Headlightmag.com ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การประกาศผลสุดยอดรถทดสอบแห่งปี
Headlightmag’s BestDrive 2013

เขียนไม่ผิดนะ..ก็นี่คือการจัดอันดับรถทดสอบขวัญใจของพวกเราชาว Headlightmag
และ The Coup Team และรถที่เราได้มาทดสอบทั้งหมด ก็เป็นรถที่ได้รับมาภายในปี 2013 ไงครับ
ผม Commander CHENG! ขออาสาเป็นผู้ทำหน้าที่เรียบเรียงและถ่ายทอดความคิดเห็นของพวกเรา
และ J!MMY ผู้เขียนรีวิวเช่นเคย

ท่านผู้อ่านครับ ในปี 2012 นาย J!MMY ของเราได้กระหน่ำทำรีวิวไปทั้งสิ้น 61 คัน และสารภาพเลยว่า
ในอัตราการทดสอบรถที่มากกว่าสัปดาห์ละคันนั้น พลังงานชีวิตของคนทำรีวิวนั้นแทบจะไม่เหลือหลอ
พวกเราอาจจะมีไฟ แต่ก็เป็นไฟที่ลุกไหม้มาแล้ว 3 ทศวรรษกว่าๆ มันทำให้เราต้องบริหารจัดการ
พลังที่มีอยู่ในร่างกายในระดับที่เหมาะสม ผมและทีมจึงมีความเห็นว่าเราเดินทางสายกลางกันหน่อยเถอะ
เพราะไม่อยากเห็น J!MMY เข้าโรงพยาบาลก่อนวันที่อันควร ก็เลยมีการจัดลำดับและตารางเวลา
สำหรับการทดสอบเสียใหม่ ในปี 2013 ที่ผ่านมา เราจึงได้ทดสอบรถไปทั้งสิ้น 37 คัน อาจจะฟังดูน้อย
แต่เชื่อเถอะครับว่าถ้าให้ทำ 61 คันต่อไปอีก 2-3ปี พอเข้าปีที่สี่คนทำรีวิวอาจต้องนอนรถพยาบาล

แล้วคลานไปรับรถทดสอบก็ได้

ทางสายกลาง เป็นสิ่งที่จำเป็นเสมอสำหรับชีวิต แต่ในงานของ J!MMY นั้น หากได้รถคันไหนมาแล้ว
พวกเราก็จะขับ ลอง และวิจารณ์กันอย่างตรงไปตรงมาเช่นเคย ถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ เราเลือกที่จะ
เดินทางสายเดียว คือเดินหน้า ชิดขวา และไปด้วยความเร็ว แรง และด้วยสไตล์แบบที่เราพยายาม
รักษามาตลอด 5 ปีแห่งการทำเว็บรถยนต์ที่น่าจะได้ชื่อว่าขวานผ่าซากที่สุดในประเทศแล้ว
ดังนั้นในขณะที่ท่านผู้อ่านบางคนอาจจะชอบ และสะใจ แต่ในวันใดก็ตามที่พวกเรามีความเห็น
ต่างกันในรถบางรุ่น ผมขอเรียนให้ทราบว่า ไม่ชอบ ก็คุยกันดีๆครับ เรามีหน้าที่ทำงานและถ่ายทอด
ความคิดของเรา และการวิจารณ์ของเรานั้นมุ่งเป้าไปที่รถ มันไม่ได้เกี่ยวกับวัยวุฒิ คุณวุฒิ หรือรสนิยม
ของคนซื้อรถ ซึ่งเราไม่ได้สน (แม้บางทีจะเอามาใช้เทียบหรือแขวะกัดบ้าง)

ผมต้องเกริ่นนำบทของ BestDrive 2013 ไว้อย่างนี้ เพราะเราอยู่ในยุคที่คนเราสามารถนำความ
เห็นต่างมาทิ่มแทงกันได้เสียในทุกเรื่อง เมื่อก่อนน่ะแค่การเมือง ต่อมาเราลามมาถึงเรื่องรถ ไม่นาน
เราก็แทบจะด่าพ่อล่อแม่กันเพราะชอบมือถือคนละรุ่น อีกหน่อยดื่มน้ำอัดลมต่างค่ายกันก็คง
เอาไม้ตะพดตีกบาลกันตายแล้วถ้าเราไม่รุ้จักแยกแยะสิ่งต่างๆกันเสียตั้งแต่ตอนนี้

และผมไม่หวังจะให้ทุกคนเอาความเห็นของพวกเราไปเป็นเสาหลักแห่งความถูกต้อง เพราะอะไร?
ก็เพราะขนาดกรรมการให้คะแนน ทีมเดียวกัน กินข้าวโต๊ะเดียวกัน ยังคิดไม่เหมือนกันในรถทุกรุ่น
แล้วเราทำมันทำไมล่ะไอ้ BestDrive เนี่ย? ถ้าถามความเห็นผม มันคือการได้ให้โอกาสในการย้อน
และเปรียบเทียบรถคันต่างๆที่เราทดสอบมา และเพื่อสร้างโมเดลที่สามารถช่วยเสนอแนวคิด
ในการเปรียบเทียบรถ ตลอดจนมอบไอเดียเป็นทางอ้อมให้กับบริษัทรถยนต์ไงครับ

และในปีนี้ หลังจากที่ได้ประชุมการตรวจสอบคะแนนเสร็จ J!MMY ได้ขอผมสั้นๆว่า
“ให้เขียนไล่ลำดับไปเลย ทุกคัน ไม่ต้องเผยแค่ 10 อันดับต้นอย่างที่เคย เพราะเราให้คนอ่านรอมานาน
นานกว่าปกติ ก็ต้องให้อะไรเขากลับไปมากกว่าปกติเถอะว่ะ” ดังนั้นผมก็คงยอมทำตามแต่
ลำดับที่ 37-11 คงจะเขียนแค่สั้นๆนะครับ

ดังนั้นถ้าการไล่ลำดับ 37 คันของเรา ไม่ถูกใจใคร หรือคุณเห็นรถคันที่คุณรักอยู่ในลำดับโหล่ๆ
แล้วทำให้คุณเกิดอาการคัน..จำไว้สั้นๆครับว่าพวกเราไม่ได้มาด่าคุณให้คนทั้งโลกฟัง เราแค่เสนอ
มุมมองของเราในแบบนี้ และรถทั้ง 37 คันก็ไม่ได้มีคันไหนเลวทรามจนไม่ควรซื้อ (ไม่มีคันไหนได้
คะแนนน้อยกว่า 50 จาก 100 และจิมมี่เสริมมาว่ามีอยู่คันเดียวที่ อย่าซื้อเลย!) ดังนั้นอย่า

เก็บเอาไปคิดจนเครียด

และถ้าคุณเครียด อยากระบาย เชิญที่เจ้าของเว็บเลยครับ อย่ามาด่าที่ผม

เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า (จากคันที่จิมมี่บอกว่าอย่า.อุ๊บส์!)

__________________

เงื่อนไขประกอบของ BestDrive ปีนี้ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงครับ
1. เราจะนับเฉพาะรถที่ได้มาหลับนอนกับ J!MMY ได้ผ่านการทดสอบอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
อัตราเร่งครบ และจะไม่นับรถที่ได้ขับเพียงผิวเผินหรือขับภายในทริปสั้นๆ ก็อย่าแปลกใจว่าทำไม
E300 Hybrid หรือ NIssan Teana 2.5 ไม่ได้อยู่ในลิสต์นะครับ

2.การให้คะแนน มีการกระจายน้ำหนักไปสู่หัวข้อต่างๆเช่นความมั่นใจในการขับขี่ รูปลักษณ์ วัสดุหรือ
อุปกรณ์ที่ให้ โดยให้น้ำหนักแต่ละข้อเท่ากัน ไม่ได้เน้นหนักไปที่ด้านใดด้านหนึ่ง
ซึ่งอาจไม่เหมือนกับการซื้อรถของท่านผู้อ่านหลายท่านที่อาจให้น้ำหนักเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเป็นพิเศษ

3. ความสูงชั้น ความเลอค่า..ภาพพจน์ทางสังคมของแบรนด์ไม่ถูกนำมาพิจารณา
ถ้ารถคันนั้นเป็นแบรนด์พรีเมียมแต่ทำตัวไม่ได้ดีไปกว่าเพื่อนในเซกเมนต์และโดนรถ Mass ไล่บี้เอาได้
รถคันนั้นก็อาจได้คะแนนไม่ดี

4. เราไม่นำเรื่องศูนย์บริการหลังการขาย ความทนทาน ราคาขายต่อ ความยากง่ายในการหาอะไหล่มานับคะแนน
เพราะเรื่องพวกนี้ แต่ละคนอาจพบความพึงพอใจไม่เท่ากัน และอาจมีความสามารถในการ “ช่วยตัวเอง” (ในการ
หาอะไหล่หรือหาศูนย์บริการดีๆ)ไม่เท่ากัน ดังนั้นเรื่องนี้ต้องขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาตามความเห็นของตนเอง

5. เราพิจารณารถแต่ละคันตามสภาพของรถที่เราได้ทดลองขับ ซึ่งจะไม่ได้มีการคำนึงถึงการนำไป
ดัดแปลงหรือเสริมสมรรถณะต่อ พูดง่ายๆคือ “We rate the car as it is” ไม่มีการคิดเผื่อทั้งเรื่องการ
“โมดิฟาย”หรือ “มโนดิฟาย” ใดๆทั้งสิ้น เชิญนำไปถกกันต่อเองครับ ถ้าคุณอยากเน้นเรื่องนี้
ขอไว้ไปคุยในหัวข้อ Commander CHENG’s BestCar แล้วกันครับ ในเวที BestDrive นี่คงไม่ใช่ละ

——————————————————–

อันดับที่ 37-Chevrolet Spin 1.5L 6A/T
Find new roads…back to Indonesia. ไม่รู้ว่าใครเป็นคนออกแบบเบาะนั่งมา นั่งได้ไม่สบายเอา
เสียเลย และไม่ได้เป็นกับแค่ J!MMYเท่านั้น ใครก็ตามที่ได้ลองนั่งก็ไม่มีใครบอกว่าสบาย ภายในนั้น
ถ้าไม่มีหน้าปัดมาตรวัดทันสมัยแล้วอย่างอื่นช่างดูไม่เข้ากันเลย ช่องแอร์เหมือนรถยุค 80s และ
ในเรื่องการขับขี่ แป้นเบรกก็ยังต้องกดลึกกว่าจะมีการตอบสนองที่ดีจากคาลิเปอร์ Spin เสียคะแนน
มากในเรื่องความสบายในห้องโดยสาร และเรื่องความคุ้มค่าสำหรับเงิน 762,000 บาทที่จ่ายไป แต่ก็
ยังถือเป็นรถที่อัตราเร่งไม่เลว มีการขับขี่ที่มั่นใจ พวงมาลัยไม่เบาเกินไปและไม่ไวเกินเหตุแบบ Ertiga

อันดับที่ 36-Toyota  Vios 1.5S 4A/T
“ไปแก้พวงมาลัยมา และเลิกลดต้นทุนกันอย่างโหดๆเสียที” นี่คือ Comment จาก J!MMY เอง
ซึ่งเรื่องพวงมาลัยนั้นไม่อยากจะบอกแต่อดเห็นด้วยไม่ได้เพราะมันทำตัวเหมือนฟังก์ชั่น AutoCorrect
บน iPhone ที่บางทีอยากได้อีกอย่างกลับได้อีกอย่าง เพื่อนๆในเซกเมนต์โดยเฉพาะ Sonic ชนะขาด
ในจุดนี้ ภายในของมันมีดีไซน์ที่โอเค แต่ทำไมต้องปรับอุณหภูมิกับปรับพัดลมด้วยการกดสวิตช์
สลับโหมดล่ะ? และลวดลายบนมาตรวัดนั่นอีก..ฮ่วย..เอาสีพ่นใหม่สิเป็นหยังหือ? ช่วงล่าง..ตัว S
เป็นแบบสปอร์ตซึ่งไม่ได้ขับมั่นใจกว่ารุ่นธรรมดาแต่กระด้างกว่ากันชัดเจน เมื่อดูสิ่งที่ได้ กับราคาแล้ว
เรายังรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับคนจ่ายเงินสักเท่าไหร่ แม้ว่าคุณสมบัติด้านอื่นๆส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับ
กลาง ไม่ก็ในระดับที่ค่อนไปทางดีๆก็ตาม

อันดับที่ 35-Hyundai Veloster 1.6MPi
เคยทำต้มยำแล้วลืมใส่พริกไหมครับ? นั่นก็คงเป็นคำเปรียบเปรยที่เหมาะที่สุดแล้วสำหรับเจ้ารถ
ที่มีด้านหนึ่งเป็นสองประตู อีกด้านเป็นสี่ประตู สำหรับราคา 1,299,000บาท แม้จะทราบว่าแพงเพราะ
เป็นรถนำเข้า แต่ในความเป็นจริง รถราคาเกือบ 1.3 ล้านคันนี้มีจุดเด่นแค่ดีไซน์ที่ไม่เหมือนใครและ
มีภายในที่ล้ำสมัย นอกจากสองอย่างนี้ไปที่เหลือล้วนธรรมดาไม่ว่าจะเป็นอัตราเร่งและคุณภาพการ
ขับขี่โดยรวมที่ไม่ได้ต่างจากรถ C-segment ทั่วไปเท่าไหร่เลย หากคุณคิดว่าสไตล์คือสิ่งสำคัญ
และยอมจ่ายเงินแพงกว่า C-Segment ทั่วไปราว 400,000บาท ก็คงไม่มีปัญหา แต่สำหรับเราความ
คุ้มค่าในสิ่งที่ได้มาเทียบกับเงินที่จ่ายไปยังเป็นจุดอ่อนที่เราไม่อยากมองข้าม

อันดับที่ 34-Toyota  Vios 1.5E 5M/T
รู้สึกได้ว่า Toyota พยายามทำรถให้ดีขึ้น เช่นคุณภาพการชิฟท์ของคันเกียร์ และช่วงล่างสเป็คมาตรฐาน
ที่ดีกว่า Vios ตัวที่แล้วอย่างรู้สึกได้ แต่ Vios มักจะมาพร้อมกับแนวคิดได้อย่างเสียอย่าง ในรุ่นใหม่นี้
รู้สึกว่ารายละเอียดบางส่วนเช่นหน้าปัด รุ่นเก่าใช้แสงไฟและตัวอักษรที่ดูดีกว่าด้วยซ้ำ เข็มขัดนิรภัย
ปรับสูงต่ำไม่ได้ (แต่เมืองนอกปรับได้) การออกแบบคอนโซลส่วนล่างน่าจะเอาไปทำเป็นที่วางของ
ที่ดีกว่านี้ได้ อย่างไรก็ตาม ช่วงล่างก็ยังไม่เจ๋งเท่าคู่แข่ง ไม่คมเท่า Mazda และยิ่งไม่ต้องไปเทียบกับ
Sonic แต่อัตรเร่งและความยืดหยุ่นของเครื่องยนต์ถือว่าดีมากสำหรับเครื่อง 1.5 ลิตร ขับสนุกเหมือนกัน


อันดับที่ 33-Mitsubishi Attrage 1.2L GLS Ltd CVT
ที่จริง Attrage น่าจะได้คะแนนดีกว่านี้เพราะแม้ว่าการออกแบบจะดูธรรมดาแต่ก็ไม่มีใครบอกว่า
น่าเกลียด หากเทียบกับ Brio Amaze แล้วยังมีกรรมการจับมือชูให้ Attrage มากกว่า อุปกรณ์ติดรถก็
มีมาให้ชนิดที่ไม่น่าจะต้องขออะไรเพิ่มแล้วไม่ว่าจะเป็นแอร์ออโต้ DVD ระบบนำทาง อัตราการสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิง 17.53 ก.ม./ลิตรอาจจะดูไม่น่าตื่นเต้นในบรรดาอีโคคาร์ทั้งหมดแต่ก็ถือว่าประหยัดที่สุดแล้ว
ในหมูอีโคคาร์ CVT สี่ประตูด้วยกัน คุณสมบัติด้านอื่นยังไม่มีความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง และยิ่งไปกว่านั้น
ช่วงล่างของมันแม้จะให้ความมั่นใจที่ความเร็วต่ำกับมีความนุ่มนวลน่านั่งระดับหนึ่ง แต่ความมั่นใจ
ในการขับที่ความเร็วเกิน100นั้นยังน่าเสียวไส้อยู่และถ้าเทียบกับAmazeที่มีการปรับช่วงล่างกับ
น้ำหนักพวงมาลัยใหม่แล้ว ยิ่งเทียบกันไม่ได้

อันดับที่ 32-Mercedes-Benz  A180 Style
หนทางที่กินเงินในบัญชีน้อยที่สุดที่จะได้เป็นเจ้าของดาวสามแฉกป้ายแดง ดูเหมือนจะได้คะแนน
ทางด้านดีไซน์จากเจ้าของเว็บและกรรมการบางท่านสำหรับความกล้าในการออกแบบเพื่อจับตลาด
วัยรุ่น แต่ในการลองขับจริงๆสิ่งที่เราชอบก็คงมีความรู้สึกถึงความปลอดภัย ความมั่นใจในเวลาขับ
และมีออพชั่นในเรื่องความปลอดภัยมาให้มากพอ แต่สำหรับราคา 1.89ล้านบาทนั้น วัสดุภายใน
น่าจะสามารถทำได้ดีกว่านี้ อัตราเร่งและอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอาจจะดูดีถ้าเทียบกับรถบ้านๆ
แต่ก็ดีประมาณเท่าHyundai Elantraในเรื่องตัวเลข ภายในคับแคบได้ใจจนสงสัยเหลือเกินว่า
การจะเป็นรถวัยรุ่นเนี่ยมันต้องแคบและอึดอัดแบบนี้หรือ?

อันดับที่ 31-Mitsubishi Attrage 1.2GLX 5M/T
คะแนนไม่ได้ห่างจากรุ่น GLS Ltd มากนัก และที่ได้แต้มมาก็เพราะการใช้เกียร์ธรรมดาที่ทำให้ได้
ตัวเลขต่างๆสวยงามกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว Attrage เกียร์ธรรมดาก็ยังคงเสียคะแนนเรื่อง
ความมั่นใจในการขับขี่เช่นเดียวกัน จริงอยู่ว่าในการขับเรารู้สึกว่าที่ความเร็วต่ำๆมันหักเลี้ยวแรงๆ
ได้อย่างปลอดภัยกว่า Almera ที่เราเคยลองขับไป แต่เมื่อความเร็วเกิน 120 ไปก็ไม่ได้ต่างกันมาก
น่ากลัว และพามึนทั้งคู่ ออพชั่นในรุ่นเกียร์ธรรมดาจะน้อยลงไปบ้าง แต่ยังถือว่ายอมรับได้สำหรับ
มาตรฐานอีโคคาร์ค่าตัวไม่เกิน 500,000บาท

อันดับที่ 30-Honda Civic Hybrid
สำหรับรถคันนี้เราต้องมองมันทั้งในฐานะรถ C-segment และรถประเภท Hybrid ไปพร้อมๆกัน
และนี่คือรถที่ปรากฏความเห็นต่างทางการให้คะแนนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภายในรถซึ่งผมเองนั้น
รู้สึกว่าแม้จะไม่สวยแต่ก็เป็นภายในที่ออกแบบมาได้ใช้งานง่าย เข้าใจง่าย ในขณะที่กรรมการท่านอื่น
ส่วนมากจะไม่ชอบกัน บางคนให้คะแนนต่ำกว่าคาบเส้น ส่วนสมรรถณะนั้น..คุณคิดยังไงกับรถเก๋ง
ราคา 1,095,000 บาทที่เร่งได้ดีเท่า Viosล่ะ แต่ในขณะเดียวกันก็ประหยัดน้ำมันได้ดีถึง 18.91 ก.ม./ลิตร
ซึ่งดีกว่าอีโคคาร์เสียอีก มันไม่ใช่รถที่แย่ ช่วงล่างนุ่มกว่า Honda รุ่นเก่าๆขึ้นมากแล้ว ใช้งานก็ง่าย แต่คิด
อีกทีถ้าให้จ่ายขนาดนี้ เล่นรุ่น 1.8 แล้วเติม E85 ไม่งั้นก็เป็นหนี้เพิ่มแล้วไปเล่น Prius น่าจะดีกว่าหรือเปล่า



อันดับที่ 29-Chevrolet Sonic 1.6L Sedan
อันดับที่ 28-Chevrolet Sonic 1.6L Hatchback
เขียนรวบมันสองคันกันไปเลย รักกันดีนะพี่น้องสองบอดี้นี้..หลังจากที่รถรุ่น 1.4 ลิตรถูกตำหนิมาว่า
อัตราเร่งไม่น่าพอใจ Chevrolet ก็กลับมาใหม่โดยการเอาเครื่อง 1.6 ลิตรมาวาง และนั่นก็ช่วยแก้ปัญหา
อย่างเห็นได้ชัดเพราะตัวเลขต่างๆใกล้เคียง Jazz กับ Fiesta มากกว่าแต่ก่อน จุดเด่นที่มีก็ยังคงอยู่
เพราะ Sonic มีช่วงล่างที่สุดยอดเมื่อเทียบกับพวกเดียวกัน มีความนุ่มนวลแบบรถหนัก(ก็เพราะมันหนัก
จริงๆน่ะสิ) หักเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางวางใจได้ แน่น หนึบสุดๆ ระบบเครื่องเสียง MyLink ก็จัดว่าใช้ได้
คุณสมบัติในด้านอื่นๆทำได้ดีเทียบเท่าหรือนำหน้าคู่แข่งอยู่บ้าง แต่ไปเสียคะแนนเยอะที่เรื่องอัตราการ
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เพราะพรรคพวกเขากินกัน 15 กิโลลิตร แต่ Sonic กิน13.4-13.7ก.ม./ลิตร ซึ่ง
กินจุเป็นอันดับต้นๆของกลุ่มตามหลัง Fiesta 1.4 ลิตร 4สปีด และSonic รุ่น 1.4 เกียร์อัตโนมัติ นอกจากนี้
นิสัยการตอบสนองของคันเร่งกับเกียร์ยังต้องปรับปรุง แม้ผมขับเองจะรู้สึกว่ามันไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น
แต่ J!MMY ขับแล้วให้คอมเมนท์ทิ้งท้ายไว้ว่า “ทำเบาะให้สากลงหน่อย แล้วไปเซ็ตเครื่องกับเกียร์มาใหม่
คะแนนน่าจะได้ดีกว่านี้อีก”

อันดับที่ 27-Subaru Forester 2.0i CVT
เปิดมาด้วยราคา 1,890,000บาท และมาพร้อมกับดีไซน์ที่กรรมการทุกคนพร้อมใจกันหันหลังบ๊ายบายให้
“คุณภาพทุกอย่างดี แต่ดีไซน์กับราคาทำให้หมดความน่าสนใจ” ผมขอยกคอมเมนท์จากกรรมการท่านหนึ่ง
มาเลยก็แล้วกัน และยิ่งถ้าไปถามเจ้าของเว็บเอง..ไม่ต้องสืบ จัดหนักยิ่งกว่านี้อีก ดูเหมือนSubaru
ในปัจจุบันจะมีรุ่นเดียวที่สวย และมันก็ไม่ใช่ Forester อย่างแน่นอน คำถามคือ..แล้วถ้าคุณมองว่า
อิทีมนี้มันอคติว่ะ Foresterสวยออก..ผมก็จะบอกได้ว่าที่เหลือโอเค ช่วงล่างนุ่มนวล ขับสบายทั้งในเมือง
รูดฝาท่อ เหาะผ่านถนนคอนกรีตสบาย วิ่งทางไกลก็นิ่งและแน่น โยนโค้งได้มั่นใจด้วยระบบขับสี่
อัตราเร่ง แม้จะมองว่าเป็นแค่ 2.0 ลิตร แต่กลับทำได้เร็วไม่แพ้ CR-V 2.4 แค่ไปแพ้เขาตอนเร่งแซงแค่นั้น
อัตราการสิ้นเปลือง 14.77 ก.ม./ลิตร ประหยัดกว่า CR-V 2.0 เยอะ สมัยนี้รถประหยัดน้ำมันต้อง Subaru จริงๆ
แต่ทุกอย่างที่ได้มานั้นสมกับค่าตัวที่แพงกว่า CR-V 2.4 4WD อยู่ราว 350,000 บาทหรือเปล่า..ถ้าคุณไม่ใช่
คนที่เน้นเรื่องคุณภาพช่วงล่างจริงๆ?

อันดับที่ 26-Proton Preve 1.6 Turbo CVT
Preve คือรถที่ทำให้ J!MMY ลืมความไม่เข้าท่าของ Proton รุ่นก่อนๆโดยสิ้นเชิง การขับขี่เทียบชั้นได้
กับรถยุโรปที่ตัวเท่าๆกัน อาจจะยังไม่เท่า Ford Focus แต่ใกล้เคียงมากแล้ว อัตราเร่งจากเครื่อง 1.6ลิตร
เทอร์โบนั้นก็แซ่บสะใจ (แพ้แค่ Focus 2.0 อีกเหมือนกัน) เร่งแซงจาก80-120 ภายใน 6.89วินาที ซึ่ง
ในยุคก่อนหน้าที่จะมี Focus GDiมา มันจัดว่าเร็วที่สุดและเร็วกว่า Focusรุ่นเก่า TDCi อุปกรณ์
ด้านความปลอดภัยก็มีมาครบครัน ถุงลม 6 ใบและระบบรักษาการทรงตัวพร้อมชนิดเจ้าตลาดบางค่าย
ควรเริ่มพิจารณาตัวเองได้แล้ว Preve มาเสียคะแนนจริงๆที่แค่ดีไซน์กับวัสดุที่ใช้ทำภายในยังให้สัมผัส
ไม่ดีพอ และอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 13.45ก.ม./ลิตรก็แย่กว่าค่าเฉลี่ย 14.95 ของกลุ่ม C-Segment
แต่ด้วยค่าตัว 759,000บาท (แพงกว่า B-Segmentตัวท้อปๆแค่หมื่นนิดๆ) อาจช่วยให้มีเงินเหลือไว้
เติมน้ำมันได้นานพอดู



อันดับที่ 25-Toyota  Yaris 1.2G CVT
วินาทีที่เปิดราคามาหลายคนบอกว่าแพง! แต่หลังจากที่ได้ลองขับเสร็จ เราก็พบว่า Yaris ไม่ใช่แค่เป็น
คู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับรถอีโคคาร์ด้วยกันเท่านั้น แต่ยังน่ากลัวสำหรับรถ B-Segment ด้วยโดยเฉพาะ
Vios พี่ชายฝาแฝดของมันนั่นล่ะ! ลองคิดดูว่าภายในห้องโดยสารนั้นมีพื้นที่กว้างขวางนั่งสบายทั้งคัน
เมื่อเทียบกับ Swift แล้วยังมีช่วงล่างที่ดีกว่า Brio และ Mirage อย่างชัดเจน ดีกว่า Viosด้วยซ้ำถ้าพูดในแง่
ความมั่นใจในการขับ อุปกรณ์ติดรถจะน้อยหน้าตัวท้อปของ Mirage อยู่บ้าง แต่เมื่อมองในภาพรวม
ตัวรถสามารถตอบโจทย์คนที่ซื้ออีโคคาร์ได้กว้างกว่า แม้ว่าดีไซน์จะกระตุ้นต่อมด่าของจิมมี่สุดๆ
(แต่ผมกลับชอบแฮะ) และอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะแพ้อีโคคาร์อื่นๆหมดและสูสีกับ Brio ก็ตาม

อันดับที่ 24-Hyundai Veloster 1.6 GDi Turbo
ความน่าสงสารของ Veloster Turbo คือการจัดคลาสชกให้กับมัน จะทำอย่างไรได้บ้าง? ถ้าจัดมันไปชก
ในระดับ C-Segment แล้วมาเจอราคา1,739,000บาท มันจะกลายเป็นรถที่แพงเวอร์และกินน้ำมันจัด
แต่ถ้าจับมันไปเข้าหมวด Sports Compact/Sports-Special มันก็จะขาดความโดดเด่นในด้านอัตราเร่งไป
ดังนั้นจึงต้องให้คะแนนแบบชั่งน้ำหนักระหว่างสามกลุ่มไปด้วย นอกจากดีไซน์ที่แปลกตาแล้ว เครื่องยนต์
กับเกียร์จัดว่าทำงานร่วมกันได้ไม่เลว แรงดึงออกตัวดีกว่า Toyota 86 เกียร์อัตโนมัติมากแม้ว่าในช่วงที่
ความเร็วเพิ่มสูงขึ้นมันจะยิ่งมีความใกล้เคียงกันมากขึ้น การขับขี่มั่นใจในระดับที่ดี (8/10) และยังมี
ความนุ่มนวลเวลาขับโหมดสันติสุขมากกว่า A250AMG อย่างชัดเจน รถคันนี้จะมีจุดอ่อนจริงๆคือเรื่อง
กินน้ำมันดุกว่า MINI Cooper Turbo และใกล้เคียง Scirocco ทั้งๆที่เป็นเครื่อง 1.6 เท่านั้น

อันดับที่ 23-Mercedes-Benz  SLK200 AMG BlueEfficiency
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีส่งผลให้รถรุ่นใหม่นี้ขับสนุกกว่ารุ่นซูเปอร์ชาร์จที่เราทดสอบในปี 2009
ชนิดคนละเรื่อง และนอกจากนี้ยังพกชุดแต่งและอุปกรณ์มาตรฐานทั้งของเล่น และของเพื่อความปลอดภัย
มาแบบครบครันแถมยังตั้งราคาถอยหลังถูกลงกว่ารุ่นเก่าอีกตั้ง 400,000 บาท อย่างที่ J!MMY บอกไว้
“แรงขึ้น ประหยัดขึ้น บังคับเลี้ยวดีขึ้น ออกแบบภายในห้องโดยสารมาได้ดีขึ้น ใช้ชีวิตอยู่ด้วยแล้วสบายขึ้น
ขับแล้วมั่นใจขึ้น” มันจะดีทุกอย่างถ้าไม่มาโดนหักคะแนนเรื่องการตอบสนองของคันเร่งที่ติดนิสัย
รถบ้านของเบนซ์มากไปนิด แม้จะปรับเป็นโหมด S แล้วก็ไม่ได้ช่วยให้มันดีเท่าคู่แข่ง ไม่ว่าจะเอาไปเทียบ
กับ BMW Z4 หรือ Toyota 86 หรือแม้แต่ MX5 ก็ตาม นอกจากนี้รถทดสอบของเราถูกส่งมอบมาในสภาพที่
โทรมพอสมควรจนการขับขี่บางช่วงมีอาการท้ายดิ้น พวงมาลัยบนทางตรงมีอาการแปลกๆ แต่เราก็ไม่ใช่
ทนายแก้ต่างให้กับ Mercedes ในเมื่อค่ายอื่นเราวิจารณ์กันตามสภาพรถที่ได้ (และทางเราก็ไม่ได้ห้าม
ซ่อมบำรุงให้อยู่ในสภาพดีนี่) เราก็ต้องทำแบบเดียวกันกับรถคันนี้นี่ล่ะ

อันดับที่ 22-Nissan  Pulsar 1.6SV
เป็นรถที่มีความเห็นแตกต่างทางดีไซน์อีกคันระหว่างผมซึ่งมองว่ามันดูน่าเบื่อ ขาดบุคลิก เหมือนรถเกาหลี
ในยุคที่ยังป๊อดเรื่องการออกแบบ กับ J!MMY ที่รู้สึกว่าทำมาได้โอเคแล้ว ลงตัวดี กับกรรมการท่านอื่นที่ให้
คะแนนในระดับกลางๆ แต่เมื่อถึงคราวการออกแบบภายใน ทุกคนดูจะโอเคกับเส้นสายที่เรียบง่ายและ
ดูไม่รก ใช้งานง่ายแต่ดูไม่ลดต้นทุน นอกจากนี้ยังมีความโดดเด่นในด้านการบริหารพื้นที่ในห้องโดยสาร
ทำให้คนนั่งเบาะหน้าและหลังเอกเขนกได้เต็มที่ยิ่งกว่า Mazda 3 (รุ่นเก่าสิ..รุ่นใหม่ด้วย เออ) Ford Focus
หรือ..จะเอายี่ห้ออะไรก็มาเถอะ! ฉะนั้นถ้ามองในระดับ 1.6 ลิตรด้วยกัน ดูเป็นรถที่กระจายคุณสมบัติทุกด้าน
ได้ดี แต่ไม่ใช่รถที่เน้นการขับสนุกอะไร ขาดรสชาติไปนิด และบางทีมันน่าจะเป็นเวลาที่ Nissan คิดเอา
พวก TRC/VSC มาใส่ให้รถตัวเองได้แล้วเพราะคู่แข่งฟากยุโรป รวมถึงรถ B-Segmentเขาก็มีกันแล้วนะจ๊ะ



อันดับที่ 21-Suzuki Ertiga 1.4 5M/T
อันดับที่ 20-Suzuki Ertiga 1.4 4A/T
จับเขียนมันพร้อมกันสองคันเลยแล้วกันเพราะคะแนนได้และเสียกันแค่บางจุดเท่านั้น Ertiga ถูกวัดเทียบ
กับรถอย่าง Honda Freed และ Chevrolet Spin กับ Toyota Avanza มันมีห้องโดยสารที่อยู่ในระดับกลางๆ
แต่อย่างน้อยตัวเบาะแม้จะเล็กก็ยังนั่งได้สบายกว่าเบาะของ Spin ส่วนเรื่องความโปร่งของห้องโดยสาร
อาจตามหลัง Freed อยู่บ้าง Ertiga แม้จะใช้เครื่องแค่ 1.4 ลิตรแต่สมรรถณะอัตราเร่งสามารถเกาะกลุ่ม
กับพวก 1.5 ลิตรได้สบาย รุ่นเกียร์ธรรมดาทดเกียร์จัดราวกับมีพ่อเป็น Honda DOHC VTEC แต่มันคงไม่ได้
สำคัญกับ Small Family MPV ขนาดนั้นมั้ง? การทรงตัวและความมั่นใจในการขับขี่เหนือกว่าใครและดีกว่า
Spin อยู่นิดๆ ความคุ้มค่าสำหรับค่าตัว 554,000 บาทในตัวเกียร์ธรรมดาและ 689,000 บาทสำหรับเกียร์
อัตโนมัติก็ถือว่าเป็นราคาที่ถูกสำหรับการได้รถมินิแวนตัวเล็ก 7 ที่นั่ง แต่ไม่มีอะไรที่ถูกแล้วดีไปหมดทุกอย่าง
หากเล่นตัวเกียร์ธรรมดา ต้องทำใจเลยว่าถุงลมนิรภัยก็ไม่มีสักกะใบ ABS/EBD ก็อย่าหวัง เห็นคนใช้เกียร์
ธรรมดาเป็นอะไรกันล่ะสมัยนี้..กระจกหน้าต่างด้านคนขับเป็น One-touch เฉพาะขาลงในทั้งสองรุ่น และ
มีอุปกรณ์เฉพาะในระดับพื้นฐานทำให้ตัวรถไม่ค่อยมีความฟู่ฟ่าเท่าไหร่

อันดับที่ 19-Subaru Forester XT Turbo CVT
พยายามคิดถึง Honda CRV ที่มีความเอนกประสงค์ หลังคาสูง จากนั้นเพิ่มความหนึบให้กับช่วงล่าง
เพิ่มความเกาะถนนด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เพิ่มฝาท้ายไฟฟ้าหลังคามูนรูฟ บวกกับความรวดเร็วที่
เทียบได้กับรถพรีเมียมอย่าง BMW 320i แต่วิ่งทางไกลแล้วกิน 14.18 ก.ม./ลิตร จากนั้นก็ตบด้วยมูลค่า
ที่เพิ่มอีกประมาณ 1 ล้านบาท แล้วคุณก็จะได้ Forester XT Turbo มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะรับดีไซน์ของมัน
ได้ขนาดไหน และคุณโอเคไหมกับ CVT ที่แม้จะโปรแกรมให้มีโหมดสปอร์ตซึ่งปล่อยให้เกียร์มีการกวาดไล่รอบ
มันก็ยังไม่สนุก อัตราเร่งวัดด้วยความรู้สึกแล้วไม่สนุกแต่จับด้วยนาฬิกาแล้วเร็ว ช่วงล่างเหมาะสมกับ
การใช้งานแบบ SUV ดีแล้ว แต่ถ้าถามว่าเหมาะกับSUVที่วิ่งได้เร็วขนาดนี้แล้วหรือเปล่า? เราคิดว่ามันน่า
จะแข็งขึ้น เบรกน่าจะหนึบกว่านี้ นอกนั้นหลายอย่างทำได้ดี นี่ถ้าหน้าตาหล่อเท่า XV คงติด Top 10 ไปแล้ว

อันดับที่ 18-Toyota  86 G 6M/T
มีคะแนนอยู่ในระดับกึ่งกลางของรถทั้งหมดพอดี แม้ว่าคะแนน Popular vote โดยผู้อ่านเว็บจะมาแรง
อันดับ 2 (ตามหลัง ActiveHybrid3 แบบไกลมาก) แต่ในความเป็นจริงยังมีบางเรื่องที่ต้องปรับปรุงกันไป
86 G สเป็คไทยมีแอร์ออโต้ แต่ใช้ล้อขอบ 16 กับเบรกชุดเล็ก ไม่มีแอโร่พาร์ทใดๆ ภายในก็ไม่เน้นออพชั่น
ถ้านับรายการออพชั่นติดรถดีไม่ดีจะแพ้ C-Segment คันละ 9แสน ด้วยซ้ำ เป็นรถมาดสปอร์ต ภายในวัสดุ
รถบ้าน เรี่ยวแรงเครื่องที่รอบต่ำขาดแคลนมากและที่รอบสูงก็ใช่ว่าจะดึงดี มี 200 ม้าแต่อัตราเร่งเพิ่งจะเท่า
MINI Cooper S Coupe Turbo เท่านั้น การทรงตัวที่ความเร็วสูงมีเสียวบ้างที่ด้านท้าย ระยะคลัตช์ยัง
ไม่เพอร์เฟ็คท์สำหรับการขับแบบเน้นสนุก แต่ในท้ายสุดแม้ความจริงจะเป็นเช่นไร 86G ก็ยังเป็น
“Old school soul igniter” ที่ใครได้ขับแล้วก็อยากขับอีก สนุกจากพื้นฐานของตัวรถที่ทำมาดีแม้จะใช้ยาง
คุณภาพต่ำ และพวงมาลัยที่ปรับเซ็ตมาดีจนไม่ขออะไรมากไปกว่านี้ กระนั้นก็เถอะ 2.49 ล้านโหดไปไหม
สำหรับรถสเป็คแบบนี้?

อันดับที่ 17-Nissan  Pulsar 1.8V
เช่นเดียวกับรุ่น 1.6SV ที่ทำคะแนนในหลายส่วนได้ดี และดูเหมือนจะเป็นรถคันโปรดอีกคันของ J!MMY
และดีไม่ดีถ้ามีเทอร์โบคงยอมควักเงินซื้อไปแล้ว ในด้านการออกแบบภายนอกก็ไม่มีอะไรต่างจากตัว SV
มากนักแม้ว่าล้อ 17 นิ้วจะช่วยเติมความงามให้ได้นิดหน่อยก็ตาม ภายในก็ทำมาได้เรียบร้อยดี ความรู้สึก
ในห้องโดยสารนั้นดีกว่า Altis (2010), Civic FB และ Lancer อย่างชัดเจน การจัดวางอุปกรณ์ต่างๆเรียบร้อย
ดูใช้งานง่าย ขอบคุณเหลือเกินที่ให้ Cruise Control มา และมีมูนรูฟไว้เอาใจคนเลี้ยงนกกระจอกเทศอีก
การขับขี่และใช้งานก็มีสมรรถณะที่ดี ให้ความมั่นใจในการทรงตัวมากกว่า Civic แต่ยังห่างชั้นกับพวก
Cruze, Lancer และ Focus ตรงที่ความลงตัวของพวงมาลัยและช่วงล่าง พูดง่ายๆคือเป็นรถที่ช่วงล่าง
มาแบบบ้านๆ แต่พวงมาลัยไวเหมือนรถสปอร์ตแต่น้ำหนักการตอบสนองเหมือนรถบ้าน งงมะ? ผมก็งง

อันดับที่ 16-Mercedes-Benz  A250 AMG BlueEfficiency
ผมขับเสร็จแล้วให้ข้อสรุปกับมันสั้นๆว่า “นี่หรือวะเบนซ์?” ไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อนเลยว่าจะมีเบนซ์คันไหน
ที่ถูกตั้งใจสร้างขึ้นมาสำหรับภารกิจมุดระห่ำซิ่งระเบิดในแบบนี้ พลังและอัตราเร่งสามารถประชันกับ
บรรดา Hot hatch ตัวแสบ (แต่ไม่ถึงขั้นโหด)ได้สบาย ไม่เคยมีเบนซ์สเป็คโรงงานคันไหนที่พวงมาลัยSOTUS
พี่พูดน้องฟังพี่สั่งน้องทำตามได้ขนาดนี้ และนี่คือเบนซ์ที่เมื่อเข้าโหมด S แล้วความสนุกในการขับเปลี่ยน
แปลงอย่างชัดเจนในแง่นิสัยของเกียร์ ชัดกว่ารถรุ่นอื่นๆที่เคยทดสอบมา ตัวรถตอบสนองด้วยความไว แรง
และเร็วชนิดที่ C250CGi Coupeคันโปรดของผมได้แต่มองตาปริบๆ อุปกรณ์ติดรถก็ให้มาเยอะพอสมควร
แต่ยังขาดของเล่นเช่นโช้คอัพที่ปรับความแข็งได้ (VW ที่ราคาไล่ๆกันมีให้นะ) แล้วนั่นก็กลายเป็นจุดตาย
ของ A250 เพราะในวันที่ถนนไม่เรียบ มันเป็นรถที่ช่วงล่างสะเทือนจนน่ารำคาญมาก อาจจะน่ารำคาญกว่า
MINIอีกด้วยซ้ำ ให้พูดยังไงดี? WRX STi ยังซับแรงกระแทกได้ดีกว่า..เข้าใจตรงกันนะจ๊ะ

อันดับที่ 15-Mercedes-Benz  S350CDi ตัวเก่า
ตกรุ่นไปแล้วก็จริง แต่ยังเป็น Benz ที่มีบุคลิก Benz ในแบบที่ J!MMY ต้องการ คือให้ความรู้สึกหนักแน่น
มั่นคง การเก็บเสียงทำได้ดีมากสำหรับรถดีเซล วัสดุซับเสียงประเคนให้เต็มที่รอบคัน ช่วงล่าง Airmatic
ปรับอ่อน-แข็งได้ 2 ระดับ ให้บุคลิกที่เป็นกลางระหว่างนุ่มเบาของ Lexus LS และหนักแน่นเกาะมั่นแบบ
730Ld การโดยสารบนเบาะหลังมีเนื้อที่ให้เหลือเฟือให้เอ็นจอยกับตัวเบาะและความเงียบที่ต้องวิ่งกัน
ตั้ง 160 ก.ม./ช.ม.กว่าเสียงลมจะเริ่มเข้ามา ลูกเล่นต่างๆในรถอาจจะมีน้อยไปบ้างจนน้อยหน้าคู่แข่ง
อย่าง 730Ld แต่ราคาของตัวรถระดับ 6.39 ล้านบาทนั้นก็ถูกกว่าคู่แข่งที่เราเคยลองขับกันมา มันเป็นรถ
ที่เหมาะมากถ้าจะเน้นความสบายของคนนั่งหลังโดยมีโชเฟอร์ขับให้ แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบรถใหญ่แต่ดัน
อยากขับรถเอง BMW จะเป็นรถที่ขับได้มั่นและตอบสนองได้ไวกว่าในแทบจะทุกกรณี

อันดับที่ 14-Volvo XC60 D4
ราคาถูกกว่ารุ่น D5 ปี 2009 อยู่ถึง 1.6 ล้านบาทเพราะย้ายมานำเข้าจากมาเลย์เซียแทน คุณงามความดี
ด้านความปลอดภัยยังไว้ใจได้ มี BLIS และ Radar Cruise Control มาให้ แน่นอนว่าระบบ City Safety
ก็มีมาให้  XC60 D4 จึงทำคะแนนได้ดีมากในแง่อุปกรณ์สนับสนุนความปลอดภัย อีกทั้งยังมีการทรงตัว
ที่ความเร็วสูงที่มั่นคงและเชื่อใจได้ ทำให้เราสงสัยว่านี่ถ้า Land Rover ยังขาย Freelander อยู่จะมีอะไร
ให้มาชนะ แต่ถ้าเอาไปเทียบกับ BMW X3 20d แล้ว เรื่องประหลาดคือ BMW กลับกลายเป็นรถที่นุ่มนวล
ซับแรงกระแทกได้ดีกว่าเมื่อกดโหมด Comfort นอกจากนี้ X3 ยังเร่งได้เร็วกว่ากันแบบไม่ต้องสืบ และประหยัด
น้ำมันกว่ากันอีกราว 10% ดังนั้นจึงนับว่าโชคดีที่ Volvo มีราคาไม่แพง ทำให้มีจุดเด่นที่ต่อกรได้ด้าน
ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่จ่ายไป

อันดับที่ 13-BMW 640i Gran Coupe
ลูกผสมซาลูนกับคูเป้จาก BMW ที่ออกมากำราบ CLS ของค่ายดาวสามแฉกนี้เป็นรถที่มีเสน่ห์หลายอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงที่ดูสมาร์ท มีสัดส่วนที่ดูเปรียวและกำยำ มีเทคโนโลยีขับเคลื่อนที่ทรงพลัง เกียร์ฉลาด
คันเร่งใจถึง ช่วงล่างเนี๊ยบ มีอุปกรณ์ติดรถมาให้พร้อมสรรพ อัตราการสิ้นเปลืองระดับ 12.94ก.ม./ลิตร
บางคนอาจคิดว่าแย่ แต่ในสายตาผม รถขนาดใหญ่ที่มีม้าทะลุ 300 ตัว ล้อและยางหล่นใส่หัวช้าง
มีร้องไห้ นี่เป็นตัวเลขที่น่านับถือแล้ว (เมื่อครั้งเว็บเราก่อตั้งใหม่ 325i Coupeที่มีบอดี้เล็กกว่า เบากว่า
และใช้เครื่อง 2.5ลิตรธรรมดายังทำตัวเลขได้แย่กว่านี้อีก) J!MMY ทราบดีว่ามันคือซีรีส์ห้าที่จำแลงมา
แต่ก็ยังรู้สึกชอบที่จะได้ขับ แต่ท้ายสุดสิ่งที่รั้งตัว640i ไว้ไม่ให้มีอันดับที่ดีกว่านี้ก็คือราคา ที่ 9.299ล้าน
เทียบกับสิ่งที่ได้มาเรารู้สึกว่ามันแพงเกินจริงไปมาก (ซื้อ CLS250CDI AMGได้เกือบสองคัน) หากยอม
ตัดเรื่องตัวถังและความหรูหราออกไปได้ BMWยังมีรถอีกคันที่ตอบสนองได้ดีพอกันในราคาที่ถูกกว่า
กันเกิน 2 เท่าตัวรออยู่

อันดับที่ 12-Honda Odyssey 2.4EL Navi
นับเป็นรถ Full size MPV ที่มอบความสบายให้กับผู้โดยสารได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขนาดร่างกาย
ใหญ่ยักษ์แบบผมเองยังสามารถนั่งบนเบาะแถวที่สามได้โดยสบาย ยิ่งเบาะนั่งแถวสองนั้นสามารถ
ปรับได้หลากหลายมาก จะเลื่อนซ้าย เลื่อนขวา หรือปรับเป็นเก้าอี้นอนพร้อมรองรับบริการทันตกรรม
เคลื่อนที่ก็ยังทำได้ อุปกรณ์ที่ติดมาให้ไม่ต้องสืบ รุ่น EL จัดเต็มทั้งกล้องรอบคัน, Blind Spot
Monitoring System, มูนรูฟ (ที่อาจจะเล็กประชดโลกไปสักนิด) และระบบช่วยจอด Smart Parking
Assist System การขับขี่นั้นแม้จะเป็นเกียร์ CVT แต่ก็มีสองอารมณ์ที่สามารถเล่นเกียร์เองและ
เปลี่ยนเกียร์แบบ “แอ๊บทำ”เป็นไล่จังหวะได้ ข้อเสียของ Odyssey นั้นจะอยู่ที่ราคา 2.95 ล้านนั้น
แม้ไม่ได้แพงเวอร์ แต่ก็ทำให้คิดหนักถ้าจะซื้อ Honda คันละเกือบสามล้าน นอกจากนี้การเก็บเสียง
ท่อนล่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องล้อยางบดถนน เสียงน้ำกระฉอกในซุ้มหรือเสียงเครื่องยนต์ที่ดังเข้ามา
ยังต้องปรับปรุงให้ดีกว่านี้

อันดับที่ 11-Lexus IS250 F-Sport
ผมให้ J!MMY คอมเมนท์สั้นๆแบบบรรทัดเดียวจบสำหรับรถรุ่นนี้ ก็ได้ความว่า “ภายนอกห่วย
ภายในแคบ เกาะถนนดีกว่า 3-Series ในราคาที่แพงเวอร์” ..แต่ทำไมพอนำคะแนนชั่งน้ำหนัก
รวมของกรรมการทุกคนมารวมกันกลับทำให้เห็นได้ว่ากรรมการส่วนมากกลับมองว่าดีไซน์
ภายนอกท้าทายและไม่น่าเบื่อ ส่วนภายในนั้นทุกคนมีความเห็นตรงกันว่าสวยงาม เพริดพริ้ง
จนกลายเป็นรถที่ได้คะแนนดีไซน์ภายในดีที่สุดในปีไป เสียงเครื่อง V6 เร้าใจไม่แพ้6สูบเรียงในตำนาน
ของBMW ช่วงล่างปรับไม่ได้แต่เกาะถนนจนขับได้มั่นใจถึงขีดสุด มั่นชนิดเกือบเท่า A250AMG
แต่ไม่มีความกระด้างทำลายทวารมากเท่า ทว่าน่าเศร้าที่พอวัดด้วยคุณสมบัติด้านตัวเลขแล้ว
ไม่มีอะไรเด่นเลย มันไม่ได้แรงกว่า 320i แต่กินน้ำมันมากกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม แล้วพอมาเจอ
ราคาระดับ 4 ล้านทอนหมื่นเดียว เป็นอันปิดสมุดพก และเรียกผู้ปกครองมารับกลับบ้านไปได้เลย

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

เอาล่ะ แล้วเราก็มาถึงการไล่อันดับ Top Ten ตามประเพณีวิ่งควายของเราที่กระทำกันมาทุกปี

เริ่มกันเลย!




อันดับที่ 10-Lexus IS300h Luxury
ความคิดแรกที่ขัดใจผมอย่างยิ่งคือทำไม IS300h ถึงเบียดตัวเองแซง IS250 F-Sport เข้ามาอยู่ใน
อันดับ 10ได้ ทั้งๆที่ IS250นั้นเป็นรถที่ผมขับแล้ว “อินเลิฟ”กับมันมากกว่า IS300hเยอะ และผลรวม
คะแนนจากกรรมการส่วนใหญ่ก็บ่งชี้ว่าเมื่อให้เลือกโดยใช้ความรู้สึกส่วนตัว IS250 ได้คะแนนในระดับ
ที่ดีมากในขณะที่ IS300 ได้รับความนิยมแบบธรรมดาๆพื้นๆ IS300h คันที่เราได้มาลองขับกันนั้น
เป็นรุ่น Luxury ราคา ณ วันรับรถ 2.99ล้านบาท (ปัจจุบันเพิ่มเป็น 3.04ล้าน) และถ้ามองเผินๆภายใน
มันก็ดูเหมือน IS250มาก จนกระทั่งเข้ามานั่งภายในและได้เห็นหน้าปัดแบบ2เบ้าพร้อมจอTFT
ซึ่งไม่ได้มีกลไกปรับเลื่อนมาตรวัดไปมาเริดๆอย่างIS250 เบาะนั่งไม่มี Memory สวิตช์ควบคุมระบบ
Infotainment ก็เป็นลูกบิดพลาสติกหน้าตาจืดชืด นอกจากนี้เมื่อได้ลองขับออกไปแล้ว ยาง Run flat
ที่ติดรถมานั้นสะเทือนกว่าที่คิด ยิ่งถ้าบรรทุกเต็มคัน ช่วงล่างจะกระด้างจนอยากจะด่าออกสื่อดังๆ

ยัง ยังไม่จบ การที่เอาแบตเตอรี่ไว้แทนที่ยางอะไหล่นั้นทำให้น้ำหนักตกท้ายเยอะขึ้น ถ้าคิดจะเล่น
บทโหดกับมัน อย่าปิดระบบช่วยเหลืออิเล็กทรอนิกส์ใดๆเพราะท้ายจะปัดออกมากกว่าเพื่อนร่วมรุ่น
..แต่แม้ว่าผมจะไม่ได้ชอบหน้ามัน ความจริงที่ต้องยอมรับคือเมื่อนั่งสองคนแล้วช่วงล่างของ IS300h
ลงตัวมาก มันวิ่งทางตรงและเล่นโค้งกว้างHi-speedได้มั่นใจกว่า 320d F30 พวงมาลัยมีน้ำหนัก
และความไวเหมาะสม แผงแดชบอร์ดออกแบบมาได้ถูกหลักสรีระศาสตร์ ระบบปรับอุณหภูมิ
เป็นแบบเอานิ้วลาก แต่ยังอุตส่าห์ทำเป็นวัสดุสีเงินนูนออกมาเพื่อให้ง่ายต่อการเอานิ้วคลำหา
..แน่นอนว่าคะแนนการออกแบบภายในของ IS300h ก็อยู่ในระดับที่ดีมากแม้ว่าเนื้อที่วางขาเบาะหลัง
จะแพ้ 3-Seriesอยู่ก็ตาม อัตราเร่งไม่ได้ถีบออกตัวมันส์เหมือนพวกเยอรมันเทอร์โบ และความเร็ว
สูงสุดล็อคแค่ 210 แต่อะไรก็ตามที่อยู่ระหว่างนั้นน่ะเร็ว เกียร์CVTกับเสียงเครื่องยนต์เทียม (ออกจาก
ลำโพง)อันห่วยแตกมันหลอกเราจนนึกว่ารถอืดต่างหาก ความประหยัดเชื้อเพลิงของมันก็อยู่ในระดับ
ที่ดีกว่าเฉลี่ย แต่แน่นอนว่าแพ้ BMW ดีเซลรุ่นใหม่ ดังนั้นนี่อาจจะเป็นยาแก้เบื่อสำหรับคนที่
ต้องการอะไรแปลกใหม่ หากไม่มองเรื่องความคุ้มค่าเทียบกับเงินที่จ่าย (แต่เผอิญทีมเรามองน่ะ)

อันดับที่ 9-BMW 320d Touring M-Sport
เมื่อ BMW ทำรถแวก้อน รูปทรงของมันจะออกมาเซ็กซี่กว่ารถแวก้อนคันอื่น และ 320d Touring
ก็เป็นรถที่ดีไซน์มาได้ลงตัวจนJ!MMYเองออกจะชอบมากกว่าบอดี้ซาลูนด้วยซ้ำ และเสียงส่วนใหญ่
ก็คิดไปในทางเดียวกัน รถคันที่เราได้มาเป็นรุ่น M-Sport Package นำเข้าทั้งคัน เมื่อเทียบกับ
ตัวซาลูน 320d Sport แล้วจะได้ล้อคนละแบบ ชุดแต่งและกันชนแบบ M Sport ที่ดูเฉี่ยวขึ้น
ภายในเปลี่ยนจากโทนดำเดินด้ายแดง มาเป็นเบาะแดงทั้งคัน พวงมาลัยก็ได้แบบM Sport ที่เหมือน
กับใน 420i M Sport คูเป้นั่นล่ะ ส่วนคุณสมบัติด้านอื่นมีความคล้ายกับ 320d ตัวซาลูนราวกับ
แฝด พวงมาลัยเคยนิ้งขนาดไหน รุ่นแวก้อนก็นิ้งได้เท่ากัน แม้แต่การตอบสนองของช่วงล่างตัวซาลูน
นิสัยเป็นอย่างไร แวก้อนก็เป็นอย่างนั้น ซึ่งก็คือนุ่มนวลแสนสบายจนน่าเป็นห่วงว่าแฟน BMW
พันธุ์Hardcoreจะรับกันไม่ได้

การใช้งานทั่วไปมีจุดต่างก็ตรงที่เบาะหลังแบบพับได้บวกกับเนื้อที่ด้านท้ายตามสไตล์แวก้อน
ทำให้เหมาะมากกับหนุ่มสาวนักขนเฟอร์นิเจอร์ การขับขี่โดยทั่วไปคล้ายกับ 320d ซาลูนสามารถ
สร้างแรงดึงออกตัวและกดคันเร่งแซงรถบรรทุกได้มั่นใจพอกันโดยที่รุ่นแวก้อนจะช้ากว่ากันนิดๆ
ความประหยัดลดลงจากพิกัด 20 กิโลลิตรลงมาเหลือ 18.27 ซึ่งแม้จะหายไปเยอะ แต่มันก็เพิ่งจะ
จิบน้ำมันพอๆกับ Lexus CT200h และแน่นอนว่ามันอยู่ในระดับต้นๆของคลาส แล้วอะไรล่ะที่ทำให้
รถคันนี้มาจบอยู่ลำดับที่ 9? เรื่องแรกเลยคือการเซ็ตแป้นเบรกซึ่งก็เหมือนกับตัวซาลูน แม้ว่าจะ
หยุดอย่างฉับพลันมั่นใจได้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างความลึกในการกดกับการหน่วงความเร็วนั้น
ยังสู้ C-Class ไม่ได้ นั่นเป็นแค่จุดเล็กๆที่ต้องปรับ แต่จุดที่เศร้าจิตจริงๆเลยคือราคาตัวรถที่สูงถึง
4.499ล้านบาท คงต้องยกคำพูดของJ!MMYมาแล้วกัน “เห็นรถแล้วกรี๊ด แต่เห็นราคาแล้วกรี๊ดดังกว่า”
 

อันดับที่ 8-Subaru XV 2.0i CVT
ขอให้จำวันนี้ให้ดีเพราะผมเชื่อว่าเราคงไม่ได้เห็นรถจากค่ายดาวลูกไก่สร้างผลงานได้ดีแบบนี้อีก
ที่ผ่านมาเรามีแต่ Legacy คุณป้าที่ไม่มีความโดดเด่นอะไรเลยนอกจากการมีระบบขับสี่ เราเคยขับ
Outback ที่แม้จะเร่งได้ไวแต่ก็ขาดจุดเด่นที่แน่ชัดไปหลายด้าน WRX และ STi ต่างก็เป็นรถที่มีโฟกัส
ไปด้านใดด้านหนึ่งและเสียคะแนนในหลายด้าน (ถ้าเป็นการจัด Performance BestDrive คงไม่ใช่
ปัญหา) แล้วทำไมจู่ๆถึงมีรถ C-Segment ครอสโอเวอร์ เกียร์ CVT(!?%#@!@) และไม่มีเทอร์โบโผล่
มาอยู่ตรงนี้ และอะไรทำให้มันกลายเป็น Subaru ที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย? 

คำตอบจะมาก็เมื่อได้ลองใช้ชีวิตกับมันจริงๆ XV เป็นรถที่มอบความคล่องตัวแบบรถแฮทช์แบ็ค
อย่างPulsar กับทัศนวิสัยในการมองจากตัวรถที่สูงกว่าปกติเล็กน้อย แม้ J!MMYจะเตือนว่ารถมัน
สูงกว่าปกติ แต่ผมกลับสามารถขับมันได้คล่อง และใส่แบบดุ ดุกว่าที่จะกล้าลองกับ CivicหรือSylphy
ด้วยซ้ำในบางจังหวะ พวงมาลัยมีน้ำหนักและการตอบสนองที่เหมือนพวงมาลัยไฮดรอลิกแบบเก่า
มีระยะฟรีพอเหมาะ ขับทางตรงไม่เกร็ง และพร้อมจะซอกแซกและเลี้ยวได้ราวกับหนูโดนแมวไล่กวด
ถ้าคนขับต้องการ

ฟังอย่างนี้อาจจะนึกว่าช่วงล่างต้องแข็งๆ แต่เอาเข้าจริงมันรูดผ่านถนนแย่ๆในซอยผมได้นุ่มนวลกว่า
CR-VหรือCaptivaด้วยซ้ำในขณะที่การจั๊มพ์คอสะพานและวิ่งทางไกลก็นิ่งและมั่นคงด้วยช่วงล่างที่
มีสไตล์ดูดๆหนึบๆแบบที่เราถวิลหาจากรถยุโรปสมัยก่อน นี่คือความลงตัวของรถที่ใช้ในเมืองก็ดี
และเป็นขวัญใจนักขับรถทางไกลได้อย่างดีเช่นกัน จากการวัดผล11ข้อ ไม่มีหัวข้อใดที่ XVที่ได้น้อยกว่า
7/10ยกเว้นเรื่องเดียวกับวัสดุและอุปกรณ์ นั่นล่ะจุดที่เราอยากเห็นอะไรมากกว่านี้ในรถบอดี้ขนาดนี้
และราคา 1.35ล้าน ให้ตายเถอะถ้าตัดCruise Controlออกไป อุปกรณ์ภายในนี่มีแค่เท่า Attrage GLS
(ถ้าไม่นับถุงลมหัวเข่าคนขับ)กระมัง รถสเป็คไทยได้จอกลางแบบธรรมดา กุญแจแบบดอก
ภายในถ้าปราดตามองไปแล้วเหมือนรถราคาเก้าแสนมากกว่า ถ้าภายในของXVแพรวพราวได้เท่า
Forester XT ดีไม่ดีอันดับที่ได้จะสูงกว่านี้ต่อให้เพิ่มราคาอีกก็เถอะ ท้ายสุดขอชมเชยเรื่องอัตราการ
สิ้นเปลือง 14.41ก.ม./ลิตร ประหยัดชนะ Skoda Yeti ที่ขับหน้าและใช้เครื่องแค่1.2ลิตรด้วยซ้ำ!

อันดับที่ 7-Honda Accord 2.0EL Navi
โดยปกติ Honda มักไม่มีรถที่ตอบสนองดีแบบรอบด้านจนประทับใจอย่างทั่วถึง และผมคิดว่า
Accord 2.0EL Navi ก็เป็นเช่นนั้น และถ้าพูดในแง่ความคุ้มค่า ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่าถ้า Honda
ส่งตัว EL ไม่มี Naviมาให้น่าจะได้คะแนนดีกว่านี้อีก เพราะจะว่าไปแล้วผมยังไม่เคยได้ลองแงะ
ชุด Navi ของHondaมาดูเลยว่าข้างในทำด้วยทองหรือเปล่าราคามันถึงได้แพงกว่ารุ่นปกติเกินแสน
ในเรื่องคุณภาพการขับขี่และโดยสาร ไม่ได้ถือว่าเด่น ช่วงล่างมีความเป็นผู้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนและ
สามารถคอนโทรลการแกว่งข้างได้ดีกว่า Teana (J32นะไม่ใช่L33) พวงมาลัยจะไวไปไหน และ
นอกจากไวราวกับSwiftแล้วยังมีน้ำหนักโหวงต้องวิ่งให้เร็วขึ้นถึงเริ่มตึงมือบ้าง (เอ่อ Odyssey
รถMPVเซ็ตน้ำหนักพวงมาลัยได้ดีกว่านะ จริงๆ) เวลากดคันเร่งเสียงเครื่องR20 กระหึ่มเข้ามา
ไม่ต่างอะไรกับรถ C-Segment

แต่พอมามองด้านอื่นก็เข้าใจ ในช่วงที่Teana L33ยังไม่เปิดตัวนั้น Accord ประเคนความคุ้มค่า
จุดอื่นมาให้มาก ไม่ว่าจะเป็นภายในที่ออกแบบมาได้สวยงาม การจัดวางอุปกรณ์และสวิตช์ต่างๆ
ทำได้ดี ใช้งานง่ายและสับสนน้อยกว่า Accord G8คนละเรื่อง อุปกรณ์ติดรถให้มาอย่างครบครัน
Camry 2.0Gไม่ต้องมาค้อนนะครับ เดี๋ยวด่า..ระบบรักษาการทรงตัว แทร็คชั่นคอนโทรล ถุงลมนิรภัย
ด้านข้าง นอกจากนี้ยังเป็นรถรุ่นเดียวในกลุ่ม D-Segmentที่รองรับการเติมน้ำมัน E85 และถึงไม่เล่น
เอธานอล คุณก็ยังได้อัตราการสิ้นเปลือง 15.43ก.ม./ลิตร ซึ่งเทียบในกลุ่มแล้วแพ้แค่พวกรถไฮบริด
กับ..Legacy Wagon (ไม่ได้พิมพ์ผิดครับ Subyเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้แหละ) ด้วยการที่ทำคะแนนได้ดี
หลายด้านและเสียในแค่บางด้านนี่แหละ Accordจึงสามารถเข้ามายืนแป้นแล้นอยู่อันดับ7ได้

อันดับที่ 6-Nissan  Sylphy 1.6V
อ่ะ แปลกใจล่ะสิว่าทำไมรถบ้านที่ดูไม่ได้มีอะไรเด่นโผล่มาอยู่ตรงนี้ได้ ลองมองคู่แข่งของมันดู
ว่ามีอะไรบ้าง Ford Focus 1.6, Altis 1.6(โฉม2010). Mazda 3 1.6 (2012) และ Proton Preve
Turbo..หรือจะลองเอาพวกรถ 1.8ลิตรอื่นๆมาพิจารณาประกอบด้วยก็ได้ แล้วภาพจะเริ่มชัดขึ้น
ถ้าเอา Altis รุ่นนั้นมาเทียบ บ๊ายบายเลยเพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาสู้ Sylphy แถมราคายังพอๆกัน
ส่วน Mazda 3 นั้นช่วงล่างไม่ได้เหนือกว่ามากมายอย่างที่คิด และอืดกว่า กินจุกว่า คับแคบกว่า
Ford นั้นดูจะเป็นคู่แข่งที่น่าเอามาเทียบเพราะลิสต์อุปกรณ์ความปลอดภัยนั้นเหนือกว่า
Sylphyก็ยังเหมือนรถ C-Segment 1.6-1.8ของญี่ปุ่นรุ่นอื่นที่ไม่ยอมใส่ VSC/TRC มาให้สักที

Sylphy มีสูตรในการมัดใจกรรมการที่ต่างจาก Preve แบบคนละขั้ว ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่า
Protonสอนบทเรียนแสบให้ค่ายใหญ่ในเรื่องการตอบสนองของรถในการขับขี่ การทำช่วงล่างให้
โลดแล่นได้อย่างสนุกสนาน ความใจดียัดอุปกรณ์ความปลอดภัยมาให้แบบเต็มขั้น และความคุ้มค่า
ต่อเม็ดเงินที่เหนือกว่า..แต่ในด้านอื่นๆนั้น Sylphy กินเรียบ วัสดุและการออกแบบถือว่าเป็น
อันดับต้นๆของคลาส ทำให้รู้สึกหรูหรากว่าใคร (ถ้าไม่นับจอNaviแล้ว มันแทบไม่ต่างอะไรกับSylphy
ตัว 1.8Vเลย) การจัดพื้นที่ในห้องโดยสารให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง เบาะหลังมีพื้นที่วางขาและพื้นที่
เหนือศรีษะเยอะ (LegroomยาวพอๆกับTeana L33) อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 16.91ก.ม./ลิตร
เหนือกว่าระดับโดยเฉลี่ย (แพ้Focus ดีเซลรุ่นเก่าไปนิดเดียว) นี่คือรถประเภทที่ไม่มีเสน่ห์ร้อนแรง
ไม่ได้ขับสนุก แต่กระจายความดีไปในส่วนอื่นๆได้ค่อนข้างครบ คงได้คะแนนดีกว่านี้ถ้ารู้จักใส่
อุปกรณ์ความปลอดภัยเพิ่ม

อันดับที่ 5-Honda Accord 2.4TECH
ต้องมาเริ่มกันก่อนว่าอะไรที่กดคะแนน Accord คันนี้ไว้ไม่ให้เด่น..มันคือความสบายในห้องโดยสาร
ซึ่งแม้จะดีกว่ารถรุ่นเดิมโดยเฉพาะเรื่องตัวเบาะ แต่ที่นั่งด้านหลังยังไม่สบายเท่า Camry ซึ่งขานั้นเขา
ปรับปรุงจนดีกว่ารุ่นเดิมไปไกลมาก เสียงเครื่องดังเข้าห้องโดยสารยังมากไปนิด พวงมาลัยมีลักษณะ
ไวและน่าจะต้องการทรีทเมนต์ดีๆหน่อยเพราะผมขาดน้ำหนัก บุคลิกของช่วงล่างยังคล้ายรถ C-Segment
มากไปควรจะมีฟีลลิ่งหนักดูดหนึบอย่าง Camry เข้าไปมากกว่านี้ และเวลาวิ่งผ่านถนนขรุขระ เสียง
จากการกระแทกของช่วงล่างจะดังเข้ามาในห้องโดยสารมากไป อัตราเร่งและความแรงไม่รู้จะเทียบยังไง
เพราะไปเจอ 2.0ลิตรก็ข่มเขาหมด แต่พอเจอ 2.5ลิตรของCamry กับ V6ของTeanaก็กลายเป็นแมวซึมไป
นอกจากนี้พอเปิดราคามา 1.799ล้านบาท จัดว่าสูงถ้าเทียบกับรถรุ่นอื่นๆใน D-Segment จะเล่าให้ฟังอีกก็ได้
ว่าความเห็นของผมกับJ!MMY ก็ต่างกันในรถคันนี้ ผมไม่ค่อยชอบช่วงล่างกับพวงมาลัยของมัน แต่จิม
ชอบและรับได้ แต่ในเรื่องราคาจิมบอกว่าแพงไป แต่ผมกลับมองว่าเทียบกับสิ่งที่ได้มา ผมกลับรับได้
ส่วนกรรมการท่านอื่นจะมองว่าเป็นรถที่ “ครบนะ” แต่ “แพง” และส่วนใหญ่ก็รู้สึกยังไม่ประทับใจกับช่วงล่างนัก
เมื่อต้องมองว่านี่คือรถผู้ใหญ่ ขนาดใหญ่ ไม่ใช่รถวัยรุ่น

ในความเป็นจริง ส่วนอื่นที่ส่งเสริม Accord 2.4TECH ก็ยังมีอยู่ และเป็นข้อดีที่คล้ายกันกับรุ่น 2.0 ซึ่ง
ก็คือการไม่ขี้เหนียวอุปกรณ์ ทั้งของเล่นอำนวยความสะดวกอย่าง Radar Cruise Control หรือของที่
เกี่ยวกับความปลอดภัยเช่นถุงลมนิรภัยรอบคัน ระบบรักษาการทรงตัว แทร็คชั่นคอนโทรล และระบบ
Lane Watch ที่มีกล้องติดใต้กระจกส่องข้างด้านคนนั่งซึ่งทำงานเมื่อเปิดไฟเลี้ยวหรือจะเปิดติดค้างไว้เลย
ก็ได้ ระบบเบรกถึงแม้จะไม่โดดเด่น แต่ก็ยังมีความต่อเนื่องของแป้นและไม่มีฟีลหลอนให้ต้องกดลึก
เหมือน Camry 2.5 ความคล่องแคล่วยามขับในเมืองก็มีมาก ซึ่งก็เป็นอย่างนี้ตั้งแต่สมัย G8 คือรถน่ะใหญ่
แต่การบังคับควบคุมกลับหลอกความรู้สึกว่ามันเล็กและคล่องกว่า Teana J32 พูดง่ายๆคือใน Accordนี้
อาจจะมีอุปนิสัยบางส่วนที่ยังเหมือนรถเล็กเช่นช่วงล่างกับการขับขี่และการเก็บเสียง แต่ในหัวข้ออื่นมันจะ
ทำได้ดีกว่าคู่แข่ง และบางอย่างก็เหนือกว่ามาก ปฏิเสธไม่ได้อีกเหมือนกันว่าเป็นเพราะ Nissan ไม่ได้ส่ง
Teana 2.5 ตัวท้อปให้เราทดสอบภายในปี 2013 หาไม่เช่นนั้นแล้วก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่า Accord จะ
ยังสามารถสร้างความประทับใจได้ขนาดนี้หรือไม่

อันดับที่ 4-BMW 320i Luxury
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะชอบภายในสีดำกับการตกแต่งแบบสีดำ/เงินของรถยุคใหม่ แต่ผมอาจจะเป็นคนเดียว
ก็ได้ที่รู้สึกว่าภายในสีน้ำตาลอย่างบวกกับการตกแต่งแบบ Luxury นี่ล่ะสร้างความอุบอุ่นและน่าประทับใจ
จนทำให้ห้องโดยสารของมันดูเด่นดีเหมือนรถหรูพรีเมียม ด้วยราคา 2.679 ล้านที่ถูกกว่า 320d แถมยังได้
อัตราเร่งที่เร็วกว่า แซงได้เร็วกว่า ทำให้J!MMY เปรียบรถคันนี้ง่ายๆว่า “คุ้มราวแฟล็ตปลาทอง” (คน Gen Y
หรืออ่อนกว่าคงไม่รู้จัก) ในขณะที่กรรมการอีกท่านสรุปให้สั้นๆว่า “เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เห็นรถ
3-Series รุ่นเบนซินธรรมดาน่าใช้กว่าตัวดีเซล” สิ่งที่คุณเสียไปเมื่อเทียบกับ 320d Sport ก็คือปุ่มปิดการทำงาน
ของแทร็คชั่นคอนโทรล ตัวเบาะแบบปรับรองขาที่มีปีกรับร่างกายรัดกุมกว่า และอัตราการสิ้นเปลือง
ที่ประหยัดจนไฮบริดแทบจะคว้านท้องตาย..แต่จะว่าไป 16.91 ก.ม./ลิตรของ 320i นั้นก็ไม่ได้ถือว่าแย่เลย
มันประหยัดกว่า 320d E90 ตัวเก่าเสียด้วยซ้ำไป

ข้อเสียน่ะหรือ? ก็คงเหมือนกับ 3-Series 4 สูบรุ่นอื่นๆนั่นล่ะคือช่วงล่าง แต่หากใครละทิ้งรุ่น Sport มาหา
ความเป็น Luxury และยอมรับเบาะนั่งที่มีส่วนรองก้นแบนๆราวคุณหนูไข่ดาวได้ ช่วงล่างแบบนี้ก็น่าจะพอ
พละกำลังของเครื่องกับช่วงล่างและเบรกก็รับกันค่อนข้างดี ส่วนที่จะตำหนิจริงๆคงไม่มีเพียงแต่ขอช่วงล่าง
ที่เป็น BMW แท้ๆอย่างยุคก่อน..อะไรที่เป็นทางสายกลางระหว่าง E90 และสิ่งที่ F30 เป็นอยู่ในปัจจุบัน
น่าจะสร้างความลงตัวได้มากกว่านี้

อันดับที่ 3-BMW 328i Sport
อสูรร้ายซ่อนร่าง วิ่งผ่านเร็วๆแล้วนึกว่าเป็น 320d แต่เมื่อเจอกับพลังเครื่องเทอร์โบ 218 แรงม้า (ที่ต้อง
ถามย้ำว่าแน่ใจนะว่า 218 และไม่ใช่ 245) ความต่างปรากฏออกมาอย่างชัดเจน นี่คือรถพรีเมี่ยม
ที่พร้อมตีแสกตะวันฟันกับบรรดา Sports Compact เทอร์โบจาก VW ได้แบบไม่ต้องสืบ เกียร์ 8 จังหวะ
ที่เป็นทอร์คคอนเวอร์เตอร์ธรรมดาๆนั้นทำงานได้ดีมากจนน่าสงสัยว่าแล้วเราจะไปหาเรื่องใช้เกียร์
คลัตช์คู่ให้มันหนักเปล่าๆทำไม ถ้าคุณมีเงิน 3 ล้านเศษและอยากได้ Golf GTi แต่พ่อกับแม่คุณ(หรือ
ภรรยาคุณ) ไม่ต้องการคบแบรนด์ที่ไม่ใช่เบนซ์หรือ BMW ล่ะก็ 328i คือคำตอบระดับทางสายกลาง
เรื่องการรักษาสายสัมพันธ์กับคนในบ้าน แต่ไม่เป็นกลางเรื่องความโหด!

แต่จะให้ผมปล่อยผ่านไปด้วยคำชมอย่างเดียว..ฝันไปเสียเถอะ เพราะรถทดสอบของเรานั้นใช้ช่วงล่าง
สเป็คที่นุ่มนิ่มไม่ต่างอะไรกับ 320i หรือ 320d ..ปัญหาคืออะไร? ก็คือตรงที่ลักษณะของรถทำมาเพื่อ
ตอบรับลูกค้าคนละแบบกันน่ะสิ คนที่จ่ายเงินหลายแสนเพิ่มเพื่อซื้อ 328i นั้นคงไม่ได้ต้องการอย่างอื่น
นอกจากความแรงที่เพิ่มขึ้น และไม่ว่าจะเป็นถนนสายไหน 328i ก็ไต่ระดับทำความเร็วไปสู่ 180 ได้เร็ว
กว่า 3-Series สเป็คบ้านๆคันอื่น และ ณ จุดนั้นความนุ่มของช่วงล่างก็ไม่ได้ให้ความมั่นใจเท่าที่ควร
การเล่นโค้ง เทโค้ง ตัวรถก็ยวบสไตล์รถบ้าน เบรกก็มีอาการแบบเดียวกันคือไม่ Linear เหยียบแรกๆ
ไม่ค่อยชะลอ ครั้นพอกดลึกๆเข้า หลายครั้งก็มีอาการจิก มันอาจจะเหมาะสำหรับคนที่ขับรถเร็วมากๆ
แล้วเหยียบเบรกหนักๆ (แต่ช่วงล่างก็ไม่ได้เหมาะกับคนนิสัยอย่างนั้น) พวงมาลัย Variable Sport Steering
ซึ่งมีใน 328i และไม่มีในรถ4สูบรุ่นอื่นนั้นช่วยให้การเลี้ยวในตัวเมือง การกลับรถ ทำได้สะดวกโยธิน แต่
ถาม J!MMY ว่าถ้าไม่มีออพชั่นนี้จะเป็นไรไหม คำตอบคือ ไม่มีปัญหา! พวงมาลัยแบบธรรมดาก็ขับได้ดีพอ
เอาออพชั่นนี้ออกแล้วไปจัดช่วงล่างกับเบรกดีๆมาให้ลูกค้าดีกว่ามั้ยล่ะ? (ล่าสุดได้ข่าวจากสมาชิกเว็บว่า
328i ได้ช่วงล่าง M-Performance แล้วในปัจจุบัน ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดีด้วย)

อันดับที่ 2-BMW ActiveHybrid3
ไฮบริดโหดสัสคือชื่อจั่วหัวบทความที่ J!MMY ตั้งให้ และนั่นก็เหมาะสมแล้วด้วยประการทั้งปวง
ในราคา 4.399 ล้านบาทนั้นดูเหมือนว่าจะมีผมคนเดียวที่มองว่ามันสมเหตุสมผลกับความแรง 340 แรงม้า
และ 450Nm (คนอื่นบอกว่าแพงไป..ไม่ก็แพงไปมากก) ช่วยนึกรถที่แรงกว่านี้แล้วยังราคาถูกกว่านี้หน่อย
..คงมีเพียงรุ่นเดียวคือ Impreza STi ที่ราคา 3.95ล้านบาท ตลอดปี 2013 ผมขับรถที่แรงๆมาบ้าง ไม่ว่า
จะเป็น A250 หรือ 328i แต่สองคันนี้เหลือสภาพเป็นแค่เด็กๆไปเลยเมื่อเจอกับพละกำลังที่ผมกล้าพูดเลยว่า
มันชวนให้นึกถึง Toyota Aristo VERTEX Twin Turbo 2JZ-GTE เพียงแต่ว่า ActiveHybrid3 นั้นเร็วกว่า!
พลังของมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยปิดกลบจุดอ่อนในช่วงที่เทอร์โบยังทำงานได้ไม่เต็มที่ และเมื่อรอบกวาด
ถึง 3,000 กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็จะทะลุเรดไลน์แล้ว เสียงเครื่อง 6 สูบเรียงสไตล์ BMW อาจจะไม่กังวาน
เหมือนพวก NA อย่างสมัย 330i E46 แต่ก็ดุดันและหวานหู ทั้งหมดนี้รวมกับเกียร์ ZF 8 จังหวะที่ทำงาน
ได้ดีเยี่ยม มันได้สร้างรถยนต์ที่มีฤทธิ์เหมือนเฮโรอีนในการสั่งประสาทให้คุณ กระแทกคันเร่ง! กระแทกอีก!
กระแทก! แล้วก็กระแทก! เพียงให้ได้รับแรงดึงและเสียงของมัน สาบานได้ว่าตอนขับ Lexus GS450h
ที่เป็นรถไฮบริด 6 สูบเกียร์ CVT ผมไม่มีอาการ “หลอนยา”มากเท่านี้

กรรมการทุกคนดูจะโอเคกับองค์ประกอบอื่นๆของตัวรถ อุปกรณ์มาตรฐานมีมาให้ในระดับที่ใกล้เคียงกับ
320d Touring M-Sport มีพวงมาลัยทรงสปอร์ตพร้อมระบบ Variable Sport Steering (ที่ให้ความรู้สึก
มั่นคง ดิ้นไปตามลอนถนนน้อยกว่า 3-Seriesรุ่นอื่น) เบาะปรับรองน่อง ปรับปีกข้างได้เช่นเดียวกับ3-Series
ที่ตกแต่ง Sport  วัสดุและการประกอบดีเหมือนกัน และการตกแต่งภายในแม้จะไม่หรูแบบ 640i Gran Coupe
แต่ก็ดีพอในระดับพรีเมียม บนจอกลางมีการเพิ่มฟังก์ชั่นโชว์การทำงานของระบบไฮบริด  ของเล่นมีมาให้
ครบในระดับหนึ่งแล้วแต่รถทดสอบของเราเป็นรุ่น M-Sport ธรรมดาที่ยังขาดช่วงล่าง M-Dynamic ที่ได้
ล้อ 19 นิ้วและช่วงล่างปรับแข็ง-อ่อนได้ไป อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 16.52 ก.ม./ลิตรนั้นไม่ได้ดีไปกว่า
พวกรุ่น 4 สูบ แต่อย่าลืมว่านี่เป็นรถ 6 สูบไฮบริดที่ตัวหนักกว่ามากนะครับ แรงแบบ 2JZ-GTE จ่ายค่าน้ำมัน
แบบ Lexus IS300h จะมีอะไรให้ติอีกล่ะครับ

เปล่า..อันที่จริงคือมี และจุดแย่ของมันก็ไม่ใช่ช่วงล่าง เพราะ ActiveHybrid3 มีความหนักแน่นกว่าและ
มั่นคงกว่าที่ความเร็วสูงซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากการใช้เครื่องหกสูบที่ทำให้หน้าหนักกว่าและแบตเตอรี่
ท้ายรถที่คอยถ่วงเอาไว้ทำให้ได้ความรู้สึกที่มั่นคง แต่ในยามหักเลี้ยวนั้นก็ยังอดมีบุคลิกแบบรถบ้าน
ติดมาบ้างไม่ได้แม้ว่าคะแนนโดยรวมจะให้ความมั่นใจในการขับขี่มากกว่า 328i อยู่บ้าง..ส่วนที่ไม่ชอบเลย
คือเบรก เพราะอาการเบรกไม่ Linear ที่พบในรุ่น 4 สูบนั้น พอมาเป็น ActiveHybrid3 กลับแย่ลงอีก
ถูกล่ะเวลากระแทกเบรกเต็มๆมันลดความเร็วลงได้ชะงัดนัก แต่อะไรก็ตามที่อยู่ระหว่าง 20-70%นั้น
บริหารแรงเบรกได้ยาก กดไปแล้วนึกว่าพอ ปรากฏว่าไม่..ต้องกดลึกอีก ไม่ทราบว่าเป็นเฉพาะคันหรือเปล่า
แต่ถ้าBMWอยากจะแก้ตัวก็ส่ง ActiveHybrid3 คันอื่นมาให้พวกผมลองอีกก็ได้นะครับ (แอบยิ้มๆนัยน์ตา
แฝงแววมารนิดๆ)

และนี่…คือนวัตกรรมยานยนต์ (ผัวะ!-กรูเกลียดการขึ้นต้นประโยคแบบนี้!!-J!MMY)

เอาใหม่… และนี่ หมายความว่าผู้ชนะ Best Drive 2013 ปีนี้ ได้แก่!



อันดับที่ 1-Skoda Octavia 2.0TDi Wagon
นี่เป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์สำหรับผม เพราะหากนับแค่คะแนนเฉพาะบนScoreCardของผมเอง เจ้าOctavia
มีคะแนนอยู่เป็นลำดับที่ 4 แสดงว่าคนอื่นๆน่าจะมองเห็นคุณงามความดีของมันมากกว่าผมเป็นแน่แท้
และมั่นใจว่าหนึ่งในนั้นคือเจ้าของเว็บ ซึ่งหลังจากขับรถไปทำคลิปกันมาเสร็จแล้ว ก็ได้บทสรุปสั้นๆสำหรับ
รถคันนี้ว่า “Built For J!MMY” ด้วยเหตุผลที่ตัวรถมีคุณสมบัติในทุกด้านลงตัวและบาลานซ์มาได้พอดี
ในทุกๆด้าน ปฏิกิริยาตอบสนองของผมต่อความเห็นนี้คือ “ใช่ เห็นด้วย แต่มันน่าประทับใจขนาดนั้นเลย?”

มาว่ากันทีละหัวข้อเลยดีกว่า ในด้านการออกแบบภายนอกและภายใน Octavia ทำคะแนนจากผลรวม
ได้ 8.2 และ 8.0 จาก 10 ตามลำดับ แม้ดีไซน์จะไม่มีความเซ็กซี่อย่าง BMW หรือ Volvo V60
แต่ก็พยายามรักษาเอกลักษณ์ของ Skoda ไว้โดยมีการปรับปรุง “ลดเส้นสายที่พิลึกและขัดลูกตา”
ออกไปจนดูหล่อแบบผู้ชายอายุ 35 ที่หุ่นกำลังดีมีมัดกล้ามพอให้ดูเหมือนคนออกกำลังกายวันเว้นวัน
มันน่าจะเป็น Skoda ที่หล่อที่สุดในรอบทศวรรษเท่าที่เคยมีมาขายในไทยแล้ว ส่วนภายในนั้น มาในโทน
ที่ดำๆ ขรึม อนุรักษ์นิยมเหมือนรถบ้านส่วนใหญ่ในเครือ VW เรียบง่าย แต่สวยงามคล้าย Golf GTi
ที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น (แต่ขาด WOW Factor ที่ดึงดูดสายตาอย่างVolvoไป) มีการจัดวางจอภาพกลาง
และสวิตช์ควบคุมเป็นสัดส่วน แยกเห็นเด่นชัด เมื่อปรับสวิตช์อะไรสักอย่างหนึ่ง จอภาพก็จะโชว์ขยาย
ให้เห็นว่ากำลังปรับตั้งอะไรอยู่ ทำให้สามารถขับและปรับไปได้ตามหลักใช้มือคลำ ตาชำเลืองนิดๆ

ด้านความสบายในการโดยสารและวัสดุอุปกรณ์ภายใน ได้คะแนน8.2และ8.6 ตามลำดับ ถึงแม้จะขาด
ความหวือหวาแต่ในด้านการใช้งานสามารถตอบสนองได้ดี เบาะนั่ง Alcantara ให้การยึดเกาะที่ดี
และมีดีไซน์ที่เหมาะกับการใช้งานตามประเภทของรถ นั่งสบายแม้จะต้องขอตำหนิส่วนรองทวารหนัก
ของเบาะหลังที่ยังสั้น เหมือนจะเป็นโรคติดต่อมาจาก Superb นั่นแหละครับ เบาะหลังของ Octavia
ไม่ได้มีพื้นที่มากนักแต่อย่างน้อยก็เป็นที่ที่คนสูง 183 อย่างผมยังสามารถนั่งโดยสารไกลๆได้ดีกว่า
Volvo V60 คะแนนความปลอดภัยได้ 8.4 และไม่ดีไปกว่านี้เพราะแม้จะมีถุงลมนิรภัยคู่หน้า, หัวเข่า
ด้านข้าง และม่านนิรภัยแล้ว แต่ไปแพ้ Volvo ตรงที่ชาวไวกิ้งเขามีทั้งระบบ Radar Cruise, ระบบ
City Safety และ Pedestrian Protection+Full Auto-brake ตรงนี้ต้องยอมรับว่าแพ้เขาจริงๆ

สมรรถณะและการขับขี่..จุดนี้ทำคะแนนตีตื้นขึ้นมาได้บ้าง ดูตามสเป็คแล้วในตอนแรกผมแอบขำด้วยซ้ำ
สมัยนี้มันจะมีอะไรน่าตื่นเต้นหรือกับเครื่อง 2.0TDi ที่มีพลัง 148 แรงม้า แรงบิด 320Nm? แต่พอ
ได้ลองขับจริง มันแค่ไม่ดึงสะใจแบบ BMW 320d แต่เป็นการไต่ความเร็วที่ต่อเนื่อง มาแบบไม่หยุด
จนจับเวลาออกมาได้เร็วกว่า V60 และ Legacy Wagon แพ้แค่ BMW

มาถึงตรงนี้บางท่านอาจจะงงว่าตกลงนี่มันรถระดับชั้นไหนและเราเทียบกับอะไร.. Octavia
เป็นรถระดับ CD-Segment ที่อยู่ตรงกลางระหว่าง CและD ครับ แต่ครั้นจะให้ Skoda ตีเกมจบ
ด้วยการเทียบกับแบรนด์ Mass อย่าง Legacy เจ้าเดียว เกมก็จบง่ายไปสิครับ ทีมเราเลยตัดสินใจ
ยกระดับให้เทียบกับรถแวก้อนด้วยกันเกือบทั้งหมดในภาพรวมไปเลย เป็นไง?สะใจกว่ามั้ย?

ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง? 18.65 ก.ม./ลิตรฟังดูดีมั้ยล่ะครับ ล้มสถิติรถแวก้อนที่ประหยัดน้ำมัน
ที่สุดของ 320d Touring (18.27) ไปเลย ส่วนความนุ่มนวลของช่วงล่างและความมั่นใจในการขับ
กรรมการหลายคนจะให้ความเห็นคล้ายๆกันว่าลักษณะของช่วงล่างไม่ใช่สไตล์ซิ่ง แต่ที่ติดอาการ
สะเทือนมานั้นน่าจะเป็นเพราะใช้ล้อขอบ 18 นิ้วกับยาง 225/40มากกว่า ผมคิดว่ามันเป็นช่วงล่าง
ที่นุ่มพอให้ผู้ใหญ่นั่งได้ และสามารถเดินทางไกลบนมอเตอร์เวย์ด้วยความเร็วสูงได้ดี ผมให้คะแนน
ความมั่นของช่วงล่างมากกว่า 320d และ V60 แต่ J!MMY เรทให้ว่าได้อย่างเสียอย่างคนละด้าน
แต่คะแนนออกมาแล้วเท่าๆกันกับ 320d นั่นล่ะครับ

ท้ายสุดเมื่อมามองความคุ้มค่าเทียบกับราคารถ Octavia ทำคะแนนได้ 9/10 เพราะประสิทธิภาพ
ของตัวรถในแต่ละด้านนั้นไม่มีด้านใดที่ได้คะแนนต่ำกว่า 8/10 และจะแพ้คู่แข่งในบางกระบวนท่า
เช่นแพ้ความแรงให้BMWและแพ้อุปกรณ์ความปลอดภัยให้ Volvo แต่เปิดมาด้วยราคา 1.79 ล้านบาท
ซึ่งถูกกว่าคู่แข่งรายอื่นทั้งหมด (แค่ดูแพงถ้าไปเทียบกับรถ D-Segmentที่ไม่ใช่แวก้อนทั้งหลาย)
ทำให้ Skoda Octavia กลายเป็นรถที่ได้รับตำแหน่ง BestDrive 2013 ไป

ขอแสดงความยินดี และนี่เป็นอีกครั้งที่ผลิตภัณฑ์จาก Skoda ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ารถของCzech
บวกกับเทคโนโลยีเยอรมัน ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ตามจะมาสบประมาทเอาได้ง่ายๆ

แต่…

ก็อย่างที่ได้เกริ่นไปตั้งแต่หัวบทความ ว่าการให้คะแนน BestDrive ของเรา คิดจากจุดไหน และ
ไม่สน หรือไม่มองในเรื่องใดบ้าง นั่นก็เป็นการบ้านที่ผมขอใช้ความว่า “ยังทำไม่เสร็จ”

ผมต้องเขียนกำกับไว้แบบนี้เพราะบางท่านอาจคิดว่าเราได้รวมเรื่องบริการหลังการขาย อะไหล่และ
ความทนทานในระยะยาวไว้ ขอบอกเลยว่า ไม่ได้คิดรวมในส่วนนี้ และถ้าให้พูดตามตรง หากเรา
รวมเข้าไปจริง Octavia ก็คงไม่ใช่รถที่ได้อันดับ 1..ในปีก่อนๆ เราห่วงกันเรื่องบริการว่าจะรับลูกค้า
ได้เท่าไหร่ จะสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าได้แค่ไหน จะปิดเคสได้เร็วแค่ไหน แต่ในปีนี้ เรื่องที่น่าห่วงกว่า
คือลูกค้าบางคนออกรถไปเป็นปีแล้ว ยังต้องวิ่งป้ายแดงอยู่โดยไม่มีทะเบียน ปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไข
และภายในเร็ววันนี้ก็ไม่ควรมีลูกค้า Skoda ต้องมาตั้งกระทู้ทวงทะเบียนกันอีกต่อไป ขอเถอะนะครับ

อย่าให้ BestDrive 2013 คันนี้ต้องกลายเป็นรถม้าฟักทองในเทพนิยายที่มีค่าเหลืออนันต์
แต่ดันวิ่งได้เฉพาะบางเวลาเลยนะครับ 

– จบบริบูรณ์ –