“โหดสัส” เป็นคำสแลงวัยรุ่น ในภาษาไทย ที่เพิ่งจะมีมาได้ ไม่กี่ปีมานี้เอง มันแผลงมาจาก
คำว่า “โหดสัตว์” ซึ่งแม้จะเป็นคำที่แยกกันแล้ว ก็เป็นคำธรรมดาๆ แต่เมื่อจับมารวมกัน มันก็
จะเป็นคำด่า ด้วยวาจาที่หยาบคาย แต่การแปลง คำว่า “สัตว์” เป็น “สัส” เพื่อแสดงอารมณ์ให้
ผู้รับสื่อเห็นว่า นี่ไม่ใช่การด่าอย่างหยาบคาย แต่ อารมณ์ที่เกิดขึ้นถึงขั้นต้องใช้วิธีแปลงคำใน
พยางค์ ลักษณะนี้ ก็พุ่งสู่ระดับที่ เกินไปจากธรรมดาไปมากโขอยู่ ออกจะชื่นชมเสียด้วยซ้ำ

ตัวอย่างการใช้คำ ในลักษณะนี้ ได้แก่ “ป๋อง รอยสักของนาย โหดสัส เลย!” (แสดงว่ารอยสัก
ของ ป๋อง จะต้อง มีลวดลายที่ ดุดัน หรือ เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย อาจใช้เวลาเขียนสัก
นานกว่าทั่วไปอยู่มาก หรือรอยสักนั้นต้องสวย หรือมีคุณค่าอื่นใด จนผู้คนทั่วไป เห็นแล้ว
อึ้ง ทึ่ง เสียว ไปตามๆ กัน เป็นต้น)

บางครั้ง คำว่า “โหดสัส” ยังถูกใช้เป็น คำในเชิง อุทานเสริมบท เพื่อสื่ออารมณ์ได้อีกด้วย
ตัวอย่างเช่น “ลองดูคลิปนี้สิ เพื่อน หมอนี่ขี่จักรยานพาดโผนตีลังกา 25 ตลบ! คนทั่วไป
ทำไม่ได้เลยนะเนี่ย โหดสัส!”

คำว่า โหดสัส นั้น ผมไม่เคยคิดจะหยิบมาใช้กับรถยนต์ Hybrid มาก่อน….จนกระทั่ง…วันนี้…

ถ้าให้คุณนึกถึงรถยนต์ Hybrid สักคัน ผมมั่นใจได้เลยว่า ภาพแรกที่จะลอยเข้ามาในหัวของคุณ
ย่อมต้องเป็น Toyota Prius หรือ Toyota Camry Hybrid แหงๆ อาจมีบางคน ที่นึกถึง Honda
Jazz Hybrid หรือ Civic Hybrid บ้าง แต่คงจะน้อยมากๆ

นั่นเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะ Toyota เขาเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกในโลกที่พัฒนารถยนต์
ขุมพลังเบนซิน + มอเตอร์ไฟฟ้า เรียกว่าระบบ Hybrid ออกขายก่อนใคร ในเดือนธันวาคม 1997
แม้ว่าภายหลัง ผู้ที่นำเทคโนโลยีนี้ มาเปิดตลาดเมืองไทยรายแรก จะเป็น Honda Insight
และ Honda Civic Hybrid รุ่นปี 2002 ก็ตาม

ที่แน่ๆ เชื่อได้ว่า คนไทยจำนวนมาก คงไม่เคยรู้มาก่อนว่าผู้ผลิตรถยนต์ฝั่งยุโรป เขาก็ผลิตรถยนต์
Hybrid ออกขาย

ยิ่งถ้าเป็นผู้ผลิตรถยนต์ ที่เน้นความสุนทรีย์แห่งการขับขี่อันสูงส่ง อย่าง BMW แห่งเมือง Munich
เยอรมันี ด้วยแล้ว ทุกคนก็คงแทบไม่เชื่อหู เมื่อได้ยิน และคงไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อได้เห็น แน่ๆ
ว่ารถคันสีน้ำเงิน Dettol….เอ้ย…Estoril Blue สวยแฉ่งขนาดนี้

เป็นรถยนต์ ขุมพลัง Hybrid จากค่ายใบพัดสีน้ำเงิน ที่ทำตัวเลขอัตราเร่ง ได้แรงสะใจ
แรงจนทะลุขีดจำกัดทางความคิด แรงชนิด …. น้องๆ BMW M3 !

บอกตรงๆ ผมไม่นึกมาก่อนว่า BMW Thailand จะกล้าสั่งรถรุ่นนี้เข้ามาขายในสยามเมืองยิ้ม
กันง่ายๆอย่างนี้ แถมยังมาพร้อมกับพี่น้องเพื่อนฝูง ทั้ง ActiveHybrid 5 และ ActiveHybrid 7
เลยนั่นแหละ แท็คทีมมากันหมด!

ที่สำคัญ ผมก็ไม่นึกด้วยว่า BMW จะปล่อยรถรุ่นนี้ มาให้สื่อมวลชนบ้านเรา ได้ลองขับกัน
อย่างง่ายดาย คุณอาจจะเห็นไปแล้วในหลายสื่อ หลายฉบับ หลายเว็บ ก่อนหน้านี้ แต่สำหรับ
Headlightmag.com แล้ว เราเพิ่งมีเวลาว่างในช่วงสั้นๆ ในการนำรถคันนี้ มาใช้ชีวิตด้วยกัน
ราวๆ 5 วัน 5 คืน เต็มๆ เพราะ ทั้งผม และตาแพน Commander CHENG อยากรู้มานานแล้ว
ว่าสมรรถนะของ รถคันนี้ จะสมกับที่สื่อมวลชนสายรถยนต์ในต่างประเทศ เขาเขียนถึง
กันไว้หรือเปล่า

ดังนั้น แม้จะลองขับ 3-Series F30 ใหม่ มาจนครบ Line-up หมดแล้ว แต่ ActiveHybrid 3 นี้
จะถือเป็นรีวิวของ รุ่นแรงสุด แพงสุด และเป็นรุ่นปิดท้าย มหากาพย์ รีวิว 3-Series F30 สำหรับ
ช่วงปี 2012 – 2013 กันเสียที ได้แต่ภาวนาว่า อย่าเพิ่งออกเครื่องยนต์ใหม่อะไรมาอีกนะ!

ถึงหลายคนบอกว่า มันเกินเอื้อม แต่ผมก็ยังอยากให้อ่านรีวิวนี้ เพื่อให้รู้ว่า ถ้าคุณจ่ายเงินเพิ่ม
อีก 1.1 ล้านบาท จากรุ่น 328i ซึ่งถือเป็นรุ่นแพงสุดของ F30 ประกอบในประเทศ คุณจะได้
ความแรงในระดับไหนคืนกลับมา นอกเหนือจาก ความประหยัดน้ำมัน ที่จะไล่เลี่ยกันกับ
พี่น้องร่วมตระกูลคันอื่นๆ!

ครับ..อ่านไม่ผิดหรอก
“แรงกว่ากันเยอะมาก แต่ ประหยัดพอกันกับ รุ่นเครื่องยนต์ 4 สูบ ที่เล็กกว่า”

ชักสนใจแล้วใช่ไหม? อย่ารอช้า…อ่านต่อเลย!

BMW ActiveHybrid 3 ถือเป็น รถยนต์ ขุมพลัง Hybrid รุ่นที่ 2 จาก BMW AG. ที่ใช้
เทคโนโลยี ระบบขับเคลื่อน Hybrid แบบที่ BMW เรียกในไทยว่า Full Hybrid เหมือน
กับเทคโนโลยีของ Toyota

มันถูกดัดแปลงขึ้นจาก BMW 335i รุ่นมาตรฐาน ด้วยแนวคิด ที่ว่าเป็น รถยนต์ Hybrid
ซึ่งเน้นให้มีสมรรถนะแรงเกินกว่าปกติ แถมจะต้องมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยม อีกทั้ง
ต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

พูดง่ายๆก็คือ เป็นรถยนต์ Hybrid ที่เน้นความแรง มากกว่าเน้นความประหยัดน้ำมัน กระนั้น
ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ก็ต้องอยู่ในระดับเจ๋งพอให้ลูกค้าไม่รู้สึกกระดากใจเมื่อสั่งซื้อ

Active Hybrid 3 ถูกเผยโฉมครั้งแรกในโลก ณ งาน  North American International
Auto Show หรือ Detroit Auto Show เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2012 และรายละเอียดอย่าง
เป็นทางการ ก็ถูกปล่อยออกมา พร้อมกับวันเริ่มวางจำหน่ายในยุโรป เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2012

สำหรับตลาดเมืองไทย BMW Thailand สั่งนำเข้า ActiveHybrid 3 แบบสำเร็จรูปทั้งคัน
จากโรงงาน ในเมือง Munich สหพันธรัฐ เยอรมันี มาเปิดตัวสู่ตลาดเมืองไทย ครั้งแรกในงาน
Bangkok International Motor Show เมื่อ 25 มีนาคม 2013 ที่ผ่านมา สดๆร้อนๆ
โดยก่อนหน้านี้ มีการเปิดตัวรอบสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2013

มิติตัวถังยังคงไม่แตกต่างไปจาก 3-Series Saloon เท่าใดนัก ตัวรถมีความยาวทั้งคัน
4,624 มิลลิเมตร กว้าง 1,811 มิลลิเมตร (ถ้ารวมกระจกมองข้างเข้าไปด้วย จะกว้าง
2,031 มิลลิเมตร) สูง 1,429 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,810 มิลลิเมตร ความกว้างช่วง
ล้อคู่หน้า (Front Track) 1,543 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หลัง (Rear Track)
1,583 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถเปล่า 1,730 กิโลกรัม น้ำหนักบรรทุกสูงสุด 530
กิโลกรัม เมื่อรวมผู้โดยสาร 5 คน รวมของเหลว และสัมภาระแล้ว จะมีน้ำหนัก
รวมสงสุด 2,185 กิโลกรัม

ความแตกต่างจาก 3-Series รุ่นอื่นๆ ที่มองเห็นได้จากภายนอก คือ สีตัวถังพิเศษ ในเยอรมันี คุณ
สามารถเลือกได้มากถึง 17 สี รวมทั้งสีของ BMW Individual แต่ สีโปรโมท ของรถรุ่นนี้คือสีฟ้า
อ่อน Liquid Blue และสีน้ำเงิน Estoril Blue ที่เห็นอยู่นี้

ชุดโคมไฟหน้า ทั้งไฟสูง และต่ำ เป็นแบบ Xenon แท้ พร้อมระบบปรับความสูง-ต่ำ โดยอัตโนมัติ
มีไฟตัดหมอก หน้า และหลัง มาให้ครบ เปลือกกันชนหน้า และหลังออกแบบพิเศษ M Sport Package

แต่อีกจุดที่จะสังเกตได้ นั่นคือ โลโก้ ActiveHybrid 3 ที่แปะอยู่บริเวณ เสาหลังคา คู่หลัง C-Pillar ทั้ง
ฝั่งซ้าย และขวา รวมทั้ง ฝากระโปรงหลัง รวม 3 ตำแหน่ง จุดนี้ Commander CHENG หรือตาแพน
ของเรา บอกว่า ถ้าเขาซื้อรถคันนี้มาจริงๆ โลโก้ ทั้ง 3 ตำแหน่งนี้ จะถูกถอดออก แล้วแปะตรา 320i
เข้าไปแทน เพื่อหลอกพวกรถประเภทใดก็ตาม ที่ชอบขับจี้ตูด…!

อันนี้ สนับสนุนฮะ! คนชอบขับรถทุเรศๆ แบบนั้น จะได้เหวอกันไปว่า 320i บ้าอะไรวะ กดปุ๊บ
ทิ้งปรู๊ดดด หายจู๊ดดด ตามไม่ทันเลย!

ส่วนล้ออัลลอยนั้น ถ้าเป็นรุ่น Hybrid มาตรฐาน จะมาพร้อมกับ ล้อขนาด 7.5J x 17 นิ้ว สวมยาง
ขนาด 225/50 R17 94W แบบ Run Flat Tyres หรือจะเลือกเป็นล้อ Stream Line 419 ขนาด 18 นิ้ว
อันเป็นล้อลายที่ใช้โปรโมท ก้ได้

ในรุ่น M-Sport จะมาพร้อมกับล้อลาย Star Spoke 400 M แบบ 5 ก้านคู่ขนาด 18 นิ้ว  แต่ถ้าใครสั่ง
ซื้อรุ่น M Sport พร้อมช่วงล่างปรับความสูงต่ำได้ 10 มิลลิเมตร จะได้ล้ออัลลอย 19 นิ้ว ลาย Star
Spoke 403 M ลาย 7 ก้านคู่ ไปแทน

ระบบกลอนประตูไฟฟ้า ควบคุมด้วย รีโมทกุญแจ Immobilizer แค่เพียงพกรีโมทไว้กับตัว เดินเข้าไป
ใกล้ตัวรถ ก็สามารถดึงเปิดประตูออกได้แล้ว ถ้าจะสั่งล็อกประตู ก็แค่ปิดประตู แล้วเอานิ้ว แตะบนแถบ
ด้านบนของมือจับประตู มีดอกกุญแจสำรองซ่อนอยู่มาให้ นอกจากนี้ ในยามค่ำคืน เมื่อเปิดประตูรถ
ทั้ง 4 บาน กางออก คุณจะเห็น ไฟส่องสว่าง ใต้แผงประตูด้านข้าง ของประตูทุกบาน เพื่อช่วยให้เห็น
พื้นด้านข้าง ขณะกำลังจะก้าวขึ้น – ลงจากรถ เป็นอุปกรณ์  และสวิชต์เปิดฝาท้าย

แต่สิ่งที่จะแตกต่างไปจาก 3-Series F30 รุ่นอื่นๆ ก็คือ สวิชต์สั่งงานเครื่องปรับอากาศบนรีโมทกุญแจ
เพื่อให้แอร์เริ่มทำงานก่อนติดเครื่องยนต์ ทันทีที่กดปุ่มบนรีโมท ถ้าไฟในระบบแบ็ตเตอรี เหลือเยอะ
มากพอ เครื่องปรับอากาศพร้อมกับคอมเพรสเซอร์ไฟฟ้าจะทำงานควบคู่กันให้ทันที เพื่อปรับอุณหภูมิ
ในห้องโดยสารให้ตรงตามที่ผู้ขับขี่ตั้งค่าไว้ ช่วยปรับลดอุณหภูมิได้ หากต้องจอดรถไว้ กลางแจ้ง

การ เข้า – ออก จาก เบาะนั่งคู่หน้า ยังคงต้องใช้ความระมัดระวัง การปับตำแหน่งเบาะนั่งลงไปต่ำสุด
คือวิธีการที่ดี เพื่อหลีกเลี่ยงกรณีหัวของคุณจะไปชนกับขอบหลังคาด้านบน แต่นั่นก็อาจทำให้การ
ลงไปนั่ง ในรถที่มีตำแหน่งเบาะต่ำ แบบรถสปอร์ต ลำบากขึ้นนิดนึง สำหรับผู้สูงอายุ ยิ่งถ้าจะต้อง
ให้ลุกขึ้นยืนด้วยแล้ว อย่าว่าแต่คนแก่เลย ขนาดผมเอง ยังต้องใช้แรงพยุงตัวมากขึ้นกว่ารถปกติ
ทั่วไปอยู่พอสมควรเหมือนกัน

และถ้าจะเหวี่ยงขาทั้ง 2 ข้าง ออกมายังพื้นรถก่อน น่องของคุณ ก็จะต้องเช็ดถูธรณีประตูด้านล่าง
จนสะอาด แต่กางเกง หรือกระโปรงของคุณ ก็จะส่งปรกแทน…เฮ้อ…

แผงประตู ยังคงตกแต่ง เหมือนกับ 320d และ 328i หรือ รุ่นที่มีการตกแต่งแบบ Sport ใช้หนัง
สีดำ หุ้ม และมีตะเข็บฝีเย็บ รวมทั้งมือจับประตู สีเงิน พร้อมช่องวางของ และช่องวางขวดน้ำ แบบ
เอียงๆ มาให้ ซึ่งก็วางได้ไม่ค่อยดีนัก ถ้าจะวางแก้วอย่างจริงจัง ไปวางไว้ที่คอนโซลกลางดีกว่า

ภายในตกแต่งด้วยสีดำ เบาะนั่งคู่หน้า เป็นเบาะแบบ Sport หุ้มด้วยหนังแบบ Dakota  มีปีกข้าง
ที่สามารถปรับขยายถ่วง หรือบีบกระชับช่วงกลางลำตัวได้ ทั้งฝั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เหมือนใน
320d Touring พนักพิงหลัง ถือว่า เหมาะแก่การขับขี่ทางไกล ไม่ต่างจากเดิม คือไม่ได้นุ่มสบาย
แต่ไม่ได้แข็งกระด้าง รองรับสรีระใช้ได้อยู่

พนักศีรษะขนาดใหญ่โตมาก ปรับระดับสูง – ต่ำ ได้ และปรับมุมองศา การดันหัวคุณได้ ด้วยการ
กดปุ่มด้านข้าง ล็อคได้ 4 ตำแหน่ง ขอแนะนำว่า ดันไว้ตำแหน่ง ตั้งตรงที่สุด จะนั่งสบายหัวมาก
ส่วนเบาะรองนั่ง มีส่วนรองต้นขา ปรับความยาวได้ด้วยคันโยก เพิ่มมาให้ครบ ทั้งเบาะคนขับ
และฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย

เข็มขัดนิรภัย เป็นแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติ และลดแรงปะทะ Pre-tensioner
& Load Limiter แต่ยังคงปรับระดับสูง – ต่ำไม่ได้ ตามเคย ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะ ยังหายห่วง แม้
คุณจะตัวสูงขนาดไหนก็ตาม การปรับเบาะจะช่วยให้คุณหาตำแหน่งนั่งที่ลงตัวได้มากขึ้น

บานประตูคู่หลัง ไม่มีอะไรแตกต่างไปจาก 328i และ 320d กระจกหน้าต่าง บานประตูคู่หลัง
เลื่อนลงได้จนสุดบาน มือจับมีแถบสีเงินประดับ เพื่อความสวยงาม พื้นที่วางแขนบนแผง
ประตูคู่หลัง ก็ยังวางอู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและเหมาะสมเช่นเดียวกับ 3-Series F30 / F31
คันอื่นๆ แต่ช่องวางของด้านข้าง พื้นที่ไม่มากนัก ใส่ขวดน้ำ 7 บาทได้แบบต้องยัดเยียดวาง
เข้าไป เหมือนว่าไม่ได้ออกแบบมาเผื่อไว้แต่อย่างใด

การเข้า – ออกจาก เบาะหลัง ยังคงต้องระมัดระวังศีรษะสักเล็กน้อยเหมือนเดิม ควรก้มหัว
ให้เยอะๆ เวลาลอดผ่านหลังคารถ เพื่อไม่ให้หัวของคุณโขกกับขอบด้านบนของกรอบประตู
ช่องทางเข้า ที่กว้างยาวขึ้น ก็ช่วยให้การเข้า – ออกจากเบาะหลัง สะดวกขึ้นสำหรับทุกคน

การขยายพื้นที่วางขาด้านหลังให้เพิ่มขึ้นจากรุ่น E90 เดิม เพื่อให้นั่งสบายขณะเดินทางไกล
ได้ดีขึ้น ส่งผลให้ด้านหลังพนักพิงเบาะคู่หน้า ถูกออกแบบให้มีส่วนเว้ารับกับการวางขาของ
ผู้โดยสารด้านหลัง และมีช่องใส่หนังสือมาให้ตามปกติ

ที่ฐานช่องทางเข้า ประตูทั้ง 4 มี กาบบันไดข้าง เฉพาะรุ่น ActiveHybrid 3 มาให้จากโรงงาน

เบาะนั่งด้านหลัง ออกแบบมาให้นั่งได้สบายขึ้นกว่ารุ่นเดิม แต่อย่าลืมว่า นี่คือรถขับเคลื่อน
ล้อหลังขนาดเล็ก ดังนั้น ปีกข้างของพนักพิงจะโอบเข้ามา ดันสีข้าง บั้นเอว และบั้นท้ายของ
ผู้โดยสารด้านหลังอยู่สักหน่อย เบาะรองนั่ง และพนักพิงหลังยังใช้ ฟองน้ำที่แน่นแนาพอกัน
กับรถรุ่นเดิม รองรับบริเวณหัวไหล่ได้ดีขึ้น

สำหรับคนช่วงขาสั้นอย่างผม เบาะรองนั่ง ด้านหลังออกแบบมาได้พอดีกับข้อพับ นั่งได้เต็มก้น
และนั่งสบายใช้ได้เลย แต่ถ้าคนที่มีช่วงขายาว อาจต้องนั่งชันขาอยู่บ้าง มีพนักวางแขน แบบพับ
เก็บได้ พร้อมช่องวางแก้ว 2 ตำแหน่ง ทำจากพลาสติกแข็งแบบพับเก็บได้ ติดตั้งมาในตำแหน่ง
ที่วางแขนได้สบายพอดีๆ ไฟอ่านหนังสือ และไฟส่องสว่างกลางห้องโดยสาร รวมทั้งมีมือจับ
เหนือบานประตูทั้ง 4 และช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง กับช่องเสียบอุปกรณ์ไฟฟ้ามาให้
จากโรงงาน พื้นที่เหนือศีรษะ ยังถือว่ามีเหลือพอสำหรับคนตัวสูงไม่เกิน 175 เซ็นติเมตร ส่วน
พื้นที่วางขา ดีขึ้นกว่า 3-Series Saloon รุ่น E90 เดิมอยู่เล็กน้อย

ทุกรุ่นติดตั้งเข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุดมาให้ ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง รวมทั้ง จุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับ
เด็ก มาตรฐาน ISOFIX มีมาให้ที่เบาะรองนั่ง ทั้ง 2 ฝั่ง ส่วนม่านไฟฟ้า ที่กระจกบังลมหลัง ก็มี
ติดตั้งมาให้ เหมือนกันกับ 320d 320i และ 328i สวิชต์ เปิด – ปิด จะอยู่ที่ แผงสวิชต์ กระจก
หน้าต่างไฟฟ้า ณ แผงประตูฝั่งคนขับ

ปกติแล้ว ActiveHybrid 3 จะมีรุ่นมาตรฐานซึ่งสามารถแบ่งพับพนักพิงเบาะหลังได้ในอัตราส่วน
40 : 20 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง แต่ในรถคันที่เรานำมาทดลองขับกันนั้น เบาะ
ด้านหลัง ไม่สามารถแบ่งพับลงมาได้

การเปิดฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง ยังคงมี 3 วิธี ให้เลือกใช้ ทั้งการกดปุ่มบน รีโมทกุญแจ
กดสวิชต์ไฟฟ้า ที่ซ่อนอยู่บริเวณ ไฟส่องป้ายทะเบียนหลัง และการใช้เท้า เตะลอดเข้าไปใต้
กันชนหลัง และต้องเตะในตำแหน่งตรงกับเซ็นเซอร์ คือ เตะเหมือน เตะลูกบอล  เตะอากาศ
โดย ลอดขาเข้าไป ถ้าเซ็นเซอร์ เจอขาของคุณ กลอนฝากระโปรงด้านหลัง จะปลดล็อก และ
ดีดฝากระโปรงหลัง ขึ้นอย่างรวดเร็ว…อย่าเผลอไปเตะถูกกันชนหลังเข้าเชียวละ!

พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ถูกออกแบบมาเพื่อเก็บแบตเตอรรี่ Lithium – ion ไว้มิดชิด
การมีแบ็ตเตอรี ติดตั้งเพิ่มเข้ามาบริเวณพื้นรถ ทำให้พื้นที่ในการเก็บสัมภาระลดลงจากเดิมซึ่ง
อยู่ที่ 460 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมันี เหลือเพียง 390 ลิตร VDA ส่วน ผนังด้านข้าง
ออกแบบมาให้เป็นช่อง สำหรับวางข้าวของจุกจิก ฝั่งซ้ายจะมีตาข่ายไม่สูงนัก ไว้กันข้าวของ
ขนาดเล็ก แถมมาให้ลูกค้าไปติดตั้งเอาเอง และมี ทับทิมสามเหลี่ยม ติดมาให้จากโรงงาน เพื่อ
ให้คุณกางมันออกใช้ ขณะที่รถต้องจอดอยู่บนไหล่ทาง รอความช่วยเหลือ เพื่อให้แสงไฟหน้า
รถคันที่แล่นตามมา สะท้อนกับทับทิม และลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุ ส่วนผนังใต้ฝากระโปรงหลัง
บุมาอย่างเรียบร้อย เหมือน 3-Series F30 Saloon คันอื่นๆ

แผงหน้าปัด ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจาก 3-Series F30 รุ่นอื่น คันอื่นที่เราลองขับกันมาก่อนหน้านี้
เพียงแต่ว่า อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆของ ActiveHybrid 3 คันนี้ จะอ้างอิงได้ใกล้เคียงกับ
320d Touring มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งของสวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า แบบ One-Touch
หรือกระจกมองข้างแบบปรับและพับเก็บด้วยไฟฟ้า แถมฟังก์ชัน ปรับมุมกระจกฝั่งซ้ายลงต่ำ
เพื่อให้จอดเทียบข้างฟุตบาธได้สบายใจ (เลื่อนสวิชต์เลือกฝั่งกระจกมองข้าง มาทางซ้าย แล้ว
เข้าเกียร์ถอยหลัง) มีสวิชต์ เปิด – ปิดไฟหน้า แบบอัตโนมัติ พร้อมไฟตัดหมอกหน้า และหลัง
ทั้งหมดนี้ อยู่รวมกันไว้ที่ฝั่งขวาของคนขับ

ส่วนเพดานหลังคา มีกระจกมองหลัง ตัดแสดงสะท้อนอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร
ที่มีปุ่มสวิชต์ขนาดเล็ก ต้องคลำหาระหว่างขับรถกันพอสมควร แผงบังแดด มีกระจกแต่งหน้า
และไฟแต่งหน้ามาาให้ทั้ง 2 ฝั่ง ส่วนเพดานด้านบน บุด้วยวุสดุ ผ้าสีดำมืด Anthracite

แผงประดับหน้าปัด (Trim) มาเป็นสีเงิน ลายกราฟฟิค ขลิบด้านล่างด้วยแถบสีน้ำเงิน เหมือนสี
ภายนอกตัวรถ

พวงมาลัย ทรง 3 ก้าน เป็นแบบ  M-Sport หุ้มหนังแท้ Grip อ้วน หนา นุ่ม จับสบายมือ ดุจกำลังจับ
ท่อยางหุ้มท่อแอร์ ถูกออกแบบพิเศษ ที่ผมขอเรียกว่า “ทรง ขาหยั่งรองถุงลม”  มาพร้อมกับสวิชต์
Multi Function ฝั่งซ้ายของก้านพวงมาลัย ควบคุมระบบล็อกความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
ส่วนฝั่งขวา ไว้ควบคุมชุดเครื่องเสียง กับระบบโทรศัพท์ในรถ แสดงผลผ่านทางหน้าจอมอนิเตอร์
ตรงกลาง และบนแถบด้านล่างของชุดมาตรวัด

และมีระบบ Voice Command มาให้ ยี่ห้ออื่นอาจทำได้เพียงเปลี่ยนคลื่นสถานีวิทยุ เปลี่ยนเพลง หรือ
โทรศัพท์ แต่ของ BMW นั้น เพียงกดปุ่มที่มีสัญลักษณ์คนพูด บนก้านพวงมาลัยฝั่งขวา และพูดคำสั่งต่างๆ
เช่น “10 meters” เพื่อเปลี่ยนขนาดของแผนที่เป็นระยะ 10 เมตร หรือ “Map perspective” เพื่อ
เปลี่ยนการแสดงแผนที่เป็นแบบ 3 มิติ  สั่ง “Vehicle status” หรือ เรียกดูสถานะของรถ “On board
computer” เพื่อดูข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นคำภาษาอังกฤษง่ายๆ ทั้งหมด และไม่ว่าจะใช้
สำเนียงอย่างไร ระบบก็จะทำงานรู้เรื่อง เกือบทุกครั้ง ถือว่างานได้ดี และฉลาดกว่า ระบบเดียวกันใน
Ford Fiesta กับ Ranger ชัดเจน!

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีระบบ ตั้งหน่วยความจำ ตำแหน่งนั่งขับ และกระจกมองข้าง ด้วย USB หรือ
Import/Export Profile มาให้ด้วย ช่วยลดปัญหาการเสียเวลามาปรับตำแหน่งเบาะนั่งและกระจก
มองข้างทุกครั้ง ที่มีคนอื่น ขึ้นมาใช้รถ และตั้งค่าทับหน่วยความจำ Memory ในรถของคุณ

เพียงแค่บันทึกตำแหน่งเบาะนั่ง กระจกมองข้าง ระบบเครื่องเสียง สถานีวิทยุที่ชื่นชอบ อุณหภูมิ
ที่ต้องการจากเครื่องปรับอากาศ ตั้งค่าการแสดงผลบนจอระบบนำทาง และอื่นๆ อีกมากมาย เอาไว้
จากนั้น เอา Flash Drive เสียบลงไปในช่อง USB แล้วเลื่อนไปที่ Save Profile

เมื่อไหร่ที่คุณกลับมาใช้รถคันนี้ หรือจะไปขึ้นขับ 3-Series F30 คันอื่นๆ คุณแค่เสียบ USB เข้าไป
ในช่อง เลื่อนหน้าจอ ไปที่ Menu -> Settings -> Profiles -> Import Profile ภายในไม่เกิน
10 วินาที ระบบจะปรับตำแหน่งเบาะพร้อมกระจกมองข้าง คลื่นวิทยุที่ชื่นชอบ และค่าปรับตั้งอื่นๆ ที่
จดจำเอาไว้ มาให้คุณได้เรียบร้อย เพียงชั่วพริบตา นอกจากนี้ กุญแจรีโมทของรถไม่ได้ทำหน้าที่เพียง
แค่เปิด – ปิดรถและกระจก หรือเปิดฝากระโปรงท้ายรถ แต่มันยังช่วยเก็บ Profile ของผู้ขับขี่
แต่ละคน ที่บันทึกไว้ ซึ่งนั่นหมายความว่า Profile ที่ถูกบันทึกไว้ จะแตกต่างกันในแต่ละกุญแจ
รีโมท ของรถแต่ละคัน

ชุดมาตรวัด ดูเผินๆ ก็เหมือนกับ 3-Series F30 คันอื่นๆ ทั้งตำแหน่งสวิชต์ไฟตางๆ รวมทั้ง
หน้าจอแถบด้านล่าง แสดงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง มาตรวัดระยะทาง ปริมาณน้ำมันในถัง
ที่เหลือพอให้รถแล่นต่อไปได้อีกกี่กิโลเมตร Odo meter มาตรวัดระยะทางแบบตั้งเองได้
Trip Meter มีมาให้แค่ Trip เดียว ไม่แบ่ง Trip A หรือ B มาให้เลยตามเคย มีนาฬิกา และ
มาตรวัดอุณหภูมิ มาให้เหมือนกัน แต่ ถ้าดูดีๆ จะเห็นความแตกต่างตรงที่มาตรวัดรอบ
เครื่องยนต์ จะเพิ่มคำว่า Ready เข้ามา…

นั่นหมายความว่า เมื่อคุณ กดปุ่มติดเครื่องยนต์แล้ว ถ้าเครื่องยนต์ไม่ทำงาน แต่เข็มวัดรอบ
ดันชี้ไปที่คำว่า Ready แสดงว่า พร้อมออกรถแล้ว คุณสามารถเข้าเกียร์เดินหน้า D หรือ R
เพื่อถอยหลัง แล้วออกรถได้ทันที โดยไม่ต้องไปสนใจว่า เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาเองได้
เมื่อไหร่กัน เพราะถ้าในช่วงความเร็วต่ำๆ คลานไปช้าๆ และมีไฟในแบ็ตเตอรีเหลือพอ
มอเตอร์ไฟฟ้า จะขออาสาขับเคลื่อนรถไปให้เอง จนกว่าไฟในแบ็ตเตอรีจะเริ่มเหลือ
บนหน้าปัด แค่เพียงขีดเดียว หรือ เมื่อคุณเหยียบคันเร่งเพิ่มลงไปมากขึ้น เพื่อเรียก
อัตราเร่งมาใช้งาน

ส่วนลูกศร ใต้วงกลมมาตรวัดรอบ คือลูกศร บอกว่า ขณะนั้น ระบบขับเคลื่อนกำลังทำงาน
หรือระบบชาร์จไฟกลับเข้าไปเก็บในแบ็ตเตอรี ระหว่างเบรกชะลอรถ กำลังทำงานกันแน่

ถ้าคุณกำลังขับรถอยู่ แล้วจอดรถ เข้าเกียร์ P อยู่นิ่งๆ เมื่อใดที่เปิดประตูรถ ระบบขับเคลื่อน
จะหยุดทำงาน เข็มวัดรอบจะชี้จาก Ready กลับมาเริ่มต้นใหม่ หมายความว่า ถ้าต้องการ
ขับรถต่อไป คุณต้องกดปุ่มติดเครื่องยนต์เองอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้รถกลับเข้าสู่การทำงาน
อีกครั้งหนึ่ง

มองจากด้านบนลงล่าง หน้าจอมอนิเตอร์ Freestand ขนาด 8.8 นิ้ว ซึ่งปกติแล้ว จะแสดงผล
ให้กับเครื่องปรับอากาศ ชุดเครื่องเสียง จอแสดงข้อมูลสถานภาพต่างๆของตัวรถ แสดงอัตรา
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย หรือแบบ Real-Time รวมทั้ง ระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS ทั้ง
แบบแผนที่ธรรมดาหรือ 3 มิติ พร้อมภาพกราฟฟิก แสดงอาคารสถานที่ในบริเวณโดยรอบ
ใกล้เคียงได้ อีกทั้งยังมี “คู่มือผู้ใช้รถ” แบบ Interactive ฝังมาให้หมุนเลือกใช้งานได้ง่ายดาย

แต่ในรุ่น ActiveHybrid 3 เพิ่มจอแสดงการทำงานของระบบขับเคลื่อน Hybrid แบบสดๆ
Real-Time เป็นรูปกราฟฟิกตัวรถอีกด้วย ทั้งหมดนี้ สามารถแสดงผลได้ทั้งแบบจอเต็ม
หรือจอแบบแยกฝั่งซ้าย – ขวา Spilt Screen เหมือนเช่น Menu อื่นๆ

ชุดเครื่องเสียง ของ ActiveHybrid 3 เหมือนกับ 328i คือ เป็นแบบ BMW Professional Hi-Fi 
มีทั้ง วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD / MP3 1 แผ่น 6 ลำโพง มี Harddrive สำหรับเก็บข้อมูลของ
แผนที่ สำหรับระบบนำทาง และสามารถสั่งให้รถ Save ไฟล์เพลงจาก CD ลงใน HDD ของรถได้
ลำโพง 9 ชิ้น รวมแล้วให้กำลังเสียง 205 Watt สามารถเชื่อมต่อกับเครื่องเล่น iPod หรือ iPhone ได้
ผ่านช่องเสียบ USB / AUX และสามารถเล่นเพลงจาก USB Memory Stick หรือ iPod ได้ และระบบ
Bluetooth Hands Free เพื่อใช้ร่วมกับโทรศัพท์มือถือของคุณ ในขณะขับรถได้ ซ่อนอยูในช่อง
เก็บของ คอนโซลกลาง ที่เก็บอะไรไม่ได้เลยนอกจากโทรศัพท์เคลื่อนที่

