บางครั้ง การสูญเสียบางสิ่ง ก็นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในอีกหลายด้านที่ส่งผลให้คนเรามีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป..ขึ้นอยู่กับว่าใครคนนั้นจะลุกขึ้นท้าทายความอัปโชคของตัวเองมากน้อยเพียงใด และที่สำคัญ..มีใครเป็นกำลังในการผลักดัน หรือฉุดให้ผู้คนเหล่านั้นได้ลุกขึ้นยืนอีกครั้งหรือไม่

ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ. 2547 เมื่อคลื่นสึนามิพัดเข้าชายฝั่งที่จังหวัดพังงา นอกจากทิ้งซากปรักหักพังของบ้านเรือนเอาไว้ ก็ยังได้กวาดเอาชีวิต ครอบครัว ของชาวพังงาไปเป็นจำนวนมาก ท่ามกลางความโศกเศร้าราวกับจะอาบผืนแผ่นดินด้วยเลือดและน้ำตานั้น เด็กจำนวนมาก กลายเป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่ไปในเช้าวันนั้น แต่ก่อนที่ชีวิตของพวกเขาจะดำดิ่งลงถึงจุดต่ำสุด ก็มีมูลนิธิ ชื่อ Children’s World Academy ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างไทยและเยอรมนี ก่อตั้ง “โรงเรียนเยาววิทย์” ขึ้นที่ อำเภอกะปง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2549

โรงเรียนเยาววิทย์ มีบทบาทในการฟื้นฟูสภาพจิตของเด็กเหล่านั้น และไม่ใช่แค่เพียงเลี้ยงดูให้มีชีวิตรอด ทางโรงเรียนฯ จัดหลักสูตรให้เด็กเหล่านี้มีโอกาสในการฝึกงานทางการโรงแรม มีความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อธุรกิจการท่องเที่ยว จนหลายคนสามารถไปเรียนต่อตามสายที่ตนเองถนัด บางคนก็ไปเรียนต่อเมืองนอก กลายเป็นคนที่มีอนาคตสดใส มีฐานะมั่งคั่งกว่าคนที่กำลังปั่นบทความนี้ให้ท่านอ่านเสียด้วยซ้ำไป

ผมเพิ่งได้มีโอกาสมาร่วมงานกิจกรรมเพื่อสังคมที่ทาง Mercedes-Benz Thailand จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนโรงเรียนเยาววิทย์ในด้านต่างๆทั้งเงินและอุปกรณ์การเรียนการสอน และแม้กระทั่งสนามฟุตบอล โดยในครั้งนี้เป็นปีที่ 2 ที่ผมเข้าร่วมด้วย แต่อันที่จริง ทางเบนซ์สำนักงานใหญ่ และผู้แทนจำหน่ายเบนซ์ภูเก็ต ได้ให้ความช่วยเหลือในลักษณะนี้ติดต่อกันมาแล้ว 15 ปี

ผมเข้าไปเดินหมีอยู่ในหอประชุมโรงเรียน ก็เจอหนุ่มน้อยวัยประถมที่น่าจะอายุ 7-8 ขวบ ส่งเสียงว่า “รับน้ำอัญชันมั้ยครับ อากาศร้อน ดื่มแล้วชื่นใจ” ผมก็ตอบตกลง หนุ่มน้อยก็จัดแจงตักน้ำแข็ง กดคูลเลอร์ให้น้ำอัญชันสีม่วงน้ำเงินไหลลงมาปะล็อกปะล็อก จนเกือบเต็มแก้วและใช้ช้อนตักน้ำมะนาว เขย่าแก้วให้ผสมกันดีด้วยลีลาไม่แพ้บาร์เทนเดอร์ นี่ยังไม่นับหนูน้อยอีก 2-3 คนที่คอยเดินสอดส่อง เติมน้ำดื่มและเก็บจานอาหารชนิดที่ว่า อย่าให้กูเห็นแก้วใครแห้งนะเติมทันที

ทั้งน้องๆเหล่านี้ รวมถึงอาคารเรียนที่ดูเก๋ไก๋แต่ไม่หรูหราคาราเมลเกินไป อาจารย์และอาสาสมัครที่ต่างเข้ามาช่วยกันพัฒนาทักษะการใช้ชีวิตรวมถึงภาษาอังกฤษ จนเด็กเหล่านี้สามารถพูดได้ชัดเป๊ะกว่าผมตอนอายุเท่าพวกเขา ดูแล้วแทบไม่เชื่อว่า ความสูญเสียครั้งใหญ่หลวงเมื่อ 15 ปีก่อนที่ไม่น่าจะมีอะไรเหลือให้จำ กลับกลายเป็นต้นกำเนิดของสถานที่ ซึ่งสร้างเด็กที่เฉลียวฉลาดอีกหลายร้อยหลายพันคน

..ดังไม้หมู่พื้นป่า ที่งอกงามขึ้นมากมาย เมื่อไม้ใหญ่โค่นลง

น่าเสียดาย ที่โอกาสไม่อำนวย เพราะแม้ว่าผมจะไม่มีเงินทองจะมอบให้ แต่ในใจผม อยากจะให้รางวัลแก่เด็กผู้โชคดีสักสองสามคนในการ…นั่งรถรุ่นใหม่ล่าสุดที่ Mercedes-Benz ในไทยเพิ่งเปิดตัวไป แล้วหาทางโล่งๆ กระแทกคันเร่งจมสัก 2-3 เกียร์ ให้เด็กๆได้รับสารแห่งความตื่นเต้นบ้าง อาจจะดูเหมือนผมบ้า แต่ผมเชื่อว่าบุคคลสำคัญในวงการมอเตอร์สปอร์ตของโลกหลายคน เริ่มเส้นทางชีวิตของพวกเขาในวินาทีที่ได้สัมผัสแรงจี ผมอาจจะเป็นคนจุดประกายให้น้องๆในเยาววิทย์ไปลงแข่ง Formula-E ในอีก 12-13 ปีข้างหน้าก็ได้ ใครจะไปรู้

ถึงแม้ไม่บรรลุภารกิจนั้น สิ่งหนึ่งที่เหมือนได้เป็นโบนัสสำหรับการเดินทางครั้งนี้ก็คือการมีโอกาสได้ควบ C 300 e AMG Dynamic ซึ่งก็คือรถรุ่นใหม่เพิ่งเปิดตัวที่ผมได้กล่าวไว้ในย่อหน้าที่แล้วนั่นล่ะครับ

และเป็นโบนัสแบบที่ต้องอาศัยโชคมากด้วยเพราะทริปนี้จริงๆแล้วไม่ใช่ทริปเทสต์รถ แต่ทางเบนซ์เขาก็พยายามจัดธีมเป็นงานปาร์ตี้รถถ่านของค่าย เอารถ Plug-in Hybrid ที่มีขายอยู่มาให้นักข่าวขับ 18 คัน ในจำนวนนั้นเป็น E 350 e ซะ 14 คัน เป็น S 560 e 1 คัน C 220d Avantgarde 1 คัน และมี C 300 e รุ่น Avantgarde 1 คัน และ AMG Dynamic 1 คัน แน่นอนว่าสายขับทั้งหลายที่ต้องเขียนข่าวก็อยากจะลอง C 300 e กันทั้งนั้น แต่สื่อฯ 38 ชีวิตไม่ได้ขับทุกคนแน่นอน ก็เลยต้องจับสลากว่าใครจะได้ แน่นอนว่าผมไม่มีบุญเรื่องการจับสลากมาแต่ไหนแต่ไร จึงขอให้พี่เล็ก มนต์ชัย สว่างศรี แห่งเพจ Thaitestdrive ซึ่งขับคู่กับผม ลุกไปจับให้

แล้วเราก็ได้เป็นพลประจำรถถ่าน C 300 e AMG Dynamic สีขาว ในวันแรกของทริป ก่อนที่จะส่งให้นักข่าวท่านอื่นรับโชคในวันต่อๆไป ดังนั้นการที่ท่านได้อ่านบทความนี้ ผมขอยกเครดิตให้พี่เล็กเต็มๆ

C 300 e เป็นรถ Plug-in Hybrid ที่เบนซ์บอกว่าเป็นไฮบริดเจนเนอเรชั่นที่ 3 ของทางค่าย ซึ่งเริ่มตั้งแต่ C 300 BlueTEC Hybrid ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.1 ลิตรเทอร์โบชาร์จร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ไม่มีระบบเสียบปลั๊ก ซึ่งก็เรียกเสียงฮือฮาได้อยู่พักหนึ่ง แต่ในด้านสมรรถนะยังถือว่าไม่โดดเด่น ไม่ได้มีความแรงมากเป็นพิเศษ และไม่ได้ประหยัดน้ำมันมากอย่างที่คิดเพราะยังใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็ก ต่อมา ก็กลายเป็น C 350 e Plug-in Hybrid ซึ่งหันมาคบกับเครื่องยนต์เบนซิน ใส่มอเตอร์พลังขับสูงขึ้น มีแบตเตอรี่ที่พอให้วิ่งแบบ EV Mode ได้ราว 20 กิโลเมตรในชีวิตจริง กลายเป็นรถที่สนองความต้องการพ่อบ้านเท้าหนักด้วยพลัง 279 แรงม้า ติดตั้งอุปกรณ์มาให้ครบในราคาสามล้านต้นๆ

