เวลาที่ยาวนาน 12 ปี เปลี่ยนอะไรได้บ้าง?

คุณลองนึกย้อนกลับไปได้หรือไม่ว่าในปี 2007 หรือในช่วงเวลาประมาณนั้นเกิดอะไรขึ้นกับคุณบ้าง สำหรับตัวผม 2007 คือปีของการเจริญก้าวหน้าในที่ทำงาน..ก้าวหน้าในที่นี้คือย้ายฝ่ายใหม่ จากงานการตลาดและการขายบริการ (ของธนาคาร) ไปทำงานด้าน E-Banking ฟังดูเหมือนดี แต่ที่จริงในยุคสมัยนั้น ที่ธนาคารผม งาน E-Banking เป็นงานโรฮิงญา ไม่มีใครอยากยุ่ง ไม่มีใครอยากรับ ยกเว้นคุณไก่อดีตเจ้านายผม งานในฝ่ายใหม่จึงเริ่มขึ้นด้วยคำว่า “มาลองกับพี่มั้ย เราเริ่มกันสองคน แต่วันหน้า พี่เชื่อว่ามันจะยิ่งใหญ่”

ทุกวันนี้ เมื่อผมกลับไปเยี่ยมเพื่อนๆ ที่ทำงานเก่า ก็นึกถึงวันนั้น ที่ผมรับเงินเดือน 14,000 บาท พกโทรศัพท์ Sony Ericsson K500 ที่ซื้อมามือสองด้วยเงินเก็บตัวเอง นั่งทำงานเอกสาร และแอบเปิดดู hi5 หรือฮาวายพิคโพสท์นานๆทีเพื่อความผ่อนคลาย (จำได้กันใช่มั้ยกับภาพสาวสวย pixel ต่ำซูมปุ๊บภาพแตกปั๊บ) ทุกวันนี้ฝ่าย..กลายเป็นสายงานใหญ่ มีคนกว่าร้อย ผสมผสานทั้งไทย เอเชีย อินเดีย ยุโรปทำงานอยู่ในนั้น ถ้าคุณเปิดโทรศัพท์แล้วมี Application “TMB Touch” ก็ขอให้รู้ไว้ว่ามันคืองานที่ผมมีส่วนร่วมชิ้นสุดท้ายก่อนลาออกมา เพราะไม่สามารถควบ 2 จ๊อบทั้งแบงก์และ Headlightmag ไหวอีกต่อไป มันเหนื่อยครับ

ปี 2007 ยังเป็นปีที่ Chevrolet ในประเทศไทย เปิดตัวรถ SUV รุ่น Captiva (C100) ซึ่งเป็นรถที่มาด้วยเหตุผลว่า Zafira ซึ่งเป็นรถ MPV ขนาดกระทัดรัด ออกแบบทางวิศวกรรมโดย GM เยอรมัน (Opel) นั้นขายมานานมาก หลังจากที่ช่วยก่อร่างสร้างแบรนด์ Chevrolet ในประเทศไทยและสร้างยอดขายชนิดเจ้าตลาดอึ้งอยู่พักใหญ่ ก่อน Toyota จะเอา Wish เข้ามาปราบ ทำให้เมื่อเวลาผ่านไปความน่าซื้อก็น้อยลง GM ตัวแม่จึงตัดสินใจให้เอา Daewoo Winstorm มา Rebadge ใส่ตราโบว์ไทของ Chevrolet

แม้จะเป็นลูกครึ่งเกาหลี อเมริกัน แต่ความหล่อเหลาทะมัดทะแมงของ Captiva บวกกับสไตล์ภายในที่มีความเรียบร้อยทันสมัย ทำให้ Captiva เจนเนอเรชั่นแรกสร้างยอดขายได้น่าพึงพอใจ แม้ว่ามันจะอืดอาดและพนักพิงศีรษะเบาะหน้าดันหัวในระดับที่ไม่น่าให้อภัย Captiva เป็นรถที่เข้ามาทำหน้าที่แทน Zafira ได้อย่างเหมาะสม ะกระแสยนตรกรรมเริ่มหันเหจากรถ MPV เป็น SUV Captiva ช่วยเสริมให้รถในไลน์อัพของ Chevrolet สมบูรณ์เพราะเดิมมีแต่ Colorado และ Optra เท่านั้นที่ขายอยู่

12 ปีผ่านไป กับการไมเนอร์เชนจ์ 2 ครั้งและอัปเดตขุมพลังกับระบบขับเคลื่อน 1 ครั้ง Captiva C100 ณ ปี 2018 มีสถานะทางการตลาดเหมือนปู่คลินท์ อีสต์วู้ด มันยังหล่อ คมคาย ดูน่านับถือ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นรถที่แก่ในวัย และไม่สามารถทำอะไรได้มากเหมือนสมัยก่อน แล้วยังบวกด้วยปัญหาเรื่องภาพลักษณ์องค์กรที่ดูแล้วเหงาเหมือนสวนสนุกที่ถูกปิด เหลือแต่ SUV พื้นฐานกระบะอย่าง Trailblazer และกระบะอย่าง Colorado ที่ออกรุ่นย่อยตามลักษณะดินฟ้าอากาศมาเรื่อยๆ

ในปี 2018 มีข่าวว่า Chevrolet จะนำเอารถจีนอย่าง Baojun 530 มาขายโดยใช้ชื่อว่า Captiva ทำเอาผมแทบเอาขาหลังเกาหู 2-3 แกร็ก ก่อนจะถามว่า “ได้เหรอวะ” เพราะแม้จะเป็น SUV เหมือนกัน และว่ากันด้วยมาตรฐานรถจีนยุคใหม่มันจะมีโอกาสในการทำตลาดอยู่ แต่ภาพลักษณ์ของรถสองเจนเนอเรชั่นนี้ต่างกันสุดขั้ว เพราะมันมีพ่อคนเดียวกัน แต่คนละแม่ Captiva ตัวใหม่ เป็นผลงานพันธมิตรระหว่าง SAIC-GM-Wuling Motors (SGMW) ที่สลัดความสปอร์ตหนุ่มหล่อไปสู่รูปทรงที่เป็น “Family carrier” เหลี่ยมป่องป้านใหญ่ จะได้เหรอ

แต่เมื่อ Chevrolet เชิญสื่อมวลชนไปดูรถคันจริง ไปขับที่เมืองจีน และมีการนำรถมาโชว์ตัวที่งาน Thailand International Motor Show เมื่อต้นปี 2019 ผมได้เห็นตัวรถและรู้สึกว่า เออ..มันยังพอมีทาง มันยังได้อยู่ และจากที่คุณหมูคอยมอนิเตอร์ Comment ของพวกคุณๆผู้อ่านในเพจ Official ของเราหลังจากที่ออกข่าวการเปิดตัวของรถเมื่อวันที่ 9 กันยายน ผลออกมากลับกลายเป็นว่า มีคนยี้น้อยกว่าที่คิดมาก และมีคนที่สนใจเยอะกว่าที่คาดไว้ ผิดจากที่ผมเดาไว้ก่อนหน้าแบบคนละเรื่อง

Chevrolet Captiva ใหม่ มีรุ่นย่อยต่างๆ และราคาดังนี้

  • รุ่นท้อป 1.5 TURBO PREMIER 7 ที่นั่ง ราคา 1,199,000 บาท ออพชั่นจัดเต็มสุด ครบแบบไม่น่าจะต้องเพิ่มอะไร
  • รุ่นกลาง 1.5 TURBO LT 7 ที่นั่ง ราคา 1,099,000 บาท ภายในคล้ายรุ่นท้อป ภายนอกคล้ายรุ่นล่าง ออพชั่นปานกลาง
  • รุ่นถูกสุด 1.5 TURBO LS 5 ที่นั่ง ราคาจริง 999,000 บาท (ส่วนลดสำหรับลูกค้า 300 ท่านแรกที่จอง เหลือ 959,000 บาท ถ้าต้องการเบาะ 7 ที่นั่ง เพิ่ม 30,000 บาท แล้วทางบริษัทจะสั่งเป็นกรณีพิเศษให้จากอินโดนีเซีย)

