23 เมษายน 2016
สนามแข่งรถยนต์พีระอินเตอร์เนชันแนลเซอร์กิต พัทยา

ผมสารภาพตามตรงว่าตั้งแต่เริ่มหันไปสนใจรถบ้านสเป็คโรงงานซึ่งเว็บของเราต้อง
ทำการทดสอบอยู่เป็นประจำ ผมแทบไม่มีเวลาที่จะไปซิ่งรถหรือแม้แต่จะไปดูการ
แข่งรถในสนามมากเท่าที่เคยทำสมัยยังวัยรุ่น บรรยากาศ ผู้คน เสียงรถที่แผดก้อง
หรือแม้กระทั่งการเดินแวะเวียนไปชมรถของคนอื่นตามเต็นท์หรือพิท พวกผมใน
เวลานั้นเป็นวัยรุ่นที่ไม่มั่วสุมดมกาว แต่เรามีกลิ่นน้ำมันเบนซิน ควันยาง และกลิ่น
ผ้าเบรกไหม้ให้ดมแทน การที่มีเพื่อนฝูงเป็นคนจูนเครื่อง เป็นช่าง และเป็นนักแข่ง
สมัครเล่นทำให้ผมได้พบสิ่งเหล่านี้จนเรียกได้ว่าถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปคงยืนแห้งตาย

แล้วเวลาก็ Fast Forward มาไกลถึง 4 ปี นับตั้งแต่วันสุดท้ายที่ผมได้มาที่
สนามแข่งนี้ด้วยความรู้สึก 2 ชั้น ถ้าเทียบเป็นไอศกรีมแม็กนั่ม ส่วนที่เป็น
ช็อคโกแลตนั่นคือความรู้สึกตื่นเต้น ลิงโลด แต่ส่วนที่เป็นก้อนไอศกรีมวานิลลา
ข้างในนั่นคือความเครียดล้วนๆ เครียดเพราะไม่รู้จะหาคำตอบมากมายมาตอบ
คนอ่านได้อย่างไรในเมื่อได้โอกาสในการวิ่งแค่ 2 รอบสนาม และได้ซัดตึงทางตรง
แค่ 1 ครั้ง..เครียดเพราะจำลักษณะสนามไม่ค่อยจะได้ เครียดเพราะ Nissan เอา
รถที่แสนพิเศษนี้มาแค่ 2 คัน และต่างก็เป็นรถพวงมาลัยซ้ายซึ่งผมแทบไม่เคยขับ
เครียดเพราะถ้าซัดรถโดนกรวย กันชนเป็นรอย ลิ้นหน้าแหก ผมคงไม่ได้แตะรถ
แบบนี้อีก

2016_04_GTRnismo_opening

แถมในระหว่างที่รอคอยเวลาให้ถึงคิวลองขับของผม มีช่วงที่ทาง Nissan จัดให้
บรรดาสื่อมวลชนที่ไม่ประสงค์ขับแต่ประสงค์จะลองสัมผัสแรงจีได้นั่งไปในรถ
กับนักขับระดับตำนานของ Nissan อย่างคุณ Hiroyoshi Kato เป็นผู้ขับ

คุณ Kato ก็เหมือนกับนักขับฝีมือเฉียบหลายคนที่ผมเคยพบ มาดของน้าแก
ดูนิ่งๆ เชยๆ แต่พออยู่หลังพวงมาลัยแล้วแกสามารถเสกรถให้กลายเป็นปิศาจได้

2016_04_GTRnismo_s2

“ฟ้าว!..บรู..ตรึด! บรู…อ๊าด..ดด..ด.”

Kato พา GT-R Nismo หายลงเนินโค้งซ้ายแรกของสนามพีระไปอย่างรวดเร็ว
คุณอาจจะคิดว่ารถ GT-R ที่แรงที่สุด ต้องเสียงท่อลั่น แผ่เสียงโหดๆไปทั่วสนาม
แต่เปล่าเลย มันมาอย่างพยัคฆ์เงียบ ส่งเสียงดังเฉพาะตอนวิ่งเข้ามาปลิดชีพคุณ
แล้วก็วิ่งหายไปเหมือนอสูรกายในป่ายามราตรี ผมเดินมาด้านหลังสนามอีกทีก็
ทันเห็นคุณ Kato “ร่อน” GT-R ผ่านโค้ง S1 กับ S2 ไปราวกับตรงนั้นไม่มีโค้ง
เสียงเครื่องคารอบไว้อย่างต่อเนื่อง ต่อให้ใครจะบอกว่าเรื่องแบบนี้เป็นของ
ธรรมดาสำหรับคนระดับคุณ Kato แต่พอได้เห็นกับตาแล้ว ต่อให้เป็นฤดูร้อน
กับพระอาทิตย์เมืองไทย ก็ยังไม่สามารถทำให้ผมหายขนลุกได้

คนเรา..บางครั้งพอผ่านความเครียดถึงจุดหนึ่ง มันก็จะเลิกเครียดไปเอง
ผมตัดสินใจว่า “เอาวะ ขับก็ขับ จะหมาหรือหมูไม่รู้วุ้ย อย่าทำรถพังคาตีน
ก็พอแล้วมั้ง”

2016_04_GTRnismo_chaser

แต่ก่อนที่จะไปขับ มาคุยกันสั้นๆก่อนเพื่อค่อยๆทำความรู้จักกับเจ้า GT-R Nismo
ไปทีละนิด อย่างที่เราทราบกันอยู่แล้วว่า GT-R รหัสตัวถัง R35 นั้นเปิดตัวและ
ลงขายที่บ้านเกิดในญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2007 รถรุ่นนี้ใช้แพลทฟอร์ม PM
(Premium-Midship) สำหรับรถสปอร์ต และเป็น Nissan เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น
ที่ใช้แพลทฟอร์มนี้ ซึ่งเอาเครื่องยนต์วางไว้ด้านหน้าของตัวรถ แต่ร่นมาให้ชิด
ผนังห้องเครื่องมากขึ้น และย้ายเกียร์ไปวางไว้ด้านท้ายรถเพื่อการกระจายน้ำหนัก

คุณ Kazutoshi Mizuno หัวหน้าทีมวิศวกร เคยให้สัมภาษณ์กับช่อง NGC
เอาไว้ว่า “แต่ไหนแต่ไรมา คนที่จะเล่นกับซูเปอร์คาร์ได้ คือคนที่ขับรถเก่งมากๆ
และต้องมีเงินมากๆด้วย..ผมอยากจะเปลี่ยนเรื่องนี้”

เมื่อต้องการจะเปลี่ยน ก็ต้องสร้างกระแสการยอมรับ จะมีอะไรทำให้คน
ยอมรับคุณได้เร็วกว่าการมองหานักเลงตัวใหญ่ที่สุดในซอยให้เจอ จากนั้น
ก็เดินไปเคาะประตูเรียกหน้าบ้านแล้วซัดให้คว่ำ? คุณ Mizuno เลยตั้งเป้าตอน
พัฒนารถเอาไว้ง่ายๆว่า GT-R จะต้องโค่นเจ้าบ้านอย่าง Porsche 911 Turbo
ให้ได้ในรั้วบ้านของตัวเองบนสนาม Nurburgring (ตอนนั้นทำสถิติวิ่งรอบสนาม
ได้ในเวลา 7:40:00 นาที)

ความตั้งใจของพวกเขาประสบผลสำเร็จ GT-R R35 ขับโดย Toshio Suzuki
ทำเวลาได้เพียง 7:38:54 นาที และพวกเขาใช้วิดิโอการขับสร้างสถิติครั้งนี้ฉาย
บนจอใหญ่ในวันเปิดตัวรถรุ่นนี้ ณ งาน Tokyo Motor Show ตุลาคม 2007 ก่อน
เผยโฉมตัวรถอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่นาทีต่อมา เรียกเสียงฮือฮามากที่สุด
ในงาน Tokyo Motor Show ปีนั้นเลย

แน่นอนว่าหลังจากนั้น เด็กเยอรมันกับเด็กญี่ปุ่นทั้งคู่ก็ต่อยกันเป็นพักๆ ผลัดกันแพ้
ผลัดกันชนะ ทีมวิศวกรของ Nissan เองก็มีการอัพเดทและเพิ่มประสิทธิภาพในด้าน
ต่างๆ ให้กับ GT-R มาเรื่อยๆ เริ่มจาก 485 แรงม้า (PS) ในปีที่เปิดตัว เพิ่มเป็น 530
แรงม้า (PS) ในเดือนพฤศจิกายนปี 2010 ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรก
(เปลี่ยนล้อจากลาย 7 ก้าน เป็นลาย 5 ก้านคู่) จากนั้นในปีต่อมาก็เพิ่มเป็น 550 แรงม้า
(PS) โดย ใช้วิธีปรับปรุงพอร์ทไอดีไอเสียและจูนกล่องใหม่