ในช่วงที่ C-Class มีการปรับโฉมแบบไมเนอร์เชนจ์ในปี 2018 C 350 e หยุดทำตลาดไปชั่วขณะเพราะมีการปรับขุมพลังใหม่ ทำให้ Mercedes-Benz ประเทศไทยต้องไปขุดเอา C 220 d ดีเซลเครื่อง OM 654 มาขายอยู่พักใหญ่และมีกระแสตอบรับที่ดี เพราะรุ่นเริ่มต้นราคาถูกเพียงแค่ 2,349,000 บาท (ในขณะนั้น..ปัจจุบันเพิ่มราคาแล้ว) และรุ่นท้อปอย่าง AMG Dynamic มามาดเก๋ด้วยล้อ 19 นิ้วลายเดียวกับ C 43 AMG หน้าปัด TFT ขนาดใหญ่ อุปกรณ์ครบ แต่ถอดช่วงล่างถุงลม AIRMATIC ออก ขายในราคา 2,899,000 บาท ผลิตมากี่คันก็ขายหมดเกลี้ยง

ต่อมา เมื่อขุมพลังไฮบริดพร้อมแล้วที่จะรับใช้คนไทย เบนซ์ก็ลดบทบาทรุ่น C 220 d ลงเหมือนวัยรุ่นจีบกันแล้วหมดโปร มีแค่รุ่น Avantgarde ที่ยังขายอยู่ในราคา 2,379,000 บาท แล้วก็ยังตัดเวอร์ชั่นการตกแต่งเอาใจผู้ใหญ่หรูอย่างรุ่น Exclusive ทิ้ง C 300 e รุ่นใหม่ จึงมีแค่สองแบบเท่านั้น

  • C 300 e Avantgarde ราคา 2,699,000 บาท
  • C 300 e AMG Dynamic ราคา 3,215,000 บาท

ถ้าเทียบตัวท้อป AMG Dynamic อย่างเดียว C 300 e ต่างจาก C 350 e อย่างไรบ้าง

  • มอเตอร์ขับเคลื่อนพลังสูงขึ้น + แบตเตอรี่ที่จุไฟมากขึ้น
  • เปลี่ยนจากเกียร์ 7 จังหวะเป็น 9 จังหวะ
  • หน้าปัดจอสีขนาดใหญ่และพวงมาลัยใหม่ ขยับตามอัปเดตของรุ่นไมเนอร์เชนจ์
  • เพิ่มระบบสื่อสารผ่านแอพพลิเคชั่น Mercedes me connect
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ เปลี่ยนจากแบบ 2 Zone เป็น 3 Zone
  • กระจังหน้า เปลี่ยนจากแบบสปอร์ต เป็น Diamond Grille
  • ช่วงล่าง เปลี่ยนจากถุงลม AIRMATIC เป็นสปริงและโช้คอัพ Comfort Spec
  • ล้ออัลลอย เปลี่ยนจากขนาด 19 เหลือ 18 นิ้ว ยางหลังลดขนาดจาก 255 เหลือ 245 มิลลิเมตร
  • วัสดุตกแต่งภายใน เปลี่ยนจากคาร์บอนขัดเงา เป็นลายไม้แบบเดียวกับ C 220 d Avantgarde

จะเห็นได้ว่า ราคาเพิ่มจาก C 350 e แค่ 66,000 บาท บางคนอาจตื่นเต้นว่ารถดีขึ้นเยอะ แต่แพงขึ้นไม่มาก เปล่าหรอกครับ เบนซ์ยุคหลังๆ มักทำการบ้านเรื่องราคาและออพชั่นมามาก มีการถอดไอ้นั่นออก เติมไอ้นี่เข้ามา โดยพยายามวางสมดุลย์ระหว่างความ “ว้าว” ของลูกค้าเมื่อได้เห็นรถคันจริง กับราคาที่ลูกค้าเห็นแล้วไม่คิดนาน จะเป็นที่ถูกใจตลาด 100% ก็คงไม่ได้ มันเป็นเรื่องของการลองผิดลองถูก

C 300 e AMG Dynamic มีความยาวตัวถัง 4,702 มิลลิเมตร กว้าง 1,810 มิลลิเมตร สูง 1,432 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,840 มิลลิเมตร ระยะ Track ล้อหน้า/หลัง เท่ากับ 1,588/1,570 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวถังอยู่ที่ 1,835 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจาก C 350 e 55 กิโลกรัม และหนักกว่ารุ่น C 220 d ถึง 250 กิโลกรัม ถังน้ำมันของรถ C 300 e จะมีขนาด 50 ลิตร เล็กกว่าของ C 220 d อยู่ 16 ลิตร

นอกจากนี้ยังต้องหมายเหตุไว้ด้วยว่า รถรุ่น AMG Dynamic จะมีความยาวตัวถังมากกว่ารุ่น Avantgarde 16 มิลลิเมตร อันเนื่องมาจากชุดแต่งกันชน และเตี้ยกว่ากันอยู่ 10 มิลลิเมตร ซึ่งน่าจะมาจากสปริงที่ใช้ เป็นช่วงล่าง Comfort จริงแต่สปริงเตี้ยกว่าปกติ ลักษณะคล้ายกับ C 220 d AMG Dynamic และ C 250 Coupe รุ่นสุดท้ายก่อนจะเลิกขาย

ถ้าหากจะเทียบขนาดตัวถังกัน วินาทีนี้ ต้องถึงคู่แข่งอย่าง BMW 3 Series มาเลยดีกว่า ผลปรากฏคือ BMW ยาวกว่าอยู่นิดเดียว กว้างกว่าพอสมควรและมีความสูงเกือบเท่ากัน โดยซีรีส์ 3 รุ่นใหม่ (G20) มีขนาดตัวถังยาว 4,709 มิลลิเมตร กว้าง 1,827 มิลลิเมตร สูง 1,442  1,435 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,851 มิลลิเมตร ระยะความกว้างแทร็คล้อหน้า/หลัง อยู่ที่ 1,589 และ 1,604 มิลลิเมตรตามลำดับ

รถทดสอบของเราที่เป็นรุ่น AMG Dynamic นี้ จะมีจุดที่สามารถสังเกตความแตกต่างจากรุ่นย่อยอื่นได้ คือกระจังหน้า Diamond grille ไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ที่สาดส่องแสงได้หลายทิศทาง ต่างจากรุ่น Avantgarde ซึ่งจะได้ไฟหน้าตาแตกแปดหลอด มีระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติทุกรุ่นยกเว้น C 300 e Avantgarde (จัดออพชั่นละเอียดจังพี่) ล้ออัลลอยแบบ 5 ก้านคู่ ลายเดียวกับ CLS 300 d แต่ลดขนาดลงเหลือ 18 นิ้ว ก้านจะเล็กเรียวดูสปอร์ตกว่าลายดอกลั่นทมของ Avantgarde

บางคนเห็นแล้วนึกว่าล้อของ AMG Dynamic เป็นขนาด 19 นิ้วทั้งที่ความจริงมันก็ 18 นิ้วเท่ากัน

รูปโฉมภายนอกโดยรวม สื่อมวลชนบางท่านติว่าไม่หล่อเท่า C 220 d AMG Dynamic เพราะเจ้านั้นได้ล้อ AMG แท้ 19 นิ้วมาใส่ ผมเองก็เห็นด้วย แต่ไม่คิดมาก เพราะส่วนตัวผมไม่ใช่คนชอบล้อโตยางแก้มเตี้ย เพราะถนนประเทศเราหลายจุดเฮงซวย ต้องการมีแก้มยางเหลือไว้รับแรงกระแทกบ้าง ถ้าต้องบาลานซ์ทั้งเรื่องความหล่อ และความสมบุกสมบัน ผมว่า C 300 e AMG Dynamic กับล้อลายนี้ก็โอเคแล้ว และยังเข้ากับสัดส่วนของรถที่หน้ายาว หลังสั้น กระจกเล็ก ยังให้มาดสปอร์ตซีดานอยู่ ดูไม่แย่เลยทั้งๆที่ C-Class ตัวปัจจุบันก็ใกล้จะตกรุ่นเข้าไปทุกขณะ

กุญแจรีโมตแบบใหม่ หน้าตาเปลี่ยนไปจากของ C 350 e คนละทรง ดูทันสมัยขึ้น C 300 e AMG Dynamic เป็นรุ่นย่อยเดียวที่มี Keyless GO ซึ่งแปลว่าคุณสามารถอมกุญแจไว้ในปาก ใส่กระเป๋า หรือตรงไหนก็แล้วแต่ความบ้า ขอให้อยู่ใกล้ๆตัว แล้วคุณเอื้อมมือไปจับที่มือดึงเปิดประตู รถก็จะปลดล็อคให้เอง พอลงจากรถแล้วอยากจะล็อค ก็เอานิ้วไปแตะตรงสี่เหลี่ยมเล็กๆบนมือจับเปิดประตูนั่นแหละครับ

ส่วน C 220 d Avantgarde และ C 300 e Avantgarde น่ะเหรอครับ ขอเชิญ..ญ ล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋าของท่านแล้วกดปุ่มปลดล็อค/ล็อคเอาเอง โถ พ่อคุณ สมัยนี้รถราคาห้าแสนกว่ายังมีออพชั่นนี้ให้เลย มันแพงมากเลยเหรอ?