วิธีสังเกตว่ารุ่นไหนเป็นรุ่นไหนจากภายนอก..สำหรับรุ่น PREMIER จะเป็นรุ่นเดียวที่ได้ล้ออัลลอยสีทูโทนปัดเงาและมีหลังคา Panoramic จึงแตกต่างจากรุ่นอื่นชัดเจน แต่รุ่น LT กับ LS นั้น ใช้ล้อเดียวกัน รูปร่างของรถแทบจะหาจุดต่างกันไม่ได้นอกจากป้ายชื่อรุ่นท้ายรถ และแถบสีเงินเล็กๆบนมือจับเปิดประตู

สำหรับตำแหน่งการตลาดและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้น Chevrolet มองว่ารถคันนี้เป็น B/C-SUV ซึ่งก็คือเป็นระดับที่สูงกว่ารถอย่าง HR-V แต่ก็ต่ำกว่า CR-V ..ผมรู้สึกว่ารถที่ใช้วิธีการตลาดแบบสอดกลางเซกเมนต์ให้คนงงเล่นๆแบบนี้ไม่มีใครประสบความสำเร็จสักราย แต่ผู้บริหาร Chevrolet ก็อธิบายเพิ่มว่า “กลุ่มเป้าหมายเราคือคนที่ต้องการรถครอบครัว อายุลูกค้า 30 ปีขึ้นไป ที่มองหารถขนาดใหญ่ เพราะเราวิจัยมาแล้วว่าคนไทยนั้นจริงๆก็ชอบรถที่ขนาดใหญ่แต่รถใหญ่ ราคาก็แพงตาม Captiva จึงมีโอกาสสอดเข้าไปอยู่ตรงกลาง ด้วยการที่มีตัวรถโตเท่า C-SUV แต่ราคาของเราถูกกว่าอย่างมีนัยสำคัญ”

ขนาด และ มิติตัวถัง

  • ยาว x กว้าง x สูง : 4,655 x 1,836 x 1,760 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ : 2,750 มิลลิเมตร
  • ความกว้างช่วงล้อ หน้า/หลัง : 1,554/1,549 มิลลิเมตร
  • ความจุถังน้ำมัน 52 ลิตร
  • ระยะต่ำสุดจากพื้น 175 มิลลิเมตร
  • น้ำหนักรถเปล่า 1,520 กก. (รุ่น LS), 1,600 กก. (รุ่น LT), 1,630 กก. (รุ่น Premier)

เมือเทียบกับ Captiva รุ่นก่อน จะพบว่ารุ่นใหม่มีตัวถังสั้นลง 18 มิลลิเมตร แคบลง 14 มิลลิเมตร สูงขึ้น 4 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อยาวขึ้น 43 มิลิเมตร เรียกได้ว่าขนาดตัวก็พอๆกับรถรุ่นเดิมนั่นล่ะ แต่มันดูป่องบวมขึ้นเพราะช่วงกลางรถและพื้นที่ใต้ท้องน่าจะเตี้ยลง และถ้าเทียบกับรถระดับ C-SUV จะเห็นได้ว่า Captiva ใหม่ใหญ่จริง ยาวกว่า CR-V ถึง 84 มิลลิเมตร สั้นกว่า X-Trail 35 มิลลิเมตร กว้างกว่า Forester 15 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อยาวกว่าใครทั้งมวล ยาวกว่า X-Trail ถึง 45 มิลลิเมตร

รูปทรงของรถนั้น มีความแปลกตรงที่สัดส่วนดูอยู่กึ่งๆกลางๆระหว่าง SUV กับ MPV เพราะความป่องโปร่งโล่งและด้านข้างของรถที่ตั้งชัน เห็นได้ชัดว่าสำหรับรถคันนี้ วิศวกรเน้นเรื่องพื้นที่ภายใน โดยใช้บอดี้รถที่ดูเป็นก้อนเหลี่ยม คล้าย Subaru Forester แต่นำเส้นสายโค้งเข้าไปช่วยแก้ไม่ให้รถออกมาเหมือนก้อนสบู่ไลฟ์บอยมากเกินไป พวกเขาซ่อนสัดส่วนแบบ MPV ด้วยการออกแบบฝากระโปรงหน้าให้ดูยาว และไม่ลาดลงเร็วเกินไป ทั้งๆที่ตัวเครื่องยนต์อยู่เตี้ยมากเหนือซุ้มล้อนิดเดียว ไฟหน้าแบบติดตั้งในการชน ส่วนไอ้ที่เห็นเรียวๆเหมือนตาอาหมวยนั้นคือไฟ Daytime Running Light ซึ่งในรุ่น LT กับ Premier จะมีไฟจริงๆ แต่รุ่น LS ทำเป็นพลาสติกใสไว้เฉยๆ

ในความเห็นส่วนตัว ผมมองว่ามันเป็นรถที่พอเรามองที่ละส่วน มันเก๋มาก ด้านหน้าของรถคือจุดเด่นที่สวยและล้ำสมัย ด้านท้ายนั้นดูแล้วนึกถึงรถของ Audi โดยเฉพาะตรงไฟท้าย มีแต่ด้านข้างที่ดูตั้งๆป่องๆแปลกๆ กลายเป็นรถที่ดูโย่งโก๊ะ ในขณะที่ Captiva รุ่นก่อนดูหล่อ กำยำ มีมัดกล้ามและสัดส่วนลงตัวน่าจีบกว่าเยอะ

สำหรับการไขเปิดประตูเข้าสู่โลกของรถครอบครัวตัวเบิ้มคันนี้ มีด้วยกัน 2 วิธี ถ้าคุณใช้รถรุ่น LT หรือ PREMIER คุณจะได้กุญแจ Smart Key (PEPS Smart Keyless Entry) ตามสมัยนิยม ส่วนรุ่น LS นั้นจะเป็นแบบแฟชั่นยุค Blackberry คือกุญแจแบบพับ เป็นรีโมทในตัว ซึ่งเวลาจะปลดหรือจะล็อคก็ต้องกดปุ่มที่รีโมทเท่านั้น และสตาร์ทรถด้วยการเสียบกุญแจบิด

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะรุ่นไหน คุณก็สามารถกดเปิดฝาท้ายได้ด้วยรีโมทของรถ แต่เป็นระบบโซลินอยด์เตะกลอนเปิดธรรมดานะครับไม่ใช่ฝากระโปรงท้ายไฟฟ้า

บานประตูคู่หน้ามีขนาดใหญ่มาก ให้ Tester ตัวใหญ่เท่าหมีแบบผมเข้าออกก็ง่ายสบายสุดๆ  ที่ฝั่งคนขับ ถ้ากดเบาะเอาไว้เตี้ยสุดแล้วจะลุกเข้าออกได้ง่ายมาก แต่ถ้ามีใครเผลอมาปรับเบาะไว้สูงเดิดก็จะต้องก้มหัวหลบ แต่มันก็ไม่ได้ยากอะไร คิดดูแล้วกันว่าเทียบกับรถพ่อผม (CR-V Gen 3) Honda กดเบาะลงต่ำสุดยังต้องก้มหัวมากกว่า Captiva ที่ปรับเบาะไว้สูงเสียด้วยซ้ำ  แล้วยังไม่ต้องกลัวขากางเกงเลอะเพราะไปดูกับธรณีประตู Captiva ใหม่มีบานประตูที่ใหญ่และคลุมมาปิดชายล่างของตัวรถหมด มันอาจทำให้รถดูสูงย่องแย่งเพราะไม่มีเส้นช่วยตัดล่าง..แต่แลกกับการใช้งานก็คุ้ม

เบาะนั่งแถวหน้า ของรุ่น LT และ PREMIER จะหุ้มด้วยหนังเกรดปานกลาง สีดำ รุ่น PREMIER เป็นรุ่นเดียวที่จะได้เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ลักษณะการปรับเบาะสูงต่ำจะเป็นแบบยกหรือกดทั้งตัว ไม่สามารถแยกปรับเทหน้าเทหลังได้ อย่างไรก็ตาม ตัวเบาะมีความนุ่มนอก แน่นใน นั่งแล้วเลือดลมเดินสบายกายดี อาจจะดีกว่า CR-V กับ X-Trail เสียอีก จะมีจุดที่ผมไม่ชอบก็แค่พนักพิงศีรษะซึ่งดันในลักษณะคล้าย X-Trail และไม่นุ่มเนียนดันแบบพอคุยกันได้อย่างของ CR-V

ส่วนรุ่น LS นั้น เขาจะให้เบาะผ้าแบบสากปนกึ่งสากมา แต่อย่าเพิ่งด่า..ของจริงมันดูดีกว่าที่เห็นในภาพ เพราะสีน้ำเงินๆตรงกลางเบาะนั้นดูเหมือนผ้ากางเกงยีนส์มาก และแม้จะเลอะเปรอะง่าย ทำความสะอาดยากกว่าเบาะหนัง แต่พอเข้านั่งปุ๊บ เห้ย ทำไมไม่รู้สึกสบายตรูดยิ่งกว่ารุ่นท้อปเสียอีก อาจเป็นเพราะความสากของผ้าช่วยตรึงตัวเราไว้ไม่ลื่นไถลง่าย บวกกับความยืดหยุ่นของเนื้อผ้าที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น ที่สำคัญคือมันดูแปลกใหม่เข้าท่า ไม่ได้รู้สึกเลยว่าเป็นรุ่นราคาถูก

ทุกรุ่น จะได้พวงมาลัยแบบปรับระยะสูง/ต่ำได้ แต่ปรับเข้า/ออกไม่ได้ เอาอีกละ…มาฟอร์มเดียวกับ Nissan LEAF กับ Suzuki Ertiga คือพี่ครับ ผมจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าพี่เป็นอีโคคาร์คันละห้าแสนครับ แต่สมัยนี้ขนาดอีโคคาร์ใหม่ๆหลายรุ่นเขาปรับเข้า/ออกได้กันหมดแล้ว พี่จะยังกั๊กไว้ทำไมอีก รู้ไหมครับว่าบางทีการที่เราสามารถปรับระยะพวงมาลัยให้จับเลี้ยวถนัด และปรับฐานเบาะให้นั่งตำแหน่งที่รัดกุมเหยียบเบรกจมแล้วขางอ สลับเท้าเบรก/คันเร่งได้ง่าย มันคือพื้นฐานให้กับการบังคับรถที่ปลอดภัยและผ่อนคลาย แล้วพอมาเจอพวงมาลัยแหงนๆ เหมือน Ertiga อีก เวลาขับรู้สึกเหมือนนั่งสูง พวงมาลัยเตี้ยแต่แหงน เหมือน MPV มากกว่า SUV

ด้านหลัง เป็นที่โปรดของผมใน Captiva เพราะเข้าออกง่ายมาก หัวไม่ติด ก้มไม่ต้องเยอะ และตัวรถก็ไม่ได้สูงมากแบบพวก Everest หรือ Fortuner ดังนั้นคนแก่ๆ ถ้ายังมีแรงขาเหลือบ้าง ก็ขึ้นนั่งได้ง่าย ช่องเปิดของประตูมีขนาดโต แต่ความเยื้องระหว่างเบาะกับเสา B-pillar ทำให้ต้องตวัดเท้าหลบห่อขาเลี่ยงบ้าง แต่มันก็ไม่ได้แย่ไปกว่ารถใหญ่คนละคลาสอย่าง Isuzu MU-X ดังนั้นผมว่าไม่ต้องไปปรับอะไรมันหรอก

เบาะหลัง ดูทรงน่าขำ คิดดูว่าพนักพิงหลังมันยาวกว่าส่วนเบาะรองนั่งแค่นิดเดียว มาทำนองเดียวกับ Subaru Forester เจนเนอเรชั่นก่อนเลย แต่พอไปนั่ง และปรับพนักพิงศีรษะให้พอดีปุ๊บ..อืม..ไม่เลวแฮะ เพราะตัวเบาะนุ่มสบายกำลังสวย ไม่แพ้เบาะคู่หน้าเลย พนักพิงหลังไม่สูงก็จริงแต่ส่วนไหนที่มันรองถึงหลังเรา มันก็สบายนุ่มเช่นกัน และดันหลังตอนล่างนิดๆคล้าย BMW 5 Series G30 ส่วนที่ยังไม่สบายนักก็คือพนักพิงศีรษะที่ดันมาข้างหน้า และการที่ไม่มีอะไรรองรับช่วงไหล่ แต่ถ้าเอนเบาะลงหน่อยแล้วจะกลายเป็นว่าหมอนรองหัวมันดุนในลักษณะที่พอรับได้ ยังหลับแบบนอนกรนได้แล้วกัน

เพื่อให้เห็นภาพ..ไม่ต้องพูดอะไรมากครับ ทริปนี้ผมอยู่ในรถคันเดียวกับน้องโค้ก Autostation และคุณซ้ง mthai แต่ผมนั่งหลังเยอะสุด นานสุด เพราะหนึ่ง สบายโคตร และสอง..เดี๋ยวจะเฉลยในช่วงทดลองขับ

Captiva ใหม่ สามารถเอนเบาะหลังแบบกึ่งนอนได้ ดูเหมือนจะเอนได้มากกว่า CR-V รุ่น 5 ที่นั่งที่ผมเคยลองมาด้วยซ้ำ และเมื่อต้องให้ผู้โดยสารขึ้นนั่งแถวสาม ก็ปรับเบาะโล้ตัวล้มมาข้างหน้า คุณจะได้ช่องทางเข้าสู่เบาะแถวสามที่แม้แต่คนหุ่นยังผมสามารถปีนเข้าปีนออกได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ทีม Chevrolet เขาเลยชี้ให้เห็นว่า เพราะตัวเบาะมันล้มไปข้างหน้าได้ไกลขึ้น ในขณะเดียวกัน บานประตูก็โตขึ้น มันเลยเข้าออกง่ายสุดๆ

แต่พอเข้าไปแล้ว ก็รู้สึกผิดหวังกับเบาะนั่งแถวสามนิดหน่อย เห็นว่ารถมันสูงๆโย่งๆ เลยหวังเอาไว้ว่าอย่างน้อยเราน่าจะพอนั่งกุดๆหัวในเบาะแถวสามได้บ้าง แต่พอเอาเข้าจริง ก็ให้ความรู้สึกแค่กว้างพอๆกับ Honda CR-V ทั้งที่ตัวรถเขาสั้นกว่า Chevrolet ตั้งเยอะ และไม่สบายเท่ารุ่นที่แล้ว.. มันเป็นที่นั่งสำหรับผู้หญิงหรือเด็กเล็กเท่านั้น ตัวเบาะรองนั่งแถวสาม อยู่เตี้ยลงติดพื้นใกล้เคียง CR-V จริงๆแล้ว Captiva รุ่นเก่าก็อยู่สูงจากพื้นพอกัน แต่ในรุ่นนั้น Chevrolet เขาเว้าพื้นวางเท้าเป็นแอ่งลึกลงไป ทำให้วางขาในตำแหน่งที่คนตัวเล็กนั่งได้สบายกว่า งอเข่าน้อยกว่า

ที่สำคัญคือ..เบาะแถวสองน่ะ มีเฉพาะฝั่งซ้าย (ชิดขอบทางเท้า) เท่านั้นที่ล้มตัวมาข้างหน้าให้คนปีนเข้าแถวสามได้นะครับ ส่วนฝั่งขวา เลื่อนได้ แต่ล้มตัวไม่ได้

และภาพต่อไปนี่คือเรื่องที่ โคตรเจ็บ ต้องนำมาเล่าให้ฟัง ไม่เล่าไม่ได้

ไอ้รุ่น LS ที่เป็น 5 ที่นั่ง ไม่เกี่ยวนะครับ แต่รุ่น 7 ที่นั่งทั้งหลาย ผมเตือนไว้ด้วยความหวังดี ว่าถ้าคุณคิดจะสไลด์เบาะเลื่อนหน้าถอยหลัง ให้เอามือล้วงเหนี่ยวก้านปรับสไลด์ตรงช่วงกลางเท่านั้น ก็คือให้เอามือแทงผ่านหอสระอำแล้วล้วงใต้เบาะแล้วเลื่อนเอา อย่าล้วงจากทางขวาหรือซ้าย เพราะที่ใต้เบาะ มันจะมีคานรางเบาะ คุณดูภาพ..ตรงที่ศรเหลือชี้นะครับ เห็นมั้ยว่าปลายรางมีเหล็กเหลี่ยมๆโผล่มา ถ้าคุณเอานิ้วเหนี่ยวคันโยกสไลด์เบาะแล้วบังเอิ๊ญนิ้วตรงกับแนวรางพอดี…นิ้วคุณก็จะงอเข้าไปอยู่ข้างในโดยธรรมชาติ จากนั้นถ้าสไลด์เบาะไปข้างหลังเมื่อไหร่ คันโยกกับไอ้เหล็กเหลี่ยมๆนั่นจะสับนิ้วคุณครับ

สับแรงมั้ย? ไอ้ตอย The Coup โดนคนแรก นิ้วช้ำยังไม่หาย ผมโดนคนที่สอง และพี่เต้ย นิธิ AutolifeThailand  ถึงขั้นหนังเปิดเลือดสาด คือจริงๆแล้วเมื่อเราถอยเบาะสุด มันต้องเหลือพื้นที่ระหว่างคันโยกกับตัวรางเอาไว้ แต่นี่ไม่เลยครับถอยสุดคันโยกขยี้กับรางมิด การที่คนเล่นรถอยู่กับรถมากว่าทศวรรษอย่างพวกเราโดนเหมือนกันหมด แปลว่าปัญหามาจากพวกผม?