นอกจากนี้ยังมีระบบสื่อสาร BMW ConnectedDRIVE และ BMW Apps เชื่อมต่อตัวรถเข้ากับ
โทรศัพท์มือถือ Smart Phone ได้ผ่านทาง Bluetooth เพื่อให้เข้าโปรแกรม Facebook ,Twitter
หรือเช็ค E-Mail จากโทรศัพท์มือถือ ผ่านทางหน้าจอมอนิเตอร์ ได้โดยตรง

มีแผงสวิชต์ที่เรียงกันหมายเลข 1-8 นั้น ที่จะมีแถบ Menu Bar ปรากฎขึ้นบนจอมอนิเตอร์ เมื่อคุณ
เลื่อนนิ้วรูดผ่านไปบนปุ่มเหล่านั้น สามารถตั้งค่าให้กับปุ่มเหล่านั้นทำงานได้ตามใจชอบ อ่านได้
จากคู่มือผู้ใช้รถ เป็นอีกเทคนิคหนึ่ง ที่ช่วยลดการละสายตาของผู้ขับขี่จากท้องถนน

คุณภาพเสียง ไม่แตกต่างจาก 320d เลย ถือว่า เหมือนกันเป๊ะ จัดอยู่ในเกณฑ์ ใช้ได้ ค่อนข้างดี แต่
ขอแนะนำว่า ฟังเพลงที่ใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้นจะดีกว่า เพราะถ้าเปิดเพลงที่ใช้เครื่องดนตรีเยอะๆ
ชนิดยกกันมาทั้งวงออเครสตรา เสียงเล็กๆน้อยๆ จะถูกหลมรวมกลืนกัน ไม่มีการแยกรายละเอียด
ของเครื่องดนตรีให้ดีเท่าที่ควร

ส่วนเครื่องปรับอากาศ ยังคงเป็นแบบ อัตโนมัติ แยกฝั่ง ซ้าย – ขวา พร้อมช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสาร
ด้านหลัง ติดตั้งอยู่ด้านหลังกล่องคอนโซลกลาง เหมือน 3-Series F30 เวอร์ชันไทย ทุกรุ่น ทุกคัน

เช่นเดียวกันกับ ช่องวางของพร้อมฝาปิด และปลักเสียบอุปกรณ์ไฟฟ้า 12V ใกล้กันนั้นยังมี ถาด
ยางสังเคราะห์กันลื่นไว้ใส่ของจุกจิก ที่สามารถยกถอดออก เพื่อใช้เป็นช่องวางแก้วหรือกระป๋อง
น้ำอัดลมได้ 2 ตำแหน่ง ถาดนี้สามารถถอดแล้วยกกลับไปเสียบเก็บไว้ ณ ตาข่ายในช่องเก็บของ
Glove compartment ซึ่งมีขนาดใหญ่พอให้ใส่คู่มือผู้ใช้รถ และเอกสารประจำรถนิดหน่อย
ทั้งหมดนี้ ก็ยกมาจาก 3-Series F30 ทุกรุ่น ทุกคัน อีกเช่นกัน

มีเซ็นเซอร์ กะระยะขณะถอยหลังเข้าจอดรอบคัน PDC (Parking Distance Control) แสดงผล
ทั้งด้วยภาพ Graphic บนหน้าจอมอนิเตอร์ตรงกลาง หรือเสียงเตือน ที่สามารถปรับเพิ่มหรือลดเสียง
ตุ๊งๆ ติ๊งๆ ตื๊ดๆๆ อันน่ารำคาญมาก ได้ตามใจคุณ ต้องเข้าไปปรับแก้ในโหมด Settings

และถ้าการมีเซ็นเซอร์ ยังไม่พอสำหรับคนที่มีปัญหาในการถอยรถ ActiveHybrid 3 ก็จะเพิ่ม
กล้องมองจากด้านหลัง พร้อมแนวเส้นกะระยะ ที่หักเหได้ตามการหมุนพวงมาลัย แบบเดียว
กับ 328i มาให้ ถ้าถอยแล้วพลาดเอง คราวนี้ ช่วยไม่ได้แล้วนะ!

ส่วน กล่องเก็บของด้านข้างผู้ขับขี่ ที่เก็บอะไรแทบไม่ได้เลย นอกจาก โทรศัพท์มือถือ และมี
ฝาปิดเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง เพื่อเป็นพื้นที่วางแขน ได้อย่างดี และสบายตามหลักสรีรศาสตร์
รวมทั้ง ทัศนวิสัย รอบคัน สามารถอ้างอิงได้ จาก บทความ Full Review ของ BMW 3-Series
F30 รุ่นก่อนหน้านี้ ทั้งหมด (Link ของบทความดังกล่าว อยู่ด้านล่าง ท้ายสุดของบทความนี้)

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ActiveHybrid 3 วางขุมพลัง รหัส N55B30 บล็อก 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 2,979 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 89.6 x 84.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.2 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด
อีเล็กโทรนิกส์ แบบ High-Precision Direct-Injection พร้อมระบบแปรผันวาล์วไอดี
กับไอเสีย VALVETRONIC เครื่องยนต์ที่เห็นนี้เป็นบล็อกเดียวกันกับที่ประจำการอยู่แล้ว
ในรุ่น 335i

กำลังสูงสุด ของเครื่องยนต์รุ่นนี้ อยู่ที่ 306 แรงม้า (PS) ที่ รอบเครื่องยนต์ระหว่าง 5,800
ถึง 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 400 นิวตันเมตร (40.76 กก.-ม.) ที่ รอบเครื่องยนต์
ระหว่าง 1.200 – 5.000 รอบ/นาที !! แรงบิดมากันเป็น Flat Torque เลยทีเดียว

อีกทั้งยังมี มอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 40 กิโลวัตต์ / 55 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร
มาช่วยในระบบขับเคลื่อนด้วยอีกแรงหนึ่ง แต่ BMW ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของมอเตอร์ลูกนี้
มากนัก

เมื่อรวมการทำงานเข้าด้วยกันทั้งระบบแล้ว ActiveHybrid 3 จะมีกำลังสูงสุดถึง 340 แรงม้า (PS)
และมีแรงบิดสูงสุดมากถึง 450 นิวตันเมตร (45.85 กก.-ม.) ซึ่งถือว่า โหดสะใจ คนรักความแรง
ในระดับเกินหน้าเกินตาชาวบ้านเขาไปเยอะแล้วนะนั่น!

ถามว่าแรงแค่ไหน…เอาอย่างนี้ รถเก๋ง เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ทั่วไป แรงบิดสูงสุด ก็ไม่เกินแค่
150 นิวตันเมตร….ดังนั้น ตัวเลข 450 นิวตันเมตร นี่ถือว่าเป็น 3 เท่า ของรถเก๋ง B-Segment
ทั่วไปแล้วนะ!

มอเตอร์ไฟฟ้า จะถูกติดตั้งเชื่อมต่อกับ เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ของ ZF Friedrichshafen แบบ
ZF 8HP เหมือนกับ 3-Series ใหม่ รุ่น F30 ทุกรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทยตอนนี้ เกียร์ลูกนี้
รองรับแรงบิดสูงสุดของเครื่องยนต์เบนซินได้ 450 นิวตันเมตร และ เครื่องยนต์ Diesel ได้
500 นิวตันเมตร เพื่อส่งกำลังไปยังระบบขับเคลื่อนล้อหลัง อุณหภูมิการทำงานของเกียร์ ถูก
ควบคุมด้วยระบบระบายความร้อน จากเครื่องยนต์สันดาป

คันเกียร์ไฟฟ้าของ 320d เป็นแบบเดียวกับ รถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ของ BMW ทุกรุ่นในตอนนี้ คือ
มีโหมด บวก-ลบ มาให้  ที่คันเกียร์ หน้าตาเหมือน Joystick (แท่งหรรษา)  และมีแป้นเปลี่ยนเกียร์
หลังพวงมาลัย Paddle Shift มาให้ เกียร์ลูกนี้ ต่อให้ติดตั้งใน ActiveHybrid 3 อัตราทดเกียร์ก็ยังคง
เหมือนเดิม ยกเว้น อัตราทดเฟืองท้าย ตัวเลขมีดังนี้

เกียร์ 1…………………………..4.714
เกียร์ 2…………………………..3.143
เกียร์ 3…………………………..2.106
เกียร์ 4…………………………..1.667
เกียร์ 5…………………………..1.285
เกียร์ 6…………………………..1.000
เกียร์ 7…………………………..0.839
เกียร์ 8…………………………..0.667
เกียร์ถอยหลัง……………………3.317
อัตราทดเฟืองท้าย……………….2.813

ส่วนแบ็ตเตอรีในระบบ Hybrid ของ BMW เป็นแบบ Lithium – ion ถูกติดตั้งไว้ที่ตำแหน่งกึ่งกลาง
ระหว่างล้อหลังทั้ง 2 ด้านที่ใต้ช่องเก็บสัมภาระหลัง ช่วยรักษาแบตเตอรี่ไว้ในตำแหน่งที่ปลอดภัยและ
เพื่อการกระจายน้ำหนักที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้การระบายความร้อนของแบตเตอรี่ก็ได้รับการเชื่อมต่อกับ
วงจรของเครื่องปรับอากาศ เพื่อการระบายความร้อนที่ดีขึ้น ตัวแบตเตอรี่ชนิดนี้มีทั้งสิ้น 96 Cell เพื่อ
ให้พลังงานที่ 675 Wh และเมื่อรวมกับระบบไฟฟ้าขนาด 14V แบบปกติ ActiveHybrid 3 จะมี
ระบบไฟฟ้าทั้งคัน กำลังสูง ถึง 317V

การทำงานของระบบ Hybrid ใน BMW ActiveHybrid 3 ไม่ได้แตกต่างไปจากระบบ Hybrid ของ
Toyota เท่าใดเลย ถ้าใครเคยขับ รถยนต์ Hybrid ของ Toyota มาแล้ว จะเข้าใจได้ง่ายดายมากๆ

– ช่วงออกตัว ถ้าเหยียบคันเร่งแบบแผ่วเบา ขณะคลานไปตามตรอกซอกซอย มอเตอร์จะทำงานหมุนล้อ
   เพียงอย่างเดียว โดยดึงไฟจากแบ็ตเตอรีมาเป็นพลังงาน

– ช่วงออกตัว ถ้าเหยียบคันเร่งเต็มตีน เพื่อพุ่งทะยานออกไป ทั้งเครื่องยนต์ กับ มอเตอร์ไฟฟ้า จะช่วยกัน
   ทำงานเต็มพิกัด แถมในบางช่วง อาจต้องปั่นไฟไปเก็บกับในแบ็ตเตอรี เพื่อป้อนไฟให้มอเตอร์ต่อด้วย

– ช่วงความเร็วเดินทาง เครื่องยนต์ จะทำงานตามลำพัง ทั้งหมุนล้อ และปั่นไฟไปเก็บในแบ็ตเตอรี
  เป็นช่วงพักผ่อนของ มอเตอร์

– ขณะเบรก หรือชะลอรถ ระบบ Brake Energy Regeneration จะช่วยแปลงพลังงานเบรก เป็นไฟฟ้า
  ไปเก็บไว้ที่แบ็ตเตอรี

– และเมื่อเหยียบเบรกจนรถหยุดนิ่ง สนิท หรือในขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ มีระบบ Auto Start/Stop
  ช่วยติด หรือดับเครื่องยนต์ ไปตามภาวะการขับขี่ ถ้าจอดติดไฟแดง ไฟในแบ็ตเตอรี เหลือเยอะพอ
  เครื่องยนต์จะดับ แต่ถ้า ไฟในแบ็ตเตอรี เหลือแค่ขีดเดียว เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาเอง ปั่นไฟไว้
  จนกว่าจะได้สัก 2 ขีด แล้วก็จะดับเครื่องไปเอง แค่เพียงเหยียบคันเร่งออกรถ เครื่องยนต์ก็จะติด
  ขึ้นมาได้ใหม่เอง

