีพวงมาลัยเพาเวอร์สำหรับคนชอบความสะดวก
สบาย รถรุ่นนี้ถือเป็นรุ่นหนึ่งที่ช่วยในการเปลี่ยนค่านิยมของคนให้หันมาคบเกียร์อัตโนมัติมากขึ้น..ในระดับรถบ้านทั่วไปน่ะนะ
แล้วก็สำหรับคนรักความแรงต้องรุ่น 1.6 GTi ที่นับได้ว่าจี๊ดจ๊าดมากในยุคนั้น เพราะคุณท่านเล่นเอาเครื่อง 4A-GE ปั่นรอบจี๋
130.5 แรงม้ามาวาง (ทำไมต้องจุดห้าด้วยไม่รู้) สนองใจวัยมันส์กันสุดฤทธิ์ ดิสก์เบรค 4 ล้อ หม้อลมขยายเป็นขนานเก้านิ้ว
เบาะสปอร์ตปรับดันหลังและปรับความกระชับปีกข้างได้ มาตรวัดรอบมีเลขถึง 9 พัน และไม่มีพวงมาลัยเพาเวอร์ ตอนนี้ใครมีรถ
รุ่นนี้อย่าได้ขาย มันนี่ล่ะของขลัง เก็บให้จงดี ครูของข้าพเจ้า เคยมีอยู่ 1 คัน ซื้อเป็นสีดำ ตั้งแต่ออกมาใหม่ๆเลย ตอนนี้แกเสีย
ไปแล้ว และทราบมาว่า รถคันสีดำสุดรัก ของแกเอง ก็ ขายไปแล้ว

——————————————————————————————————–

Toyota Corolla AE101 (92-96) : ตำนานแห่งความทนทานไว้ใจได้ที่ไม่มีใครเทียบ

Commander CHENG : นี่สิของขลัง AE92 GTi น่ะแรง..ถูก แต่รถคู่ขวัญ คู่ใจประชาชนทุกครัวเรือนมันต้องนี่! มันคือ
Corolla โฉมที่เราเรียกกันว่า “สามห่วง” ถ้าเป็นกระเบื้องมุงหลังคา ห้าห่วงทนหายห่วง ถ้าเป็นรถ สามห่วง ทนยิ่งกว่าห้าห่วง
นับตั้งแต่วันที่มันเปิดตัว ประชาชนทุกหมู่เหล่าให้การต้อนรับอย่างล้นหลาม Corolla อาจจะดูเหมือนลดต้นทุนแต่เคยสงสัยไหม
ว่าทำไมมันเป็นรถที่ใช้ทน ซ่อมถูก ไม่จุกจิก ผมเคยมีรุ่นน้องที่ใช้รถไปหลายหมื่นกิโลโดยไม่เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ผลคือความ
ร้อนขึ้นแต่หลังจากเปลี่ยนถ่ายน้ำมันใหม่ มันขับต่อได้โดยไม่มีปัญหาอะไรอีกเลย ส่วนรุ่นน้องอีกคน ไปจอดรถไว้หน้าบ้าน
จูนเนอร์ผม แล้วฝนตกหนัก วันนั้นวิภาวดีน้ำท่วม Corolla คันนี้จมน้ำเกือบครึ่งคัน น้ำท่วมเข้าไปในรถจนเรียกว่าวางเท้าบนพื้น
รถก็เจอน้ำจ๋อมแจ๋ม รู้มั้ยว่ามันกับจูนเนอร์ทำอะไรต่อ? มันสตาร์ทรถแล้วขับลุยน้ำเล่นในซอยทั้งที่น้ำเต็มรถอย่างนั้น แถมลุยที
น้ำกระเซ็นกระจายสูงยังกะเครื่องเล่นตามสวนสนุก เอาแบบว่าเล่นกันกะให้เครื่องพังไปเลยอย่างนั้น ปรากฏว่ารุ่งเช้าพอน้ำลด..
เปิดประตู ดูดน้ำออก เอากล่อง ECU มาเป่าแห้ง เสียบกลับเข้าไปใหม่ ..เวร รถวิ่งต่อได้ทุกอย่างเป็นปกติ..มันจะบ้าไปแล้ว
ถ้าผมต้องขับรถข้ามแอฟฟริกา ผมขอรุ่นนี้เลย

J!MMY : เล่นซะยาวเชียว  ดูจากชื่อชั้นแล้วไม่แปลกหรอกที่จะขายดี เพราะ ในความเห็นส่วนตัวของผม นี่คือ Corolla ที่ดีที่
สุด เท่าที่เคยมีการผลิตออกขายกันมา
Corolla โฉมนี้เปิดตัวในญี่ปุ่น เดือนพฤษภาคม 1991 แต่มาขึ้นสายการผลิต และเปิดตัว
ในเมืองไทย 13 มีนาคม 1992 สร้างประวัติศาสตร์ยอดขายให้โตโยต้าไทยอย่างถล่มชิบหายทลายวายป่วง  ยอดจองในช่วง
แรกนั้นถล่มผู้แทนจำหน่ายจนโตโยต้าไทยประกอบรถขายไม่ทัน โชคดีที่ช่วงนั้นเราเปิดนโยบายลดกำแพงภาษีนำเข้าแล้ว
ไทยเราก็เลยต้องไปเอารถรุ่น LX Limited นำเข้ามาจากเมืองนอกมาช่วยเสริมทัพ (รถพวกนี้ล้อแม็กจะมีฝาปิดรูน็อตสวยงาม)
ลูกค้าคนไหนอยากได้ก็เพิ่มเงินแค่ 5,000 บาทเอง คุ้มไหมล่ะ?

Commander CHENG : ถึงแม้เครื่อง 4A-GE จะไม่มีมาให้เลือกแล้ว แต่ 4A-FE หัวฉีด 110 แรงม้าก็พอเพียง มีพวงมาลัย
เพาเวอร์ และมีรุ่นเกียร์อัตโนมัติให้เลือกเช่นเคย รถรุ่นนี้เป็น Corolla รุ่นแรกที่หันมาใช้น้ำยาแอร์แบบ R134a ด้วย ส่วนรุ่น
ประหยัดก็ยังใช้เครื่อง 1.3 ลิตรคาร์บูเรเตอร์เหมือนเดิม

ส่วนในด้านความปลอดภัย แม้รถรุ่นนี้จะยังไม่ได้รับการติดตั้งถุงลมนิรภัยหรือ ABS แต่ก็มีคานเหล็กนิรภัยในประตูแต่ละบานซึ่ง
Toyota เรียกว่า Side Impact Beam มาให้ และดูเหมือนจะเป็นการโฆษณาที่ได้ผลเพราะหลังจากนั้นมาคานเหล็กที่ว่านี่เริ่มมี
ค่ายอื่นนำไปใช้มากขึ้น จริงๆแล้วมันอาจจะมีรถที่ใช้คานเหล็กด้านข้างแบบนี้ก่อนหน้าสามห่วง แต่รถคันนั้นคงไม่ได้ราคา
ห้าแสนกลางๆแน่

J!MMY : ไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรกมาในช่วงปลายปี 1993 โดยเปลี่ยนไฟท้ายจากสีส้มแดงเป็นขาวแดง ย้ายไฟถอยกับไฟเลี้ยว
มาอยู่ด้านบน โละเครื่องคาร์บูเรเตอร์ 1.3 ลิตรบล็อค 2E ทิ้ง หันมาใช้เครื่อง 4E-FE หัวฉีดแทน (88 แรงม้า) นี่ก็พูดได้เลยว่า
เป็นการปิดฉากการใช้คาร์บูเรเตอร์จ่ายน้ำมันของรถเก๋ง Toyota ไทยลงอย่างสิ้นเชิง หลังจากนั้นก็มีนาโนเชนจ์อีกครั้ง
โดยเปลี่ยนชื่อเรียกรุ่นจาก 1.6GLi, 1.3GLi และ 1.3XLi เป็น 1.6GXi, 1.3GXi และ 1.3 DXi นอกนั้นนึกไม่ออกว่ามันเปลี่ยน
ตรงไหน?!?

 ——————————————————————————————————–

Toyota Corona Exsior : ตูดโด่งแล้วไง? ปลอดภัยละกัน โอเค๊

Commander CHENG: รถรุ่นนี้จะเป็นเพียงแค่รถบ้านธรรมดาคันนึงที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นรถบ้านราคา
หลักแสนที่ส่งเสริมให้เจ้าตลาดทุกค่ายหันมาเล่นกับอุปกรณ์ความปลอดภัยกันอย่างเอาจริงเอาจัง Exsior จริงๆแล้วก็คือ
Corona ท้ายโด่งที่เปิดตัวมาตั้งแต่สิงหาคม 1992 เป็นไฟท้ายแดงแผงทับทิมยาว หลังจากนั้นปี 1994 ก็เปิดตัวรุ่นไมเนอร์
เชนจ์เปลี่ยนกระจังหน้าและไฟท้ายที่ย้ายเอาป้ายทะเบียนขึ้นมาอยู่บนฝากระโปรง สองรุ่นนี้ไม่ใช่รถที่ผมเน้นนัก เพราะพระเอก
ตัวจริงอยู่นี่..Corona Exsior นั่นเอง

รถรุ่นนี้ ถูกเปิดตัวในเดือนสิงหาคม 1996 และโฆษณาจุดขายที่ความปลอดภัย จากรุ่นเดิมที่มีเบรค ABS อยู่แล้ว ก็ได้มีการเพิ่ม
ถุงลมนิรภัยให้ ที่น่าสนใจคือแม้จะมีเพียงถุงลมนิรภัยข้างคนขับข้างเดียว แต่ก็มีการติดตั้งมาให้ตั้งแต่รุ่น GXi เกียร์ธรรมดาที่่
ราคาถูกที่สุด ไปจนรุ่นท้อป SE-G 4ECT ทีนี้ในปี 1996 นั้นคุณอาจจะเห็นรถนับสิบรุ่นจากฝั่งยุโรปที่มีถุงลมนิรภัย แต่กับรถ
ญี่ปุ่นประกอบในประเทศ C และ D-Segment นั้นยังถือเป็นของแปลก คู่แข่งประกอบในไทยด้วยกันอย่าง Cefiro A32,
Primera, Galant Ultima ยังไม่มีมาให้  และลองหาหนังสือรถเก่าๆมาอ่านดูจะสังเกตได้ว่าหลังจาก Exsior วางตลาดไปได้สัก
พัก เราก็เห็นคู่แข่งค่ายอื่นทยอยประเคนทั้ง ABS และถุงลมนิรภัยมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานมากขึ้น จนมาถึงทุกวันนี้เราไม่เห็น
รถญี่ปุ่นทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ ที่ขาดอุปกรณ์ทั้งสองไปเลยสักรุ่นเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะ Toyota เลือกที่จะรุกด้วยกลยุทธ์ความ
ปลอดภัยในครั้งนั้น คงกินเวลานานกว่านี้อีกสักพักกว่าที่ตลาดรถบ้านเราจะได้ใช้ถุงที่ว่านี่กันอย่างแพร่หลาย (จริงๆแล้วต้อง
ขอบคุณทั้ง Exsior, Corolla และ Soluna เลย เพราะทั้งสามรุ่นคือรถญี่ปุ่นประกอบในประเทศที่บุกเบิกกระแสถุงลมนิรภัยใน
วงการก่อนเปลี่ยนสหัสวรรษ)

หลังจากนั้น Exsior มีการไมเนอร์อีกครั้งก็เดือน พฤษภาคม 1998 มองจากภายนอกแล้วส่วนที่เปลี่ยนไปก็คือไฟหน้ามัลติรี
เฟลคเตอร์ เพิ่มไฟเลี้ยวด้านข้าง รุ่น 2.0 เปลี่ยนล้ออัลลอยจาก 6 เป็น 7 รู รุ่น 1.6 เปลี่ยนฝาครอบล้อ ส่วนภายในนั้นรุ่น 2.0
เปลี่ยนพวงมาลัยจาก 4 ก้านมาเป็น 3 ก้าน จาก Corona Premio ในญี่ปุ่น (ซึ่งไม่มีมาขายในไทย แต่พอมีรถนำเข้า มาวิ่งอยู่
บ้าง) และมีลายไม้ตกแต่งคอนโซลกลางเพิ่มมาให้ ที่จะขาดไม่ได้คือถุงลมนิรภัยฝั่งผู้โดยสารที่มีมาให้แล้วเสียทีในรุ่น 2.0
จะได้สมกับที่เขาเรียกว่า “Corona Exsior..สุดยอดยนตรกรรมแห่งความปลอดภัย” แต่ราคา ณ ปี 98 รุ่นท้อปก็เฉียดล้านแล้ว
นะ ที่ 9.5 แสนบาท บางคนก็บอกว่าเก็บเงินต่ออีกนิด ออกรถใหญ่อย่าง Camry ไปเลยดีกว่า

J!MMY : น่าเสียดายที่ต่อมาไม่นาน เราก็ได้เห็นอวสานของแบรนด์เนม Corona ในประเทศไทย ซึ่งมาสิ้นสุดลงที่รถรุ่นนี้
เพราะ Toyota คิดว่าแนวโน้มของตลาดจะมีความต้องการรถที่ตัวถังใหญ่ขึ้น ซึ่ง Toyota เองก็เริ่มนำเข้า Camry จาก
ออสเตรเลียมาชิมลาง มาตั้งแต่ สิงหาคม 1992 และได้รับการตอบรับที่ดี Honda เองก็เลือก Accord ตัวถังเวอร์ชั่นอเมริกาที่
ตัวใหญ่กว่าเวอร์ชั่นญี่ปุ่น มาขายในเดือนพฤศจิกายน 1997 ส่วน Nissan ก็เอา Cefiro A32 ที่ตัวใหญ่ไม่แพ้กันมาใช้ ถ้าขืนยัง
ขาย Corona ซึ่งเป็นรถตัวถัง narrow body ต่อไปก็จะไปแย่งตลาดกันเองกับรุ่นใหญ่อย่าง Camry และรุ่นน้องอย่าง Corolla
ดังนั้น Toyota จึงยุติบทบาทการทำตลาดของ Corona ไป เมื่อช่วง ปลายปี 1999 เหลือทิ้งไว้แต่ คำเล่าขานที่ว่า นี่คือ
Toyota รุ่นสุดท้ายในเมืองไทย ที่คนทำ เขาใส่ของมาให้เต็มที่ โดยแทบไม่ค่อยจะลดต้นทุนเลย

———————————————————————————————————-

Toyota HiAce/Commuter : เจ้าแห่งรถตู้ประจำยุค 1989 – 2004

J!MMY : โห! เกือบลืมรถรุ่นนี้ไปแล้ว! นี่มันตำนานรถตู้แห่งสยามประเทศเชียวนะ เพราะไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาที่ชอบเช่ารถตู้
ไปเที่ยว เป็นพนักงานบริษัทที่ต้องติดต่องานตามที่ต่างๆด้วยรถตู้องค์กร หรือเป็นนักศึกษาที่ต้องไปมหาวิทยาลัยโดยการจับ
รถตู้อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แน่นอนว่าชีวิตของคุณต้องผ่านรถตู้รุ่นนี้มาบ้าง  HiAce น่ะมีขายในไทยมาหลายสิบปีแล้ว แต่รุ่นที่น่า
จะจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ที่เราจะพูดถึงนี่คือ HiAce โฉมปี 1989 – 2004 หรือเป็นโฉมที่บรรดาเต็นท์รถชอบเรียกกันว่ารุ่น
“หัวจรวด” นั่นเอง HiAce รุ่นนี้นับว่าเปิดตัวมาได้ถูกจังหวะ ถูกเวลาอย่างมาก เพราะบรรดาคู่แข่งไม่มีรถที่หน่วยก้านเทียบมัน
ได้เลยในด้านการออกแบบ ส่วนหน้าที่มีความโค้งมนจนเป็นที่มาของฉายานั้นเป็นจุดเด่น และเป็นเอกลักษณ์ของตัวรถ ทำให้
ใครก็ตามที่กำลังคิดจะซื้อ Isuzu Buddy Mitsubishi L300 หรืออดีตเจ้าตลาดเดิมอย่าง Nissan Urvan ต้องเปลี่ยนใจกันแบบ
กระทันหัน และนับจากจุดนั้นเป็นต้นมา HiAce คือชื่อที่ครองแชมป์ยอดขายในเซกเมนต์รถตู้ประกอบใน และนอก ราคาหลัก
แสนมาจนกระทั่งปัจจุบัน

Commander CHENG : HiAce รุ่นปี 1989 กระจังหน้า เอาเวอร์ชันญี่ปุ่นแบบหรู มาขายเลยทีเดียว เพราะรุ่นนี้ มีกระจังหน้า
อยู่ หลายแบบ ใช้เครื่องยนต์ดีเซลรหัส 2L บล็อก 4 สูบ 2.4 ลิตร 89 แรงม้า ตัวเดียวกับที่ Hilux Mighty-X ใช้ ดังนั้นเรื่อง
อะไหล่และการซ่อมบำรุงจึงใช้ร่วมกันได้ และไม่รู้ว่าดีหรือเปล่าที่เป็นอย่างนั้นเพราะ 2L นี่ฝาสูบโก่งเพราะตัวร้อนกันเป็นว่าเล่น
นะ ส่วนเครื่องเบนซินก็มี 1RZ 2.0 ลิตรคาร์บูเรเตอร์ให้เลือก จุดเด่นอีกอย่างของ HiAce นี้คือถึงแม้จะเป็นรถตู้ แต่ทดวงเลี้ยว
มาได้แคบมาก รัศมีวงเลี้ยวแคบแค่ 5.2 เมตรเท่านั้น (และ 5.7 เมตรหากเป็น Commuter) พอมาปี 1993 ก็มีการ
ไมเนอร์เชนจ์ เปลี่ยนกันชัดเจนที่สุดคือด้านหน้ารถ ไฟหน้าเปลี่ยนใหม่ ย้ายไฟเลี้ยวไปไว้ด้านข้างแทนที่จะเป็นด้านใต้ไฟหน้า
แบบเดิม เปลี่ยนทรงของกระจังหน้าเพื่อรับกับโลโก้สามห่วง ซึ่งเป็นโลโก้ใหม่ของ Toyota ในขณะนั้นโดยที่เครื่องยนต์กลไก
ต่างๆยังคงเดิม

พอปี 1995 ก็มีเครื่องยนต์ 3L ขนาด 2.8 ลิตรดีเซล 95 แรงม้าที่นอกจากวางใน HiAce แล้วก็มีให้เลือกใน Commuter 14
ที่นั่งช่วงยาวด้วยเช่นกัน มาไมเนอร์เชนจ์กันอีกครั้งในปี 1998 โดยเปลี่ยนลายกระจังหน้าใหม่ เปลี่ยนไฟหน้า ย้ายไฟเลี้ยว
กลับมาอยู่ข้างใต้อีกครั้ง (ทำไมต้องย้ายมันกลับไปกลับมาด้วยฟะ?) เปลี่ยนพวงมาลัย 2 ก้านให้ดูทันสมัยขึ้น ส่วนขุมพลังดีเซล
ก็ขยับจาก 3L 2.8 ลิตร เป็น 5L 3.0 ลิตร แบบเดียวกันกับที่ใช้อยู่ใน Hilux Tiger นั่นเอง

———————————————————————————————————-

Toyota Land Cruiser VX80/Prado : ตำนานเจ้าป่าของ Toyota เอกลักษณ์แห่งยุคฟองสบู่

J!MMY : VX80 น่ะ โตโยต้า ประเทศไทย ไม่ได้เอามาขายเองหรอก แต่ Prado น่ะเอามาทั้ง 2 รุ่น (แต่ผมชอบรุ่นหลังสุด
ก่อนรุ่นใหม่ล่าสุดมากกว่า)

Commander CHENG : เริ่มที่ VX80 ก่อนละกัน ผมมีความหลังกับรถรุ่นนี้นะ ในช่วงกระแสรถนำเข้ามาแรง เราคงจำกันได้
ว่านอกจาก Mitsubishi Pajero แล้ว มันยังมีออฟโรดหรูอย่าง Land Cruiser VX80 นี่อีกด้วย แม้จะนำเข้ามาโดยผู้นำเข้าอิสระ
ก็ตาม แต่จะเห็นได้ว่าบางครั้งรถเกรย์ก็มีสิทธิ์ขายดีได้นะ โดยเฉพาะเมื่อลูกค้าของคุณรวยพอ VX80 ที่มีวิ่งในไทยส่วนมากจะ
เป็นโฉมปี 1995 ขึ้นมา (สังเกตได้จากโลโก้ที่กระจังหน้าจะเป็นตราสามห่วง ไม่ใช่อักษร “TOYOTA”) และยัดออพชั่นมาให้
ชนิดที่กะฆ่า Pajero ทันทีที่พบ แน่นอน..เบาะหนังปรับด้วยไฟฟ้า มูนรูฟ แอร์อัตโนมัติ Cruise control เข็มทิศและมาตรวัด
ระดับความสูงแบบอนาล็อก มีมาให้พร้อม และเนื่องจากมาดของรถเป็นจอมลุย ผู้นำเข้าอิสระหลายรายจึงมักแถมชุดการ์ดหน้า
ชุดกันแมลง เครื่องกว้าน (Winch) และบันใดหลังมาให้ แถมคาดสติกเกอร์ลายภูเขารอบคันชนิดที่ถ้าสมัยนี้ใครทำคงมีแต่คน
หาว่าบ้า

Land Cruiser ที่ถูกนำเข้ามาเกือบจะทั้งหมดเป็นเครื่องเบนซิน 4.5 ลิตร 1FZ-FE 212 แรงม้า..หึหึ คงไม่ต้องสืบว่าจะสูบ
น้ำมันโหดขนาดไหนโดยเฉพาะเมื่อรถทั้งคันหนัก 2.3 ตัน แปลกมากที่สมัยนั้น VX80 สามารถพบเห็นได้บ่อยไม่แพ้ Pajero
ทั้งๆที่โตโยต้าไทยไม่ได้เอาเข้ามาขายเองอย่างเป็นทางการ ทั้งๆที่มันกินน้ำมันยังกะปล้น และทั้งๆที่มันไม่ใช่รถที่ค่าซ่อม
บำรุงหรืออะไหล่ถูก อาจเป็นเพราะความสามารถที่รอบด้านของตัวรถที่ตอบโจทย์ความหรูไม่แพ้ Land Rover Discovery I
บวกกับความที่ “เป็น Toyota แล้วไม่น่าจะพัง” ทำให้ได้รับความนิยม คุณพ่อของผมเองท่านก็เคยมีอยู่คันนึง แต่เป็นเครื่อง
ยนต์ 1HD-FT ดีเซลเทอร์โบ 4.2 ลิตร 175 แรงม้า เราเคยขับไปโคราชด้วยกัน ระหว่างทางก็ไปเจอกับ VX80 เบนซิน
สีเขียวเหมือนรถเราเลยคันหนึ่งขับกวดมา และฉีกออกแซงอย่างช้าๆ พ่อผมมองคนขับ คนขับรถคันนั้นมองพ่อผม ต่อมารถถัง
เขียวๆ 2 คันนี้ก็วิ่งไล่บ้างตีคู่กันบ้างด้วยความเร็วระดับ 180 ไปเกือบตลอดทางสู่ภาคอีสาน ผมไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้กับ CR-V
คันใหม่เลย

J!MMY : ในความเห็นผม VX80 น่ะมันใหญ่เทอะทะ เหมาะกับพวกออสเตรเลียนมากกว่า แต่ Land Cruiser Prado นี่อีกเรื่อง
นึง เพราะขนาดลดลงมาพอสมควรแต่พื้นที่ใช้สอยและความสบายภายใน พูดตรงๆเลยว่า VX80 อายละกัน แม้ภายนอกจะดูทื่อๆ
ไม่สวยเลยก็ตาม Prado สเป็คที่ Toyota ประเทศไทยนำเข้ามาเป็นเครื่องเบนซิน 5VZ-FE 190 แรงม้า แต่เอาเข้ามาทั้งทีมี
แค่มาตรวัดชุดกลางดิจิตอลเท่านั้นที่ถือว่าล้ำ นอกนั้นเรื่องอื่นไม่ได้มีอะไรโดนใจกว่า Pajero V6 3.5 เท่าไหร่ ในภายหลังพวก
เกรย์มาร์เก็ตก็เอารถ 2.7 เบนซินกดราคาถูก กับรุ่น 3.0 ดีเซลเทอร์โบที่ออพชั่นเพียบสไตล์ญี่ปุ่นมาขาย แน่นอนว่าถึงแม้ใน
แนวคิดมันจะเป็นรถที่เหมาะกับเมืองไทยมากกว่า แต่ความรวยของคนไทยในช่วงก่อนฟองสบู่แตกสั้นๆนั้นทำให้ VX80 เป็นรถ
ที่ประสบความสำเร็จมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

——————————————————————————————————-

Toyota Soluna AL50 : ประขายนต์ของคนไทย ยุควิกฤติต้มยำกุ้ง

J!MMY : จำได้ไหมว่า Honda Civic 3 ประตูทำสถิติยอดจองไว้เท่าไหร่? งั้นต้องลองดูสถิติของ Toyota กันหน่อยกับยอด
จองภายใน 3 วัน ทำได้ 28,765 คัน! นี่คือสิ่งที่กลายเป็นหน้าประวัติศาสตร์ของ Toyota ภายหลังงานเปิดตัวที่ศูนย์การ
ประชุมแห่งชาติสิริกิต์ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 1997 ตัวเลขยอดขายพุ่งแรงจนเกินการคาดคะเนของ Toyota เอาไว้มาก และต่อให้
ทุกวันนี้ก็ไม่เคยมีรถรุ่นไหนของค่ายใด ทำยอดจองลบสถิตินี้ได้ Soluna คือรถที่พัฒนาภายใต้แนวคิดรถครอบครัวราคาประหยัด
โดยเป็นผลงานครั้งแรกของ Toyota ที่ทีมงานไทย กับทีมงานญี่ปุ่นจับมือกันพัฒนาขึ้น โดยเริ่มโครงการกันตั้งแต่ปี 1992
ภายใต้การนำของหัวหน้าวิศวกร Takeshi Yoshida (ชายคนนี้ในภายหลังก็เป็นหวัหน้าทีม ที่สร้างผลงานอย่าง Corolla Altis
ZZE-122 รุ่น Brad Pitt ตามด้วย Wish และ Matrix ในสหรัฐฯ ทุกวันนี้ก็กลายเป็นผู้บริหารระดับสูง จะว่าไปแล้วก็เกิดในวงการ
ได้เพราะ Soluna นี่เอง) Soluna มีการแบ่งสเป็คออกเป็น XLi, SLi และรุ่น GLi ตัวท้อป ซึ่งมี Airbag มาให้ ในราคา 502,000
รวม VAT และเครื่องปรับอากาศณ วันเปิดตัว ราคานี้ อะเมซซิง ไทยแลนด์ เป็นที่สุด

Commander CHENG : ชื่อของรถรุ่นนี้เกิดจากนำภาษาสเปนมาผสมกันระหว่างคำว่า Sol ที่แปลว่าพระอาทิตย์ และ Luna
ที่แปลว่าพระจันทร์ นับว่าเป็นการตั้งชื่อที่ผมชอบจนขอยกนิ้วให้เพราะมันมีความหมายที่เข้าใจง่ายและยังง่ายต่อการออกเสียง
สำหรับคนไทยอีกด้วย Soluna ในสมัยนั้นเป็นรถยอดนิยมของชนชั้นกลางโดยแซงหน้า City มายืนตำแหน่งแชมป์ได้อย่างง่าย
ดาย ความเบาของตัวถัง (935 ก.ก. ในรุ่นท้อป) ยังทำให้เป็นรถที่ขับได้คล่อง ในยุคที่จิมคาน่าเพิ่งเริ่มฮิตในประเทศไทย คุณ
ป๊อบ สุธีรพงษ์ โสมะบุตร ใช้รถ Soluna เกียร์อัตโนมัติในการแข่งและได้แชมป์รุ่นเล็กมาครอง (ทุกวันนี้เจ้าตัวเป็นเซียนเซอร์กิต
ไปแล้ว) ทุกวันนี้เรายังสามารถเห็นมันวิ่งบนท้องถนนได้แม้จะเริ่มกระจายตัวหายไปอยู่ตามต่างจังหวัดบ้าง

J!MMY : ถึงตอนเปิดตัว จะมีแคมเปญโฆษณา ใหญ่โต อลังการ ในชื่อชุด “การเดินทางอันยิ่งใหญ่” จากปารีส มาถึง
บางกอก มีพรีเซ็นเตอร์ เป็น พี่โด๋ มรกต โกมลบุตร อดีต DJ Fat Radio 104.5 MHz. (พี่โด๋ จังหวะนรก ของโน้ต อุดมฯ ใน
“เดี่ยว 1”) และเพื่อน แต่ยอดขายที่พุ่งพรวดพราด ในช่วงแรกๆนั้น มันกลายเป็นเพียงความทรงจำสั้นๆ เพราะเมื่อหลังปรับโฉม
ไมเนอร์เชนจ์ ในปลายปี 1999 แล้ว ยอดขาย ในแต่ละเดือน กลับไม่อาจจะสู้ Honda CityType Z ได้เลย ไม่ว่าจะงัดแผนการ
ตลาด ประกวด หนุ่มสาว ปั้นดาวเข้าวงการ (จน โจ นินนาท สินไชย ได้เข้าวงการโด่งดังตามมา) หรือ สร้างกระแสฮือฮา ตาม
มาด้วยขวดแก้ว ไข่ไก่ ที่คนเขารุมด่า จากโฆษณาแย่ๆ อย่าง “0-100 เมตร (ขอย้ำ เมตร) ในเวลา 9 วินาที” ก็ไม่มีใครอยาก
จำ เพราะมันเป็นตัวเลขที่สากลโลกเขาไม่วัดกัน ทั้งหมด เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน จน Toyota ผูกใจเจ็บ ซุ่มแก้แค้น ทำรถมาใหม่
เป็น Soluna Vios นั่นเองและเรื่องราวหลังจากนั้น มันก็กลับตาลปัตร โดยสิ้นเชิง อยากรู้ว่าเป็อย่างไร อ่านต่อไปข้างล่างครับ

———————————————————————————————————-

Toyota Supra JZA80 : Japanese-born Supercar Slayer

J!MMY : อะไร! Supra เนี่ยนะ?

Commander CHENG : เออสิ  รู้จัก Supra Club หรือ siamspeed กับเขาบ้างหรือเปล่าเนี่ย Supra JZA80 นี่ถ้าจะกล่าว
ว่าไม่มีส่วนเป็นตำนานให้กับวงการรถไทยล่ะก็ผมเห็นทีจะยอมไม่ได้ รถรุ่นนี้เป็นอีกรุ่นที่เข้ามาขายในไทยโดยผ่านผู้ำนำเข้าอิสระ
แต่กลับขายได้..แน่ล่ะสิ ราคากำหนดแต่ละที่ไม่แน่นอนและไม่เท่ากัน บางที่นำรุ่นแรงๆมาขายในราคาไม่ถึง 3 ล้าน แม่เจ้า
280 แรงม้า 460 นิวตันเมตรในราคาประมาณ Golf GTi ของทุกวันนี้เนี่ยนะ?

Supra ในญี่ปุ่น เปิดตัวตั้งแต่ต้นปี 1993 โดยมีเครื่องให้เลือก 2 แบบคือ 2JZ-GE หายใจธรรมดา 225 แรงม้า และ 2JZ-GTE
ทวินเทอร์โบ 280 แรงม้า สำหรับประเทศไทยนั้นรถส่วนมากที่นำเข้ามาจะเป็นอย่างหลัง แต่ที่น่าแปลกคือรถที่ใช้เกียร์
อัตโนมัติก็มียอดขายที่ดีไม่แพ้รถเกียร์ธรรมดา 6 สปีด Supra เป็นรถที่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก (1.5 ตัน) ทำให้ไม่ค่อยมีชื่อเสียง
ในการแข่งขันดริฟท์เหมือนรถจากค่ายคู่แข่งที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ แต่บนสนามแดร็กทางตรง ไม่มีใครไม่รู้จัก “สองเจ” ซึ่ง
กลายเป็นว่าเครื่องยนต์ที่ Supra ใช้มีชื่อเสียงและเป็นที่ต้องการมากกว่าตัวรถเสียอีกด้วยความที่ออกแบบมาดี และมีความทน
ทานต่อการทารุณกรรมสูงมาก รองรับแรงม้าได้มากโดยที่แทบไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม หรือถ้าทำเพิ่มล่ะก็..แรงบิดมากพอจะหมุน
โลกทั้งใบได้เลยด้วยความจุพิกัดแค่นี้แหละ ในขณะที่ GT-R R32 เป็นรถที่พาเราลุ้นการควอเตอร์ไมล์ตอกเวลาเลขตัวเดียว
Supra นี่ล่ะคือรถที่พาโลกควอเตอร์ไมล์ประเทศไทยเข้าสู่เลขหลัก 7.xx วินาทีด้วยฝีมือของพี่ตา อู่ RAM77

Supra ยิ่งได้รับชื่อเสียงจากการปรากฏบนภาพยนตร์ Fast & Furious ภาคแรกซึ่งพระเอก Paul Walker ใช้ Supra ขับเคี่ยว
กับรถกล้ามโตของ Vin Diesel ในตอนท้ายเรื่อง หนังเรื่องนี้ในสายตาคนทั่วไปไม่มีอะไร แต่ที่จริงมันก่อให้เกิดกระแสความเชื่อ
ว่ารถญี่ปุ่นโมดิฟาย สามารถทาบรัศมีซูเปอร์คาร์ได้ นักวิจารณ์ภาพยนตร์บางคน (ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยรู้เรื่องรถ) วิจารณ์อย่าง
เสียหายเลยว่าหนังเรื่องนี้โม้ประสิทธิภาพรถญี่ปุ่นเกินจริง..พวกเราที่อยู่ทุกวันนี้ก็คงทราบดีว่าอะไรคือความจริง

สำหรับคนที่ไม่เคยออกจากบ้านตอนดึกและไม่ได้ติดตามเว็บรถตลอดเวลาอาจจะไม่ทราบว่านานมาแล้วเคยมีคนรัก Supra
และสปอร์ตญี่ปุ่นที่มักรวมกลุ่มกันใกล้ทางด่วนราวกับหนังญี่ปุ่น จุดมุ่งหมายหลักจะอยู่ที่การสอดส่องลูกกะตามองหาบรรดา
ซูเปอร์คาร์ยุโรปซึ่งมักจะหนีไม่พ้น Ferrari และ Porsche (และบางครั้งสำหรับบางคน Lambo ก็เข้าท่า) จากนั้นเมื่อพบแล้ว..
พระมหาอุปราชก็จะไสแพนด้าเข้าสนามรบ แช่ความเร็วแข่งกันจนท่อไอเสียร้อนแดงฉานยังกะลาวา..มันฟังดูเหมือนหนังใช่
ไหม? แต่นี่เรื่องจริง และมันเกิดขึ้นได้เพราะเรามีผู้สนับสนุนอย่าง Supra

J!MMY : แล้วกลุ่มคนเหล่านั้นทุกวันนี้เป็นไง

Commander CHENG : ขาย Supra เลื่อนขั้นไปขับ Ferrari กันหมดแล้ว

—————————————————————————————————–

Toyota Soluna Vios: เล็กพริกขี้หนูที่คนไทยควรภูมิใจ!

J!MMY : Vios คือความพยายามของ Toyota ที่จะกำราบ Honda ในตลาด B-Segment ให้อยู่หมัด หลังจากที่ศึกษารูป
แบบมวยของ City Type Z คู่แข่งตัวฉกาจ ที่ตนพลาดท่ามาแล้ว Toyota สร้างแนวทางการออกแบบของรถรุ่นใหม่ให้มีความ
เป็นสปอร์ตแฝงอยู่ ที่สำคัญคือพละกำลังของเครื่องยนต์ 1NZ-FE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร EFI ซึ่ง Toyota วางพิกัด
ไว้ที่ 109 แรงม้าเพื่อเขยิบจากม้า 90 กว่าตัวใน Soluna AL50 เข้าหาเพดานเดียวกันกับคู่แข่ง ซึ่งเส้นทางที่ Toyota เลือก
นั้นนับเป็นโชคดีโดยแท้ เพราะ Honda เปิดตัว City รุ่นใหม่ซึ่งละทิ้งความเป็นสปอร์ตไปหาแนวรถครอบครัวสุดขั้ว แถมยังพก
ม้า มาแค่ 88 ตัวเท่านั้น ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังมีความหวาดระแวงกับเทคโนโลยีเกียร์ CVT ของ City อยู่ ดังนั้น เมื่อ Toyota
มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่สปอร์ตกว่า แรงม้าเยอะกว่า และยังใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ อันเป็นที่รักของประชาชนอยู่
โหมกระหน่ำด้วยการใช้ Britney Spear นักร้องดังเป็นพรีเซนเตอร์ ยอดขายในช่วงแรก แม้ดูเหมือนสูสี กัน แต่นั่นก็แค่ 1-2
เดือนแรกที่เปิดตัว เพราะหลังจากนั้น แทบไม่ต้องสืบว่าใครจะเป็นผู้ชนะ

ช่วงล่างของ Vios สเป็คเมืองไทยนั้น มีเรื่องเล่ากันว่าในช่วงแรก ทางญี่ปุ่นเลือกช่วงล่างสเป็ค 1 ซึ่ง นุ่มสุด ย้วยสุด
จาก Vitz/Yaris เวอร์ชันญี่ปุ่น มาให้คนไทยใช้ พร้อมกับให้เหตุผลว่า “คนไทยขับรถไม่เร็ว” ทางฝั่งไทยได้ยินดังนั้นก็มีอารมณ์
ประมาณว่า “อ๋อออออ เหรออออ” แล้วก็จัดแจงพาตัวแทนวิศวกรญี่ปุ่น มาลองนั่งรถเล่นบนทางด่วน บูรพาวิถี หลังจากโดนทั้ง
รถบ้านและรถส่งผักแซงไปด้วยความเร็วท้ายมบาลหลายต่อหลายคัน คนญี่ปุ่นก็บรรลุโสดาบัน ว่าคนไทยเป็นชาติที่ขับรถไม่
ธรรมดา เราจึงได้ช่วงล่างสเป็ค 3 ซึ่งมีความหนึบเท่าเทียมกับ Yaris T Sport ตัวท้อปของทวีปยุโรป ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจ
ที่การทรงตัวที่ความเร็วสูง ไม่เกิน 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนสภาพถนนเรียบ และไร้ลมปะทะด้านข้าง จะสามารถทำได้ดีไม่แพ้
รถยุโรปบางรุ่นเลยทีเดียว ทั้งๆที่ตัวรถค่อนข้างเบา

และที่แน่ๆ ใครจะเชื่อบ้างละว่า นี่คือ Toyota ประกอบในไทย ที่ผมชืนชอบที่สุด เท่าที่เคยทำขายกันมา และเป็นหนึ่งในรถที่
ผม ไม่อยากคืน เมื่อทำรีวิวเสร็จ อีกต่างหาก!! (แต่ เฉพาะรุ่นแรกนี้ เท่านั้น ไม่นับรวมรุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งมีหลายสิ่งที่ด้อยกว่า
รุ่นแรกอยู่เหมือนกัน

Commander CHENG : Vios รุ่นนี้คือรถที่น่าจะใช้เป็นสัญลักษณ์แทนรสนิยมการเลือกรถของชนชั้นกลางในเมืองไทยซึ่งมี
ราคาไม่แพง มีสมรรถนะที่พึ่งพาได้ ประหยัดน้ำมัน และมีความคล่องตัว รถ B-Segment ยุคแรกๆนั้นอาจจะมีสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว
แต่ Vios เพิ่มความหรูหรา เทคโนโลยี และการจูนช่วงล่างที่ลบภาพลักษณ์ยาธาตุน้ำขาวตรากระต่ายบิน (เร็วแล้วร่อน) ของรถ
เล็กยุคก่อนไปได้สนิท ที่ตะลึงที่สุดคือ Toyota เปิดตัว Vios Turbo ออกมาขายหลังจากที่นักเลงรถอย่างเราขาดรถเกียร์
ธรรมดาน้ำหนักเบาขับสนุกมานาน ดังนั้นผมขอยกให้มันเป็นทายาทสืบต่อจาก Corolla GTi จากยุค 90 เลยดีกว่า เครื่อง 143
แรงม้า เกียร์ทดจัดกว่า Vios รุ่นปกติ ล้อ 16 นิ้ว ดิสก์เบรค 4 ล้อ ช่วงล่างสปอร์ต 0-100 ในเวลาแค่ 8 วินิดๆ และควอเตอร์
ไมล์ประมาณ 15 วิปลายๆ น่าเสียดายที่ราคาช่วงเปิดตัวที่อยู่ระดับ 850,000 บาท ยิ่งตอนหลังเรามารู้กันเองว่าเครื่องยนต์
ของมันไม่ได้มีการปรับปรุงไส้ในให้ต่างไปจาก Vios รุ่นธรรมดาเลย แค่เอา Turbo ของ IHI และ Intercooler ชุดเดียวกับที่
วางใน Toyota Starlet Glanza เวอร์ชันญี่ปุ่น มาวางโปะเข้าไปให้ ดังนั้นหลายคนจึงตัดสินใจนำ Vios รุ่นธรรมดามาโมดิฟาย
เอง เปลี่ยนช่วงล่าง ล้อและยางเองมากกว่าที่จะจ่ายเงินเล่นของแพง ดังนั้น Vios Turbo แท้ๆ ในวันนี้เลยมีความศักดิ์สิทธิ์
ประจำตัวตรงที่ไม่ใช่รถที่หาพบกันได้ง่ายนัก

J!MMY : เพราะจากจำนวนที่คาดว่าจผลิตออกมาประมาณ 600 คัน เอาเข้าจริง ก็ผลิตไม่ถึง แถมยังมีค้างสต็อกอยู่นานพอดู
กว่าจะขายออกได้หมด เท่ากับว่า งานนี้ คนที่ยิ้มที่สุด เห็นจะได้แก่ คุณพีท ทองเจือ ซึ่งเล่นหนังโฆษณา ที่ยาวประมาณ
Product Video ให้ และได้ลองเบิร์นยางเล่นๆ หลายต่อหลายครั้ง อย่างสะใจ เพื่อจะถ่ายช็อตล้อหมุนฟรีทิ้งสั้นๆ ไม่กี่วินาที
แต่หมดยางไปหลายเส้น!! อย่างไรก็ตาม Vios รุ่นธรรมดา ก็กลายเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายมากที่
สุดรุ่นหนึ่ง เท่าที่ Toyota ประเทศไทย เคยทำขายมา ถึงขนาดว่า Honda ทำ City cละ Jazz ออกมาขายคู่กัน ยอดขายรวม
ทั้ง 2 รุ่นในแต่ละเดือน ก็ยังไม่อาจโค่น Vios รุ่นเดียวได้เลย!!!

———————————————————————————————————-

Toyota Wish : มินิแวน 7 ที่นั่ง ที่สร้างประวัติการณ์ในไทย

J!MMY : หลังจากที่ Chevrolet ไปได้สวยเกินคาดกับ Zafira ทาง Toyota ประเทศไทยเห็นตลาดมินิแวนบูม ก็เลยคิด
อยากจะหารถมาลงแข่งกับ Zafira และ Stream ดูซิว่างานนี้ใครหมู่หรือจ่า ความอยากในครั้งนั้นส่งผลออกมาเป็นระลอกคลื่น
แห่งความพยายามที่ไม่มีใครเคยคาดมาก่อนว่า Toyota เมืองไทยจะยอมทำ ทราบกันไหมว่ากว่าที่จะได้ Wish มาขายนั้น
ท่านอดีตประธานใหญ่ เรียวอิจิ ซาซากิ กับทีมคนไทย ที่บินไปดูรถต้นแบบที่ญี่ปุ่น ช่วงปี 2001 แล้วบังเอิญไปเห็น จนเก็บมา
เล่าขานกันอย่างตื่นเต้นในออฟืศนั้น ทั้งคณะต้องช่วยกันล็อบบี้ เล่นเกมงัดข้อกับสำนักงานใหญ่ในญี่ปุ่น จนทางโน้นใจอ่อน
ยอมปล่อยรถซึ่งดีไซน์ออกมาเพื่อทำตลาดเฉพาะในบ้านตัวเองเท่านั้นมาให้คนไทยตาดำๆได้ใช้กัน และที่สำคัญคือเอามาขึ้น
ไลน์ประกอบกันในประเทศไทยเลยด้วย! Toyota Wish คือรถญี่ปุ่นที่ใช้เวลาเตรียมการผลิตสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยคือไม่
ถึง 1 ปีดีแถมเมืองไทย ยังเป็น 1 ใน 3 ประเทศเท่านั้น ที่มีการประกอบ Wish ขาย นอกเหนือจากญี่ปุ่น และไต้หวัน ที่เอาไป
แปลงเป็นเวอร์ชันประหลาดๆ หรูแบบจีนๆ (-_-)

ยิ่งไปกว่านั้น ทีมงานไทยใจป้ำต่อรองมาจน Wish สเป็คไทยได้ออพชั่นมาเพียบชนิดที่คู่แข่งเห็นแล้วอกยัยแป้นแตกกระจาย
เพราะนอกจากจะไม่น้อยหน้าเวอร์ชั่นญี่ปุ่นแล้ว ยังได้ใช้ช่วงล่างปีกนกคู่ด้านหลัง ดีเกินหน้าเวอร์ชั่น 2.0 ขับหน้าของญี่ปุ่นที่
เป็นคานแข็งธรรมดา หน้าตาล้ำยุคแบบนี้ อุปกรณ์สมใจอยากแบบนี้ และขายโดย Toyota ซึ่งสั่งสมบุญบารมีในไทยมาเป็น
อย่างดี คู่แข่งทั้งตลาดไม่มีใครจะมาหยุดความแรงทางด้านยอดขายของมันลงได้ ก็ดูวันเปิดตัวเอาแล้วกัน โชว์รูม Toyota
แถวราชดำริ (ปัจจุบันปิดไปแล้ว) แน่นขนัดไปด้วยลูกค้า ที่อยากจะมาดูรถ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นานมากแล้ว! แน่นถึง
ขนาดว่า เดินเบียดเข้าไปยังแทบไม่ได้เลย!! แม้ว่า Zafira จะยัดเครื่อง 2.2 ลิตร หรือ Stream จะไมเนอร์เชนจ์กันขนานใหญ่
ท้ายสุด Wish คือแชมป์ที่ยืนหยัดอยู่ได้ และผลิตขายออกมาตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา โรงงาน Toyota เพิ่งจะเลิก
ประกอบ Wish ไปเมื่อเดือน ธ.ค.  2009 ที่ผ่านมานี้เอง

Commander CHENG : Wish เป็นรถที่พร้อมสรรพเกือบจะทุกด้าน แต่จะมาพลาดที่ไม่มีแอร์แถวสอง เพราะญี่ปุ่นไม่ได้ทำ
รองรับเอาไว้แต่แรก ใครอยากมีแอร์แถวสองก็ต้องไปหาติดกันเอาเอง  แต่ถ้าไม่อยากเปลืองเงิน ก็ปรับช่องแอร์ให้ดีๆ แล้วเปิด
พัดลมแอร์ให้น้ำหมากกระจายก็กระเด็นไปถึงคนนั่งหลังได้นะ นอกจากนี้ หลังจากที่ขายไปได้สักพัก ผู้ใช้ก็เริ่มบอกกันว่ามันเป็น
มินิแวนที่นอกจากหน้าตาสปอร์ตแล้ว ช่วงล่างยังแข็งเหมือนรถสปอร์ตอีกต่างหาก ทำให้คนเฒ่าคนแก่หลายคนไม่ชอบใจในตัว
มันเท่าไหร่ (จริงๆแล้วการใช้ล้อ 17 นิ้ว มันก็ต้องแข็งบ้างหน่อยนึงแหละ) Toyota เองก็ไม่ได้นิ่งเฉย ทำรุ่นประหยัด
อ 15 นิ้ว ยางแก้มหนา เบาะแถวที่สองเป็นแบบยาวตลอดเพื่อการบรรทุก 7 ที่นั่งเต็มออกมาให้เลือก แต่ดูเหมือนว่ายังไงตลาด
กลุ่มหลักก็ยังเป็นคนโสดใสไฟแรง ไม่ก็คุณพ่อคุณแม่วัยรุ่นซะมากกว่า

J!MMY : อีกปัญหายอดฮิต ที่พบเจอกันเป็นประจำ ก็คือ ไฟบนหน้าปัด 3 ดวงติดสว่างโร่ขึ้นมาพร้อมกัน ทางแก้ ไม่ยากเย็น
เลย คือ ส่งเข้าศูนย์ฯ ให้เขาจัดการกับกล่อง ECU ซะ เรื่องก็จะจบ แต่ในบางคัน อาการนี้ ก็อาจกลับมาเป็นใหม่ได้ เป็นๆหายๆ

เหมือนเชื้อราในร่มผ้า เสียอย่างนั้น

———————————————————————————————————-

Volvo 700/900 Series : รถถังไวกิ้ง สัญลักษณ์แห่งความปลอดภัยที่ผู้คนวางใจ

Commander CHENG : ในเมื่อเถียงกันไม่ลงตัวซะทีว่า 740/760/940/960 ใครเป็นยอด Volvo ในยุคนี้ ก็จับเอามารวม
กันซะง่ายๆอย่างนี้ล่ะ

ใครจะกล้าพูดบ้างว่า 700 Series ไม่มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์รถของไทยเรา? Volvo เป็นผู้นำด้านความปลอดภัยที่มา
กับรถทรงก้อนอิฐ (ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้หลายคนชอบเสียด้วยซ้ำ)  ตั้งแต่ปี 1985 รถรุ่น 760 GLE เป็นทัพนำลุย
ตัวแรก ใช้เครื่องยนต์ 2.3 ลิตร 109 แรงม้า ขายควบคู่ไปกับรถรุ่น 240 DL และ 240 GL (200 Series รุ่นเก่า) โดยเน้นไปที่
ลูกค้ากลุ่มที่ชอบรถสไตล์ผู้บริหารมีความหรูหรา ดังนั้นจึงไม่มีรุ่นเทอร์โบออกมาจำหน่ายแต่อย่างใด ต่อมาในปี 1988 จึงมีรุ่น
740GLE ตามออกมาก่อนที่จะมีรุ่นไมเนอร์เชนจ์ 740GL ซึ่งถูกออกแบบให้มีไฟหน้าเล็กลง และเปลี่ยนไฟท้ายทรงใหม่เป็น
แบบสามชั้นดูทันสมัยขึ้นกว่าเดิม รถ 700 Series เหล่านี้ นอกจากจะเป็นที่นิยมในบรรดานักธุรกิจหนุ่มแล้ว ยังเป็นที่ยอมรับ
ของบรรดาโรงแรมห้าดาวและแท็กซี่สนามบินในยุคก่อนเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีขนาดตัวรถใหญ่ นั่งสบาย มีพื้นที่จุสัมภาระ
กว้างขวาง

ของดีที่สุด มาหลังชาวบ้าน ก็คือ 760 Turbo Intercooler ซึงโผล่มาในช่วงปี 1988 ก่อนหน้าที่ 900 Series จะมาถึงไม่
นานนัก รถรุ่นนี้จะมีไฟหน้าและกระจังหน้าที่ดูแล้วเหมือนกับ 900 Series มากๆ นอกจากนี้ภายในยังมีอุปกรณ์อำนวยความ
สะดวกมากมายรวมไปถึีงเบาะหนังแท้ปรับไฟฟ้าที่มีสวิทช์เป็นแป้นใหญ่อยู่ข้างเบาะและแผงแดชบอร์ดก็จะมีหน้าตาทันสมัยขึ้น
กว่ายุค 740 สำหรับเครื่องยนต์ยังคงเป็น 2.3 ลิตร 8 วาล์วเช่นเดิม จ่ายเชื้อเพลิงด้วย Bosch LH-Jetronic เสริมพลังด้วย
เทอร์โบชาร์จเจอร์ ทำให้รถเครื่อง 4 สูบนี้มีพลังขับเคลื่อนสูงเทียบชั้นรถเยอรมันสมัยนั้นอย่าง 520iS และ 300E ได้อย่าง
สบาย ช่วงล่างก็ได้รับการปรับปรุงโดยเปลี่ยนช่วงล่างหลังจากแบบคานแข็งในรุ่น 740 เป็นแบบมัลติลิงค์แทน

ทุกวันนี้ทั้ง 740 และ 760 ยังคงวิ่งให้เห็นกันบนถนนไม่น้อยเลย แต่ส่วนมากจะถูกจับมาวาง JZ กันหมดแล้ว ซึ่งตัวรถเองมี
ความแข็งแรง เมื่อนำมาบวกกับเครื่องยนต์แรงๆจึงมีวัยรุ่นหลายคนที่ชอบนำมาตกแต่งเพราะราคารถก็ไม่ได้แพง เว้นเสียแต่ว่า
จะไปจับ 760 Turbo แท้เข้า อันนี้แพง..ใช้ได้

J!MMY : ส่วนทางด้านของรถ 900 Series เปิดตัวในปี 1991 ซึ่งนับว่าใกล้เคียงกับตลาดโลกเลยก็ว่าได้ เริ่มต้นก่อนด้วยรุ่น
960 ซึ่งเป็นรุ่นท้อปสุด จากนั้นจึงตามมาด้วย 940GL, 940GLT และในภายหลังก็มีรุ่น 940GLE, รุ่นสเตชั่นแวก้อน และรุ่น
พิเศษอย่าง 960 Executive รุ่นช่วงยาวพิเศษ แต่ไม่ว่าจะออกรุ่นไหนมาก็ตาม 900 Series เป็นรถที่พาแบรนด์ Volvo ขึ้นสู่
หอเกียรติยศด้วยยอดขายที่ได้ตัวเลขดีเทน้ำเทท่า คนที่ซื้อไปก็มีตั้งแต่ครอบครัวที่กำลังสร้างตัวเองได้ พวกกิจการห้างร้าน
โรงแรมดัง พวกท่าอากาศยาน หรือแม้กระทั่งเศรษฐีร้อยล้านก็ซื้อใช้ เพราะมั่นใจในความปลอดภัยของ Volvo ที่ขึ้นชื่อมาโดย
ตลอดตั้งแต่รุ่น 240 กับ 244 ในอดีต และความปลอดภัยนี้ก็มาในราคาที่เป็นมิตรกับกระเป๋า เพราะสมัยนั้นถ้าจะซื้อ
BMW 5-Series ก็ต้องเตรียมเงินไว้ 1.8 ล้าน และถ้าจะเล่นดาวสามแฉกอย่าง 230E ก็ต้องมีเงินเตรียมไว้ 2.1 ล้าน Volvo
ตีตลาดด้วยการวางระดับชั้นการตกแต่งกับเครื่องยนต์ไว้หลายแบบทำให้สามารถเคาะราคาเริ่มต้นรุ่นเกียร์อัตโนมัติที่ถูกที่สุดไว้
แค่ 1.39 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนรุ่น GLT ก็ 1.74 ล้านบาท และ 960 แทงราคาไว้ที่ 2.1 ล้านบาท ในปี 1995 นั้นรุ่น 960 ได้
รับการแต่งหน้าทาปาก เปลี่ยนโฉมด้านหน้าและด้านท้ายใหม่ เปลี่ยนลายล้อ ภายในก็เปลี่ยนพวงมาลัย หัวเกียร์ ย้ายที่จุดบุหรี่
มาอยู่ฝั่งขวา (จะย้ายทำไมฟระ?) มีเครื่องให้เลือกแต่แบบ 6 สูบ ส่วนรุ่น 940 นั้นไม่มีการเปลี่ยนโฉม เว้นเสียแต่มีการออกรุ่น
SE และรุ่น Classic ออกมาขายก่อนหมดอายุตลาดไป

Commander CHENG : รถพวกนี้เป็น Volvo บ้านพันธุ์ขับหลังรุ่นสุดท้าย และเป็นรถรุ่นสุดท้ายเช่นกันที่มีดีไซน์กับมาดเป็น
“รถถังไวกิ้ง”อย่างแท้จริง (850 อาจจะเหลี่ยมๆเหมือนกันแต่ความปราดเปรียวเหนือกว่าเยอะ) ที่ J!MMY บอกมาก็แสดงให้
เห็นว่ารถรุ่นนี้มีเครื่องหลายตัวอยู่ ตั้งแต่ 2.3 ลิตร 8 วาล์ว 131 แรงม้าในรุ่นพื้นฐาน พอมาเป็น 940GLT กลับมีให้เลือกว่าจะ
เอาแบบฝาสูบ 16 วาล์ว (ดีไซน์ให้โดย Porsche) 155 แรงม้า หรือเอารุ่น 8 วาล์ว มีเทอร์โบ 165 แรงม้า ส่วน 960รุ่นแรก
จะมี 190 แรงม้าและแรงบิด 280Nm (แรงบิดสูงกว่า 300E หรือ 525i) หลังจากนั้น รุ่น 960 Executive …คันนี้รถผู้บริหาร
เลยให้เครื่อง 6 สูบเรียงเดินนิ่มเสียงหวาน (ฝาสูบ 24 วาล์ว ดีไซน์โดย Porsche เช่นกัน) 2.9 ลิตร 204 แรงม้า หลังจากนั้น
ไม่นาน 960 บอดี้ธรรมดาก็รับเครื่องตัวนี้ไปใช้ด้วย ต่อมาในปี 1995 ที่มีการไมเนอร์เชนจ์ ก็มีเครื่อง 2.4ลิตร 163 แรงม้า 6
สูบเข้ามา ในขณะที่ 940SE/940 Classic จะใช้เครื่อง 8 วาล์วตัวเก่า ติดเทอร์โบแรงดันต่ำ (โคตรๆ) มีม้า 135 แรงม้า แต่แรง
บิดจะสูงกว่าเครื่อง 2.4 6 สูบ โอ้ย..เหนื่อย

J!MMY : เป็นไง มึนเลยหละสิ! จะบอกว่า สิ่งที่น่าจดจำไม่แพ้กัน ของรถสองรุ่นนี้ คือหนังโฆษณาทางโทรทัศน์ เรื่องที่ผู้คน
ยุคนั้นน่าจะจดจำกันได้ดีคือ ชายหนุ่ม ผู้สองจิตสองใจ ว่าจะมาส่งสาวที่ตนรัก ขึ้นเรือเดินสมุทรดีไหม แต่สุดท้าย เขาก็ตัดสินใจ
บึ่ง 760 Turbo Intercooler พุ่งมาจอดอยู่ริมน้ำ แม้จะไม่ทัน แต่การกระพริบไฟหน้าให้ 2 ที พร้อมกับเพลงประกอบอย่าง
Groovy kind of love ของ Phil Collins ก็นอกจากจะมัดใจสาวในหนังโฆษณาได้แล้ว ยังถือเป็นกระแสดังในช่วงเวลานั้นเลยที
เดียว ส่วนอีกเรื่อง ตอนเปิดตัว 960 ในปี 1991 ยกหนังโฆษณาจากเมืองนอก มาให้ดูกันเลย เป็นการขับรถ 960 สีดำ พุ่งชน
กำแพงอิฐ…..จนทะลุกำแพงออกมา!! คือจะสื่อว่า ฉัน breakthrough ขนบธรรมเนียม เดิมๆ ของตนเอง แล้วก็บอกเหอะ!
ใครอยากดู เวอร์ชันเมืองนอก ไปหาโหลดมาดูได้ใน youtube มีแน่นอน เพราะข้าพเจ้าเคยโหลดมาดูแล้ว

————————————————————————————————————–

Volvo 850 : ปรากฏการณ์ใหม่..บนอิฐก้อนเดิม..แต่มันท้าทาย (นะ)

Commander CHENG : จำได้ว่าสมัยที่รถรุ่นนี้เข้ามาขายใหม่ๆ มีผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่งบอกว่าถ้า Volvo ขับหน้าเมื่อไหร่
ฉันจะขาย Volvo ทั้งบ้านทิ้งให้หมด แต่ไม่นานต่อมาบ้านของท่านก็มี 850 เข้าไปอยู่ถึง 2 คัน ถึงแม้ 850 จะไม่ใช่รถที่
เปลี่ยน Volvo จาก Safebox เป็น Sexybabe แต่มันคือรถที่พาภาพลักษณ์รถถังอุ้ยอ้ายของ Volvo ไปทิ้งเหวได้ร้อยละ 70
ไม้เด็ดของ Volvo คือเครื่อง 5 สูบ 20 วาล์วซึ่งพัฒนาขึ้นมาใหม่ให้ก้าวหน้าขึ้นกว่าเครื่อง 4 สูบเทอร์โบใน 900Series ในทุก
ด้าน แค่รุ่นธรรมดาก็มี 163 แรงม้าแล้ว ส่วนรุ่นเทอร์โบ T-5 กระโดดไปแตะ 218 แรงม้า มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์
อัตโนมัติ  ในด้านรูปลักษณ์ภายนอก รุ่น 4 ประตูอาจไม่ถือว่ามีอะไรโดดเด่นนอกจากตัวถังที่แม้จะเหลี่ยมคมแต่ก็ถูกขัดเกลาจน
ดูไร้ไขมัน แต่กับรุ่น Sportwagon หรือสเตชั่นแวก้อนนั้นมีความโดดเด่นที่ไฟท้ายเรียวยาวเป็นแนวตั้ง ลากเส้นจากขอบ
หลังคาจรดกันชน ซึ่งถือว่าเป็นดีไซน์ที่แปลกใหม่ในยุคต้นทศวรรษที่ 90 และกลายเป็นกระแสมหัศจรรย์ที่จู่ๆตลาดรถพรีเมียม
ที่เป็นสเตชั่นแวก้อนกลับมาบูมอีกครั้งโดยมี Volvo 850 นี่แหละเป็นผู้นำชนิดที่ 520iA Touring และ E220 T ได้แต่มองตา
ปริบๆ ยิ่งถ้าลองเทียบความคุ้มค่ากันแล้ว เบนซ์ชาร์จลูกค้าในราคา 2.58 ล้านบาทในขณะที่ Volvo วางค่าตัวไว้ที่ 2.2 ล้าน
แถมได้แรงบิดมากกว่ากันเกือบ 100 Nm ในด้านความปลอดภัยนั้นต้องขอบอกไว้ด้วยว่าเจ้าถุงลมนิรภัยด้านข้างหรือ SIPS
ของ Volvo นั้นนับว่าเป็นรถรุ่นแรกๆของประเทศไทยที่มีให้ใช้ (พร้อมๆกันกับรุ่น S40)

J!MMY : ทีมการตลาดดูท่าจะประสบความสำเร็จกับการพลิกภาพลักษณ์ จากเดิมทุกคนจะคุ้นกันดีกับคำว่า “ทุกชีวิตปลอดภัย
ในวอลโว่” กลายมาเป็น “ปรากฏการณ์ใหม่ บนความท้าทาย” (เห้ย..อันแรกฟังดูเหมือนกลัวตาย อันที่สองฟังดูเหมือนยุให้กล้า
ตาย) หรือ “ไม่มีคำอธิบายใดๆจนกว่าจะได้ลอง” หรือ “ซ่อนความแรง ในความหรู” Volvo เปลี่ยนสภาพจากรถถังกลายเป็นรถ
ของคนเท้าหนักได้อย่างน่าแปลกใจ  แถมยังมีการเอารุ่นพิเศษอย่าง T-5R สีเหลือง Crème Yellow ที่แรงขึ้นเป็น 240 แรง
ม้า และรุ่น 850R สีแดงสด 250 แรงม้าเข้ามาขายด้วย รถสองรุ่นนี่เจอที่ไหน จุดธูปยกมือไหว้ได้เลย เพราะหายากมากๆ คันสี
เหลือง มีเข้ามาไม่ถึง 20 คัน แต่ถ้าเป็น 850 Turbo ทั่วไปน่ะไม่ยาก เดินตามลานจอดรถที่ไหนก็เจอ ลองคิดดูเล่นๆก็ได้ว่ายุค
93-97 ที่เรามีรถบ้านบ้าพลังอย่าง 850Turbo, Saab 900 Turbo, Audi S6 Quattro และอื่นๆอีกสองสามรุ่น ท้ายสุดใครคือ
ผู้ชนะในด้านยอดขาย?

Commander CHENG : และใครคือรถที่คอนโซลตรงด้านซ้ายของช่องแอร์ต้องแหก..แทบจะทุกคัน อิอิ

J!MMY : ก็รถที่คุณมรึง เพิ่งเขียนจบลงไปนี่ไงละ! อันนี้ ต้องโทษใครดี ระหว่าง ลูกค้า ชอบเอารถไปจอดตากแดด หรือ
สวิดีชแอสเซ็มบลี ที่เลือกวัสดุได้ แอสโฮล ในตอนนั้น

———————————————————————————————————

VW Caravelle : รถตู้พาณิชย์ที่ไปไงมาไง กลายเป็นรถประจำตำแหน่งนายก!

J!MMY : รถตู้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ VW ในประเทศไทยเพราะเราเคยมี Transporter ไฟเหลี่ยมมาก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ Caravelle นั้นต่างออกไปตรงที่แม้จะกำเนิดเกิดมาเป็นรถตู้โดยสารขนาดใหญ่ทั่วไป แต่คนไทยให้ความสนใจและตีค่านิยม
ในตัวมันสูงมากด้วยความที่เป็นรถนำเข้า ตัวรถน่ะจริงๆไม่มีอะไรหรอก นอกจากเรื่องความปลอดภัยที่ VW ขึ้นชื่อดีและคุณภาพ
วัสดุที่ดีกว่ารถตู้ใน Mass market ทั่วไป อย่างอื่นๆที่มีตามสเป็คในรถรุ่นมาตรฐาน ณ ปี 1993 นั้นไม่มีอะไรโดดเด่นเลย
ช่วงล่างก็..ดีกว่ารถตู้วินน่ะ แต่ไม่ได้นุ่มนวลชวนฝันอะไรขนาดนั้น

แต่กลายเป็นว่าบรรดาเศรษฐี ประธานบริษัททั้งหลายซื้อไปใช้งานกันเป็นแถว..แหงล่ะก็สมัยนั้นยังไม่มี Granvia หรือ
Alphard นี่นา รถเหล่านั้นพอถูกซื้อไปก็ได้รับการตกแต่งเพิ่มเบาะ custom made ติดทีวีและอื่นๆเข้าไปจนกลายเป็นบ้าน
เคลื่อนที่ ยังไม่พอแค่นั้น ใครตอนเด็กๆชอบดูข่าวหัวค่ำจำได้ไหมว่าเวลาท่านนายกชวนมาถึง ท่านมาในรถอะไร..? Caravelle!
นี่ยังไม่รวมนักการเมืองและผู้แทนราษฎรซึ่งมีอันจะกินอีกหลายคนก็ซื้อหามาเป็นพาหนะ เพราะมันมีบอดี้ที่หลังคาสูงกว่ารถเก๋ง
มีความโปร่งสบาย สิ่งเหล่านี้ที่สนับสนุนกันทำให้ Caravelle มีภาพลักษณ์กลายเป็นรถตู้สำหรับคนรวย ในขณะที่ HiAce เป็น
รถตู้สำหรับคน..เอ่อ..คนที่ยังไม่รวย!

ในช่วงแรกที่เปิดตัวนั้นมีแต่เครื่อง 2.5 ลิตรเบนซิน 110 แรงม้า แต่หลังจากที่ไมเนอร์เชนจ์เปลี่ยนด้านหน้าของรถ (เป็นโฉม
ไฟเลี้ยวขาว) ก็มีเครื่องยนต์ VR-6 2.8 ลิตร 140 แรงม้าเกียร์อัตโนมัติมาให้เป็นทางเลือกอีกตัวหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีรุ่นหรูพิเศษ
สำหรับนักธุรกิจชั้น First Class และขายในชื่อรุ่นกะรัต

Commander CHENG : โถส้วมกับสุขภัณฑ์น่ะเหรอ?

J!MMY : ไม่ใช่เว้ย! Caravelle Carat ต่างหาก ในรถรุ่นพิเศษนี้เบาะแต่ละตัวจะหุ้มหนังแบบอู้ฟู่มาก เบาะตอนหลังสุดสามารถ
ปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า และเบาะตอนกลางสามารถหมุนกลับ 180 องศาเพื่อให้คนนั่งหันหน้าเข้าหากันได้ มีการแยกสวิทช์ควบ
คุมเบาะนั่ง ระบบปรับอากาศ และไฟในห้องโดยสารออกแบบเป็น Control Board สำหรับเจ้านายบริหารนิ้วด้วยตนเองเลย
แน่นอน VW เขาเอาใจตลาดประเทศไทยขนาดนี้ไม่ใช่เพราะจู่ๆอยากจะทำหรอก แต่เป็นเพราะว่าเขาเห็นศักยภาพตลาด
ประเทศเราต่างหาก ประเทศไทยนี่ล่ะเป็นแหล่งทำเงินชั้นดีในทวีิปเอเชีย เพราะ Caravelle ขายได้ดีมากในประเทศเราจน
เปรียบได้กับบ่อเงินที่แม้แต่ฝรั่งยังสนใจเลย

—————————————————————————————————-

ผ่านพ้นไปแล้วนะครับ สำหรับ 50 คันที่เรา headlightmag เลือกสรรให้เป็นรถแห่งตำนานสำหรับช่วงเวลากว่า 2 ทศวรรษที่
ผ่านมา อีกทศวรรษข้างหน้า เราอาจต้องกลับมาทบทวนกันอีกครั้งว่าใครจะอยู่ ใครจะไป ใครจะเป็นหน้าใหม่ที่กล้าแกร่งพอจะ
เขี่ยแชมป์เก่าลงได้ แน่นอนว่าในอนาคตข้างหน้า รถหลายรุ่นจะตกรุ่น และมีรุ่นใหม่มาแทนที่ แต่สำหรับเรานั้น คำว่าตกรุ่น
เรามองว่ามันกำลังเข้าสู่กระบวนการ “เตรียมตัวที่จะเป็นตำนาน” แล้ว

รถที่คุณเห็นดาษดื่นบนท้องถนนทุกวันนี้ รถที่คุณอาจจะยังไม่เห็นค่าหรือความโดดเด่นใดๆของมัน จับตาดูไว้ให้ดี เพราะเมื่อ
เวลาผ่านไปนานเข้า คุณจะได้มานั่งระลึกถึงรถที่คุณมี หรือเคยมีตอนนี้และได้รับทราบกันอีกครั้งว่ารถของพวกเราได้มีผลต่อ
ประวัติศาสตร์อย่างไร หรือส่งผลต่อวิถีชีวิต แนวคิดของวงการรถยนต์อย่างไร

เมื่อถึงวันนั้น พวกผมสองคนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราคงยังไม่แก่เกินกว่าที่จะพิมพ์คีย์บอร์ดได้โดยไม่ต้องกด

Backspace ทุกประโยคที่พิมพ์

———————————————–///——————————————————-

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดย Commander CHENG! ผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com 16/07/2010

Copyright (c) 2010 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
16/07/2010

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่

คลิกเพื่อกลับไปอ่านบทความตอนที่ 1 >> 50 รถรุ่นดังในเมืองไทย 1985 – 2005 (Part I)