First Impression รีวิว ทดลองขับ BMW 330i M Sport & 320d Sport (G20) : รถผู้บริหารหนุ่มนิยม กับความคมที่เพิ่มขึ้น

เมื่อสมัยที่ผมยังเด็ก มักจะมีคำกล่าวในชั้นเรียนว่า “ชาวนาเปรียบได้ดังกระดูกสันหลังของชาติ” ด้วยเหตุผลที่ว่าชาวนานั้นปลูกข้าว และข้าวก็คือสิ่งที่คนไทยบริโภคกันถ้วนหน้า เป็นแหล่งพลังงานคาร์โบไฮเดรตที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีพ ทำให้เรามีเรี่ยวแรงในการทำงาน สู้รบกับอุปสรรคในแต่ละวันให้ผ่านไปได้ด้วยดี หากไม่มีชาวนา เราก็คงต้องหันไปกินอย่างอื่นแทน ซึ่งอาจจะแพงกว่าหรือไม่ก็กลายเป็นคนขาดสารอาหาร

ผมไม่ได้ยินใครพูดประโยคที่ว่านั่นมาราว 20 ปีเห็นจะได้ และกระแสของสังคมที่ให้ความสำคัญแค่กับอาชีพที่นำพาเงินตราลาภยศและอำนาจ อาจทำให้เรามองข้ามว่าใครปลูกข้าวจานที่คุณเพิ่งกินไปเมื่อมื้อที่ผ่านมา สังคมโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น รับรู้ชีวิตของคนอื่นมากขึ้น ยุ่งเรื่องของคนอื่นมากขึ้นอาจทำให้เราลืมว่าในขณะที่เราเลือกบูชาคนบางอาชีพ และดูถูกคนบางกลุ่ม ความจริงก็คือกลไกของสังคมถูกขับเคลื่อนด้วยพวกเราที่มีหน้าที่ต่างกัน ตัดใครออกไปสักกลุ่ม ชีวิตเราก็ไม่เหมือนเดิม

แต่ในโลกของรถยนต์ การมองหารถที่เปรียบเป็น “กระดูกสันหลังของค่าย” นั้นไม่ยาก เพราะแค่จินตนาการถึงความฉิบหายที่จะบังเกิดถ้ามีคนบ้าย้อนเวลาไปวางยาพิษทีมพัฒนารถรุ่นนั้น ก็รู้เรื่องแล้ว รถพวกนี้มักจะไม่ใช่ซูเปอร์คาร์สุดล้ำ รถลิมูซีนหรูสุดขอบโลก แต่มักจะเป็นรถธรรมดาที่เกิดจากความต้องการทำให้รถเข้าถึงประชาชนมากขึ้น และในกรณีของ BMW คงไม่มีใครปฏิเสธหรอกว่ากระดูกสันหลังที่ทำให้ค่ายรถเยอรมันเจ้านี้ยืนหยัดมาได้จนถึงปัจจุบัน ก็คือซีรีส์ 3 นั่นเอง

ก่อนยุค 60s BMW คือค่ายที่ทำแต่รถหรูหราหมาร้องโอเปร่า ราคาแพงระยับจนน้อยคนจะกล้าทุ่มทุนซื้อ ต่อมา บริษัทก็ขาดทุนย่อยยับจนครั้งหนึ่ง Mercedes-Benz ยื่นดีลขอซื้อกิจการ แต่คนงานและพนักงานที่จงรักภักดีต่อค่ายรวมตัวกันไปหา Herbert กับ Harald Quandt ที่เป็นนักธุรกิจใหญ่เงินหนา แล้วขอให้ช่วยเหลือ คนตระกูล Quandt ยอมเสี่ยงลงทุนมหาศาลเพื่อกว้านซื้อหุ้นบริษัทไปถึง 51% กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ มีอำนาจยับยั้งการขายกิจการได้สำเร็จ

ในช่วงนั้น ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ BMW กำลังพัฒนาซาลูนร่างทะมัดทะแมงที่จะมาแก้ปัญหาเรื่องยอดขาย โดยลดความหรู คุมต้นทุนการผลิต แต่เพิ่มความทันสมัยของรูปทรงและใส่ใจในเรื่องรสชาติการขับขี่ รถพวกนี้กลายมาเป็น BMW Neue Klasse (New Class) รถยุคใหม่ที่มีมาดเป็นสปอร์ตซาลูน คือรุ่น 1500, 1800, 2000 ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของซีรีส์ 5 และรถคูเป้อย่าง 2000/2000CS ซึ่งมีศักดิ์คล้ายแม่พิมพ์ของรถอย่างซีรีส์ 6 ทั้งหมดนี้เกิดในช่วงปี 1962-65

เมื่อ BMW ค้นพบว่าผู้คนยินดีต้อนรับรถประเภทนี้ Herbert Quandt จึงอนุมัติให้ทีมวิศวกรลองทำรถขนาดเล็กลงเพื่อให้ขายง่ายขึ้น จึงมีการนำเอารถ Neue Klasse มาหดฐานล้อ ย่อขนาดลงกลายมาเป็นรถตระกูล 02-Series ซึ่งเมื่อรวมพลังกับรถรุ่นพี่แล้ว สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับบริษัท จากเดิมที่เคยเกือบถูก Mercedes-Benz ซื้อ กลับกลายมาเป็นศัตรูตัวฉกาจในภายหลัง แถมรถของ BMW ยังดึงดูดใจวัยรุ่นได้มากกว่าเบนซ์ ซึ่งทำแต่รถหรูหรือไม่ก็รถผู้ใหญ่ขับ ก่อให้เกิดเซกเมนต์ใหม่ที่เรียกว่า “Young Executive Car” รถหรูคู่ใจผู้บริหารวัยหนุ่ม คนแก่ๆบางคนก็อยากขับ BMW เพื่อให้ตัวเองดูหนุ่มขึ้น

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม BMW ถึงรักที่จะสร้างรถแบบนี้ขาย จนกระทั่งเมื่อ 02-Series เริ่มแก่เต็มทน พวกเขาก็ให้กำเนิดซีรีส์ 3 ในปี 1975 กับรุ่นแรกที่ชื่อว่า E21

เกือบจะทุกครั้งที่มีการเปิดตัวใหม่ รถผู้บริหารหนุ่มของ BMW จะมีการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดเสมอ อย่าง E21 นั้น เปลี่ยนโฉมภายนอกใหม่จนจำไม่ได้ และยังได้แดชบอร์ดแบบโค้งเข้าหาตัวคนขับ อันเป็นเอกลักษณ์ที่ BMW ใช้ต่อมาในรถหลายรุ่น มีเครื่องยนต์ให้เลือกหลากหลายแบบ แม้ว่าส่วนมากจะเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ M10 ที่เน้นความประหยัดทนทาน แต่ในภายหลังก็มีรุ่น6 สูบมาให้เล่น E21 มีขายแค่รุ่น 2 ประตูเท่านั้น แต่มีทั้งเวอร์ชั่นหลังคาแข็งและเปิดหลังคาท่อนกลาง (รุ่น Baur) ความสำเร็จทางด้านยอดขายของรถรุ่นนี้ทำให้ Mercedes-Benz ต้องสร้าง 190E “เบบี้เบนซ์” ออกมาสู้

ต่อมา เจนเนอเรชั่นที่สอง คือ E30 BMW ก็ยิ่งพยายามกระโดดไกลขึ้น พอทราบว่าเบนซ์จะสร้างรถผู้บริหารหนุ่ม 4 ประตูมาแข่ง BMW ก็บอกว่า “ข้าก็ทำได้ และข้านี่แหละ Original ของแท้” BMW เลยทำออกมาทั้งแบบ 4 ประตู, 2 ประตู, Touring (สเตชั่นแวก้อน) และเปิดประทุน เอามันทุกแบบ ดีไซน์ของรถทันสมัยขึ้น

ใครที่คุ้นเคยกับการดูรถซิ่งริมถนนในยุควิภาวดี เซนต์จอห์น จะคุ้นเคยกับ E30 ในการแต่งรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแต่งสวยโหลดพองามล้อ BBS หรือโหลดสู้โลกสอดซองบุหรี่เข้าใต้ท้องรถพอดี หรือจะแต่งแรงวางเครื่องข้ามสายพันธุ์ไป 1G-GTE หรือ 7M-GTE หรือเครื่องอื่นๆ E30 กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัยรุ่นไทยที่มีฐานะดี แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นความใฝ่ฝันของมนุษย์เงินเดือน ข้าราชการ สมัยยุค 80s นั้นมีบางเดือนที่ E30 ทำยอดขายได้มากกว่า Toyota Corolla พูดไปเด็กสมัยนี้คงไม่เชื่อ

เจนเนอเรชั่นที่ 3 รหัสตัวถัง E36 เผยโฉมตั้งแต่ปี 1990 แต่กว่าจะมาถึงไทยก็ประมาณปลายปี 91 ถึงต้นปี 92 สมัยที่เลขทะเบียนรถกรุงเทพเป็นหมวด “ว” แล้วมันก็พร้อม War จริงๆ เพราะตัวรถดีไซน์ใหม่หมด ต่างจากรุ่นเดิมราวเทียบพิมพ์ดีดกับคอมพิวเตอร์ 386 กระจกหน้า/หลังลาดเท ไฟหน้าสี่ดวงกลายเป็นไฟเหลี่ยมที่ซ่อนดวงกลมไว้ข้างใน กระจังไตคู่โตขึ้น แดชบอร์ดของ E36 สวยงามล้ำสมัยมากในยุคของมัน มีทั้งรุ่น 318i และ 325i พลัง 188 แรงม้าที่ตามมาในปี 1993

E36 เป็นรถที่อยู่คู่การแต่งซิ่งทุกรูปแบบของคนไทย นับตั้งแต่สไตล์โหลดอมล้อ BBS หรือ Rial ปลายท่อตัดเฉียง หรือบางคนก็แต่งธีม Everything “M”, AC Schnitzer, Harmann หรืออะไรก็ตามแต่ มันยังเป็นรถในฝันของวัยรุ่นเช่นเคย คนไหนที่รวยหน่อย เวลาเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็จะขอพ่อแม่ให้ซื้อ 318iS หรือ 320iS คูเป้ให้เป็นรางวัล สมัยนั้นใครได้ขับ BMW Coupe คุณคือวัยรุ่นระดับสูงเกือบสุดห่วงโซ่อาหารแล้ว

E46 ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นถัดมา อาจดูไม่ Popular เท่า ไม่ใช่เพราะรถไม่ดี แต่เพราะมันมาถึงไทยในช่วงที่เรายังเข็ดวิกฤติเศรษฐกิจและค่าเงินบาทลอยตัวในช่วงที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ = 53-56 บาทไทย ราคาของ 323i 6 สูบก็ทะลุสองล้านไปไกลจากเดิม 323i E36 ยังอยู่ที่ล้านปลาย แต่บทบาทและหน้าที่ของมันในวงการรถยนต์ก็ไม่เคยเปลี่ยน เป็นกระดูกสันหลังของ BMW ทั่วโลก และเป็นขวัญใจวัยรุ่น, มนุษย์เงินเดือนสร้างตัว, คนแก่ที่อยากสนองฝันก่อนตาย หรือใครก็ได้ที่มีเงินแต่ไม่เอาเบนซ์

เจนเนอเรชั่นที่ 5 และ 6 (E90 และ F30) ก็ดำเนินรอยตามชนิดที่ว่าต่อให้ราคารถจะแพงขึ้นมากแค่ไหน กลุ่มลูกค้าที่ซื้อก็ไม่เคยเปลี่ยนไป ในสองรุ่นหลังนี้เราได้เห็นความก้าวหน้าทางวิศวกรรมอันเป็นผลมาจากการลงทุนมหาศาลเพื่อการพัฒนารถ E90 320d เป็นรถคันหนึ่งที่ผมทดลองขับในช่วงที่ Headlightmag.com ยังไม่เกิดขึ้น (ดีเซลบ้าอะไร ความจุมากกว่าขวดเป๊บซี่นิดเดียวแต่วิ่งได้ 244 กิโลเมตร/ชั่วโมง) และ F30 ActiveHybrid3 ซึ่งเป็นครั้งแรกของขุมพลังไฮบริดในซีรีส์ 3 ก็สร้างมาตรฐานใหม่ว่ารถถ่านรักโลก ก็สามารถทำร้ายผิวถนนและไล่ฆ่ารถสปอร์ตอย่างเลือดเย็นได้ไปพร้อมๆกัน

มาถึงเจนเนอเรชั่นที่ 7 รหัสตัวถัง G20 พระเอกของเราในวันนี้ เปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดโลกเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2018 ที่งานมอเตอร์โชว์ใน Paris แล้วจากนั้นไม่กี่เดือน BMW ก็นำเข้ามาเปิดตัวในไทย เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2019

ตามหลักโหราศาสตร์ไทย เขาว่า 7 คือเลข “เหนื่อย” ก็คงจะเหนื่อยจริงเพราะ ณ เวลานี้ คู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz ในไทยเหมือนเริ่มจับทางลูกค้าถูก เล่นแร่แปรธาตุกับออพชั่นและขยันเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆในราคาที่คนเล่น BMW ยังจิตใจไหวหวั่น Volvo เองแม้จะไม่มีรถคู่แข่งตรงพิกัดขายในขณะนี้ แต่ก็ทำราคารถใหญ่ของตัวเองจนถูกมากมายโดยยังมีความหรูหราเหลืออยู่ และแบรนด์ดังเพิ่งกลับมาใหม่อย่าง Audi ที่นำเสนอ A4 Avant 252 แรงม้า ออพชั่นครบๆในราคาแค่ 3 ล้านต้น หรือรุ่นซาลูนราคาไม่ถึง 3 ล้าน

งานนี้ BMW ซีรีส์ 3 ใหม่ มีโอกาสแจ้งเกิดในตลาดรถหรูมัดใจวัยรุ่นเหมือนที่เคยเป็นหรือไม่? เราได้โอกาสทดสอบ เมื่อ BMW Thailand ชวนให้ไปลองขับทั้งรุ่น 320d Sport และ 330i M Sport ที่สนามปทุมธานีสปีดเวย์ แล้วยังให้เอาไปขับบนถนนจริงนอกสนามได้ไกลเกือบร้อยกิโลเมตร มากพอให้เรียนรู้นิสัยของรถได้ระดับหนึ่ง

จะเป็นอย่างไร มาดูกัน!

ซีรีส์ 3 รุ่นใหม่ (G20) มีขนาดตัวถังยาว 4,709 มิลลิเมตร กว้าง 1,827 มิลลิเมตร สูง 1,442 มิลลิเมตร (แต่สเป็คจาก BMW Thailand บอกว่า 1,435 มิลลิเมตร-อาจจะมาจากการเซ็ตช่วงล่าง) ความยาวฐานล้อ 2,851 มิลลิเมตร ระยะความกว้างแทร็คล้อหน้า/หลัง อยู่ที่ 1,589 และ 1,604 มิลลิเมตรตามลำดับ

เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม (F30) ยาวขึ้น 76 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 16 มิลลิเมตร สูงขึ้น 1 มิลลิเมตร และ ระยะฐานล้อเพิ่มขึ้น 41 มิลลิเมตร พูดง่ายๆคือนอกเหนือจากเรื่องความสูงแล้ว รถบอดี้ G20 โตขึ้นแทบจะทุกมิติเลยทีเดียว แต่ยังไม่ใช่รถที่ใหญ่สุดในคลาส เพราะแม้ว่าจะมีความยาวและกว้างมากกว่า C-Class W205 แต่ก็ยังสั้นและแคบกว่า Audi A4 อยู่เล็กน้อย

BMW Thailand นำเข้าซีรีส์ 3 ใหม่มาจำหน่าย 2 รุ่น และนำมาให้เราได้ลองขับทั้ง 2 รุ่น ทั้งหมดผลิตจากโรงงาน BMW AG Plant ในเมือง Munich โดยมีรายละเอียดพอสังเขปดังนี้ครับ


320d Sport 2,959,000 บาท (พร้อม BSI Standard)

รุ่น Entry ในขณะนี้ ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จ 190 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ น้ำหนักตัวรถ 1,530 กิโลกรัม (ตามมาตรฐาน EU) ปล่อย CO2 122 กรัมต่อกิโลเมตร รับภาษีสรรพสามิตในอัตรา 25%

  • ชุดแต่งแบบ Sport Line กรอบกระจกหน้าต่างสีดำ
  • ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว ลาย V-Spoke กระทะล้อกว้าง 7.5 นิ้ว ยาง 225/45 ทั้ง 4 เส้น
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
  • ไฟหน้า LED
  • ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ
  • ระบบ Comfort Access System
  • เบาะนั่งคู่หน้า ปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบบันทึกความจำ Memory Seat ที่เบาะคนขับ
  • เบาะนั่งคู่หน้าแบบ Sport Seat หุ้มหนัง Vernesca
  • พวงมาลัยหุ้มหนัง ดีไซน์ Sport
  • ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร Ambient Light
  • วัสดุตกแต่งภายในห้องโดยสาร ลาย Mesh effect
  • ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกอิสระ 3-Zones
  • ระบบชุดมาตรวัด BMW Live Dashboard Plus
  • ระบบ BMW ConnectedDrive
  • ระบบเซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหน้า – ด้านหลัง
  • ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชั่น Hold อัตโนมัติ ขณะรถหยุดนิ่ง


330i M Sport 3,359,000 บาท (พร้อม BSI Standard)

รับบทรุ่นท้อปราคาสูง พลังสูงเอาใจวัยรุ่น ด้วยเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เบนซิน เทอร์โบชาร์จ 258 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ น้ำหนักตัวรถ 1,545 กิโลกรัม (ตามมาตรฐาน EU) ปล่อย CO2 148 กรัมต่อกิโลเมตร รับภาษีสรรพสามิตในอัตรา 25%
สิ่งที่ได้เพิ่ม หรือแตกต่างจากรุ่น 320d Sport (ซึ่งถูกกว่ากันอยู่ 400,000 บาท) มีดังนี้

  • ชุดแต่ง M Sport/ M Aerodynamics
  • ช่วงล่าง M Sport
  • พวงมาลัยไฟฟ้าแปรผันตามการหมุน และ ความเร็ว
  • ล้ออัลลอย M ขนาด 18 นิ้ว Double-Spoke กระทะล้อหน้ากว้าง 7.5 นิ้ว หลังกว้าง 8.5 นิ้ว ยางคู่หน้าขนาด 225/45 R18 – คู่หลังขนาด 255/45 R18
  • ไฟหน้า LED พร้อมฟังก์ชั่นส่องทางขณะเข้าโค้ง
  • ไฟตัดหมอก LED
  • คาลิเปอร์เบรก M Sport พ่นสีน้ำเงิน
  • ฝาท้าย เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า
  • พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ M Sport
  • เพดานหลังคาภายในห้องโดยสาร สีดำ Anthracite
  • วัสดุตกแต่งภายในห้องโดยสาร ลาย Aluminium Tetragon
  • ระบบชุดมาตรวัด BMW Live Cockpit Professional รองรับภาษาไทย
  • ระบบ iDrive เวอร์ชั่น 7.0 (ใหม่กว่าของ 320d)
  • ระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon
  • ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ Parking Assistant และระบบช่วยถอยรถอัตโนมัติเป็นระยะ 50 เมตร
  • กล้องมองภาพขณะถอยจอด

จะเห็นได้ว่า 330i นั้นมีอุปกรณ์ที่ครบกว่ามาก เรียกว่าขนาดไม่นับเรื่องความแรงที่ได้มา อุปกรณ์ที่เพิ่มมาก็คุ้มกับราคาที่แพงกว่าแล้ว ในขณะที่ 320d เหมือนจะโอเค แต่ยังติดโรคระบาดใน BMW รุ่นย่อยล่างคือไม่ยอมให้กล้องถอยหลังมา ซึ่งก็ไม่แปลกถ้าลูกค้าจะค่อนขอด เพราะนี่คือรถราคาเกือบ 3 ล้านแล้ว ต่อให้มีเซ็นเซอร์มาให้ก็เถอะ

BMW ซีรีส์ 3 ใหม่มีเทคโนโลยีที่ช่วยในการขับเคลื่อนและความหรูหราบางส่วน แต่ยังขาดเรื่องหลังคาซันรูฟ และอุปกรณ์ความปลอดภัยสมัยใหม่ อย่างระบบช่วยเตือนรถในจุดบอดกระจกมองข้าง ระบบเบรกอัตโนมัติ และไม่มีระบบ Radar Cruise Control แบบ C220d AMG Dynamic รวมถึงไม่มีกล้องรอบคัน แต่ 330i ก็มีระบบช่วยถอยรถอัตโนมัติในที่แคบ ซึ่งก็ไม่มีคู่แข่งรายใดมอบให้

กุญแจของซีรีส์ 3 ใหม่ มีหน้าตาแบบนี้ ซึ่งดูออกจะคล้ายของเดิม พกไว้ในกระเป๋าแล้วเอามือจับที่เปิดประตู เปิดแล้วก้าวขึ้นรถได้เลยเพราะมีระบบ Comfort Access System มาให้ ส่วนเวลาล็อครถ จะกดจากปุ่มบนกุญแจหรือกดปุ่มกลมๆที่มือจับเปิดประตูก็ได้

เรื่องความสะดวกสบายในการลุกเข้า/ออก แม้ว่าจะมีการขยายขนาดประตูจากรุ่นเดิม แต่ด้วยความสูงของรถและส่วนหลังคาที่ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก คนที่ตัวสูง 6 ฟุตขึ้นไปอาจต้องมีการก้มหัวหลบกันบ้าง และถ้าสูงแถมมีกายไซส์ใหญ่ผิดปกติอย่างผม การเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับก็ต้องทำตัวอ่อนช้อยพยายามยัดเข้า ศีรษะถูหลังคา ทวารถูเสาถูเบาะ เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้และไม่ได้ต่างจากการเข้าไปนั่งในรถของคู่แข่งอย่าง C-Class หรือ Audi A4 ซีดานขับหลังไซส์นี้มักเป็นแบบนี้ล่ะครับ

เบาะนั่ง ในภาพเป็นของ 320d ซึ่งได้เบาะ Sport แบบเดียวกับ 330i สามารถปรับได้ด้วยไฟฟ้าคู่หน้าพร้อมระบบความจำ Seat Memory 2 ตำแหน่ง สามารถแยกปรับส่วนรองน่องให้ยาวออกมารองรับต้นขาได้ ตัวเบาะดูด้วยตาเหมือนจะมีปีกโอบข้างรัดกุมกว่าเบาะของรุ่นเก่า แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ได้ต่างจากเบาะ Sport ใน 330e M Sport รุ่นเก่ามากขนาดนั้น เบาะของ BMW จะมีความแข็งเฟิร์มแต่ยังมีฟองน้ำส่วนบนที่นุ่มกว่า Mercedes-Benz มีความโอบกระชับในแบบที่กำลังเหมาะสำหรับการเดินทางไกลและขับแบบรีบๆเร็วๆบนถนน พนักพิงศีรษะสามารถปรับโล้มาข้างหน้าและถอยไปข้างหลังได้ โดยตำแหน่งที่ถอยสุดก็จะยังดังหัวอยู่นิดๆ แต่ด้วยความที่พนักพิงนุ่ม จึงทำให้ไม่น่ารำคาญแต่อย่างใด

ในมุมมองจากคนที่ตัวใหญ่มาก ผมคิดว่าเบาะหน้าของซีรีส์ 3 ใหม่นั่งแป๊บเดียว หรือนั่งนานๆ ก็สบายกำลังสวย ในขณะที่เบาะของ C220d หรือ C350e จะนั่งสบายตอนแรกๆแต่นั่งนานๆแล้วจะเริ่มปวดหลังท่อนล่าง ส่วนเบาะ Audi A4 Avant นั่นตอนแรกจะดูขัดหลังขัดตูดแต่นั่งขับไปสามชั่วโมงกลับไม่รู้สึกเมื่อยล้า แต่เรื่องนี้ มันแล้วแต่ไซส์และสังขารคนครับ คุณนั่งแล้วอาจจะเห็นต่างจากผมได้

ส่วนสำหรับผู้โดยสารด้านหลังนั้น การเข้าออกจากรถ ถ้าเป็นคนตัวสูงเกิน 6 ฟุต คุณยังต้องก้มหัวหลบหลังคามากเท่า F30 รุ่นเดิม เพราะความสูงของรถไม่ได้เปลี่ยน แต่ความยาวของประตูที่เพิ่มขึ้น มีส่วนช่วยในการทำให้คุณสามารถตวัดขาเข้ารถได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

เบาะนั่งหลัง ก็มาในอารมณ์เดียวกับเบาะหน้าคือหน้าตาไม่เหมือนเดิม แต่พอนั่งแล้ว ความเป็น BMW มันก็ยังอยู่ เบาะแข็งใน นุ่มนิดที่ข้างนอก ส่วนที่ต่างคือการปรับบริเวณพนักรองหลัง ซึ่งจะดันหลังตอนล่างมากขึ้นนิดหน่อย และด้วยฐานล้อที่ยาวขึ้น ทำให้คุณได้พื้นที่ในการวางขาเพิ่มขึ้นมาน่าจะประมาณ 1-1.5 นิ้ว ซึ่งทำให้ผู้โดยสารด้านหลังสบายกายขึ้น แม้จะเปลี่ยนแปลงไม่มาก แต่อย่างน้อยก็เป็นที่ที่ผมเลือกจะนั่งมากกว่า C-Class ในขณะที่สมัยก่อน จะให้นั่ง F30 หรือ C ผมจะบอกว่าคันไหนก็ได้

นอกจากนี้ตัวเบาะหลังสามารถแยกพับได้แบบ 40:20:40 เพิ่มความอเนกประสงค์ในการขนของสำหรับพวกบ้าหอบฟาง

ที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ความจุ 480 ลิตรตามมาตรฐาน VDA ซึ่งดูเหมือนใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นเดิม ในเรื่องนี้อาจเป็นเพราะลักษณะการจัดพื้นที่มากกว่า เพราะเมื่อไปค้นดูรีวิวเก่า F30 320i ที่พี่ J!MMY เคยเขียนไว้ รุ่นเก่ามันก็จุ 480 ลิตรเหมือนกัน ระวังอย่าไปเทียบกับ 330e ซึ่งเป็นรถไฮบริด ต้องเผื่อเนื้อที่แบตเตอรี่ล่ะ ไม่งั้นจะโดนหลอกว่าเนื้อที่กระโปรงหลังโตขึ้นเยอะแยะ

บรรยากาศภายในรถ มีความแตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างชัดเจน การออกแบบช่องลมปรับอากาศ เล่นดีไซน์แบบ BMW สมัยใหม่ เพิ่มเส้นสายวัสดุสีสว่างที่วิ่งจากช่องแอร์ซ้ายสุดฝั่งคนนั่งไปจนถึงชุดคอนโซลกลาง ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อสร้างความรู้สึกให้ห้องโดยสารดูกว้างขึ้น เล่นความต่อเนื่องของเส้นทางสายตาจากส่วนซ้ายสุดของช่องแอร์ตรงกลาง กับจอทัชสกรีนที่กลางแดชบอร์ด คันเกียร์เปลี่ยนใหม่ และสวิตช์ควบคุมบริเวณรอบคันเกียร์ เปลี่ยนจากปุ่มนูนแยก มาเป็นแผงปุ่มหน้าเรียบตามเทรนด์ BMW ยุคหลังๆ

ห้องโดยสารของ 320d ให้ความรู้สึกโปร่งตาเวลานั่งมากกว่า เพราะใช้ผ้าบุหลังคาสีอ่อน ในขณะที่ 330i จะใช้ผ้าบุหลังคาสีดำ Anthracite นอกเหนือจากนี้ไป ส่วนที่จะไม่เหมือนกันก็คือวัสดุสีเงิน ซึ่ง 320d จะใช้ลาย Mesh Effect แต่ 330i จะใช้ลาย Tetragon แล้วก็หน้าปัด กับพวงมาลัย ซึ่งถ้าให้พูดตามตรง ผมกลับชอบพวงมาลัย Sport Design ของ 320d มากกว่าพวงมาลัย M Sport ของ 330i เสียด้วยซ้ำ

สวิตช์ควบคุมระบบกระจกต่างๆ อยู่บนที่เท้าแขนฝั่งขวามือ ส่วนบนซีกขวาของแดชบอร์ด จะมีสวิตช์สำหรับเปิดไฟหน้า ซึ่งเปลี่ยนจากแบบลูกบิด มาเป็นแบบปุ่มกดล้วน มีปุ่มไฟหน้า Auto สีเงินขนาดใหญ่เด่นกว่าปุ่มอื่นๆ ส่วนปุ่มสตาร์ท ย้ายจากบนคอนโซลด้านซ้ายของพวงมาลัยมาอยู่ที่ข้างๆคันเกียร์แทน พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง (เข้า/ออก/ก้ม/เงย) แต่ยังใช้คันโยกในการปรับ ไม่ได้เป็นไฟฟ้าแบบ C220d Exclusive/AMG Dynamic ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สามารถทำงานเชื่อมกับระบบความจำตำแหน่งเบาะได้

คอนโซลกลางตอนล่าง มีฝาปิดเรียบร้อยสวยงาม สิ่งที่ผมยังงงอยู่หน่อยๆ ก็คือ 320d ในภาพบน เมื่อเปิดแล้วจะพบกับแท่นวางโทรศัพท์ ที่มีรูปคลื่น Wireless อยู่ ไอ้ผมก็นึกว่า 320d มี Wireless Charger มาให้ แต่พอไปดูในใบสเป็คจาก BMW Thailand กลับระบุว่าไม่มี และเมื่อนำเลขตัวถังไปคีย์ในเว็บข้อมูล VIN Decoder ก็พบว่าไม่มีเช่นเดียวกัน

ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ 3-Zone ทั้งในรุ่น 320d และ 330i เปลี่ยนจากแบบปุ่มกดและมีลูกบิด 2 ลูกใน F30 เป็นแบบปุ่มกดล้วน แต่ยังไม่ยอมมีปุ่ม Dual/Sync มาให้เช่นเคย บางทีเวลาขับคนเดียวเราก็อยากจะปรับอุณหภูมิห้องโดยสารให้มันเท่ากันด้วยการหมุนปุ่มเดียวบ้างเหมือนกัน แต่ไม่แน่ใจว่าเอาฟังก์ชั่นนี้ไปซ่อนอยู่บนจอกลางหรือเปล่าเพราะยังไม่ได้สำรวจเมนูต่างๆอย่างจริงจัง ส่วนด้านล่าง เป็นปุ่ม Short cut และปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียง

อย่าเพิ่งถามเรื่องคุณภาพเครื่องเสียงเลยครับ เพราะไม่ได้พกเพลงประจำตัวมาด้วย ยังตอบไม่ได้ว่าเครื่องเสียง Harman Kardon ใน 330i ดีกว่ารุ่นเดิมไหม และเครื่องเสียงแบบปกติของ 320d พอใช้ได้หรือไม่

ส่วนจอทัชสกรีนตรงกลางนั้น BMW ฉลาดมากที่ออกแบบเบ้ารับจอให้ดูเหมือนกันระหว่าง 320d และ 330i แต่ในความเป็นจริง ขนาดจอของ 320d จะใหญ่ไม่สุด และระบบปฏิบัติการยังเป็นเวอร์ชั่นเก่า การทำงานและสั่งการ รวมถึงการแสดงผล ยังคล้ายกับสิ่งที่เราชินจากซีรีส์ 5 และ X3 แน่นอนว่าคุณยังได้ระบบ Gesture Control ขยับมือสั่งการรถ แต่มันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์นักเพราะบางทีเอื้อมมือไปแตะปุ่มเองยังจะไวซะกว่า

ผมบอกหรือยังว่าไม่มีกล้องมองหลังนะครับ มีแต่เซ็นเซอร์หน้า/หลัง? ถ้าบอกไปแล้ว ก็เน้นย้ำอีกได้ ย้ำจนกว่าเขาจะใส่มาให้นั่นล่ะ ฮ่าๆ

แต่ถ้าเป็น 330i คุณจะได้จอขนาดโตเต็มพื้นที่ แล้วยังมีระบบปฏิบัติการ iDrive 7.0 เวอร์ชั่นใหม่กว่า รองรับภาษาไทย และรองรับการสั่งการด้วยเสียงโดยใช้ภาษาง่ายๆได้ คุณจะเปลี่ยนรหัสเรียกขานเวลาสั่งการรถก็ได้ สมมติของเดิมคุณพูดว่า Hey BMW คุณจะใช้คำสั่ง Hey BMW, change activation code to ______. แล้วก็เลือกรหัสขานได้เลย ดีนะที่ผมไม่มีเวลา ผมว่าจะลองเปลี่ยน Activation code เป็น “นางปริก” ดู ..Hey นางปริก, turn on air condition.

นอกจากนี้ จอกลางของ 330i ยังสามารถโชว์ Trip Computer/หน้าจอแสดงผลแบบสปอร์ต ซึ่งจะโชว์แรงดันบูสท์เทอร์โบ อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง แรงม้า/แรงบิด และ G-meter ตรงกลาง เออ! มันควรจะได้อย่างนี้มานานแล้ว! ปล่อยให้ Mercedes-Benz มีไปก่อนตั้งนาน

ระบบช่วยจอดรถแบบเดียวกับพวกรุ่นพี่อย่าง 530i M Sport (ที่เลิกขายไปแล้ว) ก็มีมาให้ แต่นั่นไม่ทำให้ผมสนใจได้มากเท่ากับระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ ซึ่งตอนแรกผมมองว่า “ให้มาทำไมวะ โคตรไร้สาระ” แต่พอมานึกอีกที..มีหลายครั้งนะที่ผมเดินทางต่างจังหวัดโดยใช้ Google Map นำไป แล้วก็วิ่งเข้าไปในซอยแปลกๆแคบๆ แล้วปรากฏว่าซอยตัน หาที่กลับรถไม่ได้ ตอนถอยออกนั้นยากยิ่ง

การใช้งานระบบนี้ก็ไม่ยากครับ แค่เข้าเกียร์ถอยหลัง แล้วกดปุ่ม “ระบบช่วยขับถอยหลัง” ที่จะปรากฏขึ้นบนจอกลาง จากนั้นคุณปล่อยพวงมาลัยเลยครับ ต้องปล่อย เพราะไม่เช่นนั้นระบบจะไม่ยอมทำงาน สิ่งที่คุณต้องคอยดู ก็แค่พยายามคุมเบรกไม่ให้ความเร็วขณะถอยเกิน 7 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้าเกินนั้นไประบบก็จะหยุดทำงานเช่นกัน ในขณะที่ถอยหลังไปนั้น ก็จะมี Counter ที่นับถอยหลังจาก 50 ไปจนเหลือ 0 หลังจากที่เหลือ 0 แล้ว คุณจะต้องถอยต่อเอง นั่นก็เพราะเงื่อนไขการทำงานของมันคือ ถอยให้เป็นระยะสูงสุดไม่เกิน 50 เมตร เพราะรถมันสามารถจำองศาการเลี้ยวและการเคลื่อนที่ของรถย้อนหลังได้แค่ 50 เมตร

ที่สำคัญคือ ไอ้ 50 เมตรสุดท้ายนี้ ตอนที่คุณขับเข้ามา ความเร็วจะต้องไม่เกิน 35 กิโลเมตร/ชั่วโมงนะครับ และห้ามมีการกดคันเร่งล้อหมุนฟรี ไม่เช่นนั้นระบบจะทำงานเพี้ยน หรือไม่ยอมทำงานให้ไปเลย เอาน่า แค่นี้ เมื่อนึกภาพตอนถอยในที่แคบต่อเนื่อง มันก็ช่วยให้ชีวิตสบายขึ้นเยอะ

มาถึงส่วนของแผงมาตรวัด ของรุ่น 320d นี้จะได้สิ่งที่เรียกว่า “BMW Live Dashboard Plus” (เรียกตามรหัสออพชั่นจาก VIN Coding – บางที่เรียก BMW Live Cockpit Plus) ซึ่งก็คือหน้าปัดแบบอนาล็อกธรรมดาเรืองแสงจากข้างหลัง ในยามปกติหน้าจอจะมืดสนิทหมด และสว่างขึ้นเมื่อสตาร์ทเครื่อง รูปแบบของหน้าปัดและการวางตำแหน่งจะคล้ายหน้าปัดธรรมดาที่พบใน F30 รุ่นเดิม ไม่ค่อยวิลิศมาหราเท่าไหร่ เทียบกับคู่แข่งอย่าง C220d AMG Dynamic (ที่เลิกขายไปแล้ว) ซึ่งเป็นจอ TFT ขนาดโตแพรวพราว หรือถ้าเทียบกับ C220d Avantgarde จอ MID ของเบนซ์ก็ใหญ่และมีลูกเล่นเยอะกว่าอยู่ดี หน้าปัดของ 320d ไม่มีการเปลี่ยนสีสันไปตาม Mode การขับขี่ วัยรุ่นอาจจะเบื่อหน่อย

แต่ในความธรรมดาของมันนั้น ข้อดีก็คือเวลาขับขี่แบบปกติ การอ่านค่ามันทำได้ง่าย อะไรที่วัยรุ่นไม่ตื่นตาตื่นใจ คนเริ่มแก่จะกลับชอบ เพราะชำเลืองมองด้วยหางตา เห็นตำแหน่งองศาของเข็มชัดเจน

สำหรับ 330i M Sport มาแบบจัดเต็มด้วย BMW Live Cockpit Professional ซึ่งเป็นจอสี TFT ขนาด 12.3 นิ้ว ทำมากะจะฆ่าหน้าปัดของเบนซ์และ Audi ชัดๆ มีลูกเล่นหน้าตาแพรวพราว เก๋แหกคอกชาวบ้านด้วยการออกแบบให้มาตรวัดรอบหมุนทวนเข็มนาฬิกา สามารถปรับการโชว์ค่าบนจอภายในวงของมาตรวัดรอบได้ แต่ตรงกลางจะ Fix เป็นที่ของระบบนำทาง และคุณไม่สามารถเปลี่ยนโหมดการจัดวางตำแหน่งข้อมูลแบบของ Mercedes-Benz หรือ Volvo ได้ ทำให้รู้สึกว่าใช้ความเป็นจอ TFT ไม่คุ้มเท่าที่ควร ถ้าอยากรู้ว่าใครใช้ความเป็น TFT อย่างคุ้มค่าสุด ไปดู Ford Mustang ค่ะลูก

กดโหมด Sport สิ่งที่เปลี่ยนก็มีแค่เส้นแสงแถวเลขความเร็วกับเลขวัดรอบ เปลี่ยนจากส้มเป็นแดง แค่นั้นจริงๆ

แต่ถ้าคุณมองแค่เรื่องการใช้งาน ไม่แคร์เรื่องลูกเล่น ก็น่าจะโอเค ตอนแรกผมคิดว่าน่าจะอ่านค่ายาก เล็งด้วยหางตายาก เหมือนหน้าปัด TFT รุ่นแรกอย่างในซีรีส์ 5 หรือ X3/X4 เวลาเข้าโหมด Sport แต่ของ 330i นี้ สังเกตดูนะครับ บริเวณเข็มชี้ต่างๆจะมีแสงนำไฮไลท์สว่างอยู่รอบๆ และมีความคมชัดดีพอประมาณ ถึงผมจะไม่ชอบหน้าปัดแบบนี้ แต่ก็ยังรู้สึกชอบมากกว่าหน้าปัดของซีรีส์ 5 อยู่บ้าง

***รายละเอียดทางวิศวกรรรม***

เราพอจะเดาทางได้จากในอดีตที่ผ่านมา ว่าประเพณีของ BMW ยังไงก็พยายามรักษาอะไรก็ตามที่มี “20d” เอาไว้ทั้งหมด เพราะเป็นเครื่องสหกรณ์ที่ได้รับความนิยม มีเรี่ยวแรงพอสำหรับผู้ใหญ่ขับ ส่วนอีกรุ่นหนึ่งนั้น ก็จะหมุนเวียนกันไป เรามักจะเห็น “28i” หรือ “30i” ขายกันอยู่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะถูกแทนด้วย “30e” ที่เป็น Plug-in Hybrid และในกรณีของซีรีส์ 3 ใหม่ ก็คงดำเนินรอยเดียวกัน โดยมีให้เลือก 2 ขุมพลังในช่วงแรกของการจำหน่าย

320d

ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ รหัส B47D20B ขนาด 2.0 ลิตร 1,995 ซีซี. TwinPower Turbo กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 84.0 x 90.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 เพิ่มพลังด้วยเทอร์โบชาร์จแบบแปรผัน จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด Common-rail แรงดัน 2,000 บาร์ ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที รถสเป็คไทยจูนเครื่องมาเป็นแบบ Euro5 ยังไม่ต้องมีการเติม AdBlue แบบ Euro6 ใน Mercedes-Benz

จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic ขับเคลื่อนล้อหลัง ไม่มี Paddle shift ข้อมูลอัตราทดเกียร์ดังนี้

  • เกียร์ 1 5.250
  • เกียร์ 2 3.360
  • เกียร์ 3 2.172
  • เกียร์ 4 1.720
  • เกียร์ 5 1.316
  • เกียร์ 6 1.000
  • เกียร์ 7 0.822
  • เกียร์ 8 0.640
  • เกียร์ถอยหลัง 3.712
  • อัตราทดเฟืองท้าย 2.813

330i

ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ รหัส B48B20B ขนาด 2.0 ลิตร 1,998 ซีซี. TwinPower Turbo ใช้เทอร์โบชาร์จเดี่ยวแบบ Twin-scroll ขนาดกระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 94.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.2 : 1 กำลังสูงสุด 258 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,550 – 4,400 รอบ/นาที

จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Sport Steptronic พร้อม Paddle Shift ที่พวงมาลัย ขับเคลื่อนล้อหลัง

อัตราทดเกียร์และอัตราทดเฟืองท้าย เท่ากับของ 320d เด๊ะ ดังนั้นไม่ต้องลงซ้ำ

ช่วงล่าง ปรับเยอะกว่าที่คิด

ตามบทความจากเว็บไซต์ jalopnik.com ได้มีการสัมภาษณ์ คุณ Robert Rothmiller ซึ่งเป็นหัวหน้าวิศวกรทีม “Functional Design and Driving Dynamics” ของ BMW ซีรีส์ 3 G20 กล่าวว่า การทำรถให้มีการบังคับควบคุมดีขึ้นนั้น แบ่งหัวข้อการพัฒนาออกเป็น 3 ส่วน

ข้อแรก น้ำหนัก และความกว้างระยะแทร็คล้อ (เส้นจากจุดกึ่งกลางล้อซ้ายไปจนถึงล้อขวา เป็นเส้นแนวขวางกับตัวรถ) เรื่องน้ำหนักตัวถังนี้ BMW Thailand เคลมว่าเมื่อเอารุ่นเครื่องยนต์เดียวกันมาเทียบ G20 จะเบาลงประมาณ 55 กิโลกรัมเมื่อเทียบกับ F30 ส่วนระยะแทร็คล้อ ก็กว้างขึ้นกว่าเก่า นอกจากนี้ยังมีจุดศูนย์ถ่วงเตี้ยลงกว่าเดิมอีกประมาณ 10 มิลลิเมตร

ข้อต่อมา คือความเหนียวของโครงสร้าง และความหนึบของช่วงล่าง โดยในส่วนของบอดี้นั้น G20 ใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบ CLAR เช่นเดียวกับซีรีส์ 5 รุ่น G30 นำมาปรับขนาดใหม่และเมื่อเทียบกับโครงสร้างของ F30 แล้ว พบว่าโครงสร้างใหม่มี Rigidity เพิ่มขึ้น 25% แต่ในบางจุดจะแข็งเหนียวขึ้นอีก 50% เช่นเบ้าโช้คหน้าและจุดยึดซับเฟรมหน้า

อีกข้อหนึ่งคือ การปรับปรุงการทำงานของระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยเหลือในการขับขี่

ในเรื่องช่วงล่างนั้น ถ้ามองเผินๆ G20 มีรูปแบบที่คล้ายกันกับของรุ่นที่แล้ว โดยด้านหน้าจะเป็นแบบ Double-joint spring strut ส่วนด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงค์ (Five-link suspension) แต่แม้จะดูเหมือนๆกับรุ่น F30 แต่ชิ้นส่วนนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง Robert บอกกับนักข่าวว่า “ไม่มีส่วนไหนเลยที่เอาของรุ่นเก่ามาใช้กับรุ่นใหม่ได้”

โช้คอัพของ ซีรีส์ 3 ใหม่ มีเทคโนโลยีที่เรียกว่า Lift-related damper หรือผมขอเรียกแบบง่ายๆว่า โช้คอัพ 2 ชั้น ถ้านึกภาพตามจะง่ายครับ สมมติว่าคุณมีกระบอกโช้คอัพผ่าครึ่งอยู่ในมือนะครับ ชุดซีลลูกยางกับวาล์ว จะมีสองอัน (บน/ล่าง – อยู่บนแกนโช้คเดียวกัน) ห้องน้ำมันตรงหัวโช้คด้านบนจะมีขนาดเล็กกว่าด้านล่าง ในจังหวะยุบแบบขับปกติ ซีล วาล์ว และห้องน้ำมันชุดล่าง ทำงานเหมือนโช้คอัพปกติ ส่วนชุดบน จะไม่แหย่เข้าไปในห้องน้ำมันตอนบน

แต่เมื่อคุณเทโค้งหนักหรือกระโดดคอสะพานแรง โช้คอัพจะยุบตัวจนซีลและวาล์วชุดบนเลื่อนอัดเข้าไปที่ห้องน้ำมันข้างบน ทำให้เกิดแรงต้าน การยุบตัวจึงยากขึ้น วาล์วชุดบนที่มีรูน้ำมันขนาดเล็กกว่า ก็ทำให้มันยืดคืนตัวยากขึ้นเช่นกัน

โดยรวมแล้ว วิธีนี้ทำให้โช้คอัพของซีรีส์ 3 ใหม่ทำงานเหมือนโช้คปกติ ยกเว้นเวลาทิ้งโค้งแรงๆ มันจะหนืดหนึบขยับยากขึ้น ช่วยให้ซีรีส์ 3 ใหม่สามารถนำรถฝ่าโค้งแรงๆได้อย่างมั่นใจ ในขณะเดียวกันก็สามารถซับเอาแรงสะเทือนที่ไม่จำเป็นออกได้เยอะ โดย Robert ออกแบบให้โช้คอัพหลัง มีการทำงานแบบสองชั้น ทั้งในจังหวะยุบ และจังหวะคืนตัว แต่สำหรับโช้คอัพหน้า จะทำงานแบบนี้เฉพาะในจังหวะโช้คอัพยืดคืนตัวเท่านั้น

ขอให้เข้าใจว่า มันเป็นโช้คอัพแบบที่ “ปรับความหนืดไปตามการยุบหรือยืดของโช้ค” นะครับ หลายคนเข้าใจว่าเป็นโช้คอัพปรับแข็งอ่อนตามการกดสวิตช์ Comfort Mode หรือ Sport Mode ซึ่งมันไม่ใช่ครับ

ระบบบังคับเลี้ยว ของซีรีส์ 3 ใหม่ เป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้าทั้งในรุ่น 320d และ 330i ต่างกันตรงที่ 330i มีระบบอัตราทดแปรผัน (Variable Steering Ratio) มาให้ด้วย

สมัยก่อน ในรุ่น F30 นั้น สมัยเปิดตัวใหม่ๆ สื่อมวลชนฝรั่งตำหนิว่าพวงมาลัยไฟฟ้านั้น ไม่ถ่ายทอดความรู้สึกการยึดเกาะของล้อหน้าได้ดีพอ ทั้งๆที่รุ่น E90 เซ็ตมาได้ดีในระดับหนึ่งแล้ว ทางนิตยสาร Car & Driver เคยลองวิจัย แล้วพบว่าแรงดีดกลับตามธรรมชาติของชุดพวงมาลัยใน F30 ลดลงจากรุ่น E90 ถึง 64% ทำให้นักขับรู้สึกโหวงไม่คุ้นมือ เมื่อทีมของ Robert ทราบก็พยายามจัดทรงช่วงล่างและมุมล้อใหม่จนได้แรงดีดคืนกลับมา 10% โดยใช้วิธีเปลี่ยนมุม Caster เลื่อนเบ้าโช้คเยื้องไปด้านหลัง ย้ายจุดหมุนซ้าย/ขวา (เวลาเลี้ยว) เป็นแนวตามกัน ซึ่งการจัดวางลักษณะนี้ทำให้ล้อรถไวต่อแรงกระทำจากพื้นถนนเวลารถแล่น และช่วยให้คนขับรับรู้อาการของล้อหน้าว่ากำลังเกิดอาการหน้าดื้อโค้งอยู่หรือไม่

หลายคนบอกว่าจะทำให้ยุ่งยากทำไมในเมื่ออยากให้ดีดกลับแรงๆ ก็ไปปรับที่ชุดมอเตอร์พวงมาลัยก็ได้ ทีมวิศวกรลองทำไปแล้วครับ เขาพบว่าได้การตอบสนองที่ยังไม่ดีพอ เพราะยิ่งปรับให้มอเตอร์มีแรงดีดคืนตัวอัตโนมัติมากขึ้น พวงมาลัยกลับถ่ายความรู้สึกจากพื้นถนนได้น้อยกว่าเดิม

ระบบเบรกของซีรีส์ 3 ใหม่ เป็นแบบดิสก์เบรก 4 ล้อ แต่ในรุ่น 330i M Sport ก็จะได้คาลิเปอร์สีน้ำเงินของ M Sport Package มา นอกจากจะต่างกันในจุดนี้แล้ว รถที่ได้เบรก M Sport จะมีการเซ็ตการตอบสนองของเบรกให้ผ้าเบรกจับแรงขึ้นอีกด้วย

เอาแค่นี้พอเรื่องรายละเอียดที่ลึกกว่านี้ ไว้รอ Full Review ละกันครับ ถ้ามีโอกาสได้ทำก่อนที่เขาจะเลิกขาย 330i น่ะนะ

***การทดลองขับ***

งานลองรถของ BMW ครั้งนี้ บริหารงานโดยทีม xSpan เหมือนเคย และถือว่าทำได้ครบมากสำหรับระยะเวลาที่มีให้ เพราะอะไรที่ต้อง “แอ็คชั่น” กันเต็มเหนี่ยว ก็ไปขับกันบนสนามปทุมธานีสปีดเวย์ แต่ถ้าต้องการเก็บรายละเอียดเรื่องการขับแบบเส้นทางถนน ก็ยังได้มีโอกาสไปขับ จากปทุมธานี ไปอยุธยา และวนอ้อมระยะไกล ผ่านถนนแบบทางหลวง 4 เลนต่างจังหวัด ทางขรุขระ เลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ ลัดเลาะหลืบไปมา

สิ่งที่ยังไม่ได้ลอง ก็คือเรื่องอัตราสิ้นเปลือง เพราะไม่รู้จะจับยังไง เพราะมีการเปลี่ยนคนขับ และส่วนมากพอได้ขับก็ไม่มีใครอยากขับกันช้าๆเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเรื่องช่วงล่างและการตอบสนอง ผมคิดว่าได้เกือบครบ

320d

ในด้านเครื่องยนต์ แม้จะมีพลัง 190 แรงม้าเท่ากับรุ่น F30 และคาแร็คเตอร์การดึงยังคล้ายเดิม คือติดบูสท์เร็ว ดึงหนักช่วง 2,000-3,000 รอบ จากนั้นเริ่มแผ่ว และไม่มีประโยชน์ที่จะลากรอบไปเกิน 4,000 สุ้มเสียงเครื่องยนต์ ความเรียบในการทำงาน ก็คล้ายกับ 320d F30 คืออยู่ในระดับเท่าๆกับคู่แข่งเยอรมันเครื่องดีเซลทั้งหลาย

แต่เมื่อลองใช้นาฬิกาจับเวลา ก็พบกับความแตกต่าง! อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ภายใน 6.17 วินาที ในขณะที่ 320d F30 เราเคยบันทึกตัวเลขไว้ 6.15 วินาที และ C220d ก็ทำได้ 6.17 วินาที (ทั้งหมดเป็นโหมด Comfort)

ผมไม่ได้พิมพ์ผิด..ท่านผู้อ่านอาจจะงงว่า แล้วมันต่างกันตรงไหนโว้ยครับ..คือ ตัวเลขของ 320d F30 และ C220d เราจับเวลาตอนกลางคืน และมีน้ำหนักบรรทุกบนรถเท่ากับผมคนเดียว คือ 150-160 กิโลกรัม ..แต่ 320d G20 น่ะ เราจับเวลาโดยมีผม มีพี่วิฑูรย์ กุลวณิช จาก Inspire และพี่ช่างภาพที่ตัวพอๆกับพี่จิมมี่อีกท่าน และเราวิ่งในสภาพอากาศช่วงบ่ายโมงที่ร้อนประมาณ 38-40 องศา…คุณลองคิดดูแล้วกันว่าถ้าเปลี่ยนมาวิ่งจับเวลากลางดึกและบรรทุกน้ำหนักแบบตามมาตรฐานปกติ มันจะเร็วขึ้นกว่านี้ได้อีก

เกียร์ที่ปรับปรุงใหม่ทำงานได้ไวขึ้นเวลาคิกดาวน์กับเวลาเปลี่ยนเกียร์ นั่นอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดเวลาในขณะเร่งแซงลงไปได้ (เพราะพลังเครื่องยนต์ ตามสเป็ค ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด) แต่มันจะมีอาการเลือกเกียร์ไม่ถูก ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ช่วงความเร็วต่ำหรือเป็นระยะการกดคันเร่งที่ไม่แน่นอน (เช่นลังเลระหว่าง 30-40%) ซึ่งผมเจอบ้าง แต่น้อยครั้งมาก ปัญหาจริงๆน่าจะอยู่ที่ช่วงความเร็วต่ำระดับคนเดิน/วิ่งเหยาะ ซึ่งรถจะเข้าเกียร์ 1 และทำให้มีอาการกระยึกกระยักเวลาเหยียบหรือถอนคันเร่งบางจังหวะ

มันทำงานเร็วคล้ายเกียร์คลัตช์คู่ แต่ก็เอานิสัยเสียบางอย่างของคลัตช์คู่มาด้วย แต่ไอ้อาการแบบนี้ เกียร์ 9 จังหวะใน Mercedes-Benz C220d ก็มีเช่นกัน

ช่วงล่างของ 320d Sport เป็นสเป็คมาตรฐาน ที่ผมถึงกับต้องค้นข้อมูลเพิ่มว่า “ใช่เหรอวะ” เพราะอาการของมันนั้น หนึบ แน่น เหลือที่ไว้สำหรับความนุ่มพอให้แม่ยายไม่ด่าเวลาพาไปกินข้าว มันเป็นช่วงล่างที่ใช้วิ่งบนถนนได้ดี ถูกใจข้าพเจ้ายิ่งนัก กระโดดคอสะพานสบาย ทิ้งโค้งเล่นก็ไม่ยวบยาบเกินไป หวดไปแตะ 180 ก็ไม่มีอาการโคลงส่ายตามพื้นถนน ..ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมบ่นใน BMW ประเภทโลกสันติสุขอย่าง 520d Luxury หรือ X3 xLine และยังซับแรงสะเทือนได้ดีกว่าคู่แข่งอย่าง C220d

มันเป็นรถที่ใช้วิ่งบนสนามแข่งก็พอไหว อัตราทดพวงมาลัยไวพอให้เลี้ยวโค้งต่างๆได้อย่างคล่องตัว แต่เมื่อคุณเริ่มพามันเข้าใกล้ขีดจำกัด เริ่มใช้ความเร็วมากขึ้น ก็จะเห็นได้ชัดว่ามันยังสู้ 330i ไม่ได้ในเรื่องความมันส์ขณะขับ 320d แม้จะเป็นรถขับหลัง แต่เมื่อกดคันเร่งขณะอยู่ในโค้ง ท้ายก็ไม่ได้ออกง่ายๆ (จนกว่าจะปิด Traction Control) เวลาเข้าโค้ง ถ้ามาแรงไป มันจะตอบความบ้าของคุณด้วยอาการหน้าดื้อ ที่หากเปิด DSC ไว้ คุณจะแก้ไม่ได้ด้วยการหวดคันเร่ง ต้องใช้วิธีเบรกเอาดื้อๆให้ความเร็วลด แล้วค่อยหักหลบต่อ

ซึ่งผิดคาดอยู่สักหน่อย เพราะมองว่าตัวมันเองก็มีแรงบิดสูง แต่อาจเป็นเพราะเมื่อเข้าโค้งที่รอบสูงๆ แรงบิดพ้นช่วง Max Torque ไปแล้ว และอีกประการอาจเกี่ยวกับเฟืองท้ายที่ไม่ใช่ M Sport Electronic Diff เป็น 330i

น้ำหนักพวงมาลัย และจุดที่ปรับปรุงเพิ่มจาก F30 ก็พอให้รู้สึกได้ โดยในขณะเลี้ยวความเร็วต่ำจะเบา และเพิ่มน้ำหนักขึ้นเมื่อเดินทางด้วยความเร็วสูง เวลาวิ่งบนสนามแข่งแล้วรถหน้าแถ จะมีความรู้สึกพวงมาลัยโหวงบ้างดึงบ้าง มันคล้ายพวงมาลัยไฮดรอลิกมากขึ้น แต่ยังไม่ถึงกับเหมือนเด๊ะ

จากที่ประสบพบมา ก็พอบอกได้ว่า 320d G20 ใหม่ น่าจะเป็นเพื่อนเดินทางที่ดีสำหรับชาว BMW ที่เป็นนักธุรกิจระยะไกล ทำงานใกล้บ้านแล้วเบื่อ ชอบไปทำกิจการในที่ห่างไกล (และไม่ใช่ในป่า) ด้วยความที่ช่วงล่างของมันให้ความรู้สึกแบบ “เยอรมันสายเอาโต้บาห์น” ที่นิ่มพอ หนึบพอ และแน่นพอ สามารถรองรับการใช้งานในเมือง หรือการเดินทางต่างจังหวัดด้วยความเร็วระดับหาพระแสงได้

เครื่องยนต์ดีเซล อาจจะไม่ได้แรงแบบรถสปอร์ต แต่ถ้าคุณโดน Civic Turbo 1.5 เดิมๆ ไล่บี้ ก็มีพลังไว้สั่งสอนเด็กได้เหมือนกัน (เด็กอย่ามาพูดนะว่า Civic เอ็ง Remap ก็กินบีเอ็มได้ บีเอ็มเขาก็ Remap ได้วะ) แต่มันไม่ใช่รถที่ขับสนุกแบบ Track day car ไม่ใช่รถที่ให้อารมณ์คึกคะนองชวนตะบี้ตะบันคันเร่ง มันคือรถขับหลังคันนึงที่ทำช่วงล่างมาลงตัวในจุดศูนย์กลางของการใช้งานทุกด้าน และทำทุกอย่างไปเยี่ยงข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ ทำเงียบๆ แต่ชัวร์ ปลอดภัย ไว้ใจได้

330i

ใครที่ซื้อ 330i F30 ที่มาขายแบบจำนวนจำกัดไม่ทันเมื่อหลายปีก่อน เวลาแก้แค้นของคุณได้มาถึงแล้ว นี่คือรถที่เรียกว่าเป็นสปอร์ตซาลูนได้โดยไม่ต้องกลัวพ่อใครด่า แม้ว่าอัตราเร่งช่วงออกตัวจะไม่ดีดแรงแบบ 330e หรือพวก Volvo ที่ใช้ขุมพลัง T8 แต่พอเข็มวัดรอบตวัดเกิน 2,500 เป็นต้นไป กำลังจะไหลมาเทมา แรงอย่างเป็นธรรมชาติอย่างที่คุณคาดหวังจากเครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบ ไร้มอเตอร์หรือถ่านท้ายรถ สุ้มเสียงของมันเร้าใจ แม้จะทราบดีอยู่ว่าเป็นเสียงสังเคราะห์ที่น่าจะเลาะลำโพงมาจาก MINI JCW แต่มันก็ดีกว่าเสียงดีเซลแห้งๆของ 320d เยอะล่ะ

ยิ่งพอใช้ความเร็วมากขึ้น ราคาที่แพงกว่า 320d อยู่สี่แสนบาทจะค่อยๆลดลงเหลือสองแสนในใจคุณ 330i ที่บรรทุกน้ำหนัก 300 กว่าโล สามารถเร่งจาก 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายใน 5.17 วินาที ..แน่นอนครับนี่คือเลข Comfort Mode แต่ถ้ากด Sport Mode ผมทำได้ 4.85 วินาที! อย่าลืมนะครับ นี่คนเต็มรถ และวิ่งตอนกลางวันร้อนๆเลย ไม่ได้วิ่งดึกบรรทุก 160 โลตามมาตรฐานทดสอบปกติ

คุณอยากจะจ่ายเงินสามล้านกว่าๆ แล้วอยากได้รถซีดาน 4 ประตูที่แรงกว่านี้? ไปซื้อ WRX STi เถอะครับ เพราะถ้าวัดช่วงแซงล่ะก็ 330i มีแนวโน้มว่าจะไปได้เร็วกว่า A4 Avant 45TFSI เสียอีก ผมลองไล่ดูในตารางอัตราเร่งของเว็บเรา นอกจาก A4 แล้ว 330i ใหม่มีแนวโน้มจะไล่ฟัดกับพวกไฮบริดตัวโหดๆอย่าง C350e, S90 T8 ได้ด้วยซ้ำ ผลที่ได้มาจากเครื่องยนต์ และยังรวมไปถึงการตอบสนองของเกียร์ที่ทำงานได้ไวขึ้นเวลาคิกดาวน์

เร็ว แรง สนุก คือสามคำที่ได้จาก Combination เครื่องยนต์ B48 กับเกียร์จูนใหม่ลูกนี้ แต่อาการยึกๆยักๆ ที่ความเร็วต่ำเกียร์ 1 หรืออาการงงเกียร์ ก็มีมาให้เห็นเช่นเดียวกับ 320d นั่นแหละครับ

ช่วงล่างของ 330i เป็นสเป็ค M Sport suspension ซึ่งมองได้ทั้งแง่ดีและแง่ร้าย ขึ้นอยู่ว่าคุณเป็นคนแบบไหน

ถ้าคุณเป็นนักซิ่งประชาชื่น เป็นคนที่ชอบบินเร็วไปในยามค่ำคืน หรือชอบเอารถไปซัดบนแทร็กกับเพื่อนในวันหยุด 330i จะเป็นรถที่เหมาะกับคุณมาก เพราะนิสัยรักสนุกและไม่กลัวงานบู๊ของมัน ความหนึบของช่วงล่างที่แข็งกว่า 320d อย่างชัดเจน บวกกับพวงมาลัย Variable Sport Ratio ทำให้มันเป็นรถที่สาดโค้งได้ในแบบที่ต้องพูดว่า

“Delicious ANIMAL” (เขียนคำหยาบไม่ได้ ลองแปลเป็นไทยดูจะรู้)

ไม่ว่าจะโยนซ้ายขวาเล่นบนทางตรง แกล้งรถให้เสียอาการ ทิ้งโค้งแบบเกินๆ แล้วไปหักตบตรงปลายโค้ง หรือจะหักเต็มแล้วกดคันเร่งใส่เข้าไป 330i M Sport ทำตัวเหมือนโดราเอม่อนจากนรกที่ดุเหมือนปิศาจ แต่มันรักคุณ อยากได้อะไรเฮียก็จัดหาของให้ได้หมด ถ้าคุณสุภาพกับคันเร่ง มันก็จะเกาะไปดีๆ คมแบบเลเซอร์ ถ้าคุณกดคันเร่งตรงไหน มันก็จะเขยิบสไลด์ท้ายให้ นี่คือจุดที่ต่างจาก 320d เพราะใน 330i คุณสามารถใช้คันเร่งในการหันรถได้ ในขณะเดียวกัน ล้อหน้าก็จิกเกาะพื้นแทร็คดีอย่างเหลือเชื่อ

ไม่เข้าใจ และอธิบายไม่ถูกว่าทำไมนิสัยต่างกัน เพราะทั้ง 320d และ 330i ก็ใช้ยาง Pirelli Cinturato P7 เหมือนกัน ต่างกันแค่ล้อหลังของ 330i กว้างกว่า ที่เหลือก็เป็นเรื่องช่วงล่างกับพลังเครื่อง

ยิ่งวันทดสอบนั้น ผมอยู่ในระหว่างการยืมรถเทสต์ WRX STi และได้ใช้ชีวิตกับมันมาสักพัก ผมประหลาดใจมากในความคล้ายกันระหว่าง 330i กับ STi ในเรื่องการยึดเกาะ 330i จิกเกาะโค้งดีมาก มันต่างจาก WRX แค่การเป็นรถขับหลัง บี้คันเร่งตอนออกโค้งใน WRX มันจะฉกและดึงรถไปทั้งคัน บี้คันเร่งใน 330i ท้ายจะออกแต่ไม่มีแรงฉกและดึงจากล้อหน้า

แต่ในทางกลับกัน ถ้าคุณเป็นลูกค้าที่อายุมาก อยากได้ซีรีส์ 3 แต่มาจบกับ 330i M Sport เพราะเห็นว่าออพชั่นเยอะ ผมอยากจะเตือนคุณให้ไปลองนั่งแล้ววิ่งบนถนนด้วยความเร็ว 70-80 รวมถึงถนนขรุขระดูก่อน เพราะนี่ไม่ใช่ช่วงล่างแบบเยอรมันเอาโต้บาห์น นุ่มหนึบแน่นนะครับ..มันคือช่วงล่างแบบรถเตรียมจะซิ่งแล้วครับ..นี่ถ้าแข็งกว่านี้อีกสัก 20-25% ก็เท่ารถซิ่งวัยรุ่นอย่าง WRX STi แล้ว มันจะมีอาการสะเทือน เหมือนโดนเบาะถีบตูดอยู่เนืองๆ แม้จะไม่ได้ดีดเด้งจนผู้โดยสารลอยจากเบาะก็ตาม วัยรุ่นที่ชินกับรถแต่งซิ่งมาขับอาจจะบอกว่านุ่ม แต่สำหรับคนเฒ่าคนแก่ที่อาจจะเคยนั่ง 525iA E34 หรือ 520d E60 มาก่อน คุณอาจจะตกใจไม่เล็ก

ถ้าหารถ 330i G20 มาลองขับไม่ได้ คุณไปลองหา 330e F30 M Sport ประกอบในประเทศหลังคาซันรูฟมาลองก็ได้ครับ ถ้าคุณรับช่วงล่างแบบนั้นได้ คุณมีแนวโน้มจะไปได้ดีกับ 330i เพราะนิสัยและความสะเทือนคล้ายกัน แแต่ 330i จะซับแรงกระแทกบางช่วงได้ดีกว่า

ส่วนการตอบสนองของแป้นเบรก ใน 330i มีหลายคนรวมถึงผมรู้สึกว่ากดเท่ากัน แต่รถเบรกหน้าทิ่มมากกว่า 320d แต่การเซ็ตแป้นเป็นในลักษณะ นุ่มเบาในช่วงกดแรกๆ และค่อยๆทวีความหนักขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ระยะยุบแป้นเบรกไม่ได้เยอะมากนัก ผมว่ากำลังดีสำหรับการขับแบบพยายามควบคุมแรงเบรกให้ได้เหมาะสม


***สรุป: 330i เหนือกว่าเรื่องความคุ้ม แต่ถ้าอยากเผื่อความนุ่ม คงต้อง 320d***

ซีรีส์ 3 ใหม่ เป็นรถที่พร้อมจะสืบทอดตำแหน่ง “กระดูกสันหลังแห่ง BMW” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เมื่อคุณซื้อซีรีส์ 3 คุณย่อมต้องการ คุณภาพในการขับขี่ พวงมาลัยที่ตอบสนองดี และสิ่งที่ตามมาก็คือความหรูหราและสัมผัสที่บ่งบอกความเป็นพรีเมียมของรถ ซึ่งเท่าที่สัมผัสมา ซีรีส์ 3 ใหม่ทำการบ้านมาได้ดี และสามารถทำสิ่งต่างๆให้ดียิ่งขึ้นกว่ามาตรฐานที่ F30 ทำไว้ขึ้นไปอีก ถ้าไม่นับเรื่องคอนโซลกลางที่เบียดเข่ามากขึ้นนิดๆ ที่เหลือก็เป็นเรื่องของดีไซน์ ความสวย/ไม่สวย ซึ่งเป็นเรื่องแล้วแต่คนมอง หลายคนบอกว่าท้ายรถซีรีส์ 3 รุ่นนี้ดูเหมือน Lexus มากกว่าจะเป็น BMW

ผมไม่เห็นด้วย..

ผมว่ามันเหมือน Hyundai Sonata ปี 2007-2008 แต่ก็ช่างเถอะมันเป็นมุมมองที่บังคับกันไม่ได้นี่

สำหรับ 330i ที่จับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นมีเงิน หรือคนแก่แต่ใจยังสู้ ผมแทบจะมอบมงกุฏให้เป็นขวัญใจคนเท้าหนัก เทคะแนนให้ยิ่งกว่าตอนระดมซื้อโค้ดโหวตให้น้องเฌอปรางเมื่อตอนเซมบัตสึเสียอีก มันทำหน้าที่ตามบทบาทของมันได้อย่างดีในการมอบความสนุกในการขับ ความมั่นใจ ความปลอดภัย เป็นเพื่อนที่ดีทั้งในสนามและบนถนน กดคันเร่งเป็นทะยาน เลี้ยวเป็นเลี้ยว เบรกเป็นเบรก สไลด์ท้ายเล่น โยนเล่น ได้หมด นอกจากนี้ มันมีอุปกรณ์มาให้ครบครัน จะขาดก็เพียงแค่พวก Advance Safety Feature กับ Radar Cruise Control และหลังคาซันรูฟ ก็เท่านั้น

ถ้ามีใครโยนเงินให้ผมสัก 3.4 ล้านแล้วให้ซื้อรถซาลูน 4 ประตูสักคัน 330i M Sport จะเป็นทางเลือกของผมอย่างแน่นอน มันอาจจะไม่ใช่รถแรงและสนุกอย่าง BMW M2 แต่ด้วยราคาที่ถูกกว่ากันมากและบุคลิกหลายอย่างที่ถอดแบบกันมา DNA ของรถแรงขับสนุกที่ขับได้ทุกวัน มีอยู่ใน 330i M Sport เพียงแค่ว่ามันไม่ใช่ปิศาจ 300-400 ม้าอย่างพวกรถตระกูล M แค่นั้นเอง ส่วนคู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz ไม่มีคู่แข่งตรงพิกัด ณ ขณะนี้

ส่วน Audi นั้น หากเป็นรุ่นซีดาน จะได้ช่วงล่างที่นุ่มกว่า Avant และมีความแรงไม่ได้แพ้กัน แรงม้า 252 ตัวก็น้อยกว่า BMW แค่ไม่กี่ตัว รุ่นซีดานราคาไม่ถึง 3 ล้านด้วย จึงเป็นรถสปอร์ตซีดานที่ราคาถูก และดูแบบผ่านๆจะคุ้มกว่า 330i แต่บุคลิกของ Audi ขับสี่ quattro จะเน้นความเกาะถนน เวลาซนอยากสะบัดสะบิ้งบ้าง รถจะไม่อยากเอาด้วย และที่สำคัญคือเสียงเครื่องของ Audi ออกจะเงียบไปสักนิดสำหรับรถที่แรงและขับสนุกขนาดนั้น

หลังจากที่ขับเสร็จ และได้พูดคุยกับสื่อมวลชนหลายๆท่าน ผมเริ่มรู้สึกสงสาร 320d เพราะความที่ราคาไม่ได้ห่างจาก 330i มาก (2.959 ล้าน vs 3.359 ล้านบาท) ทั้งๆที่ความจริง หากเพียงแค่ใส่กล้องมองหลังเข้าไป และเติมออพชั่นประเภทลูกเล่นทางสายตาเข้าไปอีกสักอย่างสองอย่าง มันก็ไม่ได้น่าเกลียดแล้ว

ในขณะที่ 330i เป็นรถเอาใจวัยรุ่น 320d ดูน่าจะเหมาะสำหรับคนมีครอบครัวแล้ว ด้วยช่วงล่างที่ลดความสะเทือนลง เพิ่มความนุ่มหนึบเข้าไปแทน ลดความดุดันขี้เล่นในโค้ง เปลี่ยนเป็นความชัวร์ มั่นใจ และอยู่กับร่องกับรอย

พูดง่ายๆ 330i = ผู้ชายก่อนแต่งงาน และ 320d = ผู้ชายหลังแต่งงาน … แบบนี้เห็นภาพมั้ยครับ?

แต่ส่วนที่น่าเสียดายของ 320d คือการที่ยังมีอุปกรณ์ไม่ครบเท่า 330i เหมือนว่าแม่จะรักพี่คนโตมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด แถมการที่เป็นรถนำเข้าทั้งคันจากเยอรมัน ทำให้ราคาของมันไม่ดึงดูดใจ ถ้าคุณไม่ใช่ขาซิ่ง คุณลองคิดดูว่าระหว่าง C220d AMG Dynamic ออพชั่นครบ หลังคา Panoramic มีกล้องรอบคัน ล้อ 19 นิ้ว ให้มาชนิดที่ไม่รู้จะเพิ่มอะไรแล้ว ราคาถูกกว่า 320d อยู่ราว 70,000 บาท เป็นคุณ คุณเลือกอะไร? จริงอยู่ว่า BMW เสียเปรียบด้านราคาเพราะเป็นรถนำเข้า แต่ท้ายสุด ราคากับสิ่งที่ได้ คือสิ่งที่ลูกค้าใช้ในการตัดสินรถเสมอ แม้ว่าปัจจุบัน C220d AMG Dynamic จะขายหมดแล้ว แต่ก็ยังมีรุ่น Exclusive ที่อุปกรณ์แน่นแถมราคายิ่งถูกลงไปอีก

ที่สำคัญ ในราคาใกล้เคียงกับ 320d ถ้าคุณไปมอง Audi ล่ะก็ A4 รุ่นซีดาน 45TFSI ราคาแพงกว่ากันแค่ไม่กี่หมื่น แต่คุณได้ขับสี่ เทอร์โบ 252 แรงม้า เป็นคุณ คุณเลือกอะไร? ก็คงต้องรอจนกว่าจะมีการนำ 320d มาประกอบในประเทศ เผื่อราคาจะลดลง หรือไม่ก็ให้ BMW คิดค้นรุ่นย่อยใหม่ๆออกมาเสริม แต่จากประสบการณ์ผม BMW มักจะชอบเอารุ่นที่ดีมากๆ ครบมากๆ มาขายเป็นเวลาแค่ช่วงสั้นๆ หรือไม่ก็มาตอนท้ายโมเดล แล้วขายในราคาน่ารัก แทนการปลอบใจก่อนรถจะตกรุ่น

ลองพิจารณาดีๆก่อนเลือกแล้วกันครับว่าจะเลือกคันไหน อย่าเพิ่งเชื่อคำผมทุกคำ

แม้ว่าอายุผมจะมากและตัวเองก็เริ่มมองหารถที่นั่งสบายขึ้น แต่เมื่อเจอรถที่มันขับสนุก บางครั้งใจผมก็ลอยไปกับมันได้ บางครั้ง รถที่ผมเลือก ก็จะมีคุณสมบัติ 1-2 ข้อที่คุณอาจจะยอมรับไม่ได้ ผมถึงมักไม่ชอบให้ใครถามว่าเป็นผม ผมเลือกคันไหน เพราะผมไม่ใช่ภรรยาคุณ ไม่ใช่ตัวคุณ ถ้าคุณเลือกตามผม แล้วไม่ชอบ ความซวยก็ไปที่คุณ จะให้ดี เรามาคุยกันดีกว่าว่าชีวิตของคุณต้องเจออะไร ขับรถแบบไหน พฤติกรรมการใช้งานเป็นอย่างไร

ลองรถ, เขียนบทความ และพยายามพาคนที่ใช่ไปเจอรถที่ชอบ ชีวิตผมอาจจะมีค่าอยู่ในกรอบนี้แหละครับ

—-////////—-


ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท BMW (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อเชิญร่วมทดลองขับ


Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน

ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในประเทศ เป็นของผู้เขียนและทีมช่างภาพ BMW Thailand

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com 17 พฤษภาคม 2019


Pan Paitoonpong//Copyright (c) 2019
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
17 MAY 2019