ขณะขับขี่ในช่วงความเร็วต่ำ ถ้าต้องการให้ระบบ Hybrid ทำงาน ก็แค่ ถอนเท้าจากคันเร่งทั้งหมด
แล้วแตะลงไปบนคันเร่ง อีกครั้ง เบาๆ ไม่ต้องลงน้ำหนักเยอะนัก เพียงเท่านี้ ระบบตัดต่อกำลัง
ก็จะเปลี่ยนการขับขี่มาเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน ในความเร็วจริงสูงสุดอยู่ที่ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง

การทำงานของระบบขับเคลื่อน กราฟแท่งแสดงข้อมูลอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง รวมทั้งหน้าจอ
แบบ Sport Monitor แสดงให้เห็นถึง แรงม้า และแรงบิด ที่ถูกเรียกใช้ในขณะนั้น แบบ Real-Time
สามารถเรียกดูได้ ผ่านทางหน้าจอ มอนิเตอร์ใหญ่ ของระบบนำทาง ผ่านระบบ i-Drive

นอกจากนี้ยังมีโหมดการขับขี่ Driving Experience Control Switch ให้เลือกได้ 3 โหมดในรุ่น
Modern และ Luxury คือ ECO PRO เน้นการขับขี่แบบประหยัด คันเร่ง/ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า จะ
เปิดให้อาการเข้า แบบหรี่ๆ น้อยกว่าปกติ เครื่องปรับอากาศ ทำงานเบากว่าปกติ และมี Tip
สำหรับการขับประหยัดน้ำมันมาให้ลองทำดู พร้อมกราฟแสดงผล

โหมด Comfort เป็นการขับขี่แบบปกติ และ Sport ปรับคันเร่งให้ตอบสนองไว และลากรอบเกียร์
ขึ้นไปรอไว้ในระดับ เกินกว่า 2,000 รอบ/นาที ขึ้นไป เพื่อพร้อมให้คุณเหยียบคันเร่งพุ่งทะยาน
ได้ตลอดเวลา แต่ในรุ่น 328i Sport จะเพิ่ม โหมด Sport + มาให้ เหมือน 320d Sport คือจะปิด
ระบบควบคุมการลื่นไถลล้อหมุนฟรี Traction Contraol ไปเลย ที่เหลือ ขึ้นอยู่กับสัญชาติญาณ
ของคนขับ ระบบจะช่วยทำงานเพภียงแค่ส่วนหนึ่งเท่าที่จำเป็น

รายละเอียดเพิ่มเติมของระบบนี้ อ่านได้ในบทความ รีวิว BMW 320d F30 คลิกที่่นี่

ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า อัตราเร่ง จาก 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ในเวลา เพียง 5.3 วินาที
จาก 0 – 1,000 เมตร (1 กิโลเมตร) ใช้เวลา 24.6 วินาที ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ ต่ำเพียง
139 กรัม / ระยะทางแล่น 1 กิโลเมตร เท่านั้น! ใกล้เคียงกับ บรรดา รถยนต์ Sub-B-Segment 
ECO Car 1.2 ลิตร ในบ้านเรา ซึ่งถูกกำหนดให้ปล่อยได้ไม่เกิน 120 กรัม / กิโลเมตร เลยทีเดียว!

แถมยังสามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลถึง 4 กิโลเมตร ด้วยความเร็วที่ต่ำกว่า 75 กิโลเมตร/ชั่วโมง !

แต่ในความเป็นจริง กับสภาพอากาศในเมืองไทย อัตราเร่ง จะแรงแค่ไหนนั้น เรายังคงจับเวลากันใน
ตอนกลางคืน ด้วยมาตรฐานเดิม คือ เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า นั่ง 2 คน (ผม และ ผู้จับเวลา เท่านั้น) ตัวเลข
ที่ได้เมื่อเปรียบเทียบกับ 3-Series F30 รุ่นอื่นๆ ที่เราเคยทำการทดลองขับมาก่อน มีดังนี้

เห็นตัวเลขแล้วเป็นไงบ้างครับ…?

ทีนี้ เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าทำไม ผมถึงต้องพาดหัวชื่อรีวิว คราวนี้ ด้วยคำว่า “โหดสัส”….

ก็ดูตัวเลขที่พ่อเจ้าประคุณรุนช่องเขาทำเอาไว้สิครับ! โอ้โห! นอกจากจะเร็วที่สุดในบรรดา 3-Series
ทุกคัน ที่เราเคยทำรีวิวกันมาแล้ว มันยังข้ามไปตบกบาล เพื่อนชาวเยอรมัน และชาวญี่ปุ่น ที่เคยฝาก
ความทรงจำดีๆให้กับเรา ด้วยตัวเลขอันดับ 1 กับ 2 ไว้ในเว็บของเราอีกด้วย!

จริงอยู่ว่า มันยังไม่อาจโค่นแชมป์ตัวเลขเจ๋งที่สุด เท่าที่เว็บเราเคยทำรีวิวมา อย่าง Subaru Impreza
WRX STi MY 2011 (0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 5.84 วินาที และ 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่
เกียร์ 3 และ 4 อยู่ที่ 3.61 และ 5.11 วินาที แต่ที่แน่ๆ มันทำตัวเลข 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ชนะ
Audi S3 MTM คันสีส้มแปร๋น ไปเรียบร้อย และครองตำแหน่งที่ 2 ในหมวดนี้ ของเว็บเราไป
โดยปริยาย ขณะที่ อัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้น หากวัดที่เกียร์ 3 Audi ยังคงได้
แชมป์ ไปในหัวข้อนี้ แต่ถ้าเป็นเกียร์ 4 เมื่อไหร่ Active Hybrid 3 ก็สวนขึ้นไปสบายๆ

กระนั้น ความเร็วสูงสุด ก็ยังไม่อาจโค่น Audi S3 MTM ซึ่งทำสถิติ เอาไว้ที่ 275 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ด้วยเหตุผลที่ว่า โรงงานในเยอรมันี ล็อกความเร็วของรถเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ ชั่วโมง เท่านั้น
ซึ่งดีแล้วละครับที่ ล็อกเอาไว้ เพราะมันไม่จำเป็นเลย ที่รถยนต์สมัยนี้จะต้องมีความเร็วสูงสุด
เกินกว่า 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเมื่อ ถนนที่รองรับความเร็วสูงขนาดนั้น มันมีแต่แค่ ในสนาม
ทดสอบ หรือไม่ก็ Autobahn ในเยอรมันี กับ AutoStrada ในอิตาลี

ย้ำกันอีกทีเหมือนเช่นเคย ว่า การทำความเร็วสูงสุดมาให้ดูนั้น เพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษา
ด้านวิศวกรรมยานยนต์ และเป็นฐานข้อมูลความรู้ สาธารณะ เท่านั้น ไม่แนะนำให้ไปทดลอง
ทำกันเองอย่างเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายถึงชีวิต ทั้งต่อตนเอง และผู้ร่วมใช้เส้นทาง อีกทั้ง
ยังผิดกฎหมายจราจรอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในการขับขี่ใช้งานจริง การไต่ขึ้นไปถึงความเร็วสูงสุดของรถคันนี้ มันทำได้ง่ายดาย
“มากๆ” เพราะความลื่นไหลของอัตราเร่ง เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ออกตัว จนถึงช่วงรอบปลายๆ
ไม่มีอาการสะดุด รอรอบ หรืออาการอื่นใดอันไม่พึงประสงค์ทั้งสิ้น! การทำงานร่วมกันอย่างดีของ
เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง พร้อม Turbo Charger ผนวกกับ มอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้รถพุ่งขึ้นไปอย่าง
รวดเร็วมากๆ ต่อเนื่องมากๆ และ ในประเด็นนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องตำหนิ! เข็มวัดรอบ และเข็ม
วัดความเร็ว กวาดขึ้นไปพร้อมกันอย่างรวดเร็วกว่ารถยนต์ทั่วไปอยู่มาก

แต่ต้อขอเตือนไว้นิดนึงว่า ในการขับขี่ทั่วไป บนถนนสาธารณะ เปิด Traction Control เอาไว้
ตลอดนะครับ เพราะแรงบิดที่ลงสู่ล้อมันเยอะเอาเรื่อง แค่ว่า ลองปิดระบบ Traction Control
ขณะจอดนิ่ง แล้วลองเหยียบคันเร่งจมมิด บนพื้นที่ว่างๆ โล่งๆ ปลอดภัยๆ ล้อหลังยังหมุน ฟรีทิ้ง
โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรให้มากมายนักเลย! และแน่นอน Commander CHENG
หรือตาแพน ของเรา ถึงกับทำตัวเป็น เด็ก Nunk! (Nerd + Punk) หัวเราะคิกๆคักๆ อย่าง
สะใจ ดีใจ ถูกใจ เหมือน เด็กอ้วนอายุ 12 ขวบ ได้ช็อกโกแล็ตถุงใหญ่ๆ มาฟรีๆ นั่นละ!!!

ตูละกลุ้มจริงๆ

ถ้าคุณคิดจะเร่งแซง แค่เหยียบคันเร่งลงไปครึ่งเดียว หรือในกรณีที่อยากรีบไปให้พ้นๆ ก็เหยียบ
เต็มมิดลงไป จนคันเร่งดัง “คลิก” ไม่เช่นนั้น จะตบแป้น Paddle Shift ลงมา 1 หรือ 2 จังหวะ
ก็ย่อมได้ทั้งสิ้น เพราะผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นคือ เครื่องยนต์  6 สูบ จะคำรามหวานไพเราะเร่ง
เร้าทุกอารมณ์ ก่อนจะส่งแรงบิดมหาศาลลงสู่ล้อหลัง ในเสี้ยววินาที พาให้รถพุ่งทะยานแบบ
ฉีกแซงรถคันข้างๆ ให้หายไปจากกระจกมองหลัง อย่างไม่ทันจะตั้งตัว ทั้งคุณ และรถคันข้างๆ

ใครก็ตามที่คิดจะมาไล่จี้ รถคันนี้ ขอเตือนว่า คิดให้ดีๆ มันไม่ใช่ 3-Series F30 ทั่วๆไป ที่คุณ
คิดจะเล่นได้ง่ายๆ คนที่เคยขับหรือนั่ง รถเก๋งญี่ปุ่นแต่งซิ่ง วางเครื่องยนต์ประเภท 2JZ-GTE
ของ Toyota แล้วเซ็ต Turbo กันเต็มที่ คงพอนึกภาพออกใช่ไหมครับว่า ภาพที่อยู่ตรงหน้า
ขณะพุ่งทะยานตั้งแต่ออกตัว มันเร็วและไวน่ากลัวแค่ไหน?

ActiveHybrid 3 มันก็ พุ่งไปเท่ากัน ประมาณนั้นแหละ!!! แต่น่ากลัวน้อยกว่ากันหน่อยนึง!
เพราะตัวรถ นิ่งมากๆ จนคุณมั่นใจได้ว่า ขณะทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่มีใคร
มาตัดหน้าหรือทำให้คุณเสียสมาธิ รถคันนี้ ควบคุมไม่ยากเลย ขับเร็วๆ ได้สบายๆ ผมเอง
ก็ยังเผลอขับเกินกว่า 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่บ่อยครั้ง พูดง่ายๆ ก็คือ ความเร็วระดับ
160 กิโลเมตร/ชั่วโมง มันควบคุมง่าย พอกันกับการที่คุณขับรถญี่ปุ่นทั่วๆไป ด้วยความเร็ว
ประมาณ 100 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั่นละ! และต่อให้คุณ ใช้ความเร็ว 200 กิโลเมตร/
ชั่วโมง บนถนนที่ ไม่มีรถเลย มันก็เหมือนกับคุณกำลังขับรถยุโรป บ้านๆ รุ่นใหม่ๆทั่วไป
ด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั่นเลย!

