ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การประกาศผล BestDrive 2009-2010

หลังจากใช้เวลา 2 ปีในการทดลองขับรถทั้งหมด 72 คัน มาสู่การให้คะแนนโดยกรรมการ 10 คนซึ่งประกอบ
ด้วยทีมงาน Headlightmag.com 8 ชีวิต และผู้อ่านจากทางเว็บ 2 ท่านที่ได้รับเชิญมาเป็นพิเศษ เพื่อสร้างความ
หลากหลายในอุปนิสัย ความชอบ ความถนัด ซึ่งส่งผลให้การตัดสินไม่เป็นเพียงแค่ความเห็นของ J!MMY
หรือผมเพียงคนเดียว กรรมการบางท่านชอบรถที่มีความสามารถรอบด้านอย่างเท่าๆกัน บางท่านชอบรถ
ที่ขับมันส์ สนุก สั่งได้ บางท่านชอบรถที่กิริยามารยาทเรียบร้อย สุขุม ผู้ดี บางคนนี่เน้นด้านดีไซน์ที่ต้อง
โดดเด่นและใช้การได้ และบางคนดูรถที่ความคุ้มค่าในภาพรวมเมื่อเทียบกับเงินที่ต้องจ่ายไป

สำหรับเงื่อนไขในการพิจารณานั้น Headlightmag เคยบอกกล่าวกันไปแล้วเมื่อเริ่มต้นโปรเจคท์
แต่จะขอย้ำอีกครั้งว่าการให้คะแนนที่เกิดขึ้น เป็นการให้คะแนนโดยให้ความสำคัญกับทุกหัวข้อเท่ากัน
ไม่ได้กระจายน้ำหนักไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ แน่นอนมันย่อมต่างจากวิธีที่คนทั่วไปใช้ในการ
ซื้อรถมาใช้ เพราะในกรณีนั้น แต่ละคนอาจเทความสำคัญให้กับด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ราคา เป็นต้น

ที่สำคัญที่ต้องบอกไว้ก่อนก็คือ เราไม่นำเอาภาพลักษณ์ของแบรนด์ ความแพร่หลายของศูนย์บริการ
คุณภาพบริการก่อนและหลังการขาย ความทนทาน รวมถึงเรื่องความสามารถในการโมดิฟายในภายหลังมา
พิจารณา เรื่องนี้มันเป็นสิ่งที่หาข้อสรุปได้ยาก อย่างศูนย์บริการขนาดลูกค้าคนละราย เข้าศูนย์เดียวกัน
ยังได้รับบริการต่างกัน ส่วนเรื่องตกแต่งโมดิฟาย คนที่ไปทำในภายหลังอาจทำให้ดีขึ้น หรือแย่ลงใน
บางด้าน รถคันนั้นอาจแต่งขึ้นได้ง่าย หรือยาก บอกตรงๆว่าในส่วนนี้ผู้ซื้อรถต้องทำการบ้านเสริมเอาเอง

เท่าที่รู้คือรถ 72 คันนี้ เราได้สัมผัสมาจริง ผ่านมือมาจริง และเราจะพิจารณามันจากสิ่งที่เราได้จาก
รถเหล่านี้ด้วยประสบการณ์ของเราเอง

และจะได้ข้อสรุปมาเป็นรถ 1 คันที่เป็น BestDrive ที่สุดของแจ้จริงๆ

ว่าแล้วเราก็เริ่มกันเลย แต่จะให้ตัดภาพไปที่ผู้ชนะอันดับ 1 ในทันทีเลยนั้น มันก็คงจะง่ายไปหน่อย
คุณผู้อ่านก็จะจากเราไปอย่างรวดเร็วสิครับ ดังนั้น ก็เอาอย่างการประกวดนางงาม หรือการจัดอันดับ
ในโลกนี้เสียหน่อยโดยการไล่เรียงให้ดูว่ารถทั้ง 72 คันนั้น ใครบ้างที่ได้เข้ารอบตัดเชือก 10 คันสุดท้าย