แต่ถ้ามันเป็นนิ้วน้อยๆของลูกของหลานคุณล่ะ? หัวเราะมั้ย ตลกมั้ย? อย่าคิดนะครับว่าเด็ก 5-7 ขวบขยับคันชักสไลด์เบาะเองไม่เป็น ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่คนจริงน่าจะรู้  ตรงนี้ผมว่ามันซีเรียสนะ และผมอยากให้ Chevrolet หาทางแก้ไขโดยไม่ต้องรอการไมเนอร์เชนจ์ ถ้าแก้รถไม่ได้ ก็เทรนคนขายรถให้เตือนลูกค้าก่อนที่รถมันจะขายดีแล้วไปสับนิ้วลูกหลานจนได้ฉายาว่าเบาะกิโยติน

เตือนแล้วนะคะ!!

กัดบ้างชมบ้าง เอ้า! มาดูจุดที่ดีกันบ้าง เนื้อที่จุของข้างหลัง ของรุ่น 5 ที่นั่งอย่าง LS นั้นโตมากครับ ไม่ต้องพับเบาะแถวสอง คุณก็ได้เนื้อที่ถึง 587 ลิตรแล้ว รุ่น 7 ที่นั่งจะโดนตัวเบาะแถวสามกับซับวูฟเฟอร์เบียดที่ไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่าเป็นรถ SUV ที่ข้างท้ายจุได้มากอันดับต้นๆ เพราะขนาด Captiva รุ่นเดิม ยังจุแค่ 465 ลิตร Honda CR-V ตัวปัจจุบัน ก็จุ 522 ลิตร และ Forester จุ 520 ลิตร ดังนั้น ต่อให้เป็น 7 ที่นั่งก็เหอะ ถ้าไม่กางเบาะแถวสามตั้งออกมา เนื้อทีี่เหลือเยอะมาก แต่ถ้ากางเมื่อไหร่ ใส่ได้แค่กระเป๋าเดินทางแบบบางขนาดเล็กครับ ต้องเลือกเอา

ฝากระโปรงท้ายของ Captiva ไม่มีระบบไฟฟ้าช่วยยกนะครับ มีแต่โซลินอยด์ของระบบเปิดกลอนไฟฟ้าเหมือนรถเก๋งทั่วไป กรุณาช่วยตัวเอง ยกเปิดเอง และปิดเอง นี่จะไม่ด่า เพราะเห็นว่าราคารถลงไปใกล้ๆพวก HR-V กับ C-HR มาก ก็เข้าใจได้ว่าจะทำราคาได้มันก็ต้องยอมขาดของไปบ้างล่ะ

มาดูงานภายในกันต่อ แผงแดชบอร์ด เห็นแล้วนึกถึง Volvo รุ่นใหม่ๆที่เอาจอใหญ่มาอยู่ตรงกลาง จอของ Captiva นี้มีขนาด 10.4 นิ้ว และมีทุกรุ่นตั้งแต่ LS จนถึง PREMIER นับว่าเป็นจุดขายที่ทำให้หลายคนมองเลยก็ว่าได้ แดชบอร์ดของรถสเป็คไทยนี้นับว่าเป็นแบบที่ไฮโซมากว่า Captiva ของฝั่งอเมริกาใต้ ซึ่งจะได้จอแนวนอนขนาดเล็ก แต่แลกกับสวิตช์ปุ่มต่างๆที่ดูเหมือนรถสปอร์ตเช่นกัน

วัสดุที่ใช้ประกอบในห้องโดยสาร ก็จะมีส่วนที่เป็นหนังสีขาวงาช้าง ซึ่งเป็นหนังนุ่มเย็บตะเข็บ สร้างความสวยงามช่วยให้บรรยากาศดูไม่น่าเบื่อ มีการสลับใช้ระหว่างพลาสติกตกแต่งสีเงินและวัสดุสีดำเงาอย่างเหมาะสม นี่คือจุดหนึ่งที่ผมมองว่า Captiva ใหม่ดูดี ดูง่ายสบายตา แต่ก็ล้ำยุค มีเส้นสายเหลี่ยมตัดให้ดูเป็นผู้ใหญ่ มีลูกเล่นกับดีไซน์ของมือจับแผงข้างประตูที่ออกจะวัยรุ่น โดยรวมแล้ว แม้ในด้านวัสดุจะไม่ได้พัฒนาไปไกลกว่ารถรุ่นเดิมมากนัก แต่ความที่ราคาถูกกว่ากันมากทำให้จะด่าก็เกรงใจ

ในรุ่น PREMIER แผงควบคุมใต้ช่องแอร์ขวาสุด จะมีสวิตช์สำหรับกระจกมองข้าง สวิตช์ปรับไฟหน้าปัด และสวิตช์เปิดปิดกล้อง 360 องศา ส่วนสวิตช์กระจกไฟฟ้าต่างๆอยู่บนแผงประตู มีเฉพาะบานคนขับที่มีระบบขึ้นลงแบบอัตโนมัติพร้อมระบบ Jam Protection แต่สวิตช์สำหรับล็อค/ปลดล็อคประตู กลับย้ายมาอยู่ตรงคอนโซลกลางแถวๆข้างน่องซ้ายผู้ขับ ใกล้กับสวิตช์ของเบรกมือ และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติเวลารถติด Auto Vehicle Hold

รุ่น LT จะได้ภายในที่ดูผ่านๆเหมือนกับรุ่น PREMIER โดยมีจุดแตกต่างกันดังนี้

  • พวงมาลัย เป็นยูรีเธน ไม่ได้หุ้มหนัง
  • ไม่มีสวิตช์สำหรับกล้อง 360 องศา และเซนเซอร์กะระยะ เพราะ LT ไม่มีมาให้ (แต่ยังมีกล้องมองหลังให้)
  • เครื่องปรับอากาศของ LT ไม่ใช่แบบอัตโนมัติ
  • แผงมาตรวัดคนละแบบ
  • ไม่มี Cruise Control
  • แผงบังแดดแบบมีไฟส่องถูกถอดออก เหลือแค่ด้านซ้ายที่มีกระจก ไม่มีไฟส่อง ด้านคนขับไม่มีกระจกเลย

ส่วนรุ่น LS นั้นจะต่างจากเพื่อนมากที่สุด เพราะใช้วัสดุตกแต่งแบบสีกางเกงยีนส์ Blue Denim เข้ามาแทนหนังสีงาช้างและใช้พลาสติกสีเงินแทนวัสดุสีดำเงาในบางจุด นอกนั้นเหมือนกันเกือบหมด ต่างกันที่จุดยิบย่อยในออพชั่น เช่น LS ไม่มีไฟตัดหมอก ถุงลมนิรภัยลดเหลือแค่ 2 ใบคู่หน้า ระบบปัดน้ำฝนแบบปรับระยะเวลาช่วงปัด-หยุด-ปัดไม่ได้ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การตกแต่งด้วยวัสดุ Blue Denim นี่ล่ะทำให้ห้องโดยสารของ LS ดูวัยรุ่นขึ้นมา และแน่นอน คุณยังได้จอกลาง 10.4 นิ้วอยู่

จอกลางของรุ่น LS และ LT มีลักษณะคล้ายกันมาก ใช้ควบคุมทั้งระบบปรับอากาศ ระบบเครื่องเสียง เชื่อมต่อกับระบบ MyLink ผ่านสมาร์ทโฟนได้ ไม่มีระบบนำทางเพราะถือว่าดึงจาก MyLink ไปใช้ได้อยู่แล้ว ตัวจอเป็นแบบทัชสกรีนที่ตอบสนองไวพอสมควร เหมือนเล่น iPad รุ่นเก่าๆ ยังไม่ถึงกับต้องจิกจนนิ้วบวม ไม่ค่อยเจออาการเอ๋ออึ้งอุ้ยแบบระบบของ MG รุ่นแรกๆ

