ตลอดเวลาที่ผมใช้ชีวิตจับ แตะ และอ่านเรื่องราวต่างๆในโลกรถยนต์มา 26 ปีนั้น
สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้ว่ามีความแน่นอนมากที่สุดก็คือกระแสการรับรู้ระหว่างมหาชน
และรถอย่าง Honda Civic ไม่ว่าสังคมจะอยู่ในสภาพไหน เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับ Honda Civic ประชาชนจะให้ความสนใจมาก (เกือบ) ทุกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นบอดี้ EF ท้ายแดงจากช่วงปลายยุค 80s หรือบอดี้ EG ที่มีรูปทรงสวยงาม
สปอร์ตไม่เหมือนใครในยุคของมัน และยังขายได้ มีคนซื้อแม้ว่าจะใช้เบาะหนังเทียม
เกรดรถกระบะและกระจกมือหมุนกับเครื่อง 1.5 ลิตรคาร์บิวเรเตอร์ที่ไม่แรงและทันสมัย
เท่ากับเครื่องหัวฉีดของคู่แข่งยุคเดียวกันก็ตาม

2016_04_Civic_Opening

ในช่วงต่อระหว่างยุคฟองสบู่ กับฟองสบู่แตก Honda ก็เปิดตัวเจ้าตาโต Civic (EK)
หน้าตาสปอร์ตน้อยลงแต่แก้ลำด้วยการชูจุดขายเครื่องยนต์ VTEC SOHC ที่ให้
ตัวเลขแรงม้าสูงเมื่อเทียบกับรถ 1.6 ลิตรระดับเดียวกัน จากนั้นข้ามสหัสวรรษใหม่มา
Civic ใหม่ก็ป่องพองลมขึ้น (เหมือนกับเป็นโรคอ้วนระบาดในหมู่ C-Segment ยุคนั้น)
เลิกใช้ช่วงล่างดับเบิลวิชโบน 4 ล้อ ปรับภายในให้ดูหรูหราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ได้รับความนิยม
พอประมาณแม้ประสิทธิภาพโดยรวมของรถจะไม่ได้โดดเด่นแถมขึ้นชื่อเรื่องช่วงล่างหลัง
ดีดเด้งเป็นนิวลูกชิ้นปลานายใบ้

แต่ของดีของเด็ดจริงๆ มาในช่วงปลายปี 2005 เมื่อ Honda เปิดตัว Civic ตัวถัง FD
มันกลายเป็นรถที่คนพูดถึงทั้งเมือง ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ ถ้าทารกในท้องแม่ฟังภาษาคน
รู้เรื่องก็คงพูดถึง Honda Civic เหมือนกัน ด้วยรูปทรงที่ล้ำยุคอกอิแฮ่นแป้นทลาย
ดีไซน์ก้าวหน้ากว่าชาวบ้านไปไกลมากทั้งภายนอกและภายใน แถมยังมีเครื่องยนต์ใหม่
ซึ่งแม้รุ่นเริ่มต้นก็ยังมีแรงม้าสูง กลายเป็นรถที่ชูภาพลักษณ์ Honda ยุคใหม่ได้อย่าง
งดงาม ในขณะที่ Civic รุ่น FB รุ่นที่ตามมานั้น แม้จะไม่ใช่รถที่แย่ แต่ความที่มันไม่ได้
มีดีไซน์ก้าวหน้าไปกว่า FD อย่างที่หลายคนคาดหวัง มันจึงไม่ใช่รถที่คนพูดถึงกันเยอะมาก
เหมือนสมัยก่อน แต่ก็ยังขายได้เรื่อยๆ

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม แม้รังสีความอลังการของ Civic จะเหมือนรถทั่วไปที่มีวันที่สุกใส และ
วันที่ออกจะมื้ดครึ้ม แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคำว่า “Civic” เป็นหัวข้อในโลกออนไลน์เมื่อไหร่
กระทู้แตกเมื่อนั้น จะดราม่าหรือดราโน่ก็แล้วแต่ทัศนคติของคนที่แสดงความเห็น ดูเหมือน
ทุกคนจะอยากรู้เรื่องของ Civic โดยเฉพาะกับ Civic โฉมปี 2016 รหัสตัวถัง FC นี้
หากแม้นมีรูปหลุดสักนิด ยอดคนอ่านก็มหาศาล แค่เผยสเป็คเครื่อง คนก็พูดถึงมากมาย
ผมเริ่มจะคิดในเชิงประชดนิดๆว่า Civic นี่มีลักษณะคล้ายกับพวกหนุ่มๆที่เป็นดาวมหาลัย
หุ่นญี่ปุ่น หน้าเกาหลี เซ็กซี่แบบฝรั่งเศส..ขยับตัวทำอะไรนิดเดียวคนกรี๊ด ปลดกระดุมเสื้อ
เม็ดเดียวคนอื่นเห็นก็แข้งขาอ่อนระทวย ในขณะที่รถค่ายอื่นจะรับบท Mr. Try Hard
ต้องพยายามทำตัวให้น่าสนใจอย่างเหลือเชื่อ ถึงจะได้รับความสนใจจากสาวๆบ้าง

2016_04_Civic_Allstarsv

ในเมื่อรถมันป๊อป คนอ่านของ Headlightmag ก็ถามเข้ามากันเยอะว่าเป็นอย่างไรบ้าง
แต่ผมก็ตอบไม่ได้เต็มปาก เพราะในขณะที่ J!MMY นั้นได้ไปขับไกลถึงสนามบุรีรัมย์
แต่ก็ได้ขับเฉพาะรุ่น 1.5 เทอร์โบ ส่วนผมก็ได้ลองแค่รุ่น 1.8 ลิตรซึ่งเป็นรถของรุ่นน้อง
สมัยมหาวิทยาลัยที่ใจดีให้ผมยืมขับเพราะเห็นใจที่ต้องตอบคำถามจำนวนมากแล้ว
หาโอกาสลองรถรุ่นนี้ไม่ได้เสียที เราสองคนรู้กันคนละรุ่น ผมเห็นตีนงู J!MMY เห็นนมไก่
เวลาคนอ่านมาถามถึงรุ่นไหนก็ต้องไปตามคนนั้นมาตอบ แต่เวลาถูกขอให้เทียบ
ทั้ง 2 รุ่นพร้อมกัน จุดนี้ล่ะครับลำบากใจที่สุด

ทาง Honda เองเขาก็คงทราบดีว่าผมอยากหาโอกาสลองขับรถทั้ง 2 รุ่นพร้อมๆกัน
มาสักพักแล้ว ดังนั้นเมื่อมีโอกาส พวกเขาก็จัดรายการ “เธอคัน ชั้นรู้” ให้ผมได้เข้าร่วม
ทดลองขับ Honda Civic ทั้งรุ่น 1.8 ลิตร และรุ่น 1.5 ลิตรเทอร์โบชาร์จเจอร์ บนเส้นทาง
ตั้งแต่หาดไม้ขาว จังหวัด ภูเก็ต วิ่งผ่านพังงา ไปจนถึงกระบี่

ก็ขอขอบพระคุณ Honda ที่เชิญผมมาร่วมสนุกด้วยกัน ดีครับ บางครั้งได้เปลี่ยน
บรรยากาศจากถนนเมืองที่จำเจ มาลองขับบนถนนต่างจังหวัดในชีวิตจริงดูบ้าง มันเป็น
ยาแก้เบื่อได้ดีเชียวล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อผมไม่เคยได้ก้าวเท้าเข้ามาที่ภูเก็ตเลย
เป็นเวลา 9 ปีมาแล้ว ผมก็คิดถึงจังหวัดนี้เช่นกัน

2016_04_Civic_18Estand

อยากจะเขียนถึงภูเก็ตต่อ..แต่ลืมไปว่ามางานลองขับรถ ไม่ได้มาทำรายการ
กิน เที่ยว เ*ี่ยวสบายไปกับ Headlightmag ดังนั้นขอเข้าเรื่องรถกันเลยดีกว่าครับ

Civic โฉมใหม่บอดี้ FC นี้ นับว่าเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 10 แล้ว รูปทรงของมันมีความ
เปลี่ยนแปลงชนิดที่ว่าถ้าเทียบกับ FB ตัวก่อนแล้วไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นลูกพ่อแม่
เดียวกัน ที่สำคัญคือการออกแบบตัวถังนั้นจะมีความเป็นสากล ไม่มีการแยกพัฒนา
โฉมพิเศษทวีปใครทวีปมันแบบสมัยก่อน เพียงแต่ว่าบางตลาดจะได้ใช้บางบอดี้
ที่ตลาดอื่นไม่ได้ใช้กันก็เท่านั้น

Honda Civic ใหม่ ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดหลักๆในการพัฒนา 3 ประการ ดังนี้

1. Charismatic
คือเรื่องการออกแบบ ซึ่งในรถรุ่นใหม่นี้จะยังใช้แนวคิด Man Maximum,
Machine Minimum แบบที่ Honda ใช้มาตลอด แต่มีการพลิกโฉมการออกแบบ
ภายนอกให้มีความโฉบเฉี่ยว เตี้ย ล่ำ แบน ดูแล้วนึกถึงผู้ชายหุ่นดีๆ ในขณะที่ภายใน
ก็จะเน้นความทันสมัย และให้บรรยากาศพรีเมียม

2. Soulful
คือแนวทางการปรับรถให้มีความสนุกสนานในการขับขี่ โดยมีเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร
จับคู่กับเกียร์ CVT และมีเครื่องยนต์ใหม่ 1.5 เทอร์โบที่ให้พลังขับเคลื่อนสูง พร้อมทั้ง
มีการปรับแต่งช่วงล่างให้รองรับการขับขี่แบบคนใจร้อนมากขึ้น โครงสร้างตัวถังใหม่
ทิ้งของเดิม หันไปคบกับแพลทฟอร์มใหม่ (ซึ่งที่ว่าใหม่นั่น ที่จริงก็เอาของ Accord
G9 มาประยุกต์นั่นล่ะครับ) โครงสร้างโดยรวมมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นเดิม 22 กิโลกรัม
แต่มีความสามารถในการต้านแรงบิดของตัวถังเพิ่มขึ้น 25%

3. Comfortable
คือความสะดวกสบายในห้องโดยสาร และความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นระบบมัลติมีเดีย
และสวิตช์ควบคุมสั่งการต่างๆที่ออกแบบใหม่ ใช้งานได้ง่าย รวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆที่
ทันสมัยกว่ารถรุ่นเดิม และอุปกรณ์ทางด้านความปลอดภัยที่ครบครันขึ้น

2016_04_Civic_18E2

มิติตัวถังของ Civic ใหม่ ยาว 4,630 มิลลิเมตร กว้าง 1,799 มิลลิเมตร สูง 1,415
มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,700 มิลลิเมตร ความกว้างล้อคู่หน้า / หลัง 1,546
และ 1,562 มิลลิเมตร

เมื่อเปรียบเทียบกับ Civic FB เดิม ซึ่งมีความยาว 4,525 มิลลิเมตร กว้าง 1,755
มิลลิเมตร สูง 1,434 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,670 มิลลิเมตร แล้วจะพบว่า
Civic ใหม่ ยาวขึ้นกว่าเดิม 105 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 50 มิลลิเมตร เตี้ยลง 20
มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาวขึ้น 30 มิลลิเมตร

civicdimension

แล้วถ้าเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆล่ะ? โชคดีว่าน้าหมู Moo Cnoe ของเราเขาเคยทำ
ตารางเปรียบเทียบขนาดมิติของรถรุ่นต่างๆในพิกัดเดียวกันเอาไว้ให้นานมาแล้ว
ผมจึงนำมาให้ดูกันในบทความนี้  จะเห็นได้ว่าถ้าพูดเรื่องความใหญ่โต แน่นอนว่า
MG6 ที่เป็นรถพิกัด C กึ่ง D-Segment ตัวโตสุด แต่ Civic นั้นก็มีความยาวตามมา
เป็นอันดับที่ 2 มีความกว้างอยู่ในระดับกลางๆของกลุ่ม แต่ที่แน่ๆคือบอดี้รถนั้น
เตี้ยที่สุดในบรรดารถระดับเดียวกัน น้ำหนักตัวถัง รุ่น 1.8E หนัก 1,227 กิโลกรัม
รุ่น 1.8EL หนัก 1,242 กิโลกรัม รุ่น Turbo หนัก 1,298 กิโลกรัม และรุ่น RS
หนัก 1,317 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าถ้าเทียบกับคู่แข่งอย่าง Mazda 3 และ Nissan Sylphy
Turbo ก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน

ส่วนเรื่องดีไซน์และการออกแบบ ผมมีความเห็นส่วนตัวค่อนข้างคล้ายกับ J!MMY
คือด้านหน้าของรถยังดูไม่ค่อยลงตัว ผมคิดว่ากระจังหน้ากับไฟหน้าดูเหมาะจะอยู่
ในรถประเภทครอสโอเวอร์มากกว่า ถ้าปรับให้ดูเรียวเพรียวลมกว่านี้ได้ มันจะเหมาะ
กับเรือนร่างของรถทั้งคันที่แบนและเตี้ย ได้สัดส่วนที่ดูโฉบเฉี่ยวอยู่แล้ว ด้านข้าง
ของรถคือจุดที่ผมค่อนข้างชอบ เพราะเส้นสายต่างๆมีแค่พอประมาณ ไม่รกตาเกินไป
ในขณะที่ไฟท้ายทรงตัว C นั้น แม้ไม่อาจพูดได้ว่าสวยงาม แต่ก็ให้ความรู้สึกทันสมัย
และเวลาขับตาม Civic คันอื่น ผมก็อดมองไฟท้ายของมันไม่ได้

โดยรวมแล้ว ผมคิดว่านี่เป็นดีไซน์ที่พยายามจะบอกว่า “ชั้นกล้า!” มากกว่า “ชั้นสวย”
ซึ่งออกมาแล้วก็ดูโดดเด่น เพิ่มความแปลกใหม่ให้ชีวิต และที่แปลกใจนิดๆคือ
แม้ว่าหน้าตาของรถจะดูออกกล้าบ้าบิ่นและแอบโหด แต่สุภาพสตรีหลายท่านที่เห็น
กลับรู้สึกชอบ แค่รอบๆตัวผมในบรรดา Facebook Friend นี่ก็มีผู้หญิงจอง Civic
ไปแล้วอย่างต่ำ 7-8 คน และทุกคนในจำนวนนี้บอกว่าชอบตัวถังส่วนหลังและไฟท้าย

2016_04_Civic_frontseat

การลุก เข้าออก ทั้งบานประตูค่หน้า ไม่ได้ยากมากอย่างที่คิด เวลาจะนั่งลง
ไปในรถ หัวไม่โขกกับกรอบหลังคาด้านบน (ผมสูง 183 ซม.)  แต่เวลาจะลุกออก
สำหรับคนตัวใหญ่และหนักแบบผมก็ถือว่าลำบากหน่อยเพราะต้องพึ่งแรงเข่า
ในการก้าวออกมา ยิ่งถ้าปรับเบาะไว้ในตำแหน่งที่เตี้ยมากๆก็ต้องใช้แรงเข่ามาก
ถ้าคุณชินกับ Altis จะรู้สึกว่า Civic นั้นเตี้ย แต่ถ้ามาจาก Mazda 3 ความต่าง
มันก็ไม่มากอย่างที่คิด และยิ่งถ้าคุณเป็นพวกวัยรุ่นที่เคยใช้ Civic FD โหลดเตี้ย
แล้วมาเจอ FC แบบนี้ ไม่มีปัญหา

เบาะนั่งด้านหน้า ฝั่งคนขับ ปรับระดับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทางในรุ่น 1.8EL, 1.5 Turbo
และ 1.5RS ส่วนฝั่งคนนั่ง รุ่นที่ใช้เครื่อง 1.5 เทอร์โบทั้งหมดจะปรับด้วยไฟฟ้า
แต่ปรับได้แค่ 4 ทิศทางเท่านั้น ตัวเบาะมีความนุ่มและแน่นกำลังดี ตัวเบาะรองนั่ง
ใหญ่กว่ารถรุ่นเดิม แต่ผมว่ายังค่อนข้างสั้นไปนิดสำหรับคนตัวสูงใหญ่ นอกจากนี้
ส่วนที่เป็นพนักพิงหลังค่อนข้างแน่นนุ่มกำลังดี พนักพิงศีรษะนั้น J!MMY บอกว่า
ไม่ดันกบาล แต่กลายเป็นว่าผมซึ่งหลังหนาและหัวหลิมกว่ากลับรู้สึกรำคาญอยู่นิดๆ
(อาจเป็นเพราะเวลาขับ ผมชอบถอยฐานเบาะไกลและปรับพนักพิงชันสุดแบบ
เครื่องบินตอนกำลังร่อนลง) แต่สิ่งที่ทำให้เบาะของ Civic เหนือกว่า Nissan Sylphy
ก็คือความนุ่มของพนักพิงศีรษะซึ่งใกล้เคียงรถใหญ่อย่าง Accord และทำให้
การเดินทางไกลยังพอจะหาความสบายได้บ้าง

ในรถปกติ ผมมักจะต้องปรับเบาะให้ลงต่ำที่สุดเพื่อให้ได้ตำแหน่งการขับที่ถนัด
แต่ในกรณีของ Civic นี้ ผมกลับพบว่ามันไม่ถนัดอย่างที่คิดเลย ออกจะจมเกินไป
แม้ว่าจะพยายามปรับพวงมาลัยเข้า/ออก ก้ม/เงยให้ได้องศาเหมาะสมแล้วก็ตาม
ผมเลยใช้วิธีกดเบาะลงต่ำสุด จากนั้นค่อยปรับขึ้นอีกประมาณ 1 นิ้ว ก็จะได้ตำแหน่ง
การขับที่วิเศษมากในความคิดผม แต่เมื่อปรับเข้าตำแหน่งนี้ การเท้าแขนที่
แผงประตู หรือพนักเท้าแขนสั้นๆที่คอนโซลกลางก็ยังทำได้ไม่ถนัดนัก

2016_04_Civic_rearseat

ส่วนด้านหลังนั้น การเข้า/ออกจากรถ สำหรับผมถือว่าเป็นเรื่องลำบากสักนิดเพราะ
ตัวผมใหญ่ผิดธรรมชาติ (ส่วนหนึ่ง) แต่ความที่ตัวเบาะติดตั้งไว้เตี้ย หลังคาลาดเตี้ย
ทำให้การพยายามตะกายออกจากเบาะหลังนั้นลำบากกว่า Toyota Corolla Altis
และ Nissan Sylphy แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่า Mazda 3 Saloon ก็แล้วกัน

ตัวเบาะหลัง ติดตั้งไว้ในตำแหน่งค่อนข้างต่ำ และพนักพิงหลังมีความลาดเอียงมาก
ดังนั้นเลยไม่น่าแปลกใจถ้าคนนั่งหลังจะมีเนื้อที่เหนือศรีษะมากกว่าที่คาดเมื่อมอง
จากด้านนอกรถ

2016_04_Civic_rearheadroom2

กลัวไม่เชื่อ เลยถ่ายรูปมาให้ดูซะเลย ในภาพนี่คือผมนั่งพยายามเอาหลังนาบเบาะ
มากที่สุดแล้ว ไม่ได้ไถทวารไปด้านหน้าเพื่อให้หัวฟิตช่องได้พอดี กลายเป็นว่า
ตอนนี้เรื่องเนื้อที่ศีรษะ Civic ชนะ Sylphy นะครับ เพราะใน Sylphy นั่นผมต้องไถ
ทวารไปด้านหน้า 2 นิ้วเพื่อที่จะนั่งได้โดยไม่ต้องเอนหัวหลบเพดาน พนักพิงศีรษะ
ก็นุ่มกว่า..ไม่ได้แข็งเป๊กเป็นท่อนไม้แบบของ Nissan แต่ถ้าเป็นเรื่องเนื้อที่วางขา
จะไม่ต่างกันมากอย่างที่คิดเพราะ Nissan เองก็เน้นเรื่องพื้นที่จุดนี้เช่นกัน

ตัวเบาะนั่งนุ่มสบาย เป็นที่ที่น่านอนโดยสารระยะไกลๆมากกว่า Civic รุ่นที่แล้ว
นวมหุ้มเบาะมีความนุ่มใกล้เคียงกับ Accord ทีเดียว นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าต้องกด
ส่วนรองก้นให้ลงต่ำ จะนั่งได้สบายเข่ากว่านี้ แต่ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง อยากได้รถ
หลังคาเตี้ยลาดก็ต้องทำใจกับความเตี้ยของตัวเบาะ แต่ผมคิดว่าวิศวกร Honda
ก็พยายามออกแบบมาให้ดีที่สุดแล้วภายใต้เงื่อนไขที่ต้องการทำรูปทรงรถให้ดูเพรียว

สรุปเรื่องเบาะหลังคือ สบายกว่าที่คิด ดีกว่ารุ่นที่ผ่านๆมาไม่เว้นแม้กระทั่ง Civic ES
ที่ตัวป่องและหลังคาสูง สบายกว่า Mazda 3 มาก สบายกว่า Sylphy แต่ผมยังไม่แน่ใจ
ว่าอะไรสบายกว่ากันระหว่าง เบาะดี แต่วางเตี้ยอย่างของ Civic หรือเบาะงั้นๆแต่วางสูง
และมีพื้นที่เยอะกว่าอย่างของ Altis

พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง มีความจุ 530 ลิตร ช่องฝากระโปรงนั้นกว้าง
แต่ยังมีลักษณะคล้าย ฝาท้ายของ Mazda 3 Sedan รุ่นแรก ปี 2005 คือ
มีช่วงฝากระโปรงหลังสั้น แต่ถ้าเปิดฝาท้ายยกขึ้นมา จะพบว่า พื้นที่ของ
ห้องเก็บของค่อนข้างลึก พื้นเตี้ย

2016_04_Civic_allstardashboards

แผงแดชบอร์ด มีดีไซน์คล้ายกับเอา Honda Jazz/City มาผสมกันกับท่อนล่างของ
Honda HR-V หน้าตาเวลาดูจากในโบรชัวร์จะดูไม่โดดเด่น เพราะไม่ได้เห็นมิติ
ความลึก/ตื้นของส่วนต่างๆบนคอนโซล พอได้ลงไปนั่งของจริงก็สวยมีมิติใช้ได้
คอนโซลส่วนกลางข้างข้างสูง และไล่แนวไปจนถึงที่เท้าแขน ส่วนนี้จะสูงคล้าย
รถสปอร์ต และออกจะดันลำตัวและขาเวลานั่งอยู่เหมือนกัน

ภายในของรถ จะมีการตกแต่งที่แตกต่างกันตามรุ่นรถ รถเครื่อง 1.8 ลิตรจะมีภายใน
สีดำและสีเบจ ขึ้นอยู่กับสีภายนอก แต่รถที่เป็นเครื่อง 1.5 เทอร์โบนั้นจะมีแค่สีดำ
รุ่น 1.8E จะได้จอกลางขนาด 5 นิ้ว สวิตช์ควบคุมระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติหน้าตา
ไม่เหมือนของรุ่นอื่น (ไม่แสดงผลบนจอใหญ่) เบาะหุ้มด้วยผ้า พวงมาลัยยูรีเธนธรรมดา
ไม่มีสวิตช์ Cruise Control

ส่วนรุ่น 1.8EL จะได้เบาะและพวงมาลัยหุ้มหนัง จอกลางทัชสกรีนขาดใหญ่ 7 นิ้ว
รองรับระบบ Apple CarPlay พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นเพิ่ม Cruise Control และที่ก้าน
ด้านซ้ายจะมีปุ่มสำหรับปรับความดัง/เบาของวิทยุซึ่งเป็นสวิตช์แบบทัช ถูนิ้วขึ้นลง
เพื่อเปลี่ยนระดับความดังของเสียง หรือจะใช้วิธีกดตรงๆตรงปุ่ม +/- ก็ได้ เท่ไปอีกแบบ
ระบบเครื่องเสียงเพิ่มทวีตเตอร์ที่มุมประตู (ด้านในของกระจกมองข้าง) และเพิ่ม
จำนวนลำโพงรวมจาก 4 ตัวเป็น 8 ตัว

ในการทดลองขับครั้งนี้ Honda มีไม่ได้เอารถรุ่น 1.5 Turbo ธรรมดามา แต่ภายในรุ่น
RS นั้นก็จะใกล้เคียงกับรุ่น 1.8EL แต่เพิ่มระบบปรับอากาศ Dual-zone แป้นเหยียบ
คันเร่งและเบรกแบบสปอร์ต เพิ่มแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย คันเกียร์ เปลี่ยนจาก
แบบ P-R-N-D-S-L เป็น P-R-N-D-S

กระจกแต่งหน้ามีมาให้ทั้ง 2 ฝั่ง แต่ไม่มีไฟแต่งหน้ามาให้ทั้ง 2 ฝั่งเช่นกัน

พวงมาลัย เป็นแบบ 3 ก้าน  มีขนาดเล็ก Grip พวงมาลัยค่อนข้างใหญ่เต็มมือเวลาจับ
เส้นผ่านศูนย์กลางพวงมาลัยขนาดพอๆกับ Civic รุ่นเดิม

2016_04_Civic_allstarInstruments

แผงมาตรวัด เลิกใช้แบบ 2 ชั้นที่ใช้มาตั้งแต่รุ่น FD กลับมาสู่หน้าจอแบบชั้นเดียว
ทุกรุ่นย่อยจัดวางตำแหน่งเข็มต่างๆแบบเดียวกัน ตรงกลางมีมาตรวัดรอบและ
มาตรวัดความเร็วที่แสดงผลเป็นตัวเลข ส่วนด้านซ้ายเป็นมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น
และด้านขวาเป็นระดับน้ำมันในถัง

รุ่น 1.8E มาตรวัดโทนไฟสีขาว ตรงกลางเป็นมาตรวัดแบบธรรมดา มีตรงกลางเป็น
จอแบบดิจิตอล หน้าตาดูค่อนข้างธรรมดาสุดแต่ก็เป็นแบบที่อ่านค่าได้ง่ายที่สุด
โดยเฉพาะตอนแดดแยงตามากๆ ส่วนรุ่น 1.8EL และ 1.5RS จอตรงกลางจะเป็น
จอ TFT มีอนิเมชั่นสวยตระการตาให้ดูตอนสตาร์ท แผงมาตรวัดของรุ่น 1.8EL
จะเน้นโทนสีน้ำเงิน ในขณะที่รุ่น 1.5RS จะเป็นโทนไฟสีแดง ชวนให้นึกถึงหน้าปัด
ของ Civic สมัยยังเป็นบอดี้ ES ซึ่งรุ่น 1.7 จะใช้ไฟเรืองแสงสีน้ำเงินและรุ่น 2.0 ใช้
ไฟสีแดงในลักษณะคล้ายกันนี้

ในภาพรวมของภายใน Honda Civic จะให้อารมณ์ทันสมัยไฮเทคที่สุดในคลาส
ของมัน เพราะแสงสี และระบบหน้าจอแบบทัชสกรีนกับหน้าปัด จึงไม่แปลกที่
วัยรุ่นจะชอบ หากเทียบกับ Mazda 3 แล้ว ขานั้นจะเน้นการออกแบบตามหลัก
สรีระศาสตร์และดูจะเน้นความถนัดเวลากด/จับ/มองส่วนต่างๆมากกว่าแสงสี
ส่วนภายในของ Sylphy จะเป็นระเบียบเรียบร้อยราวกับต้นห้องของเจ้าขุนมูลนาย
ยุคก่อน แต่มีหน้าปัดที่จัดเรียงมาอ่านค่าง่าย และมองนานๆแล้วไม่เบื่อ ในขณะที่
Altis นั้นให้บรรยายการภายในที่ขัดๆกันระหว่าง Retro และ Modern..อารมณ์
เหมือนเอาทีวีจอแบนกับเครื่องเสียงหน้าตาล้ำยุคไปวางในห้องรับแขกคุณย่า

 

********** รายละเอียดด้านวิศวกรรม **********

เครื่องยนต์ ของ Civic เวอร์ชันไทย จะยังคงมีให้เลือก 2 ระดับความแรง
แต่เปลี่ยนจากแนวทาง 1.8 และ 2.0 ลิตร เป็น 1.8 และ 1.5 ลิตรเทอร์โบ
สร้างความงงให้กับลูกค้าบางกลุ่มที่ไม่สันทัดเรื่องรถ หลายคนตั้งคำถามว่า
“อะไรวะ รถพันห้าราคาเป็นล้าน บ้าหรือเปล่า” เขาเปล่าบ้าครับ เพราะเครื่องยนต์
พันห้านั้นน่ะสร้างพลังได้ราวกับเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร แล้วจะให้เขาขายราคา
เจ็ดแปดแสนหรือไง (วะ)?

2016_04_Civic_R18Z1

รุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร จะยังคงเป็นบล็อค R-Series ที่รับใช้กันมาตั้งแต่ตัว
Civic FD ปี 2005 รหัสเครื่องไม่ใช่ R18A นะครับ แต่เป็น R18Z1 เบนซิน
4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,799 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 87.3 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 10.6 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด PGM-FI พร้อมระบบ
แปรผันวาล์ว i-VTEC รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85

กำลังสูงสุด 141 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 17.7 กก.-ม.
ที่ 4,300 รอบ/นาที ปล่อย CO2 147 กรัม/กิโลเมตร

2016_04_Civic_L15B7

ส่วนรุ่นแรงสุดนั้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เพราะ Honda เลือก
ถอดเครื่องยนต์ R20 เดิมทิ้ง แล้วแทนที่ด้วยขุมพลังใหม่ล่าสุด L15B7
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,496 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 73.0 x 89.4
มิลลิเมตร กำลังอัด 10.6 : 1 พร้อมระบบแปรผันองศาแท่งเพลาลูกเบี้ยว
ทั้งฝั่งไอดีและฝั่งไอเสีย (Dual-VTC)

Honda บ้านเรากับที่ญี่ปุ่นเรียกว่า “VTEC TURBO” แต่ถ้าเป็นอเมริกา
จะไม่มีคำนี้บนฝาครอบวาล์วอาจเป็นเพราะว่ามีองศาเพลาลูกเบี้ยวระดับเดียว
เหมือนพวกรถทั่วไป ส่วนประเทศไทยนี่ ก็ให้มองว่า VTEC TURBO ตัวนี้เป็น
ระบบแปรผันองศาแท่งเพลาลูกเบี้ยว บวกกับเทอร์โบ 2 อย่างแล้วกันครับ ไม่ใช่
ระบบ DOHC VTEC แบบพวก B16A ที่มีลูกเบี้ยวองศาสูงสำหรับรอบสูง และไม่ใช่
SOHC VTEC แบบที่มีลูกเบี้ยวองศาเตี้ย รอบต่ำวาล์วไอดีอันนึงเปิดแบบหรี่ๆ
แบบเครื่อง D17A

จุดเด่นของขุมพลังบล็อกใหม่นี้คือการติดตั้ง ระบบหัวฉีด Direct Injection
ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตรงสู่ห้องเผาไหม้ เพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในกระบอกสูบ
การออกแบบท่อไอดีแบบตรง ส่วนท่อร่วมไอเสียนั้นมีการออกแบบช่องทางเดิน
น้ำไปหล่อเลี้ยงเพื่อลดความร้อนอีกด้วย

และที่สำคัญที่สุด คือการติดตั้งเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ Single Scroll รุ่น TD03
ของ Mitsubihi Heavy Industry (MHI) แรงดันบูสต์เวอร์ชันอเมริกาเหนืออยู่ที่
1.15 บาร์ แต่ เวอร์ชันไทย จะลดลงมาเหลือ 1 บาร์ เพื่อให้เหมาะสมกับคุณภาพของ
น้ำมันเชื้อเพลิง ตัวเทอร์โบมีช่องระบายไอเสียส่วนเกิน (เวสต์เกต) คุมด้วยไฟฟ้า
กำลังสูงสุด แรงสะใจถึง 173 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
220 นิวตันเมตร
(22.41 กก.-ม.) 1,700 – 5,500 รอบ/นาที แต่ปล่อยก๊าซ
คาร์บอนไดอ็อกไซด์ ต่ำลงมากเพียง 134 กรัม/กิโลเมตร ผ่านมาตรฐานไอเสีย
Euro IV กระนั้น ยังคงรองรับน้ำมันแก็สโซฮอลล์ แค่ระดับ E20

Honda ชูจุดขายว่า แรงเท่าเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ใน Accord แต่ ประหยัดเท่า
เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร

ทั้ง 2 เครื่องยนต์ จะส่งกำลังไปยังระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ
อัตราทดแปรผัน CVT แบบมี Torque Converter เป็นเช่นนี้เหมือนกันใน
ทุกประเทศ ยกเว้นตลาด ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งต้องมีการติดตั้ง Oil Cooler ของ
น้ำมันเกียร์ เพิ่มเข้าไปเป็นพิเศษ

Honda ทำเกียร์ของ Civic ใช้เอง (ไม่ได้อุดหนุน Jatco นะจ๊ะ) เป็นเกียร์แบบที่
ไม่มีระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ที่กำหนดตายตัว เมื่อถึงกำหนดเวลา
เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์เมื่อไหร่ จะมีข้อความขึ้นเตือนบนหน้าปัด แต่โดยประมาณ
อายุน้ำมันเกียร์อาจอยู่ที่ราว 40,000 กิโลเมตร และภายใต้การใช้งานทั่วไป
Honda คาดคะเนว่าอายุการใช้งานของเกียร์ลูกนี้น่าจะได้ 170,000-240,000
กิโลเมตร

2016_04_Civic_18EL_shifter

ระบบส่งกำลังของรุ่น 1.8 ลิตร เป็นเกียร์ CVT ซึ่ง Honda ตั้งชื่อเรียกให้เล่นๆว่า
“Medium car class CVT” ซึ่งใช้กับรถขนาดกลาง ไม่มีแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย
และไม่มีการล็อคอัตราทดเป็นจังหวะ มีให้เลือกแค่ D-S (Sport) และ L (Low)

อัตราทดเกียร์ อยู่ที่ 2.526 – 0.408
อัตราทดเกียร์ถอยหลัง อยู่ที่ 2.706-1.493
อัตราทดเฟืองท้าย 4.992

2016_04_Civic_15RS_shifter

ส่วนรุ่น 1.5RS จะใช้เกียร์ CVT ที่ Honda เรียกว่า “Large car class CVT” ซึ่งมีการปรับปรุง
ให้สามารถทนแรงบิดได้สูงขึ้น มีความทนทานมากขึ้น เพิ่มแป้นแพดเดิ้ลชิฟท์
หลังพวงมาลัย สามารถกดเล่นเกียร์ได้ทันที หรือเข้าเกียร์ S แล้วค่อยเล่นก็ได้
หรือถ้าอยากขับทันใจ แต่ไม่อยากเล่นเกียร์เอง ก็แค่เข้า S เฉยๆแล้วไม่ต้องเล่น
กับแป้นเปลี่ยนเกียร์ รอบจะดีดขึ้นมาจากปกติประมาณ 1,000 รอบ

อัตราทดเกียร์ อยู่ที่ 2.645-0.405
อัตราทดเกียร์ถอยหลัง อยู่ที่ 1.858-1.726
อัตราทดเฟืองท้าย 4.810

2016_04_Civic_15RS_wheel

พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS
(Electronic Power Steering)  หมุนจากซ้ายสุด – ขวาสุด 2.22 รอบ

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วน
ด้านหลังเป็นแบบแบบมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง ที่นี้มีบางท่านฝากถามมาว่า
ช่วงล่างของรุ่น 1.8 ลิตรกับรุ่น 1.5 เทอร์โบต่างกันตรงไหน ผมก็ได้ไปถามทีม
วิศวกรญี่ปุ่นมาแล้วสรุปได้ดังนี้

– โช้คหน้าของทั้ง 2 รุ่น เหมือนกัน
– สปริงหน้าของรุ่น 1.5 เทอร์โบแข็งกว่า เพื่อให้รองรับกับน้ำหนักตกคานหน้า
ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 20 กิโลกรัม
– โช้คและสปริงหลังของรุ่น 1.5 เทอร์โบจะแข็งหนืดกว่า- แต่ทั้งนี้ วิศวกร
ตัวแทนที่มาบรรยายบอกว่า “ทางทีมไม่ได้ต้องการปรับแต่งช่วงล่าง
เพื่อให้รุ่น 1.5 เทอร์โบมีความแข็งและเกาะถนนเป็นพิเศษแต่อย่างใด เพียงแต่ปรับ
เพื่อให้เหมาะกับตัวรถในภาพรวม และลงตัวกับยางแก้มบาง ล้อขอบ 17 เท่านั้น
นอกจากนี้รุ่น RS ยังมีบุชช่วงล่างหลังแบบพิเศษที่ไม่เหมือนตัวอื่น

(ปล. ความเห็นส่วนตัว..ผมว่ามันดูย้อนแย้งแปลกๆ ยางบางลง ถ้าต้องการแข็ง
เท่าเดิม ทำไมถึงเลือกเซ็ตช่วงล่างหลังให้แข็งขึ้น)

2016_04_Civic_Modulo

ระบบห้ามล้อ ทุกรุ่นตั้งแต่ 1.8E จนถึง 1.5 RS ใช้ระบบเบรกแบบเดียวกัน ชิ้นส่วน
อะไหล่หมายเลขเดียวกัน โดยเป็น ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ คู่หน้ามีรูระบายความร้อนขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลาง 282 มิลลิเมตร จานเบรกหลังเป็นแบบธรรมดา เส้นผ่าศูนย์กลาง 262
มิลลิเมตร เสริมด้วย ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System)
ระบบปรับแรงดันน้ำมันเบรก ตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronic Brake
Force Distributor) รวมทั้ง ระบบควบคุมเสถียรภาพ VSA (Vehicle Stability
Assist) และเพื่อความสะดวกสบายเวลาขับบนถนนที่รถติด Civic จึงติดตั้ง
ระบบ Auto Brake Hold ซึ่งทำให้สามารถเข้าเกียร์ D ค้างไว้แล้วยกเท้า
ออกจากแป้นเบรกได้ พอรถเคลื่อนที่ก็แค่กดคันเร่งเบาๆทีเดียว โดยทั้งหมดที่ว่า
มานี้ คืออุปกรณ์ที่ติดตั้งมาให้ครบทุกรุ่นย่อย

ส่วนรายละเอียดอื่นๆเรื่องอุปกรณ์ต่างๆ ถ้าอยากจะเทียบรุ่นกันอย่างละเอียด
แต่ขี้เกียจไปจ้องเพ่งตารางบนโบรชัวร์ น้าหมูแกทำไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ
ที่กระทู้นี้เลย

13096249_1252382114789299_4585979568955120348_n

********** การทดลองขับ **********

เราใช้เส้นทางภูเก็ต- กระบี่ ซึ่งนับเป็นระยะทางได้ประมาณ 135 กิโลเมตร
โดยในระหว่างทางนั้นจะมีการสลับคนขับกันที่ประมาณกิโลเมตรที่ 80 สื่อมวลชน
จะได้ขับทั้งรถเครื่อง 1.8 และ 1.5 ลิตรเทอร์โบ ขามาขับคันไหน ขากลับก็สลับไป
ขับอีกรุ่น ผมได้รถ 1.8EL สีเทาเข้ม และนั่งไปกับพี่หนึ่ง สุพร จาก autoindy.net

ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ถ้าใครบ้าตัวเลข คุณคงต้องรอ Headlightmag นำรถมาทดสอบ
ตามมาตรฐานของเว็บเราอีกทีหนึ่ง เพราะในการขับทริปนี้ ขาไป ผมไม่มีโอกาสได้
จับเวลาเนื่องจากสภาพถนนไม่อำนวย ต้องอาศัยวิธีจับเวลาดูตอนที่พี่หนึ่งกระแทก
คันเร่งเอา ส่วนขากลับนั้นผมมีโอกาสได้ลอง 0-100 และ 80-120 ซึ่งอาจยังมีการ
คลาดเคลื่อนเนื่องจากช่วงทดสอบการเร่งแซงนั้น ถนนจะลาดขึ้นพอสมควร ไม่ขึ้นก็ลง
หาช่วงที่เป็นถนนตรงยาว ระนาบเดียวได้ยาก

เส้นทางขาแรก ผมขอให้พี่หนึ่งเป็นผู้ขับก่อน เราควบรถ 1.8EL ออกไปตามเส้นทาง
ถนนสายแคบๆ ก่อนเข้าสู่สายหลัก มุ่งสู่สะพานสารสิน ข้ามไปยังจังหวัดพังงา
ในช่วงแรกๆนี้ ผมเป็นผู้โดยสาร จึงพยายามสังเกตจังหวะที่พี่หนึ่งเล่นกับโค้ง
ทั้งโค้งแคบความเร็วต่ำ และโค้งต่างจังหวัดที่เป็นมุมกว้าง ความเร็วสูง

2016_04_Civic_Running1

จากนั้น เมื่อเข้าสู่กิโลเมตรที่ 80 เราแวะพักกันที่ร้านกาแฟกลางทาง ก่อนที่จะสลับ
ให้ผมไปขับ เส้นทางในช่วงนี้ไปจนถึงจุดหมายปลายทางของเรามีการก่อสร้างถนน
ทำให้สภาพถนนบางช่วงขรุขระ และมีหลายช่วงที่เป็นถนนสวนไป 1 เลนกลับ 1เลน
ทำให้ซ่ามากไม่ได้

หลังจากที่ลองขับเสร็จ ผมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพี่หนึ่ง และสามารถสรุปได้ดังนี้

ขอบอกไว้ว่า ถ้าความเห็นของผมไม่เหมือนกับของ J!MMY คุณไม่ต้องแปลกใจนะครับ
เราลองคนละที่กัน คนละวันกัน ในเวลาที่ต่างกันหลายเดือน และบางอย่างก็เป็นความรู้สึก
ที่ใจผมคิด พบตามไหน ตอบตามนั้น ประสาทสัมผัสอาจจะไวไม่เท่ากัน อย่าคิดมาก เอาไว้
เป็นข้อมูลเทียบกันในใจของคุณดีกว่า

1. อัตราเร่งของตัว 1.8 ดีแค่ไหน?

– หลายคนดูจะเป็นกังวลกับอัตราเร่งรุ่น 1.8 ทั้งๆที่ผมดูโหวงเฮ้งคนถามแล้ว
ไม่น่าจะเท้าหนักขนาดนั้น ขอบอกเลยว่าสบายครับ ถ้าคุณโอเคกับอัตราเร่ง Civic 1.8
ในบอดี้ FD กับ FB ล่ะก็ รุ่นใหม่นี้แม้จะออกตัวนุ่มๆตามสไตล์ CVT แต่พอเลย 60 ไป
ความเร็วไหลมาเทมาใช้ได้ อัตราเร่ง 80-120 ผมพยายามลองจับเวลาตอนพี่หนึ่งกด
คันเร่ง ช่วงกลางวันอากาศร้อน 38 องศา เปิดแอร์ น้ำหนักบรรทุก 230 กิโลกรัมยังมีเลข
9 วิกลางๆโผล่มาให้เห็น มันอาจจะไม่แรงชนะ Mazda 3 2.0 ลิตร แต่ไล่เล่นกับ Lancer
Ralliart ได้ และน่าจะไปได้เร็วกว่า Honda HR-V ที่ใช้เครื่องและเกียร์เดียวกันด้วยซ้ำ

2. การทำงานของเกียร์ เป็นอย่างไร?

– เกียร์ HR-V เป็นอย่างไร Civic 1.8 ก็นิสัยคล้ายกันครับ มีการอมพลังช่วงออกตัวบ้าง
แต่ก็ไม่มากเท่าเกียร์ CVT ในรถรุ่นที่เก่ากว่า เวลากดคันเร่งเต็ม เกียร์จะคารอบสูงแล้ว
ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เวลาดันมาที่ตำแหน่ง S รอบจะดีดขึ้นประมาณ 1,000 รอบ แต่
เวลากดคันเร่ง 100% ก็ยังคารอบแล้วความเร็วไต่เหมือนกัน ในโหมด D เกียร์มักพยายาม
ใช้รอบต่ำไว้ก่อน ทำให้เวลาขับเน้นเร็ว ผมต้องขยับไป S แทน ในโหมด S นี่ล่ะ Civic 1.8
จะขับได้คล่องชนิดที่แม้แต่คนเท้าหนักอย่างผมยังโอเค ในความเร็วต่ำก็ไม่ค่อยมีอาการ
เย่อกระตุกหน้าหลัง และในรถทดสอบคันนี้ก็ไม่มีอาการหอน ถือว่าเป็นเกียร์นิสัยดีที่คบได้
แต่นิสัยเกียร์จะไม่ดี๊ด๊าพามันส์แบบเกียร์ Altis หรือ Nissan X-Trail

3. พวงมาลัย ช่วงล่างและเบรกไว้ใจได้หรือไม่?

– Honda พยายามปรับปรุงช่วงล่างของ Civic รุ่นนี้ให้ดีกว่าเดิม โดยในรุ่น 1.8 ที่ใช้ยาง
ขนาด 215/55 ขอบ 16 นั้น มีความรู้สึกคล้าย Accord G9 มากกว่า Civic FB อย่างเห็นได้ชัด
การทรงตัวที่ความเร็วสูงระดับ 140-150 ถือตรงๆ ตัวรถจะนิ่งกว่า Civic รุ่นที่ผ่านมา และ
เวลาหักหลบรถตัดหน้า หรือเวลาเข้าโค้ง รถจะไม่มีอาการท้ายสะบัดน่ากลัวแบบ Civic FD
แต่เวลาที่ถนนไม่เรียบ และเป็นโค้ง จะยังพบว่าช่วงล่างหลังมีอาการโย้เย้ซ้ายขวาอยู่บ้าง
นี่คือจุดที่ยังสู้รถ C-Segment ที่เน้นเรื่องช่วงล่างแบบ Ford Focus หรือ Mazda 3 ไม่ได้

ความนุ่มนวลบนถนนขรุขระ ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี อาการดีดดิ้นด้านหลังในสไตล์ Honda
ลดน้อยลงกว่ารุ่นก่อนๆมาก แต่ยังไม่ใช่ช่วงล่างนุ่มและหนึบแบบฟีลยุโรปนะครับ น่าจะนับ
มันเป็นช่วงล่างสไตล์ญี่ปุ่นที่มั่นคง ควบคุมการให้ตัวได้ดีขึ้นกว่ารถรุ่นเดิมมากกว่า

เรื่องช่วงล่างในภาพรวมตอนนี้ ผมพูดแล้วกันว่ายังแพ้ Mazda กับ Ford แต่ดีกว่า
Nissan และ Toyota Altis รุ่นที่ไม่ใช่ ESport แต่ค่อนข้างสูสีกับ Altis ESport

พวงมาลัยของ Civic 1.8 ตอบสนองได้ค่อนข้างดี ผมคิดว่ามันยังไม่ไว หักนิดเดียวเลี้ยวทันใจ
แบบ Mazda 3 แต่สำหรับคนที่ไม่ได้บ้าโค้ง มันเป็นพวงมาลัยที่ทดมากำลังเหมาะ
ไม่ว่อกแว่ก และยังให้ความคล่องตัวเวลาเลี้ยวหรือเปลี่ยนเลนมากกว่าพวงมาลัยของ
Altis น้ำหนักหน่วงมือเวลาถือพวงมาลัยตรงก็กำลังดี อาจจะเบาไปบ้างก็เพียงเล็กน้อย
มันเป็นพวงมาลัยที่ขับแล้วมั่นใจสบายมือกว่าพวงมาลัยเบาเวอร์ ไวโหวงบ้าบอของ
Accord G9 มาก

ระบบเบรก แม้ว่าพอซัดจัดหนักจะมีอาการแป้นสะท้าน และถ้ายังไม่หยุดซ่า ก็จะเริ่มเฟด
ไปทีละน้อย แต่สิ่งที่ดีเลิศมากคือการเซ็ตน้ำหนักและการตอบสนองของแป้นเบรก
คุณสามารถบริหารแรงในการเบรกได้อย่างง่ายดาย จะเบรกแบบค่อยๆไม่ให้แม่ยาย
หัวทิ่มด่าเช็ด ก็ทำได้ง่าย หรือจะเบรกให้ ABS ทำงานก็แค่กดลึกๆ มันเป็นแป้นที่
แปรผันแรงเบรกตามความลึกในการเหยียบอย่างแท้จริง ไม่มีระยะฟรีเยอะแบบ Altis

4. การเก็บเสียงเป็นอย่างไร?

– ตรงนี้รู้สึกแปลกนิดหน่อยครับ เพราะผมกลับคิดว่าการเก็บเสียงถ้ามองแบบทั้งคัน
กลายเป็นว่า HR-V ดูจะเงียบกว่าเล็กน้อย ในกรณีของ Civic 1.8 นี่ เสียงจากกระจก
บานหน้ากับขอบประตูจะไม่ดังมากนัก แน่นอนว่าเก็บเสียงได้ดีกว่า Lancer และ 3
แต่ไม่ถือว่าเด่นถ้าเทียบกับ Sylphy หรือ Altis การเก็บเสียงเครื่องยนต์ ทำได้ดี
พอสมควร เวลากดคันเร่งเต็มๆ เสียงเครื่องยนต์โวยวายเข้ามาน้อยกว่า Sylphy อีก

แต่จุดที่เสียงรบกวนยังดังอยู่มาก คือเสียงจากซุ้มล้อและใต้ท้องรถยนต์ ซึ่งผมมองว่า
รุ่นเก่าเป็นอย่างไร รุ่นใหม่ก็ไม่ได้ดีขึ้นมากนัก ส่วนตัวผมยังคิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้

5. อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง?

– แน่นอนว่าเราหมดสิทธิ์ทดสอบโดยใช้โหมดปกติของ Headlightmag ดังนั้นจึงต้อง
อ้างอิงเอาจากหน้าจอ Consumption บนหน้าปัดของรถทดสอบเราเอง และรถของ
คนอื่นในกลุ่ม ของพวกเราเอง ทำไว้ได้ 10.5 กิโลเมตร/ลิตร..ฟังดูกินน้ำมันโหดใช่มั้ย
แต่ผมว่าไม่ เพราะตลอดทางที่ขับกันมานั้นทั้งผมและพี่หนึ่งไม่มีคำว่าปราณีเลยครับ
ทางโล่งเป็นกด แซงได้เป็นแซง ยิ่งช่วงที่ผมขับ ผมคาเกียร์ไว้โหมด S เกือบตลอด
แต่สำหรับสื่อมวลชนท่านอื่นๆที่ขับแบบใจเย็นกว่า ผมได้ยินว่าบางคันได้ถึง
13 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งสำหรับการใช้งานจริง บนถนนจริงที่ต้องกดคันเร่งแซงตลอด
ได้เลขขนาดนี้ถือว่าปกติ ไม่ได้แย่ หรือมหัศจรรย์ คงต้องรอทดสอบโหมด 110
กิโลเมตร/ชั่วโมงสไตล์ Headlightmag อีกที

2016_04_Civic_RSrunning

ต่อมาในช่วงบ่าย หลังจากทานมื้อกลางวัน (ของโปรด..น้ำพริกกุ้งเสียบปักษ์ใต้)
ผมกับพี่หนึ่งเปลี่ยนไปขับรถ 1.5RS สีดำ โดยขากลับ พี่หนึ่งจะขับช่วงออกจาก
กระบี่ มาถึงจุดแวะพักกลางทางที่ปั๊มปตท. จุดเดิมที่มาแวะตอนขับ 1.8 ภาคเช้า

คราวนี้ผมยิ้มแก้มปริ เพราะนั่นหมายความว่าจากกิโลเมตรที่ 55 ไปจนถึงที่พัก
ทางโค้ง ทางตรงความเร็วสูงแบบถนนปักษ์ใต้เป็นของผม ช่างเหมาะเจาะกับ
การลอง ขุมพลังเทอร์โบพันห้าอะไรอย่างนี้

ผมสรุปประเด็นจากการลองขับเป็นข้อ เพื่อให้สะดวกต่อการวัดความต่างเทียบกับ
รุ่น 1.8EL ได้ดังนี้ครับ

1. เครื่องพันห้า เทอร์โบ แรงต่างจากตัว 1.8 มากแค่ไหน?

– เหมือนเทียบส้มตำพริก 1 เม็ด กับอีกครกที่ใส่พริก 3 เม็ดครับ ในขณะที่รุ่น 1.8 นั้น
“พอ” สำหรับคนทั่วไป 90% บนแผ่นดินนี้ รุ่น 1.5 นั้นยกระดับความแรงไปอีกขั้น
พละกำลังแรงบิดแม้บนกระดาษจะไม่ได้มากมายนัก แต่ของจริงมาแบบเนื้อๆเน้นๆ
กดคันเร่งแค่ครึ่งเดียว ตัวรถก็พร้อมทะยานแล้ว ผมรับประกันได้เลยว่าถ้าคุณโอเค
กับอัตราเร่งของ Civic FD 2.0 และ FB 2.0 แล้ว เจ้า FC Turbo นี่ยิ่งมันส์กว่า

อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เกียร์ D และเป็นทางขึ้นเนินหน่อยๆ อากาศ
ยังร้อน 38-39 องศา ยังทำตัวเลขได้ 7.05-7.21 วินาที อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ในเกียร์ D น้ำหนักบรรทุก 230 กิโลกรัม (หนักกว่ามาตรฐานของการทดสอบในเว็บเรา
70 กิโลกรัม) ได้ตัวเลขระดับ 9.6 วินาที ขยับเกียร์มาที่ S แล้วลองอีกครั้ง ได้ 9.4 วินาที
ของจริงอาจไม่ต่างเลยก็ได้ระหว่าง D กับ S เหลือแค่ยังไม่ได้ลองเล่น Paddle Shift
แค่นั้นครับ

พูดง่ายๆคือแรงกว่า FB รุ่นเดิมที่คนนั่งเบาๆบี้เต็มTeen และทดสอบตอนกลางคืนเย็นๆ
มันเร็วกว่า Mazda 3 2.0 แน่ล่ะถ้าให้ขับบนทางไปพร้อมๆกัน แต่ถ้าเจอตอแข็งๆอย่าง
Sylphy Turbo ผมว่าอัตราเร่งช่วงหลัง 80 เป็นต้นไป Nissan ยังไหลลื่นขึ้นโหดกว่า

เทอร์โบขนาดเล็ก ติดบูสท์ค่อนข้างเร็ว เวลากดคันเร่ง ถ้ากดไม่หนักมาก จะไม่ค่อยหน่วง
มาไวทันใจใช้ได้ เป็นรถที่ขับสนุกโดยไม่ต้องบี้คันเร่ง 100% แต่พบว่าบางครั้ง
เวลาคิกดาวน์หนักๆ เครื่องยนต์จะอมพลังเอาไว้นิดหน่อยก่อนที่จะปลดปล่อยออกมา
คิดว่าคงเป็นโปรแกรมการทำงานของเวสต์เกตไฟฟ้าหรือตัวเครื่องที่จะลดความกระชาก
ในการส่งพลังลง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเกียร์ในระยะยาว

2. การทำงานของเกียร์ แตกต่างจาก CVT ในรุ่น 1.8EL หรือไม่?

– ต่าง!
เพราะในรุ่น 1.5 RS นี่ ต่อให้ใส่เกียร์ D แล้วกดคันเร่งเต็ม 100% เกียร์จะมีการให้จังหวะ
รอบจะตกลงแล้วกวาดขึ้นอีกรอบคล้ายเกียร์อัตโนมัติแบบปกติที่ไม่ใช่ CVT ครับ
ถ้าคุณกดคันเร่งมิดออกจาก 0 กิโลเมตร/ชั่วโมง พอความเร็วถึง 72 เกียร์ก็จะเริ่มเล่นรอบ
โดยหล่นมาที่ราว 5,000 รอบ แล้วค่อยกวาดไปหา 6,000 รอบใหม่เรื่อยๆ

นอกจากนั้นในการขับแบบปกติ นิสัยของเกียร์เหมือนกับตัว 1.8 มาก อาการเย่อมีน้อย
และส่งกำลังได้เรียบนิ่มดี

3. การตอบสนองของพวงมาลัย ช่วงล่าง และเบรกดีกว่ารุ่น 1.8EL หรือไม่?

– ต่างเช่นกัน แต่บางอย่างก็ไม่ได้มากนัก

เช่นเรื่องพวงมาลัย เนื่องจากหน้ายางของ 1.5RS มีความกว้างเท่ากันกับรุ่น 1.8
แค่ยางแก้มเตี้ยลง (215/50 ขอบ 17) ทำให้เวลาขับแบบปกติแทบจะไม่รู้สึก ต่อให้
พยายามจับความรู้สึกแบบตั้งใจแล้วก็ตาม

ช่วงล่างคือจุดที่แตกต่าง อย่างแรกเลยคือเวลาวิ่งบนถนนขรุขระ รุ่น 1.5RS
ที่ใช้ล้อขอบ 17 กับยางแก้มเตี้ยและสปริงแข็งกว่า จะมีอาการกระด้างมากกว่ากัน
พอให้รู้สึกได้ แต่ไม่ได้มากถึงขนาดห้ามเอาคุณย่าคุณยายนั่งนะครับ ถ้าตีเป็น
เปอร์เซ็นต์ ผมคิดว่ามันแข็งขึ้นราว 8-15% และแค่นั้น แต่สิ่งที่ได้มาชดเชยคือ
ประสิทธิภาพในการเข้าโค้ง ในรุ่น 1.8EL เวลาเข้าโค้งที่ถนนไม่เรียบ ท้ายรถจะ
ออกอาการโย้โย้ไปมาในแนวระนาบ พอมาเป็นรุ่น 1.5RS อาการดังกล่าวน้อยลง
อย่างที่ทั้งผมและพี่หนึ่งขับแล้วก็พูดเป็นคำเดียวกัน

ในขณะที่รุ่น 1.8EL นั้น ผมไม่แน่ใจว่าจะให้คะแนนดีกว่า Altis ESport ดีหรือไม่
แต่ในรุ่น 1.5RS นั้น อาการท้ายโย้ที่น้อยลงชัดเจนนั่นทำให้ผมคิดว่าช่วงล่าง
ชนะ Altis ESport ได้แน่นอน และเมื่อรวมกับพวงมาลัยที่เซ็ตมาดีอยู่แล้วทำให้
มันเป็นรถที่ขับเร็วๆไปตามโค้งต่างจังหวัดได้อย่างสนุก Mazda อาจจะยังชนะ
ที่ช่วงล่างอยู่ดี แต่มันก็ยกระดับจากสไตล์ Honda มามากจนผมรู้สึกโอเคแล้ว

4. อัตราการสิ้นเปลืองแย่กว่าตัว 1.8 มากมั้ย?

– คุณอาจจะแปลกใจ แต่ในขณะที่เราขับ 1.8 ได้ 10.5 กิโลเมตร/ลิตร ผมกับพี่หนึ่ง
ขับ 1.5RS วิ่งขากลับ เราทำได้ 10.8 กิโลเมตร/ลิตรบนหน้าปัด พูดอีกทีก็คือ
มันแทบจะไม่ต่างกันเลยต่อให้เราจะขับด้วยความเร็วที่สูงท้าใบสั่งเหมือนกันก็ตาม

ผมนึกเหตุผลประกอบไม่ออกนอกจากจะเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องพลังเครื่อง การจะเร่ง
ไปให้ถึง 160 กิโลเมตร/ชั่วโมงในรุ่น 1.8 ผมต้องกดคันเร่งมิดค้างไว้นานระดับหนึ่ง
แต่ในรุ่น 1.5 เทอร์โบ ผมใช้คันเร่งแค่ 80% และกดไม่นานแป๊บเดียวก็ถึง ความสามารถ
ในการเรียกพลังมาใช้ได้ตามต้องการอาจส่งผลให้ไม่ต้องทรมานเครื่องมากนัก
อัตราสิ้นเปลืองเลยออกมาแทบไม่ต่างกัน แต่ต้องนึกเผื่อไว้สักหน่อยว่าคนที่ขับ
ขามา เขาอาจจะทำตัวเลขไว้ดีกว่า..แต่เท่าที่เห็นก็ไม่นะ ขามานี่ซัดกันผีลั่นตลอดทาง
เลยในหลายๆคัน

 

2016_04_Civic_15RS_atdock

 

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
ช่วงล่างเริ่มเข้าท่า แรงม้าน่าสน ออพชั่นล้ำล้น แต่ยังดีได้มากกว่านี้

ผมมีความเห็นคล้ายๆกันกับ J!MMY สำหรับเจ้า Civic FC รุ่นใหม่นี้
ถ้าคุณจะนับเฉพาะ Civic ที่ประกอบในโรงงานไทยตั้งแต่ยุค 80s เป็นต้นมา
นี่คือ Civic ที่ผมรู้สึกได้ว่ามันคือความ “ก้าวหน้า” อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เรื่อง
การออกแบบภายนอกหรือภายใน แต่ยังรวมไปถึงวิธีการเซ็ตช่วงล่างและ
พวงมาลัย

Civic ในวันนี้เป็นรถซาลูนที่ขับสนุกขึ้น มั่นใจขึ้น มีความรู้สึกปลอดภัยเวลา
ขับแบบอารมณ์เสียมากกว่ารถรุ่นที่แล้วมา รุ่น 1.8 ให้อัตราเร่งที่ทัดเทียมกับ
คู่แข่งและเหลือพอสำหรับการขับเที่ยวรอบประเทศ จะไปอ่างขางหรืออ่าง
แถวรัชดามันก็พอหมดล่ะครับ

ส่วนรุ่น 1.5RS ที่ใช้ขุมพลังเทอร์โบ ก็กลายเป็น Civic ประกอบในประเทศที่
มีอัตราเร่งรุนแรงและรวดเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา หลายคนในประเทศนี้อาจไม่ได้
ต้องการพลัง 173 แรงม้า แต่ถ้าคุณเป็นคนประเภทเท้าหนัก ขับรถในทางที่แคบ
และมีช่องทางแซงจำกัดบ่อยมากๆ ผมแนะนำว่าเพิ่มเงินเอารุ่นเทอร์โบไปเลยก็ดี
เพราะคุณมีแรงใต้เท้าให้สั่งได้ตลอด ความไวอยู่ระดับแถวหน้าของคลาส แรงกว่า
Mazda 3 2.0 และอาจจะสูสีกับ Focus GDi 2.0 และแพ้แค่ Nissan Sylphy Turbo
ตัวแสบเสียงแหบหน้าจืดเพียงเท่านั้น

และในเวลาที่คุณไม่ได้เน้นพลัง ไม่ได้ออกรบ Civic ตัวใหม่ก็ยังมีจุดดีที่ได้รับ
การปรับปรุงจากรุ่นก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งหน้า/หลังที่นุ่มกำลังดี ใหญ่พอได้
เบาะหลังนั่งสบายกว่าที่คาด ผมสูง 183 หนัก 150 ยังสามารถนั่งได้สบาย ช่วงล่าง
เวลาวิ่งบนถนนขรุขระ จะมีความสุภาพเป็นผู้ดีมากขึ้น รุ่น 1.8 ที่ใช้ล้อขอบ 16 มีความ
สบายบวกกับความกระชับ เหลืออาการท้ายโย้เวลาเข้าโค้งแรงๆ และยังมี
นิสัยสะเทือนความเร็วต่ำแบบ Honda หลงเหลืออยู่บ้าง ส่วนรุ่น 1.5 ลิตรเทอร์โบนั้น
ความสบายเวลานั่งบนถนนขรุขระน้อยลงหน่อย แต่เป็นความสะเทือนในระดับที่
ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ยังสามารถรับได้แน่นอน

การเก็บเสียงรอบคัน ดีขึ้น แต่ยังเหลือเสียงเล็ดรอดมาจากพื้นล่างของตัวรถที่ยัง
น่ารำคาญอยู่นิดหน่อย นอกนั้นสิ่งอื่นที่ Civic ทำได้นั้น ไม่มีอะไรแย่กว่ามาตรฐาน
เฉลี่ยของรถระดับเดียวกัน

2016_04_Civic_LaneWatch_RS_edit

นอกจากนี้ เรื่องที่อยากให้ทาง Honda ลองพิจารณาดูคือเรื่องการจัดออพชั่น
ในแต่ละรุ่นย่อย ซึ่งเท่าที่ดูจากตารางสเป็คพบว่าของดีๆที่น่าสนใจอย่างจอ
LaneWatch ที่ท่านเห็นในภาพข้างบนนี้ หรือจะเป็นเรื่องระบบนำทาง หรือ
ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย ถ้าคุณต้องการออพชั่นเหล่านี้
คุณมีทางเลือกเดียวคือต้องจ่าย 1,199,000 บาท แล้วซื้อรุ่นท้อป 1.5RS

ผมมองว่าน่าจะมีรุ่น 1.8 ที่ได้ออพชั่นเหล่านี้บ้าง เพราะอย่าง LaneWatch นั้น
ก็ช่วยให้มองเห็นรถที่อยู่ในจุดบอดของกระจกมองข้างด้านซ้ายได้ หรือถุงลม
นิรภัยหลายใบ หลายคนมักมองว่าไม่สำคัญ แต่ถ้ามีไว้ก็เหมือนซื้อประกันชีวิต
กับให้อวัยวะของตัวเราเอง การเอาออพชั่นแบบนี้ไปอยู่ในรุ่นท้อปล้านกว่า
บางครั้งก็รู้สึกเหมือนถูกมัดมือชก ..ถ้าอยากปลอดภัยก็ต้องซื้อความแรงด้วย
ฟังดูเหมือนขายพ่วงยังไงบอกไม่ถูก

ส่วนเรื่องการประกอบและการเก็บงานนั้น ก็ยังเป็นไปตามมาตรฐาน Honda
ซึ่งไม่มีอะไรน่าสนใจมากไปกว่าจุดเล็กๆน้อยๆที่แสนยั่วยวนให้เกิดการจับผิด
ผมรู้สึกว่าความประณีตในการประกอบ Civic นั้นดูจะใกล้เคียงไปทาง City
มากกว่า Accord ยิ่งพวกรอยต่อรอยเชื่อมต่างๆในห้องเครื่องนั้น บางทีเห็นแล้ว
รู้สึกว่า “เขาไม่คิดจะทำอะไรกับมันหน่อยหรือ?”

2016_04_Civic_18EL1

และนั่นก็คือข้อดี/ข้อเสียทั้งหมดของ Civic รุ่นใหม่ที่ผมสัมผัสได้จากการ
ทดลองขับครั้งนี้ ความเห็นของผมส่วนมากก็ค่อนข้างคล้ายกับ J!MMY
โดยเฉพาะในเรื่องพัฒนาการของการขับขี่ที่ทำให้ Civic เป็นรถที่น่าขับมากขึ้น
กว่าแต่ก่อน ส่วนการออกแบบภายในนั้นก็ทำได้ดูดีมีชั้นเชิง ไม่แปลกใจ
เลยครับที่พอเปิดตัวปุ๊บ รถจะได้รับความนิยมมียอดสั่งจองเข้ามาจนตอนนี้
ก็เกิน 7,500 คันไปแล้ว (20% ในจำนวนนั้นเป็นรุ่น 1.5 เทอร์โบ)

ผมก็เข้าใจความรู้สึกของคนที่ตัดสินใจจอง Civic และสามารถพูดได้สั้นๆว่า
ตั้งแต่ Honda เลิกขาย Civic FD รุ่น 2.0 ลิตรไป ผมก็รู้สึกว่า Civic รุ่นถัดมา
เป็นรถที่น่าเบื่อมากกว่าน่าหลงใหล และถ้าผมมีเงินล้านเศษ Civic ก็อาจจะ
ไม่ใช่รถที่ผมเลือกเป็นลำดับแรกๆ…แต่ในวันนี้ Civic 2016 เรียกความรู้สึก
ดีๆที่เคยมีให้กับ Honda กลับมาได้อีกครั้ง

และดูจะกลับมาแรงกว่าสมัยก่อนเสียด้วย..

2016_04_Civic_Ending

ขอขอบคุณ / Special Thanks
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Honda Automobile (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อการเดินทางในครั้งนี้


 

Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของ
ผู้เขียนและช่างภาพจาก Honda Automobile (Thailand)

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
3 พฤษภาคม 2016

Copyright (c) 2016 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
May 3rd,2016

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!