การเข้าไปนั่งใน C-Class บอดี้นี้ สำหรับคนผอมคงไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าเป็นผม รู้สึกว่ามันเข้าออกยากเพราะแนวหลังคาที่เตี้ย ก็เลยใช้วิธีปรับเบาะนั่งลงต่ำกว่าปกตินิดหน่อย จะช่วยเคลียร์พื้นที่บริเวณหัวได้มากขึ้น

ความเริดของ AMG Dynamic เริ่มกันตั้งแต่เบาะ แม้ว่าทรวดทรงหลักจะคล้ายกับของรุ่นย่อยอื่น (อาจจะมีส่วนปีกข้างที่ดูเหมือนใหญ่กว่า) แต่ในขณะที่รุ่นอื่นได้หนังเทียม Artico รุ่น AMG Dynamic จะได้หนังเกรดดีกว่า และถ้าคุณสั่งรถสีดำหรือขาว ก็จะสามารถเลือกเบาะหุ้มหนังสีแดงอย่างที่เห็นในภาพได้ แต่ถ้าสั่งรถเป็นสีเทา คุณจะมีทางเลือกแค่เบาะสีดำแบบเดียว  เบาะคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า เอน/เลื่อนหน้าถอยหลัง/ปรับองศาการเทของเบาะรองนั่งได้เหมือนรุ่นย่อยอื่น แต่ AMG Dynamic จะมาแบบครบๆด้วยช่วงรองน่องที่ปรับด้วยไฟฟ้า มีระบบความจำตำแหน่งมาให้เพิ่ม และฟากคนขับนั้น ระบบ Memory ของเบาะจะเชื่อมกับพวงมาลัยปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง และกระจกมองข้างด้วย ในขณะที่รุ่นย่อยอื่นจะเป็นพวงมาลัยปรับด้วยมือ เบาะไม่มี Memory

ความสบายในการนั่ง ถือว่าโอเค ฟองน้ำของเบาะจะมาแนวแข็งแบบรถเยอรมันสมัยใหม่ หมอนรองศีรษะแม้จะปรับโล้ไปข้างหลังสุดก็จะยังดันกบาลอยู่นิดๆ หมอนรองก็ไม่ได้นุ่มนวลสักเท่าไหร่ คอนโซลกลางของรถค่อนข้างสูงแบบรถสปอร์ตคูเป้ ซึ่งจะกินเนื้อที่แหกเข่ากางขาของคนขับไปบ้าง ดูเหมือนสมัยนี้เยอรมันจะชอบเทรนด์เบียดเข่ากัน เพราะ BMW ซีรีส์ 3 ใหม่ก็มีคอนโซลกินบริเวณมากกว่าเดิมจนตอนนี้ต่างจากเบนซ์ไม่มากแล้ว

ทางเข้าเบาะหลัง มีขนาดไม่โต เพราะส่วนชายล่างประตูค่อนข้างสั้น คนตัวสูงจะตวัดเท้าเข้าลำบากหน่อย และยังไม่นับแนวหลังคาที่เตี้ย ต้องก้มหัวหลบ

เบาะหลังมีลักษณะค่อนไปทางแข็งคล้ายเบาะหน้า มีพนักรองศีรษะที่ค่อนข้างแข็ง ตำแหน่งเบาะรองนั่งต่ำ แต่มีดีไซน์โอบตัวดีพอประมาณ ทำให้คนตัวสูงไม่เกิน 160 สามารถนั่งได้สบายกำลังสวย แต่คนตัวสูง 180 เซนติเมตรหรือบอดี้ใหญ่จะเมื่อยเข่าเวลานั่ง และพื้นที่เหนือศีรษะก็ไม่เหมาะกับคนตัวสูง นั่งแล้วหัวติดต้องไถลก้นมาด้านหน้าหน่อยจึงจะนั่งได้

สำหรับความสบายในภาพรวม ต้องเข้าใจว่า C-Class รุ่นนี้ขายมาหลายปีในขณะที่คู่แข่งเขาเพิ่งเปิดตัวใหม่กันไป ดังนั้นก็ไม่แปลกถ้า BMW ซีรีส์ 3 G20 ทำกลายเป็นรถที่นั่งเบาะหลังได้สบายกว่าเบนซ์อย่างชัดเจน ณ วินาทีนี้ หากต้องเป็นผู้โดยสารเบาะหลัง ผมดีดตัวไปนั่ง BMW แบบไม่ต้องคิดนาน เบาะของเบนซ์มีตำแหน่งติดตั้งเตี้ยและต้องงอเข่าเวลานั่งมากกว่าอีกต่างหาก

สำหรับคนนั่งหลัง มีที่เท้าแขนให้ ในที่เท้าแขนจะมีที่วางแก้ว 2 ที่ซ่อนอยู่สามารถกดออกมาใช้งานได้ มีม่านไฟฟ้าสำหรับช่วยลดแสงแดดที่กระจกบานหลัง (ซึ่งมีใน C 220 d Avantgarde แต่ไม่มีใน C 300 e Avantgarde) และที่กระจกบานประตูก็มีม่านลดแสงแบบดึงขึ้นด้วยมือมาให้ ช่องลมแอร์ตอนหลังเป็นแบบปรับแรงลมได้ และปรับระดับความเย็นได้

ฝากระโปรงท้ายของ C-Class ณ ปัจจุบันนี้ทุกรุ่น สามารถเปิดและปิดได้จากปุ่มบนแผงประตูด้านคนขับและที่รีโมทกุญแจ นอกจากนี้ เฉพาะรุ่น AMG Dynamic จะให้ระบบแหย่เท้าใต้กันชนเปิดฝากระโปรง (Hands Free Access)  ซึ่งอันที่จริง แต่ก่อนนี้จะมีระบบแหย่เท้าเปิดกระโปรงให้ทุกรุ่นย่อย แต่รถ Avantgarde ปี 2019 ล็อตหลังๆจะถูกเอาออก

ห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ มีลักษณะเป็นขั้นบันไดเพื่อหลบแบตเตอรี่ ทำให้เสียพื้นที่ความจุ จากเดิมในรุ่น C 220 d มีความจุ 455 ลิตร พอมาเป็น C 300 e จะเหลือแค่ 300 ลิตรเท่านั้น พนักพิงหลังของเบาะเป็นแบบที่สามารถแยกพับแบบ 1/3 และ 2/3 เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระ ชุดเครื่องปฐมพยาบาลที่เคยซุกอยู่ด้านซ้ายของห้องเก็บสัมภาระ ถูกเปลี่ยนเป็นช่องสำหรับเก็บชุดสายชาร์จไฟฟ้า พร้อมฝาปิด (ลืมถามว่าเขายังแถมชุดปฐมพยาบาลอยู่หรือไม่ใน C 300 e นี้)

ส่วนยางอะไหล่หรือชุดปะยาง ไม่ต้องเปิดดูนะครับ เพราะรถรุ่นนี้ใช้ยาง Runflat ถึงโดนตะปูตำหรือขูดจนแก้มบึ้ม โครงยางนิรภัยที่ซ่อนอยู่ข้างในมันแข็งพอให้คุณวิ่งด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปได้ไกลหลายสิบกิโลเมตร

บรรยากาศภายในห้องโดยสาร ดูแล้วสมราคาขึ้นมากกว่าพวกรุ่นย่อย Avantgarde เพราะนอกจากจะมีหนังสีแดงช่วยสร้างเสน่ห์แล้ว ชิ้นส่วนของแผงคอนโซลตอนบน กับแผงประตูตอนบน ก็จะมีการหุ้มหนังนุ่มมาให้และเย็บตะเข็บด้วย  คุณจะได้พวงมาลัย 3 ก้านแบบสปอร์ตท้ายตัดเพิ่มเข้ามา

มีที่วางแก้วให้ตรงคอนโซลกลาง 2 แก้วโดยซ่อนอยู่ใต้ฝาปิด ส่วนกระจกแต่งหน้า มีมาให้ 2 ข้างพร้อมไฟแต่งหน้าแบบติดตั้งบนเพดาน อาจจะยากหน่อยสำหรับคุณผู้หญิงเวลาจะแต่งหน้าเก็บรายละเอียดใต้ขอบตา

สิ่งหนึ่งที่ออกจะคิดถึง ก็คือวัสดุตกแต่งตามแดชบอร์ดและแผงประตู ซึ่งสมัย C 350 e จะเป็นคาร์บอนเงาดูสวยงาม หรือไม่ก็พลาสติกสีเงินซาตินซึ่งหน้าตาและสัมผัสดีพอใช้ ในตัว C 300 e AMG Dynamic นี้กลับใช้ลายไม้แบบด้าน Open-pore oakwood แบบเดียวกับใน C 220 d Avantgarde เรื่องนี้อาจต้องขึ้นกับรสนิยมคนซื้อ ส่วนตัวผมชอบคาร์บอนสีเทาเข้มเคลือบเงาแบบเดิมมากกว่า เพราะลายไม้ของรุ่นใหม่ดูมันแห้งๆพลาสติกๆ ดำๆ ไม่ค่อยให้ความรู้สึกหรู ทั้งที่ลายไม้น่ะควรมีไว้สร้างบรรยากาศหรู

สวิตช์ควบคุมต่างๆจัดวางมาในสไตล์เดียวกับเบนซ์ยุคใหม่ทั้งหลาย แต่จะมีบางจุดเล็กๆที่ต่างกันกับ C 350 e แผงควบคุมกระจกไฟฟ้า และสวิตช์สำหรับปรับเบาะจะอยู่บนแผงประตู ถัดมา ใต้ช่องแอร์ตรงที่เคยเป็นสวิตช์ระบบกล้องและเซนเซอร์ในรุ่นก่อน กลายเป็นซี่ว่างๆ 2 ร่องแทน ถัดลงมาเป็นปุ่มหมุนสำหรับเปิดไฟหน้า, ไฟตัดหมอกหลังกับปุ่มปรับความสว่างไฟหน้าปัด ปุ่มสตาร์ทจะซ่อนมาทางซ้ายของสวิตช์ไฟหน้า ส่วนปุ่มเบรกมือไฟฟ้า จะอยู่แถวล่างลงมา

พวงมาลัยที่เปลี่ยนใหม่ทำให้มีการย้ายสวิตช์ต่างๆจาก C 350 e บนก้านซ้ายของพวงมาลัยจะเป็นปุ่มสำหรับคุมจอกลาง (เดิมใช้คุมจอ MID หน้าปัด) และปุ่มควบคุมเครื่องเสียงกับฟังก์ชั่นการรับโทรศัพท์ (เดิมอยู่ก้านพวงมาลัยด้านขวา) ส่วน Cruise Control ที่เคยเป็นก้านคล้ายไฟเลี้ยว ถูกย้ายมาเป็นปุ่มอยู่บนก้านพวงมาลัยด้านขวา โดยอยู่ติดกับสวิตช์สัมผัสซึ่งเอาไว้ใช้คุมจอ MID ของหน้าปัด ก้านไฟเลี้ยวยังอยู่ซ้ายมือเหมือนเดิม และเปิด/ปิดระบบปัดน้ำฝนด้วยการบิดปลายก้านไฟเลี้ยว

Comand Controller ที่อยู่ตรงคอนโซลกลาง หน้าตาเกือบเหมือนของ C 220 d แค่มีฟังก์ชั่นบางอย่างต่างกัน มี Touchpad ที่เอานิ้วลากเลื่อนคลิกได้ มีทั้งสวิตช์ปุ่มหมุนๆกดๆ สำหรับไว้สั่งการระบบ Multimedia ของรถ ทางด้านขวาของ Controller ก็มีปุ่มลูกกลิ้งปรับเสียงวิทยุ ปุ่มเปิด/ปิดการทำงานของจอกลางและเปิด/ปิดม่านไฟฟ้าหลัง ส่วนด้านซ้ายของ Controller จะเป็นปุ่มปรับโหมดนิสัยรถ Dynamic Select ปุ่มเปิด/ปิดการทำงานของเซนเซอร์จอด ปุ่มการทำงานกล้องและระบบจอดรถอัตโนมัติ ปุ่ม Start/Stop ในรุ่นดีเซล ถูกแทนที่ด้วยปุ่มสำหรับปรับโหมดการชาร์จของระบบ Hybrid

และตามสไตล์ของเบนซ์ที่ไม่ใช่ AMG ก็คือ..คุณจะไม่ได้ปุ่ม M สำหรับการสั่งล็อคให้เกียร์ทำงานใน Manual Mode บางคนบอกว่าไม่จำเป็น เพราะเวลาคุณจะเล่นเกียร์ +/- เอง ก็ตบแป้นไปดิ มันก็เข้าให้..แต่ภายในไม่กี่วินาทีมันก็กลับไปโหมดอัตโนมัติเหมือนเดิม รู้สึกมันจะเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆกับการเข้าโหมดล็อคเล่นเกียร์เอง สมัยก่อนแค่ตบคันเกียร์ไปด้านข้างก็จบ ต่อมาเขาทำเป็นปุ่มให้กดยากขึ้น นี่ล่าสุดคือไม่มีให้กดจ้า

วิธีเดียวที่ผมคิดออกในการแก้ปัญหานี้คือ ไปที่เมนู Dynamic Select แล้วเลือก Config Individual คุณตั้ง Individual Mode ให้ระบบเกียร์ = Manual ส่วนอย่างอื่นจะเซ็ตยังไงก็ตามใจชอบ เวลาขับอยู่บนเขาแล้วอยากให้มันล็อค Manual Mode คุณก็กดไป Individual แค่นั้น

ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ มีสวิตช์คุมอยู่ใต้ช่องแอร์ แยกปรับอุณหภูมิได้ 2 ฟาก สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า และยังแยกปรับอุณหภูมิสำหรับผู้โดยสารด้านหลังได้อีก (AMG Dynamic เป็นรุ่นย่อยเดียวที่ได้แอร์ 3 Zone) หรือจะสมัครสมานปรองดองความเย็นกันก็แค่กดปุ่ม Sync

ในรถรุ่นใหม่ปี 2019 จะมีระบบปรับอากาศล่วงหน้า หรือ Pre-entry Climate Control ตั้งค่า หรือสั่งการผ่านสมาร์ทโฟนจากระยะไกล เพื่อให้รถเปิดแอร์รอไว้เลยระหว่างรอคุณเดินมาที่รถ นับเป็นออพชั่นที่เหมาะสมกับเมืองร้อนอย่างบ้านเรา

จอกลางมีขนาดโตขึ้นกว่าของ C 350 e กลายเป็น 10.25 นิ้ว สามารถใช้งานได้หลากหลายเหมือนเดิม แต่มีกราฟฟิคภาพต่างๆที่สวยงามขึ้น การปรับตั้งค่าต่างๆของตัวรถ ในเบนซ์ช่วงหลายปีก่อนจะทำได้บนหน้าปัด ในรุ่นใหม่นี้จะย้ายการปรับตั้งค่ามาอยู่ที่จอกลาง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของไฟส่องสว่าง ระบบล็อคต่างๆ

ในรถ C 300 e นั้น Power Meter ที่โชว์แรงม้าแรงบิด กับมาตรวัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่องจะหายไป แต่มีจอแสดงสถานะการทำงานของส่วนต่างๆในระบบไฮบริด ปริมาณไฟแบตเตอรี่ที่เหลือ และได้ระบบนำทางมาแทน

เครื่องเสียงของ C 300 e AMG Dynamic จะเป็นแบบ AUDIO20 เหมือนของรุ่น Avantgarde แต่ได้ลำโพง Burmester มาช่วยกู้หน้าเอาไว้ สำหรับรายละเอียดของเสียงนั้น บางท่านก็บอกว่าดีพอแล้ว ส่วนตัวของผม มันก็ออกจะคล้ายเสียงที่ได้ยินจาก C 350 e เมื่อก่อน ซึ่งเสียงช่วงกลางจะไม่ใสอิ่มหูเต็มที่นัก และถ้าลองเปิด Soundtrack เพลง Beverly Hills Cop แล้วฟังรายละเอียดเสียง Percussion กระจ้อกกระแจ้ก จะพบว่ามันขาดหายไปพอสมควร

แต่สำหรับคนฟังเพลงตามปกติ ที่ไม่ได้มีชุดสเตอริโอดีๆที่บ้าน ไม่ใช่นักเลงเครื่องเสียง ก็ไม่ต้องไปหาเรื่องทำอะไรเพิ่ม ถ้าผมมีเงินซื้อ C 300 e ก็คงไม่ทำเช่นกัน มันแค่ไม่เด่น ไม่ใช่ว่าห่วยครับ

ส่วนระบบ Apple CarPlay/Android Auto ผมลองเช็คในโบรชัวร์ พบว่า C 300 e ทั้งสองรุ่นย่อย จะไม่มีมาให้ แต่ดันมีใน C 220 d รุ่นถูกสุด (ขอเกาหัวแกร็กๆแป๊บ)

สำหรับฟังก์ชั่นกล้อง รุ่น AMG Dynamic ก็เป็นรุ่นเดียวที่ได้กล้องรอบคัน 360 องศา สามารถปรับการแสดงผลได้ 5 แบบ ทั้งกล้องมองหลังมุมกว้าง/มุมแคบ กล้องส่องด้านหน้า มุมกว้าง/มุมแคบ และกล้องส่องแบบรอบคันชนิดเห็นทุกซอกทุกมุม เวลาจะใช้ระบบช่วยถอยจอด  Active Parking Assist ก็ใช้จอกลางนี่แหละในการช่วยเลือกตำแหน่งจอดได้

ชุดมาตรวัด นับเป็นจุดหนึ่งที่ AMG Dynamic เหนือกว่ารุ่นย่อยอื่น เพราะได้จอสี TFT ขนาด 12.3 นิ้ว แถมมาในเบ้าสวย ไม่ใช่เป็นแผ่นเหมือน Tablet เหมือนอย่างของ E-Class กราฟฟิกดูอลังการแม้บางทีอาจจะงงกับมาตรวัดความเร็วแบบไม่ไล่ลำดับตัวเลขตามธรรมชาติ (20, 40, 60 แล้วข้ามไป 100, 140, 180) แสงสีที่เลือกในบางจุดออกจะดูเน้นสวยมากกว่าเน้นการใช้งานที่มองง่ายและสะอาดตา

คุณสามารถใช้ปุ่มสไลด์บนก้านขวาของพวงมาลัยในการปรับวิธีแสดงผลสำหรับส่วนกลาง และส่วนขวาของจอ อย่างที่ผมทำให้ดูข้างบนนี้ คุณจะเลือกโชว์มาตรวัดรอบ คู่กับมาตรวัดปริมาณไฟในแบตเตอรี่ หรือจะโชว์เป็น Water temp พร้อมวัดรอบและมาตรวัดค่าแรง G Force ก็ได้ จะโชว์ % การปลดปล่อยพลังของรถแทนมาตรวัดรอบก็ได้ (เป็นลูกเล่น แต่ดูค่อนข้างขาดสาระ)

หรือถ้าคุณเริ่มเบื่อกับสีสันเดิมๆ ก็สามารถปรับสไตล์การแสดงผลได้ อย่างที่โชว์มาก่อนหน้านี้ ตัวเลขส้มๆ เข็มแดง จะเป็นธีมหน้าปัดแบบ “Sport” ส่วนอันที่เป็นตัวเลขสีขาว คือแบบ “Classic” และอันล่างสุดคือแบบ “Progressive” ซึ่งจะดูเหมือนแผงหน้าปัดของพวกรถต้นแบบล้ำอนาคตไปเลย

ลูกค้าเบนซ์ตัวจริงคงชอบครับ ความอลังการ สีสัน ดูแพงสมราคารถ ผมเองก็ชอบ แต่เวลาขับแบบรีบๆ กลับรู้สึกคิดถึงหน้าปัดเข็มแบบของรุ่น Avantgarde ซึ่งมองอ่านค่าได้ง่ายแม้จะมีแสงแดดแยง เงาสะท้อนก็ไม่ค่อยเยอะ แต่ถ้าใส่หน้าปัดแบบนั้นในรถสามล้านต้น ลูกค้าตัวจริงสมัยนี้คงด่าไม่ไว้เพื่อนไว้ญาติ

ถ้าพูดเรื่องบรรยากาศยามค่ำคืนในห้องโดยสาร ก็ต้องยอมรับว่าเบนซ์เขาจัดงานโชว์แสงเจ๋งมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งหลังจากไมเนอร์เชนจ์ แสงไฟในห้องโดยสาร (Ambient Light) ที่จากเดิมเลือกได้แค่ 3 สี ตอนนี้มี 64 สี และสามารถเลือกปรับแยกความสว่างแยกด้านหน้ากับหลังได้ เวลามองตอนกลางคืนดูแล้วสวยหรูหราคาราเมลมาก

อยากได้บรรยากาศแบบไหน? แบบ Lounge ท้ายเครื่อง Airbus A380? แบบผับ? แบบเรือดำน้ำ? หรือแบบเรือตกหมึก เลือกตามที่ท่านชอบเลยครับ

***รายละเอียดทางวิศวกรรม***

ประเทศไทย นับเป็นตลาดแรกๆของโลกที่มีการเปิดตัวขุมพลังเบนซิน “300 e” ลงในบอดี้ C-Class เพราะขนาดเว็บไซต์สื่อมวลชนของ Daimler เองก็ยังไม่มีข้อมูลรถรุ่นนี้ ต้องใช้วิธีเขียนเมลตรงไปหาแผนก Communication ของเยอรมันถึงได้ข้อมูลเพิ่มเติมมา สำหรับในตลาดสากล กำหนดเปิดตัวต้องเป็นเดือนกรกฎาคมโน่นครับ

เรามาพูดถึงกันที่ละส่วน คือ เครื่องยนต์ มอเตอร์ และเกียร์

เครื่องยนต์สันดาปภายในของ C 300 e ยังคงใช้แบบเดียวกันกับ C 350 e ซึ่งมีรหัสว่า M274.920 (M274 E20 DEH LA) เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว เพลาราวลิ้นคู่ เทอร์โบชาร์จเดี่ยวและแคมชาฟท์แปรผันทั้งฝั่งไอดี/ไอเสีย ความจุ 1,991 ซี.ซี. จากขนาดปากกระบอกสูบ 83.0 มิลลิเมตร ช่วงชัก 92.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.8 : 1  กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,200 – 4,000 รอบ/นาที

ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้านั้น เป็นของใหม่ไม่เหมือนของ C 350e โดยเป็นมอเตอร์ไฮบริด Generation ที่ 3 ปรับปรุงการทำงานใหม่ ชุดตัดต่อกำลังไฟฟ้า ของเดิมใน C 350 e จะเป็น Wet Clutch ล้วน แต่ใน C 300 e จะมีการเพิ่มชุดทอร์คคอนเวอร์เตอร์เฉพาะสำหรับรองรับการตัดต่อกำลังจากมอเตอร์ ส่งผลให้สามารถทำงานได้นุ่มนวลขึ้น มอเตอร์ใหม่นี้ มีแรงม้าเพิ่มจากเดิม 41 แรงม้า และมีแรงบิดเพิ่มเติมจากเดิมอีก 100 นิวตันเมตร โดยรวมแล้วกำลังเฉพาะจากมอเตอร์ไฟฟ้าของ C 300 e จึงมากถึง 122 แรงม้า และ 440 นิวตันเมตร

เมื่อทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ทำงานพร้อมกันเรียกพลังสูงสุดได้ 320 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร!

ฮู้…ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน ใครจะคิดว่าเบนซ์ราคา 2.7-3.21 ล้านจะมาพร้อมกับแรงม้าและแรงบิดที่ดุเดือดขนาดนี้ แต่บางคนที่อยู่ในโลกรถก็อาจไม่แปลกใจ เทคโนโลยีไฮบริดเสียบปลั๊กที่ทำให้รถยุโรปหลายรุ่นเสียภาษีสรรพสามิตแค่ 8% แทนที่จะเป็น 25% แบบพวกรุ่นดีเซล มันก็ทำให้คุณซื้อรถออพชั่นเดิม ได้แรงจุกอก ในราคาถูก ไม่ว่าจะเป็นตระกูล “30e” ของ BMW หรือ T8 ของ Volvo

 

ระบบส่งกำลัง เบนซ์เทเกียร์ 7 จังหวะของเดิมทิ้ง หันไปคบกับ 9 จังหวะ 9G-TRONIC แบบใหม่แทน อันที่จริง E 350 e ก็ชิงใช้เกียร์ 9 จังหวะไปก่อนแล้ว แน่นอนว่ามาพร้อมกับแป้น Paddle Shift +/- เกียร์ทุกรุ่นย่อยใน C 300 e แต่หน้าตาและวัสดุของแป้นชิฟท์เกียร์ใน AMG Dynamic จะดูสวยกว่า

อัตราทดเกียร์เท่ากับ C 220 d ทุกเกียร์

  • เกียร์ 1  = 5.354
  • เกียร์ 2 =  3.243
  • เกียร์ 3 = 2.252
  • เกียร์ 4 = 1.636
  • เกียร์ 5  = 1.211
  • เกียร์ 6  = 1.000
  • เกียร์ 7  = 0.865
  • เกียร์ 8  = 0.717
  • เกียร์ 9  = 0.601
  • เกียร์ถอยหลัง  4.798
  • อัตราทดเฟืองท้าย  2.82 (C 220 d จะใช้ 2.473 และ C 350 e ใช้เบอร์ 3.07)

นอกจากนี้ การที่เกียร์ของ C 300 e (รหัส HW9B 700) ต้องมีชุดมอเตอร์ไฟฟ้าสอดเอาไว้ก่อนถึงห้องเฟืองเกียร์ ทำให้เกียร์ทั้งลูกมีความยาวมากกว่าเกียร์ของ C 220 d อยู่ 108 มิลลิเมตร

 

การทำงานของเครื่องยนต์ มอเตอร์ และระบบชาร์จไฟกลับ จะควบคุมโดยสมองกลชุดใหม่ ซึ่งมีการปรับตรรกะในการส่งพลัง/ชาร์จพลังได้มีประสิทธิภาพขึ้น โดยที่ประมวลผลจากเครื่องยนต์ มอเตอร์ ความร้อนของเครื่องยนต์แลระบบไฮบริดต่างๆ ลักษณะการขับขี่ โดยมีจุดประสงค์เพื่อยืดระยะการทำงานด้วยไฟฟ้าให้ได้มากขึ้นและชาร์จไฟกลับผ่านระบบกำเนิดพลังงานจากการหน่วงเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น

ในตลาดต่างประเทศที่ระบบนำทางใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ รถเบนซ์ ไฮบริด เจนเนอเรชั่นที่ 3 จะมีการลิงค์ข้อมูลจากระบบนำทางและระบบชี้ตำแหน่งรถผ่านดาวเทียม จากนั้นจะนำข้อมูลสภาพถนน สภาพการจราจร บวกกับเรดาร์และกล้องบนรถเพื่อตรวจสภาพถนนล่วงหน้า และคิดคำนวณเรื่องการชาร์จไฟ และการสลับระหว่างโหมดไฮบริด/ไฟฟ้าให้เอง รู้แม้กระทั่งว่ากำลังจะขับเข้าเขตที่ควบคุมมลภาวะ ต้องปรับไปใช้ EV Mode ระบบก็จะเตรียมชาร์จไฟให้เองโดยที่คุณไม่ต้องทำอะไรเลย

แบตเตอรี่ที่ใช้ใน C 300 e ก็เป็นลูกใหม่ ขนาดเท่าเดิม แต่เพิ่มความหนาแน่นของพลังงานจนทำให้จุไฟได้ 13.5 kWh (C 350 e จะจุแค่ 6.38 kWh) ซึ่งคุณ แฟรงก์ ผู้บริหารของ Mercedes-Benz เคลมว่าระยะทางที่คุณสามารถวิ่งได้ด้วยพลังไฟฟ้าล้วน จะเพิ่มขึ้นจาก C 350 e ถึง 30% (ซึ่งก็แปลกดี เพราะเห็นแบตจุเพิ่มขึ้นตั้งเท่าตัว น่าจะได้ไกลกว่านั้น)

ระบบไฮบริดของ C 300 e มี 4 แบบ ซึ่งคุณสามารถเลือกการทำงานได้จากสวิตช์ข้างซ้ายของชุด Touchpad ที่คอนโซลกลาง

  • HYBRID: เป็นค่ามาตรฐาน ระบบจะคำนวณให้เองว่าเมื่อไหร่จะติดเครื่องยนต์ เมื่อไหร่จะวิ่งแบบไฟฟ้าล้วน
  • E-MODE: บังคับให้รถวิ่งโดยใช้เฉพาะไฟฟ้าสำหรับการวิ่งในเขตจำกัดมลภาวะ หรือย่องแอบเมียเข้าบ้าน ในโหมดนี้คันเร่งจะมีน้ำหนักแปรผัน กดไปถึงจุดหนึ่งแล้วมันจะหนืดสู้เท้า ถ้ากดต่อไป เครื่องก็จะติด เอาไว้ใช้เผื่อต้องการเร่งแซงฉุกเฉิน โดยไม่ต้องกดสลับโหมด ใน E-MODE ด้วยพลังไฟฟ้าเพียวๆ รถสามารถทำความเร็วได้ 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง
  • E-SAVE: เมื่ดกดปุ่มนี้ รถจะพยายามคงระดับไฟในแบตเตอรี่เอาไว้เท่าเดิม เติมทันทีเมื่อลด เหมาะสำหรับการเตรียมพลังไฟไว้ใช้เมื่อจำเป็น
  • CHARGE: เมื่อเข้าโหมดนี้ เครื่องจะติดเกือบตลอดเวลาเพื่อชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่

หมายเหตุข้อแรก ถ้าคุณอยู่ในโหมด Sport หรือ Sport + คุณจะไม่สามารถเลือก E-MODE ได้ เพราะในสองโหมดนี้จะบังคับให้เครื่องติดขึ้น หมายเหตุข้อสอง เมื่อคุณกดเลือก CHARGE เครื่องยนต์จะต้องทำหน้าที่ทั้งขับเคลื่อนและปั่นไฟ อัตราสิ้นเปลืองจะสูงขึ้นทันตาเห็น ให้เลือกใช้เมื่อจำเป็น

 

ส่วนเรื่องช่วงล่างและการบังคับควบคุม C-Class ทุกรุ่นจะใช้ช่วงล่างอิสระมัลติลิงค์ 4 ล้อ และสำหรับรถ C 220 d และ C 300 e รุ่นที่ขายอยู่ขณะนี้ จะไม่มีช่วงล่างถุงลม AIRMATIC แบบ C 350 e อีกต่อไป โดย C 220 d และ C 300 e Avantgarde จะได้สปริงเหล็กและโช้คอัพแบบ Comfort (Code 485) ส่วน C 300 e AMG Dynamic จะได้ช่วงล่างแบบ Lowered – Comfort ที่ใช้โช้คเดิม แต่สปริงเตี้ยลง 10 มิลลิเมตร ไม่ใช่จะเน้นเรื่องสมรรถนะ แต่เน้นความสวยงามพอดีซุ้มล้อซะมากกว่า

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม เบนซ์ถึงถอดช่วงล่างถุงลมออก และ E 350 e ปี 2019 ล็อตล่าสุด ก็เอาถุงลมออกจากรุ่น Avantgarde และ Exclusive เหลือไว้แต่ในรุ่น AMG Dynamic เรื่องนี้ถามตรงๆเขาคงไม่ตอบให้เสียหน้า แต่ผมพอคิดเหตุผลประกอบได้ว่า

  • ช่วงล่างถุงลม ไม่ได้มาฟรีๆครับ มันคิดเป็นมูลค่าราวสองแสนบาทหรือมากกว่านั้น
  • ลูกค้าตัวจริงของเบนซ์ไม่ได้มีความบ้ารถในเชิงเทคนิคมากขนาดนั้น บางคนซื้อและขับไปเป็นปียังไม่รู้เลยว่าช่วงล่างรถตัวเองปรับนุ่มหรือแข็งได้ แต่ลูกค้าตัวจริงมักจะรู้จักและชอบออพชั่นที่ปราดตามองก็เห็นได้เลย เช่นการตกแต่งภายในและภายนอก ถ้างั้นเอา AIRMATIC ออกแล้วใส่ของดีๆให้ดูโก้ไปเลยดิ..ผมเดาว่านั่นคือสิ่งที่เขาทำใน C 220 d AMG Dynamic
  • ช่วงล่างถุงลม ราคาไม่ถูกเวลาพัง และเมื่อพังรถจะทรุด และมันไม่ได้ต้องรอนาน พ้นห้าปีไปคอยตรวจคอยดูให้ดีละกัน

ระบบเบรกเป็นดิสก์ 4 ล้อพร้อมเบรกมือไฟฟ้าและระบบ Brake Hold สำหรับใช้ในเวลารถติด รถ C 300 e AMG Dynamic จะได้คาลิเปอร์หน้าสีเทา และจานเบรกหน้าแบบเจาะรูระบายความร้อน พวงมาลัยเป็นแบบเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้าปรับน้ำหนักตามความเร็ว ตามโหมด Dynamic Select และสามารถปรับน้ำหนักตามต้องการได้ในโหมด Individual

****การทดลองขับ****

พลังอันรุนแรงของ C 300 e นั้น เกินกว่าที่ผมคาดไว้มาก สำหรับรถน้ำหนักตัว 1.8 ตัน แล้วบอกว่ามี 320 แรงม้า…ม้าจากดาวไหนวะ? เพราะจากความรู้สึกหลังจากได้กระแทกคันเร่งออกตัวโดยมีผมและพี่เล็ก มนต์ชัยนั่งไปด้วย..มันไม่น่าจะใช่ละ 320 แรงม้าเหรอ? เหมือนกับ 350 หรือ 400 ม้ามากกว่า ขนาดบรรทุกน้ำหนักเราสองคน น่าจะมี 270 กิโลกรัมได้ แค่ดอกแรกก็จับเวลา 0-100 ได้ 6.16 วินาที ผมจึงตัดสินใจวนรถไปส่งพี่เล็กก่อน ที่โรงแรมดุสิตธานี บีช กระบี่ จากนั้นก็เอารถออกมาลองขับคนเดียวอีกครั้ง

และทำซ้ำหลายรอบ เพราะห่วงเรื่องสภาพถนนที่เป็นทางลาดบ้างชันบ้างราบบ้าง จึงต้องวิ่งซ้ำที่เดิมทั้งขาไปและกลับเพื่อดูว่าตัวเลขเท่ากันหรือไม่ และยังเตรียมชาร์จแบตเตอรี่เอาไว้ขั้นต่ำ 25% เพื่อตัดปัจจัยเรื่องแบตน้อย (ในรถ Plug-in ที่แบตจุเยอะกว่าไฮบริดธรรมดา 25% คือเลขที่พอสำหรับการทดสอบอัตราเร่งแล้ว จากที่เคยลองมาใน C 350 e)

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Comfort Mode – 5.98 วินาที

Sport + Mode – 5.54 วินาที

อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Comfort Mode – 4.51 วินาที

Sport + Mode – 3.98 วินาที

ทุกครั้งที่ตอกคันเร่ง แรงดึงจุกอก ความรู้สึกประหนึ่งมีบังฮาซันอาหารทะเลแห้งจังหวัดสตูลมาตะโกน “ได้แรง! ได้แรง! ได้แรง!” อยู่บนเบาะหลัง ผีสางตัวไหนมาถีบรถหรือไงมันถึงได้ดุเดือดเลือดพล่านขนาดนี้ เห้ย นี่รถบ้าน รถผู้ใหญ่นะเว้ย

และอันที่จริง การออกตัวใน C 300 e นั้น ต้องมั่นใจว่าสภาพถนนแห้ง ปราศจากฝุ่นและความชื้นใดๆ จึงจะมีโอกาสได้เลข 5.54 วินาที ผมไม่ได้ปิด Traction Control นะครับ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง กด Sport + แล้วกระแทกออก ล้อฟรีทิ้งยาว รถเลื้อยหันหน้าไปทางขวาจนต้องแก้พวงมาลัยช่วย ยกคันเร่งกลับแล้วสวนเข้าไปใหม่ เวลาออกมา 6.4 วินาทีซะงั้น

ส่วนช่วงเร่งแซง ..เหอะ..จะเอาช่วงไหน กดไปก็ระเบิดลงทั้งนั้น ในโหมด Comfort เวลาอยู่เกียร์สูงแล้วคิกดาวน์บางทีกว่าเกียร์จะลงให้ก็กินเวลาไปบ้าง ไม่ไวแบบพวกเกียร์ Porsche หรือ BMW แต่แม้กระนั้นก็เหอะ เพียง 4 วิกลางๆคุณก็เร่งจาก 80 ไปจบ 120 ได้สบายๆแล้ว ยิ่งถ้าใส่ Sport หรือ Sport + แล้วใช้เกียร์ให้รอบรออยู่แถว 3,000 พอตบคันเร่งปุ๊บ ดึงหน้าหงายทันที

เอาง่ายๆครับ อัตราเร่ง 0-100 เทียบกับ C43 AMG ตัวไมเนอร์เชนจ์ 390 แรงม้าที่น้องหมูเคยจับไว้ ถ้าเข้า Sport + และถนนแห้งจริง C 300 e ช้ากว่า C43 แค่ 0.24 วินาที และช่วง 80-120 ช้ากว่าแค่ 0.52 วินาที แล้วไม่ต้องไปเทียบกับ C 350 e ซึ่งทำไว้ 6.75 และ 4.78 วินาทีตามลำดับ เห็นหรือยังว่ารถถ่านพอตั้งใจทำให้มันแรง ก็แรงซะจนคนแอนตี้ไฮบริดอย่างผมยังต้องยอมยกนิ้ว (โป้ง) ให้

ส่วนในการขับขี่แบบทั่วไปนั้น เกียร์ 9 จังหวะลูกใหม่และระบบมอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ของมันได้ดี แต่รู้สึกแปลกใจตรงที่นึกว่าการตัดต่อระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์จะเนียนขึ้นกว่าเดิม แต่เอาเข้าจริงบางจังหวะที่กดคันเร่งแล้วเครื่องต้องติด กลับรู้สึกกระตุกไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่เลย นอกจากนี้ คันเร่งก็ดุเสียเหลือเกิน บางทีเราอยากจะขับแบบสบาย ใส่โหมด Comfort แล้ว กดคันเร่งลงไปจิ๊ดเดียว รถพุ่งยังกะหมาวิ่งออกไปไล่แมว ต้องเนียน สุภาพ อ่อนโยนกับคันเร่งมากหน่อย ในขณะที่ C 350 e/ E 350 e จะไปแบบผู้ใหญ่สุภาพได้ง่ายกว่า

พวงมาลัยน้ำหนักกำลังดี แม้ในโหมด Comfort ก็รู้สึกได้ว่ามีแรงหน่วงแบบที่ผู้ชายขับแล้วชอบ ผู้หญิงขับได้ แต่เมื่อเทียบกับ C 220 d ผมไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า เหมือนกับว่า C 300 e จะมีน้ำหนักหน่วงกลางมากกว่า ซึ่งทำให้เวลาวิ่งทางไกลความเร็วสูงไม่ต้องเกร็งมือมากเท่า แต่ถ้าคุณเข้าโค้งแล้วหมุนพวงมาลัยออกจากศูนย์กลาง มันก็ไวเท่ากันแหละ มีความคล่องตัว บาลานซ์ดีระหว่างการใช้งานในเมืองและบนทางด่วน เบนซ์ยุคใหม่พวงมาลัยไม่หนืดเหนื่อยยาวสาวข้ามโลกเหมือนสมัยก่อนแล้ว

แต่เรื่องการตอบสนองของแป้นเบรก ..อันนี้ต้องทำใจว่ายังไงก็ไม่ได้น้ำหนักที่เป็นธรรมชาติแบบรถดีเซลอย่าง C 220 d โดยเฉพาะช่วง 2 นิ้วแรกที่กด แป้นจะตอบสนองเหมือนฟองน้ำเก่าๆยู่ๆ เหมือนกดแป้นเปล่าๆ แต่มีก็แรงเบรกพอประมาณ แต่ช่วงครึ่งหลังไป แรงจับเบรกจะดี และมีแรงต้านเท้าสู้มากขึ้นแม้ความหนืดที่แป้นเบรกจะไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ตรงนี้อาจจะเป็นเรื่องของระบบเบรกไฟฟ้าแบบรถไฮบริดที่ต้องมีการแบ่งช่วงระหว่างการทำงานของระบบไฮดรอลิก และระบบนำพลังงานจากการเบรกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าป้อนกลับไปชาร์จ บางครั้งคอมพิวเตอร์มันก็กำหนดการทำงานไม่ได้ดังใจเรา

และโดยเฉพาะเมื่อวิ่งในแบบ EV Mode ที่เครื่องไม่ติด น้ำหนักเบรกดูจะยิ่งประหลาดกว่าตอนเครื่องติด บางครั้งรู้สึกไหลๆ แต่พอเพิ่มน้ำหนักเท้าไปหน่อยกลายเป็นหน้าทิ่ม แต่ถ้าคุณชินกับ C 350 e และ E 350 e มาก่อน คุณจะไม่คิดอะไรมาก มันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ

ช่วงล่าง….ดูเหมือนจะนุ่มนวลกว่า C 220d Avantgarde  ผมคิดว่าทางวิศวกรน่าจะเซ็ตช่วงล่างมาใหม่ให้รองรับกับน้ำหนักแบตเตอรี่ ทำให้มันเป็นรถที่ขับบนถนนขรุขระแล้วสบายกว่าที่คิด รู้สึกได้ว่าความตึงตังน้อยลงกว่า C 220d คล้ายกับมีคน 3-4 คนมาช่วยนั่งกดทับให้รถดิ้นน้อยลง

แต่พอเริ่มเล่นโค้งเท่านั้นแหละครับ เรื่องเปลี่ยนทันที ถ้าคุณคิดว่าคุณกำลังได้สปอร์ตซีดานพลังสูง 320 แรงม้ามาใช้..คิดใหม่นะ ช่วงล่างของมันไม่ได้มีความเป็นสปอร์ตเลย จริงอยู่ว่าเวลาสั่งให้เลี้ยวไปมา มันก็หันหน้าไปตามสั่ง แต่เมื่อใช้ความเร็วสูงขึ้น และหักพวงมาลัยแรงขึ้น อาการจะกลับไปคล้าย C 350e …ในโหมดช่วงล่างปรับนุ่มสุดนะ หรือแม้กระทั่งมาเร็วๆแล้วหักเปลี่ยนเลนอย่างไว ท้ายรถที่น่าจะหนักเพราะมีแบตเตอรี่ถ่วงกลับจะเบาหวิวขึ้นมาแล้วก็เหวี่ยงไปตามกฎวิชาฟิสิกส์ ..แต่เป็นฟิสิกส์ในแบบที่ผมไม่สนุกด้วยเท่าไหร่ จับช่วงไม่ได้ว่าเมื่อไหร่จะหน้าดื้อ เมื่อไหร่จะท้ายออก บางทีก็ไถลแบบโยกไปทั้งคัน ท้ายรถมีอาการยวบย้วยแบบลอยๆเมื่อเจอทางเปลี่ยนระดับแบบกระทันหัน แค่ไม่แย่เท่า E 220 d ที่ผมเคยขับเมื่อหลายปีก่อน

ผมจำความรู้สึกตอนเล่นโค้งกับ C 220d และ C 350e ได้ ถ้าให้พูดเรื่องความสนุก มั่นใจ และเป็นธรรมชาติ ไม้แว้งกัดเราในภายหลัง C 300e จะอยู่ตรงกลางระหว่างสองรุ่นนั้น แต่ค่อนไปทาง C 350e มากกว่า ในบรรดา C-Class ที่ขายอยู่ทั้งหมดเวลานี้ ล้วนใช้ยาง Michelin Primacy 3 ขนาดกว้าง 225 และ 245 มิลลิเมตรทั้งนั้น ดังนั้นเราตัดความได้เปรียบเสียเปรียบเรื่องยางออก C 220 d กลายเป็นรถที่เล่นโค้งได้สนุกสนาน เอาอยู่ หลุดลิมิตอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่ C 300 e รถแรงกว่ามากโข แต่ช่วงล่างไม่ได้รับกับแรงที่เพิ่ม และต่อให้คุณพยายามใช้ความเร็วเข้าโค้งเท่ากัน C 220 d ก็ไปได้เนียนและปลอดภัยกว่า

อัตราสิ้นเปลือง ยังค่อนข้างยากที่จะวัดเนื่องจากเราได้รถมาขับแค่วันเดียว ต้องอาศัยการดูตัวเลขจาก Trip Computer โดยผมเริ่มจากการกดสวิตช์ไฮบริดไปที่โหมด Charge เพื่อเติมกระแสไฟในหม้อให้มากกว่า 25% จากนั้นก็ปรับเป็นโหมด Hybrid และทำการทดสอบอัตราเร่ง หลายครั้ง เมื่อเสร็จสิ้นการทดสอบ ได้ค่า 16.6 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือ 6.02 กิโลเมตรต่อลิตร อืม..อย่าเพิ่งตกใจครับ เพราะเครื่องยนต์ต้องมีการชาร์จแล้วมาเจอทดสอบอัตราเร่งอย่างหนักหน่วง มันก็กินตามจำนวนม้านั่นแหละ

หลังจากนั้น ผมชาร์จแบตเตอรี่ให้กลับมาอยู่ประมาณ 25-30% อีกครั้งแล้วทดลองวิ่งแบบ Hybrid Auto ตัวเลขอัตราการสิ้นเปลืองดีขึ้นอย่างรวดเร็วจนลงมาเหลือ 9.5 ลิตร/100 กิโลเมตร (10.5 กิโลเมตรต่อลิตร) และเมื่อวิ่งเก็บระยะอีกสักพัก พยายามให้ระยะกิโลที่วิ่งด้วยไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมาจนใกล้เคียงกับระยะที่วิ่งโดยมีเครื่องติด หน้าจอโชว์ 7.5 ลิตร/100 กิโลเมตร (13.33 กิโลเมตรต่อลิตร)

แต่ในสภาพการขับของถนนจากเส้นทางแถวท่าอากาศยานกระบี่ มาจนถึงโรงแรมดุสิตธานีนั้น ไม่ใช่ทางวิ่งที่ตรงยาวโล่งแบบที่ J!MMY ทดสอบตามมาตรฐานปกติ ดังนั้นผมจึงไม่ค่อยแปลกใจกับตัวเลขระดับนี้เท่าไหร่ และดูเหมือนว่าเมื่อเทียบกับ C 350 e รุ่นที่แล้ว ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก ถ้า C 300 e จะได้เปรียบ ก็คงมาจากแบตเตอรี่ที่จุไฟฟ้าได้มาก ทำให้ดึงพลังไฟมาใช้ได้นานกว่า แต่ถ้าแบตเตอรี่เหลือน้อยมากแล้วต้องวิ่งไปชาร์จไป แทบไม่ต่างกันเลย

ใน C 300 e ที่ผู้บริหารเคลมว่าระยะ EV Range เพิ่มขึ้น 30% ในชีวิตจริง เมื่อเทียบกับรถที่ใช้แบตเตอรี่ Hybrid Gen 2 อย่าง E 350 e ที่ทางเบนซ์นำเข้ามาร่วมทริปด้วยนั้น เมื่อแบตเตอรี่คงเหลือ 50% E 350 e จะวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนๆได้ 9 กิโลเมตร แต่ C 300 e จะสามารถวิ่งได้ไกล 13 กิโลเมตร ดูแล้วก็น่าจะเพิ่มได้ตามที่เคลมจริง

ส่วนเรื่องการเก็บเสียงของรถ ก็เหมือนกับ C 220 d Avantgarde คือ ในขณะวิ่งความเร็วไม่เกิน 90 คุณจะได้ฟีลแน่นๆอย่างที่คาดหวังจากรถยุโรป แต่ถ้าเกิน 110 ขึ้นไป จะเริ่มมีเสียงลมกรีดตามขอบประตูดังเข้ามา เหมือนจะเจอเฉพาะกับ C-Class บอดี้นี้ เพราะใน E-Class ที่มาร่วมทริปด้วยนั้น เสียงลมกรีดที่ 110 จะเบากว่า ต้องวิ่งไปถึง 130 ถึงจะได้เสียงที่ดังเท่าๆกัน แต่ E-Class นั้นเสียงจากยางหลังขนาด 275 มิลลิเมตรจะดังเข้ามามากกว่า

****สรุป****

***ไม่ใช่รถ AMG แท้ แต่แรงมหาประลัยจนเริ่มอยากได้ช่วงล่างกับยางดีกว่านี้***

ในแง่ของการเป็นรถพรีเมียมที่ให้อุปกรณ์คุ้มราคา มีภาพลักษณ์ทางสังคมที่ดูดี มีมาดรถที่ถึงแม้จะไม่เข้าขั้นมหาเศรษฐี แต่ขับไปขอลูกสาวใครแต่งก็ดูมั่นใจในอนาคต C 300 e AMG Dynamic สอบผ่านอย่างไม่ต้องสงสัย มาดของมัน ยังไงก็เหมือนกับ C 350 e และ C 220 d AMG Dynamic ตรงที่ได้ความหรูสปอร์ตแบบผู้ใหญ่ แต่ไม่ดูแก่เกินไป ไม่ดูฉูดฉาดเป็นรถซิ่งแบบวัยรุ่น ก็ไม่แปลกที่หลายคนใช้ C-Class เป็นบันไดทางสังคมได้อย่างมีความสุข

แม้ว่าช่วงล่างถุงลมจะถูกถอดออกไป ความสบายในการโดยสารบนถนนแบบปกติก็ไม่ได้ลดลง คุณยังสามารถพาว่าที่พ่อตาแม่ยายและลูกสาวซึ่งเป็นเป้าหมายของคุณไปกินข้าวพร้อมกัน นั่งกลับบ้านแล้วไม่สะเทือนจนอ้วกแตก คุณต้องขับมันแบบตั้งใจเทียบจริงๆถึงจะรู้สึกว่า C 350 e ที่มีช่วงล่าง AIRMATIC สามารถเก็บซับรายละเอียดบางจุดบนถนนขรุขระได้ดีกว่า แต่การที่  C 300 e ใส่ล้อเล็กลงเป็น 18 นิ้วบวกกับยางแก้มหนากว่า ก็ชดเชยเรื่องความสะเทือนแบบธรรมชาติสปริงเหล็กได้ จะเสียก็ตรงที่บางท่านอาจจะมองว่ามันไม่เท่ห์เหมือนล้อ 19 ของ C 350 e หรือล้อ AMG แท้ของ C 220 d AMG Dynamic

ส่วนอุปกรณ์ภายในนั้น เกือบจะเหมือนกับ C 220 d AMG Dynamic วัสดุบางจุดเปลี่ยนแบบ แต่คุณได้แอร์ 3 Zone มาเพิ่ม มีลูกเล่นหน้าปัดจอสีขนาดใหญ่ เครื่องเสียงลำโพง Burmester เบาะไฟฟ้า คอพวงมาลัยปรับไฟฟ้า กล้องรอบคัน 360 องศา ระบบช่วยจอดรถ มี Cruise Control แบบเรดาร์ที่ปรับความเร็วตามรถคันหน้าได้โดยอัตโนมัติ และอื่นๆอีกมากมาย เรียกได้ว่าราคา 516,000 บาทที่เพิ่มมาจากรุ่น C 300 e Avantgarde นั้นก็พกของเล่นมาจนคนจ่ายเงินยินดีจะจ่าย ไม่รู้ว่าจะเอาอุปกรณ์อะไรใส่ไปอีกแล้ว

แต่เมื่อคุณส่งว่าที่พ่อตาแม่ยายกับว่าที่เจ้าสาวกลับถึงบ้านหลังมื้อค่ำ สิ่งที่พิเศษสุด และน่าจะเป็นจุดเด่นสุดของ C 300 e คือ คุณสามารถแปลงกายเป็นซาตานแห่งยางมะตอย วิ่งกระแทกคันเร่งล้อฟรีแบบรถอเมริกัน V8  (ระวังอย่าไปฟรีหน้าบ้านพ่อตา เดี๋ยวจะโดนเทขันหมากซะก่อน) เวลาเจอรถซิ่งมาขับกวนประสาท กดคันเร่งป้าบ ก็บ๊ายบาย ไปจอดกินเบอร์เกอร์คิงรอแล้วกัน หรือถ้าไปงานแดร็กแบบรถยุโรป ลองคิดดูว่าคุณสามารถเอา Mercedes-Benz หน้าตาเสี่ยๆ สภาพเดิมๆ ไป “ฆ่าเงียบ” กับรถซิ่งได้หลายคัน ผมเดาว่า C 300 e ใส่ยางหลังเหนียวๆหน่อยน่าจะเห็นเลข 13.xx วิ ได้ด้วยซ้ำโดยไม่ต้องโมฯอะไรเลย

และในยามที่คุณขับไปทำงานตามปกติ ก็ปลดปลั๊ก ขับออกจากบ้าน เอ็นจอยไปกับการขับแบบ EV ที่น่าจะพอให้คุณขับไป/กลับได้ในระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร แล้วกลับมาบ้าน เสียบปลั๊ก..เปิดกระป๋องน้ำอัดลมเย็นๆ ดู Mr. Iglesias บน NETFLIX จริงๆถ้าคุณทำงานไม่ไกลจากบ้านมากนัก คุณอาจไม่ได้ใช้พลังจากน้ำมันเลยก็ได้

แรงแบบน้องๆ C43 AMG เมื่อต้องการ…และประหยัดได้มากกว่า C 220 d ถ้ามีโอกาสได้ชาร์จไฟบ่อยและเดินทางครั้งละไม่เกิน 30-40 กิโลเมตร..คุณอยากได้อะไรมากกว่านี้อีกครับ?

ส่วนผม? อย่างแรกเลย อยากได้โช้คอัพที่มันคุมตัวรถได้ดีกว่านี้ แม้ว่าลูกค้าเจ้าหลักของ Mercedes-Benz จะซื้อ C 300 e เพราะอุปกรณ์มากกว่าเพราะความแรง แต่ไอเดียของการให้รถที่มีพละกำลังราวช้างตกมันขนาดนี้ มาประกบกับช่วงล่างและยางที่ดีแค่พอๆกับ C 220 d 194 แรงม้า..ผมออกจะเป็นห่วง โดยเฉพาะพวกนักขับใจร้อนที่ชอบซิ่งบนถนน แต่ยังไม่เคยเข้าคอร์สสอนการบังคับควบคุมรถที่ถูกลักษณะ เอะอะก็มุด เอะอะก็กระแทกเบรก กระชากพวงมาลัย ผมลองขับในสไตล์นั้นบน C 300 e แล้ว..บอกสั้นๆว่าถ้าผมมีเงินและซื้อมันมาใช้ สองอย่างแรกที่จะถูกทิ้งก่อนคือยาง และโช้ค แทบจะในทันที พลังและความแรงเพิ่มจาก C 350 e คนละโลก แต่กลับลดขนาดยางหลัง ใช้ยางแบบเน้นนุ่ม โอ้ย..ไม่ไหว

แต่ถ้าใครขับแบบเล่นเฉพาะทางตรง ไม่เน้นโค้ง ไม่บ้าพลัง ก็ใช้ช่วงล่างเดิมไปนั่นแหละ นุ่มสบายดีแล้ว

อีกสิ่งที่อยากได้ ก็คงจะเป็นเรื่องความทนทาน น่าไว้เนื้อเชื่อใจของส่วนประกอบที่เป็นไฮบริดทั้งหลาย ไอ้เรื่องแรง เรื่องประหยัด พอแล้วครับ ถ้าได้แบบ C 300 e นี่ประหยัดสมเหตุสมผลและแรงโคตรจะเกิดพอแล้ว แต่เรื่องความจุกจิกต่างๆ มันยังต้องอาศัยเวลาพิสูจน์ว่าจะแก้ปัญหาได้มั้ย ตั้งแต่ C 300 BlueTEC มาจนถึง C 350 e ยังไงก็จะมีเรื่องให้กังวลอยู่ ถ้ามันมีอะไรพังขึ้นมาทั้งๆที่รถยังใช้ได้ไม่ครบปี แบบนี้ลูกค้าจะเริ่มกลัว ลูกค้าเบนซ์ก็มักไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าเจอรถเสีย แล้วยังซวยซ้ำซวยซากซวยซ้ำซ้อนไปเจอบริการที่ไม่ประทับใจ แบบนี้เขาจะโวย และไม่ได้โวยแบบคนธรรมดาแน่นอน

เทคโนโลยีที่มีสมรรถนะสูง ก็คือเรื่องนึง มันคือสิ่งที่ทำให้ลูกค้าเซ็นจองรถในวันนี้ แต่ความประทับใจในบริการและความน่าเชื่อถือของรถ จะนำมาซึ่งใบจองใบที่สอง..สาม..และต่อๆไป นี่คือสิ่งที่เราต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ให้ชัดเท่าๆกับความแรงที่มันเพิ่มขึ้นจากไฮบริดเจนเนอเรชั่นก่อนๆ ทั้งนี้เพื่อความอยู่ยงแบบยั่งยืนของทั้งแบรนด์ เบนซ์, EQ Power และเทคโนโลยีไฟฟ้าที่จะมาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ไม้ใหญ่เก่าในป่าดงดิบล้ม ไม้เล็กบนผืนป่าด้านล่าง มีช่องรับแสงสุริยัน ก็จักเติบโตขึ้น

เราก็หวังว่าเมื่อสิ้นยุครถเครื่องสันดาปภายในล้วนๆไป เราจะยังมีไม้ใหม่จากผืนป่าอย่างเทคโนโลยีไฮบริด ที่พร้อมจะเติบโต และพัฒนาต่อไป ไม่ตายเสียก่อนกับคำว่าจุกจิก และราคาขายต่อตก

 

——////——-

 

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :

ฝ่ายประชาสัมพันธ์

บริษัท Mercedes-Benz (Thailand) จำกัด

เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ


Pan Paitoonpong

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน

ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในประเทศ เป็นของทีมช่างภาพ Mercedes-Benz Thailand และผู้เขียน

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com 28 มิถุนายน 2019

Pan Paitoonpong//Copyright (c) 2019

Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com

28 JUNE 2019

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are welcome! CLICK HERE!