ได้จอเหมือน Volvo แต่ก็ได้ความเสี่ยงแบบเดียวกัน เนื่องจากระบบต่างๆไปอยู่บนจอหมด ถ้าหากจอเสียขึ้นมา คุณก็จะทำได้แค่เล่นกับเครื่องเสียงโดยใช้ปุ่มบนพวงมาลัย กับปุ่ม +/- เสียงข้างใต้จอเท่านั้น คุณจะทำอะไรกับเครื่องปรับอากาศไม่ได้นอกจากเปิดและปิดการทำงานคอมเพรสเซอร์แอร์ เพราะเป็นอย่างเดียวที่มี Hard button อยู่ส่วนล่าง ผมว่าจุดนี้ MG รุ่นเก่าๆบางรุ่นยังดีกว่า เพราะมีการแยกฟังก์ชั่นบางอย่างให้พอสามารถเอาตัวรอดได้ในกรณีจอลูกชายต่อยแตก

ชุดเครื่องเสียง ของรุ่น LS เป็นแบบธรรมดา พร้อมลำโพง 6 ตัว ส่วน LT กับ PREMIER จะใช้เครื่องเสียงแบบอัพเกรด ยี่ห้อ INFINITY แบบ 9 ลำโพง บวกซับวูฟเฟอร์ด้วย ซึ่งผมเอาเพลงประจำตัวสำหรับการทดสอบเครื่องเสียงมาลองเล่น เช่นเดียวกับที่ทำกับรถทดสอบคันอื่นๆ พบว่ารุ่น LS นั้น เสียงจะอู้อี้ขาดความใส ขาดรายละเอียด ให้นึกถึง Kenwood รุ่นห่วยๆใน Subaru บางรุ่นครับ มันแห้งอู้อี้ แต่ยังดีว่าเสียงเบสยังแน่นพอสำหรับรถบ้านทั่วไป ส่วนรุ่น LT กับ PREMIER นั้น เสียงเบสมาหนักแน่นคนละเรื่อง เสียงแหลมดีขึ้นชัดเจน แต่เสียงกลางบางช่วงจะขาดหายไป พูดง่ายๆคือรายละเอียดเสียงเท่าของ LS แค่เบสกับแหลมแน่นขึ้นละเอียดขึ้น

สำหรับรุ่น PREMIER ที่ราคาล้านสองทอนพัน Chevrolet ก็จะพยายามทำให้คุณรู้สึกคุ้มโดยการเพิ่มเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติให้ และมาพร้อมกล้อง 360 องศา ส่วนระบบนำทางก็ขอเรียนเชิญให้ไปเชื่อมและใช้ระบบ MyLink เอาเหมือนรุ่นอื่นๆ หลังคาของรุ่น PREMIER ก็เป็นแบบ Panoramic ที่สามารถสไลด์เปิดได้ ดูจากภาพเหมือนจะโปร่งใหญ่ แต่ของจริงที่เห็น ดูออกจะยาวและเป็นช่องแคบๆ เหมือนมี ดีกว่าไม่มี

แผงมาตรวัด รุ่น PREMIER จะเป็นจอดำมืด พอสตาร์ทเครื่องก็จะแสดงข้อมูลเป็นสีสัน มีแต่เข็มความเร็วและเข็มวัดรอบเท่านั้นที่เป็นอนาล็อก รูปแบบฟอนท์อ่านยากเพราะเอียงขนานไปกับขอบวงกลม มาตรวัดรอบเป็นแบบหมุนทวนเข็มนาฬิกา เหมือนต้องการจะแปลก แต่เอาจริงๆไม่ได้ส่งผลดีหรือร้ายกับการใช้งานเท่าไหร่

จอ MID ตรงกลางมีขนาด 7 นิ้ว แสดงค่าได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นความเร็วแบบตัวเลข อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย แสดงค่าลมยาง แต่ส่วนที่เป็นมาตรวัดน้ำมันกับความร้อนเครื่องนั้น เล็กโคตรจนถ้าขับแบบพยายามชำเลืองมองจะแทบไม่เห็นเลย ดังนั้นเรื่องความสวยงามนี่ยกนิ้วโป้งให้ แต่เรื่องการใช้งานจริง มันกลับสู้หน้าปัดของรุ่น LS กับ LT ไม่ได้

และนี่ก็คือหน้าปัดของรุ่น LT ซึ่งถ้ามาดูตอนกลางวัน จะเห็นการกัดลายบนมาตรวัดรอบกับมาตรวัดความเร็วที่เห็นแล้วชวนให้นึกถึงหน้าปัดของ Mercedes-Benz C350e แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่ต้องด่า เพราะมาตรวัดของ Captiva LT อ่านค่าได้ง่ายกว่า เป็นเข็มอนาล็อกมีไฟเรืองแสงจากด้านหลังตลอดเวลา จอ MID จะแสดงค่าได้คล้ายกันกับของรุ่น PREMIER แต่หดขนาดลง และแสดงผลเป็นไฟสีขาวบนพื้นดำ ซึ่งแม้จะเริ่มเป็นรูปแบบที่ล้าสมัยแล้วสำหรับรถปี 2019 แต่ก็น่าจะดีกว่ามาตรวัดที่สวยแต่รก อ่านไม่รู้เรื่อง

รุ่น LS กับ LT ใช้แผงมาตรวัดชุดเดียวกัน หากแต่ของ LS นั้นจะไม่มีฟังก์ชั่นแสดงค่าลมยางมาให้

สำหรับรายละเอียดอุปกรณ์เทียบรุ่นย่อยต่างๆแบบครบครัน สามารถอ่านได้จากบทความ เจาะสเป็ค Chevrolet Captiva ที่นี่

********** รายละเอียดด้านวิศวกรรม *********

Chevrolet Captiva สเป็คประเทศไทย จะมีขุมพลังให้เลือกเพียงแบบเดียวเท่านั้น คือเครื่องยนต์เบนซินรหัส LJO ซึ่งมีความใกล้มากกับ LL5 “S-TEC III” ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่าง GM (Daewoo) กับ Suzuki

เป็นเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ DOHC พร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่ DVVT ขนาด 1.5 ลิตร 1,451 ซีซี. กระบอกสูบ-ระยะชัก 73.8 x 84.7 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.8 : 1 พ่วงเทอร์โบ กำลังสูงสุด 143 แรงม้า ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 2,400 รอบ/นาที รองรับน้ำมันสูงสุดแค่แก๊สโซฮอล E10 (จะเอาอย่างนี้จริงๆเหรอ??)

อันที่จริงทั้ง Baojun และ Wuling ที่ใช้บอดี้เดียวกันนี้ ยังมีเครื่องยนต์แบบ 1.8 ลิตรไม่มีเทอร์โบ และ 2.0 ลิตรดีเซลเทอร์โบอยู่ด้วย แต่ในอินโดนีเซีย มีการจำหน่ายรถรุ่นนี้ในชื่อ Wuling Almaz และมีเครื่องยนต์เพียงแบบเดียวคือ 1.5 TURBO แต่มีการปรับแรงม้าลดลงเหลือ 140 แรงม้า/5,200 รอบต่อนาที แต่เพิ่มแรงบิดเป็น 250 นิวตันเมตรที่ 1,600-3,600 รอบต่อนาที

ดังนั้น เนื่องจากโรงงานที่ผลิตรถป้อนบ้านเรา ก็คือที่อินโดนีเซีย จึงจำเป็นต้องพยายามใช้เครื่องยนต์เดียวกันในภูมิภาคเดียวกัน จึงมีความง่ายในการบริหารจัดการความรู้ เทคนิค และการจัดเก็บอะไหล่ เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร อาจไม่มีความโดดเด่นในการทำตลาดสำหรับประเทศไทย และเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรดีเซล มีต้นทุนการผลิตสูงกว่า และส่งผลให้ราคารถอยู่ในระดับที่ไม่สามารถแข่งขันได้ดีเท่าที่ควร

เกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมโปรแกรมสร้างแบ่งอัตราทดพูลเลย์ จำลองเกียร์ 8 จังหวะ “Shift Control” รหัสเกียร์ CTF-25A ตัวเกียร์นั้นเป็นการพัฒนาโดยความร่วมมือระหว่าง Bosch และ SAIC-GM-Wuling (SGMW)

  • อัตราทดเฟืองท้าย : 5.511
  • อัตราทดเกียร์ถอยหลัง : 1.754
  • อัตราทดเกียร์ส่งกำลัง : 2.631-0.378

สามารถเล่นเกียร์ +/- แก้เบื่อได้ ด้วยการโยกคันเกียร์ไปทางขวา จากนั้น โยกไปข้างหน้าเพื่อขึ้นเกียร์ โยกมาข้างหลังเพื่อลดเกียร์ ไม่มี Paddleshift มาให้ไม่ว่าจะรุ่นไหน

สำหรับคนที่ต้องจอดขวางชาวบ้านแล้วปลดเกียร์ว่าง

Captiva ใหม่นี้ ออกแบบให้คุณสามารถปลดเกียร์ว่าง จอด ดับเครื่อง ล็อครถได้นะครับ แต่มันจะยุ่งยากกว่ารถสมัยก่อนหน่อย วิธีทำก็ตามนี้ครับ

  1. เอานิ้วกดปุ่มเบรกมือไฟฟ้า กดลงค้างไว้ อย่าเพิ่งยก
  2. ดับเครื่อง วิธีนี้จะเป็นการป้องกันไม่ให้เบรกมือไฟฟ้าจับเบรกตอนดับเครื่อง
  3. เอานิ้วคลำหาปุ่ม ซึ่งซ่อนอยู่ในถุงเกียร์หนัง ทางด้านซ้ายของคันเกียร์
  4. หาเจอแล้วก็เอานิ้วกดคาไว้ เอาอีกมือนึงเลื่อนคันเกียร์มา N

ระบบบังคับเลี้ยวของ Chevrolet Captiva เป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้าตามสมัย ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็นแบบอิสระมัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง ตรงนี้ต้องขอบคุณ Chevrolet ที่ใจป้ำให้ช่วงล่างหลังอิสระมา เพราะในบางประเทศ เช่น Captiva ในประเทศโคลัมเบีย และ Baojun 530 บางรุ่นในจีน จะใช้ช่วงล่างหลังแบบคานบิด

ระบบเบรก เป็นดิสก์เบรก 4 ล้อในทุกรุ่นย่อย ล้ออัลลอย มีลวดลายที่ต่างกัน โดยมีเฉพาะรุ่น PREMIER ที่จะให้ล้อสีทูโทนปัดเงามา แต่ไม่ว่าจะรุ่นไหน ก็ได้ยางติดรถเป็น GT Radial รุ่น Savero ขนาด 215/60R17 ทั้งนั้น

***** การทดลองขับ *****

เส้นทางทดสอบของเรา คือวิ่งจากเขตพญาไท ขึ้นทางด่วนไปลงพระรามสอง วิ่งออกทางธนบุรี-ปากท่อไปบรรจบถนนเพชรเกษม ไปแวะกินข้าวกลางวันแถวเขื่อนแก่งกระจาน และขับไปโรงแรมที่ So Sofitel แถวชำอำ ซึ่งตลอดเส้นทางนี้ เราจะได้เจอทั้งสภาพการจราจรแบบรถติด แบบวิ่งๆหยุดๆ วิ่งช้า วิ่งเร็ว มีโค้งให้เล่นพอประมาณ

การทดสอบอัตราเร่ง

งานนี้โชคดีที่ทาง Chevrolet ใจดีให้ผมยืมรถไปแรดเล่นคนเดียวได้ครบทั้ง 3 รุ่น เพราะตลอดเส้นทางที่ขับมา จะต้องนั่ง 3 คน ถ้าขืนทำอัตราเร่งไป ตัวเลขที่ได้จะยิ่งเพี้ยนไปจากมาตรฐานการทดสอบของเว็บ ซึ่งผมก็ทราบว่าทำยังไงมันก็ไม่ได้เหมือนของที่ J!MMY ทำตอนกลางคืน แต่ก็พยายามคุมให้ใกล้เคียงที่สุด วิ่งจับเวลาโดยเปิดแอร์เหมือนกัน และน้ำหนักบรรทุกเท่าๆกันทุกคัน

0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เกียร์ D – รุ่น LS 12.55 วินาที  / รุ่น LT 13.1 วินาที / รุ่น Premier 13.5 วินาที

เกียร์ S – รุ่น LS 13.8 วินาที / รุ่น LT 14.2 วินาที / รุ่น Premier 14.5 วินาที

อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เกียร์ D – รุ่น LS 9.9 วินาที / รุ่น LT 10.21 วินาที / รุ่น Premier 10.35 วินาที

เกียร์ S – รุ่น LS 9.46 วินาที / รุ่น LT 9.65 วินาที /รุ่น Premier 9.94 วินาที

ดูอัตราเร่งแล้วงงมั้ยครับ ผมก็งง เอาเข้าจริงรถ 3 รุ่นย่อยที่ผมขับ มีความแตกต่างในการแสดงออกมากกว่ารถรุ่นอื่นๆที่ผมเคยขับมา นิสัยเกียร์บางคันก็ไม่เหมือนกันอีก อย่างไรก็ตาม คุณจะเห็นได้ว่ารถรุ่น LS ที่มี 5 ที่นั่งและน้ำหนักตัวเบาที่สุด จะทำอัตราเร่งได้ดีที่สุด ส่วน PREMIER ที่ตัวหนักกว่า LS ถึง 110 กิโลกรัม เพราะหนักทั้งเบาะทั้งซันรูฟและอุปกรณ์ ก็จะเร่งได้ช้าสุด

ในรุ่น LS นั้นเมื่อกระทืบออกตัว รถจะห้อยก่อน เหมือนมันจะไม่รับคำสั่ง แต่จากนั้นก็เหมือนคนที่นึกได้ว่าลืมปิดเตาแก๊ส แล้วก็ถลาออกไปแบบไวพอควร อัตราเร่งช่วง 0-100 นั้นทำตัวเลขได้เร็วกว่า Subaru Forester และเร็วกว่า Captiva 2.0 ดีเซลรุ่นที่แล้ว ส่วนอัตราเร่ง 80-120 ความดุดันจะลดลง ตัวเลขจะเริ่มกลับไปเท่า Captiva ดีเซลรุ่นเก่า

ส่วนรุ่น PREMIER นั้น ตอนออกตัว จะคิดนานหน่วงนานเท่ากัน แต่พอเกียร์เริ่มปล่อยพลัง มันจะคลานหนืดๆไปอย่างช้ากว่ารุ่น LS ต้องรอจนความเร็วเลย 60 ถึงจะเริ่มรู้สึกว่าเข็มไต่เร็วพอกัน

ที่ตลกร้ายคือ พอใส่เกียร์ S ก็ได้ความเร็วดีขึ้นแค่ช่วงแซง แต่ถ้าใช้เพื่อทำ 0-100 ก็จะได้ตัวเลขช้ากว่า รถไม่ตอบสนอง นิ่ง อึ้ง งง เหมือนคอมแก่ๆแต่เมมเต็ม มันแย่กว่าตอนใส่เกียร์ D เสียอีก ตอนแรกนึกว่าเป็นแค่คันเดียวหรือเปล่า แต่ลอง 3 คัน ได้ตัวเลขลักษณะเดียวกันหมด เอ้อ..แบบนี้ได้ด้วยเหรอ ปล่อยผ่านมาถึงมือสื่อมวลชนได้ไง?

ในภาพรวม อืดหรือเร็ว แล้วแต่คุณจะมอง ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าเจอ 1.5 TURBO ของ MG HS ใหม่ Chev มีหงอแน่นอน แต่ถ้ามองโลกในแง่ดี มันก็เร็วใกล้เคียงกันกับ Captiva ดีเซลรุ่นที่แล้ว ซึ่งหลายคนก็ขับออกทางไกลไม่เห็นบ่นว่าอืด ถ้าจะอืด ก็คงเป็นเพราะการตอบสนองแบบเกียร์ CVT ยุคเก่าของ Captiva ตัวใหม่ ที่ยังยานๆยืดๆ จะเร็วจะช้าก็หาความพอดีได้ยาก มีอาการเย่อแรงเวลายกคันเร่ง แต่ถ้าคุณชินกับเกียร์ JATCO อย่างใน Swift รุ่นเก่า และ Almera ก็นั่นแหละครับ อาการใกล้เคียงกัน

ช่วงล่างและการบังคับควบคุม

ในการขับที่ความเร็วต่ำ Captiva ใหม่นั้นนุ่มสบาย โดยมีความรู้สึกสะเทือนปนอยู่บนถนนขรุขระเพียงเล็กน้อย ผมคิดว่าในบรรดารถตลาดนิยม Honda CR-V Gen 5 คือรถที่มีความนิ่มในความเร็วต่ำคล้ายกับ Captiva มากที่สุด อย่างไรก็ตาม จุดที่ต่างกันคือเมื่อพบกับถนนที่ปูดขึ้นมาเป็นสันคม หรือลูกระนาด หากวิ่งเข้าด้วยความเร็วสูงช่วงล่างของ Captiva จะมีอาการโช้คเกือบยันตึง นี่ขนาดว่าบนเบาะหลังมีแค่ผมคนเดียว ซึ่งก็ตัวเท่ากับคนไซส์ปกติ 2 คน ดังนั้นถ้านั่ง 7 คน ก็อาจจะมีอาการโช้คยันถ้ามีการสะเทือนแบบที่ทำให้ช่วงล่างยุบตัวเร็วๆ

ความที่ใช้ล้อขนาด 17 นิ้ว และยางที่แก้มหนาเตอะ แม้จะเป็นยาง GT Radial Savero ที่ไม่ใช่ยางชั้นเลิศนัก Captiva ก็ยังเป็นรถที่คุณจะสามารถขับรูดถนนปุปะไปได้โดยไม่สะเทือนไส้ และเมื่อออกเดินทางไกล วิ่งด้วยความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วงล่างก็ให้ความรู้สึกแน่นเหมือนรถใหญ่ กระโจนสะพานสบายบรื๋อ ผมนั่งเบาะหลังดูคลิปเพลงน้อง Emma CM Cafe บนมือถือโดยมีน้องโค้ก Autostation ขับให้ สบาย สุขี ไม่เวียนหัวเลย

มันเป็นรถที่สร้างมาเพื่อการขับอย่างสันติโดยแท้จริง น้ำหนักพวงมาลัยก็เบาโหวงเวลาขับในเมือง และหนืดต้านมือขึ้นหลังความเร็ว 80 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป แต่มันก็ยังเบาอยู่ดีแหละสำหรับคนที่ชื่นชอบพวงมาลัยแบบรถซิ่งอย่างผม  ส่วนแป้นเบรก มีระยะฟรีประมาณ 1-1.5 นิ้วแรกที่กด แต่หลังจากนั้นไปกดเท่าไหร่ได้เท่านั้น น้ำหนักแป้นค่อนข้างเบา แต่สามารถคุมแรงตอนสั่งเบรกได้ตามเท้าอยู่ ผมขับในเขตชุมชน เบรกให้รถชาวบ้านวิ่งผ่าน ลองเหยียบๆปล่อยๆ ก็ไม่รู้สึกว่ามันจะหน้าทิ่มน่ารำคาญอะไร

ดังนั้น ถ้าคุณขับมันแบบมนุษย์แม่ในวันเงินเดือนออกและลูกๆไม่งอแง ทุกสิ่งมันก็ดูโอเค…แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเริ่มบู๊กับมัน?

มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่องานนี้เลยแม้แต่น้อย..พูดแบบตรงๆเลยแล้วกัน ผมขับลัดเลาะตามโค้งแถบแก่งกระจานไปด้วยอารมณ์ชนิดที่ว่า..เอ็งเอา Nissan Terra หรือ Mitsubishi Xpander มาให้ผมขับยังจะ Happy เสียกว่า ช่วงล่างที่เคยให้ฟีลยุโรปตอนวิ่งตรงๆ กลับยวบยาบเทโค้งเสียวสันหลัง พวงมาลัยไม่ส่งอาการเกาะ/ไถลของล้อหน้าเลย อัตราทดเฉื่อย แม้ไม่เฉื่อยเท่า Terra แต่ต้องหมุนเยอะกว่า CR-V หรือ Forester เพื่อเข้าโค้งหักศอกลักษณะเดียวกัน แถมบางทีรู้สึกเหมือนพวงมาลัยมันไม่ได้ถูกต่อกับแร็ค เดี๋ยวแข็งเดี๋ยวหลวม ไม่ได้สัมพันธ์กับการเลี้ยวและพื้นถนนที่เจอ

การเข้าเกียร์ S ก็ไม่ได้ช่วยอะไรนัก แค่รอบเครื่องดีดขึ้น และการตอบสนองคันเร่งก็ไวแบบเลยป้าย กดนิดเดียวรถพุ่งแล้วก็แรงเหี่ยวเอง ถอนนิดเดียวรอบร่วงหล่น ไม่คาเอาไว้แบบที่เกียร์ S ควรจะเป็น ผมรู้สึกเหนื่อยหน่ายจนเลิกบู๊กับมันไปเอง การพยายามเค้นความเร็วความสนุกจากรถคันนี้ ไม่ต่างอะไรกับการพยายามบังคับให้ผมลดความอ้วน คุณจะไม่ได้รางวัลอะไร และความพยายามของคุณจะไม่มีวันประสบผลสำเร็จ จนคุณคิดได้ทีหลังว่า ถ้าปล่อยมันไปตามเรื่องของมัน บางทีคุณจะได้ความรู้สึกที่ดีเสียกว่า

การเก็บเสียง เมื่อวิ่งในเมืองความเร็วต่ำกว่า 80 ลงไป ก็เงียบเทียบชั้นกับ CR-V หรือ X-Trail ได้ ไม่ได้รู้สึกเลยว่ารถกลวงหรือประกอบมาไม่ดี แต่ในช่วงความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป จะเริ่มมีเสียงลมกรีดจากบริเวณกระจกมองข้างเข้ามา ผมคิดว่าภาพรวมการเก็บเสียง ใกล้เคียง Subaru Forester แต่ในความเร็วสูง กระจกที่ตั้งของ Forester จะทำให้เกิดเสียงลมปะทะที่ดังกว่า Captiva อาจจะไม่เงียบเท่า CR-V แต่ไม่แย่เท่า Mazda CX-5 Gen 1 รุ่นแรกๆหรอกครับ และการเก็บเสียงด้านหลังนี่ ถือว่าใช้ได้เลย ไม่มีเสียงลมตีตึงมากนัก ผมนั่งหลังก็คุยกับคนนั่งหน้าได้โดยไม่ต้องเพิ่มระดับเสียง แม้จะวิ่งที่ 110 ก็ตาม

*****สรุปรีวิว*****

***รถไซส์ CR-V ในราคา HR-V ใช้ดีในวันสบาย แต่บู๊แล้วเหนื่อย***

ผมคิดว่าการตลาดของ Chevrolet คิดถูกแล้วที่ไม่พยายามใส่คำเลี่ยนๆประเภท SPORT, แรง, ปราดเปรียว ให้กับรถรุ่นนี้อย่างที่บางค่ายสมัยก่อนชอบทำ เพราะสามคำนี้มันตรงกันข้ามกับบุคลิกของรถเสียเหลือเกิน คุณดูหน้าผมในรูป นั่นไม่ได้เก๊กดุ หน้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆหลังจากที่ผมเพิ่งขับ Captiva ผ่านโค้ง ภูเขา และซิ่งจากแถวแก่งกระจานมาที่โรงแรม มันคือหน้าแบบคนจีบหญิงไม่ติด ถูกเทกระจาด ไม่สมหวัง เพราะผมจำฟีลช่วงล่างของ Captiva รุ่นเดิมได้และรุ่นใหม่นี้ไม่ได้ให้ความมั่นใจแบบนั้นเลย

Chevrolet กับทีมวิศวกรจีน ยังต้องปรับจูนการทำงานระหว่างคันเร่ง กับเกียร์ ให้มันคุยกันรู้เรื่อง กดมากได้มาก กดน้อยได้น้อย ลดความเย่อแบบ CVT ยุคเก่าลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกียร์โหมด S ผมถือว่าไม่ผ่านอย่างแรง นอกจากไม่สปอร์ตจริงแล้วยังดีด ณ จุดไม่ควรดีด เหี่ยว ณ จุดที่ไม่ควรเหี่ยว และออกตัว แทนที่จะดีกลับช้ากว่าการใส่เกียร์ D แล้วจุ่มคันเร่งเยอะมากๆ พวงมาลัยที่เซ็ตมาเอาใจสุภาพสตรี ผมว่าไม่ต้องทำมันซะจนไม่เหลือชีวิตชีวาหรอกครับ ผู้หญิงสมัยนี้เขาขับรถเก่งกันแล้ว เรื่องความเบาผมไม่ว่า แต่เลี้ยวแล้วต้องแม่น ต้องคล่อง ลูกค้าเป้าหมายของ Captiva น่าจะขับในเมืองเป็นหลัก พวงมาลัยควรจะไวกว่านี้เพื่อให้เปลี่ยนเลนและเลี้ยวได้คล่องมือ ไม่ต้องไวแบบรถสปอร์ตหรอกครับเอาแค่ไวเท่า CR-V หรือ X-Trail ผมว่าก็พอ

นอกจากนี้ ก็มีเบาะหลังกิโยตินที่เวลาปรับสไลด์ต้องระวังนิ้วโดนรางเบาะสับ อย่ามองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ความใส่ใจในเรื่องเล็กน้อย คือเรื่องที่แยกความต่างระหว่างทีมพัฒนารถที่มีประสบการณ์กับทีมที่ยังสะสมข้อมูลมาไม่มากพอ

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากผมตัดสินใจยอมรับในธรรมชาติของรถที่ทำมาเพื่อการเดินทางอันสุขสันต์ของครอบครัว และขับมันอย่างที่ควรขับ คุณเชื่อหรือไม่ว่า Captiva ก็มีมุมที่ผมรักมันเหมือนกัน ถ้าคุณให้ผมเลือกนั่งเบาะหลังเดินทางไกล ระหว่าง Fortuner กับ Captiva ถึงแม้มันเป็นการเปรียบคู่ที่ไม่ควรเปรียบ ผมก็เลือก Captiva ครับ เพราะมันให้ความนุ่มนวลพอเหมาะ กำลังสวย นั่งแล้วไม่รู้สึกสะเทือนจนรำคาญ ไม่โยกโคลงจนเมารถ

นอกจากนี้ผมยังโอเคถ้าจะให้เป็นคนขับ เพราะเมื่อไม่มีการเลี้ยวและเร่ง Captiva ไปเหมือนเรือใหญ่บนน้ำนิ่งที่สบาย ผ่อนคลายไปกับเบาะอันหนานุ่มสบายเกินคาด และเนื้อที่ภายในอันเหลือเฟือ ขยับแข้งขยับขาแขนได้สบายชนิดที่ไม่มี SUV/Crossover คันไหนที่ราคาเท่านี้แล้วทำได้ในแบบเดียวกัน ถ้าจะมีก็คือรถ SUV พื้นฐานกระบะที่เล่นโปรถล่มราคาอย่าง Trailblazer หรือ Nissan Terra เท่านั้น รถคลาสเล็กกว่าอย่าง Xpander ก็ยังไม่นุ่มนวลเท่า ไม่ได้นั่งสบายเท่า แต่มาดูราคา อุ้ย Xpander ตัวท้อปถูกกว่า Captiva LS อยู่ราวแสนบาท ณ วันนี้ เป็นใครก็คงต้องคิดว่าจะยอมจ่ายเพิ่มดีไหม ได้รถคันโตกว่าคนละเรื่อง

ในบรรดา รถ Captiva ทั้ง 3 รุ่นย่อยนั้น ใครจะซื้อรุ่นไหน ให้พิจารณาจากอุปกรณ์ที่คุณต้องการดูเอาเอง สำหรับคนที่ต้องการใช้ประโยชน์จากที่นั่ง No. 6 และ 7 และชอบรถที่ซื้อมาแล้ว ไม่ต้องทำอะไร มีของครบเลย รุ่น PREMIER คือตัวที่น่าเล่น เพราะถ้าซื้อแบบผ่อน 48-60 เดือน ยอดชำระต่อเดือนก็ไม่ต่างกับรุ่น LT มาก ในขณะที่ตัว LT นั้น ราคาถูกกว่าจริง แต่ผมว่ามันตัดของบางอย่างที่ช่วยเราในชีวิตประจำวัน เช่นกล้องรอบคัน กระจกแต่งหน้าคนขับเผื่อคุณแม่อยากแต่งหน้าก่อนลูกเลิกเรียน Cruise control สำหรับเดินทางไกล ส่วนตัวผมเอง ถ้าให้เลือก ผมกลับพอใจในรุ่น LS 5 ที่นั่ง เพราะได้อัตราเร่งทันออกทันใจ เบาะผ้านั่งกระชับสบาย การขับขี่ไม่ได้ต่างจากรุ่นอื่น แค่ออพชั่นมันอาจจะดูเหมือนอีโคคาร์รุ่นกลางๆไปหน่อย

ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง และตัวเลือกเยอะ ต้องยอมรับว่าเห็นใจทีม Chevrolet ที่เข้ามาเล่นในเวทีมวยปล้ำ ที่ทุกตัวมันโหดกันทั้งนั้น สำหรับคนที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เบาะ 7 ที่นั่ง คุณมี MG HS ยืนถือไม้เบสบอลยิ้มรออยู่ เรายังไม่ทราบราคาของมัน แต่มันจะชนะ Captiva ในเรื่องความแรง ความสนุก ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าตลาดวัยรุ่น หรือคนที่ไม่เน้นขนของมาก ก็จะเสร็จ MG ส่วนใครที่ต้องการ 7 ที่นั่ง และไม่รังเกียจที่จะขับรถคันใหญ่ในเมืองเล็ก Pajero Sport 2.4 GT ก็แพงกว่า Captiva ตัว PREMIER แค่ 100,000 บาท ส่วน SUV พื้นฐานเก๋งอื่นๆ คุณยังต้องจ่ายเพิ่มจาก Captiva อีก 130,000 บาทขึ้นไป

ดังนั้น ถ้าให้ผมบอกว่ารถคันนี้เหมาะกับใคร รุ่นห้าที่นั่งนั้น ผมมองว่าเหมาะกับ GRAB SUV ครับ เพราะต้องวิ่งรับส่งฝรั่งตัวโตๆกับกระเป๋าใบเท่าตึก คุณสามารถจ่ายเก้าแสนกลางแล้วได้รถ SUV ที่บรรทุกได้จริง นั่งสบายฝรั่งไม่บ่น ถูกกว่าเอาเงินไปซื้อ SUV ญี่ปุ่นที่รุ่นเริ่มต้นก็ทะลุล้านไปโข

อีกคนที่นึกออก ก็คือภรรยาของคุณเคี้ยง (ทำกิจการเคลือบแก้ว Crystal Point และดูแลรถให้ J!IMMY) ที่เป็นคุณแม่ลูกสอง บรรทุกของเต็มคันรถประจำ นอกจากนี้ยังต้องพาคุณยายที่ขาเจ็บจากการผ่าตัดเข่า รวมถึงพ่อแม่สามีที่อายุมากแล้วไปเที่ยวกับหลานด้วยกันเสมอ ในระหว่างที่คุณสามีทำงานหาเลี้ยงครอบครัวแบบแทบไม่ได้พัก ความใหญ่โตของรถ ความง่ายในการเข้าออกห้องโดยสาร และที่สำคัญ การได้รถตัวเบ้อเริ่มขนาดนี้ในราคาที่แทบจะเท่ากับรถ B-SUV มันอาจจะเป็นรถที่ลงตัวสำหรับชีวิตอันยุ่งเหยิงของคุณแม่ยังสาว ที่ต้องดูแลความเป็นอยู่ทุกคนในบ้าน ชอบพึ่งพาตัวเอง ไม่ใช่ว่าไปไหนก็โทรให้สามีไปส่ง

ถ้ารูปแบบชีิวิตคุณดูจะคล้ายน้องคนนี้ ก็ลองไปแวะทดลองขับ Captiva ดูแล้วกันครับ

—-/////—–

 

 


ขอขอบคุณ / Special Thanks to :

Chevrolet Sales (Thailand) Co.,Ltd.

สำหรับการชวนเข้าร่วมทริปทดลองขับ

 

Pan Paitoonpong

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน / ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในเมืองไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของช่างภาพ Bank Kanchanavilai และ Chevrolet Sales (Thailand) และผู้เขียน//ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com 18 กันยายน 2019

Copyright (c) 2019 Text and Pictures. Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited. First publish in www.Headlightmag.com 18 SEP 2019

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE