เช้ามืดวันที่ 20 กรกฎาคม 2559

นาฬิกาปลุกเวลา 05.00 น. ร่างที่อยู่บนเตียงกระโดดพุ่งไปเตรียมร่างกาย ล้างหน้า
อาบน้ำแต่งตัว วิ่งไปคว้ากล้อง หยิบกุญแจรถ ออกจากบ้าน กายดูยังไม่พร้อมเพราะคืน
ก่อน ผมตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ จะหลับตาลงไปได้อย่างไรเล่าครับ ในเมื่อผมทราบอยู่ว่า
วันรุ่งขึ้นมีงานใหญ่รออยู่ แต่ต่อให้งัวเงียขนาดไหน ผมตั้งใจว่าวันนี้ต้องไม่พลาด ว่าแล้ว
ก็ขับรถจากบ้านที่จังหวัดสุรินทร์ไปสนามบินจังหวัดบุรีรัมย์

thumbnail_P1040275

สื่อมวลชนท่านอื่นๆ และทีมงานจากบริษัท นิช คาร์ กรุ๊ปนั้นต้องเดินทางมาจากกรุงเทพ
น่าจะเป็นโชคดีที่สถานที่จัดงานในวันนี้อยู่ใกล้มาทางถิ่นอาศัยของผม หาไม่เช่นนั้นแล้ว
ก็คงต้องตื่นมาสนามบินดอนเมืองกันตั้งแต่ตี 4 ครึ่งเหมือนกับคนอื่นๆแน่นอน

เมื่อเครื่องร่อนลงจอดและผู้โดยสารลงมาทุกคน ผมทักทายพี่ๆสื่อมวลชนที่เคยพบกันสมัย
เดินทางไปเยอรมนี และได้เจอพี่ฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ กับพี่แพน (งานนี้ผมต้องขอบคุณ
พี่ฉ่างที่โทรมาชวนและช่วยคุยกับทาง นิช คาร์จนผมได้รับเชิญไปงานนี้ในนาทีเกือบสุดท้าย
ขอบคุณจริงๆครับ)

ผมรับพี่ฉ่าง กับพี่แพน (ซึ่งวันนี้มาในนามของนิตยสาร GQ Magazine- ผมเรียนชี้แจงไว้ก่อน
เผื่อผู้อ่านบางท่านจะสงสัยว่าทำไมพี่แพนก็มาด้วยแล้วยังให้ผมเขียนบทความนี้) ขึ้นรถมา
จากสนามบิน ขับเป็นระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร วิ่งนำรถทัวร์ของคณะสื่อมวลชนมาสู่
สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นนัล เซอร์กิต

2016_Huracan_allcandies

เพียงแค่มาถึงสนามและลงจากรถ ก็มีกระทิงดุหลากสีมาจอดรอต้อนรับเราเลย เพียง
แค่ได้เห็นก็ใจสั่นระรัวแล้วครับ หลายคนรวมถึงผมชักกล้องหรือสมาร์ตโฟนออกมา
เก็บภาพกันอย่างสะใจ ก่อนที่ทีมงานจะต้อนพวกเราขึ้นไปที่ห้องประชุม เพื่อทำการ
ลงทะเบียนรับบัตรหมายเลขประจำตัวและสายคล้องมือ กรอกฟอร์มขออนุญาต
ทดลองขับ และร่วมรับประทานอาหารเช้า เติมกาแฟให้ร่างกายสดชื่น

เวลา 08.00 น.
ถึงเวลาบรีฟเกี่ยวกับเจ้า Huracán สักหน่อย โดยมีทีมงานจากทีม Lamborghini แห่ง
Asia Pacific มาร่วมให้การบรรยาย เริ่มด้วยคุณ Julie Taieb-Doutriaux ซึ่งมีตำแหน่ง
เป็น Head of Marketing & PR Asia Pacific at Automobili Lamborghini S.p.A.
และคุณ Malcolm Hillary ซึ่งมีตำแหน่งเป็น Aftersales Area Manager ของ
Lamborghini Asia Pacific ซึ่งมาบรรยาคุณลักษณะของรถ Huracán ทั้ง 3 รุ่น โดย
สามารถเขียนสรุปแบบย่อได้ดังนี้

P1040224

Huracan เป็นรถที่สร้างมาเพื่อจับตลาดลูกค้าที่ต้องการ Lamborghini แบบที่
ขับใช้งานได้ทุกวัน ซึ่งรถประเภทนี้แต่เดิมจะมี Gallardo ทำตลาดอยู่ และเป็นรถ
ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในทุกๆปี โดยที่ Gallardo เป็นรถที่สร้างยอดขาย
ให้กับทางค่ายมากที่สุด ซึ่งถ้าดูยอดขายย้อนหลังแล้ว ในปี 2010 พวกเขาขายรถได้
1,302 คัน ปี 2011 ขายได 1,602 คัน และล่าสุดในปี 2015 ขายไปได้ถึง 3,245 คัน

P1040229

ในปัจจุบันนั้น Huracan จะมีจำหน่าย 3 รุ่นหลัก (ไม่นับรุ่นพิเศษอย่าง Polizia และ
รุ่น Avio) ได้แก่

-Lamborghini Huracán LP610-4 เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาแบบ AWD
ที่เน้นไปทาง Performance สำหรับลูกค้าที่ต้องการสมรรถนะของตัวรถอย่างจริงจัง
-Lamborghini Huracán LP610-4 SPYDER ก็คือรถรุ่น LP610-4 ที่สามารถเปิด
หลังคาท้าสายแดดได้ รถรุ่นนี้จะมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้า Lifestyle ที่ต้องการ
ความโดดเด่นเวลาขับขี่มากกว่า แต่สมรรถนะก็ไม่ได้ด้อยลงไป มีเพียงน้ำหนักตัวรถ
ที่เพิ่มขึ้น และความแข็งแรงของตัวถังบางจุดที่ได้ปรับปรุงไปเพื่อให้มีความปลอดภัย
สำหรับรถที่เปิดหลังคาช่วงกลางได้
-Lamborghini Huracán LP580-2 เป็นรุ่นที่มีน้ำหนักตัวเบาที่สุด และใช้ระบบขับเคลื่อน
ล้อหลัง เป็นรถที่มีปรับจูนตามแนวคิด Fun To Drive เน้นความสนุกในการขับขี่
มีบุคลิกที่เน้นการ “กวาดท้ายออก” มากกว่ารุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งจะมอบความตื่นเต้น
และรสชาติการขับขี่แบบแมนๆ มากกว่าที่จะเน้นการทำเวลารอบสนามแข่ง

เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ผมขอเสริมข้อมูลเกี่ยวกับ Huracán อีกสักหน่อยแล้วกันนะครับ
ในช่วงที่มันยังเป็นโครงการลับของ Lamborghini อยู่นั้น พวกเขาใช้ Code Name
เรียกขานรถรุ่นนี้ว่า LB724 และมีจุดประสงค์การพัฒนาเพื่อมาแทน Gallardo นั่นเอง
คำว่า Huracán อ่านว่า ฮูราคาน  มาจากภาษาสเปนที่แปลว่า “เฮอร์ริเคน”
ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชื่อกระทิงที่เคยลงสนามสู้วัวในปี 1879 ซึ่งก็ตั้งไปตาม
ประเพณีของ Lamborghini ที่จะต้องคิดชื่อรถให้เกี่ยวดองกับกระทิงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ถ้าใครอยากเท่ห์ ออกเสียงให้เหมือนคนอิตาลีที่ Lamborghini เด๊ะๆ ก็ให้อ่านออก
เสียงว่า “อู – รา – คาน” เสียงแรกเป็น อ.อ่างครับ

นอกจากนี้ คำว่า Huracan ในภาษาเผ่ามายา ยังหมายถึงเทพเจ้าแห่งลมอีกด้วย

5_78100_1442412992

หัวหน้าผู้รับผิดชอบโครงการ LB724 นี้ในด้านการวิจัยและพัฒนาคือ Maurizio
Reggiani : Research & Development Director Automobili Lamborghini SPA

filippo-perini-head-of-centro-stile

ส่วนผู้รับผิดชอบการออกแบบคือ Filippo Perini Head of Design at Automobili
ซึ่งมีแนวทางการออกแบบโดยจะนำเอาเส้นสายตัวถังจาก Aventador กับสถาปัตยกรรม
แบบ 6 เหลี่ยม/8 เหลี่ยมมาผนวกในส่วนต่างๆของรถ มันยังคงความเป็นรถเครื่องวาง
กลางลำเช่นเดียวกับ Gallardo แต่สิ่งที่ได้รับการออกแบบให้ดีขึ้นคือส่วนหลังคา ซึ่งทาง
Lamborghini เคยทำแบบสอบถามไปยังลูกค้าที่ซื้อ Gallardo และได้ความว่าลูกค้า
จำนวนมากบอกว่าคงจะดีไม่น้อยถ้าได้พื้นที่เหนือศีรษะเพิ่มขึ้นสักนิด

Huracan เปิดตัวครั้งแรกในงานเจนีวาออโตโชว์ในต้นปี 2014 และเริ่มขายจริงในช่วง
ครึ่งปีหลังของปี 2014 จนถึงปัจจุบัน ตามมาด้วยรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง LP580-2
แล้วก็รุ่น LP610-4 Spyder ซึ่งทั้ง 3 รุ่นนี้ก็ถูกนำมาขายในไทยด้วยเช่นกัน
โดยที่แต่ละรุ่นมีราคาเริ่มต้นดังนี้

330174

Huracan LP610-4 Coupe ราคา 24.8 ล้านบาท ขับเคลื่อน 4 ล้อ เบรกคาร์บอนเซรามิก
ขนาด (กว้างxยาวxสูง) : 1,924 มม. X 4,459 มม. X 1,165 มม. ฐานล้อยาว 2,620 มม.
น้ำหนักตัวรถสุทธิ (ไม่รวมของเหลว) : 1,422 กิโลกรัม
การกระจายน้ำหนัก หน้า-หลัง : 43% – 57%

2016_HuracanSpyder_Press

Huracan LP610-4 Spyder ราคา 26.8 ล้านบาท ขับเคลื่อน 4 ล้อ เบรกคาร์บอนเซรามิก
ขนาด (กว้างxยาวxสูง) : 1,924 มม. X 4,459 มม. X 1,165 มม.ฐานล้อยาว : 2,620 มม.
น้ำหนักตัวรถสุทธิ(ไม่รวมของเหลว) : 1,542 กิโลกรัม
การกระจายน้ำหนัก หน้า-หลัง : 43% – 57%

2016_HuracanLP5802Press

Huracan LP580-2 Coupe ราคา 22.8 ล้านบาท ขับเคลื่อนล้อหลัง เบรกจานเหล็ก
ขนาด (กว้างxยาวxสูง) : 1,924 มม. X 4,459 มม. X 1,165มม. ฐานล้อยาว : 2,620 มม.
น้ำหนักตัวรถสุทธิ (ไม่รวมของเหลว) : 1,389 กิโลกรัม

หลังจากเรียน รู้ตัวรถเสร็จแล้ว ก็ถึงการเรียนรู้ในการขับขี่ คุณ Filippo Zadotti
ซึ่งมีตำแหน่งเป็น Chief instructor of experienza acadamia of Europe and middle east
ได้มาแนะนำหลักสูตรในการขับ Lamborghini ในวันนี้ โดยแนะนำหลักสูตรการขับและการ
แข่งขันโดยเรียงลำดับดังนี้

เริ่มจากหลักสูตรสำหรับบุคคลทั่วไปที่เป็นเจ้าของ Lamborghini สามารถร่วมได้
-Lamborghini Esperienza : เป็นคอร์สเริ่มต้นสำหรับบุคคลทั่วไปที่ยังไม่มีทักษะใน
การขับรถสมรรถนะสูง โดยรอบสื่อมวลชนจะได้รับการอบรมและขับขี่ในคอร์สนี้ โดยใช้รถ
สแตนดาร์ดโรงงาน
-Lamborghini Accademia The Ultimate Test : เป็นคอร์สที่ยังใช้รถสแตนดาร์ดโรงงาน
โดยผู้เข้าร่วมต้องเป็นเจ้าของรถ Lamborghini ตัวจริง และจะมีการสอนการขับขี่แบบขั้นสูง
เพื่อรับมือสถานการณ์ต่างๆ เพื่อควบคุมตัวรถได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และปลอดภัย

ต่อมาเป็นการแข่งขันที่จัดโดย Lamborghini ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 คลาส
-Super Trofieo The ultimate One make Series เป็นการแข่งในคลาสเริ่มต้นโดยใช้รถที่
โมดิฟายเหมือนกันทุกคัน เน้นเฟ้นหานักแข่งรุ่นใหม่ โดยจะแบ่งการแข่งขันเป็นทวีป
เป็นโซนอเมริกา ยุโรป และเอเชีย และในสนามสุดท้ายจะนำผู้ชันในแต่ละทวีปมาแข่งร่วมกัน
ที่ประเทศสเปน
-GT3 The Ultimate Contest เป็นการแข่งขันรุ่นสูงสุดที่ทาง Lamborghini จัดการแข่งขันขึ้น
โดยเป็นนักแข่งที่ผ่านการแข่งในคลาส Super Trofieo มาแล้ว

EXP-EDITED-193

หลังจากนั้นคุณ Filippo ก็ได้แนะนำการขับรถคร่าวๆ ก่อนไปเจอของจริง เช่น ตำแหน่งการนั่ง
ขับที่ถูกต้อง การจับพวงมาลัย การวางตำแหน่งเท้าอย่างไรให้เหมาะสมและรับรู้ความรู้สึก
ถึงตัวรถมากที่สุด จากนั้นก็แนะนำ instructor ที่จะมาสอนเราขับเจ้ากระทิงดุในวันนี้
จากซ้ายไปขวานะครับ

1 .อาจารย์ บ๊อบบี้ Robert Boughey
2. คุณ Filippo (วันนี้ไม่ได้มาสอนขับ แต่มาดูแลความเรียบร้อยให้)
3.อาจารย์ อู๋ เมฆสิทธิ์ วีระปรศุ
4. อาจารย์ อั๋น สิรคุปต์ เมทะนี

2016_Huracan_Spyder_L

เมื่อจบจากการบรรยายแล้ว เราก็ย้ายลงมาที่พิทข้างล่าง วันนี้เท่าที่นับดูน่าจะมีกระทิงมา
รวมกันราว 10 คันเห็นจะได้ครับ มีการเอารถรุ่น LP610-4 Spyder มาจอดให้พวกเราถ่าย
ภาพกันเล่นๆด้วย แต่รถที่เราจะได้ลองขับกัน จะมีแต่รุ่นหลังคาแข็ง LP610-4 และ
LP580-2 เท่านั้น (ซึ่งก็พอแล้วล่ะ!)

เรามาสำรวจรถกันก่อนดีกว่าครับ

 

2016_Huracan_Entry

เมื่อเปิดประตูแล้ว ก็จะเห็นห้องโดยสารแบบนี้ สำหรับรถที่นับว่าเป็นซูเปอร์คาร์
อย่าง Huracan นี้ การเข้าออกถือว่าง่ายทีเดียว ผมกระโดดขึ้นไปนั่ง เข้า/ออก
ไม่ยากเท่าไหร่ แค่ติดตรงหัวนิดหน่อยบริเวณเสาหลังคา ต้องก้มหัวหลบมาก
ตามประสารถเตี้ย ถ้าคุณคิดว่ามันเป็นเพราะผมผอมและยังอายุไม่เยอะ
ก็….ลองดูนี่แล้วกัน

..

 

P1040346

ก็อย่างที่เห็นในภาพครับ

P1040347

ขนาดคนหุ่นใหญ่พิเศษ XXXXXL อย่างพี่แพนยังสามารถเข้าไปนั่งได้ คนตัวผอมอย่าง
พวกเรานี่สบายใจได้ครับ พี่แพนบอกว่าวิธีการเข้าไปนั่ง ไม่ได้ต้องมีพิธีกรรมอะไรพิเศษ
แค่เปิดประตู เอาขาขวาเข้าไป เอาก้นนั่งลงบนเบาะ ไถตัวเข้าชิดขวา (รถพวงมาลัยซ้าย
นะครับ) เอนตัวมาทางขวาแล้วตวัดเอาเท้าซ้ายเข้ามา ให้นึกถึงการขึ้นนั่งรถสปอร์ต
2 ประตูแบบปกติทั่วไป เพียงแต่เบาะนั่งและหลังคามันเตี้ยกว่ารถปกติมาก เลยลำบาก
ตอนก้มหัว เท่านั้นเลย พี่แพนบอกว่าเข้า/ออกง่ายเท่า AMG GT-S แต่ยากกว่าก็แค่
เรื่องการก้มหลบหลังคาที่เตี้ย เท่านั้นเลย

P1040440

เบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบบัคเก็ตซีท ตัวเบาะแต่ละรุ่นทรงเดียวกัน ผมเลือกถ่ายเบาะ
ของตัว Spyder มาเพราะรถไม่มีหลังคาถ่ายมุมให้เห็นเบาะครบๆได้ง่ายกว่าครับ
ตัวเบาะเป็นหนังแท้สลับหนังกลับ เลือกสีได้มากมาย สามารถปรับด้วยไฟฟ้า
ขึ้น/ลง เทหน้า/หลัง และเอนได้

เท่าที่ดูแล้ว ไม่ใช่เบาะสเป็ครถแข่งแบบโหดๆแข็งๆที่โอบและรัดตัวผู้ขับแบบสุดๆ แต่
มีปีกข้างที่ค่อนข้างใหญ่มากเมื่อเทียบกับรถทั้งหมดที่ผมเคยนั่งมา ตัวเบาะรองนั่ง
มีความแข็งพอประมาณ พี่แพนบอกว่ารถประเภทที่เน้นการซิ่งแบบนี้เบาะจะนุ่มมาก
ไม่ได้ เพราะถ้าหากนุ่มเกินไป ความรู้สึกจากพื้นถนนที่ส่งผลต่อประสาทสัมผัสในการ
จับอาการไถลของรถจะไม่ดีเท่าเบาะแข็งๆ

