ผมกำลังนั่งอยู่บนเครื่องบิน 787 Dreamliner ของสายการบิน ANA เที่ยวบิน
NH847 บินตรงจากสนามบิน Haneda กลับมายังกรุงเทพมหานคร

เป็นการปิดฉากทริปเดินทางเยือนญี่ปุ่นรอบที่ 4 ของปี 2014…ปีที่ผมเดินทาง
ไปลองขับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ถึงแดนอาทิตย์อุทัย ถี่ยิบที่สุดตั้งแต่เกิดมา บ่อย
ในระดับใกล้เคียงกับความถี่ในการบินไปประชุมของผู้บริหารค่ายรถยนต์ฝั่ง
ญี่ปุ่นทั่วไป ถี่จนคนรอบข้างพร้อมใจกันพูดว่า “มึงไปซื้อคอนโดฯ อยู่ที่นั่น
เลยเหอะ”!

เพียงแต่คราวนี้ ออกจะพิเศษสักหน่อย เพราะว่า คราวนี้ ผมเดินทางร่วมกับคุณกรกิจ
หรือคุณโก้ จาก Manager.co.th คุณพี่ตาเล็ก PR ใหญ่ของ Nissan Motor
Thailand ร่วมทริปไปด้วยกัน รวมทั้งสิ้นแค่ 3 คนเท่านั้น เพื่อไปร่วมเข้าชมงาน
Nismo Festival ครั้งที่ 17 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน 2014 จัดขึ้น
ณ สนาม Fuji Speedway ใกล้ภูเขาไฟ Fuji อันถือเป็นมหกรรมประจำปีที่ทาง
Nissan กับ Nismo จะขนเอาสารพัดรถแข่ง รถยนต์รุ่นต่างๆ ของ Nissan มา
ให้ชมกันละลานตา เพื่อเปิดโอกาสให้บรรดาสมาชิกชาว “ติ่ง Nissan” ทั้งหลาย
ได้มาทำกิจกรรมร่วมกันกับครอบครัวของตน เป็นกิจกรรมที่น่านำมาจัดที่บ้านเรา
อย่างมาก….

และในตารางทริปของเรา นอกเหนือจากร่วมชมงานดังกล่าวแล้ว เรายังมีโอกาส
ได้ลองขับ รถยนต์ Nissan เวอร์ชัน Nismo ครบทั้ง 5 รุ่นหลัก ได้แก่ GT-R
Nismo , Fairlady Z Nismo (370Z),Juke Nismo,Note Nismo และ
March Nismo โดยแต่ละคันที่เราลองขับ เป็นรุ่น Top จำพวก RS ทั้งสิ้น

ใครที่เป็นแฟนพันธ์แท้ของ Nissan ดี คงจะรับรู้ได้ถึงความ “ขลัง” ของแบรนด์
Nismo กันอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่รู้จักมาก่อนเลย ผมคงต้องปูพื้นคร่าวๆ ให้
คุณผู้อ่านได้ทราบกันตรงนี้ก่อนว่า…

Nismo คืออะไร?

Nissan Motorsports International Co., Ltd. (NISMO) ก่อตั้งในเดือน
กันยายน 1984 ในฐานะ บริษัทเพื่อการสนับสนุนกิจกรรมด้าน Motor Sport ของ
Nissan ในทุกรูปแบบ รวมทั้งการพัฒนาชุดแต่ง อุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มสมรรถนะ และ
ความสวยงามให้กับรถยนต์ในเครือ Nissan ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1985 หรือเมื่อ 30 ปี
พอดี (และเพิ่งมีการฉลอง ด้วยการจัดงาน Nismo Festival ครั้งที่ 17 ไปหมาดๆ)

ถ้าอธิบายให้ง่ายก็คือ หาก Toyota มี TRD แล้ว…Nissan ก็มี Nismo นั่นเอง!

เข้าใจตรงกันนะ!?

เมื่อปี 2012 เริ่มมีการพูดคุยกันภายใน Nissan ว่า น่าจะนำแบรนด์ Nismo มาส่งเสริม
ให้เกิดศักยภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2013 พนักงานกว่า 180 คน
ของ Nismo จึงได้ย้ายเข้าไปยังสำนักงานแห่งใหม่ Tsurumi Operations Center
ใกล้กับโรงงาน Yokohama Plant Area No.3 ของ Nissan ซึ่งเป็นทั้งศูนย์รวมของ
งานวิจัย ออกแบบและพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูงและบรรดารถแข่ง ที่ดัดแปลงจากพื้นฐาน
ของรถยนต์ Nissan รุ่นปกติที่ทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน

เป้าหมายของ Nissan ก็คือ เริ่มผลักดันแบรนด์ Nismo อย่างจริงจังทั้งในตลาดญี่ปุ่น
บ้านตัวเอง และตลาดต่างประเทศ ยกระดับการรับรู้แบรนด์ Nismo ให้โด่งดังเพิ่มขึ้น
และเพิ่มโอกาสในการทำรายได้จากการจำหน่ายอุปกรณ์นตกแต่ง ไปจนถึงรถยนต์
สมรรถนะสูงรุ่นพิเศษ ที่ดัดแปลงจากรุ่นมาตรฐาน

นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราได้มีโอกาสลองขับรถยนต์ Nissan เวอร์ชัน Nismo ครบทั้ง
5 รุ่นหลัก ในครั้งนี้