ว่าแล้วก็มาเริ่มกันเลยครับ

อันดับ 10 – BMW 523i Highline

ทุกครั้งที่ 5-Series เปิดตัวสู่ตลาด มันมักเป็นรถที่ถูกจับตามองมากที่สุดคันหนึ่งเสมอ และมักได้รับการ
ยกย่องให้เป็นรถ Premium Midsize ที่ดีที่สุด (ไม่อันดับ 1 ก็อันดับ 2) เสมอมา สำหรับ ปี 2010 นั้น
5-Series ตัวถัง F10 ได้สยายปีกประกาศศักดาความเป็นจ้าวแห่งรถในเซกเมนท์นี้อีกครั้ง 523i คือรถ
ที่ชูความโดดเด่นเหนือคู่แข่งด้วยความรู้สึกที่ได้จากการขับขี่ การก้าวลงมาจาก E-Class แล้วขึ้นขับ
523i แล้วพยายามอัดมันไปตามโค้ง หมุนพวงมาลัยไปมา วิ่งเส้นทางไกลด้วยความเร็ว หรือกระทืบ
คันเร่งเพียงแค่ขอให้ได้ฟังเสียงเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงที่สุดแสนจะไพเราะ ในวินาทีนั้นคุณจะเข้าใจว่า
รถใหญ่ๆที่ขับได้สนุกนั้นมันมีอยู่จริง และไม่เพียงแค่สนุก แต่ยังหรูหราด้วยออพชั่นมากมาย ช่วงล่าง
ปรับระดับความแข็งอ่อนได้และใช้การได้ดีจริง หน้าปัดอ่านค่าได้ง่ายในยามขับขี่

แต่ไม่ใช่ว่า 523i ชนะเลิศในทุกด้านอย่างขาวสะอาด ไม่รู้ว่าต้องการเน้นภาพลักษณ์สปอร์ตมากหรือไร
5-Series จึงกลายเป็นรถยักษ์ที่ขึ้น-ลงจากรถได้ยากอย่างไม่น่าเชื่อ และถึงแม้ฐานล้อยาวที่สุดใน
เซกเมนท์ เราก็ยังพบว่าคู่แข่งอย่าง E-Class และ S80 ต่างก็มีเบาะหลังที่โอบอ้อมอารีมีที่ให้พักพิง
มากกว่า และรถพรีเมียมตัวขนาดนี้ ความสบายเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าบกพร่องเลยจริงๆ

อันดับ 9 – Volkswagen Scirocco 2.0 TFSI

น้องชายทะโมนของ VW Golf GTi ที่พอคุณคิดว่ามันเหมือน GTi ก็ต้องหยุดครุ่นคิดอีกครั้งว่าแน่ใจเรอะ?

ความน่าหลงใหลของตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นอัตราเร่งที่ขับแล้วไม่ค่อยอยากเชื่อเลยว่าใต้ฝากระโปรงมีอยู่
แค่ 200 แรงม้า ตัวเลข 0-100 หรือเร่งแซง 80-120 ของพี่น้องคู่นี้สูสีกันอยู่ประมาณอันดับ 4 ของรถ
ทั้งหมดที่เราจับเวลามา นั่นถือว่าเร็วเกินหน้ารถทั่วไปโดยเฉลี่ยทั่วไปชนิดเหลือเฟือ แต่บุคลิกของ
Scirocco ซุกซนและก้าวร้าวกว่า การกดคันเร่งเต็มในแต่ละครั้งนั้นรถจะออกอาการสะบัดสะบิ้งชัดเจน
พวงมาลัยก็ดูเหมือนจะไวกว่า ดังนั้นคนที่ชอบความพยศ (แบบรถขับหน้า) จะเลือกมันอย่างไม่ต้องสงสัย
ในด้านนิสัย ถ้า GTi เป็นคน มันจะทำป้ายโลหะแขวนไว้หน้าบ้านว่า “ความภูมิใจจาก VW” ส่วน Scirocco จะไป
หน้าบ้านคนอื่นแล้วเอาสีสเปรย์พ่นไว้ว่า “Ferdinad Piech พ่อทุกสถาบัน”

นอกจากนี้ คุณภาพวัสดุและการประกอบยังสามารถทาบชั้นรถพรีเมี่ยมได้แบบไม่ต้องสืบ แต่ยัง
มีจุดที่ควรแก้ไขเช่นการออกแบบมือจับประตูภายในที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้งานสวิทช์กระจก
ทัศนวิสัยที่ต้องอาศัยความเคยชินในการขับ และเสียงลมที่เข้ามาดังกว่า GTi เพราะเลือกใช้ประตู
แบบไร้กรอบ ส่วนแป้นเบรค..จะไวไปไหน

 