P1040459

หน้าตากุญแจรีโมทของ Lamborghini ครับ

lamborghini_huracan_lp_610-4_8 P1040448

แผงแดชบอร์ดของ Huracan มีการผนวกเอาดีไซน์ 6 เหลี่ยมเข้ามาใช้ตามจุดต่างๆ
เช่นช่องแอร์ และชุดสวิตช์ควบคุม เจ้าของรถสามารถเลือกการตกแต่งและสีสันได้
ตามใจชอบ (Lamborghini มีออพชั่น Ad Personam ที่ให้ลูกค้าเลือกสีสันและการ
แต่งรถแบบที่ตัวเองต้องการได้..ถ้ามีเงินจ่ายเสียอย่าง) นอกจากนี้ แม้จะเป็นซูเปอร์คาร์
แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่แพ้รถซาลูนหรูๆ เช่นมีกล้องมองหลัง และเซ็นเซอร์
กะระยะรอบคัน

พวงมาลัย 3 ก้านขนาดวงเล็ก ก้านอวบ จับถนัดมือ ย้ายเอาสวิตช์ควบคุมต่างๆ
มาอยู่บนพวงมาลัยหมด ดังนั้นถ้าใครชินกับการขับรถทั่วไป มาเจอ Huracan ครั้งแรก
อาจจะสับสนอยู่บ้าง สังเกตดูได้ครับว่าไม่มีก้านไฟเลี้ยวและก้านปัดน้ำฝน เขาเอา
ก้านทั้งสองออกเพื่อให้ขยาย Paddle shift ให้โตเต็มพื้นที่ ส่วนไฟเลี้ยวนั้นก็ย้ายมาอยู่
ที่ก้านพวงมาลัยด้านซ้าย ดันซ้าย/ขวาเพื่อเปิดไฟเลี้ยวและกดลงไปตรงๆเพื่อดับไฟเลี้ยว
มีปุ่มสำหรับตบไฟสูงอยู่ถัดไปด้านบน ส่วนระบบปัดน้ำฝนก็อยู่ที่ก้านพวงมาลัยขวา
ดันไปทางขวาเพื่อเพิ่มความเร็วการปัด

นอกจากนั้นบนพวงมาลัยซีกซ้ายจะมีสวิตช์สำหรับควบคุมจอหน้าปัดและการแสดง
ข้อมูล ส่วนทางขวาอีกด้านก็มีสวิตช์สำหรับระบบ Cruise Control ไม่มีสวิตช์สำหรับ
ระบบเครื่องเสียงใดๆ ผมเดาว่าคนที่ขับ Lambo น่าจะฟังเสียงเครื่องมากกว่าเครื่องเสียง
อยู่แล้วเลยไม่จำเป็น (หรือเปล่า?)

P1040454

ใต้ช่องแอร์ซ้ายสุด จะมีสวิตช์เรียงกันเป็นตับ สำหรับการควบคุมไฟหน้า/ไฟหรี่ และ
ชุดไฟตัดหมอกต่างๆ เนื่องจากสวิตช์มันไม่เหมือนกับรถทั่วไป มือใหม่หัดขี่กระทิง
อาจต้องจำตำแหน่งสวิตช์เอาไว้หน่อยครับ เวลาขับจะได้ไม่เปิดผิดอัน

P1040406

ส่วนคอนโซลกลางไล่จากข้างบนลงมา ใต้ช่องแอร์เป็นชุดมาตรวัด Tri-meter
แผงสวิตช์ควบคุม ตามมาระบบปรับอากาศ เครื่องเสียง และระบบนำทาง ถัดลงมาเป็น
สวิตช์สำหรับสตาร์ท ลักษณะคล้ายสวิตช์เครื่องบินรบ ต้องเปิดฝาสีแดงๆออกก่อน
ถึงจะกดปุ่มได้ถนัด แต่ตัวฝานี้ก็มีรูนะครับ ถ้าใครใช้นิ้วเก่ง แยงๆซอกซอนได้ก็จะ
สามารถกดปุ่มสตาร์ทได้โดยไม่ต้องเปิดฝา ผมว่าฝาแดงๆนี่มีเอาไว้เพื่อกันไม่ให้
ใครไปโดนปุ่มโดยบังเอิญนั่นล่ะครับ ถัดลงมาอีกก็จะเป็นชุดควบคุมการทำงาน
ของเกียร์ (R-ถอยหลัง, P-Park ส่วนปุ่ม M ไว้สลับระหว่างโหมด Auto/Manual)
และด้านหลังสุดเป็น Parking Brake

P10404582

ชุด Tri-meter จะประกอบไปด้วย แรงดันน้ำมันเครื่อง, อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง และ
พลังไฟของแบตเตอรี่ ขนาดค่อนข้างเล็กครับ และเวลาลงไปนั่งในรถจริงจะสังเกต
ค่อนข้างยากพอสมควร แต่มีเสน่ห์ตรงเขียนกำกับทุกอย่างเป็นภาษาอิตาลีนี่ล่ะ

P1040456

ชุดสวิตช์ควบคุมเรียงเป็นตับ มีความแปลกตามสไตล์ของ Lamborghini คือ
กระจกไฟฟ้าซ้ายและขวาจะมาอยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่ประตูครับ ดังนั้นไม่ว่าคนขับ
หรือคนนั่งจะใช้ก็มากดเอาตรงกลางนี้ล่ะ ส่วนอันที่ 2 จากซ้ายเป็นสวิตช์สำหรับ
กดเพื่อยกส่วนหน้าของรถขึ้นได้ 45 มิลลิเมตร สำหรับการขับขึ้นที่จอดรถชันๆ
ถัดไปทางขวา คือปุ่มปิดระบบ ESC ตามด้วยสวิตช์ไฟฉุกเฉิน สวิตช์เซ็นเซอร์หลัง
สวิตช์สำหรับปิดระบบ Auto Start/Stop (ใช่ครับ Huracan มีระบบนี้!) และปิด
ท้ายด้วยสวิตช์กระจกไฟฟ้าของคนนั่งอีกฝั่ง

หน้าตาสวิตช์ ดูมีศิลปะล้ำยุค คล้ายแผงควบคุมของพวกเครื่องบินรบ แต่เอาจริงๆ
คนที่เคยขับแต่รถทั่วไปแบบผมต้องทำความชินอยู่สักพักเหมือนกัน

2016_Huracan_instru

แผงมาตรวัด เน้นความใหญ่โตของมาตรวัดรอบตามสไตล์รถสมรรถนะสูง
เป็นจอ TFT สีสันสดใสขนาด 12.3 นิ้ว สามารถใช้สวิตช์ที่พวงมาลัยด้านซ้าย
ในการกดเพื่อเลือกการแสดงผลต่างๆได้ อย่างที่โชว์อยู่นี้จะเป็นแบบที่ทาง
Lamborghini เซ็ตไว้ให้เราใช้ แต่ที่จริงก็สามารถเลือกให้แสดงมาตรวัดรอบ
เอาไว้ตรงกลาง หรือจะให้แสดงเป็นเข็มความเร็วขนาดใหญ่แทนวัดรอบก็ได้
เวลานั่งลงไปในรถ วัดรอบอยู่ในตำแหน่งที่อ่านค่าได้ง่ายและชัดเจนดี แต่ตัว
เลขความเร็วอยู่เยื้องลงมาด้านล่างมากไปสักนิด เวลาลองนั่งแล้วชำเลืองมอง
แว่บแบบเร็วๆอ่านค่าได้ไม่ถนัดเท่าพวกเข็ม

 

รายละเอียดทางวิศวกรรม: Lamborghini Huracan

P1040423

เครื่องยนต์รอบจัดเสียงหวานของ Huracan วางอยู่ตรงกลางลำของบอดี้รถ
มีออพชั่นฝาครอบเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งแบบที่เป็นซี่ชั้นๆ และแบบที่เป็นฝาครอบ
แบบใสเพื่อโชว์เครื่องได้เต็มที่ รถทดสอบของเราวันนี้เป็นฝาครอบแบบใส

lamborghini_huracan_lp_610-4_us-spec_9

พอเปิดฝาครอบเครื่องออก ก็จะเจอเครื่อง V10 เห็นสภาพห้องเครื่องแล้วอย่าตกใจ
นึกว่ามีแมวไปตะกุยห้องเครื่องยับนะครับ มันเป็นลายตกแต่งของเขาแบบนั้น ส่วนป้าย
ที่เขียนว่า ORDINE DI ACCENSIONE นั่นคือ “Firing Order” หรือลำดับการจุด
ระเบิดของเครื่อง 10 สูบ (1-6-5-10-2-7-3-8-4-9 ถ้าใครอยากจำ)

เครื่องยนต์ของ Huracan มีเพียงแบบเดียว แต่ปรับจูนระดับพลังเป็น 2 แบบ
ทั้งหมดจะประกอบจากโรงงานของ Audi ที่ Gyor ประเทศฮังการี (ที่เดียวกับ R8)
โดยทั้ง 2 เครื่องจะเป็นแบบเบนซิน V10 ลูกสูบทำมุม 90 องศา 40 วาล์วไร้ระบบ
อัดอากาศ ความจุกระบอกสูบ 5.2 ลิตร (5,204 ซี.ซี.) ความกว้างปากกระบอกสูบ
84.5 มิลลิเมตร ระยะชัก 92.8 มิลลิเมตร ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงมี 2 ระบบทำงาน
คู่กันทั้งแบบหัวฉีด Direct Injection และหัวฉีดปกติ อัตราส่วนกำลังอัด 12.7:1
มีระบบแคมชาฟท์แปรผันทั้งฝั่งไอดี และไอเสีย  ควบคุมการจ่ายเชื้อเพลิงและ
จุดระเบิดด้วย Bosche MED17 Master Slave มีอ่างน้ำมันเครื่องแบบ Dry-sump

ในรุ่น LP610-4 และ LP610-4 Spyder จะมีแรงม้าสูงสุด 610 แรงม้า (HP) ที่
8,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 560 นิวตัน-เมตรที่ 6,500 รอบต่อนาที
(แรงบิด 420 นิวตัน-เมตรมีให้ใช้ตั้งแต่ 1,000 รอบต่อนาทีเลยทีเดียว)
รุ่น LP610-4 ปล่อย CO2 280 กรัม/กิโลเมตร รุ่น Spyder ปล่อย 285 กรัม/กิโลเมตร

ส่วนรุ่น LP 580-2 จะมีแรงม้าสูงสุด 580 แรงม้า (HP) ที่ 8,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 540 นิวตัน-เมตรที่ 6,500 รอบต่อนาที ปล่อย CO2 278 กรัม/กิโลเมตร

ตัวเลขค่า CO2 ทั้งหมดที่บอก ทดสอบจากรถที่มีระบบ Cylinder De-activation
ซึ่งจะตัดการทำงานไป 5 ลูกสูบในจังหวะที่ไม่จำเป็นต้องใช้ ระบบนี้ติดตั้งใน
Huracan ปี 2016 เป็นต้นมา

2016_Huracan_selector

ระบบส่งกำลัง มีเพียงแบบเดียวให้เลือกคือเกียร์คลัตช์คู่ 7 จังหวะ LDF
(Lamborghini Doppia Frizione) โดยที่ Huracan เป็น Lamborghini รุ่นแรก
ที่ใช้เกียร์คลัตช์คู่ เพราะรุ่นที่ผ่านๆมาที่เป็น e-Gear นั้นจะเป็นเกียร์คลัตช์แห้ง
กึ่งอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น Gallardo หรือเกียร์ ISR ใน Aventador

ทั้งนี้ ถ้าใครที่รักเกียร์ธรรมดา ขอแสดงความเสียใจไว้ด้วย เพราะผู้บริหาร
บอกว่า Huracan จะไม่มีรุ่นเกียร์ธรรมดาขายแล้ว เพราะขนาดว่านี่เป็นตลาดรถแรง
ของลูกค้าที่รักการขับขี่แล้วนะครับ 10 ปีที่ผ่านมา รถเกียร์ธรรมดาที่พวกเขาขายได้
มีอัตราส่วนแค่ 2% ของรถทั้งหมดที่ขายไป..เอาต้นทุนมาทำเกียร์ LDF ดีกว่ามั้ย?

ในเกียร์รุ่นนี้ Lamborghini เคลมว่า ได้ปรับปรุงนิสัยการตอบสนองเวลาใช้งานแบบ
ปกติให้นุ่มนวลขึ้น มีอาการกระชากน้อยลง แต่ถ้าใครรักสนุก กดไปโหมด Sport
หรือ Corsa ก็จะทำตัวดุดันสมเป็นกระทิงเหมือนเดิม ใช้วิธีเล่นเกียร์ผ่านแป้น
Paddle shift แป้นซ้ายลดเกียร์ แป้นขวาเพิ่มเกียร์ ถ้าขับๆอยู่แล้วตบแป้นซ้ายค้าง
ไว้ รถจะปรับไปหาเกียร์ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ และถ้าตบแป้นสองอันเข้าหาตัว
พร้อมกัน ก็จะไปเกียร์ “N”

อัตราทดเกียร์มีดังนี้
เกียร์ 1 – 3.13เกียร์ 2 – 2.59
เกียร์ 3 – 1.96
เกียร์ 4 – 1.24
เกียร์ 5 – 0.98
เกียร์ 6 – 0.98
เกียร์ 7 – 0.84

อัตราทดเฟืองท้ายมี 2 ชุด
ชุดแรก = 4.89 (สำหรับเกียร์ 1,4 และ 5)
ชุดที่ 2 = 3.94 (สำหรับเกียร์ 2, 3, 6 และ 7)
รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มีอัตราทด Transfer Case = 1.06:1 ควบคุมการส่งถ่ายกำลัง
ด้วยชุดคลัตช์แบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะมีการส่งถ่ายกำลังบนทางปกติที่ล้อคู่หน้า 30%
ล้อคู่หลัง 70% แต่เมื่อจำเป็น ก็สามารถถ่ายพลังไปล้อคู่หน้าได้สูงสุด 50% หรือจะ
ถ่ายไปล้อคู่หลังก็ได้สูงสุดถึง 100%

2016_HuracanChassis2

โครงสร้างตัวถังของ Huracan เป็นแบบที่ Lamborghini เรียกว่า
“Hybrid Aluminum/Carbon Fiber Chassis” ซึ่งไม่ได้แปลว่าเป็นโครงสร้าง
ขับเคลื่อนไฮบริดนะครับ แต่เป็นโครงสร้างที่ผสมผสานระหว่างการใช้อะลูมิเนียม
ทำโครงรถ ร่วมกับเหล็กกล้า (ในส่วนที่ไม่เหมาะสมจะใช้อะลูมิเนียม) และมี
คาร์บอนไฟเบอร์อยู่บริเวณส่วนผนังห้องเครื่อง อุโมงค์เกียร์ เสา B-pillar และอ้อม
มาถึงส่วนหลังคา กับซีกหลังของธรณีประตู โดยรวมแล้วโครงสร้างของ Huracan
มีความแกร่งต้านแรงบิดมากว่า Gallardo ถึง 50% แต่กลับเบากว่าอยู่ 10%

จุดนี้คือส่วนที่ต่างจาก Aventador และพวกซูเปอร์คาร์ 12 สูบรุ่นอื่นซึ่งจะใช้
คาร์บอนไฟเบอร์ทำโครงตัวถังส่วนกลางไปเลย Lamborghini มีความชำนาญ
ในด้านนี้อยู่แล้วแต่ถ้าเอามาทำใช้กับ Huracan ราคารถคงไม่จบ
ที่ 20 ล้านต้นๆหรอกครับ

2016_HuracanMagneticSus

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบดับเบิลวิชโบน ปีกนกแบบ Unequal length พร้อม
เหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังก็เป็นแบบดับเบิลวิชโบน ปีกนก Unequal length
พร้อม Toe-control Link และเหล็กกันโคลง ในภาพข้างบนนี้จะเป็นช่วงล่าง
แบบ Magneto-rheologic ซึ่งควบคุมความอ่อน/แข็งของช่วงล่างได้โดยอาศัย
การทำงานของระบบแม่เหล็กไฟฟ้าในโช้คอัพ แต่รถสเป็คบ้านเรา กับรถทดสอบ
ที่เราขับวันนี้ ผมคอนเฟิร์มกับอาจารย์ Robert แล้วว่าเป็นโช้คอัพแบบธรรมดา
ถ้าลูกค้าคนไหนอยากได้โช้คแม่เหล็กไฟฟ้า ต้องสั่งเป็นอุปกรณ์พิเศษครับ
[*ขอแก้ไขเพิ่มเติมวันที่ 1 ส.ค.: ได้เมลจากคุณ Malcolm แจ้งว่ารถทดสอบ
ของเรามีโช้คอัพ Magneto-rheological ครับ]

2016_HuracanLDS

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นแบบแร็คแอนด์พิเนียน พร้อมระบบผ่อนแรงแบบไฟฟ้า
อัตราทดปกติอยู่ที่ 16.2:1 แต่ถ้าเป็นรถทดสอบ..กับรถสเป็คที่ขายในไทยจะได้
พวงมาลัยแบบ LDS-Lamborghini Dynamic Steering มาด้วย ระบบนี้ก็คือ
พวงมาลัยแบบอัตราทดแปรผันนั่นเอง โดยความไวของพวงมาลัยจะถูกปรับ
อัตราทด ให้สามารถเปลี่ยนไปมาตั้งแต่ 9.00-17.00:1 (ถ้านึกไม่ออกว่า 9 ไว
ขนาดไหนพวงมาลัยของ WRX STi RA-R ที่ไวแบบโคตรๆนั่น อยู่ที่ 11:1 ครับ)

ความไวของพวงมาลัยจะขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้ หากวิ่งด้วยความเร็วต่ำกว่า
55 กิโลเมตร/ชั่วโมง พวงมาลัยจะไวมากเพื่อให้คล่องต่อการขับในเมืองและ
เลี้ยวเข้าที่จอด และถ้าวิ่งเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความไวจะลดลงและ
น้ำหนักหน่วงมือจะเพิ่มขึ้น นอกจากความเร็วแล้ว ยังขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่ด้วย
ถ้าตั้งไว้โหมด STRADA พวงมาลัยจะไวน้อยสุด..ไว้ขึ้นในโหมด SPORT
และไวที่สุดในโหมด CORSA ครับ

2016_Huracan_CarbonCeramicBrakes

ระบบเบรก ในรุ่น LP610-4 Coupe และ Spyder จะได้ ดิสก์เบรก 4 ล้อ แบบ
คาร์บอนเซรามิค มีร่อง เจาะรู จานเบรกหน้าขนาด 380 มิลลิเมตร คาลิเปอร์
แบบ 6 Pot ส่วนด้านหลังเป็นจานขนาด 356 มิลลิเมตร คาลิเปอร์แบบ 4 Pot

ล้อและยางลายมาตรฐานจะเป็นแบบที่เห็นในภาพข้างบน ซึ่งเป็นล้ออัลลอย
ลาย Giano เป็นอัลลอยหล่อขึ้นรูปขนาด 20 นิ้ว ห่อหุ้มด้วยยาง Pirelli
P-Zero ด้านหน้ายาง 245/30 ขอบ 20 ส่วนด้านหลังมีขนาด 305/30 ขอบ 20
ถ้าอยากได้ล้อเบาๆ ลูกค้าสามารถสั่งล้ออัลลอยฟอร์จลาย Mimas (แบบที่อยู่
ในคัน Spyder สีฟ้า) ได้ ขนาดเท่ากัน ขนาดยางเท่ากัน แค่เบากว่า

ส่วนรุ่น LP580-2 จะเป็นแบบดิสก์เบรค 4 ล้อ จานเบรกเหล็กธรรมดา มีร่อง
เจาะรู จานเบรกหน้าขนาด 365 มิลลิเมตร คาลิเปอร์ 8 Pot และด้านหลังเป็น
จานเบรกขนาด 356 มิลลิเมตร คาลิเปอร์ 4 Pot

ล้อและยางของรุ่น LP580-2 ในกรณีปกติจะใช้ล้อขนาด 19 นิ้ว ยางหน้าขนาด
245/35R19 ยางหลังขนาด 305/35R 19 (แบบรูปล้อของรถสีแดงที่ถ่าย
คันเดียว อยู่ด้านบนๆของบทความ) แต่รถทดสอบของเราวันนี้ถูกจับใส่ยาง
และล้อลาย Giano เหมือนรุ่นขับสี่ รุ่นของยาง และขนาดของยางก็เหมือนกับ
ล้อ 20 นิ้วของตัวขับสี่..แต่คุณ Malcolm บอกว่า ถึงแม้ดูภายนอกจะเหมือนกัน
แต่อันที่จริง ยางของรถขับหลัง และรถขับสี่จะมีความเหนียวของเนื้อยาง
ไม่เท่ากัน จะใส่สลับกันก็ได้แต่การตอบสนองของรถก็จะเปลี่ยนไป

2016_Huracan_ANIMA

เรื่องทางเทคนิคที่จะพูดถึงลำดับสุดท้ายคือสวิตช์ “ANIMA” ที่พวงมาลัย
นี่ล่ะครับ คำนี้ไม่ได้มาจาก Animal นะครับ แต่เป็นภาษาอิตาลีที่หมายถึง
“Soul” และมันย่อมาจาก “Adaptive Network Intelligent MAnagement”
ระบบนี้ เทียบกับมันสมองของมนุษย์ ก็คงเป็นการปรับโหมดอารมณ์นั่นเอง
โดยระบบ ANIMA จะส่งผลต่อการควบคุม
– การตอบสนองของลิ้นคันเร่ง
– การตอบสนองของเกียร์
– ความแข็งของช่วงล่าง (ในคันที่มีระบบ Magneto-rheological suspension)
– การกระจายกำลังของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (ยกเว้น LP580-2 ที่เป็นขับหลัง)
– ความดังของเสียงดูดอากาศและเสียงท่อ (มีแผ่นเปิด/ปิดคุมระดับเสียง 2 ทาง)
– และการทำงานของพวงมาลัยไฟฟ้า (ในคันที่มีระบบ LDS)

โดยระบบทั้งหมดจะทำงานประสานกันผ่านส่วนกลางของเครือข่ายข้อมูล และรับ
การประมวลผลจากเครื่องตรวจวัดพิเศษ “Lamborghini Piattaforma Inerziale”
ซึ่งจะประกอบด้วย Accelerometer และ Gyroscope อย่างละ 3 ตัว มันถูกติดเอาไว้
ตรงจุดศูนย์ถ่วงของรถพอดี แรงดึง แรงเหวี่ยงที่มันวัดได้ก็จะส่งค่าเข้ากล่องไป
ประมวลผลและปรับระบบต่างๆให้ทำงานประสานกัน หรือทำงานให้เหมาะสมตาม
Drive Mode ที่ผู้ขับเลือก ซึ่งมีด้วยกัน 3 โหมด

STRADA: คือ “Street” สำหรับขับใช้งานปกติบนถนน เสียงท่อและเสียงเครื่อง
จะเงียบสุด พวงมาลัยจะเน้นไปทางเฉื่อยมากกว่าไว เกียร์เปลี่ยนนุ่มสุด ในคันที่
เป็นโช้คแม่เหล็กไฟฟ้า ก็จะปรับการทำงานเน้นไปทางนุ่มเช่นกัน

SPORT: เสียงเครื่องจะดังขึ้น การตอบสนองของคันเร่งจะไวขึ้น เกียร์เปลี่ยนแรง
และเร็วขึ้นนิดหน่อย เวลาถอนคันเร่งจะมีเสียงท่อปุปะปุ้งปังขึ้นมาบ้าง ช่วงล่างจะ
แข็งขึ้น และระบบ ESC จะเริ่มปล่อยให้รถเสียอาการได้ในบางจังหวะ เพื่อให้เกิด
ความสนุกในการขับ

คุณ Malcolm บอกว่าในกรณีของรุ่น LP580-2 การใช้โหมด Sport จะทำให้ท้ายรถ
เริ่มกวาดออกได้มากขึ้น แต่ยังไม่ถึงกับหมุน เป็นโหมดที่บาลานซ์ที่สุดระหว่าง
ความมันส์กับความปลอดภัยไม่หน้าแตก

CORSA: แปลว่า “Race” ในโหมดนี้ การตอบสนองของเครื่องยนต์ คันเร่ง และเกียร์
จะดุยิ่งกว่าบางแก้ว เกียร์เปลี่ยนทีกระชากที่สุด และจะต้องชิฟท์เกียร์เองเท่านั้น ใช้
โหมด Auto ไม่ได้ เสียงท่อ เสียงเครื่อง มาเต็ม ระบบ ESC จะเข้ามาทำงานก็ต่อเมื่อ
มันเห็นว่า “จำเป็น” จริงๆเท่านั้น รถจะสามารถดิ้น พยศได้ในระดับที่ต้องอาศัยสมาธิ
ในการคุมมากขึ้น

ถ้าใครฝีมือดีๆ ลองเล่นโหมด CORSA และกด ESC Off แล้วจะได้สัมผัสความ
เกรี้ยวกราดของกระทิงแท้ๆ แต่ในสนามวันนี้ทางผู้ฝึกสอนขอความร่วมมือว่าถ้า
ไม่ได้มั่นใจฝีมือตัวเองมากจริงๆ หรือไม่เคยขับรถ 5-600 ม้ายากๆมาก่อน กรุณาเปิด
ESC เอาไว้เถอะ เพื่อที่รถจะได้ไม่หมุนลงข้างทางให้ต้องไปกู้เสียเปล่า

 

ลองของจริง..กระทิงไฮเทค

2016_Huracan_rearL

เริ่มจากรอบแรก อาจารย์ทั้งสามท่านจะขับให้เรานั่ง และอธิบายเกี่ยวกับการขับเจ้า
Huracán การกดเลือกเกียร์ การเปลี่ยนเกียร์ การใช้ไฟเลี้ยว การปรับเปลี่ยนโหมด
การขับขี่ต่างๆ การปรับเปลี่ยนหน้าจอ จากนั้นก็ขับออกไปวนรอบสนาม แนะนำโค้งต่างๆ
ในสนามช้างแห่งนี้ จุดที่ต้องระวัง ระยะเบรค ป้ายเตือน การอ่านโค้งและไลน์ในแต่ละโค้ง
ความหมายของการตั้งกรวยว่าขับชิดกรวยยังไง ตั้งกรวยคู่หมายถึงให้เบรก เป็นต้น

thumbnail_P1040257

อาจารย์ที่ขับพาผมนั่งคือพ่อบ้านนินจา (อาจารย์อั๋น)นั่นเอง พอผมเริ่มเกร็งๆ พี่อั๋น
บอกไม่ต้องตื่นเต้น เอาที่คิดว่าเราไหว ไม่ต้องฝืนไม่ต้องเกร็ง ถ้าไม่ได้ก็ขับช้าเท่าที่
คุมไหวเพราะในรอบจริงอาจารย์จะขับนำแล้วเราขับตาม ถ้าคันไหนช้าก็รอกันเป็น
กลุ่มอยู่แล้ว ด้วยความเป็นกันเองของอาจารย์ กล่อมอยู่นานความกลัวก็หายไป
ความตื่นเต้นก็กลับมาใหม่ ครบรอบ ลงจากรถรอของจริง!!!

2016_Huracan_LP6104

หลังจากนั่งรอคิวเรียกขึ้นรถ แล้วก็คุยกับพี่ๆ สื่อมวลชนท่านอื่นสักพัก
เสียงประกาศเรียกชื่อก็ดังแว่วมา ผมเดินไปขึ้นรถที่เตรียมเอาไว้ ผมได้คิวขับ
LP610-4 ก่อน โดยกลุ่มผมมี 3 คัน คือรถนำ ขับโดยอาจารย์อั๋น ตามด้วยพี่ฉ่าง
อยู่คันกลาง ส่วนผมจะเป็นคันสุดท้าย

ว่าแล้วก็จัดแจงเข้าไปนั่ง ตัวเบาะสบายมาก โอบกระชับดี หนัง Alcantara
ที่หุ้มเบาะและพวงมาลัยทำให้นั่งแล้วไม่ลื่น  กลิ่นหนังในรถคุ้นจมูก……….
จนนึกขึ้นมาได้ กลิ่นเดียวกับกระเป๋าชาแนลของคุณภรรยาผมเลยนี่!
จากนั้นจัดตำแหน่งที่นั่งตามที่อาจารย์บอก ไม่มีใครเร่ง พร้อมเมื่อไหร่ก็ไปด้วยกัน
พอจัดตำแหน่งเบาะและพวงมาลัยที่ปรับด้วยคันโยกและมือเสร็จ ผมก็เหยียบเบรค
กด START ENGINE เสียงเครื่อง V10 ดังคำรามเข้ามาในห้องโดยสาร
เล่นเอาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

เสียงอาจารย์ อั๋นดังเข้ามาถาม Radio Check ว่าได้ยินทุกคนจากวิทยุสื่อสารหรือไม่
ถ้าได้ยินแล้วยกนิ้วโป้งส่งสัญญาณ อาจารย์อั๋นขึ้นรถแล้วทักทายกันอีกรอบพร้อมย้ำ
ว่ารถเราเป็นพวงมาลัยซ้ายให้ เผื่อระยะทางขวามือไว้ด้วย เกียร์แบบกดปุ่ม
ถ้าจะเดินหน้าเหยียบเบรกดึง Puddle shift + รถก็จะเปลี่ยนเป็นเกียร์ A 1
โหมดแรกที่เริ่มขับคือโหมด Strada จากนั้นรถก็ค่อยๆ เคลื่อนออกจาก pit lane

ผ่านโค้งหนึ่งอาจารย์อั๋นบอกให้กดเต็มทดสอบอัตราเร่ง เข็มรอบเครื่องพุ่งกวาด
ไปอย่างรวดเร็ว เลขวัดความเร็วก็พุ่งไปไม่หยุดมีความแรงในทุกรอบเครื่องทุก
เกียร์ที่เปลี่ยน ขึ้น เสียงเครื่องยนต์ในรอบต่ำเสียงทุ้มหล่อ แต่พอรอบเครื่องหมุน
ไปในรอบสูงเสียงที่แผดออกมาลั่นสนั่นห้องโดยสารสะใจเป็นที่สุด
ผ่านไปแป๊บเดี๋ยวสุดทางตรงผมกดไปเกิน 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงแทบไม่รู้ตัว
ผมเบรกแล้วรถชะลอความเร็วได้อย่างรวดเร็วและไม่มีอาการเป๋หรือปัดให้กังวล
จากนั้นก็เข้าโค้ง T3 ซึ่งเป็นโค้งหันกลับลำ โดยผมพยายามประคองรถตามไลน์
ของพี่ฉ่างไปติดๆ

เป็นช่วงทางตรงยาวอีกครั้ง เสียงวิทยุสื่อสารดังเข้ามา “เหยียบเลย เหยียบเลยครับ”
ขาผมเหมือนเป็นระบบตอบรับอัตโนมัติ กดลงทันที รู้สึกถึงแรงพุ่งที่ทำให้หลังติดเบาะ
อย่างต่อเนื่องและเสียงเครื่องเสียงท่อ ระเบิดดังสนั่นอยู่หลังตัวเรา ยิ่งเร้าให้อยากกด
คันเร่งมากขึ้น แป๊บเดียวก็ถึงโค้งสี่ซึ่งเป็นโค้งกว้างหักไปทางซ้าย ผมดึงรถเข้าไลน์ชิด
ขวาและเข้าโค้งตามช่องที่เปิดเป็นทางตรง หน้าเคลียร์ หักพวงมาลัยน้อยที่สุด

ณ จุดนี้ ผมรู้สึกว่าพวงมาลัยให้ความรู้ถึงพื้นถนนดีมากและมีแรงดีดกลับแบบธรรมชาติ
ถ้าไม่ใช่เพราะที่ความเร็วต่ำมันเบาผิดวิสัยยางหน้า 245 ก็คงไม่มีทางรู้เลยว่านี่คือ
พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า..มันเหมือนไฮดรอลิกมากครับ

2016_Huracan_LP6104ru

จากนั้นก็ต่อที่โค้ง T5 , 6 และ 7 (ซ้ายหักศอก, ซ้าย ขึ้นเนินแล้วตามด้วยโค้งขวา)
ซึ่งส่วนตัวผมว่าเป็นโค้งที่ยากที่สุดในสนาม เพราะเป็นโค้งต่อเนื่องและหลอกตา
ขับครั้งแรกเลยไม่รู้ว่าช่วงไหนต้องเบรค ช่วงไหนต้องเติมคันเร่งเพื่อให้รถไม่เสีย
ความเร็วในโค้ง แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี หลังจากตอนนี้ความกลัวหายไปหมดสิ้นกลาย
เป็นความสนุก ความมันส์ และความสะใจ โค้งต่อเนื่อง จากนั้นก็ถึงโค้ง 8 , 9 , 10
และ 11  ผมผ่านมาโดยไม่รู้สึกกลัว และเกาะติดหัวกลุ่มได้ในระยะปลอดภัย
หน้ารถจิกโค้งไปตามสั่งการจากพวงมาลัย ช่วงล่างแนบสนิทไปกับพื้น ไม่มีอาการ
ยวบหรือโยนแบบที่เราพบในรถทั่วไปเลย สิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความเร็วคือ
แรงเหวี่ยงที่ผลักตัวผมไปซ้ายทีขวาทีในแต่ละโค้งเท่านั้น

พอถึงทางตรงหลังจากผ่านโค้ง 11 เสียงอาจารย์อั๋นก็ดังเข้ามาบอกว่า
“เรามาสนุกเพิ่มขึ้นกันดีกว่า ปรับโหมดเป็น Sport เลยนะครับ ”
ผมก็ทำตามอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกแรกคือพวงมาลัยตึงมือขึ้นหนักขึ้น
และเกียร์ลดมา 1 จังหวะ เสียงเครื่องยนต์คำรามดังเข้ามาในรถเหมือนเป็น
เสียงตะโกนบอกคนขับว่าพร้อม หรือยัง พอเลี้ยวเข้าโค้ง 12 โค้งสุดท้ายแล้ว
เสียงอาจารย์อั๋นดังเข้ามาทันที “เหยียบเลยครับ เหยียบเลย”

พอได้ยิน แล้วรออะไรกดเต็มซิครับ ไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว มีแค่รถกับเรา
ตัวเลขที่แอบไปมองรอบนี้วิ่งไปใกล้ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก่อนถึงโค้ง
พอถอนคันเร่งกดเบรกแต่งทิศทางรถก่อนเข้าโค้ง เสียงท่อระเบิดในช่วงรอบ
เครื่องตกลงมาดังสนั่น สลับกับเสียงเครื่องเปลี่ยนเกียร์ลงรอบเครื่องกว่าขึ้นมา
พร้อมแรงหน่วงจากเครื่อง (Engine Brake)  ก่อนจะเข้าสู่โค้ง T1 และเริ่มต้น
การวิ่งรอบสนามใหม่อีกรอบ คราวนี้ผมรู้สึกมั่นใจกว่าเดิม ตัวรถเองก็ดูเหมือน
จะเปลี่ยนไปตั้งแต่กด Sport นอกจากเสียงโวยวายจะลั่นขึ้นแล้ว พวงมาลัย
ก็ไวและหน่วงมือมากขึ้น พอถึงรอบสุดท้ายเสียงอาจารย์อั๋นดังเข้ามาอีกครั้ง

“กด Corsa เลยนะครับ เรามาลองกันดูดีกว่าว่าจะรู้สึกอย่างไร แต่ว่าต้องเปลี่ยนเกียร์
ด้วยตัวเองนะครับ” พอกดที่ปุ่มจนไฟสีแดงที่คำว่า Corsa สว่างขึ้น ที่หน้าปัดจาก
ตัว A จะกลายเป็นตัว M ทันที พวงมาลัยหนักตึงมือขึ้นไปอีกนิด ความมันส์ของ
โหมดนี้คือในจังหวะเปลี่ยนเกียร์จะมีแรงกระชากมากกว่าโหมดอื่น ความรู้สึก
เหมือนคนถีบเบาะทุกครั้งเวลาเปลี่ยนเกียร์ขึ้น มันเป็นอะไรที่สนุกสุดยอดจริงๆ
พอสนุกได้ครึ่งรอบสนาม ก็ถึงเวลา Cool down เครื่องยนต์ โดยให้ปรับไปที่โหมด
Strada ค่อยๆ ขับชมสนาม และได้เวลาพูดคุยกับอาจารย์อั๋นผ่านวิทยุสื่อสารอย่าง
เป็นกันเอง เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีมาก

2016_Huracan_LP58021

ผมพารถกลับมาจอดที่ Pit แล้วก็ออกมายืนพักผ่อน รอขับรอบที่สองกับรุ่น
LP580-2 ต่อ พอดีกรุ๊ปของพี่แพนที่ขับรุ่น LP580-2 ออกไปกลับเข้ามา ก็เลย
ยืนคุยกับพี่แพนสักพัก เห็นหน้าแกยิ้มๆ มีเหงื่อ แต่ก็ยิ้มแล้วบอกว่าให้ผมไปลอง
เจอเองเลยดีกว่า..เอ๊ะมันยังไง?

ในรอบที่ 2 นี้นำโดยอาจารย์ อู๋ เมฆสิทธิ์ ผมเข้ากระโดดขึ้นรถทันที ปรับตำแหน่ง
ที่นั่งอย่างรวดเร็วเพราะคุ้นกับวิธีการปรับสิ่งต่างๆจาก LP610-4 มาแล้ว
อาจารย์ อู๋เดินเช็ควิทยุสื่อสาร พอเรียบร้อยยกนิ้วโป้งเป็นสัญญาณความพร้อม
รอบนี้ผมเป็นคันที่สอง รถหมายเลข 8 กระทิงสีขาว พี่ฉ่างอยู่ท้าย เมื่อทุกอย่างพร้อม
ก็เคลื่อนรถออกไป

รอบนี้ อาจาย์อู๋เห็นว่าพวกเราเริ่มชินสนามกันแล้ว ดังนั้นพอพ้นโค้งออกจาก
Pit Lane แล้วจอยเข้ากับทางหลัก อาจารย์แกก็กดไม่ยั้ง ผมกดคันเร่งเต็มตามมา
ติดๆด้วยพี่ฉ่างคุณเคยดูหนังพวก Star Wars ไหมครับ เวลายานอวกาศหลายๆลำ
โดดเข้า Hyperspace ทีละลำๆติดๆกัน นั่นล่ะใช่ความรู้สึกของผมในตอนนั้นเลย

ผมกดไปประมาณ 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก่อนที่จะเริ่มเบรกแล้วก็เข้าโค้ง Hairpin
T3 แค่พ้นโค้งนั้น ผมหาคำตอบได้ทันทีว่าทำไมพี่แพนถึงทำหน้าฟินตอนลงจากรถ
คันนี้..ช่วงล่างของ LP580-2 นิ่มกว่า ท้ายมีอาการโยกและส่ายได้มากกว่า LP610-4
และพอสาดโค้งเข้าไปแล้วเติมคันเร่ง รถเหมือนจะมีอาการท้ายเหมือนจะออก
แต่ไม่ออก ทำให้ต้องมีการหักพวงมาลัยแก้อาการเป็นระยะๆ มันเป็นการขับที่สนุก
ต้องรับรู้อาการของตัวรถมากขึ้นเพื่อจะเข้าโค้งได้สวยงามตามอาจารย์อู๋

ผมลองเล่นกับโค้ง T4-T7 แล้วเริ่มเข้าใจธรรมชาติของ LP580-2 มากขึ้น การจะขับ
ให้สนุกแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการคุมคันเร่งและพวงมาลัยเลยครับ ถ้าคุณหักพวงมาลัย
ค่อยเป็นค่อยไปแล้วรักษาระดับคันเร่งไม่กระโชกโฮกฮาก รถมันเกาะโค้งได้ดีเกือบ
จะเท่ากับ LP610-4 แทบไม่ต่าง แต่ถ้าเริ่มหักพวงมาลัยแรงๆหรือกดคันเร่งไวๆ
รถจะมีอาการพยศ วัดใจกับเราว่าจะเติมคันเร่งต่อหรือถอน ถ้าไปต่อพร้อมแก้
อาการไหมในขณะที่ LP610-4 จะเกาะราบไปกับโค้งตลอด เติมคันเร่งได้เยอะ
โดยที่รถไม่ออกอาการ หรือถ้าออก ก็มีแต่เสียงยาง ไม่ปัดไม่โย้หรือเป๋

พอเริ่มชินโค้งและอาการของรถ รอบ 2 ผมเลยเริ่มกดจี้ตาม อาจารย์อู๋เห็นเราเริ่มทำ
ระยะติดเข้ามามากขึ้น ก็เลยกดหนีให้ผมได้กดไล่ตามอย่างสนุกสนาน (ผมพอเดาออก
ว่าอาจารย์อู๋น่าจะขับไปยิ้มไป ถ้าเอาจริงขึ้นมา แกน่าจะทิ้งผมแบบไม่ทันอ่านทะเบียน
ไปแล้ว) ผมมีความรู้สึกว่าได้ขับรถแข่งในสนามจริงๆ ไล่กันไปไล่กันมา จนเสียง
อาจารย์อู๋ ว. ดังเข้ามา “รอพี่ฉ่างหน่อยนะครับ” พอได้ยินเท้าก็ถอนจากคันเร่งแล้วก็หันมา
สนุกกับโค้งก่อนที่จะจบครบ 3 รอบ เป็นการขับที่สนุกมาก ทั้งตัวรถที่ดี คุมอาการต่างๆ
ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ทำให้คนไม่มีประสบการณ์แบบผมยังสามารถคุมรถระดับ
5-600 แรงม้าได้อย่างสบาย สนุกกับการเข้าโค้งเสพแรง G ที่สาดไปสาดมา จนพอลง
จากรถท้องไส้เริ่มมีอาการปั่นป่วนเล็กน้อยเลยทีเดียว (แต่ตอนขับดันไม่รู้สึก)

2016_Huracan_LP6104or2

ใกล้เที่ยง สื่อมวลชนเริ่มนั่งจับกลุ่มกัน และพูดคุยกันว่าขับแล้วเป็นอย่างไร
ทุกคนสีหน้าสดใสเหมือนเลือดได้สูบฉีด ดูสนุกสนานกันทุกคน แล้วก็มีน้องคิตตี้ PR
เข้ามาบอกในกลุ่มว่า “พอดีว่าทำเวลาได้ดียังมีเวลาเหลืออีกชั่วโมงกว่า ท่านใดสนใจ
ขับต่อแจ้งได้เลยนะคะ”

คุณเคยเห็นภาพเด็ก ม. ปลายเวลาอาจารย์ปล่อยกลับบ้านเร็วมั้ยครับ? กรูกันลงชื่อ
เร็วประมาณนั้นเลย ผมชั่งใจอยู่ว่าจะไปขับอีกรอบดีหรือไม่ จนพี่แพนบอกว่า
“ถ้าไม่ได้ขับครั้งนี้ ครั้งหน้าเมื่อไหร่ไม่รู้นะมึง” แล้วจะรออะไรล่ะครับจัดไปรอบที่ 3

รอบนี้ เราไม่ได้เลือกรถ (คนจัดคิวให้คันไหน เราก็ขับคันนั้น) ผมได้กลับมาขับ
LP610-4 อีกรอบ แต่สลับตำแหน่งให้พี่ฉ่างมาอยู่คันที่ 2 ส่วนผมไปอยู่คันที่ 3 แทน
ในรอบนี้ดูเหมือนพี่ฉ่างเองก็คงเริ่มมันส์เท้า หวดตามอาจารย์อั๋นไปอย่างเร็วจนผม
เริ่มเป็นฝ่ายโดนทิ้ง แต่ผมไม่ได้รู้สึกอยากซีเรียสจี้ตามไป ตรงกันข้าม การได้เอ็นจอย
ที่นั่งระดับ Super Fast First Class โดยมีพี่ฉ่างกับอาจารย์อั๋นเป็นตัวเอกแสดงจินตลีลา
การไล่ขวิดของกระทิงให้ดูตรงหน้า ก็เป็นความสุขที่ได้เห็นทุกอย่างเกิดขึ้นตรงหน้า

banner_2016_Huracan_LP6104or

***สรุปการขับ -กระทิงไฟฟ้ายุคใหม่ มือใหม่สนุก มืออาชีพก็มันส์***

แต่ไหนแต่ไรมา ผมมองว่ารถยนต์ Super Car เป็นรถยนต์ที่เน้นความแรง ดิบ
นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ยาก แต่เจ้า Lamborghini Huracan ทำให้ความคิด
ของผมนั้นเปลี่ยนไปทันทีและเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ผมไม่คิดมาก่อนว่ารถยนต์ระดับพลัง 600 แรงม้า ขับได้ง่ายด้วยเทคโนโลยีที่
ทันสมัยสามารถควบคุมความแรงได้อย่างเชื่องมือและ นำมาขับได้ในชีวิตประจำวัน
ขึ้นลงจากรถไม่ยาก พวงมาลัยน้ำหนักพอดีมือในความเร็วปกติ เกียร์เปลี่ยนได้
ลื่นไหล ช่วงล่างถึงจะแข็งแต่ยอมรับได้ อัตราเร่งไม่ต้องพูดถึงหายห่วง

ตัวเบาะนั่งได้อย่างกระชับผ่อนคลาย  ความสะดวกสบายในรถมากพอและทันสมัย
มีกล้องมองหลังเซ็นเซอร์รอบคัน เครื่องเสียงดีและลูกเล่นมากมาย ผมสามารถอยู่
ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ถ้าไม่ติดที่สภาพพื้นผิวถนนบ้านเราที่ไม่เรียบร้อยเท่าไหร่
กับที่จอดรถที่แคบผมว่าเป็นรถที่ขับใช้งานทุกวันได้อย่างไม่มีปัญหาและถ้าเกิดนึก
สนุกนำเจ้ากระทิงคันนี้มาหลุดในสนามแข่งมันก็พร้อมที่จะวิ่ง ไล่ขวิดได้อย่างจริงจัง
เช่นกัน

2016_Huracan_LP6104gr

Huracan เป็นรถที่ถือว่าครบเครื่อง ถ้าวันนึงเรามีถนนดีๆใช้ทั้งประเทศ ไม่ต้องเจอ
กับทางชันๆ หรือลูกระนาดขนาดใหญ่แบบบ้าบอจนอยากจะเห็นหน้าคนออกแบบ
Huracan จะเป็นซูเปอร์คาร์ประเภทที่ผมสามารถขับได้อย่างมีความสุข นี่มองใน
ฐานะของคนขับแต่รถธรรมดากับพรีเมียมคาร์มาตลอดนะครับ ผมไม่รู้สึกอึดอัดเหนื่อยล้า
หรือรู้สึกว่ามันเป็นรถที่หยาบกระด้าง คับแคบเลยแม้แต่น้อย

ส่วนถ้าให้เลือกระหว่างสองรุ่นที่ได้ขับถามว่าชอบคันไหนมากกว่ากัน ตัวผมมองว่า
Huracan LP 580-2 เพียงพอแล้วทั้งอัตราเร่งและการยึดเกาะที่ไว้ใจได้ถ้าสุภาพกับมัน
แต่ยังสามารถให้เราเล่นกับตัวรถมากกว่าปัด-เอียง-เหวี่ยง-ไถล ได้สนุก มันขึ้นอยู่กับ
มุมมองว่าคุณจะขับรถเพื่อเอาความสุขจากการขับ หรือเอาความสุขจากการทำตัวเลข
อัตราเร่งหรือเวลาวิ่งรอบสนามได้สวยมากกว่า

นับว่าเป็นความทรงจำที่ดีกับรถทั้ง 2 รุ่น ทำให้ผมเริ่มรู้สึกสนใจ SUV รุ่นใหม่ที่ทาง
Lamborghini พัฒนาอยู่ในชื่อรุ่น Urus ซึ่งตามที่คุณวิทวัส ชินบารมี กรรมการ
ผู้จัดการใหญ่ของทางนิช คาร์บอกว่าจะเอามาทำตลาดในประเทศไทยในปีหน้า
และเคลมว่ามันจะเป็น “SUV ที่มีบุคลิกสปอร์ตมากที่สุดในตลาด” ลองคิดดูว่า
ถ้าเราสามารถผสานเอา DNA ของ Huracan เข้ากับบอดี้รถที่ใต้ท้องสูง เหมาะกับ
การวิ่งบนถนนสภาพดี๊ดี (เสียงสูง) ของประเทศไทยได้ เราอาจมีทางเลือกใหม่ที่
น่าสน

P1040210

ON SECOND THOUGHT
by Pan Paitoonpong

  • ผมมีประสบการณ์กับซูเปอร์คาร์มาบ้าง ดังนั้นบอกได้เลยว่า Huracan
    เป็นกระทิงโหดที่มีโหมดใจดีมากขึ้น นั่งสบาย ลุกเข้าออกง่ายยิ่งกว่า
    Gallardo และง่ายกว่า Aventador หรือ Murcielago มาก ตำแหน่ง
    พวงมาลัย คันเร่ง เบรก ที่พักเท้าค่อนข้างเป๊ะ สบายแต่รัดกุมพอ
  • พอลงไปอยู่บนเบาะ ความสบายเทียบได้กับ Porsche 911 แค่หลังคา
    เตี้ยกว่า แต่ Lamborghini ประตูเบียดไหล่น้อยกว่า
  • เสียงเครื่องหวาน แรงบิดมาเต็ม และกดไปตรงไหนก็มี ไม่มีคำว่ารอรอบ
    หรือรอบูสท์ ลากชนจุดรอบตัดที่ 8,750 รอบได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
  • พวงมาลัยเซ็ตมาดีมากทั้งน้ำหนักและความไว ขับรอบสนามบุรีรัมย์แทบ
    ไม่ต้องหมุนพวงมาลัยเกิน 110 องศา มือทั้งสองจับพวงมาลัยไว้ได้ตลอด
    ถ่ายทอดการยึดเกาะของล้อหน้าได้ดี แต่ในรุ่น LP610-4 เวลาเลี้ยวแล้ว
    กดคันเร่งพวงมาลัยจะมีอาการดึงดิ้นไปมาในมือในขณะที่ LP580-2 จะ
    เป็นธรรมชาติกว่า
  • ส่วนเบรก ระยะแป้นสั้น หนัก รุ่น LP580-2 จานเหล็กให้ฟีลที่แป้นดีกว่า
    แต่เบรกคาร์บอนเซรามิกของ LP610-4 รับงานหนักต่อได้ในขณะที่เบรกเหล็ก
    ของ 580-2 นั่นผมทำมันเฟดนิดๆในตอนช่วงรอบท้ายๆของการขับ..มันโดดอัด
    มาก่อนหน้านั้นหลายสิบรอบแล้วล่ะ
  • ปกติผมไม่ชอบรถขับหลังที่แรงม้าเยอะๆ และถ้าขับบนถนนเมืองไทย
    ผมว่า LP610-4 จะไวและเซฟกว่า แต่ถ้าขับในสนามแบบนี้ LP580-2
    สนุกกว่า ตื้นเต้นเร้าใจกว่า โยนนาฬิกาจับเวลาทิ้งไปเถอะ เราอยากมันส์
  • ออกจาก T1 80 ก.ม./ช.ม. กดคันเร่งไม่ยั้งไว้ 9 วินาที ก็มาวิ่งอยู่ 235 แล้ว
    นี่คือตัวขับสี่ ส่วนตัวขับหลังผมแช่นานกว่านั้น จัดไป 249 กม./ชม.
  • โหมด Auto เปลี่ยนเกียร์เองไม่กระชากแล้ว ขับง่ายเข้าใจง่ายแบบรถบ้าน
    แต่ผมชอบโหมด CORSA ที่เปลี่ยนเกียร์แรงๆ กระชาก และโหมดนี้ใน
    LP580-2 ตัวรถจะพยศในระดับที่ไม่ทำให้เราหน้าแตก แต่สนุก มันส์
    มันทำให้คนอ้วนอย่างผมมีโอกาสเข้าใจความสุขของคนผอมที่เล่นกีฬา
    ประเภท Extreme Sports
  • ข้อเสียของรถเหรอครับ? เทียบกับซูเปอร์คาร์ที่เคยขับมา มีน้อยมากแต่
    ถ้าคุณขับรถประเภทนี้คุณคงไม่ได้สนเรื่องระบบบันเทิงในรถอยู่แล้ว
    สวิตช์ต่างๆจะไม่เหมือนรถทั่วไป ต้องเรียนรู้การใช้งาน และถ้าจะขอได้
    ผมอยากให้มีโหมด Individual ใน ANIMA เพื่อที่จะเอาการตอบสนอง
    ทุกอย่างแบบโหมด CORSA แต่ขอความไวของคันเร่งแบบโหมด Sport
    ได้แค่นั้นก็พอ
EXP-MEDIA-LAMBO-022

ขอขอบคุณ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท นิช คาร์ กรุ๊ป จำกัด
ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถ Lamborghini อย่างเป็นทางการ
แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย สำหรับการเชิญทดสอบ
Special Thanks to
Automobili Lamborghini S.p.A.
Lamborghini Asia Pacific


 

Story by Sirisak Setpattnachai
Edited: PAN PAITOONPONG
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในไทย เป็นผลงานของ ผู้เขียน
และช่างภาพของทาง Lamborghini sPA
ลิขสิทธิ์ภาพ Illustration ทั้งหมด เป็นของ Lamborghini sPA
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com 
  29 กรกฎาคม 2016

Copyright (c) 2016 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
July 29 th 2016

แสดงความคิดเห็น เชญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! Click Here!