เรียนคุณผู้อ่านที่รัก

อย่างที่ทราบกันดีว่า Isuzu ไม่มีนโยบายส่งรถยนต์ให้สื่อมวลชน ทำการทดลองขับ ยกเว้น
ในกรณี นำรถยนต์ เพื่อไปใช้ในกิจกรรมการกุศล กิจกรรมการตลาดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น
ในอดีตที่ผ่านมา Headlightmag.com ของเรา จึงไม่มีบทความ รีวิว รถยนต์ Isuzu รุ่นใดๆ
ทั้งสิ้น แม้แต่รุ่นเดียว

แต่ในคราวนี้ คุณ Moo Cnoe คุณผู้อ่านของเรา มีโอกาสได้รับเชิญ ในฐานะลูกค้า ของ
ดีลเลอร์ Isuzu Metro ให้มาร่วมทดลองขับ Isuzu MU-X ใหม่ กันก่อนใคร คุณหมู 
จึงถามมาทางผมว่า สนใจให้ทำบทความรีวิว ในลักษณะ ลองขับสั้นๆ แบบ First Impression
ลงบนเว็บไซต์ของเราหรือไม่

มีหรือที่ผมจะไม่ตกลง?

สำหรับคุณ Moo นั้น เป็นคุณผู้อ่าน ที่ผมรู้จักมาตั้งแต่เปิดเว็บไซต์ใหม่ๆ เป็นสมาชิกที่
มีส่วนร่วมในกิจกรรมหลายๆอย่างด้วยดีตลอดมา อีกทั้งยังมีส่วนช่วยเหลือผม ถึงขั้น
อนุญาตให้เรา ยืมรถกระบะ Isuzu D-Max ของตนเอง มาให้ทำบทความรีวิว รวมทั้ง
ถ่ายทำคลิป Video ลงบน YouTube กันมาแล้ว อีกทั้งด้วยนิสัยใจคอ ทัศนคติ จิตใจ
และ สำนวนการเขียน ผมถือว่า สอบผ่านมาตรฐานของผม จึงยืนยันได้ว่า บทความ
ที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นมุมมอง ของคุณ Moo เอง อย่างเป็นกลาง ตรงไปตรงมา
ปราศจากอคติ หรือสิ่งเคลือบแฝงใดๆทั้งสิ้น

Certified by J!MMY กันเลยทีเดียว!

บทความนี้ คุณ Moo ตั้งใจ ให้ออกมา เพื่อบอกถึงบุคลิกของ MU-X ใหม่ ให้คุณผู้อ่าน
ได้รับทราบกัน ก่อนที่คุณจะไปทดลองขับ กันตามโชว์รูมต่างๆของ Isuzu ทั่วประเทศ
เพื่อประเมินว่า รถยนต์รุ่นนี้ เหมาะกับคุณ หรือไม่ จะได้ตัดสินใจเลือกรถยนต์ให้
ตรงกับความต้องการของคุณอย่างแท้จริง

จึงถือว่า นอกจาก MU-X จะเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่เมืองไทยแล้ว บทความนี้ ยังเป็น
บทความรีวิว MU-X รายแรกในโลก อีกทั้งยังเป็น รีวิว รถยนต์ Isuzu เรื่องแรก ใน
Headlightmag.com ของเรา และยังเป็น รีวิวแรก ที่เราเปิดโอกาสให้คุณผู้อ่าน ที่
ผ่านมาตรฐานด้านต่างๆของเรา มาทำรีวิว First Impression ให้คุณได้อ่านกันอีกด้วย!

4 ความเป็นครั้งแรก ในรีวิวเดียว!!

ดังนั้น บรรทัดข้างล่างจากนี้ต่อไป ขอยกให้คุณ Moo Cnoe ฉายเดี่ยว ลุยต่อไปเลยครับ

Enjoy reading!

J!MMY
www.Headlightmag.com

นับจากวันที่ All New D-Max กระบะประจำค่าย Isuzu เปิดตัวไปเมื่อ เดือนตุลาคม 2011
อันเป็นปีที่เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทย  เราต้องรอกันนานถึง 2 ปีเต็มๆ
กว่าจะได้เห็น SUV รุ่นใหม่ของ Isuzu ที่ใช้พื้นฐานร่วมกับ All New D-Max

ข่าวจากวงในอุตสาหกรรมยานยนต์ หลายๆแหล่ง หลุดออกมามากมาย ว่า ISUZU ตัดสินใจ
จะไม่ทำรถยนต์ประเภทนี้แล้ว ไม่ว่าจะด้วยหลากหลายเหตุผลอันใดก็ตาม แต่หลังจากนั้น
ก็มีกระแสข่าวยืนยันว่า โครงการนี้ยังคงเดินหน้าไปเหมือนเดิม และ ณ วันนี้มันก็ถูกเปิดตัว
สู่สายตาของสาธารณะชน ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ณ ห้อง Royal
Paragon Hall ชั้น 5 ห้างสรรพสินค้า Siam Paragon

พร้อมกับการปรับภาพลักษณ์สำคัญ ด้วยการเปลี่ยนชื่อรุ่นจาก MU-7 เดิม มาเป็น MU-X
(อ่านว่า มิว-เอ็กซ์) เพื่อหวังจะลบภาพเดิมของรถยนต์รุ่นก่อน ให้หมดไปจากใจลูกค้า
ด้วยสโลแกนที่ว่า “เอกสิทธิ์แห่งผู้นำ PRIVILEGE of the LEADER ” แถมยังดึง
คุณก้อง สหรัฐ สังคปรีชา หรือ ก้อง Nuvo มาเป็น Presenter ในภาพยนตร์โฆษณา
กันอีกด้วย เรียกได้ว่า เก็บความลับได้ดีจนถึงวันเปิดตัวเลยทีเดียว

บังเอิญว่า ผมได้รับบัตรเชิญจาก ISUZU Metro ให้ไปร่วมงาน ISUZU MU-X VIP DAY
ที่สโมสรราชพฤกษ์ (North Park Golf & Sports Club) จึงได้มีโอกาสสัมผัสและทดลองขับ
เจ้า MU-X ใหม่นี้ในระยะเวลาพอสมควร

ดังนั้น เราไปดูกันเลยดีกว่า ให้หายสงสัย ว่าตัวรถนั้นเป็นอย่างไร? และดีพอให้คุณ
เซ็นใบจองเป็นเจ้าของ หรือเปล่า?

