นับตั้งแต่วันที่ Ferrari เผยโฉม California T ที่ใช้เครื่องเทอร์โบ นักเลงรถที่อ่านเกมออกก็คิดได้
แล้วว่า Ferrari ของพวกเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มที่นิยม Ferrari รุ่นเล็ก
ที่ใช้เครื่อง V8 ข้อเหวี่ยง Flat Plane วางกลางลำ สร้างแรงม้าด้วยสูตรปั่นรอบเครื่องสู้มาตั้งแต่
สมัย F355, 360, 430 และล่าสุดกับ 458 แผดกังวานสะใจทุกครั้งที่ลากรอบทะลุ 8,000
ความเป็นรถ NA กำลังอัดสูงและรอบสูงมีจุดเด่นคือจากพอร์ทไอเสียถึงปลายท่อมีแค่ CAT
กับหม้อพัก เสียงมันถึงได้ออกเต็มๆสะใจ ในขณะที่รถเทอร์โบถ้าไม่ใช่เทอร์โบขนาดโตจริงๆ
ตัวโข่งกับใบพัดนี่ล่ะครับที่เป็นตัวสะท้อนเสียงกลับ ทำให้เสียงรถเทอร์โบโรงงานส่วนมากจะเงียบ
กว่า NA นอกจากนี้ที่ผ่านมาเครื่อง V8 ของ Ferrari แต่ละรุ่นให้การตอบสนองที่ตามคันเร่ง
ไม่ว่าจะกี่รุ่น ต่างก็ได้ชื่อเรื่องความสนุกจากการขับลักษณะนี้ด้วยกันทั้งนั้น

ข่าวคราวที่มีมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบทสัมภาษณ์ทีมวิศวกร Ferrari เองก็บ่งชี้ว่า “อ้า..ใช่ ใช่
พวกเรากำลังทำรถรุ่นใหม่มาแทน 458..แน่นอน มันเป็นเครื่องเทอร์โบ..แน่นอน เราก็ไม่ได้ชอบ
แต่ถ้าต้องการจะอยู่รอดในโลกที่เคร่งเครียดกับเรื่อง CO2 มากขึ้นทุกวี่ทุกวันแล้วยังต้องมี
ความแรงเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นตามอีโก้ของพวกคุณคุณที่ขยับขยับขับขยี้คันเร่งซูเปอร์คาร์ทั้งหลาย
มันก็มีทางเดียวนี่ล่ะคือเทอร์โบ”

เปล่าหรอก ที่จริงวิศวกร Ferrari ไม่ได้พูดตามบทนั้นเป๊ะ แต่พวกเขาต้องการให้เราเข้าใจความ
จำเป็นที่จะต้องเอาเทอร์โบมาแปะไว้ตรงท่อไอเสียเท่านั้นล่ะครับ

และแล้วในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ เราก็ได้เห็น 458M.. หรือถ้าจะให้ถูกก็ต้องเรียกว่า 488GTB
ตัวตายตัวแทนของ 458 Italia ก็ถูกเผยโฉมออกมา วินาทีนี้ เราขอบอกคุณเลยว่า หากคุณ
ยังต้องการ Ferrari V8 NA ให้ปิดบราวเซอร์นี้ซะ! แล้วไปซื้อ 458 Italia คันใดก็ตามที่คุณจะหาได้
แล้วไม่ต้องกลับมาอ่านบทความนี้อีก…แต่ถ้าคุณสนใจ Ferrari V8 ที่ไล่ฆ่า F12 Berlinetta V12 ได้..
ก็อ่านต่อสิครับ

สเป็คของเครื่องยนต์ตัวใหม่ คือ V8 90 องศา ความจุ 3,902 ซี.ซี. เทอร์โบคู่ แรงม้าสูงสุดอยู่ที่
670 แรงม้าที่ 8,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 760Nm ที่ 3,000 รอบต่อนาที (วัดโดยใช้
น้ำมันออคเทน RON 98) จะเห็นได้ว่าแรงม้าสูงสุด เพิ่มจาก 458 Italia รุ่นธรรมดาถึง 100 แรงม้า
และแรงบิดเพิ่มขึ้นถึง 220 Nm นี่คือสิ่งปกติหรือเปล่าเมื่อเราเอารถเครื่องความจุเกือบ 4 ลิตร
มาลงเทอร์โบและปรับให้ใช้รอบได้สูงมาก สังเกตจากแรงม้าที่ 8,000 รอบ และเรดไลน์ที่ 8,000 รอบ
เช่นกัน ทำให้คาดการณ์ว่า 488GTB อาจจะเซ็ตกล่องตัดรอบไว้ที่ 8,500 รอบต่อนาที เพราะสมัยรุ่น
California เปลี่ยนมาเป็นรุ่นเทอร์โบนั้นรอบสูงสุดก็ลดลงจากเดิม 500 รอบต่อนาทีเช่นกัน

ในสภาพที่ฟิตที่สุด 488GTB มีแรงบิดสูงสุดมากกว่ารุ่นพี่ F12 Berlinetta (690Nm) ด้วยซ้ำไป
แต่ต้องรอดูว่าในการใช้งานจริงซึ่งเครื่องเทอร์โบจะมีความอ่อนไหวต่ออุณหภูมิไอดีค่อนข้างมาก
นั้นจะเป็นอย่างไร

น้ำหนักตัวรถของ 488 GTB ลดลงจาก 458 Italia อีก 10 ก.ก. จนเหลือแค่ 1,370 ก.ก. เท่านั้น
อัตราส่วนการกระจายน้ำหนักเปลี่ยนเป็น หน้า 46.5% และหลัง 53.5% (ของ 458 จะอยู่ที่
42:58)

อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ตัวเลขที่แจ้งมาจากทาง Ferrari อยู่ที่ 3.0 วินาที อัตราเร่ง 0-200 ก.ม./ช.ม.
อยู่ที่ 8.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 330 ก.ม./ช.ม.

หากตัวเลขอัตราเร่งเป็นไปตามนี้จริง ไม่ต้องพูดถึงว่าแรงกว่าเดิมขนาดไหน เพราะ 0-200 ก.ม./ช.ม.
ของรุ่นพี่อย่าง F12 Berlinetta ที่ม้า 740 ตัวนั้นยังทำตัวเลขได้ไล่เลี่ยกันที่ 8.5 วินาทีด้วยซ้ำไป
การทดสอบวิ่งรอบสนาม Fiorano ของ Ferrari เองนั้น 488GTB ทำเวลาได้  1 นาที 23 วินาที ซึ่ง
นั่นก็เร็วกว่า 458 Speciale ตัวโหดดิบอยู่ 0.5 วินาทีและเร็วกว่ารถในตำนานอย่าง Enzo V12
อยู่ 2 วินาที (และเร็วกว่า 458 Italia รุ่นธรรมดา 2 วินาทีเช่นกัน)

และในขณะที่เครื่องแรง รถเร็วขึ้น เครื่องยนต์ V8 ตัวใหม่นี้ก็ปล่อยมลภาวะ CO2 น้อยลงสมกับ
ความตั้งใจของ Ferrari คือลดจาก 307 กรัม/ก.ม. ใน 458 มาเหลือ 260 กรัม/ก.ม. ซึ่งแม้จะน้อยลง
แต่ก็มากกว่ารถสปอร์ตระดับรองลงมาอย่าง M4 Coupe หรือ 911 อยู่พอสมควร


รายละเอียดส่วนอื่นที่มีการปรับปรุง เริ่มจากสิ่งที่เห็นภายนอกก่อนเลย ด้านหน้าของรถจากเดิม
ที่ 458 มีช่องรับอากาศด้านหน้าโค้งชี้เหมือนหนวดกุ้งมังกร 488GTB กลับมีช่องสี่เหลี่ยมตรงกลาง
เหมือนคนผิวปาก (รู้สึกว่าจืดลงกว่าเดิม) ไฟหน้าของ 458 จะมีคิ้วหยักแทงเข้าหาจุดศูนย์กลาง
ตัวรถในขณะที่ 488GTB จะยิงเส้นโค้งเรียบๆขึ้นไป ยิ่งพอมามองด้านข้างตัวรถนั้น นอกจากล้อรถ
จะต่างออกไปแล้ว สิ่งที่สังเกตเห็นเด่นชัดที่สุดคือช่องรับอากาศขนาดใหญ่ที่ไม่ได้เกิดเพราะสไตล์
แต่เป็นเพราะความจำเป็นในการดักอากาศไปเป่าระบายความร้อนให้อินเตอร์คูลเลอร์นั่นเอง
ส่วนด้านท้ายนั้น แม้ไฟท้ายมองเผินๆจะเป็นทรงกลมเดี่ยวเหมือนเดิม แต่ที่จริงแล้วเปลี่ยนชิ้นส่วน
ใหม่กันเลย ช่องระบายอากาศออกจากห้องเครื่องมีรูปทรงที่เปลี่ยนไป และท่อไอเสียเปลี่ยนจาก
ท่อตรงกลางปลายออก 3 ท่อ มาเป็นทรงออกข้างละท่อ แต่ขนาดใหญ่ขึ้นแทน

ส่วนระบบช่วยเหลือทางด้านการขับขี่นั้น นอกจากระบบ F1 TRAC และ E-Diff ที่คู่บุญบารมี
กันมาตั้งแต่สมัย 458 แล้วนั้น ระบบ Side Slip Control ก็ได้รับการพัฒนาใหม่กลายเป็นระบบ
Side Slip Control 2 – SSC2 ซึ่งเหนือกว่าระบบเดิมตรงที่มันสามารถเข้าไปควบคุมการทำงาน
ของโช้คอัพ Active Damper ได้ทั้ง 4 ตัว ทำให้ระบบสามารถใช้ความแข็งของโช้คอัพซึ่งสามารถ
แปรผันได้ในการควบคุมตัวรถในยามที่ต้องเจอโค้งหลากหลายแบบภายในเวลากระชั้นชิดกัน

ส่วนภายในนั้น ยังยึดหลักการออกแบบ Driver-focused และหุ้มคอนโซลด้วยหนังพร้อม
เดินด้ายตะเข็บอย่างดี ตำแหน่งสวิตช์ต่างๆอยู่ในที่เกือบเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับ 458
ชนิดหากให้เจ้าของ 458 มาหลับตาคลำก็จะเจอสวิตช์ได้ง่ายๆ เพียงแต่มีการเปลี่ยนแปลง
บางส่วนให้ดูทันสมัยขึ้น เช่นช่องลมแอร์ที่มีหน้าตาเปลี่ยนไป และมาตรวัดรอบตรงกลาง
เปลี่ยนจากพื้นมาตรวัดสีเหลืองมาเป็นสีแดงแทน

Ferrari จะทำการเผยโฉม 488GTB อย่างเป็นทางการ ในงานมอเตอร์โชว์ที่ Geneva
เดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ และถ้าต้องการตัวเลือกให้เปรียบเทียบ..ในงานเดียวกันนั้นเอง
McLaren ก็จะเปิดตัวรถรุ่น 675LT ที่แรงและเร็วกว่า 650S เสียอีก

ศึกระหว่างสองค่ายนี้ ใครจะอยู่ ใครจะไป ต้องรอติดตามชม

ที่มา : Ferrari.com