อันดับ 8 – Volvo S80 2.5 T

สำหรับผม S80 ไม่มีอะไรมากไปกว่ารถพรีเมี่ยมคันนึงที่เสียงเครื่องยนต์เพราะพริ้งเกือบเท่า
BMW 6 สูบเรียง แต่สำหรับหลายคนในทีมงานโดยเฉพาะ J!MMY S80 คือความพยายามที่
ประสบผลสำเร็จในการนำเอาดีไซน์ที่เรียบง่าย เป็นมิตรและไม่น่าเบื่อ มารวมกับวัสดุและการ
ประกอบที่สุดยอดโดยฝีมือคนไทย อีกทั้งยังมีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยมากมายแบบที่พูดได้เลยว่า
ถ้ายังไม่ดีพอ ก็ไปหารถ Luxury Saloon คันละ 7-8 ล้านเล่นเถอะ

ยิ่งพอเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ช่วงล่างของเดิมที่ไม่รู้จะย้วยสำลีกันไปทำไมก็ถูกแทนที่ด้วย
ช่วงล่างที่เฟิร์มขึ้น ให้ความมั่นใจในการขับมากกว่าเดิมโดยที่ผู้บริหารยังสามารถนั่งโดยสาร
ได้สบายตัว นอกจากนี้ค่าตัวในรุ่น Superior ที่มีออพชั่นเต็มยังอยู่ที่แค่ 2 ล้านปลายๆ
หรือถูกกว่า C250CGI ด้วยซ้ำ

S80 มาเสียทีเอาในเรื่องอัตราเร่ง ไม่ว่าจะเป็น 0-100 หรือ 80-120 ที่ช้ากว่าเกณฑ์เฉลี่ย
ของกลุ่มและกลับไปใกล้เคียงรถ C-Segment เครื่อง 1.8 ลิตรด้วยซ้ำ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ
ถึงแม้จะมีแรงสูงกว่า E200CGI แต่น้ำหนักตัวถังก็สูงกว่ากันเป็นร้อยกิโล ตำแหน่งการวาง
คันเร่งที่อยู่ชิดไปทางซ้ายมากไป และฟีลลิ่งของช่วงล่างโดยรวมทำให้มันไม่ใช่รถที่ขับได้สนุก

 

อันดับ 7 – BMW 530d

ไม่รู้จะว่ายังต่อสำหรับ 530d เพราะสิ่งที่รถคันนี้ทำได้นั้นอยากจะเอา “ม้านิลมังกร” จากวรรณคดีเก่ามา
เปรียบเทียบ แต่เนื่องจากรถคันนี้สีขาว ก็ให้เป็น “ม้าเผือกมังกร”ไปก็แล้วกันอิทฤทธิ์..อภินิหาร..
จะใช้คำว่าอะไรดีกับรถพันธุ์ชะโดยาวๆที่ดูหน้าตาไม่น่าจะมีอะไรแต่ถีบตัวผ่านหลัก 100 ก.ม./ช.ม.
เร็วกว่า Golf GTi แซง 80-120 เร็วเท่ากัน แต่ตัวเลขก็ไม่สามารถบรรยายถึงความรุนแรงของ 540Nm ที่พา
รถทะยานอย่างต่อเนื่องจนน่ากลัว 220..230..240..250..260 และที่ความเร็วสูงพาตายโหงขนาดนั้น 530d
กลับทรงตัวอย่างนิ่งราวกับมันวิ่งอยู่ที่ 140-150 เท่านั้นทั้งๆที่อยู่ในโหมดช่วงล่าง Comfort! พวงมาลัยเยี่ยม
น้ำหนักยอด ดีที่สุดในรถระดับเดียวกัน และถ้าขับดีๆ มันจะกินน้ำมันแค่ 14.55 ก.ม./ลิตร เท่าๆกับ
Altis 2.0 Minorchange

แต่ทุกอย่างในรถคันนี้ จะเป็นของคุณได้ ก็ต้องเอาเงินไปแลกถึงกว่า 8 ล้านบาท นี่เป็นเพราะภาษีนำเข้า
อย่างเดียวจริงๆเหรอเนี่ย? ราคานี้แพงกว่า 730Ld เสียด้วยซ้ำและส่วนต่างราคาระหว่าง 530d กับ 523i
นั้นเพียงพอให้คุณซื้อ Scirocco กับ CR-V ได้ หรือถ้าไม่เช่นนั้นก็เอามาเติมน้ำมันวันละ 500 บาทได้ไปอีก 20 ปี!

อันดับ 6 – Nissan Teana 250XV

รถญี่ปุ่น D-Segment ราคาล้านกว่าๆมาโผล่หน้าอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา

ภายใต้รูปทรงที่ดูแก่กว่าเจ้าตลาดอีก 2 รายนั้นมีรายละเอียดที่น่าประทับใจซ่อนอยู่ ความตั้งใจในการออกแบบ
เบาะนั่งและส่วนรองรับสรีระต่างๆของร่างกายให้ออกมาดูดี ใช้วัสดุในการตกแต่งดูมีราคา จัดวางอุปกรณ์ต่างๆ
ให้ใช้งานได้ง่าย เป็นรถที่สามารถสร้างความผ่อนคลายในการนั่งได้ในระดับ Volvo S80 ในขณะที่อุปนิสัย
ของช่วงล่างนั้น ถ้าไม่นับอาการยวบตัวเวลาผ่านคอสะพาน สิ่งอื่นๆก็เทียบได้กับ E-Class อย่างที่เราเองก็
ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าชาตินี้จะได้พูดประโยคนี้ การเก็บเสียงก็เงียบกว่าคู่แข่ง เงียบจนสามารถได้ยิน
เสียงลมแหวกผ่านที่ปัดน้ำฝนเวลาทำงานได้เลย รถคันนี้คุณภาพใกล้เคียงพรีเมี่ยมในราคา D-Segment

ถ้าอยากจะปรับปรุงให้รถคันนี้ดีขึ้น จุดที่ผมไม่ชอบเป็นการส่วนตัวคือรถคันละล้านกว่าที่เสียเวลาออกแบบ
ภายในมาอย่างดี แต่พวงมาลัยปรับเข้าออกไม่ได้ คำว่าสบายเลยยังไม่สบายสุดดีนัก เบาะหลังแม้จะดี
กว่าคู่แข่งในภาพรวมแต่พนักรองก้นยังสามารถทำให้ดีได้มากกว่านี้ การขับขี่ไม่ได้ให้บุคลิกที่สนุกสนาน
เท่า Accord ที่วางตัวในธีมสปอร์ตชัดเจน และผมยังอยากให้รถคันนี้ทั้งแรงทั้งประหยัดได้แบบ
ที่ Camry Hybrid เป็น

 

อันดับ 5 – Mercedes-Benz ML280CDI

โดยปกติทั้งทีมงาน Headlightmag จะไม่มีความโปรดปราน SUV รุ่นใดเป็นพิเศษ แต่ ML280CDI ถือเป็น
ข้อยกเว้น เพราะแม้จะตัวใหญ่ น้ำหนักมาก แต่ก็กินน้ำมันไม่เยอะอย่างที่คิด ภายในของรถก็มีสิ่งที่คุณคาดหวัง
จากรถ SUV ที่มีโลโก้ดาวสามแฉกทั้งในด้านความหรูหรา สัมผัสที่ได้จากวัสดุ ความสบายในการโดยสาร
ซึ่งแม้แต่ J!MMY ยังยืนยันว่าความรื่นรมย์ที่ได้พบในการใช้ชีวิตกับรถคันนี้นั้น มากพอที่จะทำให้เป็นรถ
เบนซ์ที่เขา “ไม่อยากคืนกุญแจ” กันเลยทีเดียว มันคือความลงตัวของช่วงล่างที่นุ่มแต่แน่นและหนึบพอดี
น้ำหนักของพวงมาลัยที่กำลังพอดี ปัจจัยต่างๆรวมกันแล้วมาบวกกับราคาของตัวรถ 5.3 ล้านบาทโดยประมาณ
ซึ่งถูกกว่า Lexus RX350 และ X5 เสียอีก จะมีอะไรดีไปกว่าการใช้เงินที่น้อยกว่าเพื่อซื้อสิ่งที่ดีพอๆกัน?

หรือว่ามี? เพราะคนเท้าหนักยังมีโอกาสที่จะพอใจในอัตราเร่งของ RX350 มากกว่าเยอะ คนที่ชอบการขับขี่
และความประหยัดน้ำมันก็น่าจะไปเลือก X5 มากกว่า และ..พวงมาลัยช่วยทำให้เล็กลงกว่านี้นิดนึง อีกอย่างคือ
ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ออกแบบขอบประตูให้ขึ้นลงจากรถในหน้าฝนได้โดยกางเกงไม่เปื้อนจะดีมาก

อันดับ 4 – Lexus LS460L

ผมไม่ชอบคำว่า “อัครยานยนต์” เท่าไหร่นัก แต่พอต้องหาคำที่มาอธิบาย LS460L ที่เหมาะสม ก็ไม่สามารถ
หาคำที่ดีกว่านี้ได้

อันที่จริงอยากจะเสริมด้วยว่ามันคือเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวภาคพื้นดิน นี่น่าจะเป็นคำที่เหมาะ
ไม่ใช่แค่เพราะมันแรงและเร็ว แรงดึงจากเครื่อง V8 380 ม้าพร้อมพาคุณไปแตะความเร็ว 180 ได้โดยไม่รู้ตัว
เพราะคุณจะไม่รู้สึกถึงอันตรายที่แท้จริงใดๆด้วยความสามารถของตัวรถที่เก็บเสียงในเงียบจนน่าแปลกใจ
และแรงดึงที่ไม่ใช่ทะลึ่งดึงพรวดพราด แต่มาไหลๆแบบแรงไม่มีตกนั่นเอง ในขณะเดียวกัน รถคันนี้ก็มอบความ
สะดวกสบายด้วยเบาะที่รับร่างกายคุณอย่างอบอุ่นพอดี ยิ่งเป็นเบาะหลัง OTTOMAN ที่นวดได้ ยืดส่วนรองรับ
ขาออกมาได้ แถมมีสวิทช์สั่งการมากมายพร้อมโต๊ะและจอมอนิเตอร์ส่วนตัว เครื่องเสียง Mark Levinson ก็จัดว่า
เป็นเครื่องเสียงระดับเทพที่สามารถขับกล่องบทเพลงโปรดของคุณได้อย่างน่าประทับใจ มันคือประสบการณ์
ระดับ Top-class ที่พบได้จากสายการบินชั้นนำ แต่ถูกนำมาบรรจุไว้ในรถยนต์ แม้แต่ BMW หรือ Mercedes-Benz
ยังต้องค้อนขวับ

จุดที่ติในรถคันนี้มีน้อยมาก หากคุณมองว่ามันคือรถ Luxury Saloon ที่เน้นการขับขี่แบบสุภาพเรียบร้อย
เราไม่มีอะไรจะติแล้วจริงๆ แต่ถ้าอยากให้รถคันนี้สมบูรณ์แบบ เราคิดว่า Lexus ยังมีการตอบสนองของ
ช่วงล่างในสไตล์นุ่มไปนิด ทั้งๆที่บรรดา BMW ใช้ประโยชน์จากช่วงล่างที่ปรับความแข็ง-นุ่มได้ มาทำให้
รถของตนเองมีบุคลิก 2 ด้านได้ ส่วนราคา 11 ล้านของมันนั้นอาจฟังดูไม่แพงสำหรับคนมีกะตังค์
แต่เรายอมรับว่าถ้ามันราคาถูกกว่านี้สัก 3 ล้าน อันดับของมันจะอยู่สูงกว่านี้แน่นอน

อันดับ 3 – BMW 320d

รถพรีเมี่ยมคอมแพ็คท์ที่ดีที่สุด ดีจนไม่อยากคืนรถ นี่คือบทสรุปของ J!MMY ที่แม้ผ่านมานานแล้วก็ยังขอ
ยืนยันประโยคเดิม

ทุกคนในทีมต่างเห็นด้วยหลังจากได้สัมผัสตัวจริงของมัน 320d มีอุปกรณ์ติดรถมาให้ครบ
ระบบ iDrive ได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น ตำแหน่งการขับขี่และตัวเบาะที่รองรับสรีระของผู้ขับได้
พอดีเหมาะสมกับความเป็นรถหรูคันไม่ใหญ่และติดสปอร์ตนิดๆ จริงอยู่ว่าดูสมรรถณะจากตัวเลขแล้ว
C250CDI ชนะทั้งอัตราเร่งและความประหยัด แต่ก็มีความต่างกันน้อยมาก ในขณะที่ BMW ได้รับการ
ปรับช่วงล่างให้สามารถนั่งเดินทางได้สบายขึ้น แต่ทั้งนี้ยังให้ความมั่นใจในการขับขี่สูงกว่า C-Class
มีพวงมาลัยที่น้ำหนักกำลังพอดี ขับสนุก เกียร์ 6 จังหวะฉลาด และเดาใจคนขับได้ดีกว่าด้วยเช่นกัน
แล้วราคา 2.8 ล้านแบบนี้ กับรถพรีเมี่ยมที่ครบครันแบบนี้ แน่นอนว่าตอบโจทย์ได้เกือบครบทีเดียว

สิ่งเป็นข้อเสียของ 320d ยังคงมีอยู่บ้าง เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของ BMW หลายรุ่นที่มักไม่เน้น
พื้นที่โดยสารบนเบาะหลังสักเท่าไหร่ C-Class หรือ Volvo S60 ทำคะแนนได้ดีกว่าในจุดนี้ และส่วนตัวผม
การขึ้น-ลงจากรถคันนี้มันยากกว่าเพื่อนๆคันอื่นๆในเซกเมนท์เดียวกันมาก นอกจากนี้หากวัดกันในด้าน
ความปลอดภัยในเชิงป้องกันจากอุปกรณ์ที่มีให้ Volvo S60 ก็เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวทีเดียว

อันดับ 2 – BMW 730Ld

ถ้า LS460L เป็นเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวระดับหรู BMW730Ld ก็น่าจะเป็นเครื่องบินไอพ่นทางการทหารสำหรับ
รองรับนายพล แม้จะไม่หรูเท่าและมีบรรยากาศโดยรวมออกจะแข็งๆเข้มๆตามสไตล์เยอรมัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า
อุปกรณ์จำนวนมากที่สาธยายไม่หมดในรถคันนี้มีหมัดต่อกรเด็ดๆไว้รอ LS460L อย่างเช่นระบบช่วงล่าง
ซึ่งสามารถปรับระดับได้ทั้ง Comfort, Sport และ Sport Plus ซึ่งในแต่ละโหมดจะมีความนุ่มนวลของ
ช่วงล่าง การตอบสนองของเกียร์และพวงมาลัยที่ต่างกัน ในขณะที่ Lexus เป็นช่วงล่างถุงลมซึ่งในคัน
ที่เราทดลองขับจะปรับอะไรไม่ได้เลย แน่นอนว่าถ้าคุณเป็นกัปตัน คุณจะสนุกและมั่นใจไปกับประสิทธิภาพ
ของตัวรถที่เหนือกว่า Lexus แต่นั่นน่าจะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญสำหรับคนที่ซื้อรถประเภทนี้ใช้สักเท่าไหร่

แต่ถ้าเป็นเรื่องความปลอดภัยล่ะ? ในเมื่อ BMW หยิบยื่นอุปกรณ์ทุกอย่างให้แทบไม่ต่างกันกับ LS460L
แถมยังชูไพ่เหนือกว่าด้วยระบบกล้องอินฟราเรด ซึ่งทางทีมงานได้ทดลองใช้แล้วพบว่ามันสามารถช่วยให้
เรามองเห็นน้องหมาสองตัวที่ซ่อนอยู่ในความมืดของท้องถนนซึ่งไฟหน้ารถยังส่องไปแทบไม่ถึง เหมาะจริงๆ
กับประเทศที่มอเตอร์ไซค์หลายคันคิดสั้นชอบวิ่งสวนเลนปิดไฟหน้า นอกจากนี้ยังมีระบบกล้องส่อง 180 องศา
ด้านหน้าที่ช่วยให้คุณสามารถขับรถแหยมหน้าออกจากซอยนิดเดียวก็สามารถรับรู้ได้เลยว่ามีใครกำลังพุ่งมา
จากทางซ้ายหรือขวาบ้าง (ในภายหลัง Isuzu ก็นำไปติดกับรถของเขาล่ะครับ) เหมาะกับการใช้งานในไทยเช่นกัน

จริงอยู่ว่ารถหรูกับเครื่องดีเซลยังไม่เป็นที่ยอมรับกัน 100% กับเสียงเครื่อง ไม่ใช่ว่ามันดัง แต่เป็นเพราะ
Lexus ขับเคลื่อนได้เงียบเชียบกว่า ส่วนความสบายในการโดยสารเบาะหลัง ก็คงเป็นการยากที่จะคว่ำเบาะ
OTTOMAN อันเป็นที่สุดของแจ้แห่งความสบายไปได้ เบาะของ BMW นวดไม่ได้ แต่ด้วยส่วนต่าง 3 ล้านกว่าๆ
คุณคงหา Spa ดีๆแพงๆไว้นวดตัวได้อีกนานเลยล่ะ เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน BMW คิดค่าตัวรถแค่ 7.6 ล้าน
หรือถือเป็น 68% ของค่าตัว Lexus ในขณะที่ตัวรถเองสามารถตอบสนองได้แบบเป็นรองในบางเรื่องและ
เหนือกว่าในบางเรื่องโดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย BMW จึงทำคะแนนรวมได้เหนือกว่า

และ

 

 

นั่นหมายความว่า

 

 

 

 

ตำแหน่งผู้ชนะ BestDrive 2009-2010 ก็คือ…

 

 

 

อันดับ 1 – Volkswagen Golf GTi

ถ้าจะมีรถเพียงแค่คันเดียวที่จะได้รับตำแหน่ง BestDrive มันก็คือเจ้ารถ Hatchback สีแดงคันที่เห็น
อยู่ในภาพนี้นั่นเอง

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น คุณผู้อ่านคงจำกันได้ว่า J!MMY ให้บทสรุปกับรถคันนี้เอาไว้แบบนี้

“นี่แหละ German Engineering!!! รถที่ผลิตโดยกลุ่มคนซึ่งบ้ารถเข้ากระดูกดำ!!
เข้าใจความเป็นรถ และความต้องการขอลูกค้าได้อย่างดี ควบคุมต้นทุนอย่างเหมาะสม
ไม่ลดต้นทุนมากไป แต่ยังได้กำไร เป็นชิ้นเป็นอัน ในระดับที่สมควรจะได้รับ
มันจะออกมาเป็นแบบนี้!”

ส่วนตากล้วย BnN ก็เคยบอกกับผมเอาไว้ว่า
“ต้องลองให้ได้นะพี่ กล้วยจะไม่บอกอะไรพี่แพนมากไปกว่าให้ไปลองซะ
แค่ขึ้นรถ แล้วกดคันเร่งให้เต็มตีน แล้วคอยดูสิ่งที่จะเกิดขึ้น!”

ผมเคยคิดกับมันว่า “ก็แค่แฮทช์แบ็คบ้านๆคันนึงที่พยายามจะทำตัวเป็นรถสปอร์ต แถมยังมี
สื่อเมืองนอกมากมายคอยโอบอุ้ม เชียร์กันอย่างเวอร์ๆ”

แต่ในวันที่ได้ขับ มันเป็นวันที่ทัศนคติของผมที่มีต่อรถรุ่นนี้ออกไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ!

เคล็ดไม่ลับแห่งความสำเร็จของ Golf GTi นั้น ผมเชื่อว่ามันมีบ่อกำเนิดมาจากการที่บรรดาวิศวกร
ภายใต้นโยบายหลักในการสร้างรถของ Martin Winterkorn และ Ferdinand Piech สองสิงห์
ผู้มีความคลั่งไคล้ในรถยนต์และกุมบังเหียนของ VW Group อยู่ พวกเขาคือเบื้องหลังของผู้ที่
ผลักดันเรื่องคุณภาพการประกอบและวัสดุที่ใช้ในรถว่าต้องโดดเด่นเหนือคู่แข่ง แต่ในเรื่องการ
ใช้งานนั้นจะต้องมีความเรียบง่าย เป็นมิตรกับผู้ใช้ มีความเอนกประสงค์ แล้วพอมาถึงขั้นตอน
ที่จะทำ Golf GTi พวกเขาก็ส่งวิศวกรที่ต้องบ้ารถเข้าขั้น และน่าจะขับรถแข่งในสนามเป็นงาน
อดิเรกมาควบคุมโปรเจคท์นี้โดยเฉพาะ

ผลที่ออกมาจากความร่วมมือของทุกคน ก็คือรถคันหนึ่งซึ่งคุณสามารถสตาร์ทเครื่อง
ขับออกไปทำงานในวันจันทร์-ศุกร์ผ่อนคลายไปกับช่วงล่างที่มีความนุ่มนวลพอสำหรับถนนส่วนใหญ่
ในเมืองไทย แอร์เย็น เพลงเพราะ พอวันเงินเดือนออก ก็สามารถพาเพื่อนผู้ชายตัวใหญ่ไปหาข้าวกิน
ได้พร้อมกัน 4 คน ในหยุดสุดสัปดาห์ คุณสามารถพาแฟนไปช้อปปิ้งแล้วขนข้าวของไปได้มากเท่า
รถ C-Segment ญี่ปุ่นทั่วไป และเมื่อเดินทางไกลไปกับหวานใจ คุณสามารถขับไปอย่างสบายใจเฉิบ
ด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีกว่ารถญี่ปุ่นเครื่อง 1.8-2.0 ลิตรหลายคัน

และถ้าหวานใจอนุญาต คุณสามารถยิงโค้งตามหุบเขาได้ด้วยความมั่นใจ กระแทกคันเร่ง ดูรอบตวัด
ฟังเสียงเครื่อง กับเสียงระบบลดองศาไฟจุดระเบิดตอนเปลี่ยนเกียร์ดัง ปรึ้บ! สนุกไปกับพวงมาลัย
เพาเวอร์ไฟฟ้าที่ขับแล้วต้องถามว่านี่มันเป็นไฟฟ้าแน่นะ