หลังจากจุดนั้นเป็นต้นมา ทางทีมวิศวกรคิดว่าควรจะมีการปรับแบ่งรุ่นรถ GT-R
ออกเป็น 2 สาย เพื่อที่จะได้เซ็ตส่วนต่างๆของรถให้สามารถตอบสนองการใช้ของ
ลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ลงตัวขึ้น จุดเริ่มต้นอยู่ที่ GT-R ปี 2013 จากนั้นก็แตกออกเป็น
2 รุ่น GT-R รุ่นปกติ จะได้รับการปรับนิสัยให้มีความเป็นรถ Grand Tourer เพื่อ
เน้นการขับบนถนน ช่วงล่างต้องไม่สะเทือนไส้มากไป นอกจากนักเลงรถนั่งได้แล้ว
เมียนักเลงรถก็ต้องนั่งได้แล้วไม่บ่น ต้องมีความหรูหรา แต่พอเอาไปซิ่งก็ต้องสั่งได้
เร็ว แรงและมั่นใจ ผลของการพัฒนารถตามแนวทางนี้ก็คือ GT-R 2017 นั่นเอง

ส่วนอีกสายหนึ่ง คือรถสำหรับลูกค้าที่ซื้อ GT-R ด้วยความเข้าใจและหลงใหล
ที่สมรรถนะอย่างแท้จริง เน้นการขับแบบมอเตอร์สปอร์ตมากขึ้น ขับในสนามแข่ง
แล้วทำเวลาได้เร็วขึ้น แต่เอาไปใช้งานในชีวิตประจำวันก็ต้องทำได้แม้จะไม่สบาย
แบบสุดๆก็ตาม รถที่พัฒนาตามแนวคิดนี้ก็กลายมาเป็น GT-R Nismo ที่ท่านเห็น
ในบทความนี้ล่ะครับ

2016_04_GTRnismo_stand02

รูปทรงภายนอก ไม่ต้องสาธยายอะไรมาก เพราะมันก็คือเวอร์ชั่นอัพเดทของรถ
GT-R ปี 2013 แต่ได้รับการตกแต่งด้วยพาร์ทจาก Nismo และอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น
กันชนหน้า/หลังแบบเฉพาะรุ่น คาดแถบแดง หางหลังคาร์บอนไฟเบอร์แบบพิเศษ
กระจกมองข้างสีเทาเข้มคาแถบแดง และล้ออัลลอยแบบฟอร์จขอบ 20 นิ้ว
ของ RAYS นอกจากนี้ถ้ามองด้านใต้ท้องรถจะมีแผ่นปิดใต้ท้องของ Nismo
เพิ่มเข้าไปด้วย

ชุดแอโร่พาร์ทต่างๆที่เสริมเข้าไป เช่นลิ้นหน้า แผ่นปิดใต้ท้อง กับสปอยเลอร์หลัง
มีส่วนในการช่วยจัดการด้านอากาศพลศาสตร์ ทำให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน
Cd=0.26 (ดีกว่า GT-R รุ่นปกติที่ได้ 0.27 แค่ 1 นิ้วเท้ามด) แต่ที่สำคัญคือมันสามารถ
สร้างแรงกดตัวถังได้ 220 ปอนด์ (99.8 กิโลกรัม) ที่ความเร็ว 185 ไมล์/ชั่วโมง
(296 กิโลเมตร/ชั่วโมง)

มิติตัวถัง ยาว 4,681 มิลลิเมตร กว้าง 1,895 มิลลิเมตร สูง 1,377 มิลลิเมตร ระยะ
ฐานล้อ 2,779 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า/หลัง เท่ากับ 1,600 มิลลิเมตร
ทั้งคู่ น้ำหนักตัวถัง 1,762 กิโลกรัม อัตราส่วนการกระจายน้ำหนักหน้า:หลังอยู่ที่
55:45 ถังน้ำมันมีขนาด 74 ลิตร

.
2016_04_GTRnismo_seats

การเข้าออกจากรถนั้น เมื่อกดที่เปิดประตูทรงเท่แต่แอบใช้ยากแล้ว บานประตู
ก็จะเปิดออกได้ค่อนข้างกว้าง และเข้าไปนั่งได้ง่ายมาก คุณคิดดูก็แล้วกันว่า
ตัวผมใหญ่ขนาดสูง 183 เซ็นติเมตร เอว 58 นิ้ว (ตอนนี้เอวมันลดลงเพราะ
มันเลิกป่องแล้ว..แต่มันห้อยย้อยลงแทน) ยังสามารถเข้าไปนั่งได้อย่างไม่ยาก
แต่ต้องถอยเบาะไปให้สุดก่อน จากนั้นก็..ก็หย่อนตูดเข้าไปนั่งตามปกติ
ขนาดวันที่ลองขับนั้น Nissan ให้ผมใส่หมวกกันน็อคขนาด XL ด้วย ก็ไม่มี
ปัญหา แค่ก้มหัวหลบหลังคาหน่อยเดียว ถ้าคุณคิดว่า GT-R ขึ้นลงลำบาก
ชาตินี้กรุณาซื้อแค่ Bentley Continental GT และอย่าได้คิดยุ่งกับ Aston
Martin Vantage, AMG GT หรือ Lamborghini Huracan โดยเด็ดขาด

เบาะนั่งแบบบัคเก็ตซีท Recaro ด้านหลังคาร์บอน ด้านหน้าหุ้มหนังสีดำ เดินตะเข็บ
ด้ายสีแดง สลับกับ Alcantara สีแดง แม้หน้าตาจะดูโหดเหมือนเบาะรถแข่งแต่
เอาเข้าจริงปีกดันน่องซ้าย/ขวา ก็ไม่ได้สูงมาก ส่วนรองก้นก็ไม่ได้เป็นหลุมลึก
แบบเบาะรถแข่งของจริง ส่วนปีกด้านข้างลำตัวนั้นโอบอุ้มได้ดีพอประมาณ
สามารถทำตัวเป็นที่พึ่งพาได้สำหรับคนที่ขับแบบสิงห์ถนนเล่นโค้ง หรือคนที่
เอารถไว้ขับเล่น นัดมีตติ้งไปขับบนสนามแข่งเล่นกับเพื่อน แต่ถ้าต้องการใช้รถ
เพื่อการแข่งแบบจริงจัง ยังไงก็ต้องเปลี่ยนเบาะใหม่อยู่ดี เพราะเบาะชุดนี้ยังเน้น
ความสบายในการใช้งานอยู่บ้าง แม้แต่เข็มขัดนิรภัยก็เป็นแบบ 3 จุดแบบรถปกติ

2016_04_GTRnismo_gtrisadarnbigcar

พูดแล้วเดี๋ยวจะไม่เห็นภาพ ก็เลยมีภาพมาให้ดูว่าถ้าคุณอ้วนเท่าผม คุณจะสบาย
ไปกับ GT-R ได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณอ้วนกว่าผม..ไปลดน้ำหนักเถอะครับ
ถ้าคุณใหญ่ยักษ์กว่าผม ชีวิตคุณอาจหมดสิทธิ์ขับรถสปอร์ตที่น่าลองอีกหลายรุ่น

ตำแหน่งการขับขี่ถ้าเทียบกับรถทั่วไปจะถือว่าเตี้ย แต่ถ้าเทียบกับรถสปอร์ต
หรือซูเปอร์คาร์ 5-600 ม้ารุ่นอื่นจะถือว่าค่อนข้างสูงกว่าอยู่นิดๆ ตัวเบาะนั้นมีแค่
สวิตช์อันเล็กๆด้านข้างเอาไว้สำหรับปรับเอน และมีคันโยกด้านล่างเอาไว้สำหรับดึง
เพื่อเลื่อนเบาะเดินหน้าถอยหลังเท่านั้นล่ะครับ พยายามมองหาสวิตช์ปรับเบาะสูง/ต่ำ
ก็ไม่เจอจะมามัวหาสวิตช์ก็ไม่ได้เพราะเวลามีจำกัดและมีคนคอยคิวขับต่อจากผมอยู่อีก
พวงมาลัยสามารถปรับก้มเงย และเข้าออกได้ ดึงคันโยกแล้วปรับเหมือนรถบ้านทั่วไป

2016_04_GTRnismo_cockpito

แผงหน้าปัดนั้นยังเป็นดีไซน์เดิมของรถปี 2013 ซึ่งในความเห็นส่วนตัว
ผมว่ามันดูเข้าท่ากว่าแผงหน้าปัดของรถ GT-R รุ่นปี 2016 ตัวล่าสุดที่
เพิ่งเผยโฉมไป แผงคอนโซลกลางมีจอขนาด 7 นิ้วด้านบนซึ่งสามารถ
ปรับตั้งการแสดงค่าได้หลายแบบ เช่นบูสท์, อุณหภูมิน้ำ, อุณหภูมิของ
น้ำมันเครื่อง, แรงดันน้ำมันเครื่อง, อุณหภูมิน้ำมันเกียร์ หรือการกระจาย
แรงบิดหน้า/หลัง เป็นต้น

จากนั้นไล่ลงมาก็จะเป็นชุดปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ซึ่งสามารถสั่งการบาง
ฟังก์ชั่นได้จากพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นเช่นกัน แล้วก็จะเป็นชุดแผงควบคุม
ระบบปรับอากาศ ตบท้ายด้วยชุดสวิตช์สำหรับปรับการตอบสนองของรถ
เช่นระบบคุมการทรงตัว VDC-R การทำงานของเกียร์ และความแข็งของ
ช่วงล่าง

จุดที่ต่างจากพวกรุ่นธรรมดา คือพวงมาลัยหุ้ม Alcantara และภายในคาด
สีแดงตามจุดต่างๆ มีโลโก้ Nismo ที่ส่วนล่างสุดของคอนโซลกลาง

2016_04_GTRnismo_cluster

ชุดมาตรวัด มีตำแหน่งของเกจ์วัดต่างๆเหมือนกับรุ่นธรรมดาไม่มีผิดเพี้ยน
ส่วนที่แตกต่างสำหรับรุ่น Nismo คือมาตรวัดรอบ ซึ่งแม้จะมีเรดไลน์ที่
7,000 รอบเท่ารุ่นธรรมดา แต่พื้นมาตรวัดจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ซึ่งสวย
แต่ผมว่าเวลาอัดในสนามแล้วสายตากำลังยุ่งๆแล้วต้องชำเลืองมองจะ
ค่อนข้างแยกยากหน่อยว่าเข็มอยู่ตรงไหน ในขณะที่รุ่นธรรมดาใช้มาตรวัด
พื้นสีดำ Contrast ของแสงจะชัดกว่า

2016_04_GTRnismo_engine

********** รายละเอียดด้านวิศวกรรม **********

หัวใจของ GT-R Nismo คือเครื่องยนต์รหัส VR38DETT เหมือนรุ่นธรรมดา
แต่มีการปรับเปลี่ยนเทอร์โบชาร์จของ IHI ให้มีขนาดโตขึ้นเล็กน้อย โดย
GT-R Nismo จะใช้เทอร์โบสเป็คเดียวกับ GT-R Nismo GT3

เครื่องยนต์รุ่นนี้ เป็นแบบเบนซิน V6 สูบ DOHC 24 วาล์ว เสื้อสูบ และฝาสูบ
ทำจากอะลูมิเนียม 3,799 ซี.ซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 95.5 x 88.4 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 9.0:1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด พร้อมระบบแปรผันองศา
แท่งเพลาลูกเบี้ยว CVTCS

ด้านพละกำลัง ถ้าเป็นรุ่นธรรมดา (2013) จะอยู่ที่ 550 แรงม้า (PS) ที่ 6,400
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 632 นิวตัน-เมตร (64.5 กก.ม.) ที่รอบเครื่องยนต์ช่วง
3,200-5,800 รอบ/นาที ส่วน GT-R Nismo นั้น จะเพิ่มเป็น 600 แรงม้า (PS)
ที่ 6,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดเพิ่มเป็น 652 นิวตัน-เมตร (66.4 กก.ม.) ที่
3,200-5,800 รอบ/นาที เช่นกัน

พลังทั้งหมดจากเครื่องยนต์จะถูกถ่ายทอดมายังเพลากลางคาร์บอนไฟเบอร์
แล้วค่อยมาถึงเกียร์แบบคลัตช์คู่ 6 จังหวะ ซึ่งมีอัตราทดดังนี้

เกียร์ 1…………………………..4.056
เกียร์ 2…………………………..2.301
เกียร์ 3…………………………..1.595
เกียร์ 4…………………………..1.248
เกียร์ 5…………………………..1.001
เกียร์ 6…………………………..0.796
เกียร์ถอยหลัง…………….……3.383
อัตราทดเฟืองท้าย……………หน้า 2.937 หลัง 3.700

2016_04_GTR_AWD

จากนั้น ก็จะส่งกำลังไปล้อทั้ง 4 ผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ATTESA ET-S
โดยจะมีเพลากลางอีกชุดที่ออกมาจากเกียร์และยิงกลับไปที่ชุดขับเคลื่อน
ด้านหน้า ตามที่เห็นในภาพข้างบน (ในภาพเป็นของรุ่น GT-R ธรรมดา)
มีลิมิเต็ดสลิป (LSD) แบบกลไก 1.5 Way เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

พวงมาลัยเป็นแบบเพาเวอร์แปรผันน้ำหนักตามความเร็วรถ แร็คพวงมาลัย
ทำจากอะลูมิเนียม ตั้งอัตราทดเอาไว้ที่ 15.0:1 (ถือว่าไม่ไวแบบรถแข่ง
ของจริง) แต่ระยะหมุนจากล็อคถึงล็อคแค่ 2.4 รอบเท่านั้น

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ ตัวปีกนกเป็นอะลูมิเนียม มีจุดยึด 6 จุด
ส่วนด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงค์ อะลูมิเนียมจุดยึด 6 จุดเช่นกัน นอกจากนี้
GT-R Nismo จะใช้เหล็กกันโคลงขนาดใหญ่กว่าปกติ กล่าวคือด้านหน้าใช้
ขนาด 34 มิลลิเมตร และด้านหลังขนาด 17.3 มิลลิเมตร โช้คอัพแบบไฟฟ้า
Bilstein DampTronic ปรับความแข็งได้ 3 ระดับจากสวิตช์บนคอนโซลกลาง
โดยที่ชุดช่วงล่างจะปรับมาให้มีความหนืดมากกว่า GT-R รุ่นปกติ

 

2016_04_GTRnismoAllbrakes

ระบบเบรก Brembo รอบคัน ด้านหน้า ใช้คาลิเปอร์แบบ 6 Pot กับจานเบรก
ขนาด 15.35 นิ้ว เจาะรูและมีร่องกลางจาน ส่วนด้านหลังใช้คาลิเปอร์แบบ 4 Pot
จานเบรก 15 นิ้ว เจาะรูและมีร่องกลางจาน เบรกมือแบบคันโยก ดึงที่ล้อหลัง
แบบดั้งเดิม

ยางที่ติดรถมา เป็นยาง Runflat ของ Dunlop รุ่น SP Sport MAXX GT600
DSST CTT (ชื่อยาววุ้ย) กำหนดสเป็คและ Compound ของยางโดยทาง
Nismo เอง ล้อหน้าใช้ขนาด 255/40 กับล้อ RAYS ขนาด 20 นิ้ว กว้าง 10 นิ้ว
ส่วนด้านหลังใช้ยางขนาด 285/35 กับล้อขนาด 20 นิ้ว กว้าง 10.5 นิ้ว

2016_04_GTRnismo_fronrunning

********** การทดลองขับ **********

ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า เนื่องจากผมมีโอกาสได้ขับแค่ 2 รอบสนาม ซึ่งแต่ละรอบ
ก็ยาวแค่ 2.4 กิโลเมตร ดังนั้นหมดสิทธิ์ลองเกือบทุกอย่างที่ผมอยากลอง ไม่ว่าจะเป็น
0-100, 80-120 นอกจากนี้เวลาขับก็จะมี Instructor นั่งคุมไปตลอดทาง ระบบต่างๆ
ถูกปรับเซ็ตค่าเอาไว้โดยทีมงานจากทางญี่ปุ่น แน่นอนว่า Nissan เปิดระบบช่วยเหลือ
อิเล็กทรอนิกส์ VDC-R ให้ทำงานเต็มที่ ดังนั้นหมดสิทธิ์ลองความแตกต่างระหว่าง
โหมดปกติ กับโหมด Track ซึ่งจะมุ่งเน้นการขับในสนาม ทำเอาสื่อมวลชนรุ่นพี่บางท่าน
บ่นว่าจริงๆน่าจะให้ขับหลายรอบกว่านี้ และน่าจะเปิดโอกาสให้ได้ลองปรับค่า Settings
ต่างๆเพื่อดูการตอบสนองที่เปลี่ยนไปของตัวรถ ซึ่งผมก็เห็นด้วย..แต่เอาเถอะครับ
ขับแบบภาคบังคับก็ยังดีกว่าไม่ได้ขับเลย อีกอย่างหนึ่งผมพิจารณาจากฝีมือตัวเอง
บวกกับการที่ยังมีสื่อมวลชนท่านอื่นต้องรอขับต่อจากผม การเปิด VDC-R ให้ทำงานไว้
ก็เป็นไอเดียที่ดี เพราะถ้าผมทำ GT-R Nismo คันงามหมุนฟาดกำแพงไป รับรองว่า
ทุกคนในงานวันนี้จะจดจำผมไปอีกนาน

2016_04_GTRnismo_checkup

เมื่อรถถูกขับเข้ามาในพิท ทีมงานจะตรวจสอบอุณหภูมิเบรกและยาง จากนั้นจึง
จะเลือกว่าให้เอารถเข้าไปจอดเซอร์วิสแล้วปล่อยอีกคันเข้ามาแทน หรือให้คนต่อไป
ขึ้นขับต่อเลย ผมได้ขับคันสีเงิน Super Silver (ซึ่งจะผลิตเป็นจำนวนจำกัด ในขณะที่
สีขาว แดง และดำนั้นจะถูกจำกัดตามโควต้าปกติ คือยอดขายรวมไม่เกินปีละ 200คัน)

ใส่หมวกกันน็อค ตบๆหัวและรัดคางให้เข้าที่ กระโดดขึ้นรถ ปรับเบาะและพวงมาลัย
ให้ได้ตำแหน่งที่ถนัด รัดเข็มขัด สำรวจความพร้อมและเคลื่อนรถออกจากพิทโดย
ใช้ความเร็วในพิทไม่เกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากนั้นเมื่อพ้นพิทออกมา ก็มีที่เหลือ
ทางตรงช่วงสั้นมากๆ ผมทดลองกดคันเร่งครึ่งหนึ่งก่อนเพื่อดูความยืดหยุ่นของแรงบิด
ผมไม่เคยขับรถโมเดล 530 หรือ 550 แรงม้ามาก่อน แต่เคยขับ GT-R ล็อตแรก
ตัว 485 แรงม้ามาแล้ว พบว่าที่รอบกลางๆ และคันเร่งกลางๆ GT-R Nismo สร้าง
แรงดึงได้ดุดันกว่ามาก อาการรอรอบมีน้อยแทบไม่ต่างจากตัว 485 ม้าซึ่งใช้เทอร์โบ
ขนาดเล็กกว่า

ช่วงทางตรงหมด เจอทางลงและเป็นโค้งซ้าย ผมลองกดเบรกดู แป้นเบรกมีน้ำหนัก
สู้เท้าคล้ายซูเปอร์คาร์ทั่วไป แต่แรงขืนจะไม่เยอะแบบ Subaru WRX ช่วงระยะ
แป้นเบรกจะยาวกว่าพวก Porsche และซูเปอร์คาร์อิตาเลียน และการกดเบรกใน
ช่วงแรกๆคาลิเปอร์จะยังไม่หนีบแรง..ไม่ใช่เพราะเบรกเย็นนะครับ รถคันสีเงินนี่
เพิ่งจะจบการทดสอบกับสื่อมวลชนท่านอื่นมาจอดวอร์มแค่แป๊บเดียวเท่านั้น ความรู้สึก
ไม่ค่อยต่างจากเบรกของรถ GT-R Lot 1 เท่าไหร่ คนที่ชอบเบรกระยะเหยียบสั้นๆ
เบรกแล้วจึ้กทันทีจะเกลียดเบรกแบบนี้ แต่คนที่ชอบบริหารแรงเบรก ค่อยๆเบรก
ในบางจังหวะเพื่อรักษาบาลานซ์รถน่าจะโอเค

ผมไม่ได้ใช้ความเร็วสูงมากในโค้งซ้ายแรก แต่พอกะแรงเบรกได้แล้วก็เริ่มกล้า
กดคันเร่งขึ้นเนินโดยใช้คันเร่งประมาณ 70% เท่านั้น แรงบิดของเครื่องดึงรถ
ขึ้นไปยังกะวิ่งบนทางเรียบ จากนั้นยิงโค้งขวาหันกลับเข้าสู่ทางตรงขาลงก่อน 100R
จุดนี้เริ่มจับอาการพวงมาลัยได้ว่ามันทดมาแบบค่อนข้างกลางๆ ไม่ได้หักนิดเดียว
แต่รถเลี้ยวเยอะแบบ Subaru WRX STi หรือ Porsche บางรุ่น มันเป็นแบบที่ทำมา
กลางๆระหว่างใช้วิ่งในสนามแข่งกับใช้วิ่งบนทางตรงยาวๆด้วยความเร็วสูงมากกว่า
พวงมาลัยมีแรงขืนมือตามธรรมชาติเวลาเลี้ยวและเวลาเร่งส่ง น้ำหนักหน่วงมือ
พอประมาณ ผู้หญิงที่สามารถต่อยแฟนหน้าหันได้สามารถสนุกกับพวงมาลัยของ
GT-R Nismo ได้แน่นอน

จากนั้นผมก็เริ่มกดคันเร่งเต็มที่เกียร์ 3 กระโจนลงสู่โค้งขวา แต่ตรงนี้ผมยอมรับว่า
พลาดตรงที่เข้าโค้งมาเร็วไป และไม่ต้องมองเข็มความเร็วเลย ดูแต่วัดรอบกับเกียร์
น่าจะเข้าสู่โค้งด้วยความเร็วประมาณ 140-150 (รอบตีเกือบเรดไลน์เกียร์ 3) และ
ด้วยความที่ไม่รู้สึกเลยว่ากำลังใช้ความเร็วสูง กดเบรกช้าไป และกดหนักเกินไป
แต่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และระบบ VDC-R ก็จัดการทำหน้าที่ของมัน ผมรู้สึกถึง
จังหวะที่ล้อหลังขวาเบาหวิวไปชั่วขณะตอนเข้าสู่จุดหักของโค้ง แล้วจากนั้นรถก็
วิ่งไปตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (แต่จริงๆคนขับน่ะพลาด)

จากนั้นเร่งขึ้นเนิน มาเข้าโค้งตัว S1 ผมใช้เกียร์ 3 กำลังอยู่ใกล้เรดไลน์แต่เจอกรวยส้ม
วางขวางอยู่บนแบงก์ซ้าย/ขวา..ใครวางไม่รู้ เอาแบบกะไม่ให้ล้อปีนแบงก์เลยมั้ง
แถมพอรถคันนี้เป็นพวงมาลัยซ้ายเลยเกิดอาการประสาทกิน  เลยกดเบรกไปหน่อยนึง
แต่ก็เข้า S1 และต่อ S2 มาได้ตามปกติ ถึงปากโค้ง Honda ที่เป็นจุดหักกลับเกินมุมฉาก
นิดหน่อย ผมใช้วิธีเข้าช้าและกดออกเร็ว (เหมาะกับมือใหม่แบบผม) พอเห็นหน้าโค้งเปิด
แต่ล้อยังไม่คืนตัว ก็นึกสนุก สวนคันเร่งเพิ่มเข้าไป เวลาทำแบบนี้ในพวก WRX บอดี้
GC/GD รุ่นก่อนๆรถจะเกิดอาการหน้าดื้อโค้ง แต่ใน GT-R บอดี้หนักๆแบบนี้ รถกลับ
ดึงหน้าไปตามองศาพวงมาลัยที่ผมหมุน..นี่มันรถไฟเหาะที่วิ่งอยู่บนรางหรือเปล่า(วะ)

และพูดถึงพวงมาลัย..อัตราทดอาจจะไม่ได้ไวมาก แต่ ณ จุดนี้ผมพอสังเกตได้ว่า
ผมวิ่งรอบสนามพีระโดยที่พวงมาลัยแทบจะไม่หมุนเกิน 90 องศา จะมีแค่บางโค้งเท่านั้น
ที่ต้องหมุนเลยมาหน่อย แต่โดยรวม ผมสามารถกำพวงมาลัยด้วยสองมือ ไม่ปล่อยเลย
ตลอดรอบสนาม ซึ่งถ้าเทียบกับรถเก๋งทั่วไปที่พวกเพื่อนๆผมแต่งซิ่งแล้วเอามาอัดเล่น
ในสนามนี้ บางคัน โดยเฉพาะพวก Toyota ขับหน้ารุ่นเก่าผมต้องปล่อยมือข้างหนึ่ง
แล้วจับใหม่เพื่อให้สาวพวงมาลัยเลี้ยวได้ตามที่ต้องการ

ผมเข้าสู่โค้งก่อนทางตรงด้วยเกียร์ 3 แกล้งตบเบรกให้รอบลงต่ำกว่าที่ควรเป็นนิดหน่อย
เพราะจะดูอัตราเร่งและการแสดงพละกำลัง (ผมไม่ได้เริ่มที่เกียร์ 2 เพราะรถอย่าง
GT-R มีอัตราเร่งเกียร์ 1 กับ 2 เร็วจะตายห่าอยู่แล้ว) แรงบิดมาให้ใช้ตั้งแต่รอบต่ำๆ
กดแล้วมีแรงดึงมาแทบจะในทันที แต่ถ้าถามว่ารอบปลายลื่นไหม? ผมว่าช่วงหลัง
จาก 5,500 รอบไปมันเร่งช้ากว่าที่คิดนิดหน่อยจากการเทียบความรู้สึกกับ R35
รุ่นแรกๆที่เคยขับ..ส่วนต่าง 115 แรงม้ามันน่าจะเห็นชัดกว่านี้ แต่ก็อาจเกี่ยวข้องกับ
การเซ็ตรถ และความต่างของอุณภูมิที่น่าจะต่างกันราว 10-15 เซลเซียสด้วย