ส่วนอาการรอรอบ หรือ Turbo Lag หายเกลี้ยง! มอเตอร์ไฟฟ้า นี่แหละ ผู้ช่วยตัวสำคัญในการ
ดึงรถ จากจุดหยุดนิ่ง ขึ้นไปถึงจุดที่ Turbo เริ่มทำงานได้ ในจังหวะพอดีๆ

การตอบสนองของคันเร่งนั้น แน่นอนว่า มันก็ไม่ได้แตกต่างไปจาก 3-Series F30 รุ่นอื่น คือ
ในโหมด Comfort คันเร่งไวกว่า Mercedes-Benz แทบทุกรุ่น ในโหมด E  แต่ก็ยังมีจังหวะ
ช้ากว่าความคิดอยู่ราวๆ 0.3 วินาที แต่พอเปลี่ยนไปใช้โหมด Sport คันเร่ง ก็จะไวขึ้นทันควัน
ตอบสนองกันชนิด เกือบจะถวายชีวิตกันเลยทีเดียว

การเก็บเสียง ในช่วงความเร็ว ไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่ต้องห่วง ไม่มีปัญหาอะไร
ถ้าช่วงเกินกว่านั้นไป เสียงลมที่ไหลผ่านเข้ามาจะเริ่มดังขึ้นนิดนึง ตามธรรมดา และยัง
ไม่มากนัก ต่อให้ไต่ขึ้นไปถึง 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียงลมที่ไหลผ่าน ก็ยังดังอยู่ใน
เกณฑ์ปกติ ไม่มีเสียงหวีดร้องใดๆให้หวั่นใจแม้แต่น้อย

ส่วนเสียงเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงนั้น มันช่างหวานไพเราะเสนาะโสตประสาทอย่างสาสมกับ
ความคาดหวังของทุกคน โดยเฉพาะช่วงที่ไต่ขึ้นจากจุดหยุดนิ่งไปถึงระดับ 5,000 รอบ/นาที
ถือว่า เป็น พวกชอบสร้างเสียงรอยยิ้มให้ได้ ทั้งคนที่ชอบเครื่องยนต์ ประเภทลากรอบสูงๆ
หรือ Rev-happy หรือแม้แต่ พวกที่ชอบ แรงบิดสูง ในรอบต่ำ เน้นการเร่งแซงเป็นหลัก
อย่างพวกผม

ระบบบังคับเลี้ยว ยังคงเป็น พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน แต่ใช้ระบบผ่อนแรงแบบ
กลไกไฟฟ้า EPS (Electromechanical Power Steering System) อัตราทดเฟืองพวงมาลัย
15.1 : 1 พร้อมระบบ Servotronic Speed Sensitive Power Assist ซึ่งก็ยังคงใช้ชุดแร็ค
แบบกลไก แต่เพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้า ช่วยผ่อนแรงขณะหมุนพวงมาลัย เข้าไป แถมยังมี
ระบบบังคับเลี้ยวแบบแปรผันตามการหมุนของพวงมาลัย (Variable sport steering)
มาให้เหมือนรุ่น 328i อีกต่างหาก

การตอบสนองในภาพรวม ก็เหมือนกับพวงมาลัยของ 328i นั่นเอง ในช่วงความเร็วต่ำ
พวงมาลัยจะยังหนืดและหนักกว่าพวงมาลัยของ 3-Series F30 คันอื่นๆ อยู่นิดนึง แต่
ยังคงหมุนพวงมาลัย เพื่อเข้าจอดได้อย่างง่ายดาย ระยะฟรี มีอยู่นิดนึง ไม่เยอะนัก
การบังคับเลี้ยว ทำได้ฉับไว แต่ไม่ได้คมกริบเหมือนพวงมาลัยรถแข่ง

ในย่านความเร็วสูง พวงมาลัยยังคงนิ่ง ปล่อยมือจากพวงมาลัยได้แม้จะใช้ความเร็วสูง
ระดับ 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง ราวๆ 3 วินาที (ซึ่งนั่นก็นานมากเลยนะ กับความเร็วระดับ
นั้น) โดยมีข้อแม้ว่า พื้นถนนต้องเรียบสนิท ไม่เป็น คลื่น wave

ครับ เขียนตัวเลขไม่ผิด!

ส่วนอาการพวงมาลัยดิ้นซ้ายๆ ขวาๆ ตามแนวพื้นถนนที่เป็นลอนคลื่น ที่เคยพบใน
F30 รุ่นอื่นนั้น กลายกลายเป็นว่า พวงมาลัย ActiveHybrid 3 ปรากฎอาการดังกล่าว
น้อยกว่าพี่น้องคันอื่นๆ ทั้งหมด และทำให้การควบคุมรถในย่านความเร็วสูงนั้น
มั่นใจได้ยิ่งขึ้น คือยังเหลืออาการดังกล่าวอยู่ให้ได้พบเจอบ้าง แต่น้อยลงไปเยอะ

ผมต้องการ การตอบสนอง ของพวงมาลัยแบบนี้ ใน 3-Series F30 ทุกคัน ทุกรุ่น
ไม่ใช่ว่าจะต้องมาเจอแค่ใน ActiveHybrid 3 เพียงรุ่นเดียวอย่างนี้!

ระบบกันสะเทือน ยังอยู่บนพื้นฐานเดียวกันกับ 3-Series F30 รุ่นอื่นๆ ด้านหน้าเป็นแบบ
สตรัต พร้อมสปริงแบบ Aluminium double-joint displaced camber , small 
Positive steering roll radius, anti-dive ขณะที่ด้านหลังเป็นแบบ 5 จุดยึด หรือ
5 Link ที่ใช้โครงสร้างน้ำหนักเบามาผลิต ขึ้นรูปเป็นชิ้นส่วนต่างๆ

การวางเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ที่มีน้ำหนักพอสมควร ไว้ที่ด้านหน้ารถ และเพิ่มแบ็ตเตอรี
Lithium-ion ไปวางไว้ตรงกลาง ระหว่าง เพลาขับเคลื่อนล้อคู่หลัง พอดีเป๊ะ ช่วยให้ตัวรถ
มี Dynamic ที่ดีขึ้น รถนิ่งขึ้น กว่า 3-Series รุ่นอื่นๆ เวลาจัมพ์ลงคอสะพานข้ามคลอง
ที่ไม่สูงชันมากนัก ด้วยความเร็วเดินทาง ปกติ บนทางด่วน หรือ Motor Way สัมผัสได้
ว่าอาการ Rebound ทำได้ดีขึ้น นิ่งขึ้นกว่ารุ่นปกติ อยู่นิดหน่อย ยิ่งถ้าใช้ความเร็วสูง
จนเกินกว่า 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนถึง ความเร็วสูงสุด บอกเลยว่า มั่นใจกว่า 328i
ในช่วงความเร็วเดียวกันนี้ อย่างชัดเจน แบบไม่ต้องสืบ!

ขณะเข้าโค้ง อาจมีอาการดิ้นที่บั้นท้ายนิดๆ แต่ก็น้อยกว่า F30 คันอื่นๆ และผมว่าใกล้เคียง
กับ F30 320d Touring นิดๆ ด้วยซ้ำ  แน่ละ แบ็ตเตอรี มีส่วนช่วยเพิ่มน้ำหนักถ่วงกดลงไป
อย่างชัดเจน และอาการของบั้นท้าย ที่ดีขึ้นแบบนี้ ก็ช่วยให้ผม กล้าที่จะสาดดโค้งเดิมๆ
ด้วยความเร็วเพิ่มขึ้นจากที่เคย นิดนึง

เช่น โค้งขวา รูปเคียว เหนือมักกะสัน ไปบรรจบกับ ทางแยก ตัว Y เข้าโค้งซ้ายต่อเนื่อง
ผ่านโรงแรม เมอเคียว ออกไปทางบางนา ผมอัดเข้าโค้งได้ที่ความเร็ว 105 กิโลเมตร/ชั่วโมง
และ 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามลำดับ และนั่นคือ Limit เท่าที่รถจะยังสามารถอยู่ในโค้ง
ได้อย่างนิ่งพอให้ผู้ขับขี่ควบคุมได้ เพราะถ้าเกินจากนี้ Traction Control ก็คงจะเข้ามา
รับหน้าที่ดูแลอากับกิริยาของรถเพื่อไม่ให้เกินขีดความสามารถ กันต่อแล้วละ

ส่วนการขับผ่านหลุมบ่อและเนินลูกระนาดในเมืองนั้น นุ่มนวล และยังซับแรงสะเทือน
ได้อย่างดี เหมือนเช่น 328i เลยด้วยซ้ำ อาจจะแข็งขึ้นจากรุ่นล้อ 17 นิ้ว แค่นิดเดียว และ
ต้องจับสังเกตดีๆ จึงจะพบอาการแข็งขึ้นเล็กน้อย ที่มาจากขนาดของล้อเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ถ้าใครเลือกรุ่น M Sport แล้วลองเพิ่มเงินอีกสัก 100,000 บาท คุณจะได้
ระบบควบคุมช่วงล่างแบบ Adaptive M ซึ่งเป็นสวิชต์ปรับระดับช่วงล่างลงจากตำแหน่ง
ปกติ 10 มิลลิเมตร และล้ออัลลอย 19 นิ้ว เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ความเร็วสูง
ที่เพิ่มมากขึ้นไปอีก เสียดายว่า รถที่เราลองขับ ไม่ด้ติดตั้ระบบนี้มาให้ ผมจึงไม่รู้ว่า
มันดีพอให้คุณเพิ่มงินอีก 100,000 บาท หรือเปล่า?

ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรก แบบมีรูระบายความร้อน ทั้ง 4 ล้อ ทำงานร่วมกับระบบ
แปลงพลังงานเบรก เป็นพลังงานไฟฟ้า ชาร์จไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่โดยอัตโนมัติ
(Brake Energy Regeneration) รวมทั้ง ตัวช่วยอย่าง ระบบควบคุมเสถียรภาพ 
DSC (Dynamic Stability Control) ที่รวม ระบบป้องกันล้อล็อก ขณะเบรกกระทันหัน
ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก
EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน
Brake Assist ทำงานร่วมกับระบบควบคุมเสถียรภาพ DSC (Dynamic Stability
Control) ซึ่งมี ระบบควบคุมล้อฟรีขณะออกตัวหรือบนถนนลื่น DTC (Dynamic
Traction Control) ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง CBC
(Cornering Brake Control และระบบ DBC (Dynamic Brake Control)
ควบคุมเรื่องการเบรกให้รถไม่เสียการทรงตัวเท่าที่จะเป็นไปได้ แถมยังมีระบบ Brake
Drying function ป้องกันอาการเบรกไม่จับตัว หรือ  Fading Compensation 
และระบบ ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Start-Off Assistant มาให้ เพิ่มเติม

ในรถคันที่เราทดลองขับนั้น ผมไม่แน่ใจว่า BMW AG จงใจปรับตั้งแป้นเบรก
มาแบบนี้เลยหรือเปล่า? เพราะแป้นเบรกตอบสนองได้ไม่ดีเท่าที่ควรเมื่อเทียบ
กับ 3-Series F30 คันอื่นๆ ที่ผมเคยลองขับมาก่อนหน้านี้ ต้องเหยียบลงไปถึง
ครึ่งหนึ่งจากระยะเหยียบทั้งหมด เพื่อให้เบรกเริ่มทำงาน แป้นเบรกค่อนข้างลึก
และไม่สูงเลย เหมือนแป้นเบรกของรถยุโรปยุคก่อนๆ ที่ต้องเหยียบกันลึกมาก
กว่าจะสัมผัสได้ว่าเบรกกำลังทำงาน และถ้าคุณเหยียบเบรกในระดับเดียวกัน
แช่ไว้ ไมได้เหยียบเพิ่มเติมลงไปอีก คุณอาจพบอาการ ที่เรียกว่า “เบรกหาย”
คือ เหมือนว่ารถไม่ได้ชะลอตัวลงแต่อย่างใด จนกระทั่งคุณเหยียบเพิ่มลงไป
อีกนั่นแหละ รถถึงจะหน่วงเพิ่ม จนเรียกความมั่นใจกลับคืนมา