MU-X ใหม่ มีความยาวตัวถัง 4,825 มิลลิเมตร กว้าง 1,860 มิลลิเมตร สูง 1,860
มิลลิเมตร (ในรุ่น 3.0 ลิตร) และสูง 1,830 มิลลิเมตร (ในรุ่น2.5 ลิตร) และมีระยะ
ฐานล้อยาว 2,845 มิลลิเมตร

เมื่อเปรียบเทียบกับ MU-7 รุ่นเดิม ที่ยาว 4,955 มิลลิเมตร กว้าง 1,800 มิลลิเมตร
สูง 1,805 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อ 3,050 มิลลิเมตร จะพบว่า MU-X ใหม่
จะมีตัวถังสั้นลงกว่า MU-7  130 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 60 มิลลิเมตร สูงขึ้น 55
มิลลิเมตร และระยะฐานล้อสั้นลง 205 มิลลิเมตร

เมื่อเทียบกับคู่แข่งสำคัญอย่าง Toyota Fortuner ซึ่งมีความยาว 4,705 มิลลิเมตร
กว้าง 1,810 มิลลิเมตร สูง 1,850 มิลลิเมตร และฐานล้อยาว 2,750 มิลลิเมตร
จะเห็นได้ว่า MU-X นั้นจะมีขนาดใหญ่กว่าทุกมิติ ยาวกว่า 120 มิลลิเมตร
กว้างกว่า 50 มิลลิเมตร สูงกว่า 10 มิลลิเมตร และฐานล้อยาวกว่า 95 มิลลิเมตร

และถ้าเทียบกับ Mitsubishi PajeroSport ที่มีขนาดตัวถังยาว 4,695 มิลลิเมตร
กว้าง 1,815 มิลลิเมตร สูง 1,840 มิลลิเมตร และฐานล้อยาว 2,800 มิลลิเมตร
แล้วนั้นจะยิ่งพบว่า MU-X ก็มีขนาดตัวถังใหญ่กว่าทุกมิติเช่นเดียวกัน ยาวกว่า
130 มิลลิเมตร กว้างกว่า 45 มิลลิเมตร สูงกว่า 20 มิลลิเมตร และฐานล้อ
ที่ยาวกว่ากันอยู่ 45 มิลลิเมตร

หรือต่อให้เปรียบเทียบกับ Chevrolet Trailblazer ที่ใช้พื้นฐานโครงสร้างตัวถัง
เดียวกัน ซึ่งมีความยาว 4,878 มิลลิเมตร กว้าง 1,902 มิลลิเมตร สูง 1,831 มิลลิเมตร
และระยะฐานล้อที่ 2,845 มิลลิเมตร ก็จะเห็นได้ว่ามีความต่างของขนาดตัวถังอยู่
ไม่มาก MU-X จะสั้นกว่า 53 มิลลิเมตร กว้างน้อยกว่า 42 มิลลิเมตร สูงกว่า 29
มิลลิเมตร และระยะฐานล้อที่เท่ากัน

นั่นเท่ากับว่า MU-X ใหม่จะมีขนาดตัวถังที่ยาวกว่า Fortuner และ Mitsubishi
Pajero Sport อยู่ประมาณ 12-13 เซนติเมตร แต่กว้างไล่เลี่ยกันอยู่ในระดับ
มากน้อยกว่ากันแค่ 4-5 เซนติเมตร และระยะฐานล้อที่ยาวกว่ากันอยู่นิดหน่อย
แต่จะเล็กกว่า Trailblazer อยู่นิดหน่อยเช่นกัน

เส้นสายภายนอกของโครงสร้างตัวถังหลักๆจะคล้ายกับฝาแฝดร่วมโครงการพัฒนา
อย่าง Chevrolet Trailblazer แต่จะมีชุดหัวตัดด้านหน้า และด้านท้าย รวมไปถึงซุ้มล้อ
เส้นสายของประตูด้านข้างที่ต่างกัน

เมื่อเทียบกับ MU-7 รุ่นเดิมแน่นอน มันดูกระฉับกระเฉงขึ้น ดูหนุ่มมากยิ่งขึ้น แต่ยัง
คงบุคลิกของ Isuzu ที่ทุกคนคุ้นเคยเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระจังหน้าที่เหมือนจะ
เป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ไปแล้ว เป็นแบบฟันเขี้ยว ยื่นออกมาข้างหน้า เมื่อไปเห็น
รถคันจริงแล้ว ไม่ได้ยื่นมากอย่างที่เห็นในภาพที่ถ่ายมากันก่อนหน้านี้ อาจจะด้วย
เพราะชุดชายกันชนล่างสีเทาดำ ทำให้มันดูยื่นออกมามากกว่าที่มันควรจะเป็น

ชุดไฟหน้ามีความแตกต่างจาก D-max อยู่ในระดับหนึ่ง ดีไซน์เส้นสายถูกปรับให้
โฉบเฉี่ยวมากขึ้นสังเกตจากเส้นไฟเลี้ยวจะตวัดขึ้นไปที่มุม รวมไปถึงวัสดุในตัวโคม
ที่เป็นโครเมี่ยมสีเงิน แทนที่จะเป็นสีดำที่ดูดุดัน ทำให้ภาพรวมของไฟหน้าดูโฉบเฉี่ยว
และหรูหรามากขึ้นกว่า D-max