2016_04_GTRnismo_running02

ผมลากเกียร์ 3 จนสุด แล้วกดแพดเดิ้ลชิฟท์ไทเทเนียมอันขวา 1 ครั้ง เข้าเกียร์ 4
ลากต่อไปอีกครู่เดียวก็ตัดสินใจยกคันเร่งเพื่อเบรกเร็วกว่าจังหวะปกติ ความรู้สึกแรก
เหมือนจะเบรกไม่อยู่ แต่อันที่จริงไม่ใช่ว่าเบรกแย่ แค่เรามาถึงโค้งด้วยความเร็ว
ที่สูงกว่าปกติมาก กดเบรกให้ลึกลงไปอีกปัญหาก็จบ ผมเล่นโค้งซ้ายลงเนินต่อด้วย
ขึ้นเนินกับ U-Turn วกขวาด้วยความเร็วที่สูงขึ้น รถมันไปเหมือนกระดานแข็งๆ
แผ่นหนึ่งที่ไม่ยอมยุบ ไม่ยอมยวบ และเมื่อคุณสวมหมวกกันน็อคที่คับและบีบหู
จนแทบไม่ได้ยินเสียงภายนอก GT-R Nismo ทำให้คุณรู้สึกเหมือนกำลังขับรถซิ่ง
ทั่วไปแล้วใช้ความเร็วไม่มากนัก ทั้งที่ความจริงมันพุ่งเข้าและออกจากโค้งด้วย
ความเร็วสูงชนิดที่คุณไม่สามารถทำกับรถธรรมดาได้ ยิ่งเมื่อมองว่านี่คือรถขนาด
1.7 ตัน น้ำหนักของผมกับพี่ Instructor รวมกันน่าจะอีก 230 กิโลกรัม เจ้า GT-R
สีเงินนี่ทำตัวไม่เหมือนเหล็กหนัก 2 ตันเลยสักนิด ทุกครั้งที่ผมคิดว่ามันน่าจะออก
อาการหน้าดื้อ มันก็ไม่ออกอาการ จนบางโค้งผมพยายามจงใจแกล้งให้มันบานออก
รถก็วิ่งไปอย่างปกติ

จากนั้นก็วิ่งผ่าน S1 และ S2 อีกรอบ (คราวนี้รู้ตำแหน่งกรวยแล้ว) เลยใช้ความเร็ว
ไม่สูงมาก (ประมาณ 120-130) แล้วประคองพวงมาลัยแบบเนิบๆ ก่อนลองเบรก
อีกครั้งที่โค้ง Honda แบบตั้งใจเบรกหนักๆ หลังจากผ่านมือคนอื่นขับมาก่อนผม
และมาเจอผมอีก 2 รอบต่อกัน เบรก Brembo จัดการกับน้ำหนักตกคานเกือบ 2ตัน
กับพลังของรถได้อย่างไม่มีปัญหา นี่คือคุณค่าของเบรกดีๆที่หลายคนควรได้ลอง
ก่อนตัดสินใจโมดิฟายรถไป 4-500 ม้าแล้วจกเบรกอะไรมายำใส่รถตัวเอง

2 รอบสนามจบลง ใจผมอยากจะลองขับอีก ไม่ใช่ขอแค่รอบเดียว อยากจะเพิ่ม
อีกสัก 2 รอบ เพราะลำพังแค่ 2 รอบ บอกอะไรไม่ได้มาก รวมถึงอยากจะลองการ
ตอบสนองโดยใช้ Settings เกียร์, ช่วงล่าง และระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ
แต่ก็ตัดสินใจไม่ขออะไรเพิ่มเติม เขาให้เราขับ 2 รอบนี่ก็บุญหลายแล้ว

แต่ดูเหมือนว่า เจ้าของเว็บของเรา เขาได้ลองขับ GT-R Nismo เกิน 2 รอบ
เปล่าครับ J!MMY ไม่ได้ไปร่วมงานนี้ด้วย เพราะในช่วงเวลานั้น เจ้าตัวนอน
ป่วยเป็นผักอยู่ที่บ้าน มาได้ร่วม 1 เดือนกว่าๆ แล้ว เพียงแต่ว่า ในช่วงปี 2014
ถึง 2015 เจ้าตัวได้มีโอกาสลองขับ GT-R Nismo บนสนามแข่งระดับโลก
ถึง 2 แห่ง ทั้ง Silverstone ที่อังกฤษ และ Fuji Speed Way ในญี่ปุ่น

J!MMY เขาก็อยากแชร์ประสบการณ์ของเขาที่มีกับ GT-R Nismo ให้คุณๆ
ได้อ่านกัน ดังนั้น ย่อหน้าข้างล่างนี้ ผมยกพื้นที่(บางส่วน)ให้เจ้าตัวเขาแล้วกัน

2014_08_Nissan_GT_Academy_Drive_GT_R_2

********** ภาคผนวก **********
เมื่อ J!MMY เจอกับ GT-R และ GT-R Nismo ณ คนละฟากโลก!

ประสบการณ์ครั้งแรกของผม กับ Nissan GT-R Nismo นั้น ย้อนกลับไปยังวันที่ผม
ร่วมเดินทางไปชมและให้กำลังใจ 5 ผู้เข้าแข่งขันรายการ Nissan GT Academy
ครั้งที่ 1 จากเมืองไทย เมื่อวันที่ 12-17 สิงหาคม 2014

ในระหว่างรอดูผลการแข่งขัน ว่าน้องๆทั้ง 5 คน จากทีมไทย จะไปถึงฝันหรือไม่
ทางทีมงาน GT Academy เขาจึงจัดให้เราได้ลองขับรถยนต์ รุ่นเดียวกับกับที่กลุ่ม
ผู้เข้าแข่งขัน จากทุกชาติ ต้องลองขับ ด้วยเหตุผลเพราะว่า ต้องการให้สื่อมวลชนที่
เข้าร่วมงานครั้งนี้ ได้สัมผัสประสบการณ์ แบบใกล้เคียงกับสิ่งที่น้องๆทั้งหลาย เขา
ได้พบเจอกับตัวเอง…

ถ้าคิดว่า Nissan เตรียม Pulsar ใหม่ เวอร์ชัน ยุโรป หรือ แค่ Juke Nismo มาให้
เราได้ลองขับกัน นั่นก็คงจะดูธรรมดาๆไปหน่อย ไหนๆจะจัด Event ระดับโลกกัน
ใหญ่โตขนาดนี้ รถยนต์ที่นำมาให้เราได้ลอง ก็ย่อมต้องเป็นรุ่น…แรงไม่ธรรมดา
สถานเดียว…

ใช่แล้วครับ.พวกเขา จัดเตรียม บรรดา ขุนพลตัวแรงระดับสูงสุดในสายการผลิต
ของ Nissan ทั่วโลก มาให้เราได้ลองขับกันรวม 4 รุ่น ได้แก่ Juke Nismo , 370 Z
Nismo, GT-R และ GT-R Nismo…!

Juke Nismo ผมก็เคยเขียนถึงไปแล้วในบทความ ที่คุณสามารถย้อนอ่านได้ในเว็บ
ของเรา ส่วน 370Z Nismo มีบุคลิกการขับขี่ภาพรวมที่ให้สัมผัสของรถสปอร์ตแท้
แถมยังรื่นรมณ์ในโค้ง และกระชับคล่องแคล่วกว่า GT-R นิดหน่อย ตามปกติของ
รถยนต์ที่มีขนาดเล็กกว่า (แต่ห้องโดยสารก็อึดอัดกว่า GT-R) ดังนั้น เราคงจะไม่
ขอพูดถึงทั้ง 2 คันดังกล่าวในตอนนี้

เพราะประเด็นสำคัญนั่นคือ…นี่จะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้มีโอกาสทดลองขับ
ทั้ง GT-R และ GT-R Nismo!

13 สิงหาคม 2014 วันแรกที่ไปถึงสนาม Silverstone เราถูกต้อนให้ไปร่วมกิจกรรม
ต่างๆ และปิดท้ายด้วยการลองขับ GT-R รุ่นมาตรฐานกันก่อน บนสนามใหญ่ที่สุด
ของ Silverstone หรือ Internation Course เพื่อทำความคุ้นเคยกับความแรงของ
GT-R ในแบบมาตรฐาน กันก่อน โดยรอบแรก มีนักขับที่ได้แชมป์อันดับ 1 รายการ
GT Academy USA ปีแรก มาขับให้นั่ง….

ตามปกติ ผมไม่ชอบให้ใครมาขับรถให้ผมนั่ง เพราะกลัวจะเกิดอุบัติเหตุ หรือกลัวว่า
เขาจะควบคุมรถไปในทางที่จะทำให้ผมหัวใจวายตายคารถได้

ทว่า คราวนี้ ช่วยไม่ได้จริงๆครับ มันเป็นข้อบังคับว่า ถ้าจะต้องขับ คุณต้องให้นักขับ
ฝรั่งคนนี้ เขาพาวนรอบสนามสัก 2 รอบ ก่อนที่คุณจะได้ขับจริงอีก 2 รอบ เรียกได้ว่า
อ่านไลน์สนาม International Course ของ Silverstone จนจำได้ขึ้นใจ เอามาใช้
เล่นเกมส์มือถือ Real Racing 3 ทุกวันนี้ ได้อย่างสนุกสนาน!

ผมบอกกับนักขับว่า ช้าๆหน่อยก็ได้นะ เรากลัว พอใส่หมวกกันน็อก (ตามกฎของทาง
สนาม) เข้ามานั่งในรถ คาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จสรรพ พี่ท่านก็ออกตัวปรู๊ดดดดด พุ่งไป
หน้าโค้งขวาแรกทันที…โอยยย ผมนี่คว้ากล้องมาถ่ายแทบไม่ทัน แรงดึงมันกระชาก
พอสมควรเลยทีเดียว (แม้จะยังไม่เท่า GT-R Nismo ก็ตามเถอะ)

พูดกันตามตรง ผมว่า มันแรงสะใจเอาเรื่องเกินพอแล้ว สำหรับการใช้งานในชีวิต
ประจำวัน น้ำหนักพวงมาลัยที่หนืดกว่า Nissan ทั่วๆไปหน่อยนึง ช่วยให้การบังคับ
ในช่วงความเร็วต่ำทำได้ง่ายดาย ช่วงล่างของรถระดับนี้ ไม่ต้องห่วงครับ เข้าโค้ง
ไปได้เลย ใส่เข้าไปในความเร็วที่เหมาะสม เร็วกว่ารถที่คุณเคยขับมาสักประมาณ
10-15 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในโค้งเดียวกัน ได้เลย เสียงเครื่องยนต์ก็แผดคำรามได้
หวานไพเราะเสนาะหูกำลังดี ผมชอบนะ มันเป็นรถที่ผมอยากได้มาใช้ในชีวิตจริง
สักคันนึงเลยละ

2014_08_Nissan_GT_Academy_Drive_GT_R_Nismo_2

วันรุ่งขึ้น 14 สิงหาคม 2014 หลังจากตื่นเช้า ออกจาก โรงแรม Whitterburry
อันเป็นที่พักของเราซึ่งค่อนข้างใกล้สนาม Silverstone มากที่สุดแล้ว (อาหาร
ของโรงแรม ห่วยแตกมาก!) เราก็เข้าร่วมกิจกรรม ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
แล้วตามด้วยการลองของจริงกับ GT-R Nismo กันบริเวณสนามขนาดเล็ก
(แต่ก็ยาวเป็นกิโลเมตรนะเธอ!) บริเวณ Race Camp ของทีม GT Academy

แอบรู้สึกเสียดายนิดหน่อย อุตส่าห์มีโอกาสลองขับ GT-R Nismo ทั้งที อยาก
ลองกระทืบคันเร่ง แล้วไปเบรกให้ใกล้โค้งกว่านี้ ดันเจอฝนตกพรำๆจนได้
ที่เซ็งยิ่งกว่านั้นก็คือ พอนาฬิกาเดินคล้อยไปยังช่วงบ่าย อีก แค่ชั่วโมงต่อมา
ฝนหยุดตกจ้า! เหมือนแกล้งกันเลยจริงๆ

Instructor ชาวอังกฤษ แนะนำตัว ทักทาย และปล่อยผมพา GT-R Nismo
ค่อยๆ เคลื่อนออกจากสนามช้าๆ วนสักรอบ เพื่อให้คุ้นชินกับสภาพสนาม ซึ่ง
ถือว่าขับไม่ยากเลยครับ ออกจาก Pit Stop ก็เลี้ยวซ้าย กดกันยาวๆ จนถึงช่วง
ทางโค้งซ้าย ที่ค่อนข้างจะหักศอกอยู่สักหน่อย ถ้าเบรกช้าไปละก็ คงได้พุ่งชน
ขอบกำแพงสนาม หรืออาจทะลุเข้าอาคาร Main Stadium ของ Silverstone
เข้าเลยก็เป็นได้ จากนั้น ก็หักขวานิด ซ้ายอีกหน่อย วนอ้อม Loop กลับมา
จนถึงหน้า Pit ตามเดิม

พวงมาลัยของ GT-R Nismo จะกระชับและมีความหนืดเพิ่มจาก รถรุ่นปกติ
นิดนึง แม้ในช่วงความเร็วต่ำ ก็สัมผัสได้ว่าเป็นเช่นนั้น บุคลิกของตัวรถจะ
ค่อนข้างดิบเถื่อนเพิ่มจากรุ่นปกติ ราวๆ 20% โดยการประมาณของผมเอง
พอพ้นโค้งซ้ายแรก Instructor บอกให้ผมเหยียบเต็มตีน ใส่ไปเลยเต็มที่

เดี๋ยวนะลุง..พื้นมันลื่นนะ

ลุงแกบอกว่า เอาเลย ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ATTESA
E-TS มันเอาอยู่น่า…

เอาวะ เชื่อลุงละกัน เขาเป็นเจ้าถิ่นนี่หว่า…กระทืบคันเร่งมิดตีน…

เท่านั้นแหละครับคุณผู้อ่าน ตัวรถถูกดึงกระชากไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและ
รุนแรง ยิ่งกว่าที่ผมเคยสัมผัสจาก Mercedes AMG GT-S เสียอีก! มันเหมือน
คุณกำลังนั่งอยู่ในยานข้ามผ่านทะลุมิติเวลา มันเร็วแบบ “วาร์ป” คุณจะรู้สึกใน
เสี้ยววินาทีนั้นเลยว่าก้อนสมองมันพุ่งทะลุไปข้างหน้าแล้ว ขณะที่หัวกะโหลก
ของคุณยังถูกตรึงเอาไว้กับพนักพิงเบาะ RECARO อยู่เลย!!! แม้ว่าอยูบนพื้น
ลื่นๆ ตัวรถก็ไม่มีอาการปัดเป๋ใดๆให้เห็นในขณะเร่งตรงไปข้างหน้าทั้งสิ้น ผม
รับรู้ได้ทันทีว่า มันทั้งตื่นเต้น สนุก แรงยิ่งกว่าคำว่าสะใจ

ข้างหน้า ทางโค้งซ้ายอยู่ไกลๆ ป้ายบอกให้เบรกเริ่มใกล้เข้ามา ด้วยเหตุที่ผม
เน้นความปลอดภัย กลัวตาย และกลัวทำรถเขาพัง รอบแรกก็เลยเริ่มแตะแป้น
เบรกแต่เนิ่นๆ แล้วค่อยเหยียบลงไป แป้นเบรกบังคับควบคุมง่ายครับ เบาและ
Linear ดีพอประมาณเลยละ เมื่อเทียบกับสภาพตัวรถที่่เพิ่งผ่านเท้าของบรรดา
นักข่าวจากหลายประเทศก่อนหน้าเรา อุณหภูมิจานเบรกที่สูง จนมีกลิ่นไหม้ให้
ดมเล่นขณะยืนอยู่ที่ Pit Stop เป็นสิ่งที่เตือนให้ผมรับรู้ว่า อย่าเล่นกับเบรกมาก
นัก ขับแบบชาวบ้านๆ ไปนั่นละดีแล้ว เข้าโค้งโดยพยายามชิด APEX โค้งไป
เนียนๆ ออกโค้งก็กดคันเร่งส่งอีกสักหน่อยตามประสา

พอรอบสุดท้าย เริ่มคุ้นเคยกับรถมากขึ้น ก็เริ่มซัดสิครับ ทีนี้ละสนุก เริ่มเห็น
อาการสไลด์เล็กๆ ขณะแตะเบรกเบาะแล้วเลี้ยวเข้าโค้ง แต่ตัวรถนั้นยังง่าย
ต่อการควบคุมอยู่ แหงสิครับ ทุกระบบ ลุง Instructor จับเปิด Mode Auto
ทั้งหมดเลย ปล่อยให้รถมันช่วยเราควบคุมไปเสียหมด ในช่วงทางตรงก่อน
เข้าโค้งซ้ายหลัก จำได้ว่า ผมกดเข้าไปราวๆ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนพื้น
ลื่นๆ แบบนั้นนั่นละครับ ก่อนจะรีบถอนเท้ามาค่อยๆเติมน้ำหนักลงบน
แป้นเบรก ส่งรถให้เลี้ยวเข้าโค้งซ้ายกันเนียนๆ แล้วก็พารถกลับคืนสู่ Pit
Stop ได้เรียบร้อย ปลอดภัย

ถึงจะเป็นการลองขับสั้นๆ 3 รอบสนาม แต่ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผมได้
มากมาย จนแอบเก็บมาคิดเล่นๆว่า หากในวันข้างหน้า เรามีโอกาสได้ลองขับ
GT-R Nismo อีกสักครั้ง ก็คงดี….

ใครจะไปคิดละว่า Nissan เขาจะใจดี จัดให้ผมอีกรอบ ในอีกไม่กี่เดือนถัดมา!!
เพียงแต่ว่า คราวนี้ ผมต้องบินไปถึงญี่ปุ่น….

2014_12_Nissan_GT_R_Nismo_Fuji_Speedway

4 ธันวาคม 2014

หลังจากเดินชมงาน Nismo Day ในวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2014 กันอย่างหนำใจ
ก็ได้้เวลาที่เราจะเข้าสู่โปรแกรมการทดลองขับ ทั้ง Nissan 370 Z Nismo และเจ้า
GT-R Nismo ที่หมายปองไว้เสียที

ครับ หลังจากลองขับ ก๊อซซิลล่าตัวจ่าฝูงที่สนาม Silverstone มานิดหน่อย แค่พอ
หอมปากหอมคอ ผมก็คาดหวังอยู่ว่า ระยะทางในสนาม Fuji Speedway น่าจะช่วย
ให้ผมดึ่มด่ำกับประสบการณ์หลังพวงมาลัยของ GT-R Nismo ได้อย่างเต็มอิ่มสม
อุรา

ทว่า…เช้าวันนั้น ฝนเจ้ากรรม..ดันตก…แถมตกเป็น Shower Rain หนักกว่าตอนอยู่
Silverstone เสียด้วยซ้ำ

มันจะอะไรกันนักกันหนาว้อยยยย เจอ GT-R Nismo ทีไร มันต้องเจอฝนพร้อมกัน
ทุกทีสิน่า นี่แทบอยากจะเปิดเพลง “เธอมากับฝน” ประกอบบทความ ร้องคลอตาม
ไปเลยแล้วนะ!

ในฐานะ 1 ใน 2 สื่อมวลชนจากไทยที่เข้าร่วมงานในวันนั้น ผมก็ได้แต่หวังว่า เราจะ
โชคดีที่ฟ้าฝนจะเป็นใจกว่านี้ แต่ดูเหมือนเบื้องบนไม่เข้าข้าง คงเห็นว่าพวกเราตื่น
เช้ามาก การควบคุมรถอาจยังไม่ดีพอ ก็เลยปล่อยฝนลงมาให้ช่วยชะลอความเร็ว
เพื่อความปลอดภัยกันเสียเลย

กระนั้น โชคยังเข้าข้างอยู่บ้าง ผมก็บอกกับทาง Instructor ที่จะขับนำเราตลอด
เส้นทางการขับ 2 รอบสนาม ว่า ผมเคยมีประสบการณ์กับ GT-R Nismo มาแล้ว
ถ้ามีจังหวะ คุณเร่งความเร็วนำขึ้นไปได้เลย ไม่ต้องห่วงผม…เดี๋ยวผมจะตามเข้า
ไปหาคุณเอง

Instructor ก็สนองให้ตามความประสงค์สิครับ ในรอบแรก อาจจะยังพอทิ้งช่วง
ค่อนข้างน้อย เพื่อให้คุ้นเคยกับไลน์การเข้าโค้งในสนามก่อน ผมพบว่า GT-R
Nismo นั้น แอบจะมีอากาศพยศเล็กๆบนถนนลื่น นี่ขนาดว่า เปิดระบบตัวช่วย
เป็น Auto ทั้งหมด ปล่อยให้รถสั่งการไปตามเรื่องของมันเองแล้วเชียวนะ

ในช่วงความเร็วต่ำ ผมเห็นด้วยกับพี่แพน ครับ มันควบคุมง่ายดายกว่าที่คิด
ไม่ยากเลย คุณป้าขายส้มตำข้างบ้านก็ขับได้ ขอแค่ป้าอย่าเหยียบคันเร่ง
จนเกินกว่า 25 เปอร์เซนต์ของระยะเหยียบทั้งหมด และปรับโปรแกรมไว้ที่
Auto ก็พอ

เพราะถ้าเหยียบเกินกว่านั้นหนะหรือครับ มันก็ดึงกระชากคุณจน “วาร์ป” ไง
พอพ้นทางโค้งสุดท้าย เข้าสู่ทางตรงผ่านหน้าอัฐจรรย์ Instructor เหมือน
จะรู้ใจผม แกกดคันเร่งนำผมไปไกลมาก จนผมต้องกดตาม มองความเร็ว
บนมาตรวัดอีกที…190 กิโลเมตร/ชั่วโมง บน พื้นลื่น+ Shower Rain !!!

โห!!! ตามไม่ทันฮะ..ปล่อยน้า Instructor เค้านำไปเลยแล้วกัน โค้งหน้า
รออยู่ ผมชะลอรถมาแต่ไกล เริ่มเบรกตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ร้อง (กลัวทำรถเค้า
แหกโค้งไง) แล้วก็เริ่มเข้าโค้งขวาเนียนๆ ลัดเลาะไปตามมุม APEX ของ
แต่ละโค้งอย่างสบายๆ มีอาการไถลลื่นเล็กๆน้อยๆ พอให้ประสาทสัมผัส
ตื่นตัวเล็กๆ เป็นธรรมดา ก่อนที่ลุงเขาจะพาเรากลับเข้า Pit Stop เป็นอัน
หมดเวลาสำหรับเครื่องเล่นสวนสนุกแบบไม่ต้องหยอดเหรียญคันนี้อย่าง
น่าเสียดาย

พูดก็พูดเถอะ ผมอยากเอา GT-R Nismo มาทำรีวิวอย่างจริงจังเหมือนกัน
อยากรู้ว่า การใช้ชีวิตกับรถคันนี้ เราต้องเตรียมรับมือกับอะไรบ้าง ต้องจ่าย
ค่าน้ำมันเท่าไหร่ ดูแลรักษาอย่างไร อัตราเร่ง และการใช้งานในชีวิตแต่ละ
ประจำวันจะเป็นอย่างไร

หาใช่อะไรหรอก ผมแอบแค้นเคืองไง เจอกรถคันนี้แต่ละที ฝนเทลงมาทุกที
พอเจอกันครั้งที่ 3 ในอีก 1 ปีต่อมา ที่งาน Nissan 360 เมื่อธันวาคม 2015
ทีมงานชาวญี่ปุ่น ให้นั่งไปกับ Instructor แต่ไม่ให้ขับฮะ!! นัยว่าโปรแกรม
ถูกกำหนดมาอย่างนี้ เพื่อความปลอดภัย

พอรถคันนี้มาถึงเมืองไทย อีเวนท์นี้ ก็ถูกจัดขึ้นในช่วงเวลาที่ข้าพเจ้านอนป่วย
ดวงชะตา ช่างไม่สมพงษ์กันเสียเลย

อย่างไรก็ตาม สำหรับผมแล้ว GT-R Nismo แตกต่างจาก GT-R รุ่นปกติอย่าง
ชัดเจน มันดิบขึ้นกว่ากันราวๆ 20% ทั้งพวงมาลัยที่แอบหนืดขึ้นนิดๆ เบรกที่
ตอบสนองมั่นใจขึ้นนิดหน่อย แต่จุดขายจริงๆ อยู่ที่พละกำลังซึ่งเล่นเอาผม
ถึงขั้นรู้สึกเหมือนถูกเปิดวาร์ปจากโลกหนึ่งไปยังอีกมิติหนึ่งในเสี้ยววินาที

มันดูเหมือนเป็นรถบ้านๆ ธรรมดา ที่ใครๆก็ขับได้ นั่นจริงอยู่ แต่ถ้าเผลอกด
คันเร่งมากกว่าปกติเมื่อไหร่ มันพร้อมจะกลายร่างเป็นก๊อซซิลลาตัวพ่อที่
คอยไล่เขมือบตะบี้ตะบันแซงบรรดารถขับช้าทั้งหลายในแทบจะทันที

มันเป็นรถยนต์ 600 แรงม้า (PS) ที่ทำตัวเหมือนรถบ้านๆ 200 แรงม้า (PS)
ในยามขับขี่แบบปกติ แต่อย่าไปสะกิดต่อมมันเชียวละ! มันจะสร้างความ
ประทับใจไม่มีวันลืมให้กับคุณ เหมือนอย่างที่ผมได้ประสบมาแล้วกับตัว
จนต้องขอเก็บไว้เป็น หนึ่งในรถยนต์ที่ขับแล้ว ชอบที่สุดเท่าที่เคยเจอมา
ตลอด 15 ปีของการทำงานในวงการนี้เลยทีเดียว

แล้วความเห็นของพี่แพนต่อรถคันนี้จะเป็นอย่างไร?
เลื่อนลงไปอ่านข้างล่างได้เลยครับ พี่แพนรออยู่แล้วละ!

——————————–

2016_04_GTRnismo_standbyme

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
รถโหดแบบหลอน สั่งได้ดังใจ เก่งหรือไม่ คุณก็เร็วได้ถ้ากล้าพอ

ในตอนแรกที่ผมยังไม่รู้จัก GT-R Nismo นั้น ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นรถประเภทที่
ถูกปรุงแต่งมาให้มีความดิบมากกว่า GT-R รุ่นปกติ มันน่าจะเป็นรถที่เน้นการซิ่งมาก
และน่าจะขับใช้งานได้ยาก นั่งไม่สบาย แต่แรง และเลี้ยวแบบสั่งได้ ใจผมนึกไปถึง
การเทียบ 911 ธรรมดา กับ 911 GT3 RS หรือเทียบระหว่าง Lamborghini Gallardo
รุ่นธรรมดา กับรุ่น Superleggera

แต่พอเอาเข้าจริง มันดูจะคล้ายกับการยกระดับจาก 911 Turbo เป็น 911 Turbo S
มากกว่า เพราะแม้องค์ประกอบหลายอย่างจะถูกพัฒนาเพิ่มเติมเข้าไป แต่ในภาพรวม
ตัวรถก็ยังมีความใกล้เคียง Performance Car บนท้องถนน มากกว่าที่จะเป็นรถแบบ
พร้อมแข่ง ซึ่งนั่นก็ตรงตามเจตนารมย์ของ “Nismo Road Car” ซึ่งผมเพิ่งมาทราบ
เอาหลังจากที่ได้ฟังการบรรยายของคุณ Hiroshi Tamura ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึง
Chief Product Specialist ของ Nismo ให้เกียรติบินจากญี่ปุ่นมาบรรยายถึงที่สนาม
เขาเน้นย้ำว่า Nismo Road Car นั้นจะยกระดับสมรรถนะของรถให้สูงจากรุ่นปกติ
แต่ยังต้องเป็นรถที่สามารถขายได้ จดทะเบียนได้ถูกต้องตามกฎหมายและยังสามารถ
ขับใช้งานได้ง่าย แต่ไม่ได้เอาความสบายในการขับมาเป็นสิ่งสำคัญเหนือไปกว่า
อัตราเร่ง การเกาะถนน และความมันส์ในการขับ GT-R Nismo สร้างมาเพื่อลูกค้า
ประเภทที่ชอบรถสวย ขับดี พอเจอรถรุ่นใหม่ๆออกมาก็จะรีบเปิดไปดูสเป็คแรงม้า
แรงบิดก่อนเป็นอันดับแรก และเป็นพวกที่ชอบการแข่งรถ รวมถึงชอบการได้ขับรถ
ในสนามแข่งเป็นประจำ

ถ้านั่นคือความตั้งใจของ Nismo ในการปรับจูนรถรุ่นนี้ ผมคิดว่าพวกเขาก็ประสบ
ความสำเร็จครับ แม้ว่าผมยังไม่ได้ขับรถ GT-R รุ่นหลังๆมา แต่ถ้าเทียบกับรถล็อตแรก
แล้ว ช่วงล่างของตัว Nismo ไม่ได้แข็งกว่ากันมากอย่างที่คิด แต่ควบคุมการโยนตัว
เวลาเข้าโค้งได้ดีกว่า การทำงานของเกียร์ไวเท่ากัน แต่ที่ความเร็วต่ำๆนิสัยก็เรียบร้อย
ขึ้น เครื่องยนต์มีพละกำลังสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ไม่ต้องเอานาฬิกามาจับก็รู้ว่า
แรงช่วง 4-6,000 รอบนั้นดึงตึงกว่าเดิมมาก แม้ว่าช่วง 5,500-6,800 จะไม่ลื่น
อย่างที่จินตนาการไว้ก็ตาม

การบังคับควบคุมรถทำได้ไม่ยาก พูดว่านี่คือรถ 600 ม้า คนอาจจะกลัว แต่การขับ
รถที่ออกแบบทุกอย่างมาเพื่อรับ 600 แรงม้าอย่าง GT-R Nismo มันให้ความรู้สึก
มั่นใจมาก เทียบกับการเอา Silvia หรือ 200SX ม้าโมดิฟายให้ได้ 4-500 แรงม้า
แล้วจะต่างกันแบบหลังเท้ากับหน้ามือ GT-R Nismo สามารถสร้างความเร็วได้
อย่างน่ากลัว แต่ที่น่ากลัวกว่าคือมันปิดกลบประสาทสัมผัสด้านความเร็วของคุณหมด
ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อและระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ และเสียงเครื่องที่ทุ้มต่ำ
เสียงท่อก็ไม่ได้ดังอะไรเลยถ้ามองจากมุมของคนที่ขับ Honda VTEC DOHC
ใส่ท่อตรงมาแล้ว ทั้งหมดนี้ทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ขับเร็วเท่าไหร่ และยังกด
ต่อได้อีกมาก นั่นก็เป็นดาบสองคม อีกด้านหนึ่งดูปลอดภัยมาก แต่ถ้าอัดเกินลิมิต
เมื่อไหร่ ก็เดาได้ยากว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมตอบไม่ได้ เพราะลิมิตของ GT-R อยู่สูง
กว่าลิมิตของใจและร่างกายของผม

2016_04_GTRnismo_pitpark

ถ้าคุณต้องการรถสักคันที่มีพลังอัตราเร่งรุนแรง มีการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม
และชอบรถประเภทที่ไม่แว้งกัดเจ้าของโดยเด็ดขาดถ้าไม่ใช่ว่าเจ้าของทำอะไรที่
สมควรแก่การโดนกัดคืนจริงๆ GT-R Nismo คือรถประเภทนั้น มันคือเครื่องจักรที่
ถูกสร้างบนพื้นฐานว่า “วิ่งรอบสนามได้เร็วที่สุด ชัวร์ที่สุด แม่นที่สุด” แต่ในขณะ
เดียวกันประสิทธิภาพทุกอย่างก็มาในคราบรถขนาดใหญ่ที่ภายในนั่งสบาย
อุปกรณ์ต่างๆเข้าใจง่าย ใช้งานไม่ยาก คุณสามารถขับ GT-R Nismo พาแฟน
ไปซื้อของตอนห้างเปิด..เปิดกระจกนอนรอในรถเมื่อคุณแฟนเพลินกับการช้อปปิ้ง
นานเกินควร จากนั้นก็ซิ่งไปพีระเซอร์กิตหรือแก่งกระจานแล้วก็ไปวิ่ง Club Race
ในสนามเล่นกับเพื่อนๆคนอื่นแล้วไล่กดตูด Porsche, Lamborghini หรือ Ferrari
เล่นในสนาม จากนั้นพาแฟนไปกินซีฟู้ดดีๆแล้วค่อยกลับบ้าน

มันน่าเสียดายอยู่แค่  3 เรื่องคือ

1. ถ้าคุณต้องการรถที่มีบุคลิกโหดแบบเปิดเผยเสียงดัง ดุดัน พยศ GT-R Nismo
อาจไม่ใช่รถประเภทนั้น และคุณอาจต้องไปหาซูเปอร์คาร์ยุโรปแบรนด์อื่นๆไม่ว่าจะ
เป็นม้าหรือกระทิง ซึ่งราคาก็สูงกว่ากันอยู่มาก ถ้าจะเอาราคาเท่าๆกันก็คงต้องหารถ
มือสอง ซึ่งหวังว่าคุณน่าจะมีงบค่าซ่อมไว้บ้างอยู่แล้ว

2. ถ้าคุณชอบรถที่ขับแล้วสนุก เล่นอะไรซนๆได้ อยากดริฟท์ อยากโดนัทเล่น
GT-R Nismo ก็คงไม่เหมาะ มันเป็นรถที่สร้างมาสำหรับความเร็ว ไม่ใช่ลีลา ถ้าชอบ
รถที่เล่นซนกับควันเยอะๆได้ คุณน่าจะมองรถขับหลังพลังเยอะๆที่ราคาไม่แพงหูฉีก
มากนักเช่น Fairlady Z หรือ BMW M2 ก็พอ หรือถ้างบมากหน่อยก็ Porsche
Cayman GT4 เกียร์ธรรมดา น่าจะตอบโจทย์เรื่องความสนุกแบบซนๆได้ดีกว่า

ส่วนข้อ 3 อันนี้เป็นข้อที่เซ็งเป็ดที่สุดครับ

GT-R Nismo มียอดผลิตจำกัดสูงสุดไม่เกินเดือนละ 200 คัน และ Nissan
ประเทศไทยไม่ได้นำเข้ามาจำหน่าย และจะไม่มีการนำเข้ามาจำหน่ายใน
อนาคตอันใกล้นี้แน่นอน

หลอกให้อ่านบทความมาตั้งนาน ขอจบแบบกวนๆแค่นี้ล่ะครับ

 

2016_04_GTRnismo_end

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Nissan Motors (Thailand) จำกัด
สำหรับประสบการณ์การขับขี่ และการประสานงานอย่างดีทุกด้าน

 


Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ เนื้อหาบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย เป็นผลงานของผู้เขียน  และช่างภาพของ Nissan
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
2 พฤษภาคม 2016

Copyright (c) 2016 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
2 May 2016

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are welcome! CLICK HERE!