แต่เนื่องจากว่า Juke Nismo RS เราได้ทดลองขับไปแล้ว เมื่อครั้งที่รถคันนี้ ลงเรือมาถึง
เมืองไทย พร้อมกับ Juke R และทำบทความให้คุณๆได้อ่านกันแล้ว ส่วน GT-R และ
370Z จะถูกแยกออกไปอีกบทความหนึ่ง ดังนั้น นับจากนี้ สิ่งที่คุณจะได้อ่านกัน คือ
รายละเอียดและข้อมูลของ 2 พี่น้องรุ่นเล็กสุดร่วมพื้นตัวถัง V-Platform กันก่อนเป็น
ประเดิม

Nissan MARCH NISMO S

March Nismo เปิดคัวครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2013 พร้อมกับ Fairlady Z Nismo
ถือเป็นการเปิดตัวพร้อมกับรุ่นปรับโฉม Minorchange ของ March ใหม่ เวอร์ชันญี่ปุ่น
ไปด้วยในคราวเดียว

มิติตัวถังของ March Nismo S ไม่ได้แตกต่างไปจาก March ปกติมากนัก คงความยาว
ไว้ที่ 3,870 มิลลิเมตร กว้าง 1,690 มิลลิเมตร สูง 1,495 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,450
มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถนน (Ground clearance) 120 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวถังรวม
ของเหลว 1,285 กิโลกรัม แต่ถ้าไม่รวมก็หนักแค่ 1,110 กิโลกรัม ถังน้ำมันจุ 41 ลิตร

ในตลาดญี่ปุ่น Nissan March Nismo จะมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย 2 พิกัดเครื่องยนต์ ได้แก่
March Nismo กับ March Nismo S เห็นรหัสแบบนี้ ไม่ต้องบอก คุณก็คงรู้ว่า รุ่นที่แปะ
ตัวอักษร S ไว้ด้านหลังชื่อ จะต้องแรงกว่ารุ่นธรรมดา อย่างมิต้องสงสัย

ภายนอกของ March Nismo แตกต่างจาก March รุ่นมาตรฐาน ด้วยชุด Aero Part
ในแบบกำลังดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เปลือกกันชนหน้า ออกแบบขึ้นใหม่ มีช่องติดตั้ง
ไฟ Daytime Running Light LED มาพร้อมสปอยเลอร์ชิ้นหน้า สีดำ คาดแถบสีแดง
สปอยเลอร์ด้านข้าง และสปอยเลอร์ด้านหลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED มีใบปัด
น้ำฝนหลังพร้อมที่ฉีดน้ำมาให้ทุกรุ่น (March รุ่นถูกสุดในไทย ไม่มีนะคร้าบ ต้องเป็นรุ่น
เกียร์ CVT ขึ้นไป)  และกรอบกระจกมองข้าง พร้อมไฟเลี้ยว สีแดง Metaalic ล้อแม็ก
Nismo ลายสปอร์ต 5 ก้าน ขนาดยาง 205/45 R16 ใหญ่กว่า March ปกติ ชัดเจน

สีตัวถังมีให้เลือก 3 สี คือ Brillant White Pearl (QAB Coat แบบ 3P) อันเป็นสี
เอกลักษณ์เฉพาะสำหรับรถยนต์ในกลุ่ม Nismo ทุกคันนับจากนี้ รวมทั้งสีเงิน Brilliant
Silver Metallic (K23) และ สีดำ Pure Black (G42)

การเข้า – ออกจาก ห้องโดยสาร ไม่ได้แตกต่างไปจาก March รุ่นมาตรฐานมากนัก
เพียงแต่คุณอาจต้องระวังปีกเบาะรองนั่ง ที่สูงขึ้นมา เพื่อช่วยล็อกตัวผู้ขับขี่ ร่วมกับ
พนักพิงหลังของเบาะนั่ง Bucket Seat ซึ่งไม่มีการดันศีรษะผมมากไปใดๆทั้งสิ้น

หากเป็น March Nismo รุ่นมาตรฐาน แผงควบคุมกลาง จะเปลี่ยนมาเป็นแบบเดียว
กับรุ่นปรับโฉม Minorchange ช่องแอร์ตรงกลางจะเป็นแบบสี่เหลี่ยม มีเครื่องปรับ
อากาศแบบอัตโนมัติ Digital มาให้ด้วย เข็มขัดนิรภัยทั้ง 2 ฝั่ง ปรับระดับสูง – ต่ำ
ไม่ได้ เบาะนั่งจะเป็นแบบมาตรฐาน ของรุ่นท็อป พนักศีรษะเป็นแบบหนา ส่วน
พวงมาลัย เป็นแบบ 3 ก้าน หน้าตาเหมือนกับถอดพวงมาลัย Fairlady Z (370Z)
มาใส่ทั้งดุ้น วงพวงมาลัยหุ้มด้วยหนัง ตัดสลับกับผ้าหนังกลับสังเคราะห์ Alcantara
พร้อมกับแถบสีแดง Red Mark สไตล์เดียวกับพวงมาลัยรถแข่ง เพื่อให้รู้ตำแหน่ง
ตั้งตรงของพวงมาลัยขณะเลี้ยว

แต่พอเป็น March Nismo S คุณจะได้ข้าวของเพิ่มขึ้นจากเดิม ไม่ว่าจะเป็น เบาะนั่ง
Nismo Sport Bucket Seat Seat หุ้มด้วยผ้า Suede  สีดำ ตัดสลับกับ สีแดง
พร้อมสัญลักษณ์ Nismo ที่มีปีกเบาะรองนั่ง และปีกข้างสูงขึ้น ล็อกตัวผู้ขับขี่ ในขณะ
เข้าโค้งได้ดีขึ้น แต่ฟองน้ำ นุ่มแน่นปานกลาง พนักศีรษะไม่ดันกบาลผมเลยแม้แต่น้อย

มาตรวัความเร็ว เพิ่มจาก 180 เป็น 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง (เผื่อเอาไปปรับปรุงสมรรถนะ
ให้แรงขึ้น มาตรวัดก็จะต้องรับรับความเร็วที่สูงขึ้นตามไปด้วย) พร้อมมาตรวัดรอบสีแดง
Nismo เป็นพิเศษ แป้นคันเร่ง เบรกและคลัตช์จะเปลี่ยนเป็นแบบอะลูมีเนียม นอกจากนี้
เข็มขัดนิรภัยฝั่งคนขับ จะปรับระดับสูง – ต่ำได้ เพิ่มมาให้ เป็นพิเศษ เพียงฝั่งเดียว!!
(ทำไมไม่ติดตั้งมาให้ครบทั้ง 2 ฝั่ง จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว)

แต่พอเป็น March Nismo S คุณจะได้ข้าวของเพิ่มขึ้นจากเดิม ไม่ว่าจะเป็น เบาะนั่ง
Nismo Sport Bucket Seat Seat ที่มีปีกเบาะรองนั่ง และปีกข้าง หนาขึ้น ล็อกตัว
ผู้ขับขี่ในขณะเข้าโค้งได้ดีขึ้น แต่ฟ้องน้ำ นุ่มแน่นปานกลาง พนักศีรษะไม่ดันกบาลผมเลย
แม้แต่น้อย ผ้าหุ้มเบาะเป็นสีดำ อย่างดี เย็บด้วยด้ายสีแดง เป็นเบาะที่นั่งสบายกว่าที่เห็น

มาตรวัความเร็ว เพิ่มจาก 180 เป็น 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง (เผื่อเอาไปปรับปรุงสมรรถนะ
ให้แรงขึ้น มาตรวัดก็จะต้องรองรับความเร็วที่สูงขึ้นตามไปด้วย) พร้อมมาตรวัดรอบเครื่องยนต์
Nismo สีแดงแปร๊ด พวงมาลัย 3 ก้าน หน้าตาเหมือนกับถอดพวงมาลัยของ Fairlady Z
มาใส่ทั้งดุ้น วงพวงมาลัยหุ้มด้วยหนัง ตัดสลับกับผ้าหนังกลับสังเคราะห์ Alcantara
พร้อมกับแถบสีแดง Red Mark สไตล์เดียวกับพวงมาลัยรถแข่ง เพื่อให้รู้ตำแหน่งตั้งตรง
ของพวงมาลัยขณะเลี้ยว

March Nismo วางขุมพลังเดิม HR12DE บล็อค 3 สูบเรียง DOHC 12 วาล์ว
1,198 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 78.0 x 83.6 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.2 : 1 
หัวฉีด Multi-Point ควบคุมด้วยกล่องสมองกล ECCS 32 Bit เรียงลำดับการจุด
ระเบิด 1 – 2 – 3 มีระบบแปรผันวาล์ว CVTC (Vontinuously Valve-Timing
Control) 79 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.8 กก.-ม.ที่
4,400 รอบ/นาที ซึ่งก็คือเครื่องเดียวกับ Nissan March ที่ขายอยู่ในบ้านเรา
ทุกประการ แถมยังจับคู่กับ เกียร์อัตโนมัติ CVT ที่ให้อัตราทด เหมือนเดิมเป๊ะ

ส่วน March Nismo S จะถูกยกระดับความแรงเพิ่มขึ้นโดยเปลี่ยนมาใช้ขุมพลัง
รหัส HR15DE บล็อค 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี กระบอกสูบ
x ช่วงชัก 78.0 x 78.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 หัวฉีด Multi-
Point คุมด้วยกล่องสมองกล ECCS 32 Bit ที่ถูกจูนโปรแกรมใหม่โดย Nismo
มีระบบแปรผันวาล์ว CVTC (Continuously Valve-Timing Control) และ
เปลี่ยนชุดท่อไอเสียใหม่ และถูกจูนโดย Nismo ให้แรงขึ้นไปเป็น 116 แรงม้า
(PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.9 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที

ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ มีอัตราทดเกียร์ดังนี้
เกียร์ 1…………………………..3.727
เกียร์ 2…………………………..2.044
เกียร์ 3…………………………..1.392
เกียร์ 4…………………………..1.029
เกียร์ 5…………………………..0.820
เกียร์ถอยหลัง……………………3.545
อัตราทดเฟืองท้าย……………….4.066

นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงโครงสร้างตัวถัง ทั้งบริเวณจุดยึดช่วงล่างด้านหน้า
และด้านหลัง และโครงสร้างบริเวณอุโมงค์ด้านหลังของเบาะหลัง เสริมด้วย
Crossbar บริเวณบั้นท้าย ปรับปรุงระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สัน
สตรัต ด้านหลังแบบทอร์ชันบีม ด้วยการเพิ่มเหล็กกันโคลงหน้าและหลัง

รวมทั้งอัพเกรดระบบเบรกให้รองรับกับสมรรถนะมากขึ้น อีกทั้งยังปรับปรุง
อัตราทดเฟืองพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า
EPS (Electric Power Steering) ให้ตอบสนองไวขึ้น

ในช่วงออกตัว อัตราเร่งที่มีอยู่ ส่งขึ้นมาให้ผมสัมผัสรับรู้ได้ว่า หากเทียบกับ
March รุ่นมาตรฐาน 1.2 ลิตร เกียร์ธรรมดา แน่นอนครับ March Nismo S
แรงขึ้นกว่ากันอย่างชัดเจน เพียงแต่ว่า เมื่อตัดการเปรียบเทียบข้างต้นทิ้งไป
พละกำลังที่ March Nismo S มีให้คุณนั้น มันก็ไล่เลี่ยกันกับ รถเก๋งที่ติดตั้ง
เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เชื่อมด้วยเกียร์ธรรมดา นั่นแหละ

ในช่วงออกตัว รถจะยังไม่มีเรี่ยวแรงมากนัก อาจต้องไต่ขึ้นไปจนถึงระดับ
3,000 รอบ/นาที จึงจะสัมผัสแรงดึงที่เพิ่มขึ้นจาก March รุ่นปกติ ชัดเจน
มากๆ แต่บนพื้นลื่นๆ แม้ว่าจะเข้าเกียร์ 2 แต่ถ้าเหยียบคันเร่งลงไปจนจมมิด
ล้อคู่หน้า ก็หมุนฟรีทิ้งได้เหมือนกัน

คันเกียร์ธรรมดานั้น Shift feeling ก็ยังแอบกลวงแบบ March ปกติ แต่
ดีกว่ารุ่นมาตรฐานนิดหน่อย ต่างกันแค่กระจึ๋งเดียวเท่านั้น ไม่เข้าใจว่า ไหนๆ
จะทำรถคันเล็กขับสนุกทั้งที แค่ Shift Feeling นี่จะปรับให้มันกระชับขึ้น
มากกว่านี้ ไม่ได้เลยหรืออย่างไร? อย่างน้อย ขอคันเกียร์ธรรมดา ที่เข้าได้
กระชับ แม่นยำ แบบ Sunny B14 รุ่นโบราณกาล ก็พอแล้ว

พวงมาลัย ตอบสนองดีขึ้น ไวขึ้น และหน่วงมือขึ้นก็จริง แต่ไม่มากอย่างที่คิด
ทั้งที่ผมคาดหวังว่าจะเห็นความหนืดเพิ่มจากเดิมมากกว่านี้ การตอบสนองยัง
ไม่ค่อยต่อเนื่องเป็นธรรมชาติ ในสไตล์เดียวกับ March รุ่นปกติ ภาพรวมต้อง
ถือว่า response ดีขึ้นนิดหน่อย แต่ยังไม่มากนัก

ช่วงล่าง เห็นได้ชัดเจนเลยว่า ลดอาการโยนตัวขณะเข้าโค้งจิกๆ ลงไปได้เยอะ
แต่ด้วยพื้นฐานของตัวรถ ซึ่งมีจุดศนย์ถ่วงระดับกลางๆ แต่หลังคาสูง แถมยังมี
บั้นท้ายที่สั้นกุด อาจส่งผลให้ความมั่นใจในการเข้าโค้งยังไม่มากพอ สำหรับ
คนที่ชอบรถเล็กๆ วิ่งดุ๊กๆ ในสนาม น่าจะชื่นชอบ แต่สำหรับคนที่อยากได้
ความมั่นใจแบบนิ่งสนิท ผมว่า หันไปหา Note Nismo S จะดีกว่า

การปรับปรุงระบบเบรก ส่งผลให้เห็นอย่างชัดเจนครับ เหยียบนิดเดียว รถก็
ชะลอและหน่วงความเร็วให้อย่างดี ยิ่งถ้าเหยียบลงไปบนแป้นเบรกฉับพลัน
March Nismo จะเบรกทิ่มจึ๊ก! ลงไปเลย แต่สัมผัสได้ว่า การถ่ายน้ำหนัก
ของตัวรถ ทำได้ดีเกินคาด แถมน้ำหนักแป้นเบรก ยังเบากำลังดี ไม่เบาโหวง
หรือหนืดหนักเกินไป เซ็ตมาได้กำลังดี ข้อนี้น่าชมเชย

Nissan NOTE NISMO S

หลังจากที่ March Nismo ออกสู่ตลาดไปในปี 2013 และมียอดขายน่าพอใจ Nissan
จึงต่อยอดไปอีกขั้น เพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้าที่อยากได้ความแรงระดับเดียวกัน แต่ต้องการให้
มีพื้นที่ด้านหลังรถที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ใช้สอยในชีวิตประจำวันได้อย่างอเนกประสงค์ มากขึ้น
Nismo จึงประกาศถึงการนำ Note มาปรับปรุงเป็นเวอร์ชันแรงพิเศษในชื่อ Note Nismo
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2014 โดยวางกำหนดเริ่มออกจำหน่ายจริง เมื่อ 10 ตุลาคม 2014
ที่ผ่านมา สดๆร้อนๆ นี่เอง!

Note Nismo แบ่งออกเป็น 2 รุ่น 2 ขุมพลัง เช่นเดียวกับ March มีทั้งรุ่นมาตรฐานในชื่อ
Note Nismo เอาใจกลุ่มลูกค้าที่อยากได้รถขับสนุกขึ้น แต่ยังคำนึงถึงความประหยัดน้ำมัน
อยู่ดี (ในเมืองไทย คนกลุ่มนี้ จะซื้อ Vios หรือ Yaris TRD Sportivo) ส่วนรุ่น Nismo S
จะมุ่งเน้นแต่ความสนุกในการขับขี่เป็นหลัก จึงมีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ เท่านั้น

มิติตัวถังของ Note Nismo S มีความยาว 4,190 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร
สูง 1,515 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,600 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถนน 115 มิลลิเมตร
น้ำหนักตัวถังรวมของเหลว 1,355 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 41 ลิตร

อุปกรณ์ตกแต่งภายนอก ที่ถูกติดตั้งเพิ่มเติมจาก Note รุ่นมาตรฐาน มีดังนี้

– กระจังหน้า เปลือกกันชนหน้า – หลัง สปอยเลอร์ด้านหน้า – ด้านข้าง และ
  สปอยเลอร์ด้านท้ายรถ ออกแบบพิเศษ โดย NISMO
– ชุดไฟหน้า พร้อมไฟ Daytime running Light แบบ LED ของ NISMO
– สัญลักษณ์ NISMO ตามจุดต่างๆ รอบคัน ทั้งบนกระจังหน้า ท้ายรถ และ
  บริเวณแผงหน้าปัด
– ช่องแอร์ และปุ่มติดเครื่องยนต์ ตกแต่งด้วย Trim พลาสติก สีแดง     
– Trim ตกแต่งสีเงินเข้ม บริเวณ ด้านข้างของแผงหน้าปัด สวิตช์กระจกไฟฟ้า
  และแผงควบคุมเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ตรงกลาง
– กระจกมองข้างแบบมีไฟเลี้ยวด้านข้าง และพับเก็บได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า
  เปลือกนอกเป็นกรอบสีแดง Nismo Red
– ไฟตัดหมอกหลัง
– เสาอากาศวิทยุแบบครีบฉลาม (Shark-fin antenna)

– สีตัวถังมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ Brilliant White Pearl (3-coat Pearl)
  Dark Metallic Grey (M), Super Black และ Brilliant Silver (Metaalic)

– ส่วนล้ออัลลอย ของ Note Nismo มีขนาด 16 นิ้ว สวมยาง Bridgestone
  POTENZA RE080 ขนาด 195/55R 16 87V
– แต่ล้ออัลลอย ของ Note Nismo S จะอัพเกรดขึ้นเป็นขนาด 17 นิ้ว สวม
  ด้วยยาง Bridgestone POTENZA S007 ขนาด 205/45R17 84W

(ภาพภายในห้องโดยสาร และห้องเครื่องยนต์ ไม่ได้ถ่ายที่สนาม Fuji Speedway
แต่ ถ่ายที่ Nissan Gallery สำนักงานใหญ่ ใน Yokohama ในอีก 2 วันถัดมา)

การเข้า – ออกจากบานประตูคู่หน้า อาจต้องระมัดระวังศีรษะไปชนกับขอบ
เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar อยู่บ้าง โดยเฉพาะคนหัวโต ส่วนการลุกออกนั้น
ยังไม่ค่อยเป็นปัญหานัก

แต่สำหรับการเข้า – ออกจากประตูคู่หลัง ถือเป็นจุดขายสำคัญของ Note ใหม่
มาตั้งแต่เปิดตัว เพราะถ้าเทียบกับตู่แข่งโดยตรงคือ Honda Fit / Jazz รุ่นล่าสุด
บานประตูคู่หลังของ Note ยาวกว่า ทำให้ก้าวขึ้นและลงจากรถ ได้สะดวกกว่า
ทั้ง Note รุ่นเดิม และ Fit/Jazz ทุกรุ่น

แน่นอนครับ ในเมื่อบานประตูคู่หลังยาว ไม่ต้องเดาต่อก็บอกได้ว่าพื้นที่วางขา
ด้านหลังจะเหลือเฟือขนาดไหน เพียงแต่ว่า เบาะรองนั่งอาจสั้นไปหน่อย ส่วน
พนักพิงหลังยังติดตั้งพนักศีรษะรูปตัว L คว่ำซึ่งต้องยกขึ้นใช้งาน เพื่อไม่ให้
ขอบล่างของพนักศีรษะ ตำต้นคอ

เบาะนั่งจากโรงงานจะเป็นแบบ Bucket Seat เหมือนกันกับ March Nismo S
แต่ถ้าไม่ชอบใจ ไม่สปอร์ตสะใจพอ ก็สามารถสั่งซื้อ เบาะ Bucket Seat ของ
Nismo ออกแบบและผลิตโดย Recaro ที่เห็นอยู่นี้ได้

ปีกข้างของเบาะรองนั่ง ออกแบบมาให้ตรึงสรีระร่างของผู้ขับขี่ไว้ให้อยู่บนเบาะ
ตลอดเวลา พนักพิงศีรษะด้านหลัง ต่อเชื่อมเป็นชิ้นเดียวกันกับพนักพิงหลัง ข้อดี
ก็คือ เบาะนั่งไม่ดันหัวผมอย่างที่คิด ตำแหน่งนั่งขับกำลังดี แอบเยื้องซ้ายนิดๆ
ข้อด้อยก็คือ คุณอาจต้องระวังปีกเบาะรองนั่ง ขณะลุกเข้า – ออก เพราะโอกาสที่
ปีกเบาะรองนั่งจะก่อความไม่สะดวกในการเข้าออก มีอยู่สูง ตามสไตล์เบาะนั่ง
แบบรถแข่ง

ตำแหน่งวางแขนบนแผงประตูคู่หน้า อยู่ในระดับกำลังดี แต่กลับไม่ติดตั้งพนัก
วางแขนตรงกลางมาให้เลย

อุปกรณ์ที่ถูกติดตั้งเพิ่มเติมจาก Note รุ่นมาตรฐาน มีดังนี้
–  พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน หน้าตาเหมือนใน 370Z หุ้มด้วยหนังกลับสังเคราะห์
   Alcantara เย็บเชื่อมติดกันด้วยด้ายสีแดง และแป้นตรงกลางสีแดง
–  ผ้าหุ้มเบาะและแผงประตูแบบ Tricot
–  คันเกียร์ และฐานรองเกียร์ ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ
– ช่องแอร์ และปุ่มติดเครื่องยนต์ ตกแต่งด้วย Trim พลาสติก สีแดง     
– Trim ตกแต่งสีเงินเข้ม บริเวณ ด้านข้างของแผงหน้าปัด สวิตช์กระจกไฟฟ้า
  และแผงควบคุมเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ตรงกลาง

ส่วนอุปกรณ์พิเศษสำหรับ Note Nismo S ที่ติดตั้งเพิ่มเติมจาก Note Nismo
รุ่นมาตรฐาน มีดังนี้

– หัวเกียร์ และฐานรองเกียร์ (ประดับด้วยสีแดง) และหนังหุ้มคันเกียร์ (เย็บด้วย
   ด้ายสีแดง)
– แป้นเหยียบ คันเร่ง เบรก คลัตช์ อะลูมีเนียม พร้อมสัญลักษณ์ Nismo
– ชุดมาตรวัด ดูผิวเผิน คุณอาจนึกว่า ยกมาจาก Almera แต่ดูดีๆครับ เขาปรับเพิ่ม
  ตัวเลขความเร็วสูงสุดเอาไว้ ให้มากถึง 260 กิโลเมตร/ชั่วโมง กันไปเลย เผื่อไว้
  สำหรับการนำรถไปปรับแต่งสมรรถนะเพิ่มเติมจากนี้ ส่วนแถบมาตรวัดรอบ
  จะเพิ่มขอบสีแดง บริเวณเส้นแบ่งช่วงรอบเครื่องยนต์สีขาว เข้ามาให้

Note Nismo รุ่นปกติ วางขุมพลัง รหัส HR12DDR บล็อค 3 สูบเรียง DOHC
12 วาล์ว 1,198 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 78.0 x 83.6 มิลลิเมตร กำลังอัด
12 : 1 จ่าย เชื้อเพลิงฉีดตรงเข้าห้องเผาไหม้ Direct Injection พร้อมระบบ
แปรผันวาล์ว CVTC (Continuously Valve-Timing Control) กำลังสูงสุด
98 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม.ที่ 4,400
รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT ลูกเดียวกันกับ March
แต่ ต่างกันที่อัตราทดเฟืองท้ายเพียงอย่างเดียว

ส่วน Note Nismo S จะยกระดับขยับความแรงขึ้นด้วยการเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์
HR16DE บล็อค 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว 1,597 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
78.0 x 83.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 11.2 : 1 หัวฉีด Multi-Point ควบคุม
ด้วยกล่องอีเล็กโทรนิคส์ ECCS 32 Bit ระบบขับวาล์ว ใช้โซ่ตอนเดียว มีระบบแปรผัน
วาล์ว CVTC (Continuously Valve-Timing Control) เหมือนกับ TIIDA แต่
ถูกจูนโดย Nismo เพื่อให้เครื่องยนต์มีกำลังมากขึ้น ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า (PS)
ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 16.6 กก.-ม.ที่ 4,800 รอบ/นาที

ทั้ง 2 ขุมพลัง จะถูกปรับจูนโปรแกรมในกล่อง ECM จาก Nismo มาให้เป็นพิเศษ

ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ มีอัตราทดเกียร์ดังนี้
เกียร์ 1…………………………..3.727
เกียร์ 2…………………………..2.047
เกียร์ 3…………………………..1.392
เกียร์ 4…………………………..1.096
เกียร์ 5…………………………..0.891
เกียร์ถอยหลัง……………………3.545
อัตราทดเฟืองท้าย………………4.214

นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุง ระบบกันสะเทือน เปลี่ยนช็อกอัพ และสปริงใหม่
เปลี่ยนจานเบรกคู่หลังใหม่ เปลี่ยนท่อไอเสีย ใหม่ เส้นผ่าศูนย์กลาง ตั้งแต่ 85
มิลลิเมตร ในรุ่น Note Nismo มาตรฐาน และ 100 มิลลิเมตร ในรุ่น Nismo S
และเปลี่ยนชุดท่อร่วมไอดีใหม่ รวมทั้งจุดยึดพื้นตัวถังทั้ง 4 จุด เหมือน March
Nismo S

อัตราเร่งในช่วงออกตัว เกียร์ 1 กับเกียร์ 2 นั้น ให้สัมผัสแบบผิวเผินที่แทบ
เหมือนกันกับ March Nismo แต่ความแตกต่างจะเกิดขึ้นเมื่อคุณเข้าเกียร์ 3
แล้วเร่งเครื่องออกจากโค้ง ซ้ายของสนาม ก่อนแล่นผ่านจุดออกตัว และจุด
Pit Stop หากเหยียบคันเร่งจมมิดติดพื้นรถ Note Nismo จะใช้เวลาไต่ขึ้น
จาก 40 จนถึง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ดีกว่า March Nismo S ชัดเจน
แบบไม่ต้องสืบพยานโจทย์