ถ้าเป็นปัญหาเฉพาะคัน นั่นก็ดีไป แต่ถ้าเป็นปัญหา ที่เกิดจากการเซ็ตแบบนี้
มาจากโรงงานละก็ ขอแนะนำว่า ปรับปรุงการตอบสนองของแป้นเบรกด่วน
เลยครับ เบรกแบบนี้ ผมว่า มันอาจทำให้ผู้ขับขี่ หวั่นใจได้ เพราะรถระดับนี้
ปฏิกิริยาของระบบเบรก ต้องเริ่มทำหน้าที่หน่วงความเร็วของรถได้ไวกว่านี้
ส่วนอาการระหว่างที่รถถูกหน่วงความเร็วลงมาอยู่นั้น ดีอยู่แล้ว เพราะหน่วง
ได้มั่นใจดีอย่างที่ควรจะเป็น

ส่วนการเบรกชะลอรถ ขณะขับคลานๆ ไปในเมือง ถือว่าทำได้ดีตามปกติ
จะเบรกให้นุ่มเท้า ไม่ให้รถกระตุกขณะจอด ก็ทำได้ไม่ยากนัก แค่ต้อง
เลี้ยงแป้นเบรกเอาไว้สักหน่อย ให้เบรกเลียๆ ต่อเนื่องกันนิดนึง แค่นั้น

สรุปว่า ขอให้ระบบเบรก ทำงานไวกว่านี้ แป้นเบรกปรับตั้งให้สูงกว่านี้ หรือ
ตื้นกว่านี้สักหน่อย น่าจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

สมรรถนะที่โหดขนาดนี้ กลายเป็นคำถามย้อนกลับมาว่า แล้วความประหยัดน้ำมันละ จะทำได้
ดีแค่ไหนกัน ถ้าในเมื่อ ตัวเลขจากโรงงาน ระบุว่า เมื่อขับแบบ ในเมือง – นอกเมือง หารเฉลี่ย
รวมกันจะได้ 16.9 กิโลเมตร/ลิตร

เพื่อพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ เราก็เลยทำการทดลองกัน ด้วยวิธีการดั้งเดิม…เหมือนเช่นที่ทำมาตลอด
10 ปี นั่นคือ นำ ActiveHybrid 3 ไปเติมน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 TECHRON เพียวๆ ที่สถานี
บริการน้ำมัน Caltex ถนนพหลโยธิน ตรงข้ามซอยอารีย์ ถัดจากสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ เรา
เติมน้ำมันเบนซิน 95 ในการทดลอง เช่นเดียวกับรถยนต์เบนซิน ทุกคัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

สักขีพยาน มี 2 คน คือน้องโจ๊ก V10ThLnD แห่ง The Coup Team ของเรา

เราเติมน้ำมันกันเพียงแค่หัวจ่ายตัด เพราะสำหรับรถยนต์กลุ่ม Premium หรือรถยนต์ที่มีขนาด
เครื่องยนต์ เกินกว่า 2,000 ซีซี ขึ้นมา หรือมีค่าตัวเกินกว่า 1.5 ล้านบาท มักมีผู้บริโภค สนใจใน
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ไม่ซีเรียสมากเท่ากับกลุ่มรถยนต์นั่งพิกัดต่ำกว่า 2,000 ซีซี หรือ กลุ่ม
รถกระบะ ซึ่งรถยนต์ทั้ง 2 ประเภทดังกล่าว เรายังต้องเขย่ารถเพื่อเติมอัดกรอกน้ำมันอยู่

แต่ในรถยนต์กลุ่ม Primuim ทั้งหมด รวมทั้งรถยนต์นั่งขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ หรือ กลุ่ม
D-Segment เราแค่เติมน้ำมัน ให้หัวจ่ายตัด ก็พอแล้ว

เมื่อเติมน้ำมันจนเต็มถังเรียบร้อยแล้ว เราเซ็ต 0 บน Trip Meter และมาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
รูปแบบต่างๆ บนหน้าจอของรถ แล้วคาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ ออกรถ มุ่งหน้าไปตาม
ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับที่ปากซอย อารีสัมพันธ์ เพื่อมุ่งหน้าไปเลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะออก
มายัง โรงเรียนเรวดี แล้วไปขึ้นทางด่วน ที่ด่านพระราม 6 ขับมุ่งหน้ายาวไปจนถึงปลายสุดทางด่วน ที่
ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับใต้ทางด่วน กลับมาเสียเงินอีก 55 บาท ขึ้นทางด่วนอีกรอบ ขับกันสบายๆ
ตามมาตรฐานเดิม เปิดระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control รักษาความเร็วไว้ที่ 110 กิโลเมตร/
ชั่วโมง เปิดแอร์ อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส และเปิดไฟหน้ารถด้วย

จากนั้น เราลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  เลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับรถที่ใต้สถานี
รถไฟฟ้า BTS อารีย์ เลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex อีกครั้ง เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน Techron
95 เพียวๆ ที่หัวจ่ายเดียวกันกับการเติมครั้งแรก เติมโดยไม่ต้องเขย่ารถอีกเช่นกัน

มาดูตัวเลขที่ ActiveHybrid 3 ทำได้กันดีกว่า 

ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 94.5 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ แค่ 5.72 ลิตร!!!!!
ดังนั้นอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จึงออกมาอยู่ที่ 16.52 กิโลเมตร/ลิตร

ถ้าเปรียบเทียบกับพี่น้องร่วมตระกูล จะพบว่า อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ใน Mode การทดลองของเรา
คือ วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์  นั่ง  2 คน ด้วยน้ำมันเบนซิน 95 หรือ Diesel นั้น ผลที่ออกมา
ของทั้ง Active Hybrid 3 , 328i และ แม้แต่ 320i จะอยู่ในระดับพอๆกัน ใกล้เคียงกันมาก ต่างกันแค่
หลักจุดทศนิยม แน่นอนว่า 328i อาจจะทำตัวเลขด้อยกว่า อยู่ราวๆ 0.2 กิโลเมตร/ลิตร ส่วน 320i
ก็ทำตัวเลขดีกว่ากันราวๆ 0.4 กิโลเมตร/ลิตร แต่แน่นอนว่า

1. Active Hybrid 3 ประหยัดเท่าๆ Ford Fiesta 1.6 ลิตร และแซงหน้า รถเก๋งเล็ก พิกัด 1.5 ลิตร ทุกรุ่น!
2. กระนั้น แชมป์ในกลุ่มนี้ ยังตกเป็นของ 320d Saloon เจ้าเก่า อยู่ดี ตามเคย

แล้วน้ำมัน 1 ถัง ขนาด 57 ลิตร ของ ActiveHybrid 3 จะพาคุณแล่นไปได้ไกลแค่ไหน?

จากการใช้งานจริง ทั้งเหยียบ เรียกอัตราเร่ง ขับสบายๆในเมือง เจอรถติด และสารพัดรูปแบบ
การจราจร นี่เป็นรถยนต์ Hybrid คันแรก ที่ผมต้องเติมน้ำมันเพิ่ม เผื่อไว้ก่อนการถ่ายทำคลิป
วีดีโอ ลง Youtube ทั้งที่ปกติ หากเป็นรถยนต์ Hybrid ทั่วไป คุณสามารถขับไปได้ราวๆ 5 วัน
จนไฟเตือนน้ำมันในถังใกล้หมดจึงจะสว่าง

แต่ ActiveHybrid 3 ผมเลือกเติมน้ำมัน เมื่อเข็มลดต่ำลงเหลือ 1 ใน 4 ของ ถัง และถึงตอนนั้น
เราแล่นมาแล้ว 400 กิโลเมตร แต่น้ำมันในถัง ยังเหลือให้แล่นต่อได้อีกราวๆ 130 กว่ากิโลเมตร
แปลว่า น้ำมัน 1 ถัง ถ้าขับแบบ ปกติชน ทั่วไป น่าจะทำได้ 530 – 550 กิโลเมตร แต่ถ้าขับแบบ
ประหยัดๆ ไม่เหยียบเร่งแซงบ้าบอพร่ำเพรื่อเลย อาจทำได้ถึง 620 กิโลเมตร

แต่…แหม! คุณมีพละกำลัง 340 แรงม้า อยู่ที่อุ้งเท้า จะหักห้ามใจไม่ให้เล่นสนุกบ้าง คงยากละนะ!

********** สรุป **********
335i + มอเตอร์ไฟฟ้า ตอบโจทย์ครบทุกด้านสมดังใจ ในราคา เท่า 5-Series ประกอบไทย

ในคืนวันเสาร์ ที่เราถ่ายทำคลิปสำหรับ Youtube เสร็จสิ้น ผมต้องเช็คไฟล์วีดีโอย้อนหลังอีกครั้ง
เพราะดูเหมือนจะมีปัญหาบางอย่างกับกล้อง โชคดีว่า ไม่ต้องถ่ายทำใหม่ทั้งหมดอีกรอบ…

ตาแพน Commander CHENG ของเรานี่แหละ บอกว่า “เอ่อ ถ้าให้ถ่ายทำอีกรอบ ก็ได้นะ (^__^) “

นั่นไง! ว่าแล้วไม่มีผิดเลยจริงๆ อยากขับอีกละเสะ!

เหมือนกันละครับ ผมว่าผมเจอรถที่ผมไม่อยากคืน อีกคันหนึ่งในปีนี้ อีกจนได้!

ข้อดีของ ActiveHybrid 3 ก็คือ มันเป็น BMW ที่ไม่ว่าใครก็ตาม หากได้ลองขับ น่าจะตกหลุมรัก
ในอัตราเร่งอันสุดแสนจะดึงพรวดพราด ขึ้นไปอย่างนุ่มๆ (แต่โคตรเร็ว เมื่อดูจากเข็มวัดรอบ และ
เข็มวัดความเร็วควบคู่ไปด้่วย) มันเป็นความแรงสะใจ ที่แถมความประหยัดน้ำมันมาให้คุณแบบ
ติดปลายนวม

คุณค่าที่แท้จริงของรถคันนี้ มันไม่ใช่แค่ การที่รถทั้งคัน ถูกประกอบขึ้นในโรงงาน Munich ที่
เยอรมันี มันไม่ใช่แค่การที่ ตัวรถจะมี ชุดแต่ง M Package รอบคัน ที่เหลือ อุปกรณ์ภายใน
ห้องโดยสาร มันก็แทบจะยกชุดมาจาก ทั้ง 320d และ 328i กันทั้งดุ้นเลย

หากแต่ มันอยู่ที่ สมรรถนะ ที่มีมาให้ จนครบถ้วนสมบูรณ์ สามารถซื้อเป็นรถคันเดียว แล้วใช้งาน
ได้ในทุกโอกาสของชีวิต จะขับไปทำงานในเมือง ก็ยังหาความประหยัดได้อยู่ หรือจะไปงานเลี้ยง
สังสรรค์ ปาร์ตี กับเพื่อนฝูง ก็ไม่อายใคร แถมยังเด่นกว่าเพื่อนที่ขับ 3-Series รุ่นประกอบในไทย
คันอื่นๆ ด้วยซ้ำ จะพาคุณพ่อคุณแม่ อากงอาม่า ไปกินข้าว วันหยุด ก็ยังไม่โดนบุพการีสุดที่รัก บ่น
เรื่องช่วงล่างแน่ๆ เพราะคราวนี้ มีความนุ่มสบายมาให้ แถมถ้าเจอพวก Vigo / Fortuner หรือ
Camry กับ Altis ขับรถไร้มารยาท มาจี้ตูด คุณก็แค่ เหยียบคันเร่ง สักครึ่งหนึ่ง ปล่อยให้ ขุมพลัง 
เบนซิน + มอเตอร์ไฟฟ้า ในระบบ Hybrid พาคุณผ่านพ้นจากคนวิกลจริตทางความคิดเหล่านั้น ได้
อย่างรวดเร็ว เกินกว่าคำว่าทันใจ แถมทิ้งหนีจนห่างไกล ไม่เห็นในกระจกมองหลังอีก หรือแม้แต่เกิด
เหตุด่วน ต้องพาบุตรหลานไปส่งโรงพยาบาลกลางดึก อัตราเร่งที่มีมาให้เกินความคาดหมาย การเซ็ต
พวงมาลัย และช่วงล่าง ที่แอบ Firm ขึ้นกว่า 3-Series F30 รุ่นอื่นๆ ก็จะช่วยให้คุณ “มุดในภาวะ
ฉุกเฉิน” ได้อย่างมั่นใจ และทันเวลา ผ่านนาทีวิกฤติช่วงนาทีชีวิตไปได้แน่ๆ

ที่สำคัญ ระบบ Hybrid ยังปล่อยให้คุณขับรถคันนี้ได้ด้วยความเร็วถึง 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะบน
ทางด่วน คลานในเมือง หรือ ปากซอยเข้าบ้าน ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เพียวๆ อยู่พักใหญ่ ซึ่งช่วยให้คุณ
ประหยัดน้ำมันขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ไปได้มาก ถ้าไฟในแบ็ตเตอรีของระบบ มันเหลือพอนะ

นานที กี่ปีหน ก็ไม่รู้ ที่เราจะได้เห็น รถยนต์ สักคันถูกสร้างขึ้นมา ให้มีคุณสมบัติ ครบถ้วน อย่างที่เรา
คาดหวัง ในทุกด้าน ทั้งแรง ประหยัด ขับสนุก นั่งสบาย และวันนี้ ผมว่า เราเจอรถคันดังกล่าวแล้วละ….

แต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อด้อยไปเสียทีเดียว ActiveHybrid 3 ยังต้องการ ระบบเบรกที่ให้การตอบสนอง
ได้ดีกว่านี้ หน่วงรถจากช่วงความเร็วสูงได้ดีกว่านี้ ไม่ใช่ว่าเหยียบแป้นเบรกลงไปตั้งครึ่งหนึ่งของ
ระยะเหยียบทั้งหมดแล้ว รถก็ยังหน่วงความเร็วลงมาอย่างช้าๆ อีเรื่อยเฉื่อยแฉะ ต้องเหยียบเพิ่ม
จึงจะเริ่มเห็นอาการหน่วงที่มากขึ้น ชะลอรถลงมาได้มากขึ้น แป้นเบรก มาในสไตล์ รถยุโรป
รุ่นเก่าๆ ที่ค่อนข้างจะเตี้ยไป และให้ความมั่นใจไม่มากเท่าที่ควรเป็น

ขณะเดียวกัน ระบบกันสะเทือน แม้ว่าจะ Firm ขึ้นกว่า 3-Series F30 รุ่นอื่นๆ แต่นั่นยังคงมีอาการ
ดิ้นเล็กๆ เมื่อจัมพ์คอสะพาน ด้วยความเร็วพอประมาณ ผมยังมองว่า ช่วงล่างของ 320d รุ่น E90
Minorchange ตัวสุดท้าย รุ่นปี 2011 นั่นละ คือช่วงล่างที่ลงตัวที่สุดของ 3-Series ทุกรุ่นเท่าที่มีมา
และถ้าเปรียบเทียบกับรุ่นปัจจุบันแล้ว ช่วงล่างของ ActiveHybrid 3 จะอยู่กึ่งกลางระหว่าง 328i
(ที่แรง แต่นุ่มไปหน่อย) กับ 320d E90 ปี 2011 (ที่ลงตัวพอดี ทั้งความหนึบแน่น และซับแรง
สะเทือนได้ดีมากๆ) นั่น

และ ถ้าอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จากการขับขี่คงที่ จะสามารถไต่ระดับขึ้นไปเกิน 17 กิโลเมตร/ลิตร
ได้ด้วยเมื่อไหร่ละก็ นั่นจะยิ่งประเสริฐเลยทีเดียว

คำถามก็คือ คุ้มไหม ที่จะควักกระเป๋าสตางค์ จ่ายเงินเพื่อเป็นเจ้าของ?

BMW ActiveHybrid 3 รุ่นมาตรฐาน     ราคา 4,199,000 บาท
BMW ActiveHybrid 3 รุ่น M Sport   ราคา 4,399,000 บาท
BMW ActiveHybrid 3 รุ่น M Sport   ราคา 4,499,000 บาท  
พร้อมล้ออัลลอยขนาด 19” และ ช่วงล่าง M แบบปรับตั้งได้

เห็นราคาแล้ว หลายคนร้องว่าแพง…แต่ถ้าผมจะบอกว่า นี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วของ ทาง
BMW Thailand ในการ นำรถยนต์รุ่นนี้ เข้ามาขายในฐานะรุ่นแพงสุดของตระกูล แทนที่จะ
เป็น 335i ละ? เชื่อไหมว่า ถ้าสั่ง 335i มาขายจริงๆ ราคาขายปลีกในไทยของ 335i อาจแพงกว่า
ActiveHybrid 3 !?

เหตุที่มีแนวโน้มว่าค่าตัว ActiveHybrid 3 ในไทย จะถูกกว่า 335i ก็เพราะว่า การคิดคำนวนภาษีอัตรา
พิเศษให้กับรถยนต์ Hybrid ในบ้านเรา ช่วยให้ค่าตัวของ ม้าหนุ่มเลือดร้อน คันนี้ ลงมาอยู่ในระดับ
ที่ตั้งขายกันอยู่ได้

เพราะถ้าเป็น 335i รุ่นพื้นฐาน ลองคำนวนจากราคาขายปลีก รวมภาษีนำเข้า 243.94% ก็ปาเข้าไป
4,600,000 บาท และถ้าจะต้องตั้งราคาขายให้พอมีกำไรอยู่รอดได้ มันต้องมีตัวเลขป้ายราคาอยู่ที่
คันละ 4,900,000 – 5,100,000 ล้านบาท เลยทีเดียว! ใครจะซื้อละครับ 3-Series คันละ 5 ล้านบาท?

ลองคิดดูเล่นๆว่า ถ้าคุณได้ BMW 335i ในราคา 4,500,000 บาท แถมมอเตอร์ไฟฟ้า และระบบ
ขับเคลื่อนแบบ Hybrid ที่ช่วยทำให้รถของคุณ แรงขึ้นกว่า 335i ปกติ แต่จ่ายในราคาที่ถูกกว่า
335i แบบธรรมดา เพียวๆ เลยละ? นั่นละคือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ กับรถคันนี้!

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับค่าตัวของ 328i ประกอบในประเทศ ซึ่งอยู่ที่ 3,099,000 บาท แล้ว นั่น
เท่ากับว่า คุณต้องเพิ่มเงินอีกราวๆ 1,100,000 บาท เพื่อให้ได้เป็นเจ้าของ ActiveHybrid รุ่น Basic
ซึ่งก็จะมีอุปกรณ์ประจำรถ ไม่ครบเท่ากับรถคันที่เราทดลองขับ (รุ่น M Sport ราคา 4,399,000 บาท)

นั่นแพงอยู่นะ

ยิ่งเมื่อเทียบกับ ราคาของ 5-Series F10 ประกอบในปรเทศไทย CKD ณ วันที่บทความนี้เผยแพร่
(29 กรกฎาคม 2013) ยิ่งเห็นภาพชัดเจนเลยว่า การลงทุนซื้อ 5-Series รุ่นประกอบที่ระยอง ดูจะ
คุ้มกว่า ในแง่ของเศรษฐศาสตร์

ก็ดูราคา เอาสิครับ

520i  ราคา  3,599,000 บาท
520d ราคา  3,599,000 บาท
528i  ราคา  4,099,000 บาท
525d ราคา  4,249,000 บาท
528i Sport 4,299,000 บาท

ชัดเจนนะครับ ถ้ามองในแง่ความคุ้มค่า ในมุมของคนทั่วไป เมื่อราคาของ ActiveHybrid 3 ดันไป
คาบเกี่ยวกับ 5-Series อย่างช่วยไม่ได้เช่นนี้ การซื้อ 5-Series ก็ดูจะมีเหตุผลกว่า ต่อให้มีเงินเท่ากัน
528i ก็ยังจ่ายถูกกว่า 100,000 บาท และได้ขนาดตัวถังใหญ่กว่า ห้องโดยสารใหญ่กว่านิดหน่อย
ได้เครื่องยนต์เดียวกับ 328i และสมรรถนะ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันมากนัก ไม่เช่นนั้น ก็กระโดด
ไปเล่น 525d ที่ได้แรงบิดในรอบต่ำ ดีมากๆ ขับสนุกไม่แพ้กันเลย

แต่ ความจริงข้อหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้เลยคือ 5-Series F10 รุ่นที่มีราคาเกิน 4 ล้านบาท ซึ่งขายอยู่
ในบ้านเราตอนนี้ ทำตัวเลขอัตราเร่ง และความประหยัดสู้เจ้า ActiveHybrid 3 ไม่ได้แน่ๆ เพราะ
เจ้านี่ มันแรงน้องๆ M3 เลยทีเดียว สเต็ปถัดขึ้นไป นี่ก็ M3 แล้วนะ อีกทั้งการหาที่จอดให้ชายกลาง
อย่าง 5-Series ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การกะระยะต่างๆ มันก็ยังไม่ถึงกับคล่องตัวเท่า 3-Series

ดังนั้น ถ้าเรื่องเงิน ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคุณ แถมปกติ ชีวิตประจำวันของคุณ ขับรถคนเดียวเป็นหลัก
ชอบความแรงเป็นชีวิตจิตใจ อาจมีผู้โดยสารมานั่งด้วยในบางครั้ง คุณอยากได้ความแรงในแบบครบๆ
จบทีเดียว ไม่ต้องไปแต่งเพิ่ม หรือ Modify เครื่องยนต์ เพิ่ม ให้เสียเวลาทำมาหากิน

ActiveHybrid 3 ไปเลยครับ และถ้าเงินเหลือ การเพิ่มตังค์อีก 100,000 บาท กับล้อ 19 นิ้ว และช่วงล่าง
แบบ ปรับตั้งได้

นับว่าคุ้มอยู่ ถ้าคุณอยากได้เพื่อนคู่ใจที่ไปไหนกับคุณได้ อย่างที่ใจต้องการ (ถ้ามันไม่ใช่ทาง Off-Road)

แต่ถ้าเงินของคุณ ไม่ได้เหลือกินเหลือใช้มากมายพอให้เป็นเจ้าของ ActiveHybrid 3 กันละ?

กลับมามอง 3-Series F30 ประกอบในประเทศ รุ่นอื่นๆ ก็เหลือเฟือเพียงพอแล้ว!

——————————///——————————

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :

คุณพิสมัย เตียงพาณิชย์
ฝ่ายประชาสัมพันธ์

และ คุณ Opas Noppornpitak
Specialist Product Management

บริษัท BMW (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

—————————————–

บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม
– บทความ ทดลองขับ BMW 320d (F30) Sport ทั้งรุ่น Saloon และ Touring Wagon
– บทความ ทดลองขับ BMW 320i และ 328i (F30)
บทความ ทดลองขับรถยนต์ กลุ่ม Premium Compact

—————————————–

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน (ยกเว้นภาพถ่ายกราฟฟิกหน้าจอ เป็นลิขสิทธิ์ของ BMW AG.)
สหพันธรัฐเยอรมนี ส่วน ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
29 กรกฎาคม 2013

Copyright (c) 2013 Text and Pictures (Except from Screen Monitor is own by BMW AG.)
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com

July 29th,2013

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE