จั่วหัว ชื่อรีวิว แบบนี้ แปลกใจใช่ไหมละครับ ว่าทำไม?

แน่นอนครับ ชื่อเรื่อง มาแปลกๆ แบบนี้ ที่มาของมัน ย่อมต้องมี
ประเภทจู่ๆ โผล่พรวดขึ้นมา โดยไม่มีเหตุผล ไม่มีความหมาย แค่อยากจะทำอะไรตามใจในโลกนี้
แบบที่เพลงประกอบโฆษณา Dtac ตอนเปลี่ยนโลโก้ใหม่ เมื่อปีก่อนๆ เขาร้องเอาไว้ นั่นไม่ใช่…J!MMY

 

เมื่อครั้งที่ผมยืนชม การแสดงของบูธ BMW อยู่ในงาน Bangkok International Motor Show
ครั้งล่าสุด ที่ไบเทค บางนา เมื่อปลายเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา

BMW เล่นกับ Emotion ของผู้ชม ด้วยการนำบุคคลผู้เป็นดาวเด่นในวงสังคมทั้งหลาย
มาเดินแบบ เคียงคู่กับรถ ประกอบไปพร้อมกับ วีดีโอ วอลล์ และเพลงที่คัดสรรมาอย่างดี

รถคันแรกที่เปิดโชว์ชุดนั้น คือ 120d คูเป้…

และ สาวสวยที่ให้เกียรติมาร่วมแสดงแบบในครั้งนั้น ก็คือ
คุณปวริศา เพ็ญชาติ หรือ คุณ หนูแหวน

ท่ามกลางผู้คนมากมาย ข้อความที่ผุดขึ้นมา ในสมอง
เพื่อการสื่อสารกับจิตของผม เพียงคนเดียว เงียบๆ ลำพัง ก็คือ

“นี่แหละ! ใช่เลย หนูแหวน นี่แหละ เข้ากับรถคันนี้เป็นที่สุด!
บุคลิกคุณหนูไฮโซสาวสวย ทำงานเก่ง อายุยังน้อย และ ชื่อเสียงจัดจ้านในวงสังคม
มีใครที่เข้ากับบุคลิกของรถคันนี้ มากกว่าคุณหนูแหวนอีกไหม??”

ชวนให้ผมนึกย้อนกลับไป ถึงวันแรก ที่ได้พบกับตัวเป็นๆ ของ 120d
บนที่จอดรถ ของ Service Apartment แห่งหนึ่ง ย่านซอยต้นสน
ในวันที่ผมนำ BMW X5 ไปคืน และนั่นก็ตั้งแต่ประมาณ มกราคม มาแล้ว

 

ชวนให้ผมนึกย้อนกลับไป ถึงวันแรก ที่ได้พบกับตัวเป็นๆ ของ 120d
บนที่จอดรถ ของ Service Apartment แห่งหนึ่ง ย่านซอยต้นสน
ในวันที่ผมนำ BMW X5 ไปคืน และนั่นก็ตั้งแต่ประมาณ มกราคม มาแล้ว

จำได้ติดตา ว่ารถคันนั้นเป็นสีแดง แบบพิเศษ มันถูกผสมให้เจือจางลง จนคล้ายกับเป็นสีชมพูเข้มปั๊ดๆ
มากกว่าจะเป็นสีแดง แต่ถือเป็นสีที่สวยอีกสีหนึ่งของ BMW เลยทีเดียว รถคันนั้น ถูกนำเข้ามา
เพื่อเตรียม เซอร์ไพรส์ บรรดาสื่อมวลชน ที่ไปร่วมงานแถลงข่าวผลประกอบการ BMW ในปี 2008
ที่ โรงแรม อินเตอร์ คอนติเน็นตัล ราชประสงค์ ในอีกไม่กี่วันถัดมา

(และตอนนั้น ยังเป็นช่วงเวลาที่ Headlightmag.com เพิ่งเริ่มเป็นรูปร่างไปบ้างแล้ว)

BMW Thailand ตั้งใจเปิดตัวรถคันนี้อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
อันเป็นวันแห่งความรัก เพราะเขามองกันว่า รถคันนี้ เหมาะสมกับคู่รัก กันดีเหลือเกิน…

แต่คู่รัก ที่จะซื้อรถคันนี้ ก็ต้องรวยเอาการ เพราะค่าตัวที่แพงลิบ เกินจินตนาการไปหน่อยนั้น
ทำเอาฝันของใครหลายๆคน ชะงักไปเสียดื้อๆ ราวกับ ม้วนเทปคาสเซ็ตต์ ที่โดนเครื่องเล่นเทป
กินเนื้อเทปเข้าไป ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ก็ฟังได้เพลินดี ไม่มีวี่แววมาก่อนเลย

แต่ถ้าซื้อแล้ว ใครจะขับละ? อันที่จริง รถรุ่นนี้ ทำออกมา เอาใจผู้คนทุกเพศ อยู่แล้ว
เพียงแต่ ด้วยสีโปรโมทของมัน ซึ่งตอนนี้ ก็ยังปรากฎอยู่บนเว็บ www.bmw.co.th
มันคือสีแดงชมพู แบบที่บอกนั่นเอง เป็นสี ที่เหมือนบอกนัยยะเล็กๆกับคุณสุภาพสตรีว่า
“นี่ พวกหล่อนหนะ! มองมาที่ฉันหน่อยสิยะ!”

ผมรู้สึกได้เลยว่า สีตัวถังของรถคันโชว์มันอยากจะพูดออกมาอย่างนั้นจริงๆ!
และคนที่จะพูดคำในลักษณะนี้ ได้อารมณ์จริงๆ แถมยังเป็นกลุ่มคนที่เหมาะกับรถคันนี้
ผมยังนึกถึงใครไม่ออก นอกจากคุณหนูแหวนจริงๆ

ภาพของ คุณหนูแหวน ก็เลยผุดกลับขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง ณ วันรับรถ
ภาพของไฮโซสาว สวย และ คล่องแคล่ว ปราดเปรียว

แต่นั่นหนะ แค่ความรู้สึกแรก จากที่ได้เห็นเพียงภายนอก
แต่พอหย่อนก้นลงไปบนเบาะนั่งแล้ว นับแต่นั้น
ความคิดของผม ก็เปลี่ยนไปเลย…

รถคันนี้ ไม่ใช่ ไฮโซสาว ธรรมดาๆ
แต่ เป็น ไฮโซสาว ตรงไปตรงมา แรง และติดอารมณ์ร้ายๆ เอาเรื่องเลยทีเดียว!

 

โอเค ที่มาของชื่อ สาวอารมณ์ร้าย คุณคงพอจะทราบแล้ว

แต่ ไอ้ผู้ชายปากจัดทั้ง 5 นี่มันใครกันละเนี่ย? แล้วเกี่ยวอะไรด้วย?

เกี่ยวสิ เกี่ยวเต็มๆเลย เพราะ 5 คนนั้น ก็คือผม เจ้ากล้วยเล็ก BnN
น้องเติ้ล Dr.Slum , BankPike และ น้อง ตอยด์ จาก The Coup Team ของเรานั่นเอง

เรื่องมีอยู่ว่า ปกตินั้น คลิปวีดีโอ ประกอบบทความรีวิว ในระยะหลังๆมานี้
ท่านผู้การจอมเกิน Commander CHENG ของเราจะเป็นคนถ่ายเก็บเอาไว้

แต่ในวันที่ 120d มาอยู่กับเรา ท่านผู้เกิน ถูก พี่สาว ผู้ซึ่งเป็นคุณหมอ ประจำโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
และแทบจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ โรค ไข้หวัด 2009 สั่งให้นอนพักอยู่บ้าน ไม่ต้องไปตะแล่ดๆ เด้งดึ๋งๆ ที่ไหน
เพราะวันนั้น เจ้าตัว มีไข้ ต้องสงสัยว่า อาจจะเป็นโรคที่ พี่หมอ กำลังได้รับความนิยมอยู่ ณ บัดเดี๋ยวนี้
เลยต้องนอนเปื่อย…เอ้ย ป่วย อยู่กับบ้าน

ผมกับน้องๆ เลยคิดการกันว่า จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการถ่ายทำคลิปมาให้ชมกันต่อไป

ชายปากจัดทั้ง 5 ก็เลยต้องพาสาวไฮโซคันนี้ ขึ้นทางด่วน ไปถ่ายทำคลิปมาให้ชมกันสั้นๆ โดยผมกับตากล้อง
คือน้องตอยด์ นั่งแหมะ บนเบาะคู่หน้า อยู่ 2 หน่อ สบายอุรา  ส่วน 3 คนที่เหลือ ก็นั่งอัดแน่นกันเกือบจะเป็น
ปลากระป๋อง ตรา สามแม่ครัวอยู่รอมร่อ บนเบาะนั่งด้านหลัง (ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า รถคันที่เรากำลังลองอยู่นี้
เขาออกแบบมาให้นั่งกันได้แค่ 4 คนเท่านั้น)

และเราก็นินทารถ กับนินทา ท่านผู้เกินฯ กันไฟแลบ! เผากันไม่เหลือซาก

ถ้าอยากจะรู้ว่า ชาย ปากจัดทั้ง 5 จะนินทาเรื่องอะไร ของไฮโซสาวอารมณ์ร้ายคันนี้

คุณไม่ต้องทำอะไรมากครับ เพียงแค่…

1. อ่านบทความนี้ต่อไปเรื่อยๆ
2. อ่านจบแล้ว อย่าลืมดู คลิป ที่ งานนี้ น้องตอยด์ แห่ง The Coup Team
พยายามจะถ่าย สรุปบรรยากาศการนินทา ของผู้ชายปากจัดทั้ง 5 (รวมทั้งตัวของน้องตอยด้วยนั่นละ)
ได้ในกระทู้แสดงความคิดเห็น ครับ

 

BMW ซีรีส์ 1 หรือที่เรียกว่า “The First Series” ออกสู่ตลาดครั้งแรก เมื่อเดือนกันยายน 2004
โดยรุ่น แฮตช์แบ็ก 5 ประตู (รหัสรุ่น E81) คลอดออกมาก่อน

ซีรีส์ 1 เปิดตัวในเมืองไทย ครั้งแรก อย่างรวดเร็วชนิดเกินคาด เมื่อ 3 พฤศจิกายน 2004 ที่โรงแรม
ย่านสุขุมวิท ผมยังจำได้ว่า ในเย็นวันนั้น Chris Bangle ผู้ซึ่ง ในวันนั้น ยังคงดำรงตำแหน่งเป็น
Chief Designer ของ BMW อยู่ ยกทีม ไปบรรยาย ถึงแนวทางการออกแบบรถรุ่นใหม่นี้ กันที่
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผมก็มีโอกาสไปร่วมทำตัวแอ๊บเป็นนิสิต นั่งฟังอยู่บนอัฐจรรย์
กลางแจ้ง กับเขาด้วย

การบรรยาย จบลง เกือบๆ 1 ทุ่ม และ ทำให้ผมเข้าใจได้ถ่องแท้เลยว่า ในวันนั้น ทำไม ซีรีส์ 1
จึงต้องมีเส้นสายมาในสไตล์ “เหล็กบิด” อย่างที่เห็น

เพราะ BMW ตั้งใจจะให้ Z4 รถเปิดประทุน อยู่ฝากซ้ายของงานออกแบบ ส่วน ซีรีส์ 7 อันภูมิฐาน
ก็ถูกโยกไปไว้อีกฝากขวา ส่วนรถรุ่นต่างๆ จะแทรกตัวอยู่ตรงกลาง ของรถแต่ละรุ่น และ BMW
ตั้งใจจะให้เส้นสายของ ซีรีส์ 1 ดูสดใหม่ เอาใจวัยรุ่นมากกว่า จึงมีกลิ่นของแนวเส้นสายจาก
Z4 รุ่นแรกมากมายอย่างชัดเจน

 

 

ถ้าจะถามว่า มันประสบความสำเร็จไหม? มาดูตัวเลขยอดขายกันดีกว่า
ปี 2004 เพียงแค่เปิดตัวในเดือนกันยายน จนถึงสิ้นปี ฟันยอดขายไปได้ถึง 39,247 คัน
เฮ้ๆๆ ไม่เบานะเนี่ย สำหรับการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ เพียง 4 เดือน
พอล่วงเข้าปี 2005 ตัวเลขก็ค่อยๆขยับเพิ่มขึ้นเป็น 149,493 คัน
ปี 2006 ยิ่งเพิ่มเป็น 151,918 คัน และในปี 2007 ทำไปได้ถึง 165,803 คัน !!

 

หลังการทำตลาดไปได้หลายปีพอควร BMW ก็ปล่อยภาพแรกของ ซีรีส์ 1 ตัวถังคูเป้ สู่สายตาชาวโลก
เมื่อ 19 มิถุนายน 2006 จากนั้น จึงเผยโฉมครั้งแรกในโลก ณ งานแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์
เมื่อเดือน กันยายน 2007 และเริ่มทำตลาดเมื่อ 12 ตุลาคม 2007

นั่นก็เรียกเสียงฮืออาได้ไม่เบา จาก นักวิจารณ์ต่างชาติส่วนใหญ่ ซึ่งพร้อมใจกันเขียนถึงรถรุ่นนี้
ในเชิงที่ว่า “นี่แหละ รถที่พาให้ BMW กลับไปสู่รากเหง้าดั้งเดิมอย่างแท้จริง”

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ ซีรีส์ 1 ตัวถังคูเป้ มีเส้นสายและบุคลิกของรถ ให้สัมผัสที่ชวนให้นึกถึง BMW 2002
บรรพบุรุษ ของ ซีรีส์ 3  ผู้เคยเรืองรองอยู่ในยุค ทศวรรษ 1960 – 1970 นั่นอยู่มากโข และเพราะก่อนหน้านั้น
หลายปี สื่อมวลชนฝั่งยุโรป ประโคมข่าวว่า BMW กำลังหาทางนำรถรุ่น 2002 กลับมาเกิดใหม่ให้ทันในปี 2002
(ซึ่งเอาเข้าจริง ก็ไม่ทัน) โดยตัวรถจะมีรูปร่างหน้าตา…เอ่อ….ก็เหมือนเจ้า 1 คูเป้ นี่เองละ

จึงไม่น่าแปลกใจว่า เมื่อตัวถังคูเป้ เปิดตัวออกมา ความนิยม ต่างก็พากันหลั่งไหลจากรุ่นแฮตช์แบ็ก มาเป็นรุ่นคูเป้แทน
แม้แต่ Jeremy Clarkson 1 ใน 3 พิธีกร ของ รายการโทรทัศน์ยอดฮิตในอังกฤษ และในหมู่คอรถยนต์บ้านเรา
อย่าง BBC Top Gear ยังเคยบอกเลยว่า 135i Coupe คือ “BMW ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยผลิตมา!”

 

มิติตัวถัง ยาว 4,360 มิลลิเมตร กว้าง 1,748 มิลลิเมตร (รวมกระจกมองข้าง 1,934 มิลลิเมตร)
สูง 1,423 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,660 มิลลิเมตร

อันที่จริง ความกว้าง ตัวรถ ไม่รวมกระจกมองข้างนี้ เท่ากับ Toyota WISH เสียด้วยซ้ำ
แต่ น่าแปลกว่า พอเข้าไปนั่งแล้ว กลับรู้สึก ไม่โปร่งเท่า? ก็แหงละ รถมันคนละแนวกันโดยสิ้นเชิง

น้ำหนักตัวเปล่า 1,380 กิโลกรัม แต่น้ำหนักบรรทุกสูงสุด รวมของเหลว ฯลฯ (Permitted Gross weight)
อยู่ที่ 1,820 กิโลกรัม บรรทุกได้ 440 กิโลกรัม น้ำหนักเฉพาะด้านหน้า 895 กิโลกรัม
น้ำหนักเฉพาะด้านหลัง 985 กิโลกรัม

ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd 0.31

และนี่คือมุมที่ผมว่า สวยที่สุดของตัวรถ ถ้าไม่นับว่า ไฟท้าย ออกแบบได้ดีจนชวนให้นึกถึง…

ไฟท้ายของ Hyundai Elantra รุ่นแรก ไมเนอร์เชนจ์ และ Hyundai Accent รุ่นที่แล้ว (ไม่มีขายในเมืองไทย)

กลอนประตู และมือจับเปิดประตู พร้อม ระบบกุญแจ รีโมทคอนโทรลแบบ Keycard Smart Entry
ที่ BMW เรียกว่า Comfort Access นั้น หน้าตาเหมือนกับที่พบได้ใน ซีรีส์ 3 ทุกคันในตระกูล E90
หากพกรีโมทกุญแจอยู่กับตัว และต้องการจะเปิดประตูรถ หรือล็อกรถ ให้เอานิ้วไปแตะที่ ขีดเล็กๆ 4 ขีด
บนมือจับประตู เท่านั้น ระบบล็อกก็จะทำหน้าที่ ปลดหรือสั่งล็อกประตูทั้ง 4 บานให้
แต่ต้องทิ้งระยะการทำงานให้มันนิดนึง หลังจากสั่งล็อก หรือปลดล็อกไปแล้ว
ถ้าไม่ทันใจ ก็กดปุ่ม บนรีโมทกุญแจเองเลย ยังได้

ในยามค่ำคืน ทันทีที่ปลดล็อกประตู หลอดไฟเล็กๆ ฝังตัวอยู่ใต้มือจับเปิดประตูทั้ง 2 บาน
จะส่องสว่าง ให้คุณได้เห็นพื้นที่รอบคันรถ และรอบเท้าคุณ และจะสว่างทิ้งไว้แบบนั้นสักพัก
เพื่อให้คุณสำรวจทุกสิ่งโดยรอบ ก่อนขึ้นรถแล้วขับออกไป

จังหวะเดียวกันนั้น ไฟในห้องโดยสาร ก็จะค่อยๆสว่างขึ้นมา ต้อนรับผู้โดยสาร
ตามมาตรฐานของรถยนต์นั่งระดับพรีเมียมทั่วไป 

บานประตู แบบไร้เสากรอบ Pillar less เปิดออกได้กว้าง ในสไตล์รถยนต์คูเป้ทั่วไป แม้จะไม่ยาวขนาด บานประตูของ ซีรีส์ 3
ตัวถังคูเป้ และเปิดประทุน (E92 และ E93) แต่ถือว่า มีขนาดกำลังเหมาะดีแล้ว แผงประตูด้านข้าง
มีช่องใส่ของ พอให้ใส่กล่อง CD สมุดบันทึก หรือหนังสือได้ในระดับหนึ่ง มือจับดึงประตู
ยังคงมาในสไตล์ BMW แบบดั้งเดิม จนถึงปัจจุบัน

 

เบาะนั่งคู่หน้า หน้าตาคุ้นๆ เมื่อย้อนกลับไปดูในรีวิว เก่าๆที่เคยทำเอาไว้ จึงพบว่า
เบาะนั่งชุดนี้ แทบจะเรียกได้ว่า ยกชุดมาจาก ซีรีส์ 3 คูเป้ E92 มาทั้งดุ้น ไม่ว่าจะเป็นพนักพิงศีรษะ
พนักพิงหลัง เบาะรองนั่ง ฐานเบาะ พร้อมระบบปรับตำแหน่งด้วยสวิชต์ไฟฟ้า และหน่วยความจำ
ที่มีมาให้ 2 ตำแหน่ง เฉพาะด้านคนขับ จะต่างกันบ้าง ตรงที่ ถุงลมนิรภัย ด้านข้าง ถูกติดตั้งในแถบสีดำๆ
ที่คุณเห็นอยู่นั่นละครับ

พื้นที่เหนือศีรษะ โล่ง และไม่อึดอัดคับแคบ ให้สัมผัสไม่ต่างจาก ซีรีส์ 3 คูเป้ เท่าใดนัก

 

ทางเข้าเบาะหลัง เป็นเหมือนเช่น รถคูเป้ทั่วไปของ BMW คือ คุณต้องดึงคันโยกสีดำ ด้านบนพนักพิงขึ้น
โน้มมาทางด้านหน้า และ เลื่อนสวิชต์ไฟฟ้า ให้ชุดเบาะเลื่อนมาทางด้านหน้า เพื่อเข้าไปนั่งในเบาะหลัง
อันคับแคบกว่า ซีรีส์ 3 คูเป้ ชัดเจน นั่งแล้วเมื่อยแน่นอน แต่ยังพอนั่งได้ แบบทนๆกันเอาหน่อย

รถคันนี้นั่งกันได้แค่ 4 คน และเบียดได้เต็มที่สุดคือ 5 คน ถ้าหาอะไรสักอย่างไปรองที่ช่องวางของสีดำตรงกลางนั่น
ซึ่งตำแหน่งนั้น ไม่มีเข็มขัดนิรภัยตรงกลางมาให้ มีแต่เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ
พร้อมจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX มาให้ทั้ง 2 ฝั่งเท่านั้น
และในรูปบนนี้ คือ ตัวของผม เมื่อนั่งลงบนเบาะหลัง จะเห็นว่า เบาะรองนั่ง ยังสั้นอยู่ แต่ หัวเข่าไม่ติดกับเบาะหน้า
น้องกล้วย BnN ทีม The Coup ของเรา ยืนยันออกมาเป็นคำพูดแล้วว่า เบาะนั่งของ BMW คูเป้ เปิดประทุน ทุกรุ่น “เมื่อย”

ซึ่งผมก็เห็นด้วย แต่โดยดี 

 ฝากระโปรงท้าย เปิดออกได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้าจากภายนอกรถค้ำยันด้วยช็อกอัพไฮโดรลิก 2 ตัว

 

 

พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง มีความจุ 370 ลิตร และจะเพิ่มมากขึ้น
เมื่อแบ่งพับเบาะหลังลงไป ด้วยการดึงคันโยกที่ขอบด้านบนของช่องทางเข้าสัมภาระ

 

 ใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระ เมื่อยกขึ้นดู จะพบชุดปฐมพยาบาลมาวางไว้ใกล้แบ็ตเตอรี

ให้อารมณ์แปลกๆดีเหมือนกัน

แผงหน้าปัดของซีรีส์ 1 ยังคงเป็นแผงหน้าปัดของ BMW ที่ผมชอบมากที่สุดในยุคนี้
มันเรียบง่าย ลงตัว มองเห็นทุกอย่างชดเจน และที่สำคัญคือ สวย ไม่ต้องพึ่งพาจอมอนิเตอร์อะไรทั้งสิ้น

ทันทีที่ก้าวขึ้นไปนั่ง คุณจะพบบรรยากาศในแบบที่ BMW รุ่นใหม่ ยุคหลังปี 2003 ขึ้นมาเป็นกัน
พูดก็พูดเถอะ ผมยังสงสัยเลยว่า นี่ตกลงผมกำลังขับ ซีรีส์ 3 คูเป้ หรือ ซีรีส์ 1 คูเป้กันแน่
เพราะเล่นตกแต่งภายในด้วยสีดำ ตัดกับเบาะนั่งสีแดงเถือก แบบ Dakota เหมือนกันอีกแหนะ
ดีแต่ว่า งานออกแบบแผงหน้าปัด ที่ผมชื่นชอบ ช่วยเรียกสติกลับคืนมาได้ ว่าเรากำลังขับรถถูกคันแล้วละ

120d คูเป้ ติดตั้ง ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านลมนิรภัย รวมทั้งหมด 6 ตำแหน่ง
 และเข็มขัดนิรภัย แบบดึงกลับอัตโนมัติ พร้อมลดแรงปะทะ

รวมทั้ง มีระบบ DSC (Dynamic Stability Control) ซึ่งผู้ขับสามารถสั่งเปิด-ปิดระบบ
ได้จากปุ่ม บนช่องแอร์ ซึ่งเขียนว่า DTC

 

การติดเครื่องยนต์ สามารถกดปุ่ม Push Start ได้เลย โดยไม่ต้องเสียบกุญแจรีโมท เข้าไปในรู
อย่างนี้ แต่อย่างใด แต่ ต้องเหยียบเบรกทุกครั้ง ไม่เช่นนั้น ระบบจะไม่ยอมติดเครื่องยนต์ให้

ก้านที่เห็นนอกจากนี้ ด้านบนคือ ก้านสวิชต์ไฟเลี้ยว
ส่วนด้านล่าง เป็นก้านสวิชต์ ควบคุมระบบ Cruise Control

พวงมาลัย ปรับระดับสูงต่ำได้ด้วยก้านโยก ซึ่งต้องออกแรงมากเป็นพิเศษกว่า BMW คันอื่นๆที่เจอมา ทำเอาเจ็บนิ้วไปเลย!

 

 ชุดมาตรวัด ยังคงใช้โทนสีแดง ตรงกลางเป็นจอแสดงข้อมูลัวรถ แต่ไม่มีมาตรวัดอุณหภูมิเครื่องยนต์
แถมยังไม่มีมาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แบบ Real Time อย่างที่รุ่นอื่นเขามีกันอีกด้วย

 

ด้านบนสุดของแผงคอนโซลกลาง เป็นช่องเก็บของแบบมีฝาปิด
เอาไว้พอใส่แว่นกันแดดเล็กๆ หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ พอได้อยู่

ชุดเครื่องเสียงจากโรงงาน เป็นแบบ Professional เล่น CD / MP3 ได้
และ มีฟังก์ชัน โทรศัพท์ พร้อม Bluetooth ในตัว สัญญาณในการใช้งาน ชัดเจน ทั้งโทรเข้า-โทรออก
ขณะเดียวกัน เสียงเพลงที่ออกมา แห้ง…แม้จะมีมิติบ้างนิดหน่อย แต่ก็ แห้ง เหมือนไม่เคยรู้สึกมาก่อน..
(เดี๋ยวๆๆ นั่นมันสโลแกน ผ้าอนามัย วิสเปอร์ นี่หว่า?)

คือ เสียงก็ พอรับได้ พอฟังได้ มีมิติ บ้างนิดๆหน่อย แบบให้พอรู้ว่า
เสียง ออกทางลำโพง ครบทุกชิ้นนะ แต่ ถ้าคาดหวังคุณภาพเสียงที่ดีกว่านี้
หาติดตั้งเอาข้างนอก หรืออัพเกรดระบบของทาง BMW เขาเองเลยดีกว่า

ระบบปรับอากาศเป็นแบบดิจิตอล แยกฝั่ง ซ้าย-ขวา
อันที่จริง ก็ให้ลมเย็นสบายดี และเย็นเร็ว อยู่หรอก
แต่ จะว่าไปแล้ว ก็มีเรื่องน่าเบื่อ ตามประสา BMW ทุกรุ่น

ก็คือ ระบบเปิดให้อากาศภายนอกรถหมุนเวียนเข้ามาภายในรถโดยอัตโนมัติ
ว่าจะบ่นหลายทีแล้ว แต่ก็ลืมทุกที คืออันที่จริงแล้ว มันเป็นระบบที่ดี มากๆ ครับ
สำหรับภูมิประเทศในเขตเมืองหนาว

แต่ไม่ใช่กับเมืองไทย…

ประเทศที่ กลิ่นของน้ำในคลองแสนแสบ ซึ่งแสบทรวงเหมือนชื่อคลองเปี๊ยบ
จะโชยเข้าจมูกคุณในทันที ถ้าคุณเผลอกดโหมดระบบนี้ เป็น โหมด A วงกลม
อันแปลว่า โหมด อัตโนมัติ ในระหว่างที่คุณขับรถ ขึ้นสะพานผ่านคลองที่ว่านี้ 

และต่อให้ตั้งใจกดจนอยู่ในโหมดปกติแล้ว แต่ในทันทีที่ติดเครื่องยนต์ใหม่ ระบบนี้จะเข้าสู่โหมด Auto ทันที เฮ้อ…. 

ช่องใส่ของ พร้อมฝาปิดบริเวณแผงหน้าปัดฝั่งผู้โดยสาร มีขนาดเล็ก แต่ก็ถือว่าใหญ่กว่า ซีรีส์ 3 นิดนึง
พอจะวางปืนขนาดเล็กได้สักกระบอก และสมุดคู่มือ พร้อมเอกสารประจำรถ แค่นั้น

 คอนโซลกลางมีที่วางแก้วน้ำมาให้ 2 ช่อง ส่วน ก่องเก็บของ ก็มีขนาดเพียงพอให้ใส่ของได้นิดหน่อย ไม่มากนัก

 

ทัศนวิสัย ของ 120d Coupe นั้น ค่อนข้างโปร่งตากว่าที่คิด
ขอบล่างของกระจกบังลมหน้า เสมือนจะอยู่ไกลห่าง
จากผู้โดยสารคู่หน้ามากกว่า ซีรีส์ 3 E90 เล็กน้อย

 

แต่เสาหลังคา A-Pillar ฝั่งขวา มีการบดบังเฉพาะในกรณี เข้าโค้งขวา
บนถนนสวนกันสองเลน แถมกระจกมองข้าง ยังมีขนาดเล็กไปหน่อย
ฝั่งขวา ซึ่งอยู่ใกล้ตัวผู้ขับขี่ ยังอยู่ในระดับพอรับได้

 

ทว่า กระจกมองข้างฝั่งซ้าย ซึ่งอยู่ไกลตัวผู้ขับขี่ออกไป
กลับก่อให้เกิดความลำบาก ในการมอง เอาเรื่องเลยทีเดียว
แม้จะมีช่วงกว้าง ใกล้เคียงกับกระจกมองข้างรถทั่วไป
แต่ความสูงของมัน ยังมีไม่มากพอ การปรับขนาดให้
มีความสูงเพิ่มขึ้น อีกไม่กี่มิลลิเมตร อาจจะช่วยให้ปัญหานี้ ดีขึ้นได้
แต่การแก้ไขรูปทรงของกระจกมองข้างนั้น ก็อาจจะก่อให้เกิดความไม่สมดุล
ด้านอากาศพลศาสตร์ และ อาจก่อปัญหาเสียงรบกวน จากกระแสลม ได้
นั่นคือ สิ่งที่นักออกแบบเอง ก็คิดหนัก แต่ อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหานี้
น่าจะดีกว่า การปล่อยให้ลูกค้า ที่สายตาไม่สู้จะดีนัก ต้องเผชิญชะตากรรม
บนท้องถนนตามลำพัง

อย่างไรก็ตาม ทัศนวิสัยด้านหลัง โปร่งตา มากกว่าที่คาดคิดไว้มาก
การมองเห็นรถจักรยายนต์ที่มาทางด้านหลัง หรือการถอยรถเข้าจอดนั้น ทำได้สะดวก
และกลับไม่ก่อปัญหามากมายแต่อย่างใด

งงดีไหมครับ? 

********** รายละเอียดทางวิศวกรรมและการทดลองขับ **********

ขุมพลังที่วางอยู่ใน 120d คูเป้ คันนี้ หน้าตาคุ้นเคยกันดีในหมู่พวกเราชาว Headlightmag.com
เพราะระยะหลังมานี้ เราเจอกันบ่อยมาก อย่างว่าละครับ เครื่องยนต์ไหน ที่สมรรถนะดีๆ
ลูกค้ายอมรับ ผู้ผลิต ก็มักจะหาทางพามันไปใส่ลงในรถรุ่นต่างๆ เพื่อเอาให้คุ้มกับค่าพัฒนา
อันแสนจะแพงเหลือคณานับ

เป็นเครื่องยนต์ รหัส M47D20
ดีเซล บล็อก 4 สูบเรียง วางตามยาวไปทางด้านหลัง DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 84.0 x 90.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.0 : 1
ใช้ระบบกล่องสมองกลควบคุมเครื่องยนต์ DDE 7.1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วย
ระบบคอมมอนเรล เจเนอเรชันที่ 3 Direct Injection ด้วยหัวฉีด Piezo
พร้อมระบบอัดอากาศแบบ เทอร์โบ แปรผันครีบ

กำลังสูงสุด 177 แรงม้า (HP) หรือ 130 กิโลวัตต์ ที่ 4,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 35.6 กก.-ม. หรือ 350 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,750 – 3,000 รอบ/นาที
ผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ Euro-IV และมีอัตราส่วน แรงม้าต่อ ความจุกระบอกสูบ 88.7 HP / 1 ลิตร

เครื่องยนต์นี้ เพิ่งออกสู่ตลาดโลกเมื่อกลางปี 2007 ที่ผ่านมานี้เอง
เป็นเครื่องยนต์ตัวเดียวกับที่วางใน 520d ไมเนอร์เชนจ์ และ X3 2.0d ใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัว
ในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2008 ที่ผ่านมา รวมทั้ง ซีรีส์ 1 ไมเนอร์เชนจ์ รุ่น 120d ทุกตัวถัง

ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ 
พร้อมโหมดบวกลบ Steptronic ที่ยกมาจาก 320d นั่นละครับ

มาดูอัตราทดเกียร์กันสักหน่อยดีกว่า

เกียร์ 1……………………..4.171
เกียร์ 2……………………..2.340
เกียร์ 3……………………..1.521
เกียร์ 4……………………..1.143
เกียร์ 5……………………..0.867
เกียร์ 6……………………..0.691
เกียร์ถอยหลัง………………3.403
อัตราทดเฟืองท้าย………….3.154

เมื่อยกเครื่องยนต์ กับระบบส่งกำลัง จาก 320d ทั้งซาลูน และคูเป้ มาวางลงในตัวถังที่เล็กกว่า

รู้เลยได้ทันทีว่า ความสนุกในการขับขี่ จะมากมายขนาดไหน

เราทดลองหาอัตราเร่ง กันในเวลากลางคืน ผู้ร่วมทดลอง ยังคงเป็นน้องกล้วย BnN
สมาชิกในทีม The Coup ของเรา น้ำหนัก 48 กิโลกรัม โดยเปิดแอร์ นั่งกัน 2 คน
เปิดไฟหน้า และตัวเลขที่ได้ เมื่อเทียบกับ ซีรีส์ 1 รุ่นแฮตช์แบ็ก รวมทั้ง รถ BMW
ที่วางเครื่องยนต์ บล็อกเดียวกันนี้เป๊ะ มีดังนี้

การกลับมาขับ ซีรีส์ 1 อีกครั้ง เสมือนการกลับมา พบเจอกับ ความสนุกในการขับขี่
แบบที่ผมเคยสัมผัสได้ ใน ซีรีส์ 1 คันก่อน คือสนุก ติดดิบ ตามสไตล์รถประเภทนี้จาก BMW

เพียงแต่คราวนี้ ความสนุกที่ว่า มันเพิ่มมากขึ้น จากเครื่องยนต์ ดีเซล 2.0 ลิตร ตัวเก่ง
ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี แม้จะดูตัวเลขจากการจับเวลา อาจพบว่า มันไม่ได้แตกต่างกัน
กับ 320d ทั้ง ซาลูน และคูเป้ มากมายนัก

แต่ที่แน่ๆ เมื่อเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังเดียวกันนี้ พอวางแหมะเข้าไป
ในห้องเครื่องยนต์ของ ซีรีส์ 1 ความกระฉับกระเฉงของมัน เมื่อผนวกรวมกับ
ความคล่องแคล่วของตัวรถ บุคลิกของตัวรถในภาพรวม ซึ่งตรงกับจินตนาการ
ที่ผมเคยคิดเอาไว้ ไม่มีผิด! ก็แผลงฤทธิ์อาละวาด ซะจนคนขับอย่างผม หนำใจกันไปเลย

หนำใจกันแค่ไหน?

เอาง่ายๆก็คือ ในวันพฤหัส หลังจากทำธุระเสร็จ ในช่วงเช้า ผมก็พา 120d คันนี้ขึ้นทางด่วน
จะกลับเข้าบ้าน มี เมอร์เซเดส-เบนซ์ C200 Kompressor ฝรั่งขับเอง คันสีดำ แซงขึ้นหน้าไป
แต่ก็ไปจ่อติดอยู่กับท้ายแถว ที่ขับกันเอื่อยๆอยู่เลนซ้าย

ทันใดนั้น มี เชฟโรเลต ออพตร้า สีดำ ติดแอโรพาร์ต รอบคัน ขับได้เปรี้ยวเหลือเกิ๊นนน
แซงมาทางซ้าย และขับด้วยลีลาที่น่าหวาดเสียว ไล่บี้กับ C200 สีดำคันนั้น

ผมมองแล้วรำคาญในการกระทำของ ออพตร้า สีดำอยู่เอาเรื่อง
เลยตัดสินใจกดคันเร่ง และพยายามขึ้นหน้าไปให้เร็ว ด้วยเหตุที่
ตั้งใจจะแซงขึ้นไปให้ไกลๆ ให้พ้นๆ คนที่ขับรถในลักษณะแบบนี้

เผลอๆ กลายเป็นว่า ผม ขับมุดไล่เจ้าออพตร้า นั่นซะเอง เลยทำให้รู้ว่า 120d นั้น
แตกต่างจาก ซีรีส์ 3 อย่างชัดเจน ก็ตรงนี้หนะแหละ เมื่อ ผลักดันรถเข้าไปในสถานการณ์
ที่เสี่ยงขึ้นมาอีกนิด ความคล่องตัวที่ ซีรส์ 1 มีให้ ยังคงพาผมให้ผ่านพ้นจากช่วงเวลาตรงนั้น
มาได้อย่างง่ายดาย และไม่ยากเย็นอะไรเลย ผมมุดไล่ตาม จน C200 กับ ออพตร้า ไปติดอยู่
ที่เลนซ้าย ทั้งที่ตอนนั้น ผมอยู่เลนขวา และผมก็ถอนคันเร่ง ออกมา แซงขึ้นไปแบบเรื่อยๆ

ออพตร้าสีดำ ที่นั่งกันมา 2 คนนั้น คนขับ ซึ่งดูจะเป็นชายร่างสูง เปิดกระจกหน้าต่างฝั่งคนขับ
หยื่นแขนออกมาสุดนอกรถ แล้วยกนิ้วโป้งให้…ให้ใครไม่รู้ แต่ผมคิดว่าคงไม่ใช่ผมหรอก
ถึงจะใช่ ผมว่า นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เก่งอะไรเลย ผมก็เลยหันไปมอง แล้วก็ขับแซงขึ้นไป
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมแค่อยากจะให้บทเรียนเจ้าออพตร้าสีดำคันนั้น ว่า

ทางด่วนตอนกลางวัน ไม่ใช่สถานที่ ที่คุณ จะเอามาใช้สร้างความสนุก เอาใจนิสัยคะนองของคุณ
ให้เต็มอิ่มแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย ยิ่งถ้าคุณเจอคนจริง เขาเล่นกับคุณขึ้นมา ถ้าพลาด
ก็แค่ไม่ได้กลับบ้านอีกเลยตอดชีวิต

และถ้าถามว่า ท้ายสุด เกิดอะไรขึ้นกับ C200 สีดำคันนั้น?

ฝรั่ง เท้าหนักระดับปานกลางคนนั้น ก็ หาทางไล่แซงผมขึ้นไปจนได้
เมื่อช่วงกำลังจะลงทางด่วนสี่แยกบางนา นั่นเอง และผมก็ปล่อยให้เขาแซงไป
โดยไม่คิดจะไปเล่นไปไล่อะไรด้วย เพราะรู้ดีว่า ด้วยอัตราเร่ง ระยะเวลาที่ใช้
รวมทั้งความเร็วสูงสุด หนะ ยังไงก็ไล่ตามทัน แต่ จะทำเช่นนั้นไปทำไม?
ให้มันได้ประโยชน์อะไร?

เพราะฝรั่งคนนั้น ดูท่าทางรีบจะไปทำธุระของตน มากกว่าจะคิดเล่นสนุกบนท้องถนน
เหมือนที่ออพตร้าสีดำคันนั้น ทำ

แล้วผมได้อะไรจากการทำในสิ่งที่ตามปกติแล้ว ไม่ควรจะทำแบบนี้?
คำตอบก็คือ ผมได้รู้ถึงศักยภาพ และข้อจำกัดเล็กๆน้อย ของ 120d คูเป้ นั่นเอง
ศักยภาพของมัน อย่างที่คุณได้อ่านไป มันพาคุณพุ่งทะยานไปข้างหน้า
ได้อย่างทันใจ ทันเท้า ทันแว่บความคิดที่ผุดขึ้นมาในเสี้ยววินาที
ไม่แพ้ 320d หรอกครับ

แต่สิ่งที่ 320d ทั้ง 2 ตัวถัง ยังไม่อาจมีให้คุณได้เท่า 120d คือความคล่องตัว และยืดหยุ่น
ต่อสถานการณ์ การขับขี่ที่แตกต่างกัน และบทที่คุณอยากจะทำตัวเป็นผู้ร้าย
120d จะแสดงความเกรี้ยวกราด ออกมารองรับอารมณ์โทสะของคุณได้อย่างถึงแก่น
ตามระดับของตัวรถเอง ด้วยจริตจะก้านของมัน (ซึ่งนั่นหมายความว่า คุณไม่ควร
จะโกรธใคร ก่อนที่จะขึ้นขับรถคันนี้ไม่เช่นนั้น โอกาสจะเสียหาย น่าจะมีมากกว่าที่คิด)

และข้อจำกัดของมัน ก็มีเพียงข้อเดียวจริงๆ คือ การตอบสนองของคันเร่งไฟฟ้า
ที่ทำงานร่วมกับ ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า ซึ่ง เหมือนกับ BMW รุ่นอื่นๆนั่นละ ท่คุณอาจต้องรอจังหวะ
นิดนึง ก่อนที่รถจะตอบสนองในสิ่งที่คุณสั่ง แต่เอาเถอะ ในเสี้ยววินาทีที่แตกต่างกันนั้น
การตอบสนองของคันเร่งไฟฟ้า BMW ดีเซล ไม่ได้ช้า เหมือนกับ ของ แคมรี และ วอลโว S80
เพียงแต่ ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบขับรถที่ใช้คันเร่งแบบสาย อย่างที่รถสมัยก่อนเป็นมานั้น
คุณอาจเซ็งบ้าง นิดนึง แต่คงไม่ถึงกับรำคาญอะไรนัก 

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง แปรผันน้ำหนักตามความเร็วรถ
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 10.7 เมตร มีระยะฟรีน้อยมาก และ เซ็ตมาเอาใจนักขับอย่างแท้จริง
หนืดและหนักปานกลางค่อนไปทางเยอะในความเร็วต่ำ แบบซีรีส์ 1 คันก่อนที่ผมเคยเจอ
พอกันกับ ซีรีส์ 3 คูเป้ คมกระชับ ฉับไว และคล่องตัวมากๆ ในการมุด หรือบังคับรถช่วงเร่งแซง
แต่ ก็อาจทำให้สาวๆกล้ามขึ้นได้ เวลาถอยหลังเข้าจอด เพราะแม้จะไม่หนักเท่า แต่ความหนืด
ของพวงมาลัย ก็หนืดกว่า เชฟโรเลต ออพตร้า นิดนึง ทว่า หนืดน้อยกว่า มินิ ยุคใหม่ๆนี้เพียงนิดเดียว

ระบบกันสะเทือนนั้น ด้านหน้าเป็นแบบ Double-joint tiebar spring strut axle ผลิตจาก aluminium
ส่วนด้านหลังเป็นแบบ  Five-arm axle ผลิตจาก เหล็กกล้าน้ำหนักเบา

การตอบสนอง มาในแนวหนึบ แน่น แต่ค่อนข้างแข็ง ตามสไตล์ BMW รุ่นเล็ก
แม้ว่าการขับผ่านลูกระนาด บางลูก จะพบสัมผัสที่เหมือนว่า ล้อทั้ง 4 เกาะติดอยู่กับพื้นถนน
ราวกับลูกกลิ้งทาสี ที่เพิ่งจุ่มสีมาหมาดๆ ถูกกดลงไป บนฝาผนังบ้าน แต่ในบางหลุมบ่อ
ก็มีอาการแข็งกระเทือนให้ได้สัมผัสกัน แทบจะเรียกได้ว่า ทุกหลุมบ่อ ทุกรอยต่อเชื่อมถนน
รสสัมผัสของมันจะถูกส่งขึ้นมายังผู้ขับขี่โดยตรง

ทั้งหมดนี้ เมื่อรวมเข้ากับ การออกแบบรถให้มีการกระจายน้ำหนัก ในอัตราส่วน
หน้า-หลัง 50:50 พอดีๆ แล้ว ทำให้ การควบคุมรถ ยิ่งเป็นไปอย่างคล่องแคล่ว ฉับไว
แม้ว่า ในบางครั้ง จะไวต่อการสัมผัสกับพื้นถนน เสียจนชวนให้คิดไปเองว่า มันเหมือนจะไม่มั่นใจ
แต่เอาเข้าจริง ถ้าพื้นถนนเรียบ กระแสลมมีไม่มากนัก ต่อให้คุณใช้ความเร็วสูงๆ รถก็จะนิ่ง ไม่น่ากลัว

 

ในรถคันทดลองขับ ใส่ล้ออัลลอย คู่หน้า มีขนาด 7J x 17 นิ้ว สวมกับยางล้อหน้า ขนาด 205/50R17
ส่วน ล้ออัลลอย คู่หลัง มีขนาด 7.5 J x 17 นิ้ว สวมกับยางหลัง ขนาด 225/45R17
ยางด้านหลัง จะมีพื้นผิวสัมผัสมากกว่า และมีแก้มยางที่ต่ำกว่านิดนึง
ยางติดรถคันที่ทดลองขับนี้เป็น ยาง P ZERO ของ Piralli ซึ่งแทบไม่ต้องคิดมาก
กับสมรรถนะอันประเสริฐที่ให้มา ดีที่สุดอันดับต้นๆที่ผมเคยเจอ ยางรุ่นเดียวกันนี้ ณ ปัจจุบัน เป็นยางติดรถ
ของ ซีรีส์ 7 ใหม่ F01-F02 มาจากโรงงานแล้ว

ส่วนเรื่องการเก็บเสียง นั้น โดยปกติ รถที่ใช้ประตูแบบ Pillar Less หรือไม่มีเสากรอบรอบกระจกหน้าต่าง นั้น
ในอดีตเราอาจต้องทำใจว่า ดังสนั่นแน่ๆ แต่ นั่นคือรถคันอื่น ไม่ใช่ 320d เพราะกว่าที่คุณจะเริ่มได้ยินเสียงลม
ที่แหวกผ่าน ตัวถังเข้ามามากๆ นั้น คุณต้องรอให้เข็มความเร็ว ผ่านพ้นระดับ 180-200 กิโลเมตร/ชั่วโมงไปก่อน
จึงจะต้องเพิ่มเสียงพูดคุย หรือปรับเครื่องเสียงให้ดังขึ้น

 

 

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

นายกล้วย BnN 1 ในทีม The Coup ของเรา โทรมาจองกันล่วงหน้าเลยทีเดียว
สำหรับการมาช่วยเป็นสักขีพยาน และ ผู้ช่วยผม ระหว่างทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
โดยใช้มาตรฐานเดิมของเรา คือ เติมน้ำมันดีเซล วี-เพาเวอร์ หัวจ่ายเดิม ที่ปั้มเชลล์
ถนนพหลโยธิน ปากซอย อารีย์ ใต้สถานี BTS

เติมลงไปให้เต็มถังน้ำมันความจุ 51 ลิตร ที่ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถคันนี้ 

เซ็ตมาตรวัด Trip Meter เป็น 0 แล้ว ขับออกจากปั้ม ลัดเลาะ ไปขึ้นทางด่วนที่ด่านพระราม 6
มุ่งหน้าไปยังปลายสุดสายทางด่วน เชียงราก ก่อนจะเลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วนสายเดิม
ย้อนทางกลับมา ลงอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้าย เพื่อกลับเข้าไปเติมน้ำมันยังปั้มแห่งเดิม
น้ำมันชนิดเดิม และหัวจ่ายเดิม ด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง (เปิด Cruise Control
ด้วยการ กระดิกนิ้ว  ที่ก้านสวิชต์ ดันขึ้นหน้า-ถอยหลัง จนกว่าจะได้ความเร็วที่ต้องการ)
เปิดแอร์ และนั่งกันแค่ 2 คน

เมื่อ กลับมาถึงยังปั้มน้ำมันแห่งเดิม เราก็ขับเข้าไปยังหัวจ่าย วี-เพาเวอร์ ดีเซล เดิม
อันเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างโชคดีว่า วันนี้ ทั้งรถบนถนน และรถในปั้มน้ำมันแห่งนี้
ค่อนข้างว่าง พอกัน ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น และสะดวกสบาย

มาดูระยะทางที่รถคันนี้แล่นไปทั้งหมด ตามเส้นทางเดิมของเราดีกว่า
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด 91.3 กิโลเมตร

 
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 5.49 ลิตร

และนี่คืออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย….16.63 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งก็ถือว่า เป็นไปตามคาด
เพราะ ขุมพลังบล็อกนี้ จะวางในรถรุ่นใดก็ตาม ผมไม่เคยเห็น ตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิงเฉลี่ย ของรถคันนั้น ต่ำกว่า 16.2 กิโลเมตร/ลิตร เลยแหะ ไม่ว่ารถคันนั้น
จะเป็น X3 xDrive 2.0d ก็ตาม

 

************************** สรุป ***************************

***** จ่ายแพงกว่า 320d SE เกือบ 8 แสน เพื่อรถที่แรงและประหยัดพอกัน แต่เล็กกว่า?  *****

จริงอยู่ ผมเห็นด้วย กับนักวิจารณ์ต่างชาติทังหลาย ที่พูดเป็นเสียงแทบจะเดียวกันเลยว่า ซีรีส์ 1 คูเป้…

คือการพาทุกคน กลับไปสู่ BMW ในแบบที่เคยเป็น ซึ่งเป็นรูปแบบที่ทุกคนซึ่งชื่นชอบรถยี่ห้อนี้ หลงรักกันมากกกก

ยอมรับ อย่างชื่นชอบ และชื่นชม ทั้งความแรง จากขุมพลังดีเซล สหกรณ์ที่ผมคุ้นเคยกันมาหลายครา
ไปจนถึง ความคล่องตัวในทุกความต้องการที่เกิดขึ้นหันหันฉับพลันทันด่วน แบบที่หาใครเหมือนได้ยากมากๆ
แถมยังดิบกำลังดี ไม่แข็งมากเสียจนคุณพ่อผมบ่นอุบ ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องผิดคาด

ตลอดทางที่ขับรถคันนี้ ไป ผมนึกถึง Mazda MX-5 ใหม่
เพราะทั้งการตอบสนองของช่วงล่าง การบังคับเลี้ยว มันใกล้เคียงกันมากๆ  
จะยกเว้นแค่ระบบเบรก ที่ยังไงๆ BMW ก็ยังคงทำได้ดีกว่า
และที่เห็นกันชัดเจนคือ อย่างน้อย คุณยังพาเพื่อนไปได้อีก 3 คน
ขณะที่ MX-5 คุณพาไปได้อีกแค่คนเดียวเท่านั้น

อันที่จริงแล้ว ผมชอบรถคันนี้ ถ้าผมเป็นคนโสด
และ เป็นคนที่ไม่ได้ชอบให้ชีวิต ต้องมาวุ่นวายกับระบบ i-Drive ขณะขับขี่

 

 

จริงอยู่ว่า 320d SE รุ่น E90 Minorchange  คือรถที่ ผมไม่อยากคืนทาง BMW Thailand ไปเลยจริงๆ
แต่ ก็น่าแปลกใจไม่น้อยว่า ทั้งที่ใช้เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังเหมือนกัน แถมยังมีสมรรถนะในการขับขี่
ที่ให้ความคล่องตัวมากกว่า สปอร์ตกว่ากันนิดหน่อย แต่ดิบกว่ากันเพิ่มขึ้นอีกนิด อย่างชัดเจน

ผมกลับไม่รู้สึกอยากจะมี 120d คูเป้ เก็บเข้า รายการ  10 รถสุดรักในดวงใจ ไว้เหมือนที่เคยคาดการณ์
ก่อนหน้าจะได้ลองขับกัน

นึกไปนึกมา ผมว่าผมเจอเหตุผลแล้วละ และเหตุผลที่ว่านั่นก็คือ 
“สิ่งที่คุณได้มา แลกกับสิ่งที่คุณต้องจ่ายออกไป มันไม่คุ้มกันเท่าที่ควร”

 
 

 
เพราะ คุณงามความดีทั้งหมดที่เราชื่นชอบ รวมทั้งข้อเสียที่พอรับได้
กลับกลายเป็นความไม่สมเหตุสมผลขึ้นมาเสียดื้อๆ เมื่อเราต้องนำราคาขายปลีก
มาคิดรวมเข้าไปด้วย อย่างไม่เต็มใจนัก

ก็ในเมื่อ ราคาตั้งขาย ปาเข้าไป 3,699,000 บาท ต่อให้มีส่วนลดอีกนิดหน่อย
ผมก็เริ่มมองว่า มันแพงเกินเหตุไปในทันที เพราะถ้าจำกันไม่ผิด เมื่อครั้งที่
120i แฮตช์แบ็ก เข้ามาทำตลาดในบ้านเรา เป็นครั้งแรก ขายอยู่ที่ราคา ประมาณ 2.8 ล้านบาท
พอกันกับ ซีรีส์ 3 รุ่นที่ขายกันอยู่ ณ ขณะนั้น พอดี ตอนนั้น ผมเขียนไปว่า 120i มันแพงเกินไป

 
 

แต่เมื่อมาเป็น 120d คูเป้ เวลาผ่านไปจากการเปิดตัวครั้งนั้น หลายปี การเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน
ก็มีส่วนทำให้ราคาถีบตัวพุ่งไปหยุดแถวๆนั้นด้วย (นอกเหนือจากการทำธุรกิจที่ต้องเอากำไรเป็นเรื่องปกติ)
การตั้งราคาที่แพงเกินไปมากอย่างนี้ เศรษฐีหลายคน จึงมองว่า รถแบบนี้ เหมาะจะขายกลุ่มสุภาพสตรี
ที่คิดจะซื้อรถเล็กๆ เอาไว้ใช้งานในเมือง แต่ต้องแรง พอๆกับนิสัยของสาวผู้ครอบครอง นั่นละ คนกลุ่มนี้
ต้องมีวิธีคิด ที่ไม่เหมือนใคร รักสนุก กับผองเพื่อน แบบไร้ขีดจำกัด สะท้อนได้จากอุปนิสัยการขับรถ
ซึ่งต้องการอัตราเร่งที่ปรู๊ดปร๊าด คล่องตัวเหมือนกับที่จิตใจสั่งการ แต่ ยังต้องขอ งบที่บ้าน มาเติมน้ำมันบ้าง
ในบางครั้ง นอกเหนือจาก หารายได้ จากงานพิเศษจำพวก เดินแบบ หรือเป็นพิธีการ ได้เอง

ซึ่งสุภาพสตรี ที่มีคุณสมบัติอย่างที่กล่าวมานี้ ผมองว่า
หาได้ไม่เยอะมากนักในวงสังคมเมืองไทย
ที่คิดอยากจะได้รถคูเป้คันเล็กแบบนี้ มาไว้ขับเล่น

นั่นเลยทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมจะต้องจ่ายเงิน 3.6 ล้านบาท เพื่อรถที่เล็กกว่า 320d SE
ประกอบในประเทศ ราคา 2.8 ล้านกว่าบาท

แต่ เอาละ อย่างน้อย มันก็เป็นรถที่ เหมาะสมกับราคา ถ้าคิดว่า การเอื้อมขึ้นไปเล่น 320d Coupe
เป็นเรื่อง เกินจำเป็นไปหน่อยของคุณ

ทว่า ด้วยราคาที่แพงขนาดนี้  ผมจึงมองว่า ถ้าราคาขาย ตั้งสูงขึ้น ไม่เกิน 3 ล้านบาท ผมเชื่อว่า
ยังอยากจะมีผู้คน เต็มใจคบหากับ สาวไฮโซอารมณ์ร้ายคนนี้อยู่เยอะกว่าที่เป็น
(รวมทั้งผมเองก็จะยินดี เก็บมันเข้าลิสต์ รถในดวงใจ 10 คัน อย่างไม่ต้องคลางแคลงใจ
อย่างที่เป็นอยู่นี้)

เพราะ อุปนิสัยของสาวไฮโซ คนนี้ รสรักร้อนแรงเกินกว่าที่พวกสมัครเล่น
ประสบการณ์ยังอ่อนหัด จะรับมือได้ง่ายนัก ก็แล้วกัน

 
————————-///————————-
 
 


ขอขอบคุณ
คุณพิสมัย เตียงพาณิชย์
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท BMW Thailand จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

 

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ โดยผู้เขียน
ทั้งภาพ และบทความ

เผยแพร่ครั้งแรก ใน www.headlightmag.com
9 กรกฎาคม 2009

แสดงความคิดเห็น ต่อบทความนี้ คลิกที่นี่