เอ้า! ก็ นั่นเขาระดับ เจมส์ จิรายุ หรือคุณชายพุฒิพัฒน์ แห่งวังจุฑาเทพ นะเฟ้ย!
ไอ้เรามันเป็นแค่…J!MMY คุณชาย “พิลึกพักตร์” แห่ง “วังสุขาเทพ!!” จะไปสั่งเค้าได้ไงละ?

จริงปะ? …..อิอิ…. 😛

เผอิญช่วงนี้ แม้ละครชุดฟอร์มยักษ์เรื่อง”สุภาพบุรุษ จุฑาเทพ” ของ วิก 3 พระราม 4 จะ
ลาจอไปแล้วหลายเดือน แต่กระแสของ น้องเจมส์ จิรายุ ดาราดาวรุ่งคนใหม่ ยังพุ่งปรู๊ด
เป็นธนูติดจรวด NASA จึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่เหล่าสินค้ามากมายก่ายกอง ต่างพากัน
จับจอง ตัวและคิวของคุณน้อง มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ หวังจะช่วยสร้างกระแสความสนใจ
ให้เหล่าบรรดา แม่ยกและแฟนคลับ ได้กรี๊ดดดดดดดดด สนั่นจนผู้คนเขาค้อนขวับ แล้ว
แย่งกันจับจ่ายสินค้าที่ น้องเจมส์ เขาไปช่วยโฆษณาให้

ตั้งแต่ เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ AIS ที่ประกาศจ่ายเงินค่าตัวไปหลายล้าน ฉกตัวไป
ช่วยดึงลูกค้ามาใช้เครือข่าย 3G เป็นรายแรก แถมนอกจากขอถ่ายโฆษณาแล้ว ยังขอ
ตามถ่ายทำ เจาะชีวิตประจำวัน ของเจ้าตัว ไปเผยแพร่

แหม! ทำอย่างกับ เจมส์ เป็น หลินปิง!

แต่อันที่จริง ถ้าถ่ายทำได้ทั้งวัน ตลอดทุกวัน ก็คงจะดี บรรดากองถ่ายละคร ที่น้องเจมส์
ทำงานอยู่ เขาจะได้โล่งอกกันไป เพราะไม่ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับกองทัพแฟนคลับที่
ยกโขยงมาให้กำลังใจ แค่เปิดดูจากมือถือ AIS 3G ก็ยิ้มแก้มแทบปรี่อยู่ทุกที่ ทุกเวลา

ตามมาด้วย ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ซึ่งไม่รอช้า ดึงมาช่วยโปรโมท โครงการสะสมสแตมป์
ใช้แทนเงินสด ของปี 2013 ล่าสุด Meiji ผู้ผลิตอาหารจากนมรายใหญ่สุดของญี่ปุ่น ก็ขอ
ร่วมขบวนโหนกระแสความดัง คว้าตัวมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ โยเกิร์ต Meiji Bulgaria
ซึ่งดูเหมือนว่า กระแสตอบรับจะดีเกินคาด ถึงขนาด น้องๆ กลุ่ม The Coup Team
ของเรา 2 คน ทั้ง Bizzare และ HOMY DEMIO ต่างก็วิ่งไปซื้อมาลิ้มลองชิมรสชาติ
กันแล้ว คนหนึ่งบอกว่า มันจืดและเฝื่อนเกินไป ไม่ชอบอย่างรุนแรง แต่อีกคนหนึ่ง กลับ
บอกว่า จืดๆ เฝื่อนๆ นี่แหละ ดี ชอบ….ก็แล้วแต่รสนิยมชิวหาของใครของมันแล้วกัน

ไอ้ที่เขียนมาข้างบนนี้ มิได้รับส่วนแบ่งค่าโฆษณา Tie-in แต่อย่างใดทั้งสิ้น เพียงแค่ต้อง
ขอบันทึกเอาไว้เสียหน่อย เผื่อในอนาคตอีกหลายปีข้างหน้า มีใครเกิดอุตริขุดบทความ
รีวิวนี้ขึ้นมาอ่าน ก็จะได้รู้ว่า ในปี 2013 กระแส เจมส์ จิรายุ Fever นั้น มันโหมกระหึ่ม
ไปทั่วบ้านทั่วเมืองกันขนาดไหน!

แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ…ผมไม่คิดมาก่อนว่า…ยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota จะตัดสินใจดึงเอา
เจมส์ จิรายุ มาเป็น พรีเซ็นเตอร์ รถยนต์รุ่นใหม่ กับเขาด้วย

และที่หนักไปกว่านั้นก็คือ…ต้องมาเป็น พรีเซ็นเตอร์ ให้กับรถยนต์ ที่เปิดตัวไปแล้ว….

รถยนต์คันที่คุณเห็นอยู่นี้……

อันที่จริง มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก เพราะในอดีตที่ผ่านมา Toyota ก็มักจะใช้บริการ ดารา
นักร้อง Celebrities มาเป็น Presenter เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่ เรามักพบพวกเขา
พวกเขาเหล่านั้นได้ในภาพยนตร์โฆษณาของรถกระบะตระกูล Hilux ตั้งแต่สมัยรุ่น Five Star
(กรุง ศรีวิไล) Hilux Hero (บิณฑ์ บันลือฤทธิ์) ข้ามรุ่น Mighty-X มาเป็นรุ่น Tiger ปี 1998
(ปีเตอร์ ครอป ไดเร็นดัล ขับผาดโผน พร้อมทีมสตันท์ เรมี จูเลียน) จนถึงยุคของ Hilux Vigo
(แอ็ด คาราบาว ,สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ จากรายการคนค้นคน ,ปัญญา นิรันดร์กุล,มยุรา เศวตศิลา,
ป๋อ ณัฐวุฒิ สะกิดใจ,ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน, และนักฟุตบอลระดับโลก อย่าง โรนัลโด)

แต่ถ้าย้อนไปดูกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ในอดีตที่ผ่านมา ก็มีเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น ที่ Toyota
ใช้บริการ Presenter มาช่วยโปรโมท ย้อนไปดูถึงสมัย นาถยา แดงบุหงา (Cation EDP
ระบบชุบกันสนิม ปี 1982) ข้ามมาจนถึง Corolla ปี 1996 (ฟอร์ด สบไชบ ไกรยูรเสน,
อัจฉรา บัวสมบูรณ์ ผู้ประกาศ จส.100 ในยุคนั้น, บอยด์ โกสิยพงษ์) รุ่น Hi-Torque 
1998 เครื่องบินร่อนลง ราชดำเนิน (ปิ่น เกจมณี พิชัยรณรงค์สงคราม ,ดอม เหตระกูล)
Corolla Altis ปี 2001 (Brad Pitt) Altis 2008 (Orlando Bloom) Altis 2011 
(โฬม พัชฏะ) และ ปี 2012 (อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ) ล่าสุดกับ Prius ที่อุดมไปด้วยเหล่า
คนดังเยอะมาก (ป๊อด Moderndog,สแตมป์,ป๊อบ อารียา สิริโสภา,โทนี่ รากแก่น รวมทั้ง
บีม กวี D2B และ นักออกแบบแฟชัน ดิษยา)

จะว่าไปแล้ว ตระกูล Soluna และ Vios เอง ก็มีการใช้ Presenter มาเรื่อยๆ นับตั้งแต่ ปี
1997 ( DJ โด๋ว มรกต โกมลบุตร) ปี 2002 (Britney Spear) ข้ามมาอีกที ก็เป็นปี 2010
(ว่าน ธนกฤต พานิชวิทย์ และ โจ ภาณุพล เอกเพชร จาก Academy Fantasia 2 ก่อน และ
ปิดท้ายด้วย เต้ย จรินทร์พร จุนเกียรติ ในปี 2011) สาเหตุก็เพราะ ต้องการให้งานเปิดตัวรุ่น
ก่อนๆ ดังเปรี้ยงปร้าง ส่วนช่วงปี 2010 – 2012 ก็เพราะต้องการรักษาความเคลื่อนไหว
ในฐานะผู้นำตลาด เพื่อคงความสดใหม่ให้กับตัวรถอยู่สม่ำเสมอในสายตาลูกค้า

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของ Vios รุ่นล่าสุด มันต่างออกไป…

นับตั้งแต่ รถยนต์รุ่นนี้เปิดตัวในงาน Bangkok International Motor Show
ปลายเดือน มีนาคม 2013 เป็นต้นมา แม้ในช่วงสัปดาห์แรกๆ กระแสความสนใจของ
ผู้บริโภคชาวไทย จะพุ่งทะยานขึ้นอย่างหวือหวา  แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ช่วงเปิดตัว

เพราะเอาเข้าจริง Toyota ก็ยังไม่พร้อมส่งรถยนต์ให้กับผู้จำหน่ายกว่า 300 โชว์รูม
ทั่วไทยต้องรอพ้นช่วงหยุดยาว จากเทศกาลสงกรานต์ จึงจะเริ่มกลับมาผลิตอีกครั้ง
การเตรียมกองทัพ Vios ใหม่ เพื่อช่วงเปิดตัว จึงเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ จากโรงงาน
Gateway สู่บรรดาโชว์รูมทั่วประเทศ พร้อมเพรียงกันในวันที่ 10 พฤษภาคม 2013
ที่ผ่านมาหมาดๆ

ในเมื่อ ลูกค้าในต่างจังหวัด ยังไม่มีโอกาสสัมผัสรถคันจริง ในวันแรกที่เปิดตัว จาก
ความไม่พร้อม ของ Toyota ที่ยังต้องจัดการกับสต็อกของ Vios รุ่นก่อน ซึ่งยังเหลือ
ค้างอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย อีกทั้ง กำหนดการปล่อยรถยนต์ส่งมอบให้ลูกค้าต้องรอกัน
ถึงสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม ทำให้กระแสในช่วงแรก เหมือนลมที่พัดมาเพียง
วูบเดียวแล้วก็หายเงียบไป

แถมยังได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ จากลูกค้า ถึงการไม่ยอมเปลี่ยนเครื่องยนต์และ
ระบบส่งกำลังที่ใช้มาตั้งแต่รุ่นปี 2002 จนถึงปัจจุบัน การออกแบบภายในบางจุด
ที่ดูดี แต่ใช้งานจริงไม่เข้าที ทำให้ยอดขายในเดือนแรก ที่นับกันเต็มเดือนๆ คือ
พฤษภาคม 2013 Vios ใหม่ แม้ว่าจะยังขายดีในระดับแถวหน้าของเมืองไทย
แต่ตัวเลขก็ยังไม่เปรี้ยงปร้างมากอย่างที่เคยเป็น

นั่นคือสาเหตุที่เราได้เห็น เจมส์ จิรายุ  หรือ คุณชายพุฒิพัฒน์ ณ วัง จุฑาเทพ ในละคร
โทรทัศน์ทาง ช่อง 3 ซึ่งกำลังมาแรงในตอนนี้ มาช่วยเป็นพรีเซ็นเตอร์ สร้างการรับรู้
ของผู้บริโภคกันใหม่อีกรอบ โดยใช้วิธี บัญญัติ ศัพท์ใหม่ทางการตลาดว่า…

V Control “เจมส์สั่งได้…คุณ ก็สั่งได้”

ในมุมมองของคนทำการตลาดแล้ว การเลือกใช้ พรีเซ็นเตอร์ อาจช่วยได้แค่ในแง่ สร้าง
การรับรู้และจดจำ และถ้าเป็นสินค้าราคาไม่แพงมากนัก พรีเซ็นเตอร์มีส่วนช่วยเพิ่มตัวเลข
ยอดขายในช่วงแรกที่เปิดตัวได้มาก แต่ในระยะยาว การตัดสินใจซื้อของลูกค้าหลังจากนั้น
ล้วนแล้วมาจากคุณงามความดีของตัวสินค้า ทั้งสิ้น

ยิ่งโดยเฉพาะ สินค้าอย่าง รถยนต์ ซึ่งมีวิธีการทำตลาดแตกต่างไปจากสินค้าอุปโภคบริโภค
คุณลักษณะด้านต่างๆ ทั้ง ความสวยงาม ราคาขาย ออพชันที่ให้มา อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ความสบายใน การขับขี่ และนั่งโดยสาร อัตราเร่ง ความปลอดภัย จะถูกจัดลำดับเอาไว้ในใจ
ของผู้บริโภคส่วนใหญ่ เรียงลำดับกันตามนี้…Presenter ไม่เกี่ยว!

ถ้ารถยนต์รุ่นใดออกแบบมาอย่างดี คำนึงทุกรายละเอียดอย่างถ้วนถี่ รอบคอบไม่ลดต้นทุนมาก
จนลูกค้าร้องยี้ จัดอุปกรณ์มาตรฐานมาให้โดนใจ ขายในราคาที่เหมาะสม เพียงเท่านี้ก็มีชัยไป
กว่าครึ่ง ที่เหลือ ก็ขึ้นอยู่กับว่า เมื่อรับรถไปแล้ว คุณลักษณะของรถยนต์คันนั้นในด้านต่างๆ
จะตอบโจทย์ และสร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน

ยิ่งเป็นกลุ่มที่ซื้อรถยนต์เป็นคันแรกในชีวิต ประสบการณ์ครั้งแรก ที่พวกเขาเลือก จะถูกจดจำ
ตราตรึงไปตลอดชีวิต ถ้าพวกเขา Happy รถยนต์คันต่อไป อาจเป็นยี่ห้อเดิม แต่ถ้าไม่สุขขี ละก็
คันต่อไป อย่าหวังว่ายี่ห้อเดิมจะได้แอ้มเงินจากกระเป๋าลูกค้าอีก เพราะมีเปลี่ยนยี่ห้อแน่นอน

ที่ผ่านมา Vios แต่ละรุ่น ก็สร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าส่วนใหญ่กันไว้ค่อนข้างจะดี อาจมี
บางรายที่ไม่ค่อยประทับใจอยู่บ้าง กระนั้น ภาพรวม ยังถือว่าทำได้ดี

แต่ Vios รุ่นใหม่ จะยังคงสร้างความรู้สึกดีๆให้กับลูกค้าได้เหมือนที่เคยเป็นมาหรือเปล่า?

เพราะว่า Soluna และ Vios รุ่นก่อนหน้านี้ ถือได้ว่าเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญที่สร้างปรากฎการณ์
ในเมืองไทยไว้มากมาย ทั้งด้านยอดขาย และความนิยมของผู้คน อีกทั้งยังเป็นรถยนต์ที่เปี่ยม
ไปด้วยเรื่องราวให้คน Toyota Motor Thailand เล่าขานกันไม่รู้จักจบจักสิ้น และจุดเริ่มต้น
ของ รถยนต์รุ่นนี้ ก็เกิดขึ้นเพื่อเป็น “รถยนต์นั่งส่วนบุคคลขนาดเล็ก แบบแรกที่พัฒนา และผลิต
เพื่อประเทศไทย รวมทั้งตลาด ASEAN โดยเฉพาะ!

รุ่นแรกของ Soluna Vios เริ่มต้นจากการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนารถยนต์ขนาดเล็ก
เพื่อตลาด Asia โดยพุ่งเป้ามาที่ประเทศไทย ด้วยสาเหตุที่ว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ในไทย ช่วงนั้น สูงถึง 8 เปอร์เซนต์ ต่อปี ทำให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น เกิดชนชั้นกลางที่
มีอำนาจจับจ่ายมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ สูงขึ้น ดูได้จากยอดขายรวม ปี 1991 สูงถึง
ประมาณ 268,000 คัน ทำให้โตโยต้าคาดว่า โอกาสที่ยอดขายรถยนต์ในไทยปี 2000 จะพุ่ง
ทะยานถึงระดับ 600,000 คันต่อปี จึงไม่ไกลเกินเอื้อม (เราต้องไม่ลืมว่า ข้อมูลจากการศึกษานี้
มีขึ้นเมื่อปี 1992 ก่อนจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั่วเอเชีย ในปี 1997 จนทำให้ยอดขายรวมของ
ตลาดลดลง และกว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้ ต้องใช้เวลาหลังจากนั้น พักใหญ่)

ผู้บริหาร Toyota Motor ญี่ปุ่น จึงเริ่มเดินหน้าโครงการพัฒนารถยนต์ราคาประหยัดของตน
ภายใต้ชื่อ AFC (AFFORDABLE FAMILY CAR) ในเดือนกุมภาพันธ์ 1993 โดยเลือกให้
ประเทศไทย เป็นแม่งานหลักของโครงการนี้ และเลือกให้ Takeshi Yoshida รับหน้าที่เป็น
หัวหน้าวิศวกร หรือ Chief Engineer ของโครงการนี้ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งสำคัญ
ของ Yoshida เพราะเป็นครั้งแรกที่เขาเป็นหัวหน้าทีมวิศวกรดูแลโครงการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ
ก่อนที่ความสำเร็จจากโครงการนี้ จะเปิดทางให้เขาได้มีโอกาสก้าวขึ้นไปเป็นหัวหน้าวิศวกรดูแล
โครงการพัฒนา Corolla ZZE-120 (Corolla Altis รุ่น Brad Pitt ในบ้านเรา) ตามด้วย
Toyota Wish ที่โด่งดังในไทย จนถึง Toyota Matrix / Pontiac Vibe ฝาแฝดต่างค่าย
ร่วมโครงสร้างวิศวกรรม ที่ชาวอเมริกันนิยมชมชอบอยู่พักใหญ่ อีกด้วย ปัจจุบัน ไปเป็นหนึ่งใน
ผู้บริหารระดับสูงของ Toyota ไปแล้ว)

หลังการพัฒนามายาวนาน ผ่านหลากหลายปัญหาและความขัดแย้งมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
ของการทำงานร่วมกัน Soluna คันแรกออกจากสายการผลิตโรงงาน Gateway อย่างเป็น
ทางการในวันที่ 7 ธันวาคม 1996 และเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 1997 ด้วยสโลแกน The Great Journey (การเดินทางที่ยิ่งใหญ่)

ช่วงแรกของการเปิดตัว Soluna ได้รับความนิยมสูงกว่า Honda City คู่แข่งที่เปิดตัวล่วงหน้า
ไปก่อนถึง 8 เดือน แต่เพียงแค่เปิดตัวไปได้ 3 วัน ใบสั่งจองที่มากมายเป็นประวัติการณ์ ถึง
28,765 ใบ (15,335 ใบในงานเปิดตัว และ 13,430 ใบ จากดีลเลอร์ทั่วประเทศ) ทำลายสถิติ
ยอดจอง 3 วัน 10,000 คันของ Honda Civic 3 ประตู ในเดือนสิงหาคม 1993 อย่างราบคาบ
ทำให้ Toyota ต้องเพิ่มกำลังการผลิตที่โรงงาน Gateway อย่างเร่งด่วน

แต่พอรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประกาศลดค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1997
วิกฤติเศรษฐกิจ ต้มยำกุ้ง ก็เกิดขึ้นทันที และส่งผลกระทบไปทั้งระบบเศรษฐกิจ ทำให้
Toyota และผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่ายต้องประคับประคองตัวให้รอดเหตุการณ์นี้ไป ซ้ำร้าย
2 ปีต่อมา Honda ส่ง City Type Z รุ่นปรับโฉม Big Minorchange ยิ่งทำให้
ยอดขาย Soluna รุ่นแรก ร่วงไปเป็นอันดับ 2 ในตลาดกลุ่มรถยนต์นั่งราคาประหยัดไป

