All NEW Honda Accord Generation ที่ 10 นับเป็นความก้าวล้ำครั้งสำคัญของ Honda Motor ด้วยการนำเสนอจุดเด่นด้านเทคโนโลยีใหม่หมดจด ไล่ตั้งแต่พื้นตัวถังแบบใหม่ล่าสุด Modular Platform ที่ใช้ร่วมกับ Civic ใหม่, เครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด 2.0 ลิตร เทอร์โบ 252 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ, ขุมพลังเบนซิน 2.0 Hybrid i-MMD (3rd Generation) พร้อมทั้งมีการปรับปรุง Package ตัวรถให้มีความหรูหราพรีเมี่ยม ขับขี่ดีนั่งสบาย เพื่อเอาใจลูกค้าเต็มพิกัด จนได้รับคำชมจากสื่อมวลชนอเมริกันส่วนใหญ่ว่า มันเป็นรถยนต์ที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ แต่ผลลัพธ์ดูเหมือนว่า All NEW Honda Accord กลับไม่เปล่งประกายอย่างที่คาดการกันไว้ จนสร้างความฉงนให้ผู้คนในวงการรถยนต์พากันสงสัยพอสมควร

เมื่อเช็คยอดขายล่าสุดของ All NEW Honda Accord ในสหรัฐอเมริกา พบว่า ยอดขายประจำเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2018 กลับลดลงจากระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 11.7% (ส่วนยอดขายรวมของรถยนต์ Honda ก็กลับลดลง 2.8% ด้วยเช่นเดียวกัน) ทั้ง ๆ ที่มันเป็นรถรุ่นใหม่ เปลี่ยนโฉมใหม่หมดจดทั้งคัน!!!

ถ้านับเฉพาะยอดขายของ All NEW Honda Accord ในเดือนกุมภาพันธ์ พบว่ามันมียอดลดลงถึง 15.8% ในขณะเดียวกัน All NEW Toyota Camry กลับมียอดขายประจำเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2018 เพิ่มขึ้น 13.7%

และนี่คือยอดขายรถยนต์ D-Segment ค่ายรถญี่ปุ่นในสหรัฐอเมริกา (นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2017 ที่ทาง Honda ค่อย ๆ ส่งรถจนทั่วสหรัฐอเมริกา จนถึง กุมภาพันธ์ 2018)


และนี่คือยอดขาย D-Segment ญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2016- กุมภาพันธ์ 2017


Michelle Krebs นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมยานยนต์อาวุโส Autotrader ให้ความเห็นว่า ปัญหาของ All NEW Honda Accord ไม่ใช่เกิดจากตัวรถหรือแบรนด์ แต่เกิดจากการแข่งขันด้านข้อเสนอทางการเงินที่ช่วยทำให้ลูกค้าผ่อนรถได้ถูกลง เนื่องจาก Toyota ได้อัดเงินสนับสนุนการขาย Camry ถึงคันละ 2,900 ดอลลาร์หรือ 90,000 บาท ขณะที่ All NEW Honda Accord มีเงินสนับสนุนคันละแค่เพียง 1,200 ดอลลาร์หรือ 37,000 บาทเท่านั้น ทำให้ Accord ผ่อนแพงกว่า Camry เดือนละ 50 ดอลลาร์หรือ 1,556 บาท

ลูกค้าที่ผ่อน Toyota Camry จะไม่สนใจราคาขายต่ออันเป็นจุดเด่นของ Honda Accord มากนัก เพราะกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ผ่อนรถให้จบเพียงแค่ 3 ปีก็นำมาเทิร์นราคากับดีลเลอร์กันอยู่แล้ว

Krebs ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า เหตุผลที่ยอดขาย Honda Accord ไม่พุ่งมากอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะ Honda ไม่ลงมาเล่นตลาดเหมาล็อต (Fleet) ขณะที่ Toyota สามารถขายรถใหม่เพิ่มขึ้น 15% จากตลาด Fleet

นอกจาก Honda Accord จะต้องมาแข่งขันกับ Toyota Camry และอีกไม่นานก็จะมี All NEW Nissan Altima/Teana ปรากฏโฉมขึ้นแล้ว Honda ก็ยังต้องมาแข่งกับรถยนต์ SUV-Crossover ที่สามารถแย่งชิงลูกค้า D-Segment Sedan ได้ตลอดเวลา และเชื่อว่านับต่อจากนี้ไป หากผู้ผลิตรถยนต์รายใดที่สามารถพัฒนารถ D-Segment ให้มีคุณสมบัติที่ดึงดูดใจคนรุ่นใหม่ได้ ผู้ผลิตรายนั้นอาจจะกลายเป็นผู้แพ้ถาวรได้ในอนาคต

ในเบื้องต้น ผู้บริหาร Honda อเมริกาเหนือได้พูดคุยกับบรรดาดีลเลอร์ ณ สมาคมผู้แทนจำหน่ายแห่งอเมริกาเหนือ North American Dealers Association (NADA) จนได้ข้อสรุปความต้องการจากดีลเลอร์ว่า Honda ควรจะช่วยเหลือเงินสนับสนุนส่งเสริมการขาย Accord ใหม่ให้มากขึ้น เพื่อสามารถแข่งขันกับ Toyota Camry ได้เต็มที่ แต่ทาง Honda ก็กังวลใจไม่น้อยเลยว่า หากอัดเงินสนับสนุนขนาดนั้น มันก็อาจจะส่งผลต่อยอดขายและแบรนด์ในระยะยาว

จากการคำนวณในเบื้องต้นช่วงเดือนมีนาคม 2018 รถยนต์ Honda Accord จะอยู่ในคงคลังของดีลเลอร์อยู่ราว 107 วันจนกว่าจะถึงมือลูกค้า ซึ่งถือเป็นอัตราการจอดค้างสต๊อกที่ยาวนานกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ควรจะต้องมีรถในคงคลังยาวนาน 70 วัน หรือขายรถออกไปภายใน 70 วัน

โดยปกติ Honda อเมริกาเหนือมักรับฟังความเห็นจากบรรดาดีลเลอร์จนนำข้อมูลเหล่านี้ลงมือปฏิบัติอยู่เสมอ ได้แก่ การนำข้อมูลเพื่อปรับปรุงเป็น Ridgeline ใหม่, การสั่งหยุดจำหน่ายรถรุ่นที่มียอดขายต่ำอย่าง CR-Z hybrid, Element และ Crosstour ดังนั้น ดีลเลอร์จึงคาดหวังความช่วยเหลือจาก Honda ในครั้งนี้มากพอสมควร

ผลลัพธ์จะเป็นไปตามที่ดีลเลอร์ร้องขอหรือไม่ ต้องจับตาดูในเดือนเมษายน-พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป

ที่มา : Chicagotribune / Carbuzz