แอบแปลกใจนิดๆว่า ทำไมแรงม้าต่างกันตั้ง 25 ตัว แต่กลับรู้สึกว่ามันไม่ได้
แรงขึ้นมากมายอย่างที่คิดเลย พอมาดูแรงบิด ถึงได้เข้าใจว่า มันต่างแค่เพียง
ไม่ถึง 1 กก.ม.เลย อีกทั้งตามปกติแล้ว คุณมักจะเห็นประโยชน์ของแรงม้ากัน
ก็ต่อเมื่อต้องลากรอบเครื่องยนต์ขึ้นไปสูงๆ เป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งในวันที่เราได้
ทดลองขับกัน สภาพพื้นผิวแทร็กของสนาม ค่อนข้างลื่น จากฝนโปรยปราย
แถมเย็น และความเสียดทานต่ำอีกต่างหาก ทุกครั้งที่กดคันเร่งจมมิดเพื่อไต่
ความเร็วขึ้นไป ถ้าเกิน 4,500 รอบ ล้อคู่หน้าก็แอบ Slip หมุนฟรีกันตลอด
ดังนั้น ในเบื้องต้น ผมมองว่า ความแรง ไม่ได้ต่างกันมากนัก หากใช้ความเร็ว
ไม่สูงนัก และเป็นพวกไม่ได้ลากรอบมากมาย แต่ถ้าเป็น “นักซิ่งชาวญี่ปุ่น”
ซึ่งมักติดนิสัย “ชอบเหยียบลากรอบสูง” (REV Happy) มาจากการดูพวก
Video นักแข่งรถต่างๆ เป็นประจำ ก็อาจจะมีความสุข ในการลากรอบเครื่อง
ของ Note Nismo S เพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย แต่ไม่เยอะอย่างคาดหวัง

สรุปว่า Note Nismo S แรงกว่า March Nismo S จริง แต่ไม่มากเลย

พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS
ถูกปรับปรุงใหม่ ให้ตอบสนองดีขึ้นจาก Note รุ่นปกติ กระนั้น ในการขับขี่
จริงๆ ก็ยังตอบสนองได้พอกันกับ พวงมาลัยของ March Nismo ไม่ผิดเพี้ยน
คือสัมผัสได้อยู่ว่าเป็นพวงมาลัยไฟฟ้า น้ำหนักเบาแรงในช่วงความเร็วต่ำ
และยังตอบสนองได้ไม่ถึงกับเป็นธรรมชาตินัก แต่ไวและให้ความมั่นใจ
กว่าพวงมาลัยของ March รุ่นปกติมากๆ

ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังแบบทอร์ชันบีม
ถูกปรับปรุงขึ้นใหม่ เช่นเดียวกับ March Nismo ทั้งการเปลี่ยนช็อกอัพ
ใหม่หมดทั้ง 4 ต้น รวมทั้งสปริงชุดใหม่ทั้งหน้า – หลัง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ผมชื่นชอบ Note Nismo มากกว่าคือ โครงสร้าง
ตัวถังที่ยาวกว่า และถูกเชื่อมจุดยึดต่างๆ ทั้งบริเวณอุโมงค์หน้า และหลัง
จุดยึดระบบกันสะเทือนหน้า – หลัง รวมทั้งเสริม คาน V Bar ใต้ท้องรถ
ให้แข็งแรงเพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติเล็กน้อย ทำให้โครงสร้างตัวถังไม่บิดตัว
มากนัก ในขณะเข้าโค้งแรงๆ และต้องเหวี่ยงซ้าย-ขวาไปมา จะพบว่า
บั้นท้ายนิ่งสงบกว่า March Nismo อย่างชัดเจนมาก ยิ่งถ้าใครไม่ชอบ
รถยนต์ที่มีบั้นท้ายเหวี่ยงออกไวได้ง่ายๆ หรือยังไม่คุ้นเคยกับรถแรงๆ
น่าจะชอบอากัปกิริยาของบั้นท้าย Note Nismo มากกว่า March 
Nismo แน่ๆ 

ระบบห้ามล้อเป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ พร้อมตัวช่วยมาตรฐานทั้ง ABS
EBD ตอบสนองได้ดีไม่แตกต่างไปจาก March Nismo เลย แป้นเบรก
มาในสไตล์เดียวกันไม่มีผิด กดปุ๊บ เบรกจึกกำลังดี ไม่ได้ทิ่มพรวดจน
เกินไป

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
จี๊ดจ๊าดกำลังดี อเนกประสงค์พอใช้ได้ แต่เมื่อไหร่ คนไทยจะได้สัมผัสละเนี่ย?

การลองขับเวอร์ชัน Nismo ของทั้ง March และ Note อันเป็น 2 รถยนต์ขนาดเล็ก
พิกัด B-Segment ที่ทำตลาดในญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่า ความจริงแล้ว รถยนต์อย่าง
March ที่ผมมองว่า มันยังไม่ลงตัว ถ้าถูกนำไปปรับปรุงให้ถูกต้อง ถูกทิศทาง ผล
ที่ออกมา จะสร้างความรื่นรมย์ในการขับขี่ สำหรับลูกค้าที่มีทุนทรัพย์ไม่มากนัก
ได้ดีเลยทีเดียว

แม้จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง V-Platform สำหรับรถยนต์นั่งขนาดเล็กขับเคลื่อน
ล้อหน้า เหมือนกัน แต่ทั้ง 2 คัน มีโครงสร้างตัวถัง และเครืองยนต์ที่ต่างกัน ทำให้
สมรรถนะที่ออกมา สัมผัสได้ว่าต่างกันนิดหน่อย เป็นไปตามเจตนาของ Nissan

ถ้าใครใช้รถในเมืองเป็นหลัก ขับคนเดียว และพื้นที่ด้านหลัง อาจไม่สำคัญนัก แต่
ต้องการความจี๊ดจ๊าดพอประมาณ การอุดหนุน March Nismo S นั่นย่อมเพียงพอ แต่
ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา และพื้นที่ใช้สอยด้านหลัง คือเรื่องสำคัญของคุณ การขยับขึ้นไป
เล่น Note Nismo S เป็นคำตอบที่ดีกว่าอย่างชัดเจน

ถ้าเป็นผม คงเลือก Note Nismo S แน่ๆ แม้จะขัดใจกับช่องแอร์ตรงกลางมากก็เถอะ!

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 คันนี้ คงไม่มีสิทธิ์เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย แม้ว่า March Nismo
จะถูกประกอบขึ้นที่โรงงานของ Nissan บนถนนบางนา-ตราด กม. 21-22 ก็ตาม เพราะ
เหตุผลที่ว่า ในเมื่อ Nissan ได้ยื่นขอรับการลงทุนจาก BOI ตามโครงการ ECO Car
Phase 1 ไปแล้ว ทั้งแบบรถ เครื่องยนต์ และข้าวของต่างๆ ก็ต้องผลิตรถยนต์รุ่นนั้นมา
มาตามสเป็กที่ยื่นขอรับสิทธิพิเศษด้านการลงทุนไป ถ้าทำเวอรชันใหม่ให้แรงมากยิ่งขึ้น
หรือใส่เครื่องยนต์ ที่เกินพิกัด 1.2 ลิตร (ตามข้อกำหนดของโครงการใน Phase 1 ) ก็
เท่ากับว่า ผิดข้อกำหนด ไม่เข้าเกณฑ์ และไม่อาจนำรถยนต์รุ่นพิเศษนั้นมาใช้สิทธิ์ในการ
ลดหย่อนภาษีสรรพสามิต ตามโครงการ ECO Car ได้ และต้องเสียภาษีเต็มจำนวน จน
ทำให้ราคาขายปลีก ทะลุเกินกว่า 800,000 บาท ขึ้นไปมาก ซึ่งนั่นถือว่า แพงมากจน
ลูกค้าชาวไทย เมินหน้าหนีแน่ๆ ยกเว้นว่า เครื่องยนต์รุ่นใหม่จะมีกระบอกสูบเท่าเดิม แต่
แรงกว่าเดิม ประหยัดน้ำมัน และปล่อยมลพิษ ตามเกณฑ์เดิม (ซึ่งความเป็นจริง ยากมาก)

น่าเสียดาย ที่เวอร์ชันจี๊ดจ๊าด เอาใจลูกค้าเท่าขวาหนักเหล่านี้ คงไม่มีโอกาสเข้ามา
วาดลวดลายบนท้องถนนเมืองไทยให้เราได้เห็นกัน

ถ้าอยากจะให้รถยนต์ประเภทนี้ เข้ามาขายในบ้านเราได้ ก็คงต้องลองถามตัวเองว่า
หากราคาป้วนเปี้ยนแถวๆ 8 แสนบาท คุณจะยังอุดหนุนอยู่หรือไม่ เพราะขนาด
Pulsar Turbo ซึ่งมีราคา ค่าตัว สอดคล้องกับความแรงแล้วนั้น ยังขายไม่ออกเลย

ถ้าตราบใดที่คนไทย กลุ่มที่มองหารถยนต์ขนาดเล็กราคาถูก ยังต้องการรถเก๋งแบบ
Sedan เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 100 แรงม้า เติมน้ำมันได้ตั้งแต่ แก็สโซฮอลล์ 91 ยัน
E85 ต้องติดแก็ส LPG กับ CNG อย่างละใบอยู่ท้ายรถ ตูดจะห้อยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้า
มีระบบ Hybrid ฉันไม่สน เกียร์อัตโนมัติ ต้อง 5 จังหวะขึ้นไป เบรก ABS EBD
ไม่ต้องใส่ ถุงลมนิรภัย ถอดออกให้หมด ติดแอร์ Digital เย็นๆ เครื่องเล่น DVD
ต้องมาพร้อมจอ Touch Screen เซ็นเซอร์กะระยะ พร้อมกล้องมองหลังต้องครบ
ขอล้ออัลลอยเงาๆ สวยๆ ใหญ่ๆ 17 นิ้ว ภายในตกแต่งด้วยสีดำ และต้องหุ้มหนัง
จะเป็นหนังแท้ หรือหนัง (ที่หลอกว่าเป็น) หนังแท้ ก็เอา Aero part ต้องจัดเต็ม
รอบคัน ไฟตัดหมอกหน้า-หลังต้องมี ไว้เปิดแยงตาชาวบ้าน ใบปัดน้ำฝน ต้องมี
หน่วงเวลา  ไฟหน้าต้องเป็น Projector เท่านั้น ฮาโลเจนไม่เอา ฯลฯ อีกมากมาย

ทั้งหมดนี้ ต้องมาในราคาแค่ 500,000 บาท ถ้วน เท่านั้น!!!!!!!!!!!!!

ย่อหน้าข้างบนนี่ละครับ คือรถยนต์ที่คนไทยส่วนมาก อยากได้อย่างแท้จริง
และฝันไปเถอะว่า จะมีผู้ผลิตรายไหน ประเคนให้คุณได้

แม้แต่ผู้ผลิตรถยนต์จากเมืองจีน ก็ยังต้องส่ายหน้า ว่า ยาก….ส์!!

—————————-///—————————

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks to:
คุณชนกนันท์ เตชะภัทรพร
ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายประชาสัมพันธ์
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Nissan Motor Thailand จำกัด
สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ อย่างดียิ่ง

และ Pao Dominic สำหรับการเตรียมข้อมูลทางเทคนิคเบื้องต้น

———————————————————-

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ภาพถ่าย โดยผู้เขียน และ Nissan Motor Co.,Ltd.

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
5 ธันวาคม 2014

Copyright (c) 2014 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
December 5th,2014 

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome, CLICK HERE