แล้วถ้าหากคุณคิดจะนำมันลงไปขับ Trackday ในสนามแก่งกระจานเพื่อซิ่งอย่างถูกกฏหมาย
คุณก็จะสบายใจที่ได้รู้ว่าพี่วัว ณัฐวุฒิ เจริญสุขวัฒนะ นักแข่งชั้นนำของประเทศ เคยพารุ่นน้องผม
นั่งรัดเข็มขัดไปใน GTi แล้ววิ่งอัดระห่ำรอบแก่งกระจานต่อเนื่องกันหลายรอบโดยที่เครื่องไม่มีฮีท
เบรคไม่มีอาการเฟด

รถคันนี้ไม่ใช่รถหรูไฮโซ..อย่าไปเทียบกับความหรูที่คุณพบใน 523i, Lexus หรืออะไรที่แพงๆ
มันไม่ใช่รถที่สามารถพาคุณบุกป่าเขาได้อย่าง Land Rover หรือ M-Class  ไม่ใช่รถสปอร์ตที่ขับผ่าน
สยามฯแล้วสาวๆจะพากันมองอย่าง Z4 นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่าบางครั้งความสุขในการขับก็โดน
ทำลายโดยการเซ็ตแป้นเบรคที่ไม่รู้จะจับไวทำไมขนาดนั้น เวลาใช้ในเมืองต้องเกร็งเท้าค่อยๆเบรค
ไม่งั้นแม่ยายบนเบาะหลังจะหัวโขกเบาะแล้วจะหันมาด่าสั่งสอนเรา ส่วน ESP นั้น พยายามกดให้
ระบบปิดการทำงาน มันก็ไม่ปิด ส่วนเบาะนั่งที่เน้นสปอร์ตของมันก็ยังทำให้มีอาการเมื่อยล้าเวลา
ขับนานๆบ้าง อาจมีปัญหากับคนตัวใหญ่เช่นผมและ J!MMY เป็นต้น

และถึงแม้ Golf GTi จะเป็นรถขับหน้าที่สามารถเล่นกับโค้งได้อย่างเมามันส์ที่สุดคันหนึ่ง
ก็ต้องยอมรับว่าเมื่ออยู่ในช่วงที่พยายามจะยิงออกจากโค้ง ขับหน้าพร้อมระบบอิเล็กทรอนิกส์
ก็ไม่สามารถเอาชนะแทร็คชั่นของรถขับเคลื่อนสี่ล้ออย่าง Impreza WRX และ MTM S3 ได้

แต่นอกเหนือจากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น การนำเงินราว 2.6 ล้านบาทไปแลกกับสิ่งที่มันให้นั้น ถือว่า
เป็นของดีที่ราคาถูก ขอเพียงแค่คุณไม่ยึดติดกับภาพลักษณ์ทางสังคมที่เน้นความรวย แล้วคุณจะพบ
ความสวยงามในหลายแง่ของรถคันนี้

ผมไม่แน่ใจว่าอะไรจะทำให้ผมเปี่ยมสุขได้มากที่สุดระหว่างการได้ปีนเขา Everest, การได้พบน้องยิปโซ
รมิตาตัวเป็นๆ, การหาแฟนได้เสียที หรือการได้พบกับรถอย่าง Golf GTi

แน่นอนผมไม่ได้ลองสิ่งที่กล่าวมานี้ทั้งหมด แต่ผมยืนยันได้เลยว่าการปรากฏตัวของ Golf GTi คือสิ่งที่
ทำให้ผมปลื้มปิติและเศร้าหมองใจมากที่สุดตั้งแต่ทำเว็บ headlightmag.com มา ที่ปลื้ม ก็เพราะรถคันนี้
นำเอาเกือบทุกแนวคิดที่ผมวาดฝันเอาไว้สำหรับรถสักคันที่เป็น Performance Car ที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง
มาทำให้เกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้น และทำได้ดีกว่าที่ผมคาดหวังเอาไว้มาก แถมค่าตัวไม่ได้แพงจนต้อง
ขายบ้าน ขายที่ มาเพื่อซื้อ

และที่เศร้า ก็เพราะต่อให้ขายทุกอย่างที่มี ผมก็จะยังไม่มีเงินพอให้ซื้อรถคันนี้ได้อยู่ดีไงครับ…

จบบริบูรณ์