ชุดกันชนล่าง ทำเป็นมุมเกือบๆ 45 องศาซึ่งดีไซน์ตรงนี้คล้ายๆกับ Honda CR-V Gen3
อยู่ไม่น้อย แปะแถบ Daytime Running Light ไว้บนไฟตัดหมอกข้างละ 4 ดวง แสงสว่าง
ก็ไม่จ้ามากครับ แต่ถ้าจะให้ดี ผมมองว่า เอา DRL เนี่ยไปไว้อยู่ในโคมไฟหน้าตรงแถบ
ไฟเลี้ยวยาวทั้งแถบจะดูหรูขึ้นอีกเป็นกองเลย

ซุ้มล้อด้านหน้าและด้านหลัง ถูกดีไซน์มาใหม่ให้แตกต่างจาก Trailblazer แต่ได้กลิ่นอาย
มาใจาก D-max คือจะเป็นซุ้มโค้งมนๆ รับกับล้อขนาด 17 นิ้วลาย 6 ก้านลายใหม่ในรุ่น
3.0 ลิตร และขนาด 16 นิ้ว 6 ก้าน เหมือนกับ D-max ในรุ่น 2.5 ลิตร

ด้านท้ายดีไซน์ฝาท้าย คิ้วขอบ และไฟท้ายให้ต่างจาก Trailblazer พอสมควร แต่!!! ทำไม
ไม่ยอมใส่ไฟท้ายแบบหลอด LED มาให้ทั้งๆที่ใน D-max รุ่น Spacecab Hilander ราคา
คันละ 7 แสนกว่าบาท ยังมีให้เลย เพราะถ้าใส่มาจะทำให้ชุดไฟท้ายสวยขึ้นอีกมาก

การเข้าออกทำได้ง่ายไม่มีปัญหาอะไร และไม่แตกต่างจากทั้ง D-Max กับ Trailblazer
มีมือจับโหนให้ที่เสา A ทั้งฝั่งคนนั่งและคนขับ แถมยังมีมือจับโหนบนเพดาน ที่กลุ่ม
พี่ J!MMY และ The Coup Team เรียกมันว่า ศาสดา (ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ยามคนขับ
ก่อความหวาดเสียว) มีมาให้ทั้ง 4 ตำแหน่ง เป็นแบบพับเก็บได้ Smooth ดี

กุญแจเป็นแบบ Smart Entry ในรุ่น 3.0 ลิตร เป็นรายแรกของกลุ่ม SUV/PPV นี้

ภายในจากเบาะหนังสีน้ำตาลเปลี่ยนมาเป็นเบาะหนังสีเบจออกขาว ผมมองว่าสีน้ำตาล
ก็ดูสวยดีและเป็นจุดเด่นด้วยซ้ำ แต่เข้าใจว่าอยากจะให้ดูแตกต่างจาก D-max และดูหรูขึ้น
เลยออกมาเป็นสีนี้ มันก็ดูโอเค ไม่แย่ครับแต่ดูแนวโน้มแล้ว ท่าทางจะเลอะง่ายแน่ๆ

ฟองน้ำที่ใช้ทำเบาะมีลักษณะแน่นขึ้น แข็งขึ้นจาก D-max ลายของเบาะจะเหมือนกัน
แต่ลักษณะการนูนขึ้นของลายจะต่างกันเล็กน้อย ไม่สังเกตอาจจะไม่รู้สึก เบาะนั่งฝั่ง
คนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง เบาะนั่งคู่หน้ายังคงเป็นทรงเดิมที่นั่งสบาย ไม่มีปัญหาใดๆ
โดยส่วนตัว ผมนั่งแล้วรู้สึกสบายกว่าเบาะคู่หน้าใน Pajero Sport แต่จะไม่กระชับเท่า

ตำแหน่งวางแขนบนแผงประตูหน้ากำลังพอดี มีการบุหนังเดินตะเข็บมาให้บริเวณข้างๆ
แต่สำหรับที่วางแขนบนคอนโซลกลางยังอยู่ในตำแหน่งที่สั้นไปนิด สวิตซ์กระจกหน้าต่าง
ไฟฟ้าก็เหมือนกันกับใน D-max

ส่วนประตูด้านหลังก็ทำได้ดีสำหรับคนทั่วไป เข้าออกพอใช้ได้ แต่สำหรับผู้สูงอายุแล้ว
ด้วยตัวรถที่สูงก็อาจจะเข้าออกได้ไม่สะดวกนัก เช่นเดียวกับ Trailblazer แต่จะมีช่องมือจับ
ที่เพิ่มเข้ามาบริเวณขอบตัวถังด้านใน ให้เราสามารถยึดโหนตัวขึ้นรถ ได้สะดวกขึ้นมากกว่า
รวมถึงมีมีจับสำหรับเบาะนั่งแถวที่สามเพิ่มขึ้นมาอีกฝั่งละจุดด้วย

สำหรับเบาะนั่งแถวที่สองและแถวที่สาม โครงสร้างเหมือนกันกับ Trailblazer จึงไม่แปลก
ที่จะมีปัญหา กับหมอนรองศีรษะทรง L คว่ำ เหมือนกัน เพราะมันมักจะดันต้นคอของคุณ
ทั้งในยามปกติ และเมื่อยกขึ้นใช้งาน

แต่สิ่งที่ค่อนข้างจะต่างกันคือ วัสดุและงานประกอบภายในที่จะเนี้ยบและ เรียบร้อยกว่า
Trailblazer อยู่พอสมควร วัสดุที่ใช้หุ้มเบาะจะดีกว่า ฝีตะเข็บการเย็บก็เรียบร้อยกว่า รวมถึง
วัสดุผ้าสักหลาด บนแผงด้านหลังเบาะแถวที่3 ก็ให้สัมผัสที่ดีกว่า