Toyota ฮึดสู้อีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว Souluna Vios โดยเผยโฉมครั้งแรกสู่สายตานักข่าว
รอบ Preview เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2002 ตามหลังวันเปิดตัว Honda City 88 แรงม้า
เพียงวันเดียวเท่านั้น! ก่อนจะส่งเข้าไปรับจองในงาน Motor Expo ปลายเดือนเดียวกัน
ด้วยการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ เป็นรหัส 1NZ-FE 1.5 ลิตร 109 แรงม้า (PS) ตัวรถดูดี
สวยงามลงตัว ย้ายมาตรวัดความเร็วมาไว้ตรงกลางแผงหน้าปัด จนกลายเป็นเรื่องแปลก
ในยุคนั้น แถมยังใช้บริการรนักร้องระดับโลกอย่าง Britney Spear มาเป็น Presenter
อีกทั้ง คู่แข่งอย่าง  Honda เลือกสวนกระแส ทำ City Sedan รุ่น 2 ออกมา ไม่สวย แถม
ยังลดกำลังเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ลงเหลือแค่ 88 แรงม้า (PS) ทำให้ยอดขายของ Vios
พุ่งฉีก แซง City ขึ้นมา ครองอันดับ 1 ในกลุ่ม ได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 10 ปี ทั้งที่มี
การปรับโฉม Minorchange เล็กน้อย เพียงครั้งเดียว (ไม่นับรุ่นกระตุ้นตลาด) ในช่วง
เดือนสิงหาคม 2005 เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เพียง 2 เดือน รุ่นที่ 3 Soluna Vios ก็เผยโฉมครั้งแรกในญี่ปุ่น
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2005 ในชื่อ Toyota Belta เพื่อทำตลาดแทน Toyota Platz /
Echo Sedan ที่ไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย ทั้งในญี่ปุ่นหรือประเทศอื่นที่ส่งไปขาย ถือเป็น
การทำตลาดในญี่ปุ่น ครั้งแรก และครั้งเดียว ของ Sub-Compact Sedan ตระกูล Vios เป็น
ผลงานของ ทีมวิศวกรซึ่งนำโดย  Junichi Furuyama , Chief Engineer ซึ่งมีผลงานล่าสุด
เป็น Lexus IS (รุ่นปี 2013)

แต่กว่าที่คนไทยจะได้จับจองเป็นเจ้าของกัน ต้องรอจนถึงการเปิดตัวเวอร์ชันไทยอย่าง
เป็นทางการ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2007 แม้ว่าเครื่องยนต์กับระบบส่งกำลังจะยังเหมือนเดิม
แต่ตัวรถถูกออกแบบให้ยาวขึ้นกว่าเดิม ภายในดูหรูกว่าเดิม แต่ยังคงใช้มาตรวัดตรงกลาง
เหมือนรุ่นก่อน ทำให้ Vios ยังคงขายดีอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ Honda จะเปิดตัว City ใหม่
ไล่ตามติดตีตื้นขึ้นมาได้กระชั้นชิด ในเดือน สิงหาคม 2008 แต่ก็ต้องใช้เวลานานมาก
กว่าจะข้นแซง Vios สำเร็จ เมื่อช่วงต้นปี 2013 นี่เอง

นอกเหนือจากทำตลาดในชื่อ Belta ที่ญี่ปุ่น และในชื่อ Vios ที่เมืองไทย รวมทั้ง ASEAN
ด้วยแล้ว Sedan รุ่นนี้ยังถูกส่งไปขายในตลาดอเมริกาเหนือ รวมทั้งตลาดส่งออกอีกหลายๆ
ประเทศ ในชื่อ Toyota Yaris Sedan ทำตลาดเคียงคู่กับ Vitz/Yaris 2nd Generation
ทั้งแบบ Hatchback 3 และ 5 ประตู อีด้วย โดยใช้พื้นฐานเครื่องยนต์ 1NZ-FE เหมือนกัน 
และมีรายละเอียดวิศวกรรม ไม่แตกต่างไปมากมายนัก

เวอร์ชันญี่ปุ่น ในชื่อ Belta ยุติการผลิตไปเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2012 เพื่อเปิดทางให้กับ
Toyota Corolla Axio รุ่นล่าสุด ที่ลดขนาดตัวถังลงมา ทำตลาดแทน Belta ส่วนในตลาด
Australia ยังคงมีการประกอบต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน ขณะที่เวอร์ชันไทย เพิ่งจะยุติการ
ประกอบไปเมื่อช่วง เดือนกุมภาพันธ์ 2013

ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่อยู่ในตลาดเมืองไทย Soluna และ Vios ประสบความสำเร็จอย่างสูง
ด้วยยอดขายสะสมในประเทศไทยเพียงแห่งเดียว รวมทั้ง 3 Generation มากถึง 656,811 คัน
(นับถึงเดือนมีนาคม 2013) อีกทั้งยังครองตำแหน่งรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุด เป็นอันดับ 1 ในกลุ่ม
ตลาดรถยนต์นั่ง ขนาดเล็ก กลุ่ม B-Segment พิกัดเครื่องยนต์ ไม่เกิน 1,600 ซีซี ของเมืองไทย
ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปีเต็ม ตั้งแต่ปี 2002 ถึง 2012 ไม่เพียงเท่านั้น ตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา
Toyota Motor Thailand ส่งออก Soluna และ Vios ในแบบรถยนต์สำเร็จรูป ไปยังประเทศ
ในย่าน ASEAN เป็นจำนวนมากถึง 188,761 คัน

ตัวเลขที่ออกมา แม้จะมากในสายตาคนทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องรถยนต์มากนัก หรือจะดูน้อยในสายตา
นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมยานยนต์ชาวต่างชาติ หากเทียบกับยอดขายของรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นอื่นๆ
ในระดับสากล ทั่วๆไป เช่น Volkswagen Polo , Ford Fiesta ซึ่งมักมียอดขายสะสมหลายปี
ในระดับ 1 ล้านคันขึ้นไป กระนั้น สำหรับประเทศไทย ซึ่ง Toyota ถือว่าเป็นตลาดใหญ่นอกญี่ปุ่น
เป็นอันดับ 2 รองจาก สหรัฐอเมริกา แล้ว ยอดขายมันเยอะมากพอ จนพวกเขาไม่อาจปล่อยปละ
ละเลยความสำคัญไปได้

แต่ด้วยเหตุที่ ตลาดเมืองจีน ยังเป็นตลาดที่ Toyota พยายามบุกเข้าไปแล้ว ไม่สำเร็จ ดังนั้น
พวกเขาจึงมองหาช่องว่างที่จะแทรกตัวเข้าไปให้ชาวจีนยอมรับ Toyota จึงคิดจะเอาใจลูกค้า
ชาวจีน กลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาว ด้วยการพัฒนารถยนต์นั่งขนาดเล็ก B-Segment มาตรฐานใหม่
บนพื้นฐานวิศวกรรมร่วมกับ Vios / Yaris รุ่นเดิม เพื่อให้เป็นทั้ง รถยนต์รุ่นใหม่ บุกตลาด
เมืองจีน และเป็นรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ ของ Vios ไปพร้อมๆกัน งานออกแบบเริ่มขึ้น เมื่อ
ช่วงปี 2009 – 2010 ภายใต้รหัสโครงการพัฒนา 381A

Takeshi Matsuda : Chief Engineer หัวหน้าทีมวิศวกรโครงการพัฒนา Vios ใหม่
กล่าวว่า“จุดมุ่งหมายของทีมวิศวกรก็คือ การพัฒนา Vios ใหม่ ให้เป็นรถยนต์ที่มีความคุ้มค่า
เหนือราคา สร้างความภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของ ภายใต้แนวคิด “Value Beyond Belief”  
ด้วยการออกแบบรูปลักษณ์ดีไซน์ใหม่ทั้งหมด ให้ดูสปอร์ตมากขึ้น ทั้งภายนอกและภายใน
ห้องโดยสารที่กว้างขวางกว่าเดิม ห้องเก็บสัมภาระที่ใหญ่ขึ้น สมรรถนะการขับขี่ที่ดีขึ้น
พร้อมช่วงล่างที่ปรับปรุงใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ยังช่วย
เพิ่มความประหยัดน้ำมัน ตามมาตรฐานระดับโลก ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เหล่านี้เชื่อว่า Vios
รุ่นใหม่ จะสามารถตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า ที่ตรงใจไม่เพียงแต่สำหรับชาวไทย
แต่ยังเป็นรถยนต์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในระดับสากล”

ก่อนการเผยโฉมเวอร์ชันจำหน่ายจริง Toyota เลือกจะใช้วิธีสื่อสารให้ผู้บริโภค เตรียมพบ
กับเส้นสายแบบใหม่ของ Vios ด้วยการ สร้างรถยนต์ต้นแบบ Toyota Dear Qin Sedan
เพื่อจัดแสดงควบคู่กับ Toyota Dear Qin Hatchback ในงาน Bejing Automotive Show
ครั้งที่ 12 เมื่อ วันที่  23 เมษายน 2012

หลังจากนั้นช่วงประมาณปลายปี 2012 เป็นต้นมา ก็เริ่มมีผู้พบเห็น รถยนต์จากโครงการ
381A แล่นทดสอบ จนมีภาพหลุดทาง Internet จากเมืองจีนก่อนเป็นแห่งแรก ตามด้วย
ภาพหลุด รถต้นแบบพรางตัว ขณะแล่นทดสอบในเขตกรุงเทพมหานคร และถนนสายสำคัญๆ
ในประเทศไทย หลายแห่ง

อย่างไรก็ตาม ก่อนการเปิดตัว มีเรื่องราวซึ่งต้องขอบันทึกเป็นประวัติศาสตร์เอาไว้
สักหน่อย ว่า ราวๆ ปลายเดือนพฤศจิกายน จนถึงกลางเดือนธันวาคม 2012 อันเป็น
โค้งสุดท้ายก่อนที่ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ “รถคันแรก” ของรัฐบาล คุณปู ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร จะปิดฉากลง ในตอนนั้น Toyota พยายามที่จะหาทางให้ Vios รุ่นใหม่ เข้า
ร่วมเป็นหนึ่งในรถยนต์ ที่ลูกค้าจะได้รับสิทธิ์พิเศษ คืนเงิน 100,000 บาท ในรูป
ของเงินคืนภาษี  ร่วมกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ในขณะนั้น

แน่นอนว่า ย่อมมีกระแสคัดค้านไม่เห็นด้วยจากหลายฝ่าย รวมทั้งผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น
เพราะในข้อกำหนดของรถยนต์ที่จะมีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการนี้ได้ นอกจากจะต้องเป็น
รถระบะ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท และรถยนต์นั่งผลิตในประเทศ ที่มีเครื่องยนต์ ไม่เกิน
1,500 ซีซี แล้ว ยังจะต้องเป็น รถยนต์ที่มีการผลิตออกมาแล้ว รวมทั้งเปิดตัวออกสู่ตลาด
เรียบร้อยแล้ว

แต่ Vios ใหม่ ยังไม่มีการเปิดตัว มีเพียงการกล่าวอ้างของ Toyota ว่า ได้ผลิตออกมา
จำนวน 78 คัน และได้ให้ทาง กรมสรรพสามิตร เข้าไปตรวจสอบแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า
หลายฝ่ายที่ได้ฟัง ยิ่งไม่พอใจกันอย่างหนัก ไม่เว้นแม้แต่ผู้บริโภคบางกลุ่ม ซึ่งเกิด
ความสับสนขึ้นมา และวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก ตาม Website ต่างๆ

ในที่สุด เมื่อผู้บริโภค ได้รับการยืนยันเป็นหนังสือจากกรมสรรพสามิต โพสต์ลงบน
Website ของทางกรมฯ ว่า Vios รุ่นใหม่ ได้รับสิทธิ์ให้เข้าร่วมโครงการได้ใน
ช่วงต้นเดือนธันวาคม 2012 ทำให้ลูกค้าที่จอง รถรุ่นเดิม เพื่อรอรับสิทธิ์คืนเงิน
100,000 บาท ต่างพากัน ถอนจอง รถรุ่นเดิม เพื่อมาสั่งจอง รถรุ่นใหม่กันทั้งนั้น
เพราะในเมื่อ ได้รับสิทธิ์เหมือนกัน แถมยังได้รับรถรุ่นใหม่ไปขับก่อนเพื่อน
ใครมันจะไม่เอา?

สุดท้าย ผลจากเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็คือ Toyota เองต้องกุมขมับกับ Vios รุ่นก่อน
ที่ระบายสต็อก ยังไม่หมด และยังเหลือตกค้างอยู่จำนวนหนึ่ง ไปหลายเดือน แม้แต่
หลังเปิดตัว Vios ใหม่ไปแล้ว ก็ยังเหลือค้างสต็อกอีกพักใหญ่ และกว่าจะเริ่มต้นผลิต
Vios ใหม่ ส่งมอบได้ ก็ต้องรอผ่านพ้นงานเปิดตัวไปแล้ว ถึงเกือบ 1 เดือน หรือช่วง
สัปดาห์สุดท้าย ปลายเดือนเมษายน 2013 หลังเทศกาล สงกรานต์ กันเลยทีเดียว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นบทเรียนให้ผู้เกี่ยวข้องใน Toyota Motor Thailand ได้
ตระหนักไว้ ว่า อย่าทำอะไรแบบนี้อีกในอนาคตเป็นอันขาด เพราะสิ่งที่ตัดสินใจ
อย่างรีบด่วน เพียงเพราะอยากเพิ่มยอดขาย อาจย้อนกลับกลายมาเป็นหอกทิ่มแทง
จนเกิดผลเสียหายกับตนเองและองค์กรได้ ทุกเมื่อ

จบการบันทึกประวัติศาสตร์ให้รุ่นลูกรุ่นหลาน ได้ศึกษาไว้  แต่เพียงเท่านี้

ไม่ว่า เหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไป ใครจะประสบพบเจออะไรกันไปบ้างก็ตาม แต่ทุกสิ่งยังต้อง
ดำเนินต่อไป ในที่สุด Toyota Motor Thailand ก็จัดงานเปิดตัว Vios ใหม่ เมื่อวันที่
25 มีนาคม 2013 ถือเป็นการปรากฎโฉมอย่างเป็นทางการ ครั้งแรกในโลก ที่เมืองไทย

แต่ที่น่าแปลกก็คือ คราวนี้ Toyota เลือกจัดงานเปิดตัว Vios ใหม่ กลางรอบ VIP ในงาน
Bangkok Ingternational Motor Show 2013 ที่ Challenger Hall Impact 
เมืองทองธานี แทนที่จะทำตามธรรมเนียมด้วยการจัดงานเปิดตัว ณ โรงแรม หรือศูนย์แสดง
สินค้าแห่งใดก็ตาม ก่อนนำรถมาเข้าร่วมจัดแสดงในงานนี้ ตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติกันมา

หลังจากนั้น เพียง 1 เดือนให้หลัง Toyota ก็จัดส่ง Vios ใหม่ ไปเปิดตัวในงานแสดง
รถยนต์เซี่ยงไฮ้ สู่สายตาสาธารณชนใน ตลาดหลักแห่งที่ 2 ของ รถยนต์รุ่นนี้ นั่นก็คือ
จีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2012 ควบคู่กับ การเผยโฉมครั้งแรกในโลกของ
Toyota Yaris L (For Emerged Market) ที่ใช้โครงสร้างด้านวิศวกรรม ร่วมกันกับ 
Vios ใหม่ ในหลายจุด (ซึ่งเราจะพูดถึงรถยนต์รุ่นนี้กันอีกครั้ง ในบทความรีวิว Yaris ใหม่)

อย่างไรก็ตาม ถึงจะเปิดตัวในบ้านเราไปแล้ว แต่กว่า Toyota จะเริ่มส่งมอบ Vios ใหม่
สู่ลูกค้ารายแรกได้ ก็ต้องรอกันถึง ต้นเดือนพฤษภาคม 2013 ที่ผ่านมา

พูดกันตรงๆ ก็คือ สถานการณ์หลังเปิดตัว นั้น ถือได้ว่า ไม่ดีเท่าใดนัก เมื่อเทียบกับการ
เปิดตัว ของ Vios และ Soluna แต่ละรุ่นที่ผ่านมา เพราะจากตัวเลขยอดขายรวม ของ
เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2013 พบว่า Vios ใหม่ ทำยอดขายไปได้ 26,441 คัน
ขณะที่ คู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Honda City ไม่ต้องปรับโฉมอะไรเลย ก็ขายได้เยอะกว่า
อยู่ที่ 27,151 คัน ถึงจะห่างกันไม่กี่ร้อยคัน แต่ก็บ่งบอกนัยยะสำคัญบางอย่างได้

เหตุผล ส่วนหนึ่ง อาจบอกได้ว่า เป็นเพราะ กำลังซื้อของลูกค้า ที่ขอเข้าใช้สิทธิ์ โครงการ
คืนเงินภาษี “รถคันแรก” ของรัฐบาล ได้รับรถยนต์ของตนไปหมดแล้ว ดังนั้น ยอดขายใน
ช่วงหลังจากนี้ จะสะท้อนให้เห็นว่า กำลังซื้อของผู้บริโภค ชะลอตัว ลงไปมาก ด้วยความ
หวั่นใจในสภาพเศรษฐกิจ ทำให้ภาพรวม ของตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก และกลาง ตกอยู่
ในภาวะ ถดถอย ดังนั้น Vios ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ในกลุ่มดังกล่าว ก็ได้รับผลกระทบจากยอดขาย
ที่ลดลงตามไปด้วยอย่างยากเกินหลีกเลี่ยง

แต่เหตุผลอีกส่วนหนึ่ง อยู่ที่ ความคาดหวังของคนใน Toyota ที่เชื่อมั่นว่า Vios ใหม่จะต้อง
ขายดีถล่มทะลาย เพราะพวกเขามองว่าจุดเด่นของตัวรถมีมาก จึงกระตุ้นให้ ผู้บริโภค เพิ่มความ
คาดหวังมากยิ่งขึ้น พอถึงเวลาที่ Vios ใหม่ เปิดตัว ลูกค้าส่วนใหญ่ จะรู้สึก Wow ในตอนแรก
แต่เมื่อเข้าไปลองนั่ง สัมผัสกับรถคันจริง ต่อให้ในภาพรวม ลูกค้าจะให้การตอบรับที่ดีอยู่ แต่ก็มี
ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อย มองว่า มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่พวกเขาคิดไว้แต่แรก

Vios ใหม่ มีความยาวตัวถัง 4,410 มิลลิเมตร กว้าง 1,700 มิลลิเมตร สูง 1,475 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,550 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า (Front Track) 1,455 มิลลิเมตร
ในรุ่น S และ 1,470 มิลลิเมตร ในรุ่น G,E,J ส่วนความกว้างช่วงล้อหลัง (Rear Track)
จะอยู่ที่ 1,445 มิลลิเมตร ในรุ่น S และ 1,460 มิลลิเมตร ในรุ่น G,E,J ระยะต่ำสุดจาก
พื้นถนน (Ground Clearance) 145 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถเปล่า 1,020 – 1,075 
กิโลกรัม ตามแต่ละรุ่นย่อย ความจุถังน้ำมัน 42 ลิตร

เมื่อเปรียบเทียบกับ รถรุ่นก่อน จะพบว่า ตัวรถนั้น ยาวขึ้นกว่าเดิม 110 มิลลิเตร และสูงขึ้น
กว่าเดิม 15 มิลลิเมตร มีระยะห่างจากล้อ จนถึงปลายสุดมุมรถ (Overhang หน้าและหลัง)
มากขึ้น 

รูปลักษณ์ภายนอก ของ Vios ใหม่ เปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง จากแนวเส้นโค้งมน เอาใจ
ทุกคนในครอบครัว สู่เส้นสายแบบโฉบเฉี่ยว เน้นเหลี่ยมสัน อันเป็นเอกลักษณ์ทางการออกแบบ
ใหม่ล่าสุด ที่ Toyota ทะยอยนำไปปรับประยุกต์ใช้กับรถยนต์ทุกรุ่น ที่เปิดตัวนับจากปี 2013
เป็นต้นไป

Kazuya Hasegawa , Exterior design เล่าว่า ทีมออกแบบ พยายามจะสะท้อนตัวตน
ของรถให้ดูหนักแน่นขึ้น และทรงพลังขึ้น ด้วยการเพิ่มมิติความกว้างบริเวณด้านหน้าของตัวรถเพิ่ม
มากขึ้น และใช้แนวหลังคาแบบ Himalayan…เอ้ย!…Catamalan  โค้งนูน เหมือนทุเรียน
ใส่ถาดโฟม เหมือน ฮิปโปโก่งตูดแล้วโบกปูนปิดไม่มิด หรือจะเหมือนอะไรก็ตามแต่จะจินตนาเกิน
แต่ที่แน่ๆ ทีมวิศวกรบอกว่า ช่วยเรื่องการรีดอากาศขณะไหลผ่าน และเพิ่มความแข็งแรงของ
โครงสร้างหลังคาไปในตัว

นอกจากนี้ ยังเพิ่มเพิ่มส่วนเว้าและนูนให้กับตัวถังด้านข้างมากขึ้น มีครีบขนาดเล็กช่วยบริหาร
จัดการ อากาศ ขณะไหลผ่านตัวถัง ทั้งบริเวณกระจกมองข้าง และด้านข้างของชุดไฟท้าย ทั้ง 
2 ฝั่ง เป็นวิธีจัดการกับกระแสลมไหลผ่านตัวรถ แบบเดียวกับที่ พบได้ในรถยนต์ Lexus รุ่นใหม่ๆ

รุ่น S ตัวท็อป จะเป็นรุ่นที่ เน้นการทำตัวเป็นไส้กรอกรมควัน…เอ้ย! รมดำ มากกว่าปกติ ติดตั้ง
ชุดไฟหน้าแบบ Projector รมดำ กระจังหน้าแบบ โครเมียม รมดำ และคิ้วฝากระโปรงท้ายแบบ
โครเมียม รมดำ ล้ออัลลอย รมดำ ขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 195/60 R16 และเพิ่มไฟตัดหมอกให้
เพียงรุ่นเดียว

รุ่น G ชุดไฟหน้าจะเป็นแบบ Projector ธรรมดา กระจังหน้าแบบโครเมียม คิ้วฝากระโปรงหลัง
แบบโครเมียม มาตรฐาน ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว พร้อมยางขนาด 185/60 R15

แต่รุ่น E กับ J นั้น ไฟหน้าจะเป็นแบบ Multi-Reflector กระจังหน้า สีเดียวกับตัวรถ พร้อมแถบ
โครเมียมคาดกลาง คิ้วฝากระโปรงท้าย สีเดียวกับตัวรถ รุ่น E ใช้ล้อและยางชุดเดียวกันกับรุ่น G
แต่รุ่น J จะให้ฝาครอบล้อ 15 นิ้ว พร้อมยางขนาดเดียวกัน 185/60 R15 เน้นความนุ่มกันไปเลย

เฉพาะรุ่น S และ G จะพิเศษกว่ารุ่นอื่น ด้วยดารติดตั้งกระจกบังลมหน้าแบบใหม่ Acoustic Glass
เสริม ฟิล์มสอดแทรกเป็นไส้กลาง ช่วยลดเสียงรบกวนขณะขับขี่

ทุกรุ่นติดตั้ง กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวถังแต่ใน รุ่น S และ G จะเพิ่มไฟเลี้ยวที่กรอบด้านนอก
มาให้ทั้ง 2 ฝั่ง ส่วนมือจับประตูด้านนอกนั้น ทุกรุ่นเป็นสีเดียวกับตัวรถ ยกเว้นรุ่น S มือจับเป็น
แบบโครเมียม นอกจากนี้ รุ่น S G และ E จะมีฉนวนกันความร้อนใต้ฝากระโปรงมาให้ ซึ่งจะ
ไม่มีในรุ่น J

Vios ใหม่ ติดตั้งกุญแจแบบมี Remote Control สั่งล็อก และปลดล็อกประตูทั้ง 4 บาน
ผลิตโดย Tokai-Rika มาให้ครบ “ทุกรุ่น”  แต่มีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อย ตาม
แต่ละรุ่นย่อย

ถ้าเป็นรุ่นล่างสุด J ไล่ขึ้นมาถึงรุ่น E และ G สวิชต์สั่งล็อก หรือปลดล็อก จะฝังในตัว
ดอกกุญแจ และการติดเครื่องยนต์ จะต้องเสียบดอกกุญแจเข้าไปในรูบิด บริเวณคอ
พวงมาลัยฝั่งขวา เหมือนเช่นรถยนต์ทั่วไป

แต่ถ้าเป็นรุ่น S อันเป็นตัวท็อป รีโมทกุญแจ จะเป็นแบบ Keyless Smart Entry แค่
พกกุญแจไว้กับตัว ก็สามารถเดินเข้ามากดปุ่มสีดำ ที่มือจับ เพื่อเปิดประตูรถ และ
กดปุ่มสีดำ เพื่อสั่งล็อก หากปิดประตูเพื่อออกจากตัวรถ ติดเครื่องยนต์ด้วยการกดปุ่ม
Push Start ซึ่งติดตั้งอยู่ฝั่งขวา ตำแหน่งเดียวกัน แถมยังมีสวิชต์ เปิดฝากระโปรงหลัง
มาให้เสร็จสรรพ

ทุกรุ่น จะติดตั้ง ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer รวมทั้ง ระบบสัญญาณเตือนการ
โจรกรรม TDS (Theft Deterrent System) ยกเว้นรุ่นล่างสุด 1.5 J 5MT ที่จะไม่มี
ระบบ TDS มาให้

การเข้า – ออกขึ้นลงจากบานประตูคู่หน้า อาจต้องใช้ความระมัดระวังสักเล็กน้อย เนื่องจาก
เสาหลังคาค่อนข้างลาดเอียง ถ้าเป็นไปได้ แนะนำว่า สำหรับคนตัวสูง หรือศีรษะใหญ่โต
ควรปรับตำแหน่งเบาะคนขับให้ต่ำที่สุดก่อน เพื่อช่วยลดโอกาสจากศีรษะไปโขกกับเสา
หลังคารถคู่หน้า

แผงประตูด้านข้าง มีการบุลายหนัง ตามลายเบาะของแต่ละรุ่นย่อย ตำแหน่งวางแขน อยู่ใน
ระดับ พอใช้ได้ “ถ้าคุณปรับตำแหน่งเบาะฝั่งผู้ขับขี่ให้ต่ำสุด” มือจับเปิดประตูด้านใน ของ
รุ่น S และ G จะเป็น พลาสติกเคลือบโครเมียมแต่ในรุ่น J จะเป็นพลาสติกสีดำด้านธรรมดา
มีช่องใส่ขวดน้ำขนาด 7 บาท มาให้ ใช้งานกัน

เบาะนั่งคู่หน้า ถูกออกแบบขึ้นใหม่ ให้มีระยะปรับเลื่อนเบาะได้มากขึ้นจากเดิม 16 จังหวะ
ปรับเลื่อนครั้งละ 15 มิลลิเมตร รวม 240 มิลลิเมตร ส่วนรุ่นใหม่ ปรับลดระยะในการปรับ
เลื่อนแต่ละจังหวะ ลงเหลือ 10 มิลลิเมตร แต่ซอยจังหวะในการปรับเลื่อน ให้ถี่ขึ้นเป็น
26 จังหวะ รวมเป็นระยะปรับเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลังได้ 260 มิลลิเมตร ส่วนเบาะคนขับ
สามารถปรับระดับสูง – ต่ำได้ เพิ่มขึ้นจาก 45 เป็น 60 มิลลิเมตร

นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบด้านหลังเบาะให้มีส่วนเว้าเพิ่มขึ้น 38 มิลลิเมตร ทำให้มีระยะ
ห่างระหว่างหัวเข่ากับเบาะ เพิ่มขึ้นเป็น 48 มิลลิเมตร  และระยะห่างระหว่าง ศีรษะของ
ผู้โดยสารด้านหน้า และด้านหลัง เพิ่มอีก 10 มิลลิเมตร

พนักพิงศีรษะของเบาะหน้า ออกแบบมาใหม่ให้รองรับได้สบายกำลังดี ในรุ่นเบาะผ้า ถือว่า
รองรับ ได้ดีตามปกติส่วนพนักพิงหลังนั้น ออกแบบให้เว้าลึกเข้าไป โอบกระชับผู้โดยสาร
มากขึ้น แถมยังรองรับช่วงหัวไหล่ และสะโพกดีขึ้นกว่าเดิมชัดเจน นี่คือจุดที่ต้องขอชมเชย

แต่ เบาะรองนั่ง ยังคงสั้นเหมือนเดิม สั้นไปหน่อย อยากให้เพิ่มความยาวมากกว่านี้ อีกราวๆ
10 มิลลิเมตร น่าจะช่วยให้การรองรับต้นขา ขณะขับขี่ทางไกล สบายขึ้นกว่านี้อีกนิดนึง

ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะนั้น แบ่งเป็น 2 ประเด็น ข้อแรก ถ้าพูดถึงพื้นที่เหลือด้านบนศีรษะ
จนถึงเพดานหลังคา ข้อนี้ไม่ต้องห่วง Vios ใหม่ยังมีพื้นที่เหลือให้กับคนตัวสูงน้องๆ ยีราฟ
ได้แน่ๆ ส่วน ปีะปรเด็น ก็คือ ทัศนวิสัย บริเวณหน้าผาก หากเป็น Honda City พื้นที่จุดนี้
จะน้อย เพราะการออกแบบเสาหลังคาให้ลาดเอียงมาก แต่ Vios ใหม่ ตั้งเสาหลังคาคู่หน้า
A-Pillar ไว้ชันมากกว่า City นิดหน่อย ดังนั้น จึงเหลือ พื้นที่การมองบริเวณดังกล่าว โปร่ง
สบายตากว่า City อยู่พอสมควร

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศในห้องโดยสาร ครึ่งคันหน้า หลายคนที่ขึ้นมานั่งข้างผม กลับ
รู้สึกอึดอัด ส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะโทนสีดำ หรือไม่ก็ ขนาดความกว้าง จากแผงประตู
ฝั่งซ้าย จรดขวา ที่อาจหลอกตา ว่าไม่กว้างเท่าไหร่

การเข้า – ออก จากบานประตูคู่หลัง ถือว่า ทำได้ดี ในระดับที่รถยนต์กลุ่มนี้ ควรจะเป็น
เพียงแต่ว่า จังหวะเข้าไปนั่ง คุณอาจต้องก้มหัวลงเพิ่มอีกนิด เพื่อไม่ให้ศีรษะ ไปโขก
กับด้านบนของกรอบช่องทางเข้า (ผมโดนไปแล้ว หนึ่งครั้ง)

แผงประตูด้านข้าง ออกแบบที่วางแขน พร้อมช่องมือจับดึงประตูเข้ามาปิด ได้ในระดับ
สบายใช้ได้ วางแขนได้กำลังดี แถมกระจกหน้าต่างไฟฟ้า ยังสามารถเปิดเลื่อนลงมา
จนสุดขอบแผงประตูด้านล่าง ได้อีกด้วย แตะไม่มีช่องใส่ของใดๆมาให้ทั้งสิ้น

เบาะนั่งด้านหลัง มีพนักศีรษะที่แข็งอยู่บ้างเหมือนกัน แม้จะบุฟองน้ำอย่างแน่นมาให้
แล้วก็ตาม พนักพิง แบนเรียบ นั่งลงไปแล้ว ไม่ถึงกับจมนัก สัมผัสได้ว่ามีสปริงคอย
รองรับอยู่นิดหน่อย เบาะรองนั่งสั้น แต่ถือว่าทำได้ดีกว่ารุ่นเดิมนิดนึง ถ้ายาวเพิ่มขึ้น
จากนี้ อีกสัก 10 มิลลิเมตร เป็นอันว่า จบ และสมบูรณ์ อีกทั้งควรเสริมความหนาของ
ฟองน้ำ บริเวณด้านข้างเบาะรองนั่ง ให้มากกว่านี้อีกนิด เพราะมันนิ่มเกินไป ส่วน
พื้นที่วางขา ไม่ต้องห่วง การออกแบบให้ด้านหลังของเบาะคู่หน้า เว้ากว่าเดิม ช่วย
เสริมให้มีพื้นที่วางขาเพิ่มมากขึ้นชัดเจน ดังนั้น การโดยสารบนเบาะหลังสำหรับ
คุณหนูๆ น่าจะรื่นรมณ์ใช้ได้เลย พวเขาคงไม่รู้สึกอึดอัด จนกว่าจะโตขึ้นมาเป็น
“ผู้ใหญ่ไซส์ตราเด็กสมบูรณ์” อย่างผม

แต่ที่ต้องให้คุณผู้อ่าน ตัดสินกันเอาเอง ตามแต่สรีระร่างแต่ละคน คือ พื้นที่เหนือศีรษะ

เพราะในขณะที่ ผม สูง 171 เซนติเมตร ตัวผมใหญ่ ก้นผผมหนา นั่งลงไปแล้ว หัวติด
ชนกับเพดาน อย่างที่ไม่ควรจะเป็น ทั้งที่นั่งหลังตรง ก้นชิดกับเบาะ แต่พอเป็นตาบอม
Rhino Mango มือตัดต่อของ The Coup Team เรา สูง 180 เซ็นติเมตร นั่งแบบ
หลังตรง ก้นชิดกับเบาะ หัวของน้องบอม กลับไม่ติดชนเพดาน!

ดังนั้น ไปลองดูเอาเองตามอัธยาศัย นะครับ

เบาะหลังของ Vios เจ๋งตรงที่ มีเข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุดมาให้ ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง
แถมยังมีจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX มาให้ทั้งฝั่งซ้าย และขวาอีกด้วย!
ขอชมเชยตรงจุดนี้อย่างยิ่ง แถมยังมี มือจับบนเพดานเหนือประตูมาให้ 4 ตำแหน่ง ครบ!

ส่วนพื้นที่วางของสำหรับผู้โดยสารด้านหลังนั้น น้อยมาก มีแค่ช่องวางแก้ว หรือขวดน้ำ
1 ตำแหน่ง ด้านหลังกล่องคอนโซลกลางมาให้ เท่านั้น

ฝากระโปงหลัง เปิดได้ 3 วิธี ทั้งการเอื้อมมือล้วงไปกดสวิชต์กลอนไฟฟ้า เหนือ
แผ่นป้ายทะเบียนหลัง กดจาก Remote Smart Rntry หรือ ดึงมือจับยก ที่พื้นรถฝั่ง
ผู้ขับขี่คันโยกขนาดเล็กจะอยู่ติดกับ คันโยกเปิดฝาถังน้ำมัน

เมื่อเปิดฝากระโปรงหลังขึ้นมา สิ่งที่คุณอาจประหลาดใจก็คือ คราวนี้ Toyota ติดตั้ง
แผงซับเสียง ใต้ฝากระโปรงหลังมาให้ด้วย ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา อย่าหวังเลยว่าใน
รถยนต์ระดับราคานี้ จะมีชิ้นส่วนนี้แปะมาให้กันง่ายๆ อีกทั้งการเก็บงานประกอบ
ในภาพรวม ถือว่าทำได้เรียบร้อยดี ยกเว้น ชุดสายไฟ ยึดไว้กับเหล็กค้ำฝากระโปรง
ด้านหลังธรรมดาๆ

พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ขยายขนาดเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมที่มีความยาวเพียง
980 มิลลิเมตร กลายเป็น 1,058 มิลลิเมตร (เพิมขึ้น 78 มิลลิเมตร) นั่นทำให้พื้นที่
ความจุตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน เพิ่มขึ้นจากเดิม 426 ลิตร เป็น 476 ลิตร นั่น
จึงทำให้ วิศวกรเคลมว่า สามารถใส่ถุงกอล์ฟได้มากถึง 4 ใบ สบายๆ

แต่ เขาไม่ได้บอกนี่ว่า  ถุงกอล์ฟ 4 ใบหนะ เป็นถุงสำหรับคุณสุภาพบุรุษ 1 ใบ
และสำหรับคุณสุภาพสตรีอีก 3 ใบ!! ลองถ้าเป้นถุงแบบปกติ จะยัดลงไปได้
ครบง่ายๆ มันก็ต้องมีการวางพาดไปมากันบ้าง และเหลือที่แค่พอให้แมลงสาบ
วิ่งเล่นไปมาได้นิดเดียว!

ผนังด้านใน กั้นระหว่างห้องโดยสารกับห้องเก็บของ ยังคงสืบทอดเอกลักษณ์
ดั้งเดิมของ Vios เอาไว้เป็นอย่างดี นั่นคือ ยังคงใช้ Future Board บุกั้นเอาไว้
ตามเคย!

เมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบว่า มียางอะไหล่ เป็นล้อเหล็ก ขนาดยาง
พอกันกับ ยางติดรถทั้ง 4 ล้อ แถมด้วยเครื่องมือประจำรถ ใส่ซองมาให้ตามปกติ
แต่เสริมแผ่นโฟมบริเวณโดยรอบให้ดูสวยงามและช่วยซับเสียงไปด้วยในตัว

แผงหน้าปัดถูกออกแบบขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยไม่เหลือเค้าโครงเดิมเอาไว้เลย แถมยังมี
ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ก็คือ การย้ายชุดมาตรวัดต่างๆ กลับไปอยู่บริเวณหลังพวงมาลัย
อันเป็นตำแหน่งปกติที่พบได้ในรถยนต์ธรรมดาสามัญทั่วไป เหมือนเช่นชาวบ้านเขาซะที!

อีกทั้งยังมีการย้ายตำแหน่งเครื่องเสียง ยกขึ้นมาไว้ด้านบนสุดของแผงควบคุม ในระดับ
เดียวกับชุดมาตรวัด ด้วยเหตุผลที่ว่า เครื่องเสียง เป็นอุปกรณ์ที่ถูกใช้งานบ่อยลำดับต้นๆ
ในขณะขับขี่ ดังนั้น การจัดวางจึงควรอยู่ในตำแหน่งที่สะดวกต่อการใช้งาน และช่วยลด
การละสายตาจากถนน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดอุบัติเหตุลงไปด้วยในตัว

ผมเห็นด้วย กับแนวคิดนี้ และเชื่อว่า คงไม่มีใครปฏิเสธแนวคิดดังกล่าวกันหรอก แต่ที่แน่ๆ
หลายคนอาจจะถามว่า แล้วทำไมก่อนหน้านี้ Toyota ถึงยังคง ติดตั้งมาตรวัดแบบตรงกลาง
ให้กับ Vios ถึง 2 รุ่นรวด

วิศวกร ที่พัฒนา รถรุ่นก่อนๆ ให้คำตอบว่า เป็นการเพิ่มทัศนวิสัย และเขามองว่า มาตรวัด
ไม่ใช่สิ่งที่คนปกติทั่วไปดูกันบ่อยอยู่แล้ว การย้ายตำแหน่งไปไว้ตรงกลาง เป็นการช่วยดึง
สายตาของผู้ขับขี่ไม่ให้จดจ่ออยู่แค่พื้นถนนอย่างเดียว แต่ให้กวาดมามองทางด้านข้าง
กันบ้าง เผื่อจะเจอรถที่แล่นออกมาจากซอยแต่เนิ่นๆ

อ่ะ! แล้วทำไมคราวนี้ ถึงตัดสินใจ ย้ายชุดมาตรวัดกลับไปอยู่ในตำแหน่งปกติ เหมือน
ชาวบ้านชาวช่องเขา?

เดาคำตอบได้เลยครับ ตามประสาบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นทั่วไป ต้องตอบว่า “ก็เพราะลูกค้า
จำนวนมาก เรียกร้อง ให้เราย้ายชุดมาตรวัดกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมนั่นเอง เราทำตาม
ความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ”

ช่างพลิกวิกฤติเป็นโอกาส กันดื้อๆเลยจริงๆ!

อีกประเด็นหนึ่ง ที่ผมอดพูดถึงไม่ได้แน่ๆ นั่นคือ ลายฝีเย็บ แนวตะเข็บ Stitch ซึ่ง
อันที่จริงแล้ว เป็นลายตะเข็บแบบหลอกๆ คือใช้วิธีปั้มชิ้นส่วนพลาสติกขึ้นรูปให้มี
ลวดลายแบบที่เห็นอยู่นี้มาเลย นัยว่า เพิ่มความหรูให้กับตัวรถ

ความจริงแล้ว ถ้าดูด้วยตาเปล่า มันก็พอกล้อมแกล้มได้อยู่หรอก แต่พอเอามือไปจับ
ลูบสัมผัสเท่านั้นละ….ผมนึกถึงเพลงเก่าอันโด่งดัง ของพี่เต๋อ เรวัติ พุทธินันท์ ทันที  

“ดอกไม้พลาสติก ถึงสวยก็ทำด้วยพลาสติก! ฮู้ว ฮูว พลาสติก มันเป็นเพียงดอกไม้ปลอม”

ยิ่งตาแพน Commander CHENG ของเรา ยิ่งหนัก วันเปิดตัว ในงาน Motor Show
รอบสื่อมวลชน พี่แกพุ่งตรงดิ่งมาทดลองนั่ง เพราะตกใจว่า ถึงขั้นให้แผงหน้าปัด
แบบเย็บตะเข็บเช่นนี้ด้วย พอเอามือลูบสัมผัสเท่านั้นแหละ ตาแพนของเรา เกิด
อาการเซ็งเป็ดขึ้นมาทันที

“มันให้อารมณ์เหมือน คุณมารู้ทีหลังว่า นมอันอวบอ้วนของ Commander CHENG 
เป็นนมปลอม ฉีด ซิลีโคน”!

ดู๊ดู มันเปรียบเทียบซะ…..!

แต่บางคนเขาก็รับประเด็นนี้ได้ และไม่คิดว่ามันเสียหายตรงไหน ดังนั้น เรื่องนี้ก็คง
ถือว่า นานาจิตตัง ด้วยความจำใจ กันอีกตามเคย

ส่วน Trim วัสดุตกแต่งแผงหน้าปัดและคอนโซลหน้า นั้น ถ้าเป็นรุ่น S จะใช้พลาสติก
พ่นสีดำเงาแบบ Piano Black ส่วนรุ่น G กับ E จะเป็นสีเงิน Metasllic และรุ่น J เป็น
สีดำ ขณะเดียวกัน วัสดุตกแต่งแผงประตูด้านข้าง ในรุ่น S จะเป็นพลาสติกพ่นสีดำเงา
Piano Black เช่นเดียวกับหน้าปัด รุ่น G จะเป็นสีเงิน Metallic รุ่น E จะใช้สี ดำ หรือ
เบจ อยู่ที่โทนสีในห้องโดยสารซึ่งลกค้าจะเลือก แต่ถ้าเป็นรุ่น J จะใช้สีดำอย่างเดียว

ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารนั้น ตั้งแต่รุ่นถูก ยันรุ่นท็อป จะมีมาให้แค่ตำแหน่งเดียว
คือ อยู่ระหว่าง แผงบังแดด ฝั่งซ้าย และขวา รวมไฟส่องแผนที่เข้าไว้ในชุดเดียวกัน
ถ้าจะใช้งาน ก็แค่กดไปที่โคมไฟฝั่งที่ต้องการได้ทันที แบบเดียวกับ City แต่เสียดาย
ว่าความสว่าง มันยังไม่มากพอถ้าต้องการส่องหาข้าวของ ที่หล่นไปอยู่บนพื้นรถ
ด้านหลัง ในตอนกลางคืน อันที่จรง ไม่ควรดู Mazda 2 กับ Ford Fiesta เป็นตัวอย่าง
ในประเด็นนี้เลย ไฟในเก๋ง เป็นเรื่องจำเป็น มากกว่าจะมานั่งลดต้นทุนกันแบบนี้

แผงบังแดด ของรุ่น S กับ G จะมีกระจกแต่งหน้าพร้อมฝาปิดพับเก็บได้มาให้ทั้ง 2 ฝั่ง
แต่ในรุ่น E จะมีเฉพาะ ฝั่งคนขับอย่างเดียวเท่านั้น และในรุ่น J จะไม่มีกระจกสำหรับ
แต่งหน้ามาให้เลยแม้แต่ฝั่งเดียว

จากฝั่งขวา มายังฝั่งซ้าย

กระจกมองข้างในรุ่น S และ G ปรับและพับเก็บได้โดยอัตโนมัติ ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ฝั่งขวา
ใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับ ส่นวรุ่น E ปรับดด้วยสวิชต์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ตำแหน่งสวิชต์ ติดตั้ง
จุดเดียวกันกับรุ่น S และ G ส่วนรุ่น J ปรับ และพับด้วยระบบ อัตโนมือ ของคุณเอง ตามคาด

กระจกหน้าต่าง เลื่อนเปิด – ปิด ได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า เฉพาะฝั่งคนขับ มีสวิชต์ แบบ Auto สั่ง
เลื่อนขึ้น – ลง ได้ ด้วยการกดหรือยกสวิชต์ ขึ้นจนสด เพียงครั้งเดียว มีสวิชต์สั่งปลด-ล็อก
บานประตูทั้ง 4 หรือ Central Lock มาให้ พร้อมกับสวิชต์ ล็อกกันผู้โดยสารเปิดหน้าต่างเอง

ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวามือ ติดกับแผงประตู สามารถดึงออกมา เป็นช่องวางแก้วเครื่องดื่มได้ และ
ให้ความเย็นโดยใช้ลมจากช่องแอร์นั่นแหละ เป่าให้เย็น ถัดลงมา เป็น สวิชต์ปรับกระจก
มองข้าง ด้วยไฟฟ้า (รุ่น S G และ E) พร้อมระบบพับไฟฟ้า (รุ่น S และ G) ส่วนรุ่น E  นั้น
กระจกมองข้างจะต้องพับด้วยมือ แต่รุ่น J กระจกมองข้าง ทั้งปรับและพับด้วยมือคุณล้วนๆ

คอพวงมาลัยฝั่งขวา มีก้านสวิชต์ควบคุมชุดไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟตัดหมอกหน้า (เฉพาะรุ่น S)
และไฟตัดหมอกหลัง (มีเกือบทุกรุ่น) ส่วนก้านสวิชต์ใบปัดน้ำฝนฝั่งซ้าย นั้น เฉพาะรุ่น S
และ G จะมีระบบ ปัดแบบทั้งหน่วง และปรับตั้งเวลาได้ ส่วนรุ่นอื่น เป็นก้านสวิชต์ แบบ
ปรับระดับความแรงได้ แค่นั้น

พวงมาลัย เป็นแบบ 3 ก้าน หน้าตาพิลึกๆ ด้านล่าง ตัดแบบรถแข่งเล็กๆ ในรุ่น E กับ J จะ
หุ้มด้วย ยูรีเทน รุ่น E ในภาพข้างบน จะมีลายสีเงิน ประดับไว้นิดหน่อย แต่ในรุ่น S กับ G
พวงมาลัยจะหุ้มด้วยหนัง Grip และสัมผัสการจับ กระชับมือกำลังดีด้วยซ้ำ ในรุ่น S และ G
จะเพิ่มสวิชต์ ควบคุมชุดเครื่องเสียงมาให้ ที่ก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย ภาพรวมไม่ได้ถึงกับดูแย่
จนเกินไปนัก แต่สิ่งที่ต้องตำหนิ อยู่ที่ งานออกแบบบริเวณก้านพวงมาลัยและแป้นแตรหนะ
ดูเหมือนพวงมาลัยของ รถยนต์จากผู้ผลิตชาวจีนแถวๆ เสิ่นเจิ้น!!

อีกทั้ง พวงมาลัยปรับระดับสูง – ต่ำ ได้ก็จริง แต่ไม่สามารถปรับระยะใกล้ – ห่างจากตัว
ผู้ขับขี่ได้อย่างคู่แข่งเขา กลายเป็นจุดด้อยที่ยังมีให้เห็นต่อเนื่องมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน
แถมยังออกแบบให้ตำแหน่งพวงมาลัย อยู่ชิดใกล้กับชุดมาตรวัดมากเกินไป จนผู้ขับขี่
บางคนจะรู้สึกแปลกๆ แม้จะคุ้นชินได้ ในช่วงหลังจากนั้นสักไม่กี่วันก็ตามเถอะ

ชุดมาตรวัดความเร็ว และมาตรวัดรอบ ที่ถูกย้ายกลับมาอยู่ด้านหลังพวงมาลัย ออกแบบมา
เป็น 3 วงกลมซ้อนกัน คล้ายมาตรวัดของ Hilux Vigo / Fortuner มีกรอบโครเมียมล้อมรอบ
มาตรวัดความเร็วตรงกลาง หน้าจอตรงกลาง ในรุ่น S และ G จอตรงกลางมาตรวัดความเร็ว
จะแสดงข้อมูลการขับขี่ เช่นอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ตำแหน่งเกียร์ และข้อมูลอื่นๆ ส่วน
จอกลางของรุ่น E และ J จะเรืองแสงสีฟ้า และบอกข้อมูลแค่ Trip A กับ Trip B เป็นหลัก

ถึงแม้จะย้ายมาอยู่ในตำแหน่งที่มันควรจะเป็นแล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องให้ต้องตำหนิอยู่ดี

ลองดูพื้นหลังของชุดมาตรวัดสิครับ..มันดูเป็นลายกราฟฟิค แบบเดียวกับที่เด็กประถม เขา
ลองหัดเล่น Paintbrush ในโปรแกรม Windows 98 แล้วพิมพ์ออกมาผ่านทาง Printer แบบ
Dot Matrix เก่าๆ จำพวก Epson LX หรือ LQ Series ที่เอาไว้ใช้พิมพ์บิล หรือใบเสร็จ ก่อน
จะมาตัดเป็นวงกลมเพื่อ แปะเป็นพื้นหลังของมาตรวัด….

พูดตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมเลยนะครับ มาตรวัดของ Vios รุ่นเก่า ยังสวยกว่าเลย มีข้อดีเหลืออยู่
เพียงแค่ข้อเดียวนั้นคือ ใช้ Font ตัวเลขที่อ่านง่าย แบ่งขีดความเร็วเอาไว้ชัดเจน และไม่สับสน
ถ้าจะต้องเหลือบลงมามอง ขณะใช้ความเร็วสูงอยู่ แถม Font ตัวเลข ยังไม่เหมือนกันอีก เพราะ
Font ของรุ่น E นั้น เป็นมาตรวัดธรรมดา ที่ยังพอจะดูดีอยู่บ้าง แต Font ของรุ่น S นั้น ดูราวกับ
เป็น Font ตัวเลขที่สามารถพบได้ตามป้ายโฆษณาสินค้าลดราคา ของห้าง TESCO LOTUS!!

เครื่องปรับอากาศ ในรุ่น E และ J จะเป็นแบบ มือบิด ทำงานง่ายๆ แต่หลายคนอาจไม่ชอบ
สัมผัสของการหมุนสวิชต์มืบิดแบบนี้นัก ทั้งที่มันก็ใช้งานง่ายดี ไม่ซับซ้อนเท่ากับสวิชต์ของ
เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติในรุ่น G และ S ซึ่งมีหน้าจอสีฟ้าอยู่ตรงกลาง แต่ใช้งานยากชะมัด!

ถ้าต้องการ ปรับอุณหภูมิ ต้องกดไปที่คำว่า Temp แล้วค่อยหมุนเลือกความเย็นตามต้องการ
ถ้าต้องการ ปรับความแรงพัดลม ต้องกดที่รูปพัดลม แล้วค่อยหมุนเลือกความแรงตามต้องการ
ถ้าต้องการ ปรับทิศทางลม ต้องกดที่รูป เบาะนั่ง ฝั่งซ้าย แล้วค่อยหมุนเลือกทิศทางตามต้องการ

อาจสะดวกในแง่การเตรียมงานผลิต หรือการลดต้นทุน แต่มันยุ่งยากในการใช้งานไปไหม?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณกำลังใช้ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนทางด่วน แล้วเกิดหนาว
(เพราะแอร์ ของ Toyota ทุกรุ่น ใช้ของ DENSO ซึ่งเย็นจนหนาวจับขั้วหัวใจเลยละ) ถ้าจะ
ปรับพัดลม คุณต้องละสายตาลงมา กดสวิชต์ แล้วค่อยหมุนเลือกความแรงอีกทีเนี่ยนะ?
มันใช่เรื่องหรือเปล่าเนี่ย? ใช้งานยุ่งยากโดยไม่จำเป็นเลย

ชุดเครื่องเสียง เป็นวิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD/ MP3/ WMA แบบ 1 แผ่น มีช่อง
เสียบ USB & AUX หน้าจอเป็นสีฟ้า 3 บรรทัด แสดงผลได้ทั้งภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น จีน
และ ภาษาไทย!! ส่วนลำโพง ให้มา 4 ชิ้น เท่ากัน ตั้งแต่รุ่น S G E แต่รุ่น J จะให้มาแค่
2 ลำโพง เท่านั้น ตำแหน่งการติดตั้งหนะ ถูกต้องแล้ว สวิชต์ใช้งานดี แต่งานออกแบบ
อาจไม่ถูกใจใครต่อใครไปบ้าง กระนั้น อยากให้ดูพื้นผิวพลาสติกโดยรอบ ซึ่งผมว่า
มันไม่เรียบ มี Texture และดูดีใช้ได้สมราคาอยู่เหมือนกัน

คุณภาพเสียงที่ออกมา พอๆกัน คือเสียงเบส แน่น ดัง จนบวมเป่ง เสียงใส โอเค พอใช้ได้
แต่รายละเอียดเสียงหายไป แถมเสียงกลาง ควรจะดันเพิ่มจากนี้อีกนิดนึง สรุปว่า ยังไม่ดี
เมื่อเทียบกับชุดเครื่องเสียงของ City ที่ ถือว่าเทพสุดในบรรดารถยนต์ ต่ำกว่า 1.6 ลิตร 

กล่องเก็บของ บนแผงหน้าปัด ฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า Glove Compartment แม้ดูมีขนาด
ใหญ่ แต่เอาเข้าจริง ก็ใส่คู่มือผู้ใช้รถ คู่มือรับประกัน และซองใส่เอกสารประกันภัย ก็ปาเข้าไป
ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมด แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจก็คือ ทำไมต้องกั้นพื้นที่กล่องเก็บของฝั่งขวา
ไว้อย่างที่เห็นในภาพ ขนาดของเครื่องปรับอากาศมันใหญ่ จนต้องงอกออกมาทางด้านข้าง
กันเลยเชียวหรือ? กินพื้นที่กล่องใส่ของโดยไม่จำเป็นจริงๆ

ที่น่าตำหนิอีกประเด็นหนึ่งต่อเนื่องกัน ก็คือ พื้นที่ช่องวางของจุกจิก ใต้สวิชต์เครื่องปรับ
อากาศ ซึงมีปลั๊กจุดบุหรี่ หรือเชื่อมต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า  กลับมีช่องวางของขนาดเล็ก ที่ผมว่า
วางได้แค่ลูกอม มายมินท์ เท่านั้น เพราะจากที่ลองวางโทรศัพท์มือถือแนวตั้งเอาไว้ ผลคือ
ขับรถไป โทรศัพท์ก็ร่วงไปอยู่ที่พื้นรถฝั่งผู้ขับขี่ อันตรายใช้ได้เลย ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึง
ไม่ยอมเจาะช่องเข้าไปด้านในให้ลึกกว่านี้ เหมือนเช่นรถยนต์ทั่วไป จะได้ใส่ข้าวของ
วางสรรพสิ่ง ได้สะดวกสบายกว่านี้?

ช่องใส่ของด้านข้าง ใส่กล่อง CD ได้พอสมควร แต่จุของได้ไม่เยอะนัก ฝาปิดที่ตั้งใจจะทำไว้
ให้เป็นพื้นที่พักแขน จะเหมาะแค่การท้าวแขนโน้มตัวไปหาคู่รักของคุณตอนรถติดเท่านั้น
มันวางแขนในยามปกติ ไมได้เลย ตรงนี้ ก็แย่พอกันกับ City นั่นละ ประเด็นเดียวกันเป๊ะ
ส่วนช่องวางของแนวยาว ข้างเบรกมือ ไม่ต้องไปวางอะไรทั้งสิ้นนะครับ เพราะเมื่อเบรกปุ๊บ
ปากกา หรือโทรศัพท์ ที่วางเอาไว้ จะกลิ้งไปตกอยู่ที่พื้นรถฝั่งคนขับทันที! แอบอันตรายเล็กๆ
อยู่เหมือนกันนะ ถ้าแก้ไขได้ ทำช่องล็อกเอาไว้สักหน่อยจะดีกว่า หรือไม่ก็ออกแบบให้มัน
มีผนังในช่อง สูงกว่านี้อีกนิดนึง จะช่วยให้วางปากกา หรือข้าวของเล็กๆ ได้จริง ซึ่งจะช่วย
อำนวยความสะดวกได้ดีกว่านี้มาก

ทัศนวิสัย ด้านหน้า ให้การมองเห็นภาพเส้นทางข้างหน้าได้ชัดเจนดี เพียงแต่ตั้งข้อสังเกต
ว่า ความสูงของกระจกบังลมหน้า น้อยไปหน่อย เป็นปัญหาเดียวกับ Honda City และ
บรรดารถยนต์ที่ต้องทำเสาหลังคาคู่หน้าให้ลาดชัน เพื่อเล่นกับอากาศพลศาสตร์ได้ดีขึ้น

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา นั้น มีการบดบังรถที่แล่นสวนมาบนทางโค้งของถนน
สวนกันเลนเดียว น้อยลงไปจากรุ่นเดิมนิดนึง กระจกมองข้าง แม้จะให้การมองเห็นรถ
ที่แล่นมาจากด้านหลังได้ดี แต่พื้นที่กรอบพลาสติกด้านใน ยังแอบกินพื้นที่เข้ามายัง
ขอบล่างฝั่งขวา ของบานกระจกมองข้างอยู่บ้างนิดนึง

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย ยังแอบมีการบดบังรถที่แล่นสวนทางมา ขณะเลี้ยวกลับ
อยู่บ้างในบางรูปแบบของจุดกลับรถ แต่จะพบปัญหานี้ได้ ถ้าเกาะกลางถนน หรือคูน้ำ
กลางถนน ค่อนข้างกว้าง นอกนั้น จะไม่มีปัญหามากนัก

กระจกมองข้างฝั่งซ้าย ก็ยังมองเห็นรถคันที่แล่นตามมาได้ดี เพียงแต่ ขอบกระจกด้านล่าง
ฝั่งซ้าย อาจถูกกรอบด้านในกระจก บดบังพื้นที่เข้ามาบ้าง แต่ก็ไม่มากนักเมื่อเทียบกับ
รถยนต์คันอื่นๆที่ผมเคยเจอมา

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลังนั้น มีพื้นที่กระจกบังลมหลัง ให้มองเห็นได้ชดเจนขึ้น เช่นเดียวกับ
พื้นที่กระจกหน้าต่างที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่มความสูงขึ้นอีกนิดนึง ช่วยให้การมองเห็นขณะ
ถอยรถ ดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ขุมพลังของ Vios ใหม่ ยังคงเป็นเครื่องยนต์หน้าตาเดิมๆ ที่คนไทยคุ้นเคยกันมาตั้งแต่
Vios รุ่น Britney Spear แล้ว และดูเหมือนว่า Toyota ยังไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง
ขุมพลังบล็อกนี้ในช่วงนี้แน่ๆ ด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่า “ถ้าของเดิมมันดีพออยู่แล้ว จะไป
พัฒนาใหม่กันทำไม?”

หลายคนก็คงรู้แล้วนะครับว่า มันก็คือ เครื่องยนต์ รหัส 1NZ-FE บล็อก 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 1,497 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 75.0 x 84.7 มิลลิเมตร กำลังอัดอยู่ที่
10.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วย หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ EFI ควบคุมด้วย กล่อง ECU แบบ
32 Bit พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT-i (Variable Valve Timing-intelligent)

ใช้หัวเทียน DENSO K16R-U หรือ NGK BKR5EYA ระยะห่างเขี้ยวหัวเทียนอยู่ที่
0.8 มิลลิเมตร ระยะห่างวาล์วไอดี 0.15 – 0.25 มิลลิเมนตร ระยะห่างวาล์วไอเสียอยู่ที่
0.25 – 0.35 มิลลิเมตร ความตึงสายพานขับ 12.5 – 13.5 มิลลิเมตร

กำลังสูงสุด ยังคงเหมือนเดิมเป๊ะ คือ 109 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด
สูงสุด 141 นิวตัน-เมตร (14.4 กก.-ม.) ที่ 4,200 รอบ/นาที ผ่านมาตรฐานไอเสีย
ระดับ Euro4 ความเร็วสูงสุด จากตัวเลขที่โรงงานทดสอบอยู่ที่ 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง

สำหรับใครก็ตาม ที่ยังติดใจในประเด็นที่ว่า ทำไม Toyota ยังคงผลิตเครื่องยนต์ 1NZ-FE
มาวางขายอยู่ใน Vios ใหม่กันอยู่ได้ ทั้งที่อายุตลาดของเครื่องยนต์บล็อกนี้ มันก็ปาเข้าไป
10 ปี แล้วด้วยซ้ำ

ประเด็นนี่ ก็ไม่ต่างไปจากประเด็นปัญหา ความขัดแย้งทางความคิดอีกมากมายบนโลกใบนี้
ที่มักจะมีหลายแง่มุมให้เราเลือกมองมากมาย ขึ้นอยู่กับว่า มุมใด มันถูกใจคุณมากพอจน
โน้มน้าวให้คุณ เลือกมองไปตามมุมที่คุณชอบ

สำหรับผม ในประเด็นนี้ ผมมองเรื่องนี้ ได้ทุกมุม ทั้งยอมรับ แล้วก็ปลง ไปด้วยพร้อมๆกัน

เหตุที่ปลงก็เพราะ เข้าใจดีว่า นี่คือวิธีคิดของ คนญี่ปุ่น ที่มักพบได้..ไม่เฉพาะใน Toyota
หากแต่ผมกล้าพูดเลยว่า คนญี่ปุ่น ในบริษัทห้างร้านทั่วไป ส่วนใหญ่ ก็มีวิธีคิดแบบนี้

“ถ้าเมื่อไหร่ที่สินค้าของตนเอง เพลี่ยงพล้ำคู่แข่งอยู่มาก คนญี่ปุ่นจะพยายาม หาทางเอาชนะ
ให้ได้ ในทุกวิถีทาง จนสินค้าของตน เหนือกว่าคู่แข่ง และต้องขายดีกว่าคู่แข่ง แต่ในทาง
กลับกัน ถ้าตราบใดที่สินค้าตัวเอง ยังต่อกรกับคู่แข่งได้ หรือขายดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้อง
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้สิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ เพราะทำออกมาแบบนี้ ยังไงๆ
ก็ขายได้อยู่ดี”

ย้อนกลับไปในยุคที่ Soluna รุ่นแรก เจอ Honda City Type Z บุกตลาดในปี 1999 จน
ยอดขายลดลงกลายเป็นเบอร์ 2 ตอนนั้น Toyota พยายามยกระดับ Soluna ให้กลายร่างเป็น
Vios รุ่นแรก และมียอดขายแซงหน้า Honda นับแต่นั้นเป็นต้นมา ในทางกลับกัน เมื่อ Honda
ทำ City Sedan รุ่น 2 ออกมา แล้วเกิดพลาดท่า ด้วยรูปทรงเส้นสาย และด้วยไอเดียบ้าๆของ
ใครก็ไม่รู้ ที่ไปลดกำลังเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ลงเหลือ 88 แรงม้า (PS) ต่อมา Honda ก็พยายาม
เอาคืน ด้วยการพัฒนา City รุ่นปัจจุบัน (Gen 3) จนมีตัวรถที่เหนือกว่า Vios รุ่นที่แล้ว แทบ
ทั้งคัน นี่ละครับ วิธีของการแข่งกันไปแข่งกันมา ของชาวญี่ปุ่นเขาหละ!

เพียงแต่คราวนี้ Toyota กลับเป็นฝ่ายตั้งรับ และเลือกจะไม่ยอมเปลี่ยนเครื่องยนต์ กับระบบ
ส่งกำลังในช่วงแรก เพราะมั่นใจว่า ขายดีแน่ๆ เหมือนเคยต่อไป

การตัดสินใจไม่เปลี่ยนเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะทำให้ผู้บริโภค
มองว่า กั๊กเทคโนโลยี ล้าหลัง ชาวบ้านชาวช่องเขาไปถึงไหนต่อไหนกันหมดแล้ว Toyota
มัวทำอะไรอยู่ จะขายของเก่ากินกันไปอีกนานไหม

พูดกันตรงๆก็คือ Toyota เอง ก็ต้องยอมรับความจริงในจุดนี้ด้วยว่าที่ผู้บริโภคเขายกเรื่องนี้
เป็นประเด็นใหญ่กันขึ้นมา มันก็จริงของผู้บริโภคเขานั่นแหละ!

แต่ในมุมกลับกัน เราก็ต้องยอมรับว่า การใช้เครื่องยนต์ กับเกียร์ลูกเก่ามันมีข้อดีเรื่องหนึ่ง
ซึ่งดันเป็นเรื่องสำคัญในการเป็นเจ้าของรถยนต์ขนาดเล็กสักคันของหลายๆครอบครัว ก็คือ  
ขุมพลัง 1NZ-FE ในวันนี้ ก็ไม่ต่างกันกับ เครื่องยนต์ 4A-FE ของ Corolla ในช่วงทศวรรษ
1990 เพราะในเมื่อเครื่องยนต์รุ่นนี้ ถูกผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง ในปริมาณมาก นั่นย่อม
ทำให้ ราคาชิ้นส่วนอะไหล่ ถูกลง ไปได้อีกในระยะยาว หรืออย่างน้อย บางชิ้น ก็ยังรักษา
ราคาเท่าเดิมได้ โดยไม่ต้องขึ้นราคา หากต้นทุนด้านวัสดุไม่ได้เพิ่มขึ้น หรือไม่มีเหตุจำเป็น
อื่นๆ นั่นเท่ากับ จะช่วยให้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรักษา เครื่องยนต์ลูกนี้ ใน Vios ใหม่
ไม่แพงจนเกินไปนัก เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ทั้งลูก ยิ่งถ้าคุณต้องการจะ
ใช้รถคันนี้ ยาวเกินกว่า 10 ปีขึ้นไป ความชำนาญเชี่ยวชาญของช่างซ่อม หรือแม้แต่จะนำ
ไปติดตั้งระบบก๊าซ จะ LPG หรือ CNG ก็ยิ่งทำได้ง่ายดาย สบายใจขึ้น เพราะในตอนนี้
ขุมพลัง 1N-FE กลายเป็นมาตรฐานใหม่ ที่ช่างซ่อมรถยนต์ในประเทศไทยทุกคน จะต้อง
หัดซ่อมให้ได้อยู่แล้ว!

พูดง่ายๆก็คือ ถึงแม้จะเป็นเครื่องยนต์ลูกเดิม แต่มันก็ผ่านการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วไปแล้ว
ว่า ทำออกมาเผื่อการใช้งานและดัดแปลงได้ ไม่เกินฝีมือของช่างไทยแน่ๆ อยากประหยัด
ก็จับติดก๊าซ อยากแรง ก็จับพ่วง Turbo และ Intercooler จะจูนกล่องอะไรเพิ่มเติม ก็ได้อีก!
เพราะบ่าวาล์วเอง ก็ออกแบบมาให้รองรับกับการติดตั้งระบบอัดอากาศอยู่แล้วจากโรงงาน!

สิ่งเดียวที่ Toyota บอกว่ามีการเปลี่ยนแปลงในชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์ ก็คือ เปลี่ยน
ยางรองแท่นเครื่องใหม่ ให้ช่วยลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ ขณะเดินเบา หรือทำงาน
ในช่วงรอบความเร็วต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งในการลดปัญหาด้าน NVH ( Noise Vibration and
Harshness) นอกเหนือไปจากการเพิ่มสารพัดวัสดุซับเสียง เพิ่มขึ้นตามพื้นตัวถัง ผนังห้อง
เครื่องยนต์ และจุดต่างๆ ทั่วทั้งคัน ไม่เว้นแม้แต่แผงประตูด้านข้าง

ขุมพลัง 1NZ-FE จะยังคงเชื่อมกับระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
ที่มีการปรับปรุง น้ำหนักในการเข้าเกียร์ให้ดีขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ Shift Feeling ดีขึ้นกว่า
รุ่นเดิมอย่างชัดเจน ใช้น้ำมันเกียร์ API GL-4 ที่มีค่าความหนืด SAE 75W-90 ในปริมาณ
1.9 ลิตร มีอัตราทดดังนี้

เกียร์ 1                3.545
เกียร์ 2                1.904
เกียร์ 3                1.310
เกียร์ 4                0.969
เกียร์ 5                0.815
เกียร์ R                3.250
อัตราทดเฟืองท้าย   4.058

หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ Super ECT ที่ออกแบบคันเกียร์ลักษณะขั้นบันได Gate Type
เหมือนเช่นรุ่นเดิม เป๊ะ! หัวเกียร์ หน้าตาคล้ายว่าจะพบได้ใน Toyota Camry ใหม่ เพียงแต่
ใช้วัสดุไม่ดีเท่า ควรใช้น้ำมันเกียร์ ATF WS ของ Toyota โดยตรง ปริมาณ 6.4 ลิตร ส่วน
อัตราทดเกียร์ มีดังนี้

เกียร์ 1                2.847
เกียร์ 2                1.552
เกียร์ 3                1.000
เกียร์ 4                0.700
เกียร์ R                2.343
อัตราทดเฟืองท้าย   4.237

เรายังคงทำการทดลองหาอัตราเร่งกันในตอนกลางคืน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ
ต่อผู้ร่วมใช้เส้นทาง โดยทำการจับเวลาภายใต้มาตรฐานดั้งเดิมคือ เปิดไฟหน้า เปิดแอร์
และ นั่ง 2 คน (ผมกับคนจับเวลา) และตัวเลขที่ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับ Vios รุ่นเดิม กับ
คู่แข่งในตลาด B- Segment ทั้งหมด มีดังนี้

ตัวเลขที่ออกมา ก็คงจะทำให้หลายๆคนได้เห็นแล้วว่า บางที การที่ Toyota เลือกจะใช้
เครื่องยนต์ 1NZ-FE กันต่อไป อีก 1 Generation เหตุผลของมัน ก็เป็นไปอย่างที่ผม
บอกไว้ในย่อหน้าข้างบนๆ นั่นแหละครับ ถ้าสมรรถนะของมันยังสู้ชาวบ้านเขาได้
แล้วจะเสียตังค์ไปปรับปรุงกันทำไม?

ตัวเลขมันฟ้องทุกอย่างครับ จริงอยู่ว่า ถ้าเทียบกับ Vios รุ่นก่อนๆ ทั้ง 2 Genetaion แล้ว
จะพบว่า ยังไงๆ อัตราเร่งแซง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง รุ่นปี 2007 จะไวสุด รุ่นใหม่
จะตามมา และช้าสุดคือรุ่นดั้งเดิม ที่ใช้ลิ้นปีกผีเสื้อแบบกลไกธรรมดา หรือจะเทียบกัน
ในเกม เร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง รุ่นดั้งเดิม ปี 2002 – 2003 จะไวสุด ส่วนรุ่น
ใหม่ จะอยู่ในระดับกึ่งกลาง ช้าสุดคือรุ่นปี 2007 ที่ต้องรอจังหวะให้สมองกลสั่งเกียร์
เปลี่ยนลงมาเป็นเกียร์ 2 กันก่อน ราวๆ เกือบ 1 วินาที ถือว่ารุ่นใหม่ มีการปรับปรุงใน
ช่วง Kick Down ดีขึ้นกว่าเดิมนิดนึง

แต่ถ้าเทียบตัวเลขกับคู่แข่งทั้งหมด จะพบว่า ตอนนี้ เราปล่อย Toyota Yaris รุ่นปัจจุบัน
Chevrolet Sonic , Ford Fiesta และ Mazda 2 ทิ้งไปได้เลย แม้ว่ากำลังสงสุดของ Vios
จะมีแค่ 109 แรงม้า (PS) แต่ ตัวเลขจากเกมเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ยังทำได้
ดีกว่า Honda City ราวๆ 0.3 วินาที  แต่ต้องยอมรับว่า กำลังเครื่องยนต์ของ City ที่มากกว่า
ช่วยให้อัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง พุ่งไปข้างหน้าได้ไวกว่า ราวๆ 0.4 วินาที และเป็นคู่แข่ง
เพียงคันเดียว ที่สามารถฟัดเหวียงกับ Vios ในเกมจับเวลาหาอัตราเร่ง ได้อย่างพอฟัด
พอเหวี่ยงกัน

ส่วนรุ่นเกียร์ธรรมดานั้น เรายังไม่เคยลองขับ City เกียร์ธรรมดา แต่ก็พอจะพูดได้ว่า  Vios
1.5 ลิตร ยังคงทำตัวเลขอัตราเร่ง ได้ดีที่สุดในบรรดารถยนต์กลุ่ม B-Segment Sedan ที่เรา
เคยทำรีวิวกันมาทั้งหมด เร็วกว่า Mazda 2 และบรรดา รถยนต์ในพิกัด 1.4 ลิตร ทั้ง Ford
Fiesta กับ Chevrolet Sonic แถมทาบชั้นขึ้นไปไล่บี้กับ Honda Civic 2.0 ลิตร ได้อีกด้วย

ขณะเดียวกัน ความเร็วสูงสุดนั้น แม้ในคู่มือผู้ใช้รถจะระบุไว้แค่ 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่
เมื่อเราทำการทดลองจริง พบว่า รุ่นเกียร์อัตโนมัติ เร็วขึ้นจากเดิม 178 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็น
185 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยิ่งถ้าเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดาแล้ว เข็มความเร็วบนมาตรวัดสามารถไต่
ขึ้นไปได้จนถึง 198 กิโลเมตร/ชั่วโมง !!!! (ความเร็วบนมาตรวัด)

ครับ อ่านไม่ผิดแน่ๆ

ผมอยากย้ำเตือนคุณผู้อ่านกันเอาไว้ตรงนี้เช่นเคยว่า เราไม่ขอส่งเสริมหรือสนับสนุนให้คุณ
ไปทดลองความเร็วสูงสุดด้วยตัวคุณเอง เพราะนอกจากจะผิดกฎหมาย พรบ.จราจรทางบก
แล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวคุณเอง และเพื่อนร่วมทางได้ เราทำตัวเลขมาให้ดูเพื่อ
ให้คุณและผู้ที่สนใจศึกษาในด้านวิศวกรรมยานยนต์ได้มีข้อมูลกันไว้เท่านั้น

ในการขับขี่จริง ถึงใครจะบอกว่า เครื่องยนต์ 1NZ-FE มันเก่าแล้ว ไม่ยอมเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่
กันเสียที แต่ ความจริง 1NZ-FE ก็ยังเป็นขุมพลังบล็อกเล็กที่แอบสร้างความเซอร์ไพรส์มาให้เรา
หลายต่อหลายครั้ง เพียงแต่ว่า คราวนี้ เราคุ้นชินกับมัน จนกระทั่งรับรู้ดีว่า มันไม่มีอะไรที่ต่าง
ไปจากรถรุ่นเดิมเลย

แรงบิดรอบต่ำ ยังคงมีมาให้เรียกใช้ได้ดี ตั้งแต่เริ่มต้นออกรถ แรงบิดช่วงกลาง แน่นอนว่ามีเยอะ
และพร้อมให้เรียกใช้ได้ในช่วงรอบเครื่องยนต์ที่กว้าง ช่วงรอบปลายๆ อาจจะยังไม่ถึงกับไหลลื่น
เท่าเครื่องยนต์ของ Honda แต่เข็มความเร็วที่ไต่ขึ้นไป หลังจาก 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถือว่า
ทำได้ไม่เลวนัก ส่วนช่วงปลาย ก็อาจเหี่ยวลงไป เป็นธรรมดา ใช้เวลาไต่ถึง Top Speed นาน

รุ่นเกียร์ธรรมดา ระยะเข้าเกียร์ ยังคงยาวเหมือนเดิม แต่น้ำหนักของคันเกียร์ และสัมผัสในการโยก
คันเกียร์ (Shift-Feeling) ดีขึ้นกว่า Vios รุ่นก่อน ที่เคยมีคันเกียร์ห่วยๆ หลวมโพรก ชัดเจน
ถือว่า ทีมวิศวกรของ Toyota แอบไปทำการบ้านในประเด็นนี้ ได้ดีขึ้นกว่าเดิม แม้จะยังไม่ถึงขั้น
เทียบเท่ากับคันเกียร์ของ Suzuki Swift , Mazda 2 แต่ก็ต้องถือว่า เป็นพัฒนาการในทางที่ 
ดีขึ้น จนต้องขอปรบมือให้ หวังว่าจะสามารถปรับปรุงให้เข้าเกียร์ ได้อย่างไม่ติดขัดในชุดเฟืองใดๆ
ในรุ่นต่อไปกันได้ดีกว่านี้อีก

ส่วนรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ทันทีที่กดคันเร่ง เพื่อสั่ง Kick Down เครื่องยนต์ ก็แทบจะเร่งทำงาน
เกือบจะถึงขั้นถวายชีวิตเท่าที่จะมีเรี่ยวแรงไหวในทันที อาการกระตุก น้อยลงไปมากแล้ว

คันเร่ง (ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า) ของทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา และอัตโนมัติ มีการปรับจูนมาใหม่ คราวนี้
ตอบสนองไว ไม่หน่วงไม่ช้าเหมือนรุ่นก่อน ล็อตแรกๆ อีกต่อไป ขอชมเชยในจุดนี้ เพราะทำให้
เรียกใช้ แรงบิดได้ ตามต้องการ ตามสั่ง มากยิ่งขึ้น รุ่นนี้ ผมไม่บ่นเรื่องคันเร่งเลย

การเก็บเสียง แม้จะทำได้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม หากคุณใช้ความเร็วในช่วงไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง
จะพบว่า ห้องโดยสาร เงียบสงบมากขึ้น เสียงที่เล็ดรอดเข้ามา จะมีแต่เสียงยางเป็นหลัก แต่ก็ยัง
ไม่ถึงกับเงียบสงบที่สุด เพราะเมื่อผ่านพ้นช่วง 80 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป เสียงกระแสลม เสียง
ยางบดถนน และสารพัดสรรพเสียง จะเริ่มหลั่งไหลเข้ามาให้คุณได้ยิน เพิ่มขึ้นเรื่อยตามความเร็ว
ของรถที่เพิ่มขึ้นไป ถือว่า ในช่วงความเร็วสูง เสียงรบกวนจากภายนอกรถ ยังดังเข้ามาถึงภายใน
ห้องโดยสารมากอยู่ดี

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS
(Electronics Power Steering) เหมือน Vios รุ่นก่อน แต่ Toyota อ้างว่า มีการปรับปรุง
กลไกทำงานใหม่ ให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการบังคับเลี้ยว มีน้ำหนักดีขึ้น

แต่ผมกลับไม่คิดเช่นนั้น

จริงอยู่ว่า ในช่วงความเร็วต่ำ พวงมาลัยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน อย่างชัดเจน จนอยู่ในระดับที่
ถือว่า มีน้ำหนักดีพอแล้ว และยังคงบังคับเลี้ยวง่ายอยู่ กระนั้น ผมพบว่า อัตราทดของเฟืองพวงมาลัย
น่าจะยาวเกินไป ทำให้ คุณต้องหมุนพวงมาลัยเพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่เคยคุ้นชินกับรถยนต์คันเก่า
หรือคันอื่นๆ เช่นว่า ถ้าคุณจะเลี้ยวขวา ณ สามแยก แทนที่จะหมุนพวงมาลัยแค่ 1 รอบ เพื่อให้พ้น
สิ่งกีดขวาง คุณอาจต้องเติมพวงมาลัยมากไปกว่านั้น อีกราวๆ 45 องศา ในขณะที่รถยนต์ในกลุ่ม
ตลาดพิกัดเดียวกันคันอื่นๆ ไม่เห็นจะต้องเลี้ยวพวงมาลัยเพิ่มมากขนาดนี้เลย

ไม่เพียงแค่นั้น ขณะขับขี่ ด้วยความเร็ว เกินกว่า 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผมพบว่า ยังคงต้องคอยเลี้ยง
และแต่งพวงมาลัย ซ้ายนิด ขวาหน่อย ตลอดเวลา ก่อให้เกิดความน่ารำคาญอย่างยิ่ง เพราะนิสัยของ
พวงมาลัยแบบนี้ มันเหมือนกันกับทั้ง Vios รุ่นที่แล้ว และ Yaris ที่ใกล้จะตกรุ่น ชะมัดยาด!

On-center feeling ไม่ดีเอาเสียเลย ยิ่งถ้าต้องใช้ความเร็วสูงๆแล้ว ต้องเพิ่มสมาธิในการควบคุมรถ
อยู่พอสมควร แม้จะไม่เลวร้ายเท่ากับพวงมาลัยของ Nissan March / Almera หรือ Mitsubishi
Mirage / Attrage แต่ก็ให้การตอบสนองที่โน้มเอียงไปยัง รถยนต์ทั้ง 4 รุ่นดังกล่าวอยู่พอสมควร

ทางออกของปัญหานี้ ขอแนะนำให้ ทีมวิศวกรชาวญี่ปุ่น และชาวไทย ไปช่วยกันรื้อพวงมาลัยของ
ทั้ง Toyota Camry รุ่นปัจจุบัน และ Suzuki Swift รุ่นก่อน รวมทั้ง รุ่นล่าสุด มานั่งวิเคราะห์ดูให้ดีๆ
แบบไม่เข้าข้างตัวเองกัน เพราะพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า EPS ของรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นนี้ น่าจะ
เป็น Benchmark ที่ดี ในการปรับปรุงแก้ไขการตอบสนองของพวงมาลัย Vios รุ่น Minorchange
หรือ โฉมต่อไป หลังจากนี้ ได้อย่างดี! โดยเฉพาะพวงมาลัยของ Camry ที่ถือว่าได้ ว่าปรับแต่งมา
ให้เป็นที่ชื่นชอบของคนไทยส่วนใหญ่ได้ง่าย แม้น้ำหนักจะเบาไปนิดก็ตาม

ระบบกันสะเทือนยังคงเป็นรูปแบบเดิม ด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังเป็นแบบ
Torsion Beam คานบิด ซึ่งใช้กันมาตั้งแต่สมัย Soluna รุ่นแรก มาจนถึงปัจจุบัน ต่อให้มีการพัฒนา
ขึ้นจากรุ่นเดิม แต่ก็ไม่มากนัก สำหรับช่วงล่างของ Vios ใหม่นั้น ถ้าจะเปรียบเทียบกันแล้ว….

หาก Soluna รุ่นแรกสุด ช่วงล่าง ห่วย นิ่ม ย้วย ไม่น่าไว้วางใจอย่างแรง Vios รุ่น Britney Spear
ช่วงล่าง หนึบสปอร์ต เป็นรถเบาช่วงล่างดี แต่ดันแข็งไปในสายตาคนอินโดฯ Vios รุ่น โจ/ว่าน/
เต้ย จรินทร์พร ช่วงล่าง กลับมานุ่มจนนิ่มเกินไป ไม่น่าไว้ใจ ในสายตาคนชอบขับรถเร็ว แต่ใน
ช่วงความเร็วต่ำ ก็ยังแข็งไปหน่อย มาคราวนี้ Vios รุ่นใหม่ ก็เลยถูกปรับเซ็ตมาให้เอาใจคนไทย
ส่วนใหญ่ มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม ช่วงล่าง ของ Vios ใหม่ จะยังคงมี การเซ็ตและปรับจูน 2 รูปแบบ เหมือนเช่นรุ่นเดิม
โดย Toyota ระบุว่า สปริงและช็อกอัพของรุ่น S จะเซ็ตมาให้แข็งกว่าช่วงล่างของรุ่นอื่นๆ อยู่เล็กน้อย

ในย่านความเร็วต่ำ ในฐานะที่ผม ใช้ Honda City รุ่นปัจจุบันอยู่ ยืนยันได้ว่า หากเป็นช่วงล่างของรุ่น
E กับ G (และรวมถึง J ไปด้วย) การดูดซับแรงสะเทือนตามหลุมบ่อ ก้อนกรวด ลูกระนาดต่างๆ ช่วง
ความเร็วต่ำกว่า 80 ขับในเมือง ก็ซึมซับแรงสะเทือนได้ดีขึ้นจากรุ่นเดิมนิดหน่อย แต่ก็ยังคงมีบุคลิก
ช่วงล่างแบบ Toyota รุ่นเล็กมาให้สัมผัสอยู่บ้าง คือ ถึงจะรูดผ่านรอยต่อพื้นผิวไม่เรียบได้อยู่ แต่ยัง
ไม่ได้นุ่มนวลชวนฝันมากนัก เซ็ตออกมา ถือว่า สมราคา ขณะที่รุ่น S นั้น ช่วงล่างในช่วงความเร็ว
ต่ำ แอบแข็งกว่า รุ่นปกติ อีกระดับหนึ่ง อย่างชัดเจน ความสบายในการเดินทางลัดเลาะไปตามตรอก
ซอกซอยต่างๆ จะด้อยกว่ารุ่น J E และ G

แต่ช่วงที่ถือว่าดีขึ้นจากเดิมจริงๆ คือ การเดินทางในความเร็วระหว่าง 60 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง 
หากเป็นช่วงล่างในรุ่น J E และ G คุณจะพบความนิ่ง จากระบบกันสะเทือน เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการ
ขับขี่ ตรงๆไปข้างหน้า ไม่ต้องเลี้ยวเข้าโค้ง คุณจะพบความรื่นรมณ์ยิ่งกว่ารุ่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นคนขับ
หรือเป็นผู้โดยสารก็ตาม ช่วงล่าง ถือว่าเอาใจคนไทยชัดเจน เดินทางไกลได้นุ่มนวล และสบายกว่า
ช่วงล่างของ City อยู่อีกนิดหน่อย ดังนั้น ถ้าแค่ขับรถเดินทางไปหัวหิน หรือชลบุรี เรื่อยๆ ไม่เกิน
120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วงล่างของรุ่น J E และ G จะเอาใจคนกลุ่มขับเรื่อยๆสบายๆ ได้ดีขึ้นกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม สำหรับช่วงล่างของรุ่น S เมื่อผมย้ายมานั่งในตำแหน่งข้างคนขับ ความสบายในการ
นั่งโดยสาร มันก็หายไป เพราะอาการสะเทือนจากพื้นถนนอันขรุขระ รอยต่อถนน ต่างๆ มีเข้ามา
ให้สัมผัสกันชัดเจนขึ้น

และสำหรับคนที่ชอบขับรถเร็ว ในช่วงที่แล่นด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้าไม่มีลมปะทะ
ด้านข้าง รถก็ยังนิ่ง ตรงดีพอใช้ แต่ถ้ามีกระแสลมปะทะด้านข้างเพิ่มขึ้นกว่าปกติ แม้ไม่เยอะมากนัก
แต่คุณจะสัมผัสได้ถึงอาการวูบวาบเล็กๆน้อยๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ต่อให้การทรงตัว จะ
นิ่งขึ้นกว่ารุ่นก่อน แต่ก็แค่นิดหน่อย และยังไม่อาจเทียบเท่า Vios รุ่น 2003 ได้อยู่ดี

ขณะที่การเข้าโค้งยาวๆต่อเนื่องบนทางด่วน ก็ยังคงทำได้ในระดับพอกันกับรุ่นเดิม มีการเอียง
ของตัวรถในระดับที่อยู่นเกณฑ์ปกติ ของรถเก๋งบ้านๆ ขนาดเล็กทั่วๆไปที่เคยมีขายในบ้านเรา
โค้งขวารูปเคียว บนทางด่วน ช่วงมักกะสัน ผมพา Vios ใหม่ สาดเข้าไปได้ที่ความเร็วระดับ
90 กิโลเมตร/ชั่วโมง พอได้อยู่ แต่ยางติดรถที่เริ่มส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดยาวๆ ให้แอบลุ้นกันนิดนึง

แต่ถ้าเป็นโค้งแบบลัดเลาะไปมาแล้ว ขอแนะนำว่า ช่วงล่างของ Vios ใหม่ ถือว่าอยู่ตรงกลาง
ระหว่าง ช่วงล่างที่เซตมาเยี่ยมยอด อย่าง Vios รุ่น 2003 และช่วงล่างของรุ่นปี 2007
ดังนั้น ถ้าคุณถ่ายน้ำหนัก จากซ้าย ไปขวา มาอย่างต่อเนื่อง คุณจะเบาใจได้ในการเข้าโค้ง
ลักษณะดังกล่าว แต่ถ้า คุณขับเข้าโค้งไม่เป็น ถ่ายอาการซ้าย-ขวา ไวเกินไป บั้นท้ายจะตาม
ด้านหน้ารถ ไม่ค่อยทันท่วงทีเท่าใดนัก อยากให้ระวังในจุดนี้นิดนึง

เพราะในสภาวะปกติ หากคุณเลี้ยวพวงมาลัยเข้าโค้ง ในจังหวะเดียว ยาวต่อเนื่อง โค้งซ้าย
ก็ซ้ายเลย โค้งขวา ก็ขวาเลย ก่อนจะกลับมาตั้งลำตรงๆ นั้น ตัวรถจะเคลื่อนตามไปทั้งก้อน
แต่ ถ้าคุณเบรกและหักหลบอุปสรรคทั่วไป หรือถึงขั้น ซิกแซก แบบสลาลอม หักซ้ายปุ๊บ
ขวาตามในทันที อาการบั้นท้ายดีดออกไปทางด้านข้าง จะเกิดขึ้น และบั้นท้ายจะคืนกลับ
มาตั้งลำ ตามด้านหน้าของรถ ไม่ทัน จนอาจทำให้เสียการทรงตัวได้ในบางลักษณะการ
เข้าโค้งแบบกระทันหัน

ถ้าใช้งานทั่วไป ช่วงล่าง ที่เซ็ตมา ให้ความนุ่มสบายในการขับขี่ เพียงพอแล้ว แต่ถ้าคุณชอบ
ขับรถเร็ว เป็นสรณะ ช่วงล่างแบบนี้ อาจจะนุ่มไปสักหน่อย หาสปริงและช็อกอัพที่แข็งขึ้นอีก
มาเปลี่ยนใส่ ยอมแลกความนุ่มสบายออกไป เพื่อได้ความหนึบมั่นใจขึ้น อาจเป็นทางออก
ที่ดีกว่า สำหรับบรรดาขาซิ่งทั้งหลาย

แต่ต่อให้ปรับเซ็ตกันยังไง ช่วงล่างของทั้ง Vios ใหม่ และ City ก็จะยังแพ้ Chevrolet
Sonic เทพด้านช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยว ในกลุ่ม B-Segment บ้านเราไปแล้วอยู่ดี!

ระบบห้ามล้อ ในรุ่น S และ G เป็น ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ แต่ถ้าเป็นรุ่น E และ J จะยังคงเป็น
แบบ หน้าดิสก์เบรก หลังดรัมเบรก มีการปรับปรุง Air Valve ให้เป็นแบบ Dual Cervo
เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเบรกให้ดีขึ้น เสริมการทำงานด้วย ระบบป้องกันล้อล็อก ขณะ
เบรกกระทันหัน ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนัก
บรรทุก EBD (Electronics Brake Force Distribution) ระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะ
ฉุกเฉิน Brake Assist มีให้ครบในรุ่น S G และ E แต่ไม่มีในรุ่น J อันเป็นรุ่นพื้นฐาน

ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า ระยะห่างแป้นเบรกจากพื้นรถต่ำสุด เมื่อเหยียบด้วยแรง 300 นิวตัน
หรือ 31 กิโลกรัม หรือ 64 ปอนด์  ขณะเครื่องยนต์ทำงาน รุ่น S และ G ดิสก์เบรก 4 ล้อ จะอยู่ที่
ระดับ 71 มิลลิเมตร ส่วนรุ่นที่ใช้ดรัมเบรกด้านหลัง อย่าง E และมี ABS / EBD แป้นเบรกจะ
มีระยะห่าง 67 มิลลิเมตร แต่ในรุ่น J ดรัมเบรกหลัง ไม่มี ABS ระยะห่างจากอยู่ที่ 70 มิลลิเมตร
ระยะฟรีของแป้นเบรกทุกรุ่น อยู่ที่ 1-6 มิลลิเมตร ใช้น้ำมันเบรกแบบ DOT 3

นอกจากนี้ Vios ยังมีอุปกรณ์ความปลอดภัยอีกชิ้นหนึ่ง เหมือนกับ Toyota รุ่นใหม่ๆ หลังจากนี้
นั่นคือ ระบบ Brake Overide ในกรณีที่ ผู้ขับขี่กำลังเหยียบคันเร่ง แล้วเกิดเจอปัญหาคันเร่งค้าง
ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ถ้าพรมที่พื้นรถมันเข้าไปขัดอยู่กับคันเร่ง หากเจอเหตุการณ์แบบนี้ ให้เหยียบแป้น
เบรกลงไปเต็มที่ สมองกล ECU จะรับข้อมูลจากแป้นเบรก แล้วสั่งให้เครื่องยนต์ ชะลอการทำงาน
ลงมา เพื่อให้ผู้ขับขี่ สามารถประคองรถเข้าข้างทาง แล้ว เข้าเกียร์ N หรือ P เพื่อสั่งดับเครื่องยนต์
ได้เลย แต่ถ้าถอนเท้าจากแป้นเบรกเมื่อไหร่ คันเร่งก็จะยังคงทำงาน เร่งรถขึ้นไปตามปกตินะครับ
ถ้าเป็นรุ่นมี Push Start แล้วจะดับเครื่องกรณีที่เหยียบเบรกแล้วนี้ ให้กดปุ่มแช่เกิน 3 วินาที
ECU จะรับรู้ว่า คุณต้องการ ดับเครื่องยนต์โดยด่วน มันจะดับเครื่องให้คุณเลย แต่ขอให้ใช้ในช่วง
สถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่คาดคิด เช่นกรณีคันเร่งค้าง นะครับ ซึ่งปกติ กรณีนี้ มักไม่ค่อยเกิดเท่าไหร่
นักหรอก เว้นเสียแต่ว่า พรมพื้นรถหลุดจากตัวล็อก ไปขัดกับขาคันเร่งหนะ

ในช่วงความเร็วต่ำ ขณะขับเคลานๆ ในเมือง แป้นเบรกตอบสนองดีขึ้นกว่าเดิม คุณสามารถ
ควบคุมน้ำหนักเท้าเพื่อให้เบรกทำงานชะลอรถจนหยุดนิ่ง ได้อย่างนุ่มนวล ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม
แต่ เมื่อใช้ความเร็วเดินทางทั่วไป คุณจะพบว่า ระบบเบรก ก็ยังคงทำงานในสไตล์เบรกของ
Toyota ทั่วๆไป คือ ผ้าเบรกจับจานเบรกไว แป้นเบรกค่อนข้างตื้น ระบบป้องกันล้อล็อก ABS
ทำงานกำลังดี ไม่ถึงกับไวนัก แต่ที่ไวกว่า คือ EBD และ Brake Assist ระยะหยุดรถสั้นลง
จนจับสัมผัสได้

ขอแนะนำว่า ถ้าคุณจะต้องเหยียบเบรก กระทันหัน ให้มั่นใจว่า ล้อคู่หน้า ตั้งตรงอยู่ เพราะ
จากประสบการณ์ที่ผม จำเป็นต้องเบรกในช่วงเริ่มเข้าโค้ง เพราะมี Toyota Camry ไฟท้าย L
รุ่นปี 2003 มาตัดหน้า ผมเหยียบเบรกลงไปแค่ครึ่งเดียว เพื่อไม่ให้สารพัดตัวช่วยต้องทำงาน
ในทันที แต่ที่ไหนได้ ระบบ EBD และ Brake Assist ทำงานไวมาก รถหน่วงความเร็วลงมา
กระทันหัน จนบั้นท้าย แถออกไปทางด้านขวานิดๆ  ผมต้องพยายามคุมแป้นเบรกให้ดีๆ
พอๆกับการคุมสติอารมณ์ให้อยู่ ก่อนจะบีบแตรแช่ยาวใส่ Camry เมาลมหายใจตัวเองคันนั้น

ด้านโครงสร้างตัวถัง ยังคงใช้เทคโนโลยีการออกแบบให้ดูดซับแรงปะทะจากการชน GOA
เหมือนเช่นเดิม แต่มีการออกแบบชิ้นส่วนบริเวณโครงเสาหลังคา เพื่อลดแรงกระแทกจาก
ศีรษะด้านข้าง ของผู้ขับขี่และผู้โดยสารคู่หน้าฝั่งซ้าย เมื่อเกิดการชนด้านหน้า หรือด้านข้าง
เพิ่มความหนาของโครงสร้างตัวถังในตำแหน่งที่สำคัญ เพิ่มโครงสร้างเหล็กค้ำและยึดตัวถัง
(Large-Scale Brace) ทั้งบริเวณ เหนือซุ้มล้อคู่หลัง บริเวณกลางพื้นตัวถัง และเหล็กท่อน
แบบปีกโค้ง ยึดขอบหน้าของซุ้มล้อคู่หลัง เข้ากับเฟรมพื้นตัวถัง เพิ่มจุดเชื่อมตัวถังจาก
รุ่นเดิมอีกมากกว่า 100 จุด

นอกจากนี้ Toyota ยังระบุว่า กว่า 50% ขึ้นไป ของเหล็กที่ใช้ขึ้นรูปโครงสร้างตัวถังและ
พื้นแชสซีทั้งหมด  (Chassis คือ พื้นตัวถัง หรือ Platform ทั้งหมด ทั้งคัน ในที่นี่ มิได้
หมายถึง Frame Chassis ของรถกระบะแต่อย่างใด) เป็นเหล็กรีดร้อน High Strength
Steel ด้วยกันทั้งสิ้น

แต่ถ้าดูดีๆ จะเห็นว่า เหล็กแบบเหนียวพิเศษ รองรับแรงอัดได้ระดับ 980 เมกกะปาสคาล
ถูกนำมาใช้แค่เพียง 3% เท่านั้น ในขณะที่ส่วนใหญ่ จะเป็นแบบ 440 เมกกะปาสคาล

ด้านความปลอดภัย ถุงลมนิรภัย มีมาให้ทั้งฝั่งผู้ขับขี่ และผู้โดยสารตอนหน้า รวม 2 ใบ
ติดตั้งมาให้ ครบทุกรุ่น ตั้งแต่รุ่นถูกสุด 1.5 J 5MT  เบาะนั่งคู่หน้าแบบ WIL (Whiplash
Injury Lessening) ติดตั้งที่เบาะนั่งด้านหน้า เพื่อลดการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอ เมื่อ
เกิดการชนจากด้านหลัง เข็มขัดนิรภัย เป็นแบบ ELR 3 จุด ครบทั้ง 5 ตำแหน่ง พร้อม
ระบบ ดุึงกลับอัตโนมัติ (แต่ทำไมไม่ยอมให้ปรับระดับสูง-ต่ำได้??) สำหรับคู่หน้า

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

ในเมื่อ Vios ใหม่ ยังใช้เครื่องยนต์เดิม เกียร์ก็ลูกเดิม น้ำหนักตัวรถก็พอกันกับเดิม ดังนั้น
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ก็น่าจะเดาได้ว่า พอกันกับรุ่นเดิม แต่เพื่อเป็นการยืนยันให้เห็นกัน
เป็นมั่นเหมาะ ผมก็เลยต้องทดลองให้คุณดูกันเต็มรูปแบบอย่างนี้ ตามเคย

เรายังคงทำการทดลองด้วยมาตรฐานเดียวกัน นั่นคือ พา Vios ทั้ง 2 รุ่น ปเติมน้ำมันที่ สถานี
บริการน้ำมัน Caltex ถนนพหลโยธิน ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS ฝั่งตรงข้ามซอยอารีย์สัมพันธ์
โดยเราใช้น้ำมันเบนซิน 95 Techron หัวจ่ายเดิม เหมือนเช่นเดิม ทุกครั้งที่ผ่านมา

และแน่นอนว่า กลุ่มลูกค้าที่ซื้อ รถยนต์กลุ่ม B-Segment จะค่อนข้างอ่อนไหว กับอัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิง กว่ารถยนต์ประเภทอื่นอยู่พอสมควร ดังนั้น เราจึงต้องเขย่ารถกัน เพื่ออัดกรอกน้ำมัน
ลงไปให้เต็มแน่นจนเอ่อขึ้นมาถึงปากคอถังอย่างนี้

เมื่อเติมน้ำมันเสร็จแล้ว เราก็เซ็ต 0 บน Trip Meter (Vios ให้มาทั้ง Trip A และ Trip B) เพื่อวัด
ระยะทาง คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ แล้ว ออกรถ จากปั้ม มุ่งหน้าไปเลี้ยวกลับบน
ถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ ทะลุไปยังซอยข้างโรงเรียนเรวดี เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนน
พระราม 6 เลี้ยวขวา ขึ้นทางด่วนสายเชียงราก ไปลงปลายสุดทาง ที่ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับ
ย้อนมาขึ้นทางด่วนสายเดิม มุ่งหน้าย้อนกลับมาทางเดิม

โดยยึดมาตรฐานเดิมที่เราใช้ในการทดลองตลอด 10 ปีที่ผ่านมา อย่างเคร่งครัด คือใช้ความเร็ว
ไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า และ นั่ง 2 คน เพื่อให้การทดลอง อยู่บน
มาตรฐานเดียวกัน เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา

เมื่อลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้าย กลับเข้าสู่ถนนพหลโยธินอีกครั้ง มุ่งหน้าไป
เลี้ยวกลับ บริเวณ สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ หน้าโชว์รูม เบนซ์ราชครู แล้วเลี้ยวซ้าย เข้าสถานี
บริการน้ำมัน Caltex เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน Techron 95 อีกครั้ง ที่ปั้มเดิม และใช้หัวจ่ายเดิม

วิธีการเติมน้ำมัน ครั้งแรกเป็นอย่างไร ครั้งหลัง เพื่อการสรุป ก็จะต้องเหมือนกัน เราจึงต้องมานั่งขย่ม
และเขย่ารถ กันอีกคันละเกือบ 1 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำมันถูกอัดกรอกลงไปเต็มถังกันจริงๆ โดยไม่เหลือ
พื้นที่ให้อากาศอยู่ในถัง หรือถ้ามี ก็ต้องน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ จนน้ำมันเอ่อขึ้นมาถึงคอถังแบบนี้

เมื่อเติมน้ำมันกันจนเสร็จแล้ว ก็ได้เวลามาคำนวน หาตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองของแต่ละรุ่นกันละ!

เริ่มจากรุ่น 1.5 S 4AT กันก่อน

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด 91.8 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 5.98 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 15.35 กิโลเมตร/ลิตร

ส่วนรุ่น 1.5 S 5MT นั้น

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด 91.7 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 5.92 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 15.48 กิโลเมตร/ลิตร

สรุปว่า ตัวเลขดีกว่าเดิม นิดนึง แต่จัดอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย พอกัน รถยนต์พิกัด B-Segment คันอื่นๆ

หากเปรียบเทียบในกลุ่ม B-Segment Sub-Compact ด้วยกันแล้วทั้งหมด งานนี้ เรายังคงต้อง
ยกให้ Honda Jazz Hybrid ชนะเลิศ เรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกันไปตามระเบียบ แต่ถ้า
ตัด รถยนต์รุ่นนี้ทิ้งไป และต่อให้ตัดกลุ่ม EcoCar 1.2 ลิตร ออกไปด้วย Ford Fiesta จะยังคง
ทำตัวเลขความประหยัดน้ำมัน จากการขับขี่ทางไกล 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน
ได้ดีที่สุด ตามคาด

ส่วน Vios ใหม่ ก็ยังถือว่า ทำตัวเลขดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม ป้วนเปี้ยนอยู่ในช่วง ค่าประมาณการ ที่
รุ่นก่อนๆ เคยทำไว้ คือ ช่วง 14.5 – 15.5 กิโลเมตร/ลิตร ถือว่า ดีขึ้น และยังอยู่ในเกณฑ์ประหยัด
ยอมรับได้ ไม่ขี้เหร่ ไม่น่าเกลียด และไม่ได้กินน้ำมันมากไปกว่าเดิมอย่างที่หลายคนเข้าใจกันไปเอง

แล้วน้ำมัน 1 ถัง จะแล่นไปได้ไกลแค่ไหน?

คำตอบอยู่ที่นี่ครับ ถ้าคุณเติมน้ำมันแบบเต็มถังชนิดถึงขั้นล้อนเอ่อขึ้นมาถึงปากคอถังอย่างที่ผมทำ
รุ่นเกียร์ธรรมดาจะทำระยะทางได้ยาวไกลมากที่สุด คือ ราวๆ 494 กิโลเมตร ไฟเตือนน้ำมันถึงจะ
เริ่มติดสว่างขึ้นมาเตือน และนั่นก็หมายความว่า คุณยังแล่นต่อไปได้อีกราวๆ 50 กิโลเมตร หรือ
เป็นไปตามตัวเลขประมาณการที่ 550 กิโลเมตร

ส่วนรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ผมตัดสินใจเติมน้ำมันก่อนที่ไฟเตือนให้เติมน้ำมันจะติดสว่างขึ้น นั่นก็
ทำให้พอจะคาดการณ์ได้ว่า Vios น่าจะสามารถแล่นได้ราวๆ 500 – 550 กิโลเมตร ด้วยน้ำมัน 1 ถัง
เบนซิน 95 หากเป็น แก็สโซฮออล์ 95 หรือ E20 อาจลดหลั่นลงไปบ้าง น้อยกว่านี้นิดหน่อยตาม
สัดส่วน

ตัวเลขนี้ เกิดจากทั้งการขับขี่ แบบทำอัตราเร่ง ทำความเร็วสงสุด ขับคลานๆ ในตัวเเมือง ขับด้วย
ความเร็ว 80 – 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง แปรผันไปตามสภาพการจราจร และส่วนใหญ่ เป็นการขับขี่
ตอนกลางคืน

ดังนั้น ถ้าใครคิดว่า Vios ใหม่ กินน้ำมันกว่าเก่า ถามตัวเองกันก่อนครับว่า เติมน้ำมันอะไรกันอยู่
วิธีการเหยียบคันเร่ง เป็นอย่างไรบ้าง และเจอสภาพการจราจรติดขัดบ่อยแค่ไหน ถ้าบ่อยมาก
แถม เติม แก็สโซออล์ E20 อีกทั้งยังชอบออกตัวจากไฟแดงเร็วๆ ทั้ง 3 อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือรวมกันทั้ง 3 อย่างเลย ก็จะยิ่งทำให้คุณต้องเติมน้ำมันบ่อยขึ้น และเข้าใจไปว่า รถกินน้ำมัน
กว่ารุ่นเดิม ทั้งที่จริงๆแล้ว มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย

********** สรุป **********
เจมส์…สั่งได้ คุณ…สั่งได้ แต่สำหรับ J!MMY ยังแค่เกือบ….

ทุกครั้งที่ มีรถยนต์รุ่นใหม่เปิดตัว แน่นอนว่า ผู้บริโภคทั่วไป ลูกค้า หรือสื่อมวลชน ย่อมคาดหวัง
ว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลง ที่ดีขึ้นจากรถยนต์รุ่นเดิมก่อนหน้านั้น ไม่แปลกครับ ที่พวกเขาหวัง
เพราะ สำหรับประเทศไทยแล้ว ราคารถยนต์ที่สูง “เมื่อเทียบกับค่าครองชีพ และรายได้เฉลี่ย
ต่อประชากรรายบุคคล” มันแพงพอๆกับการซื้อบ้านสักหลังนึง ในสายตาคนไทย ทำให้พวกเขา
อยากได้อะไรต่อมิอะไร จากรถยนต์ 1 คัน มากเกินกว่าที่ชาวต่างชาติในบริษัทรถยนต์ต่างๆ จะ
ยอมเข้าใจกันในช่วงแรกที่เริ่มมาทำงานในประเทศของเรา

ยิ่งตอนนี้ ประเทศของเรา อยู่ในช่วงที่ภาครัฐ กำลังพยายามปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน ซึ่งกว่า
จะเห็นผล ต้องรอกันไปอีก 5 ปี ดังนั้น การซื้อรถยนต์ส่วนตัว คันเล็กๆ ใช้งานในเมือง จึงไม่ใช้
แค่การสร้างความสะดวกสบายหรือเพิ่มอิสระในการเดินทาง หากแต่มันคือการยกระดับคุณภาพชีวิต
ของสมาชิกในครอบครัวกันเลยทีเดียว

ดังนั้น ในเมื่อการจ่ายเงิน กว่าครึ่งล้านบาท ของหลายๆครอบครัว มันสำคัญมากถึงเพียงนี้ สิ่งที่
ผู้ผลิตรถยนต์ ควรจะคำนึงถึงประกอบกันไป นอกเหนือจากผลกำไร ขาดทุน และความอยู่รอด
ในตำแหน่งหน้าที่การงานของทุกคนในบริษัท ก็คือ การเพิ่มความคุ้มค่า ให้กับตัวรถยนต์ ที่ขาย
ให้กับลูกค้ากลุ่มนี้ มากพอที่จะทำให้พวกเขารู้สึกว่า คุ้มค่าต่อเงินที่จ่ายไป

ผมเชื่อว่า Toyota เอง ในฐานะ เจ้าตลาดรถยนต์บ้านเรามาหลายสิบปี ก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว และใน
อดีตที่ผ่านมา ก็นับว่าโชคดี ที่ยังมีผู้คนบางแผนก และบางคน พยายามต่อสู้กับเรื่องแบบนี้ พยายาม
ที่จะทำให้รถยนต์ Toyota มีความคุ้มค่ากับผู้บริโภค มากกว่าที่เป็นอยู่ แม้จะติดขัดด้วยสารพัดปัญหา
ภายในองค์กรมากมายนานับประการ ที่คนภายนอกบริษัทไม่รู้ (และบางที ก็ไม่จำเป็นต้องรู้)

แต่ในวันนี้ หลายคนสงสัยว่า Vios ใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัว ทำไมยังไม่เห็นรถยนต์รุ่นนี้ เต็มถนนกัน
เหมือนหลายรุ่นก่อนๆ ที่ผ่านมาเสียที มันเกิดอะไรขึ้น? Vios ใหม่ มันไม่ดีหรือเปล่า มันห่วย
ลงกว่าเดิมหรือเปล่า? บางคนก็บอกว่า ไม่เห็นจะเปลี่ยนอะไรให้ดีขึ้นเลย เครื่องยนต์ก็ไม่เปลี่ยน
บางคนที่ซื้อมาใช้ ดันบอกว่า กินน้ำมันมากขึ้นอีกต่างหากแหนะ!

กว่า 6 วัน กับอีก 5 คืน ที่ผมใช้เวลาอยู่กับ Vios ใหม่ รวม 2 คัน ใน 2 รุ่น 2 ระบบส่งกำลัง เพียงพอ
ที่จะทำให้ผมได้ข้อสรุป ที่ทำให้รู้แล้วว่า Vios ใหม่ ไม่ใช่รถยนต์ที่เลวร้ายไปเสียทุกเรื่องแต่อย่างใด
มันยังคงเป็นรถยนต์ที่ให้การตอบสนองในขั้นพื้นฐาน ที่ถือว่า ดีใช้ได้ ในแบบทีมันเคยเป็นมาใน
รถยนต์รุ่นก่อน มีทั้งข้อดี และข้อด้อย เป็นธรรมดาของรถยนต์ทั่วไป ทุกคันในสากลโลกนี้

Toyota พยายามจะบอกผู้บริโภคว่า พวกเขาตั้งใจทำ Vios ใหม่ มากกว่าเดิม ด้วยการสื่อสาร ผ่านทาง
รูปลักษณ์ภายนอก ที่โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น สวยงามลงตัวขึ้นกว่าเดิม วัสดุที่ดีขึ้นนิดนึง เบาะนั่งคู่หน้าดีขึ้น
แถมยังใส่ลูกเล่น ลายเย็บ Stitch แบบหลอกๆ ปั้มขึ้นรูปจากพลาสติก มาให้ พยายามแก้ไขเรื่องการ
ลดเสียงรบกวนภายนอกรถ ปรับปรุงการตอบสนองของพวงมาลัย ย้ายหน้าปัดกลับมาอยู่ที่เดิม ฯลฯ

แต่ที่สำคัญก็คือ ช่วงล่างของรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ รุ่น J E และ G ถูกปรับปรุงให้นุ่มนวล และเดินทาง
ไกลๆ ด้วยความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้สบาย กว่ารถรุ่นปี 2007 ชัดเจนขึ้นเลยทีเดียว
แม้จะยังไม่อาจเทียบได้กับรุ่นปี 2003 Britney Spear แต่ ก็ถือว่า มีพัฒนาการที่ดีขึ้นนะ เพราะซับ
แรงสะเทือนในช่วงความเร็วต่ำ ได้ดีกว่า ช่วงล่างของ Honda City รุ่นปะจจุบันที่ผมใช้อยู่ (แต่
การทรงตัวย่านความเร็วสูงเกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป City ยังดีกว่าในประเด็นนี้)
 
การเลือกใช้เครื่องยนต์เดิม โดยไม่ได้มีการปรับปรุงอะไรเพิ่มเติมนัก จริงอยู่ว่า มันคือการแสดงออก
อย่างชัดเจนว่า Toyota ต้องการลดต้นทุนการผลิต เพื่อให้ยังพอขายได้ด้วยต้นทุนที่พอๆ กับรุ่นเดิม
แต่ขายแพงกว่ารุ่นเดิม เพื่อให้ได้กำไรเพิมขึ้นจากเดิม ตามแนวทางการทำธุรกิจทั่วๆไป ก็จริงอยู่ และ
เรื่องนี้ มันก็เป็นความจริงที่ ผมเชื่อว่า ใครก็ตามใน Toyota คงเถียงไม่ออก

กระนั้น หากมองในมุมกลับกัน เครื่องยนต์กับระบบส่งกำลัง แบบเดิมๆ ที่ยกมาจาก Vios รุ่นเดิมนี่ละ
ที่จะยังคงเป็นจุดแข็งหนึ่งที่ทำให้ Vios น่าจะยังเป็นที่ยอมรับในตลาดอยู่ต่อไป มันยังคงให้พละกำลัง
แรงสมตัว แต่อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดีดังเดิม ไม่ได้แตกต่างมากมายอย่างที่หลายคน
นึกมโนภาพไป ถือว่า ประหยัดน้ำมันพอกันกับรุ่นก่อนๆ อีกทั้งการแพร่หลายของอะไหล่ และความ
ชำนาญของช่าง ในฐานะเครื่องยนต์ มาตรฐาน ภาคบังคับ ที่ช่างซ่อมรถยนต์สมัยนี้ทุกคน ต้องซ่อมเป็น
หรือติดตั้งเชื่อมกับระบบเชื้อเพลิงก๊าซ LPG หรือ CNG ต้องเป็น ทำให้ ลูกค้าจะลดความกังวลใจเวลา
ที่มันไปเสียกลางทาง…

เอ้า! ถามจริงๆเหอะ คุณเคยเห็น Vios อายุไม่เกิน 4 ปี จอดเสียข้างทาง ด้วยสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่ ยางแตก
หรือแบ็ตเตอรีหมด กันกี่ครั้งเชียว? ความทนทานของเครื่องยนต์ 1NZ-FE ถูกพิสูจน์ ผ่านลูกค้าจำนวน
มากมาย ไม่เว้นแม้แต่ ตากอล์ฟ Bizzare แห่งทีมเว็บเรา ซึ่งก็เพิ่งขาย Vios รุ่นเดิม อายุ 10 ปี ทิ้งไป
ทั้งที่เครื่องยนต์ ยังฟิตเปรี๊ยะ และทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองได้ 15.1 กิโลเมตร/ลิตร ทั้งที่อายุรถผ่านไป
10 ปีพอดี ! แถมใช้มาตรฐานการทดลอง วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน ของเว็บเราด้วย!

ภาพรวมแล้ว มันเป็นรถยนต์ ที่คนทั่วๆไป อย่างเจมส์ จิรายุ หรือใครก็ตาม ที่ไม่ได้ชอบรถยนต์นัก
จะเลือกซื้อมาใช้งานสักคัน ใช้งานจริงๆอย่างเดียว โดยไม่สนเรื่องอื่น Vios ก็ถือเป็นตัวเลือกแบบ
Default Choice ในใจของคนส่วนใหญ่ในประเทนี้ และให้การบังคับควบคุมพื้นฐานที่ ไม่ต้องเป็น
เจมส์ จิฯ หรอก…ใครๆก็ สั่งได้….

แต่ สำหรับ J!MMY แล้ว Vios ใหม่…ยังไม่ถึงกับได้ดังใจนัก และ พี่ Toyota เค้าคงไม่ยอมให้ผม
สั่งพวกเขาแน่ๆ….

เพราะถ้า Toyota ยอมให้ผมสั่งจริงๆ ละก็…..ไม่สิ ผมไม่อยากใช้คำว่าสั่ง เพราะไม่มีใครหรอก
อยากให้ใช้คำว่าสั่งกับตน…

เอาใหม่!

อยากขอให้ช่วย ดีกว่า ช่วยในการแก้ไขปรับปรุง Vios ใหม่ ทั้งรุ่น Minorchange และ โฉม
ถัดจากนี้ไป ให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้

– อยากจะให้ช่วย ปรับเซ็ตพวงมาลัย ให้มีการตอบสนองที่ดีเทียบเท่ากับ Vios รุ่นปี 2002 หรือไม่ก็
Toyota Camry รุ่นปัจจุบัน (แล้วเอาให้หนืดขึ้นเท่ากับปัจจุบัน) ไม่วอกแวกไปมา ต้องคอยเลี้ยง
แต่งพวงมาลัยซ้าย-ขวา ไปมา เพิ่มเติมตลอดเวลา นี่พวงมาลัยนะ ไม่ใช่ทารก ถึงจะต้องเลี้ยงกัน
ตลอดทางแบบนี้ ประเด็นนี้ ผมอยากให้น้ำหนักในการเร่งปรับปรุงมากสุด เพราะมันดีขึ้น แต่ยังดีไม่พอ!

– อยากให้ช่วย เพิ่มการปรับระยะห่างของพวงมาลัย แบบ ใกล้ – ไกล เข้ามาในรุ่นท็อป หรือถ้าได้
ก็ควรจะใส่มาให้ทุกรุ่นไปเลย จะได้ทัดเทียมกับชาวบ้านเขาไดสักที

– อยากให้ช่วยเปลี่ยนงานออกแบบแป้นแตรบนพวงมาลัย ที่ดูปั๊บ ก็รู้ปุ๊บ ได้ทันทีว่าลดต้นทุน ทิ้งไป

– อยากให้ช่วย ถอดเอาช็อกอัพและสปริง ของรุ่น E และ G มาใส่แทนในรุ่น S ไปเลยดีกว่า เพราะ
ช่วงล่างแบบนี้ อาจช่วยให้คนขับสนุก แต่ก็ไม่มากนัก ซ้ำร้าย ความนุ่มนวล ขณะขับผ่านเส้นทาง
ขรุขระ อันเป็นจุดเด่นของ Vios ใหม่ ก็อันตรธานหายไป ด้วยอย่างน่าเสียดาย

– ปรับปรุงการทำงานของระบบเบรกเพิ่มเติม การจับของแป้นเบรกกับจานเบรก ในสัมผัสแรก
ที่เริ่มเหยียบเบรก ควรเพิ่มมากกว่านี้อีกนิดเดียว แต่คงความไว ในขณที่ระบบตัวช่วยทั้งหลาย
กำลังทำงาน จะช่วยให้การเกบรก สมบูรณ์ขึ้นได้มากกว่านี้อีก

– อยากจะให้ช่วย ติดตั้งเข็มขัดนิรภัยแบบปรับระดับสูง – ต่ำได้ กลับคืนมา การตัดอุปกรณ์ชิ้นนี้
ออกไปจากรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทยรุ่นปี 2013 เป็นสิ่งที่ไม่บังควรอย่างยื่ง! อย่าอ้างเรื่อง
ต้นทุน เพราะนี่คือประเด็นด้านความปลอดภัยของผู้บริโภค ต่อให้จะมีระบบ Brake Overide
แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้ผู้ขับขี่ สบายและปลอดภัยไปพร้อมกันได้เท่าระบบกลไกพื้นฐานแบบนี้!

– อยากจะให้ช่วย ยืดความยาวเบาะรองนั่งด้านหน้า อีกสัก 10 – 20 มิลลิเมตรก็พอ เพื่อให้การ
รองรับต้นขา ทำได้ดี อย่างน้อย ก็ใกล้เคียงกับ Corolla Altis ใหม่ มากขึ้นกว่าเดิมสักนิด
อยากจะให้ช่วย

– อยากให้ช่วย ปรับแก้ไข พื้นที่เหนือศีรษะ สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง จากเดิมที่ผมยังพอมี
พื้นที่ด้านบนอยู่ เดี๋ยวนี้ ถ้านั่งหลังชิด ผมจะไม่มีพื้นที่นั้นเหลืออยู่เลย และนั่นเป็นเรื่องที่
แย่ลงของ Vios รุ่นนี้

– อยากให้ช่วยปรับปรุง พื้นที่วางของ บริเวณใต้แผงควบคุมเครื่องปรับอากาศ เอาช่องว่างที่
มีพื้นที่มากพอ กลับคืนมาเถอะ! เพราะรุ่นล่าสุด วางอะไรแทบไม่ได้เลย ไม่รู้จะมีไปทำไม?

– แล้วไหนๆก็ไหนๆ ช่วย ปรับปรุง ตำแหน่งการวางแขน บนฝากล่องคอนโซล สำหรับรุ่น
เกียร์อัตโนมัติ ด้วยเถอะ ให้มันยกสูงกว่านี้ ใช้งานได้จริงมากกว่านี้

– ที่สำคัญ รุ่นปรับโฉม Minorchange ครั้งต่อไป ขอ เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ไม่เอา CVT
อย่างเด็ดขาด! เพราะคนไทย ไม่ชอบนิสัยของ CVT เว้นเสียแต่ว่า คุณจะออกแบบให้
มีโปรแกรมสำหรับลากรอบเพิ่มขึ้นได้ อย่างที่ ทำมาแล้ว ใน Altis CVT รุ่นปัจจุบัน

แต่เชื่อเถอะ Toyota เขาคงจะไม่ยอมเปลี่ยนให้ ตามความต้องการของผมหรอก

ดังนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะยอมรับ Vios ใหม่ ในแบบที่มันเป็นอยู่นี้ได้หรือเปล่า?

ถ้าคุณคิดว่ารับไม่ได้ เรามาดูกันหน่อยดีกว่า ว่ามีตัวเลือกอะไรอยู่บ้างในกลุ่มตลาดรถยนต์นั่ง
ขนาดเล็ก B-Segment Sedan ณ เวลานี้ ไล่กันตั้งแต่พิกัด 1.2 ลิตร ECO Car จนถึง
ขนาด 1.6 ลิตร เรียงตามตัวอักษรชื่อยี่ห้อ

Chevrolet Sonic
รุ่น 1.4 ลิตร อืดมากกกกกก แถมยังกินน้ำมันกว่าเพื่อนอีกด้วย แต่ในทางกลับกัน ก็ถือเป็น
Sub-Compact B-Segment ที่มีช่วงล่างและการบังคับเลี้ยวดีที่สุดในเมืองไทย รุ่น 1.6 ลิตร
เครื่องยนต์ กระชับกระเฉงขึ้นสักหน่อย แต่เกียร์อัตโนมัติ ก็ยังทำตัวน่าเบื่อ พอๆกับบรรดา
ศูนย์บริการของพวกเขา แต่เอาน่า อาการยังไม่หนัก เท่าข้างล่างนี้แล้วกัน…

Ford Fiesta Sedan
Sub-Compact ที่ดูเหมือนจะเทพ แต่มีภายในห้องโดยสาร ที่อึดอัดสุดในกลุ่ม แผงควบคุม
ใช้งานยาก แต่มีฟังก์ชันล้ำสมัยกว่าชาวบ้านเขาอย่าง Voice Command ในรุ่น 1.6 ลิตร ส่วน
สมรรถนะ ไม่ได้เด่นมาก ช่วงล่าง อยู่ในกลุ่มดีอันดับต้นๆของตลาด แต่บริการหลังการขาย
ภาพรวม ห่วยแตกสุดในตลาด! ถ้าไม่รีบเกินไป หรือทนการยั่วใจของแคมเปญได้ รุ่นใหม่
Minorchange พร้อมขุมพลังแสบ 1.0 EcoBoost จะพร้อมเปิดตัว เดือนพฤศจิกายนนี้ สาวก
ทั้งหลาย เตรียมใจเก็บตังค์รอได้!

Honda City
ถึงแม้ใกล้ตกรุ่น แต่ City ยังมีห้องโดยสาร ที่กว้างใหญ่ นั่งสบาย ทั้งเบาะหน้าหรือหลัง พร้อม
เครื่องเสียงที่ยังคงให้คุณภาพเสียง เทพสุดในกลุ่มรถยนต์ พิกัด B-Segment อยู่ดี สมรรถนะ
ยังคงไม่ด้อยไปกว่าเดิม อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เร็วกว่า Vios ใหม่ แต่ ช่วงเร่งแซง
80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยังด้อยกว่า Vios ใหม่ ตามตัวเลขในตารางข้างบน อีกทั้งช่วงล่างใน
ความเร็วต่ำ ซับแรงสะเทือนด้อยกว่า Vios ใหม่ รุ่น E และ G แต่ถ้าการทรงตัวในย่านความเร็ว
สูงละก็ City ยังนิ่งและมั่นใจมากกว่า Vios ใหม่อยู่ดี (ถ้าไม่เจอกระแสลมปะทะด้านข้างทั้งคู่)

แต่ไหนๆก็ไหนๆ ในเมื่อรุ่นใหม่ จะเปิดตัวในบ้านเรา แห่งแรกในโลก เดือนพฤศจิกายนนี้
หรือช่วง Motor Expo รอได้ ควรรอดู แต่อย่าคาดหวังว่าจะเป็นการฉีกแนวไปจากเดิม ดูง่ายๆ
ที่่ผ่านมา Civic FD –> Civic FB และ Accord G8 –> Accord ใหม่ G9 เป็นอย่างไร City
ก็จะเจริญรอบตามพี่ๆ เขาแบบนั้น!

Mazda 2 Sedan
กลายเป็นรถที่อยู่กึ่งกลางของตลาด เส้นสายอาจจะสวยแบบแปลกๆ ตำแหน่งนั่ง พอได้ แต่
ห้องโดยสารด้านหลัง อัตคัตคับแคบ พอกันกับ Ford Fiesta Sedan นั่นละ คนตัวเล็กไม่มี
ปัญหา ที่ผ่านมา อาจมีเรื่องแร็คพวงมาลัย และกลิ่น Ctalytic Converter ตอนเหยียบจมมิด
รบกวนใจลูกค้าไปบ้าง อัตราเร่ง อาจจะห่วยแตกไปบ้าง ช่วงล่าง เกือบเทพ พวงมาลัยเกือบ
เจ๋ง แต่เพื่อความ Zoom Zoom หลายคน รับได้ รุ่นใหม่ Sktactiv กว่าจะมา รอ 2015 แหนะ!

Mitsubishi Attrage
น้องใหม่ ที่ใช้พื้นตัวถัง เครื่องยนต์ กลไก และโครงสร้างวิศวกรรมร่วมกับ Mirage คุณจะได้
ความประหยัดน้ำมัน ระดับ Mirage ซึ่งถือว่า เทพสุดในกลุ่ม Eco Car 1.2 ลิตร บ้านเรา แน่ๆ
แถม Option ติดรถ ถือว่า คุ้มสุดๆ แต่อย่าคาดหวังกับช่วงล่างอันนุ่มนิ่มเกินไป และพวงมาลัย
ที่ไม่เป็นธรรมชาติ เหมือน Vios เพราะการทรงตัวหลังจาก 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป ถือว่า
ไม่ดีเท่าที่ควร ศูนย์บริการ มีเยอะ แต่หาศูนย์ฯ ดีๆ ได้ ในต่างจังหวัดเป็นส่วนใหญ่

Nissan Almera
ยอดนิยมในกลุ่มลูกค้าซื้อรถคันแรก เด่นที่ภายในห้องโดยสาร ยาวสะใจ นั่งสบาย ใช้งาน
ทั่วไปโอเคอยู่ ประหยัดน้ำมันใช้ได้ แต่อย่าคาดหวัง ทั้งสมรรถนะ การทรงตัว หรืออะไรทั้งสิ้น
จากรถคันนี้ มันไม่ได้ดีเท่าที่ควร ขอให้นึกถึงว่า มันเป็น Sunny FF B11 แห่งยุค 2013 แล้วคุณ
จะยิ้มแก้มปริ!

แต่ถ้าคุณรับได้  Vios รุ่นไหน จึงจะเหมาะสม และคุ้มค่ากับคุณมากที่สุด?

เมื่อดูจากราคาจำหน่าย ที่ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆนับจากวันเปิดตัว มีดังนี้

1.5 J   5MT     เกียร์ธรรมดา       559,000 บาท
1.5 J   4AT     เกียร์อัตโนมัติ      589,000 บาท
1.5 E  5MT     เกียร์ธรรมดา       614,000 บาท
1.5 E  4AT     เกียร์อัตโนมัติ      649,000 บาท
1.5 G  4AT     เกียร์อัตโนมัติ      699,000 บาท
1.5 S  4AT     เกียร์อัตโนมัติ      734,000 บาท

* (ราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และเครื่องปรับอากาศ)

รุ่น J อันเป็นรุ่นพื้นฐาน ถือว่าให้อุปกรณ์มา พอประมาณ การติดตั้งถุงลมนิรภัย คู่หน้า ให้ทุกรุ่น
เรียกใจลูกค้าไปได้พอสมควร อย่างไรก็ตาม การไม่ติดตั้ง ระบบ ABS + EBD มาให้ นั่นก็ทำให้
ความคุ้มค่าของรุ่น J ลดน้อยลงไปพอสมควร เสียบเปรียบ Honda City รุ่นถูกสุด เขาอยู่เล็กน้อย

ส่วนรุ่น S อันเป็นรุ่นแพงสุด ก็มีค่าตัวกระโดดแพงเกินไป เพิ่มเงินอีกนิด คุณสามารถข้ามไปซื้อ
Nissan Sylphy 1.6 ลิตร Ford Focus 1.6 ลิตร หรือ Chevrolet Cruze 1.6 ลิตร
ได้แล้วด้วยซ้ำ

และต่อให้มองแค่รุ่น G อันเป็นรุ่นที่เพิ่มความหรูขึ้นมาจากรุ่น E อีกระดับ ทั้งกระจกมองข้าง
พับและปรับด้วยไฟฟ้า กระจกแต่งหน้าในแผงบังแดด มีครบทั้ง 2 ฝั่ง สตกแต่งภายในด้วยสี
เงิน Metallic เพิ่มกระจกหน้า Acoustic Glass ไฟหน้า Projector เพิ่มกระจกมองข้างแบบมี
ไฟเลี้ยวมาให้ พวงมาลัยหุ้มหนัง พร้อมสวิชต์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย แต่ค่าตัวก็
ปาเข้าไป 699,000 บาท หรือ 700,000 บาท ทอน 1,000 บาท

ดังนั้น รุ่น E เกียร์ ธรรมดา และอัตโนมัติ จึงเป็นรุ่นที่ผมมองว่า คุ้มค่าสุด อุปกรณ์ข้างต้น
บางรายการ มันไม่จำเป็นเลย ที่จะต้องมี เช่นสวิชต์ปรับเครื่องเสียงบนพวงมาลัย เพราะ
ในเมื่อ วิทยุ อยู่ใกล้มือผู้ขับขี่ขนาดนั้น ปรับที่แผงควบคุมโดยตรงเลยไม่ดีกว่าเหรอ?
กระจก Acoustic จะมีหรือไม่มี เสียงรบกวนก็ต่างกันไม่มากพอจะให้ผมยอมเสียตังค์
เพิ่มแน่ๆ ดังนั้น รุ่น E จึงเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป ให้ความสบายเพียงพอแล้ว

และนี่ก็คงจะเป็นสิ่งที่ตอกย้ำความคิดของผู้คนทั่วไปในสังคมอีกประเด็น ที่ว่า Vios เป็น
รถยนต์ หนึ่งในไม่กี่รุ่น ที่คุณไม่จำเป็นต้องซื้อรุ่นท็อปก็ได้

มาถึงวันนี้ เราต้องยอมรับว่า Vios และ เจมส์ จิรายุ มีบางสิ่ง ที่เหมือนกัน…

กว่าที่ เจมส์ จะก้าวขึ้นมาสู่ความนิยมอันดับ 1 ในวงการบันเทิงตอนนี้ เขาก็ต้องฝ่าฟัน
มาเยอะ ทั้งความเหน็ดเหนื่อย อุปสรรค ปัญหามากมาย ยากเกินกว่าที่แฟนคลับทั้งหลาย
จะจินตนาการได้หมด

Vios ก็เช่นกัน กว่าที่จะก้าวขึ้นมาสู่อันดับ 1 ได้นั้น ถ้าย้อนไปอ่านตั้งแต่ช่วง History
(ซึ่งก็ได้ย่อให้สั้น ตามใจคุณู้อ่านกันแล้ว) จะพบว่า มันก็มีช่วงที่ Toyota ก้าวพลาด และ
ปรับตัวตามสถานการณ์ของตลาดไม่ทัน กระนั้น ในที่สุด Vios ก็ก้าวขึ้นเป็นรถยนต์นั่ง
ที่มียอดขายสะสมสูงที่สุด ในกลุ่ม B-Segment Sub-Compact ของบ้านเรา จนได้

อย่างไรก็ตาม ภาษิตโบราณได้กล่าวไว้ ว่า “การเป็นที่ 1 นั่นยากแล้ว แต่การรักษาความเป็น
ที่ 1 นั้น ยากยิ่งกว่า”

ปัญหาของ เจมส์ จิรายุ และปัญหาของ Vios มันมีความคล้ายกันอยู่ประเด็นหนึ่งคือ
การตั้งความคาดหวัง ที่มากเกินไป

เพียงแต่ว่า สำหรับเจมส์ นั้น คนที่ตั้งความคาดหวังมากเกินไป มีตั้งแต่ บรรดาแฟนคลับ
บางกลุ่ม (คือไม่ใช่ทุกกลุ่มนะครับ แต่แค่บางกลุ่มบางคน) ดารานักแสดงในวงการ บางคน
ผู้ใหญ่ในวงการบางคน รวมทั้งสังคมไทยบางกลุ่ม อีกด้วย

ทว่า สำหรับ Vios นั้น เราต้องยอมรับความจริงว่า ไม่ใช่แค่เพียงลูกค้า หากแต่เป็น
คนใน Toyota เอง ที่ตั้งความคาดหวังกับมัน “มากเกินไป” หลายคนเชื่อมั่นว่ามันจะ
ขายดีระเบิดระเบ้อ ถล่มทะลาย มันต้องได้รับความนิยมสูง แต่พอคลอดออกมาจริง
สถานการณ์กลับตรงกันข้ามเสียอย่างนั้น!

ผมยืนยันให้ตรงนี้เลยว่า Vios ใหม่ ไม่ใช่รถที่เลวร้าย จะว่าไปแล้ว มันก็ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม
จริง ในบางจุด แต่ว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มันเป็นเพียงแค่เปลือกนอก เนื้อแท้ข้างใน
ของรถ มันยังคงตอบสนองออกมา ได้ไม่ต่างจากเดิมมากเท่าที่ลูกค้าคาดหวัง นั่นเอง

คือต่างนะ ดีขึ้นนะ แต่ไม่มากอย่างที่ควรเป็น

ผมเชื่อว่า ระดับ Toyota แล้ว ถ้าจะทำรถยนต์ขนาดเล็ก ราคากำลังเหมาะ สักคัน ให้ผู้บริโภค
ตื่นตาตื่นใจ ไม่เพียงแค่ช่วงเปิดตัว แต่รู้สึกได้ยาวต่อเนื่อง จนถึงวันที่พวกเขาจะต้องขายมัน
เป็นรถมือสองไป เพื่อเปลี่ยนเป็น Toyota คันใหม่ ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า พวกเขาทำได้
และเคยทำได้มาแล้ว หลายต่อหลายรุ่น

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ Toyota เพิ่งจะมารู้ตัวว่า เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองในเวลานี้
ในวันที่รถยนต์รุ่นใหม่ เพิ่งออกสู่ตลาด แบรนด์ Toyota กลายเป็นภาพของคนไทยทั่วไป
ที่ตัดสินใจซื้อเพราะความอุ่นใจ ในบริการหลังการขาย ซื้อเพราะคาดหวังราคาขายต่อ
แต่ไม่ได้ซื้อเพราะคุณงามความดีของตัวรถเองอย่างแท้จริง

City ใหม่ รวมทั้ง Fiesta 1.0 ลิตร EcoBoost ที่จะคลอดในเดือนพฤศจิกายนนี้ ย่อมจะ
เชือดเฉือนยอดขายของ Vios ใหม่ ไปพอสมควร โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าวัยเริ่มทำงาน
ยุคใหม่ ที่เริ่มเข้า Internet เยอะขึ้น มีข้อมูลข่าวสารมากขึ้น จนเริ่มติดยึดกับแบรนด์
Toyota ลดน้อยลง กว่าเก่า

อย่าไปโทษแค่เพียงปัญหาการชะลอตัวทั้งตลาด อันเป็นผลพวงนโยบาย “รถคันแรก”
นั่นเลย เพราะมันเป็นเพียงแค่ปัจจัยชั่วคราว ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2013 และจะส่งผล
ต่อเนื่องไปอีกราวๆ 1 ปี จนถึง กลางปี 2014 เป็นอย่างเร็วที่สุด

แต่ในระยะยาวกว่านั้นละ?  ใคร บนชั้น 41-43 ตึก All Season และสำโรง มีคำตอบบ้าง?

เอาอย่างนี้ดีกว่า

สิ่งที่ Toyota ควรทำเวลานี้ ซึ่งกว่าจะเห็นผล ก็อีกสัก 1 ปีข้างหน้า ก็คือ ฟังลูกค้ามากขึ้น
ฟังฝ่ายบัญชี และฝ่ายควบคุมบริหารจัดการต้นทุนให้น้อยลงอีกนิด เปลี่ยนวิธีคิดด้านการตลาด
กันเสียใหม่ ควบคู่ไปกับการเร่งปรับปรุงตัวรถ ให้สู้กับคู่แข่งที่จะตามมาให้ได้ดีกว่านี้ ในจุดที่
ผมบอกไป เพื่อเอาใจผ้บริโภค

ถ้าลูกค้า เริ่มเห็นออพชันที่ติดตั้งมาให้ในตัวรถ เพิ่มขึ้น มีการปรับปรุงตัวรถดีขึ้นอีก
Vios ก็จะยังคงรักษายอดขาย อันดับ 1 ได้ต่อไป โดยที่ไม่มีใครมาโค่นได้ง่ายๆ

มันก็เหมือนกับที่ หลายๆคนยังหวังจะเห็นพัฒนาการ ของ เจมส์ จิรายุ ในวงการบันเทิง
นับจากนี้ต่อๆไป

เพราะการไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาตนเอง เอาชนะทุกอุปสรรค และปัญหานานับประการ
โดยไม่ย่อท้อ ไม่หวั่น แต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการ ยอมรับตนเอง ทั้งสิ่งที่ตนเป็น ตนมี
ซื่อสัตย์ จริงใจ และตรงไปตรงมากับทุกคน อย่างเสมอเหมือนเท่าเทียมกัน มีน้ำใจไมตรี
และมีความอ่อนน้อมถ่อมตน คือหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้ ผู้นำอันดับ 1 จะยังคง
รักษาสถานภาพ อันดับ 1 ของตน เอาไว้ได้ต่อไปอีกนานแสนนาน

ไม่ใช่แค่ เจมส์ จิรายุหรอก…

แต่..Toyota ก็เช่นกัน!

——————————///——————————

ขอขอบคุณ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และ ฝ่ายบริการเทคนิค
บริษัท Toyota Motor (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ และอำนวยความสะดวกด้านต่างๆเป็นอย่างดียิ่ง

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน (ภาพกราฟฟิค เป็นของ Toyota Motor Corporation)
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
19 กันยายน 2013

Copyright (c) 2013 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
September 19th,2013

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!