เบาะแถวที่สาม สำหรับคนไซส์ใหญ่แบบผม ซึ่งสูงประมาณ 174 เซนติเมตร ก็นั่งได้
หัวจะเกือบชนพอดีๆ นั่งในระยะสั้นๆ พอได้ครับ เข่าไม่ติดกับเบาะแถวที่สองแต่เกือบๆ
แต่จะให้ดีที่นั่งแถวสามนี้ สงวนสิทธิ์ไว้ให้เด็กๆ หรือคนตัวเล็กๆจะดีกว่า เพราะเบาะ
แถวสามไม่สามารถปรับเอนได้ พนักพิงค่อนข้างตั้งชันนิดหน่อย

การปรับพับเบาะก็เหมือนกันกับ Trailblazer ไม่มีผิดเพี้ยน เบาะแถวที่สองใช้ระบบ
One Action คือมีที่ปรับพับเบาะอยู่ บริเวณมุมซ้ายบนของพนักพิงหลัง ดึงขึ้นครั้งเดียว
ก็สามารถพับเก็บรวมกัน เข้าออกได้ มีที่ปรับพนักพิงหลังเบาะแถวที่ 2 ด้วย เบาะรองนั่ง
แถวที่สองก็เหมือนเช่นเคย คือค่อนข้างสั้น เป็นลักษณะเดียวกันหมดสำหรับรถกลุ่มนี้
เพราะต้องออกแบบให้สามารถปรับพับได้สะดวก จึงไม่สามารถเลื่อนหน้า-หลังได้
เหมือนกัน ทุกค่าย ส่วนพื้นที่วางขาก็มีมาให้เพียงพอครับ

ฝาท้ายเมื่อเปิดออกมา จะเห็นกับยางกันกระแทกเพิ่มมาให้จากที่ไม่มีใน Trailblazer
มีกล่องเก็บของด้านหลัง (เห็นหลายคนบอกว่าเหมือนกล่องเก็บงู ฮ่าๆๆ) คล้ายๆกับที่
อยู่ใน Pajero Sport ทำให้เวลาพับเบาะแถวสามและแถวสองจะทำให้พื้นราบเรียบไป
ทั้งหมด แต่กล่องจะทำมาไม่เต็มชิดพื้นที่ด้านข้างเพราะสามารถถอดออกได้ เพดานมี
ไฟส่องด้านหลัง มีที่เสียบชาร์จ 12V 120W และขอเกี่ยวตาข่ายใส่สัมภาระให้ ซึ่งมัน
สามารถถอดออกได้

ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังก็มีมาให้ครบ เย็นทั่วถึงทั้งคัน ดีไซน์เป็นช่องกลม
เหมือนใน Trailblazer ดูเหมือนช่องแอร์บรถเมล์ปรับอากาศ หรือรถตู้ Commuter แหม่ !
อุตส่าห์มาทีหลังน่าจะปรับปรุงดีไซน์นิดนึงเนอะ !! มีสวิตซ์แยกปรับความแรงลมสำหรับ
แอร์ตอนหลังมาให้ รวมถึงมีสวิตซ์เปิดปิดแอร์หลังพร้อมไฟแสดงสถานะที่คอนโซลหน้า

ภายในก็ยกชุดมาจาก D-max ทั้งหมด แต่มีการเปลี่ยน Trim หรือวัสดุตกแต่งเพิ่มเข้ามาเป็น
ลายไม้ ตอนแรกผมได้ยินว่าลายไม้ก็แอบเซ็งนิดนึง ว่าลายไม้แบบผิวมันๆ ดูแก่ๆ แบบใน
MU-7 ตัวแรกๆ จะกลับมาหลอกหลอนอีกหรือไม่ – -*

แต่เมื่อได้เห็นลายไม้ตัวจริงแล้ว ค่อนข้างรู้สึกดีกว่าที่คิดไว้มากๆๆๆๆ เพราะมันเป็นลายไม้
แบบผิวด้าน มี Texture ผิวสัมผัสที่ดี โทนสีไม่เข้มไม่อ่อน กำลังดี เหมือนงานเฟอร์นิเจอร์ไม้
ภายในบ้านยุคใหม่ๆ

รายละเอียดหลายๆอย่างมีการตกแต่งด้วยสีเงินเพิ่มเติมจาก D-max เช่นฐานเกียร์ โค้งซุ้มมาตรวัด
และปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย แต่…บริเวณปุ่มบนพวงมาลัยฝั่งขวา กลับใช้แผ่นสีเงินปิดไว้

โถ่ !!!! ทำไมไม่ใส่ Cruise Control มาให้ซักที นอกจากฟังก์ชั่นการใช้งานที่สะดวกมากขึ้นแล้ว
มันยังทำให้พวงมาลัยดูเต็มสัดส่วน และสวยมากขึ้นด้วย ทำไมยังไม่ใส่มาซักที ผมว่ารถระดับนี้
ควรจะมีมาให้ได้แล้ว

ชุดมาตรวัดก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น มีการใช้วัสดุโครเมี่ยมมาใช้รอบวงมาตรวัด
รายละเอียดตัวเลขและขีดบอกปริมาณต่างจาก D-max รวมไปถึงเข็มก็เปลี่ยนจากสีขาว มาเป็นสีแดง

มีการปรับปรุงช่องเก็บของด้านบนจากเดิมใน D-max ที่เปิดยากก็เปิดง่ายขึ้น

สำหรับรุ่น 3.0 จะมีเครื่องเสียง DVD พร้อมระบบนำทาง Navigation System หน้าจอ Touchscreen
ขนาด 7 นิ้วมาให้ ส่วนในรุ่น 2.5 หน้าตาคล้ายๆกัน แต่จะไม่มีระบบนำทาง ลำโพงทั้งหมด 8 ตัวแบบ
Live Surround Sound สามารถเชื่อมต่อรองรับระบบโทรศัพท์ไร้สาย Bluetooth มีช่อง USB และ 
AUX กับ CD/MP3 มาให้ทุกรุ่น

ทั้งรุ่น 2.5 DVD และรุ่น 3.0 ทั้งขับ 2 และขับ 4 จะมีจอกลาง แบบ Built-in บนเพดาน ขนาดหน้าจอ
10.5 นิ้วมาให้ จอจะเป็นแบบ Built-in มาให้บนเพดานทำให้ไม่ยื่นนูนออกมามากรบกวนสายตา แต่
ขอตินิดนึง ตรงที่ลักษณะของจอกลาง จะเป็นหน้าจอแบบมัน ทำให้เวลาดูภาพอาจจะสะท้อนได้
ถ้าให้ดีควรจะทำเหมือนจอด้านหน้า ซึ่งเป็นแบบด้าน

ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติพร้อมจอแสดงผล มีมาให้ในรุ่น 3.0 ส่วนในรุ่น 2.5 จะเป็นระบบ
ปรับอากาศแบบธรรมดา สวิชต์แอร์ แบบด่านเจดีย์สามองค์ ใข้งานไม่ยาก หากต้องคลำสวิชต์
ตอนขับรถไปด้วย

Option ระบบความปลอดภัยถือว่ามีให้ครบทั้งกล้องมองภาพขณะถอยจอดให้มาตั้งแต่รุ่น 2.5 DVD
ขึ้นไป ระบบเบรก ABS/EBD/BA มีมาให้ครบทุกรุ่น ถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS (ยกเว้นรุ่น 2.5 CD
จะไม่มี ความจริงแล้วรุ่น 2.5 CD จะมีขายเพียงสีเดียวคือสี เงิน น่าจะเน้นสำหรับขาย Fleet แต่
ถึงอย่างนั้นก็ตามควรจะมีถุงลมอย่างน้อยฝั่งคนขับ 1 ลูก เพราะนี่ก็ปี 2013 แล้วนะ!!! ) ส่วนระบบ
ควบคุมการทรงตัว (ESC) และระบบป้องกันการลื่นไถล (TCS) จะอยู่ในรุ่น 3.0 ทั้งสองรุ่น

ขุมพลังเป็น Diesel มีให้เลือก 2 ขนาดด้วยกัน คือ 4JJ1-TCX บล็อก 4 สูบ DOHC วาล์ว 2,999 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 95.4 x 104.9 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 17.3 : 1 ระบบระบายความร้อน
ด้วยน้ำ จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดตรงเข้าห้องเผาไหม้ Direct Injection ผ่านระบบ Common Rail
พร้อม Turbocharger แบบแปรผันครีบได้ VGS และ Intercooler กำลังสูงสุด 177 แรงม้า (PS)
ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที

และรหัส 4JK1-TCX บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,499 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 95.4 x 87.4
มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 18.1 : 1 ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดตรง
เข้าห้องเผาไหม้ Direct Injection ผ่านระบบ Common Rail พร้อม Turbocharger แบบแปรผัน
ครีบได้ VGS และ Intercooler เช่นเดียวกัน กำลังสูงสุด 136 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที

ทั้งสองรุ่นระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ แบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ 5 สปีด
พร้อมระบบ Revtronic สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เอง อัตราทดเกียร์เหมือนกันทั้งสองรุ่น

เกียร์ 1 – 3.520  
เกียร์ 2 – 2.042
เกียร์ 3 – 1.400
เกียร์ 4 – 1.000
เกียร์ 5 – 0.716
เกียร์ถอยหลัง – 3.224

ส่วน อัตราทดเฟืองท้ายจะต่างกัน รุ่น 3.0 จะอยู่ที่ 3.727 ส่วนรุ่น 2.5 จะอยู่ที่ 3.909

การทดลองขับจะมีผู้โดยสารทั้งหมด 4 คน ไซส์ใหญ่เกินมาตรฐาน 2 คนและไซส์ปกติอีก 2 คน
อัตราเร่งในเครื่อง 3.0 ลิตร จะพาคุณทะยานขึ้นไปแบบนุ่มๆ ไม่กระโชกโฮกฮาก มาในแนว
ผู้ใหญ่ที่กำลัง เริ่มจะโกรธลูกน้องที่ทำตัวไม่ดี บุคลิกการตอบสนองเหมือนเครื่อง 3.0 ลิตรที่อยู่ใน
D-max (ก็แน่ล่ะ มันเครื่องบล๊อกเดียวกันนี่นา)  

แต่…..ดูเหมือนจะมีการปรับปรุงบางอย่าง เสียงเครื่องยนต์ในรอบไม่เกิน 3,000 รอบ/นาที
และเสียงเทอร์โบ มีโทนเสียงที่ทุ้มต่ำลงและเสียงเบาลง แต่ถ้าเกิน 3,000 รอบ/นาทีขึ้นไป
 เสียงจะคล้ายเดิม ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าอยู่ที่การปรับจูนหรือไม่

ถ้าเทียบกับคู่แข่งอย่าง Fortuner 3.0ลิตร ในช่วงตีนต้น Fortuner จะดูเหมือนจะพุ่งไปกว่า
คันเร่งจะทันเท้าทันใจมากกว่า MU-X  แต่มีแนวโน้มว่าอัตราเร่ง 0-100 รวมไปถึง 80 – 120
กิโลเมตร/ชั่วโมง ของ MU-X มีแนวโน้มอาจจะเร็วกว่า Fortuner นิดหน่อย

การตอบสนองของคันเร่งในรุ่น 3.0 ลิตร ก็เซ็ตมาใกล้เคียงกับ Trailblazer คือมีลักษณะ
แป้นคันเร่ง ค่อนข้างแข็งกว่าที่อยู่ใน D-max ทำให้เวลาเหยียบลงไปจะพุ่งกระโจนไป
ไม่เท่า D-max ทำให้การตอบสนองไปอย่างนุ่มนวลกว่า ไม่กระชากมากนัก แต่ยังคงมี
แรงดึงอย่างต่อเนื่องจากเครื่องยนต์

การตอบสนองของเกียร์ถือว่ามีจังหวะเปลี่ยนเกียร์ไม่ได้ฉับไวทันทีนัก แต่ก็ยังแอบไวกว่า
Trailblazer อยู่หน่อยนึง เป็นเช่นนี้เหมือนกันทั้งรุ่น 3.0ลิตร และ 2.5ลิตร ทั้งโหมด D ปกติ
และโหมด + – การเปลี่ยนเกียร์ในบางจังหวะ Fortuner จะไวกว่า ตอบสนองดีกว่าเล็กน้อย

ส่วนอัตราเร่งของรุ่น 2.5 ลิตรนั้น แรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าคนที่ตัดสินเป็นใคร ถ้าคุณเป็น
คนที่ขับรถไม่เร็วนักน่าจะโอเคกับมัน การเดินทางที่ความเร็วทั่วไปทำได้ดี จังหวะเร่งมีการ
รอรอบหลงเหลืออยู่ แต่ก็ยังพาคุณทะยานไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ Boost ของ
เทอร์โบเริ่มมา ก็ต้องบอกว่าไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก ถือว่าแรงเหลือเฟือสำหรับลูกค้าทั่วไป
ที่ขับรถแบบปกติไม่เร็วนัก แต่สำหรับคนที่ชอบขับรถเร็วหรือเท้าหนักแล้ว ไปหา 3.0 ลิตร
น่าจะมีความสุขกับมันมากกว่าครับ

พวงมาลัยมีระยะฟรีต่างจาก D-max นิดหน่อย MU-X จะมีระยะฟรีมากกว่าพอๆกันกับ
Trailblazer ในแง่ของช่วงความเร็วเดินทางน้ำหนักในการหมุนพวงมาลัยจะกระชับกว่า
Trailblazer นิดนึง ในภาพรวมแล้ว พวงมาลัยดีกว่า Fortuner ดีพอๆกันกับ Pajero Sport
แต่มาในคนละ Feeling กัน เพราะรถกลุ่มนี้ด้วยตัวถังที่ใหญ่และน้ำหนักเยอะ การเซ็ต
พวงมาลัยต้อง Set มาเพื่อเผื่อการหักเลี้ยวในเวลากะทันหันด้วย แต่โดยส่วนตัวผมแล้ว
ผมชอบพวงมาลัย D-max มากกว่า

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ อิสระปีกนก 2 ชั้น คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
และช็อกอัพแก็ส ส่วนด้านหลัง เป็นแบบ 5 Link คอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง
พร้อมช็อคอัพแก๊ส

ช่วงล่าง MU-X สัมผัสแรกเมื่อออกสู่ถนนจะรู้สึกหนักแน่นกว่า D-max แต่ยังนุ่มกว่า
Trailblazer อยู่นิดนึง ช่วงความเร็วเดินทางไม่เกิน 120 ช่วงล่างจะตอบสนองไปตาม
ลักษณะของพื้นถนน ถ้าพื้นถนนเรียบรถก็จะนิ่งสนิท ซับแรงสะเทือนได้ดีมาก แต่ถ้า
ถนนลักษณะเป็นลอนคลื่นห่างๆกันการทำงานของระบบกันสะเทือน อาจทำให้คนที่
เมารถง่ายหรือเมารถเป็นประจำอาจจะรู้สึกมึนๆได้

แต่การ Setting ช่วงล่างแบบนี้เหมาะสมแล้วกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ใหญ่ที่ชอบความ
หนักแน่นและนุ่ม ด้วยช่วงล่างด้านหลังแบบ คอยล์สปริง พร้อมช็อคอัพแก๊ส จึงมีส่วน
ทำให้การกระเด้งกระดอนน้อยลงกว่า D-max เยอะพอสมควร แต่ถ้าเทียบกับฝาแฝด
ร่วมโครงสร้างวิศวกรรมอย่าง Trailblazer แล้ว ช่วงล่างของ MU-X ยังคงเน้นความ
นุ่มสบายในการขับขี่มากกว่า

ระบบห้ามล้อ คราวนี้ ให้มาเป็น ดิสก์เบรก พร้อมมีรูระบายความร้อน ครบทั้ง 4 ล้อ !
เบรกถ้าเปรียบเทียบกับคู่แข่ง PPV ด้วยกันในตลาดตอนนี้ทั้งหมด ระบบเบรกของ
MU-X มาในแนวแป้นตื้น นุ่มแต่แน่นการตอบสนองระบบเบรกถือว่าค่อนข้างดีและ
หน่วงความเร็วลงมาได้ดีที่สุดในกลุ่ม เทียบกับ D-max แล้วแป้นเบรกของ D-max
จะลึกกว่าต้องใช้แรงเหยียบมากกว่าถึงจะหน่วงความเร็วได้

ในเรื่องของผ้าเบรก D-max ที่มีลักษณะการหน่วงความเร็วสูงไม่ดี มีอาการเฟดเร็วนั้น
พอมาเป็น MU-X ไม่แน่ใจว่ายังมีอาการเดิมหรือไม่ ต้องขอละไว้ก่อน เพราะถนนที่
ทดสอบยังไม่สามารถทำความเร็วได้เกิน 140 เลยยังจับอาการเฟดไม่ได้ แต่ในภาพรวม
การเบรกทำได้ดีมากขึ้นกว่าเบรกที่อยู่ ใน D-max

การเก็บเสียง ความเงียบในห้องโดยสาร ทำได้ดีกว่าที่คิดในรุ่น 3.0 วิ่งที่ความเร็ว 120
กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ยังโอเคไม่ต้องเพิ่มเสียงพูดมากนัก เก็บเสียงที่ซุ้มล้อหลังได้ดี แต่
ในรุ่น 2.5 ลิตร เสียงเครื่องจะแอบดังครางเข้ามามากกว่ารุ่น 3.0 ลิตร อยู่นิดหน่อย การ
เก็บเสียงเมื่อเทียบ กับคู่แข่งถือว่าทำได้ดีที่สุดในกลุ่ม แต่กระนั้นก็อย่าได้คาดหวังให้
เงียบแบบ Nissan Teana เพราะรายนั้นเก็บเสียงได้ดีมาก แต่ในระดับรถแบบนี้ถือว่า
ทำได้ดีพอสมควรครับ

แนวโน้มความประหยัดน้ำมัน ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกอะไรได้ แต่มีเพียงการคาดการณ์
ว่ารุ่น 3.0 จะประหยัดพอๆกับ รุ่น 2.5 สาเหตุนั้นเนื่องมาจากน้ำหนักตัวรถที่มากประมาณ
2 ตัน บวกกับรถเป็นแบบ 7ที่นั่ง น้ำหนักจะค่อนข้างมาก ทำให้เครื่อง 2.5 ลิตร ที่ไม่แรงมาก
จะรับภาระน้ำหนักเยอะ อาจจะต้องกดคันเร่งมากกว่ารุ่น 3.0 ทำให้อาจจะประหยัดน้อยกว่า
หรือพอกัน อ้างอิงจากตัวเลขส่วนใหญ่จากผู้ใช้ D-max 4 ประตูยกสูงเกียร์ออโต้ทั้ง 2.5 และ
3.0 จะทำอัตราสิ้นเปลืองได้ค่อนข้างใกล้เคียงกันครับ

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
 Trailblazer มีเหนื่อย Pajero Sport มีสะเทือน
แต่ Fortuner อาจจะเหมือนแค่โดนมดกัด !!!!

ต้องยอมรับว่า Isuzu ตั้งใจทำ MU-X ออกมาได้ในระดับที่ดีกว่าเดิมมาก เมื่อเทียบกับ
MU-7 เดิม เพราะคราวนี้ Isuzu ต้องการเอาใจทั้งกลุ่มลูกค้าดั้งเดิมของตน รวมทั้ง กลุ่ม
ลูกค้าใหม่ ที่อยากได้รถยนต์อเนกประสงค์ SUV/PPV และไม่เคยอุดหนุน Isuzu มาก่อน

ใครที่เคยนั่งหรือเคยขับ MU-7 ตัวเก่าขอให้ลบภาพเดิมทิ้งซะ เพราะมันดีขึ้นมากๆในด้าน
การขับขี่ อาการนุ่ม ย้วย ยวบยาบหายไปพอสมควร ตัวรถหนักแน่น เฟิร์มขึ้นมากเมื่อเทียบ
กับตัวเก่า แต่ยังมีความนุ่มปนๆอยู่ เครื่องยนต์ เกียร์หายห่วง ทำงานได้ดีสัมพันธ์กันอาจจะ
ได้ความประหยัดพ่วงมาด้วย

แต่สิ่งที่ยังคงเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อ ยังคงเป็นเรื่องของดีไซน์ภายนอก ยังไม่ค่อย
หลุดออกจากกรอบเดิมๆของ Isuzu มากนัก ภาพรวมทั้งคันดูไม่เด่นเท่าคู่แข่ง เดินทางสายกลาง
มากไปหน่อย รวมถึงสิ่งที่ควรจะมีกลับยังไม่มีเช่น Cruise Control ไฟท้าย LED  แต่สิ่งที่ให้มา
ก่อนคนอื่นก็มี เช่น ระบบ Smart Entry  

ภายในที่ใช้วัสดุค่อนข้างโอเค การกัดลายของพลาสติกในรถละเอียด เก็บงานต่างๆรอยต่อทำได้ดี
เนี้ยบ ฝีการเย็บรอยเย็บเบาะค่อนข้างเรียบร้อย แต่ปัญหาที่มีก็ยังคงเหมือนๆกับ Trailblazer ใน
เรื่องของการดีไซน์เบาะแถวสาม และช่องแอร์บนเพดานที่ยังดูไม่ลงตัว การขับขี่ที่ค่อนข้างเป็น
จุดเด่น ณ ตอนนี้ ทำได้ดี การเก็บเสียงทำได้ดีมากๆในรถระดับนี้

เรื่อง ศูนย์บริการหายห่วง รวมถึง Service Mind ของพนักงานที่จะทำให้คุณประทับใจได้ แต่
สุดท้ายท้ายสุดก็ยังคงมาตกในเรื่องของดีไซน์ภายนอกที่อาจจะต้องเปิดใจดูนานหน่อย ถึงจะ
โอเคกับมัน

ถ้าเทียบกับคู่แข่งอย่าง Toyota Fortuner ถึงแม้จะออกมามีอายุตลาดถึง 9 ปีแล้ว แต่ดีไซน์ทั้ง
ภายนอกและภายในถือว่าลงตัวที่สุดในกลุ่ม ยิ่งปรับโฉมมาจนถึงปลายตลาดแล้ว ทุกอย่างถูก
ปรับปรุงให้ดีขึ้นทั้งเบรก ช่วงล่าง และวัสดุภายใน เครื่องเกียร์หายห่วง ทำงานตอบสนองดี
ตีนต้นไวแต่ปลายแผ่วเล็กน้อย ถ้านับแต่การใช้งานปกติ ไม่ได้ใช้งานความเร็วระดับเกินกว่า
140 – 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป มันทันใจไวใช้ได้ อัตราสิ้นเปลืองไม่ขี้เหร่ ช่วงล่างออก
ไปทางกระด้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แข็งอะไรมากมาก ศูนย์บริการดี ราคาขายต่อดีมากๆ
ลองดูราคามือสองที่ขายกัน ราคายังค่อนข้างสูง เบาะนั่งทุกอย่างค่อนข้างโอเค แต่มีการ
พับเก็บเบาะ แถวที่สามที่ยกขึ้นไปค่อนข้างแปลกๆ กินพื้นที่ค่อนข้างมาก

ราคาขายค่อนข้างจะสูงกว่าคู่แข่งอื่นๆ ยิ่งเทียบกับ Option ด้วยแล้วจ่ายแพงกว่าพอสมควร
แต่ก็แลกกันด้วยกับความลงตัว และการปรับปรุงมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ถือว่าค่อนข้างสมบูรณ์
ยกเว้นเรื่องการตอบสนองของพวงมาลัยที่ยังสู้ MU-X ไม่ได้

ส่วน Mitsubishi Pajero Sport เด่นที่ช่วงล่างที่ดี การขับขี่ที่ดี บวกกับราคาขายที่ไม่สูงมาก
ทำให้ยอดขายยังคงไปได้ค่อนข้างดี แต่มาถึงปลายตลาดแล้วก็ยังขาดระบบช่วยเหลือด้าน
ความปลอดภัยไปบ้างเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่ด้วยการที่มันขับดี ราคาไม่แพง ก็นับว่าได้ใจ
ใครไปหลายๆคน ภายในที่เด่นในเรื่องของเบาะโดยสารตอนที่สองและตอนที่สาม การ
พับเก็บ ที่ถึง ณ วันนี้ ยังทำได้ดีที่สุดในตลาด แต่หลังๆเริ่มตัด Option บางอย่างออกไปเช่น
เบาะแถวที่สองเลื่อนหน้า-หลังได้ ก็อาจจะทำให้หลายๆคนลังเล แต่โดยภาพรวมถือว่าเป็น
รถยนต์ที่ สมเหตุสมผลกับราคาที่จ่ายออกไป

ด้าน Chevrolet Trailblazer เด่นในด้านดีไซน์ภายนอกที่มีความลงตัว เท่ห์ กินกันไม่ลงกับ
Fortuner แต่ภายในยังทำได้ไม่ค่อยสมราคาเท่าที่ควร วัสดุภายในยังต้องมีการปรับปรุงทั้ง
การกัดลายพลาสติกที่ค่อนข้างหยาบ หนังที่ใช้หุ้มเบาะการเย็บยังไม่ค่อยเนี้ยบเท่าไหร่
รวมถึงระบบความบันเทิงที่ต้องซื้อรุ่นท๊อปสุด LTZ1 เท่านั้นถึงจะได้เครื่องเล่น DVD
จอหน้ามาตัวเดียว แต่ทั้งหมดทั้งมวล ถูกชดเชยความดีงาม ด้วยระบบความปลอดภัยเต็ม
รูปแบบ มากที่สุดในรถระดับนี้ ทั้ง ESP TCS HSA HDC PBA CBC เรียกว่าจัดเต็มมากๆ
มีมากที่สุดในรถระดับนี้ ก็ทำให้มันมีความน่าซื้ออยู่ และกำลังจะมีเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด
Duramax 2.8 ลิตร 200 แรงม้า (PS) มาเสริมทัพ ช่วงปลายปีนี้ ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ยัง
น่าสนใจ สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วงคือศูนย์บริการ รวมถึงวิธีการแก้ปัญหาการประกอบของตัวรถ
ต่างๆ ที่ยังต้องปรับปรุงอยู่

ถ้าคิดจะซื้อแล้ว ซื้อรุ่นไหนดี ??

MU-X แบ่งรุ่นย่อยออกมา 4 รุ่น คือ
2.5A/T CD 4×2             1,014,000 บาท
2.5A/T DVD 4×2           1,189,000 บาท
3.0A/T DVD NAVI 4×2   1,289,000 บาท
3.0A/T DVD NAVI 4×4   1,389,000 บาท

รุ่นที่คาดว่าจะขายดีน่าจะเป็น 3.0A/T DVD NAVI 4×2 เพราะอุปกรณ์ความปลอดภัย
ESC,TCS และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาค่อนข้างครบ เทียบกับคู่แข่งด้วยกันแล้ว
ถือว่า Option ที่ได้ค่อนข้างสมเหตุสมผล กับราคาที่จ่ายออกไป ได้เครื่องที่ค่อนข้างแรง
แต่มีแนวโน้มว่าประหยัดเท่าๆกันกับเครื่อง 2.5 แต่ก็ต้องแลกมาด้วยอัตราภาษีทะเบียน
ประจำปีที่ค่อนข้างสูงกว่าพอควร

อีกรุ่นก็น่าจะเป็น 2.5A/T DVD 4×2 อุปกรณ์หลายๆอย่างถูกตัดออก แต่ด้วยราคาค่าตัว
ที่ถูกลงมาอีก 100,000 บาท จากรุ่น 3.0 ขับ 2 ก็ทำให้ตัวมันน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะ
เบาะก็จะได้เบาะหนังและปรับไฟฟ้าด้านคนขับเหมือน 3.0 จอกลาง 10.5 นิ้วก็ยังคงได้
แต่จะไม่มีระบบนำทาง Navigation System เครื่องปรับอากาศ จะเป็นแบบธรรมดา

แต่สุดท้ายแล้ว ก็ต้องยังคงต้องย้ำเตือนกันเสมอว่า ซื้อรถให้ทดลองขับด้วยตัวเอง !!!
อย่าเชื่อรีวิว หรือคนนู้นคนนี้พูดอย่างเดียว เพราะทุกคนมีความชอบไม่เหมือนกัน
คนนึงชอบ อีกคนนึงเฉยๆ อีกคนนึงไม่ชอบ ก็อาจจะเป็นไปได้

ไปลองขับด้วยตัวคุณเองหลังอ่านรีวิว จะดีที่สุดครับ!

———————///———————–

ขอขอบคุณ / Special Thanks to
บริษัท ISUZU METRO จำกัด
https://www.facebook.com/isuzumetro
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ อย่างดียิ่ง

—————————————————–

MOO Cnoe (Teerapat Archawameteekul)
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
2 พฤศจิกายน 2013

Copyright (c) 2013 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
November 2nd,2013

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE