คนเรายิ่งแก่ตัวลง..ดูเหมือนเวลามันยิ่งจะเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในกรณีของผมนั้นเวลา
20 ปี ผ่านไปเร็วกว่าที่ผมคิดไว้สมัยเด็กๆมาก..ในช่วงที่ฟองสบู่กำลังขยายตัว
อย่างสุดขีดช่วงปี 1990-1994 ผมมักได้รับโอกาสให้ติดสอยห้อยตามคุณพ่อ
เดินทางไปกับพนักงานของบริษัท 2-3 คนไปยังประเทศสิงคโปร์ เปล่าครับ เราไม่ได้
ไปเที่ยวเพียงอย่างเดียว จุดประสงค์หลักคือการเดินทางไปเจรจากับผู้ผลิต
ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ซึ่งบริษัทของเราจะสั่งมาประกอบขายในไทย พ่อไปทำธุระ
ส่วนผมไปเปิดหูเปิดตาบนแผ่นดินที่มีขนาดเล็ก แต่ทุกอย่างดูทันสมัย
บ้านเมืองสะอาด..ห้ามเคี้ยวหมากฝรั่ง..และถ้าพ่นสีบนกำแพงจะโดนโบยน่วม..
นั่นคือความทรงจำแรกของผมที่มีต่อประเทศปลายสุดแผ่นดินใหญ่ของทวีป
เอเชียแห่งนี้

เราพ่อ/ลูก มักมีโอกาสได้ไปสิงคโปร์ปีละ 1-2 ครั้งจนเศรษฐกิจตกต่ำในหลายปีต่อมา
บริษัทคอมพิวเตอร์ของพ่อต้องปิดกิจการลงไปในที่สุด และผมก็ไม่ได้ย่างเท้าลงบน
ประเทศนี้อีกเลยนับตั้งแต่ปี 1995 ทั้งๆที่ความจริงก็หลงใหลประเทศนี้อยู่พอสมควร
ฐานะทางบ้านเราไม่ได้ร่ำรวยนัก ผมไม่ได้มีโอกาสไปต่างประเทศบ่อยอย่างที่
หลายคนคิด หนังสือเดินทางของผมมีหน้าว่างเพียบ และถ้าหน้าไหนไม่ว่าง มันก็จะ
เป็นประเทศอื่น เช่น ลาว เมียนมาร์ ญี่ปุ่น หรือฮ่องกง

ใครจะไปนึกว่าผ่านมา 21 ปี ผมจะได้รับเชิญจากทาง Porsche Asia Pacific (PAP)
ให้มาลองขับรถ Porsche 911 Carrera S ใหม่ที่สิงคโปร์ นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ผม
จะได้พบกับเพื่อนเก่า 2 แบบที่ไม่ได้พบกันมานาน ทั้งประเทศปลายทาง.. และรถยนต์
911 คันล่าสุดที่ผมขับนั้นก็เป็น Carrera 2 รุ่นปี 2000 ซึ่งเจ้าของรถให้ผมลองขับ
เพื่อสำรวจความพร้อมก่อนขายต่อ (นี่ก็ขับไปเมื่อปีที่แล้ว) และรุ่นอื่นๆที่ได้ขับ
ก็ย้อนเวลาไปนานพอสมควร 911 ไม่ใช่รถประเภทแบบที่โผล่มาให้ผมขับได้ทุกเดือน
ดังนั้นทุกครั้งที่ได้ขับ มันคือประสบการณ์ที่พิเศษสำหรับผมเสมอไม่มากก็น้อย

2016_911CS_opening01p

ผมนึกกระหยิ่มยิ่มย่องอยู่ในใจพลางนึกภาพตัวเอง อัด 911 อย่างรื่นรมย์ไป
บนทางด่วนของสิงคโปร์ แต่ยังไม่ทันจะยิ้มจนเห็นฟัน คุณน้าหมู Teerapat
ของเราก็ส่งข้อความ Inbox มาบอกผมว่า

“สิงคโปร์เขาจำกัดความเร็วนะพี่ ในตัวเมือง 50 และบนทางด่วน
90 กิโลเมตร/ชั่วโมง”

เพื่อยืนยันสิ่งที่เขาบอก เจ้าหมูแกก็เอาลิงค์บทความที่พี่ฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ
แห่งไทยรัฐได้ไปขับ Panamera E-Hybrid มาให้อ่าน อ่านจบก็น้ำตาซึมเล็กน้อย
เพราะตอนแรกคิดไปเองว่าสิงคโปร์จะจำกัดความเร็ว 120 แบบเมืองไทย อีกทั้งเมือง
ของเขาเข้มงวดเรื่องกฎหมายมากขนาดไหนทุกคนคงทราบดี ดังนั้นการขับสไตล์
ผาดโผน หรือการใช้ความเร็วสูงเกินกฎหมายกำหนดนั้น..ลืมไปได้เลย!

อารมณ์เหมือนคนที่กำลังฝันดีแบบสุดๆ แล้วถูกปลุกให้ตื่นมาด้วยเรื่อง
ที่ไม่เป็นเรื่องเลยทีเดียว

2016_911CS_kranji

สิ่งนี้ทำให้ผมคิดอยู่นานว่าจะเขียนบทความลงเว็บ Headlightmag ดีหรือไม่
แต่ในเมื่อส่วนประกอบของรถนั้นมีมากกว่าแค่อัตราเร่ง และการขับในโหมดโหดร้าย
เราก็ควรให้โอกาสรถในการพิสูจน์ตัวเองในด้านอื่นๆบ้าง รถอย่าง 911 ที่เป็นรุ่น
Carrera นั้นไม่ใช่รถสายพันธุ์สนามแข่งแบบรุ่น GT3 และไม่ใช่รถที่สร้างมาโดย
คำนึงถึงพลังมหาศาลมากเท่ารุ่น Turbo หรือ Turbo S คนที่ขับรุ่น Carrera นั้นมีตั้งแต่
สุภาพสตรีไฮโซที่ชื่นชอบรถสปอร์ตแต่ต้องการรถที่ขับง่าย ขับสบาย เจอผู้ชายขับ
รถแต่งมาเกรียนใส่ก็ต้องลงแส้สั่งสอนได้ ไปจนถึงสุภาพบุรุษที่ต้องการรถพลังสูง
ระดับหนึ่ง แต่ต้องการนำมาเป็นรถใช้งานทุกวัน ขับเล่นปลดปล่อยอารมณ์ยามราตรีได้
และต้องสามารถแพ็คของพาแฟนสาวสวยเดินทางไปตากอากาศพัทยาหรือหัวหิน
ในช่วงสุดสัปดาห์ได้ด้วย

2016_911CS_leftfrontdiag

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ผมอยากทราบเรื่องหนึ่งก็คือการตอบสนองของเครื่องยนต์
Porsche 911 ที่คุณเห็นอยู่นี้คือ Carrera รุ่นแรกที่ได้ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ ซึ่งแม้
ตัวเลขพละกำลังจะออกมาสวยกว่ารุ่นเดิม แต่เราไม่แน่ใจว่ามันจะให้อรรถรสใน
การขับขี่เหมือนเดิมหรือไม่ ทั้งเรื่องการตอบสนองในรอบต่ำ และเรื่องสุ้มเสียง
ของเครื่องยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของโมเดลนี้มาโดยตลอด

ดังนั้น อะไรก็ตามที่ไม่ทำให้ผมเสี่ยงต่อการถูกจองจำในสิงคโปร์ ผมก็จะพยายาม
หาคำตอบให้ได้มากที่สุด ผมตั้งใจเอาไว้เช่นนั้น

 

PARTIAL CITY TOUR

ก่อนที่จะไปถึงเรื่องราวของรถ ผมจะเขียนประสบการณ์จากการเดินทางครั้งนี้บางส่วน
เอาไว้เผื่ออาจมีประโยชน์ต่อบางท่านที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว แม้ว่าเราจะมีเวลาสำหรับ
การเดินเที่ยวไม่นานนักก็ตาม ในการเดินทางครั้งนี้ ผมมีเพื่อนร่วมทริปเป็นบุคคลที่
หลายท่านอาจจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เขาคือคุณ สุรมิส เจริญงาม จาก Speed Channel
นั่นเองครับ

2016_01_Hotel

โรงแรมที่ทาง Porsche Asia Pacific จัดให้เราเป็นที่พักคือ The Fullerton Hotel
ตั้งอยู่บริเวณใกล้กับรูปปั้นสิงห์โตพ่นน้ำ (Merlion) แค่เดินข้ามถนนไป 10 นาทีก็ถึง
โรงแรมนี้มีประวัติความเป็นมายาวนาน..ด้วยความเซ่อซ่าของผม ค้นประวัติอ่านคร่าวๆ
ก็เห็นว่าโรงแรมนี้เปิดทำการในปี 2001 มารู้ในภายหลังว่าตัวอาคารนี้สร้างเสร็จตั้งแต่
ปี 1928 แล้วก็ถูกใช้เป็นอาคารทำการของหน่วยงานรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นไปรษณีย์สิงคโปร์
กรมสรรพากรสิงคโปร์ หรือหน่วยงานที่ดูแลด้านภาษี ก็เคยตั้งอยู่ที่นี่ จนปี 1997 กลุ่ม
Sino Land กับ Far East Organization เข้ามาซื้อ และเปลี่ยนเป็นโรงแรมระดับห้าดาว
สร้างโรงแรมใหม่โดยพยายามคงลักษณะสถาปัตยกรรมแบบ Colonial ของเดิมเอาไว้
ให้มากที่สด

ด้านทิศเหนือเป็นวิวแม่น้ำสิงคโปร์ มีพิพิธภัณฑ์ และ Victoria Theatre & Concert Hall
อยู่ใกล้ๆแค่ข้ามสะพานแขวนเล็กๆไป ตัวโรงแรมมีห้องหลายคลาสให้เลือก (เท่าที่ค้นๆ
ดูใน Agoda และในเว็บโรงแรม ราคาเริ่มต้นเกือบหมื่นบาทต่อคืนสำหรับห้องถูกสุด ส่วน
ห้องที่ผมนอน ซึ่งเป็นห้อง Quay Room นั้นราคาจะเพิ่มมาสูงจนชีวิตนี้ผมคงไม่ได้
กลับมานอนอีกเป็นแน่แท้ ห้องฝั่ง Quay Room นั้นมองออกไปจะเห็นทิศเหนือ
ฝั่งซ้ายของแม่น้ำคือ Boat Quay ซึ่งมีร้านอาหาร บาร์ ร้านนั่งเล่นวิวสวยตลอดเส้นทาง
ผมกับคุณสุรมิส เดินสำรวจฝั่งซ้ายของแม่น้ำในคืนแรกที่เราไปพัก..ของกินเยอะมาก
โดยเฉพาะปูทะเลเป็นๆจากศรีลังกา ตัวโตมากว่าปูทะเลแถวจันทบุรีสัก 4 เท่าเห็นจะได้
นอกจากนั้นยังมีบาร์นั่งเล่นเก๋ๆ และมีร้านสะดวกซื้อที่มีไอศกรีม Ben & Jerry ถ้วยเล็กๆ
ขายด้วย

และถ้าชอบนั่งเล่นในบรรยากาศชิลล์สุดๆ คุณสามารถเดินจากโรงแรม ข้ามสะพานแขวน
แล้วยึดฝั่งขวาของแม่น้ำเอาไว้ ก็จะสามารถเดินไปถึงบริเวณ Clarke Quay ที่มีแสงสี
ยามค่ำคืนสวยงามและไม่อึกทึกเกินไป..นี่คือวิวที่สามารถมองเห็นได้จากฝั่งห้องของผม
ส่วนห้องของคุณสุรมิส ผมเชื่อว่าอยู่อีกฝั่งหนึ่ง น่าจะเป็นห้อง Premier Quay ซึ่งจะมองเห็น
ถนน Collyer Quay และตึก Marina Bay Sands ชื่อดังได้ เรียกว่าวิวสวยกันคนละแบบ

อ้อ..ไอ้ที่เขียน Quay Quay ทั้งหลายนี่ น้องๆบางคนอาจยังไม่รู้ แต่มันอ่านออกเสียงว่า
“คีย์” นะครับ เป็นภาษาอังกฤษที่หมายถึงบริเวณริมน้ำที่เรือจอดกันเยอะๆ ถ้าคุณ
อ่านออกเสียงแบบอื่นและยืนยันจะอ่านแบบนั้นต่อไป ผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจาก
หัวเราะคิกคักในใจเล็กๆมั้งครับ

S_trip02

ในคืนแรก ผมออกเดินสำรวจบริเวณใกล้ที่พักโดยตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะไปตามล่าหา
ร้านขายเค้กช็อคโกแลตที่ชื่อ Awfully Chocolate ซึ่งตาบอม RhinoMango
ทีมตัดต่อของเราส่งโพยมาให้ บอกแค่ว่า “ถ้ามีโอกาส อยากให้ลองไปชิมดู”
ผมลอง Google ดูก็พบว่ามีร้านสาขาใกล้ๆที่ Robinson Raffles City ซึ่งอยู่ในระยะ
ที่คนอ้วนอย่างผมสามารถเดินถึงได้โดยไม่ตายกลางทาง จึงเอ่ยปากบอกคุณสุรมิส
ซึ่งเจ้าตัวก็มาเดินชมเมืองเป็นเพื่อนผมด้วยอีกคน

อันที่จริงเส้นทางเดินแบบสั้นๆก็ไม่ยาก แค่เดินไปทางทิศตะวันออก หาถนน
Stamford ให้เจอ แล้วเดินขึ้นทิศเหนือก็จบ หรือนั่งรถไฟใต้ดินจาก Raffles Place
ไปลงที่สถานี City Hall ก็ประหยัดเวลาได้เยอะแล้ว แต่เนื่องจากเราต้องการ
เดินชมเมือง ก็เลยเดินฝั่งซ้ายของแม่น้ำ ขึ้นเหนือไปจนถึงถนน North Bridge
ค่อยหันหน้าไปทางทิศตะวันออกจนไปถึงห้าง Raffles City ที่หัวมุม North Bridge
ตัดกับถนน Stamford

บนถนน North Bridge นั้นเอง ผมได้เจอสถานที่ซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตา มันคือตึก
Funan Centre ซึ่งในปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Funan Digitalife Mall ที่นี่เป็นอาคาร
รวมสินค้า IT คล้ายๆกับ Pantip Plaza ของบ้านเราแหละครับ พอเห็นชื่อแล้วนึกถึง
สมัยที่มาเดินหาผู้ค้าชิพคอมพิวเตอร์กับพ่อเมื่อ 21-25 ปีก่อน เราจะมา Funan
ไม่ก็ซิมลิ้ม สแควร์กันเป็นประจำ แต่ด้วยความที่ผู้คนสิงคโปร์ยุคใหม่ซื้อสินค้า
แบบออนไลน์กันมาก ความนิยมของ IT Mall แบบนี้ก็ลดลง Funan ซึ่งเปิดมา
ตั้งแต่ปี 1985 ก็จะถูกทำลายทิ้งโดยมีกำหนดเริ่มทุบ 30 มิถุนายน 2016 นี้

..นี่ล่ะมั้ง..ความเป็นไปของโลกที่มีเกิดและมีดับไปตามยุคสมัย

S_trip03

อะไรจะดับสูญก็ดับ แต่ความหิวไม่เคยดับสำหรับผมครับ เมื่อเดินมาถึง Raffles City
คุณสุรมิสขอตัวแยกไปเดินดูสินค้าเสื้อผ้าและรองเท้า ส่วนผมก็ตามหาร้านที่เจ้าบอม
บอกจนเจอว่าอยู่ที่ชั้นใต้ดินลงไป 1 ชั้น ที่มีร้านขายอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ตนั่นล่ะ
ร้าน Awfully Chocolate ที่นี่ไม่มีที่นั่งนะครับ เหมาะไว้สำหรับซื้อกลับบ้านอย่างเดียว
ผมก็เลยจัดการซื้อไอศกรีมช็อคโกแลตมาลอง (ราคา 4.90 ดอลลาร์สิงโปร์:SGD)
ได้มา 2 ก้อนขนาดเท่าๆ Swensen’s บ้านเรา จ่ายไปร้อยกว่าบาทไทย แต่รสชาติดี
ไม่เข้มหวานบาดคอ แต่ไม่เจือจางเกินไป อยากจะกลับไปซื้ออีกสักถ้วยแต่กลัวรุ่งเช้า
จะต้องวิ่งเข้าห้องน้ำเหมือนสมัยไปทริปไต้หวัน

ส่วนเค้ก..อื้อหือ มันคือของเด็ดของเขาเลยครับ ทุกชิ้นที่วางไว้นี่ คนคลั่งลัทธิ
บูชาคาเคา (Cocoa)แบบผมแทบอยากจะจกมาทุกแบบ แต่ท้ายสุดก็เอามา
แค่เท่าที่เห็น ไอ้ที่กลมๆสีน้ำตาลนั่นคือ Chocolate Tart ซึ่งรสชาติหวานที่สุด
ในกลุ่ม ส่วนก้อน 3 เหลี่ยมคือ Mille Crepe ซึ่งกลิ่นช็อคโกแลตจะบางลง ความ
หวานจะน้อยลง มีกลิ่นคล้ายยีสต์ในขนมปังเด่นขึ้นมาแทน ส่วนก้อนสี่เหลี่ยมนั่น
คือ Stacked Cake ซึ่งรสชาติออกจะธรรมดา ถ้าใครชอบเค้กช็อคโกแลตเข้มจัดๆ
และไม่กลัวความหวาน ผมว่าในไทยเราก็มี Devil Cake ของร้าน PapaPond ที่
อร่อยสู้กับของสิงคโปร์ได้สบายมากครับ

ผมไม่ได้กินเค้กพวกนี้หมดที่หน้าร้านหรอกครับ ผมสั่งใส่กล่องแล้วก็เดินถือ
ปุเลงๆกลับมาทานที่โรงแรม แปลงกายเป็นพริตตี้หนัก 150 กิโลกรัม หยิบ
เค้กทานทีละชิ้นแล้วก็ Live Facebook ไปด้วย สนุกดี สมัยก่อนผู้ใหญ่สอนว่า
เวลากินอย่าพูด ผมแหกกฎโดยการกินไปพูดไปแล้วดันมีคนเข้ามาดูอีก
หลายสิบคนด้วย แต่จะคุ้มกับค้าเค้ก 4 ก้อนตีเป็นเงิน 800 บาทไทยหรือเปล่า
ผมยังรู้สึกตะหงิดๆอยู่

S_trip04

ในคืนที่ 2 (ซึ่งเป็นช่วงที่กลับมาจากการลองรถแล้ว) ทาง Porsche ได้จัดตั๋วนั่งเรือ
Singapore River Cruise ให้ผมกับคุณสุรมิสไว้ แต่หลังจากอาหารเย็น คุณมิสขอตัว
ขึ้นไปเคลียร์งานบนห้อง ผมเลยขออนุญาตลุยเดี่ยว เดินสะพานกระเป๋าแล้วก็
มาที่ท่าเรือข้างโรงแรม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่า กว่าเรือจะมาก็น่าจะเป็นชั่วโมง
และแนะนำให้ผมเดินไปขึ้นที่ท่าเรือตรงแถวๆรูปปั้น Merlion ซึ่งจะมีเรือมาแวะจอด
บ่อยกว่า พอผมพยักหน้าแล้วเดินออกมาได้ 5 นาที ฝนสิงคโปร์ก็มาทักทายในยาม
ค่ำคืน แต่ผมไม่ได้เลิกล้มความตั้งใจหรอกครับ

ผมเดินลอดใต้ถนน Esplanade Drive มาโผล่แถวๆตัว Merlion ถ้าคุณเป็นชาย
และมาเที่ยวสิงคโปร์คนเดียวแล้วอยากเจอสาวๆน่ารักๆโมเอะอายิชิวาว่า ผมแนะ
ให้เดินมาแถวๆนี้เลยครับ สาวไทยน่ารักๆเพียบ ผมก็โรคจิตแกล้งปลอมตัวเป็น
คนท้องถิ่นพูดภาษาอังกฤษสำเนียง Singlish แซวกึ่งผูกมิตรคนนั้นคนนี้เป็นการ
คลายเครียดรอเวลาที่เรือเทียบท่า จากนั้นก็นั่งเรือ วนขึ้นทิศเหนือชมแสงสี
ริมแม่น้ำโดยมีเสียงบรรยายภาษาอังกฤษหญิงที่ค่อนข้างฟังดูน่าหมั่นไส้เหมือน
เซลส์ขายบริการฟิตเนสเจ้าที่เจ๊งไปนานแล้วเจ้าหนึ่งขับกล่อมไปตลอดทาง
เราไปกลับลำเรือกันแถวๆ Clarke Quay (คลาร์กคีย์นะครับ ไม่ใช่คลาร์ก ค..)

จากนั้นเรือก็จะแล่นย้อนกลับมาทางปากอ่าว ผ่านบริเวณ Clifford Pier ผ่าน
อาคารตะปุ่มตะป่ำคล้ายลูกทุเรียน ผ่าน Marina Bay Sands แล้วก็ไปจอดส่ง
นักท่องเที่ยวลงที่ฝั่ง Marina นั่นเอง ถ้าใครไม่ลง เขาก็จะพากลับมาที่ท่าเรือ
ตรงใกล้ๆ Merlion แบบเดิม..แม้ฝนจะตกปรอยๆ และมีเด็กขี้แยทำลาย
บรรยากาศไปบ้าง แต่การที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่หน้าตาเหมือน
คุณยิปโซกับคุณยิปซี (มากันสองคนนะครับ) นั่งตากฝนข้างๆเป็นเพื่อน มีกลิ่น
น้ำหอมกับเครื่องสำอางค์ปนๆกลับกลิ่นฝนบางๆ..ถึงเป็นไข้พี่ก็ว่าคุ้มวะ

 

BRIEF HISTORY OF CARRERA CARS

porsche_911_carrera_rs_2.7_sport_31

ผมคงไม่ร่ายประวัติของ 911 ทุกรุ่นให้ท่านอ่านในบทความนี้ เพราะอย่าลืมว่ารถ
อายุยืนอย่าง 911 นั้นขายมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ แม้จะเปลี่ยนแพลทฟอร์มหลัก
ไปแค่ 3 ครั้งแต่ก็มีรุ่นย่อยและอัพเดทหลายครั้ง ดังนั้นจึงจะย้อนดูประวัติของรถตระกูล
Carrera ทั้งหลาย และไม่นับพวก Carrera GT กับ Carrera Speedster ซึ่งเป็นรถพิเศษ

คำว่า Carrera นั้น เป็นภาษาสเปน แปลว่าการแข่งขัน Porsche เอาชื่อนี้มาจาก
รายการแข่ง Carrera PanAmericana ในเม็กซิโก ซึ่งพวกเขาเคยชนะการแข่งใน
คลาสรถสปอร์ต ต่อมาก็เอามาตั้งเป็นชื่อรถแข่งรุ่น 356 Carrera แล้วท้ายที่สุดก็
นำมาใช้กับรถตระกูล 911 เริ่มด้วยรุ่น 911 Carrera RS 2.7 ปี 1972 อย่างที่เห็นในภาพ

รถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับแต่งใหม่ ในตัวท้อปของรุ่นธรรมดาอย่าง 911S
สมัยนั้นจะใช้เครื่องยนต์ 2,341 ซี.ซี. (แต่ดันถูกเรียกเหมาเป็น 2.4 ลิตร) มีพลังทั้งสิ้น
190 แรงม้า (PS) ดังนั้นพอมาเป็นรถพิเศษอย่าง Carrera RS จึงต้องขยายความจุเป็น
2.7 ลิตร พละกำลังเพิ่มเป็น 210 แรงม้า (PS) นอกจากนี้ยังได้เครื่องทรงองค์แต่ง
ภายนอกอย่างเช่นหางหลังตูดเป็ด ปรับปรุงช่วงล่างให้มีความแข็งหนึบขึ้น ติดตั้งเบรก
ที่มีขนาดโตขึ้น

Carrera RS รุ่นแรก แบ่งการตกแต่งออกเป็น 2 แบบคือรุ่น RS Touring ที่ติดตั้งอุปกรณ์
อำนวยความสะดวกครบ สำหรับลูกค้าทั่วไป ตัวรถหนัก 1,075 กิโลกรัม และอีกรุ่นก็คือ
Sport Lightweight ซึ่งลดน้ำหนักลงอีก 100 กิโลกรัมด้วยการใช้กระจกบาง และเหล็ก
ตัวถังที่บางลงบางจุด ถอดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นออก ทั้ง 2 รุ่นรวมกันมียอดจำหน่าย
1,580 คัน ทำให้จัดเป็น Porsche 911 รุ่นที่หายากและน่าสะสมรุ่นหนึ่ง

porsche_911_carrera_2.7_coupe_181

ในปี 1974 911 ได้มีการปรับเปลี่ยนทรงของกันชนหน้าใหม่เพื่อให้รองรับ
การกระแทกที่ความเร็วต่ำได้ดีขึ้น รถตระกูล Carrera ก็ได้อานิสงส์ไปด้วย
แต่พวกเขาเลิกจำหน่ายรุ่น Carrera RS แล้วเปลี่ยนไปใช้ชื่อว่า Carrera 2.7
ธรรมดาแทน แต่เครื่องยนต์กลไกร่วมถึงเกียร์รุ่นเก่ารหัส 915 ก็ยกมาจาก
Carrera RS Touring นั่นเอง แรงม้าจึงอยู่ที่ 210 ตัวเท่าเดิม

ต่อมา ในปี 1976 หลังจากที่เปิดตัวรุ่น 911 Turbo (930) รุ่นแรก Carrera
ก็ได้รับผลบุญด้วยโดยที่ Porsche ใช้ข้อเหวี่ยงและชิ้นส่วนท่อนล่างของเครื่อง
แบบเดียวกับ 930 แต่ไม่มีการติดตั้งเทอร์โบ ทำให้ได้ความจุเพิ่มจาก 2.7
เป็น 3.0 ลิตร ขยายขนาดวาล์วไอดี/ไอเสียเพิ่มด้วย แต่แรงม้ากลับลดลง
จาก 210 เหลือ 200 ตัวถ้วนๆ แต่แรงบิดมาให้ใช้เร็วกว่าเดิม ขับสนุกขึ้น
รถ Carrera 3.0 นี้ขายอยู่แค่เพียงปีเดียวเท่านั้น

porsche_911_sc_3.0_coupe_81

ในปี 1978 Porsche เปลี่ยนชื่อรุ่นจาก Carrera เป็น “SC” ซึ่งสร้างความสับสน
พอสมควรเพราะหลายคนนึกว่าเลิกยุ่งกับชื่อ Carrera แล้ว แต่อันที่จริง ตัวอักษร
SC มันก็ย่อมาจาก “Super Carrera” นั่นแหละ!

911 SC ยังใช้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร หัวฉีดกลไก K-Jetronic เหมือนเดิม แต่เพราะ
ช่วงนั้นเป็นยุควิกฤติการณ์น้ำมันขาดแคลนต่อเนื่องกันมานานหลายปี รถโมเดลปี
1978 จึงถูกปรับจูนให้กินน้ำมันน้อยลง ส่งผลให้แรงม้าถอยลงไปจนเหลือแค่ 180 PS
(น้อยกว่า 911S 2.4 ปี 1972 เสียอีก) แต่ในภายหลัง Porsche ก็ใส่ม้ากลับเข้าไป
ในเครื่องยนต์ จาก 180 เป็น 188 และจบที่ 204 PS ในช่วงหลัง

แต่เดิมนั้น 911 ที่เป็นรุ่น Carrera มักจะเป็นรุ่นพิเศษที่มีพลังสูงกว่าปกติ แต่นับจาก
รุ่น SC เป็นต้นไปนั้น ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า Porsche จะให้รุ่น Carrera เป็นรถระดับ
เริ่มต้น (Entry Level) ของ 911 ในขณะที่ 911 Turbo จะเป็นสุดยอดทั้งเรื่อง
ความหรู ความแรง และความแพง 911SC รับหน้าที่นี้ไปจนหมดอายุการตลาด
ของมันในปี 1983

ในช่วงอายุขัยของ 911SC นั้น ถือเป็นช่วงเวลาตัดสินชะตาของรถโมเดลนี้ บางท่าน
อาจทราบอยู่แล้วว่าอันที่จริง Porsche ตั้งใจจะ “ฆ่า” 911 ทิ้งตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ
ที่ 70s แล้ว พวกเขาสร้าง 928 มาเพื่อแทนที่ 911 และคิดจะปล่อยให้ Porsche
เครื่องวางหลังระบายความร้อนด้วยอากาศสูญพันธุ์ไปในช่วงต้นยุค 80s แต่เมื่อ
นาย Peter M. Schutz ได้มาเป็น CEO ของ Porsche ในปี 1981 เขาเดินเข้าไป
ในห้องทำงานของ Dr. Helmut Bott ซึ่งเป็นผู้บริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์

Peter เหลือบไปเห็นตารางบนผนังที่โชว์แผนการผลิตของรถรุ่นต่างๆ ไม่ว่า
จะเป็น 944, 928 หรือ 911 แต่เส้น Timeline การผลิตของ 911 สิ้นสุดลงในปี
1981 เมื่อเขาเห็นดังนั้น เลยบอกว่า “ไม่ใช่ละ…ต้องนี่…อย่างงี้” แล้วก็หยิบปากกา
มาร์กเกอร์สีดำลากเส้นบนตาราง ต่อชีวิตให้ 911 แถมยังกวนส้นด้วยการลากเส้น
จนเลยตารางออกไปอีก “เราจะไม่เลิกผลิต 911..เข้าใจตรงกันนะท่าน”

porsche_911_carrera_3.2_clubsport_coupe_61

ดูเหมือนความตั้งใจของ Peter Schutz จะได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการ
บริหาร 911 ได้รับไฟเขียวให้อยู่ต่อแถมยังได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นจนภายหลัง
มันมีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่า 928 ที่ถูกสร้างมาแทนที่มันเสียอีก

ก้าวเข้าสู่ปี 1984 Porsche ก็ตัดสินใจเลิกใช้ชื่อ SC แล้วหันมาปะชื่อรุ่น
Carrera อีกครั้ง มาคราวนี้ปรับปรุงชิ้นส่วนและกลไกเพิ่มเติมไปหลายอย่าง
เพิ่มความจุเครื่องยนต์จาก 3.0 เป็น 3.2 ลิตร เพิ่มพลังเป็น 234 แรงม้า (PS)
ซึ่ง Porsche เคลมว่า 80% ของเครื่องยนต์เป็นชิ้นส่วนใหม่ เปลี่ยนระบบจ่ายน้ำมัน
เชื้อเพลิงจากหัวฉีดกลไก K-Jetronic เป็นหัวฉีดไฟฟ้า L-Jetronic นอกจากนี้ยังได้
เปลี่ยนระบบส่งกำลังจากเกียร์ธรรมดารหัส 915 ที่ใช้มานานกว่าทศวรรษ มาเป็น
เกียร์ใหม่จาก Getrag รุ่น G50

การปรับเสริมสมรรถนะ ส่งผลให้ 911 Carrera 3.2 สามารถทำอัตราเร่ง 0-100
กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลา 5.4 วินาที ซึ่งถือว่าเร็วมากสำหรับรถสปอร์ต
ปี 1983 และยังแรงชนิดที่วิ่งไล่กับ Carrera รุ่นใหม่ๆที่ตามมาหลังจากนั้นได้
ไปจนถึงรุ่นหลานเลยทีเดียว

และถ้านั่นยังแรงไม่พอ Porsche ยังทำรุ่น Carrera Club Sport ที่ถอดอุปกรณ์
อำนวยความสะดวกที่ไม่จำเป็นออกจนน้ำหนักเบาลงอีก 70 กิโลกรัม และปรับ
ECU ให้สามารถลากรอบได้สูงขึ้นกว่ารุ่นปกติ

Carrera 3.2 ลิตร ได้รับความนิยมค่อนข้างสูง และสามารถสร้างยอดจำหน่าย
ทั่วโลกได้ 76,000 คัน ในปัจจุบันยังถือว่าเป็นรถ 911 รุ่นคลาสสิคที่ผู้คนใน
ยุโรปมักเสาะหา เพราะยังมีเส้นสายตัวถังดูเหมือนรถยุคเก่า แต่กลไกหลาย
ต่อหลายอย่างถูกปรับปรุงให้มีความทนทานมากขึ้น จุกจิกน้อยลงกว่ารุ่นก่อนๆ

 

porsche_911_carrera_4_coupe_us-spec1

เข้าสู่ช่วงปลายยุค 80s คอมมิวนิสต์โซเวียตล่มสลาย กำแพงเบอร์ลินถูกทุบ
โลกของรถสปอร์ตก็เดินหน้าไปไม่หยุดยั้ง Porsche เริ่มมองเห็นศักยภาพ
ของคู่แข่งรายใหม่ทั้งจากโลกตะวันตกและตะวันออก และเริ่มคิดปรับปรุง
รถของตัวเองให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ในช่วงปลายปี 1989 นั้นเอง Porsche จึงได้
ทำการเปิดตัว 911 รหัสตัวถัง 964

ครั้งนี้มาแปลก และมากับเทคโนโลยีใหม่ พวกเขาเผยโฉม 911 Carrera 4
ซึ่งใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาเป็นรุ่นแรก หลังจากนั้นปีต่อมาจึง
เปิดตัวรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังที่ใช้ชื่อว่า 911 Carrera 2

รถโฉม 964 นั้นมีหน้าตาภายนอกที่ดูกลมเกลี้ยงทันสมัยขึ้น แต่ดีไซน์หลัก
โดยเฉพาะส่วนประตูกับหลังคายังคงสืบทอดแนวทางเดิมที่ขายมากว่า 2 ทศวรรษ
สปอยเลอร์หลังของ Carrera 2 และ 4 เป็นแบบที่กางออกโดยอัตโนมัติเมื่อใช้
ความเร็วสูง และในยามปกติจะพับเก็บราบไปกับแนวฝากระโปรง
964 เป็น 911 รุ่นแรกที่เปลี่ยนชุดรองรับน้ำหนักรถจากทอร์ชั่นบาร์เป็นคอยล์สปริง
แถมยังเป็นรุ่นแรกที่มีการติดตั้งระบบเบรก ABS และพวงมาลัยเพาเวอร์อีกด้วย
สำหรับเครื่องยนต์นั้น ก็ถูกขยายเพิ่มจาก 3.2 เป็น 3.6 ลิตร พละกำลังเพิ่มเป็น
250 แรงม้า (PS) และเพื่อความสบายในการขับ Porsche ได้เพิ่มระบบส่งกำลัง
แบบเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic 4 จังหวะ มีฟังก์ชั่นเล่นเกียร์ +/- มาให้ นับเป็น
ค่ายรถเจ้าแรกๆที่ทำเกียร์แบบนี้มาให้ลูกค้าเลือก ในภายหลังออพชั่นนี้กลายเป็น
ที่นิยมและกลายเป็นของธรรมดาที่พบได้ในรถทั่วไป

สำหรับผู้ที่นิยมความแรง ในปี 1992 ก็มีรุ่น Carrera RS ซึ่งใช้เครื่อง 3.6 ลิตร
ปรับเพิ่มพลังเป็น 264 แรงม้า ถอดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นออก และปรับช่วงล่าง
ให้เตี้ยลงอีก 40 มิลลิเมตร มีหางหลังขนาดใหญ่ติดตายตัวและล้ออัลลอย 3 ชิ้น
ปี 1993 มีรุ่นพิเศษที่ผลิตจำนวนจำกัดมาก ขยายความจุเป็น 3.8 ลิตร พละกำลัง
สูงถึง 304 แรงม้า เป็นรถสะสมหายากที่ราคาปัจจุบันแพงกว่าตอนเปิดตัวขาย
หลายเท่า

 

porsche_911_carrera_s_3.6_coupe_21

หลังจากที่ 964 ขายได้สักพัก โลกของรถสปอร์ตเริ่มสั่นคลอนจากการปรากฏตัว
ของ Honda/Acura NSX ซึ่งเป็นรถที่ขับง่าย เข้าใจชีวิตของคนใช้รถสปอร์ต
ที่ไม่ได้อยากจะใช้รถที่เสียงดัง พยศ มีความท้าทายในการขับขี่ มันเป็นรถที่
จะขับใช้งานก็สบาย จะขับให้เร็ว ก็เร็วได้อย่างกลัว Porsche จึงพยายามมอง
ความต้องการของลูกค้าให้ลึกขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็อยากรักษาเอกลักษณ์ของ
911 เอาไว้ให้ครบถ้วน ผลที่ได้ก็คือ 911 โฉม 993 ซึ่งเผยโฉมในช่วงปี 1993

993 Carrera มีทั้งรุ่นขับหลังขายในชื่อ Carrera (ไม่มีเลข 2) และรุ่นขับเคลื่อน
4 ล้อในชื่อ Carrera 4 เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นบล็อค M64 ที่พัฒนาต่อเนื่องมาจาก
964 ความจุยังอยู่ที่ 3.6 ลิตร แต่ปรับปรุงระบบท่อไอเสีย ระบบจ่ายน้ำมันและ
กล่อง ECU ใหม่จนได้แรงม้าเพิ่มเป็น 272 แรงม้า (PS)

นอกจากเครื่องยนต์แล้ว สิ่งที่ทำให้ 993 เด่นกว่ารถรุ่นเดิมคือช่วงล่างหลัง
แบบมัลติลิงค์ ซึ่งออกแบบมาให้ยึดเกาะถนนได้ดีขึ้น ลดอาการท้ายปัดเวลา
ถอนคันเร่งยามเข้าโค้งแรงๆได้ ทำให้กลายเป็นรถที่ขับง่ายขึ้นสำหรับมือใหม่
และเป็นรถที่มือชั้นเซียนสามารถขับในสนามได้เร็วยิ่งขึ้น

ในปี 1995 เครื่องยนต์ M64 ได้รับการพัฒนาอีกขั้นให้มีระบบท่อไอดีแปรผัน
VarioRam ทำให้มีแรงบิดดีขึ้นตั้งแต่ต้นยันปลาย และมีเสียงดูดอากาศโหดขึ้น
เวลาลากรอบสูง อีกทั้งยังทำให้แรงม้าเพิ่มเป็น 286 PS ส่วนรุ่นเกียร์อัตโนมัติ
Tiptronic ก็ได้ปุ่มเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยเพิ่มเข้ามา

นอกจาก Carrera และ Carrera 4 แล้ว ยังมีรุ่นพิเศษเน้นความแรงอย่าง
Carrera RS เช่นเดียวกับสมัย 964 รุ่นนี้จะใช้เครื่องยนต์ 3.8 ลิตร 300 แรงม้า
มีหางหลังขนาดใหญ่ติดตายตัว และล้ออัลลอยทำจากแม็กนีเซียม 3 ชิ้นยิงหมุด
รอบล้อแบบที่หาดูได้ยากแล้วในรถโรงงานสมัยนี้

ส่วน Carrera S/Carrera 4S นั้นตามออกมาในช่วงปี 1997 มันคือรถที่ใช้บอดี้
ภายนอกแบบลำตัวกว้างของรุ่น Turbo แต่ไม่มีหางหลังปลาวาฬ และใช้เครื่อง
3.6 ลิตร 286 แรงม้าแบบเดียวกับรุ่นธรรมดานั่นเอง

993 ได้รับการขนานนามว่าเป็น 911 ที่ดีที่สุด..ไม่ใช่ในเชิงของสมรรถนะตัวเลข
ต่างๆ แต่เป็นเพราะมันคือจุดที่สมดุลย์ที่สุดระหว่างความคลาสสิคของ 911
ยุคเก่า (กระจกหน้าตั้ง กระจกหลังลาด ท้ายเป็นกบ และเป็นรุ่นที่ระบายความร้อน
ด้วยอากาศเป็นรุ่นสุดท้าย) เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ (เครื่องหัวฉีดไฟฟ้า อุปกรณ์
ความปลอดภัยครบครัน และช่วงล่างหลังมัลติลิงค์)

porsche_911_carrera_coupe_1

996 เปิดตัวในปลายปี 1998 นำร่องด้วยรุ่น Carrera ขับหลัง และ Carrera 4
นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของรถตระกูล 911 เพราะมันถูกออกแบบขึ้นใหม่
ทั้งคันโดยมีแค่ช่วงล่างหน้า/หลัง และเกียร์เท่านั้นที่เอาของ 993 มาปรับปรุงเพิ่ม
บอดี้ภายนอกออกแบบโดย Pinky Lai ซึ่งเป็นนักออกแบบชาวฮ่องกงที่รับผิดชอบ
ดีไซน์ของ Boxster และ Cayman รุ่นแรกด้วย

996 ใช้เครื่องยนต์แบบระบายความร้อนด้วยน้ำเหมือนรถทั่วไป ความจุ 3.4 ลิตร
พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VarioCam ให้แรงม้าสูงสุด 300 แรงม้า (PS) ในรุ่น
Carrera และ Carrera 4 และเครื่องยนต์ใหม่บล็อคนี้เองที่สร้างตำนาน IMS
Bearing Failure (แบริ่งชาฟท์ขับโซ่เพลาลูกเบี้ยวสึก) ในขณะที่รถรุ่น GT3
และ Turbo ซึ่งยังใช้เสื้อสูบแบบเดียวกับรถรุ่นเก่าไม่มีปัญหานี้

ลูกค้าของ Porsche จำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่ชอบรูปทรงของ 996 ทั้งๆที่มันมี
ความทันสมัยขึ้นมากกว่าแต่ก่อน นั่งสบายและถูกหลัก Ergonomics มากขึ้น
ในหลายจุด สาเหตุก็เพราะการพยายามควบคุมปัจจัยทางการเงินตามนโยบาย
ของ CEO Wendelin Wiedeking ทำให้ส่วนหน้าของรถรวมถึงภายในมีลักษณะ
เหมือนกับ Boxster ซึ่งเป็นรถระดับราคาถูกกว่า แต่เชื่อเถอะว่าพวกเขาจำเป็น
ต้องทำ เพราะ Porsche ในช่วงนั้นสถานการณ์ทางการเงินกำลังย่ำแย่

แต่ไม่ว่าใครจะตำหนิอย่างไร ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกลับถูกใจลูกค้า
หน้าใหม่ของ Porsche เป็นจำนวนมาก มันเป็นรถที่ขับง่ายและใช้สบาย
มากขึ้น เบาะนั่งสบายขึ้น แผงคอนโซลและพวงมาลัยดูทันสมัยและใช้ง่าย
กว่าแต่ก่อน ตัวถังนั้นดูตามสเป็คเหมือนกว้างขึ้นนิดเดียว แต่ที่จริงรถรุ่นเก่า
กว้างเพราะโป่งข้างมันใหญ่ ในขณะที่ 996 นั้นตัวถังใหญ่ทั้งตัว ทำให้มีเนื้อที่
ภายในมากขึ้น ส่วนช่วงล่างของเดิมจาก 993 ที่ดีอยู่แล้ว ก็พัฒนาให้ดีขึ้น
ไปกว่าเดิมอีก

ในปี 2002 Porsche เปลี่ยนไฟหน้าของ 996 จากสไตล์ Boxster เป็นไฟหน้า
ของรุ่น Turbo ที่เป็นเลนส์ขาวคนละทรง เพื่อพยายามทำให้ลูกค้ารู้สึกแตกต่างจาก
Boxster มากขึ้น และยังเอาปรับเครื่องยนต์กลับไปเป็น 3.6 ลิตร ทำให้มี
กำลังเพิ่มขึ้นเป็น 320 แรงม้า (PS) ส่วนโมเดลแรงอย่าง Carrera RS นั้น
ไม่มีการผลิตออกมา เพราะ Porsche สร้าง 911 พันธุ์สนามแรงแบบ NA
รุ่นใหม่อย่าง GT3 มาแทน

ต่อให้แฟนพันธุ์แท้ Porsche จะตั้งข้อกังขากับ 996 หรือตีคุณค่าให้น้อยกว่า
911 รุ่นก่อนหน้าเพียงใด ความจริงก็คือในขณะที่ 993 ขายได้ไม่ถึง 70,000 คัน
996 นั้นสร้างยอดขายรวมได้ถึง 170,000 คัน สมความตั้งใจของ CEO เขา
และ 911 กับ Boxster ช่วยสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้ Porsche มีทุนในการ
พัฒนา SUV อย่าง Cayenne ซึ่งในภายหลังรถทั้ง 3 รุ่นมีส่วนช่วยให้ Porsche
พลิกฐานะจากบริษัทใกล้ล้มละลายกลายเป็นบริษัทผลิตรถสปอร์ตที่สร้างกำไร
ได้งดงามมากที่สุดเจ้าหนึ่งภายในเวลาไม่กี่ปี

 

porsche_911_carrera_s_coupe_uk-spec_51

ปี 2004 Porsche ก็เปิดตัวรุ่น 997 Carrera และ Carrera S ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ
Carrera 4/4S นั้นเปิดตัวในปี 2005 ตัวรถได้รับการออกแบบให้ลู่ลมขึ้น ค่าสัมประสิทธิ์
แรงเสียดทานลดจาก 0.30 เป็น 0.29 ภายนอกได้รับการออกแบบให้เอาใจ
แฟนพันธุ์แท้ 911 โดยการกลับมาใช้ไฟหน้าทรงรีเหมือนสมัยรุ่น 993 ในขณะที่
แผงแดชบอร์ดภายในก็เหมือนกับเอาแดชบอร์ดของ 993 มาปรับจนดูทันสมัยตามยุค
และใช้วัสดุที่ดูก็ดีสัมผัสก็ดีสมกับที่เป็นรถสปอร์ตชั้นสูง พูดง่ายๆ 997 ก็คือ 996
ที่เอามาปรับเปลี่ยนบางส่วน อะไรก็ตามที่ 996 พลาดไป Porsche ก็แก้ไขให้เสร็จ
ในรุ่น 997 นี้เอง

Carrera ธรรมดาใช้เครื่อง 3.6 ลิตรที่เอามาจาก 996 แรงม้าอยู่ที่ 325 แรงม้า (PS)
ส่วน Carrera S นั้น เครื่องยนต์จะถูกขยายความจุขึ้นเป็น 3.8 ลิตร แรงม้าเพิ่มเป็น
360 แรงม้า ซึ่งมากเท่ากับ 996 GT3 รุ่นแรกเลยทีเดียว ส่วนระบบส่งกำลังนั้นมีให้
เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์ Tiptronic 5 จังหวะพร้อมสวิตช์เปลี่ยนเกียร์
ที่ก้านพวงมาลัย

ในปี 2008 997 ก็ได้รับการอัพเดตเสริมเขี้ยวเล็บอีกครั้ง Porsche นำเครื่องยนต์
แบบหัวฉีด Direct Injection รุ่นเครื่อง 3.6 ลิตร แรงม้าเพิ่มเป็น 345 แรงม้า และรุ่น
3.8 ลิตร แรงม้าเพิ่มเป็น 385 แรงม้า มีการปรับแต่งช่วงล่างให้มีความมั่นคงขณะเลี้ยว
รวมถึงปรับแต่งซอฟท์แวร์ระบบควบคุมการทรงตัวและกันไถลให้ทำงานเร็ว มอบความ
ปลอดภัยโดยที่ไม่ทำให้รถวิ่งช้าลงหรือสูญเสียความเร็วจนน่ารำคาญ

นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่มาใหม่คือระบบส่งกำลังแบบคลัตช์คู่ PDK – Porsche Doppel
Kupplung 7 จังหวะ ซึ่งทำงานได้รวดเร็ว ว่องไว เมื่อใช้คู่กับระบบช่วยออกตัว
ทำให้ 911 ในยุค PDK นั้น รถเกียร์ธรรมดาวิ่งช้ากว่ารถเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ไปแล้ว
รถ 997.2 เวอร์ชั่นอัพเดทนี้จะมีไฟท้ายและไฟเลี้ยวเป็นหลอด LED
2012_06_11_Porsche_911_Carrera_S_03

บอดี้ล่าสุดของ Porsche 911 ก็คือโฉม 991 ซึ่งเผยโฉมไปในเดือนสิงหาคมปี
2011 นับเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลักครั้งที่ 3 ของรถตระกูล 911
โครงสร้างแรก ใช้ตั้งแต่ปี 1964 จนสิ้นสุดบอดี้ 993 ครั้งที่ 2 มากับรถรุ่น 996
และครั้งที่ 3 กับรถรุ่นนี้นั่นเอง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนคือระยะฐานล้อที่ยาว
เพิ่มขึ้นจาก 2,350 เป็น 2,450 มิลลิเมตร โครงสร้างของรถเปลี่ยนวัสดุหลัก
จากเหล็กเป็นอะลูมิเนียม ทำให้น้ำหนักรถแทบไม่ต่างไปจากเดิมต่อให้ตัว
โตขึ้นก็ตาม

991 เป็น 911 รุ่นแรกที่ใช้พวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า ซึ่งได้รับกระแสตอบรับ
ทั้งด้านดีและด้านลบ (จะพูดว่า “ไม่ดี” ก็ยากเพราะมันก็ยังนับว่าเป็นพวงมาลัย
ไฟฟ้าที่ปรับจูนมาได้ดีที่สุดรุ่นหนึ่ง) และเป็นรุ่นสุดท้ายที่จะมีเครื่องยนต์แบบ
ปราศจากเทอร์โบชาร์จให้เลือกในรุ่น Carrera ทั้งหลาย เพราะเครื่องยนต์ 3.4 ลิตร
350 แรงม้า และ 3.8 ลิตร 400 แรงม้า (ในรุ่น S) นั้น นับเป็นเครื่อง 6 สูบไร้เทอร์โบ
ที่ทรงพลังที่สุดในบรรดา Carrera Series ทั้งหมดในประวัติศาสตร์ถ้าไม่นับพวก
รถพิเศษที่ทำเพื่อการแข่งในสนาม

แต่ก็อย่างที่คริสติน่า อากีลาร์เคยร้องเพลงเอาไว้ครับ “ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำ
ประวัติศาสตร์จะต้องเปลี่ยน” Porsche เองก็โดนบังคับด้วยเรื่องอัตราการสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิง และมาตรฐานมลภาวะประเมินรวมของทางค่าย ทำให้เครื่อง 6 สูบ
นอนยันแบบไร้เทอร์โบถูกกำจัดทิ้ง เหลือไว้แค่เพียงโมเดลพิเศษของค่ายอย่าง
911 GT3 และ 911R ซึ่งทำมาเอาใจลูกค้าแฟนพันธุ์แท้เครื่อง NA เท่านั้น

และการมาของเครื่องยนต์เทอร์โบใน Carrera ก็ทำให้เราได้มีโอกาสมาลอง
ในวันนี้..เอาล่ะน่า ถึงแม้จะขับได้ไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันก็ต้องมีอะไร
ให้เราเรียนรู้นิสัยเบื้องต้นบ้างล่ะ!

 

OUR CAR: 911 (991.2) Carrera S PDK

2016_911CS_frontofhotel

ในช่วงเช้าของวันทดสอบ ผมกับคุณสุรมิส Speed Channel ลงมารอที่ล็อบบี้โรงแรม
คุณ Ro Charlz Skyangel ซึ่งทำหน้าที่เป็น Instructor มาพบเราที่ล็อบบี้ ตาคนนี้แก
เป็นชายร่างสูง หุ่นดีมี 6 Pack ขนาดชายแท้เพียงได้สบตายังแอบใจสั่นๆ มารู้ภายหลัง
ว่าแกเป็นนักแข่งรถ Porsche Cup ด้วย บุคลิกเป็นมิตรพูดง่ายคุยสบายครับ Ro Charlz
เน้นย้ำกับเรา 2 เรื่องคือขับขี่ให้ปลอดภัย พยายามอย่าแหกกฎ เพราะสิงคโปร์เข้มงวด
และอย่างที่ 2 คือวันนี้ฝนตก ถนนจะเปียกลื่นทั้งวัน อย่าปิดระบบควบคุมการทรงตัว

จากนั้นก็มีการแนะนำจุดต่างๆที่เราสามารถขับไปแวะถ่ายภาพ หรือทดลองสมรรถนะ
แบบอนุบาลโหมดได้ คุณ Ro Charlz แกก็อุตส่าห์พยายามแนะนำถนนบางจุดที่
เราอาจจะพอออกตัวเอี๊ยดอ๊าดหรือเล่นโค้งแรงกว่าปกติได้บ้าง แล้วก็บันทึกใส่ใน
ระบบนำทางของ 911 ของเราเอาไว้ให้..มันต้องอย่างนี้สิเพื่อน

Ro Charlz พาเราไปขึ้นรถที่จอดอยู่ข้างนอกโรงแรม..ฝนยังไม่หยุดตกเลย แต่งาน
มันต้องเดินต่อ เขาอธิบายสวิตช์ต่างๆในรถแบบคร่าวๆ รวมถึงระบบเก็บผ่านทาง
ผ่านกล่องอิเล็กทรอนิกส์ให้เข้าใจ จากนั้นก็มอบกุญแจให้เรา 2 คน โดยมีข้อแม้
แค่เพียงว่า ให้เอารถกลับมาคืนที่โรงแรมภายใน 6 โมงเย็น แล้วเขาก็โบกมือลา
เดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มดุจเทวดาเหมือนนามสกุลของเขาแหละครับ

ก่อนที่จะไปดูรถ ผมขอเรียนให้คุณผู้อ่านทราบก่อนว่าเวลาดูรูปรถ ดูภายในรถ
บางอย่างที่เห็นเป็นออพชั่นสั่งพิเศษนะครับ ผมจะพยายามหาข้อมูลราคาออพชั่น
แต่ละอย่าง (ในหน่วยสิงคโปร์ดอลลาร์)มาให้ หรือท่านสามารถลองดูเว็บ
Porsche Singapore แล้วลองเลือกรถ จัดออพชั่นใส่เองดูก็สนุกไปอีกแบบ

รถรุ่น Carrera S ราคาในบ้านเรา 13,500,000 บาท ราคาในสิงคโปร์ เริ่มต้นที่
508,888SGD แปลงเป็นเงินไทยก็คูณ 26 เข้าไปครับ รถที่คุณได้มาจะเป็น
สเป็คพื้นฐานสุดๆ เบาะปรับมือ ล้อลายธรรมดา ท่อไอเสียแบบปกติ ไม่มี
Cruise Control ในสายตาคนธรรมดาอย่างพวกเราที่คุ้นกับรถตลาดทั่วไป
อาจจะมองว่าราคาขนาดนี้ทำไมไม่มีออพชั่นเหล่านี้ให้ แต่ในโลกของรถสปอร์ต
ราคาสูงแบบนี้จริงๆแล้วเป็นเรื่องธรรมดามากครับที่จะให้รถโล้นๆมาแล้วเรา
ไปเลือกออพชั่นเสริมใส่เอง

อย่างสีส้ม Lava Orange ของรถทดสอบเรานั่นปะไร ..ถ้าอยากได้ก็ต้อง
สั่งเพิ่มครับ ราคาค่าทำแค่ 10,000 SGD (ราว 260,000 บาท)เอง..

2016_911CS_dynamic01

911 Carrera S โฉมนี้  มีความยาวตลอดคัน 4,499 มิลลิเมตร กว้าง 1,808 มิลลิเมตร
สูงเพียง 1,302 มิลลิเมตร และมีระยะ ฐานล้อ 2,450 มิลลิเมตร น้ำหนักรถเปล่า
ตามมาตรฐาน DIN ในรุ่นเกียร์ธรรมดา อยู่ที่  1,440 กิโลกรัม รุ่นเกียร์ PDK อยู่ที่
1,460 กิโลกรัม (หนักว่า 991 Carrera S 3.8 โฉมก่อนไมเนอร์เชนจ์ 60 กิโลกรัม)
ตัวถังมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd=0.30 (Carrera ธรรมดาอยู่ที่ 0.29)
ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง 64 ลิตร

รูปร่างหน้าตานั้น หากเทียบกับรถรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ (991.1) แล้ว ส่วนที่เปลี่ยน
และเห็นได้ชัดที่สุดคือด้านหน้าของรถ ซึ่งช่องดักอากาศที่อยู่ใต้ไฟหน้าจะมีการ
ออกแบบใหม่ ขนาดไฟ DRL จะดูเล็กลงและเรียบขึ้น เส้นตัดต่างๆเรียบและคม
ขึ้นกว่ารุ่นก่อน ช่องดักอากาศข้างหน้าจะเป็นแบบตะแกรงที่สามารถเปิด/ปิดได้
ด้วยระบบอัตโนมัติ เปิดระบายอากาศได้ในช่วงจอดนิ่งๆ และปิดลงในช่วงที่
วิ่งด้วยความเร็วคงที่ ระบบระบายความร้อนทำงานดีพอ เพื่อกันกระแสอากาศ
วนและทำให้รถลื่นลมขึ้น มือจับเปิดประตูรถได้รับการออกแบบใหม่ให้ดูเป็นชิ้น
เดียว ไร้รอยต่อในส่วนกำบังมือ

ด้านท้าย ส่วนที่แตกต่างจากเดิมอยู่ที่ช่องระบายอากาศด้านบน จากเดิมเป็นซี่
แนวนอน 3 ช่องก็เปลี่ยนเป็นช่องเรียงถี่ในแนวตั้ง ให้บรรยากาศเหมือนรถ
คลาสสิคแต่อาจจะดูไม่ค่อยเข้ากันกับส่วนอื่นๆของตัวรถที่ดูทันสมัยนัก

ท่อไอเสีย โดยปกติจะเป็นทรงแยกออกซ้ายและขวาข้างละ 2 ท่อ แต่รถทดสอบ
ของเราได้ติดตั้งออพชั่น Sports Exhaust ที่ปรับความดังของเสียงได้ หน้าตา
ของปลายท่อออกจะดูธรรมดากว่าท่อไอเสียแบบปกติด้วยซ้ำเพราะจากเดิม
ออก 4 ท่อ กลับลดลงมาเหลือข้างละท่อ แต่สุ้มเสียงจะโหดกว่าท่อธรรมดา
พอสมควร ออพชั่นนี้ราคาไม่แพงครับ แค่ 10,603 SGD (281,721 บาท) เอง

2016_911CS_key

หน้าตาของกุญแจ Porsche 911 เป็นแบบนี้แหละครับ รถทดสอบของเราเป็น
กุญแจรีโมทแบบธรรมดา (ไม่ใช่ Smart Key) แต่แอบแสบด้วยการสั่งออพชั่น
พ่นสีกุญแจให้เป็นสีเดียวกับตัวรถ (1,478 SGD)  เวลาจะเข้าไปนั่งในรถก็กด
ปุ่ม Unlock ที่รีโมท แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งเหมือนรถไร้ Keyless Entryทั่วไป
เวลาจะสตาร์ทรถ ก็เอาส่วนหน้าของกุญแจนั่นล่ะครับ ทิ่มเข้าไปตรงรูเสียบ
ที่คอพวงมาลัยด้านขวา จากนั้น..ทำยังไง..บิดสิครับ บิดแก๊ก 1 แก๊ก On แล้วอีก
ทีหนึ่งก็คือสตาร์ทเครื่อง

ถ้าคุณอยากได้ Smart Key และ Keyless Entry System ก็สามารถสั่งเป็น
อุปกรณ์พิเศษได้ครับ

2016_911CS_frontentry

บานประตูเป็นแบบไร้เสากรอบ (Frameless Door) ทำจากอะลูมิเนียมเช่นเดียวกับ
โครงสร้างหลักของรถ มือจับเปิดประตูเป็นสีเดียวกับตัวรถ สามารถสั่งให้พ่นเป็นสีอื่น
ได้ตามต้องการ

กระจกมองข้างปรับตำแหน่งด้วยสวิตช์ไฟฟ้า รถทดสอบของเรานั้น กระจกส่องข้าง
จะเป็นแบบ Sports Design มีร่องรูตรงกลางก้านกระจก (ออพชั่นราคา 2,178SGD..ราว
57,000บาท) แต่ไม่มีระบบพับเก็บแบบไฟฟ้า ถ้าอยากได้ต้องสั่งเพิ่มเอาเองครับ
รถที่มีระบบกระจกพับไฟฟ้า สวิตช์กดพับกระจกจะอยู่ถัดขึ้นไปจากสวิตช์ปรับทิศทาง
กระจกนั่นล่ะครับ คันของเราเว้นว่างไว้เป็นช่องเปล่าๆ

2016_911CS_frontseats

การเข้า/ออกจากรถนั้น ถ้าคุณเที่ยวเอาไปเทียบกับรถบ้านทั่วไป ก็แน่นอนว่า
911 จะลำบากกว่า โดยเฉพาะกับคนน้ำหนักเยอะตัวใหญ่จะต้องใช้แรงยันตัว
เวลาลุกออกจากรถเยอะหน่อย แต่ถ้าเทียบกับรถสปอร์ตคันอื่น ผมคิดว่า 911 ก็ยัง
เป็นรถที่ผมลุกเข้าลุกออกได้ง่าย (อย่าลืมว่าผมสูง 183 เซ็นติเมตรและหนัก
148 กิโลกรัม) เวลาเข้านั่ง ก็ทำเหมือนรถปกติทุกประการ มันจะยากแค่ตอนก้มหัว
หลบหลังคา และตอนตวัดเอาเท้าเข้า เพราะขอบหน้าสุดของประตูอยู่ค่อนข้างใกล้
แม้จะถอยเบาะนั่งไปจนหลังสุดแล้วก็ตาม แต่กับคนตัวผอมเล่นโยคะกินโยเกิร์ต
เปิดโยคีย์..อย่าบ่นเลย นี่ล่ะง่ายแล้ว ถ้าอยากได้รถที่เข้าออกง่ายกว่านี้ สงสัยคง
ต้องไปเล่นพวกรถคันโตๆอย่าง GT-R  หรือ Bentley Continental GT แล้วล่ะครับ

เบาะนั่งมาตรฐาน จะในเวอร์ชั่นสิงคโปร์ คุณจะเลือกได้ระหว่างเบาะ Sports seat
ตัวธรรมดา ไม่มีปีกเล็กตรงไหล่ ปรับด้วยไฟฟ้า 14 ทิศทาง หรือจะเอา Sports seat
Plus ซึ่งมีปีกบนเล็กๆเพิ่มมา ส่วนรถทดสอบของเรานั้นจัดเต็มด้วย Adaptive Sports
seat Plus ปรับด้วยไฟฟ้าได้ 18 ทิศทาง และมีปีกประคองไหล่ขนาดเล็กด้านบน
พร้อมระบบความจำเชื่อมกับคอพวงมาลัย 2 ตำแหน่ง

พูดในฐานะคนตัวใหญ่ XXXXL นะครับ..เบาะของ 911 รุ่นนี้มีดีตรงที่ปรับองศา
ได้หลายจุด มันเป็นเบาะสไตล์รถนั่งกึ่งซิ่งมากกว่าที่จะเป็นแบบรถแข่ง นั่นก็
หมายความว่าการโอบและบีบรัดของเบาะนั้นไม่ต่างอะไรกับรถแฮทช์แบ็คดุๆ
อย่าง Mercedes-AMG A45 และปีกข้างและปีกเบาะรองนั่งก็ไม่สูงมากเท่า
เบาะ AMG Performance Seat ของ AMG GT-S ทำให้สามารถนั่งโดยสาร
ขับไกลๆแล้วไม่ค่อยเมื่อยเร็วนัก เบาะรองนั่งมีความนุ่มกว่าที่คาด และแม้แต่
เบาะส่วนที่พนักพิงศีรษะก็นุ่มมากเช่นกัน

แป้นเหยียบคันเร่งจะอยู่ค่อนไปตรงกลางรถมาก ปกติผมมักชอบขับโดย
เอาเข่าขวาพิงประตู ทำให้รู้สึกฝืนธรรมชาติเล็กน้อยจนกระทั่งเริ่มหาท่านั่ง
ให้เหมาะกับรถได้ แต่ส่วนที่น่าชมคือความห่างของแต่ละแป้นอยู่ในระยะที่
กำลังดี ถ้าใครชอบขับแบบเอาส้นเท้าวางตรงกลางระหว่างเบรกกับคันเร่ง
แล้วยกปลายเท้าสลับไปสลับมา แบบนี้จะเล่นกับ 911 ใหม่ได้คล่องเท้ามาก
ในขณะที่ถ้าใครชอบใช้เทคนิคเบรกเท้าซ้าย ตำแหน่งและขนาดของแป้น
ก็ใหญ่พอให้คุณเอาเท้าซ้ายเขยิบมาเหยียบเบรกได้ไม่ยากเช่นกัน

ส่วนเบาะหลังคงไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะไซส์อย่างผมหมดสิทธิ์ ไม่คิดจะนั่ง
แม้มันจะดูเหมือนที่ที่ใหญ่พอให้เด็กเล็กๆอย่างหลานวัย 4 ขวบของผมนั่งได้
แต่โดยทั่วไปคุณคงจะอยากเอาไว้ใช้เป็นที่วางของมากกว่า

2016_911CS_frontbonnet

มาเปิดฝากระโปรงหน้า มาดูเครื่องกันหน่อยดีกว่า อ้าว! เห้ย! เครื่องหาย

ประโยคนี้มันก็คือมุขฝืดที่ผมกับเพื่อนชอบเล่นกับเจ้าของ VW Beetle, Porsche 911
และพวกรถเครื่องวางกลางทั้งหลายแหละครับ อันที่จริง ผมเปิดให้ดูเนื้อที่สำหรับใส่
สัมภาระ ซึ่งมีความจุ 145 ลิตร สามารถเอากระเป๋าเดินทางใบแข็งแบบที่ใช้สำหรับ
การพักผ่อนของผู้ชาย 2 คืนได้ 1 ใบ แต่กระเป๋าเดินทางชนิดไว้สำหรับนักเรียนทุน
ไปเรียนต่อเยอรมัน แบบนั้นคงหมดสิทธิ์ครับ

ส่วนท่อนแดงๆที่เห็น คือเครื่องสามเหลี่ยม เอาไว้กางแล้ววางไว้บนถนนเวลาที่
รถเราเสียแล้วมีความจำเป็นต้องจอดข้างทาง คุณเอาไอ้สิ่งนี้วางไว้ก่อนถึงรถสัก
30-40 เมตร ถ้ามีใครเปลี่ยนเลนออกมากะทันหัน ก็จะชนเจ้าสิ่งนี้ก่อนมาถึง
รถคุณและมีโอกาสหักหลบทันถ้าสติยังครบอยู่

2016_911CS_wholedashPS

ภายในห้องโดยสารของ 911 ใหม่ ก็ยังคงเส้นสายแบบของรุ่น 991.1 เอาไว้ซึ่ง
อิทธิพลทางการออกแบบก็ได้มาจาก Porsche Carrera GT นั่นเอง ตำแหน่งคันเกียร์
อยู่ในระดับที่สูงใกล้กับพวงมาลัย ปุ่มควบคุมต่างๆ ที่ใช้งานกันบ่อยๆ ถูกติดตั้งรวมตัว
กันที่คอนโซลกลาง เพื่อความสะดวกต่อการใช้งาน

พวงมาลัยแบบสปอร์ต เอารูปแบบดีไซน์มาจาก Porsche 918 Spyder มีสวิตช์ปรับ
โหมดการขับขี่ที่พวงมาลัย (Comfort/Sport/Sport Plus/Individual) ซึ่งใช้งาน
ได้สะดวกมือมาก แต่พวงมาลัยกับปุ่มหมุนแบบนี้เป็นออพชั่นที่มาเมื่อคุณสั่งออพชั่น
Sports Chrono Pack ราคา 8,474SGD (ประมาณ 280,000 บาทไทย)นะครับ

ชุดเครื่องเสียง CD/MP3 มาพร้อมระบบนำทาง และจอมอนิเตอร์แบบทัชสกรีน
ขนาดใหญ่ รถทดสอบของเรามีออพชั่นเครื่องเสียง BOSE มาให้ คุณภาพเสียง
อยู่ในระดับที่ดี แต่ไม่ถึงขั้นใสกิ๊ง มีมิติชัดเจนแบบพวกชุดเครื่องเสียงราคาหลายแสน
(ชุดเครื่องเสียง BOSE เป็นออพชั่นราคา 5,761SGD)

2016_911CS_cockpitPS2

มองจากมุมนี้ ไล่จากขวาไปซ้าย จะเห็นชุดควบคุมสวิตช์กระจกไฟฟ้าและกระจก
มองข้าง ปุ่มกลมๆด้านบนคือปุ่มปรับทิศทางกระจก ถ้าเป็นรถคันที่มีกระจกพับไฟฟ้า
สวิตช์ที่อยู่ข้างบนปุ่มปรับทิศทางกระจกจะมีรูปกระจกพับอยู่ แต่คันนี้ไม่มีมาให้
ส่วนปุ่มหมุนบนแดชบอร์ดด้านขวานั้นเป็นสวิตช์สำหรับเปิดไฟหน้า ซึ่งสามารถตั้ง
ให้ทำงานแบบอัตโนมัติได้

บนพวงมาลัย นอกจากจะมีแป้น Paddle shift สำหรับเล่นเกียร์เองแล้ว ที่ก้าน
พวงมาลัยจะมีทั้งปุ่มหมุน และปุ่มกดสำหรับควบคุมการทำงานของเครื่องเสียง
และการแสดงผลบนหน้าปัดวงขวาของรถ ส่วนก้านเล็กๆที่อยู่หลังพวงมาลัยทางซ้าย
นั่นคือก้านคุมระบบ Cruise Control ซึ่งเป็นออพชั่นราคาแค่ 1,308 SGD เท่านั้น
แต่ถ้าอยากได้ Cruise Control ที่มีระบบเรดาร์ด้วย เตรียมไว้ประมาณ 9,000 SGD

จอตรงกลาง เป็นจอสีทัชสกรีนขนาดใหญ่ที่ใช้งานค่อนข้างง่าย โดยเฉพาะฟังก์ชั่น
ระบบนำทาง และระบบเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีการเปลี่ยน Interface แบบใหม่
ถือว่าออกแบบมาได้ดี และยังรองรับกับระบบ Apple CarPlay อีกด้วย

เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบอัตโนมัติ แยกฝั่งซ้าย – ขวา 2 Zone Automatic Climate
Control สวิตช์ไฟ ฉุกเฉินอยู่เลยคันเกียร์เข้ามาทางข้างหลัง แอบมองหาอยู่นาน
เหมือนกันว่าอยู่ตรงไหน และถัดลงมาอีกจะเป็นพวกสวิตช์ควบคุมความมันส์สำหรับ
นักเลงรถอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นสวิตช์ปรับช่วงล่างแข็ง/อ่อน (สำหรับรถที่มีออพชั่น
ช่วงล่าง PASM) สวิตช์ปิดระบบควบคุมการทรงตัว สวิตช์ปรับเสียงท่อ (สำหรับรถที่สั่ง
ใส่ท่อสปอร์ต)  สวิตช์ปรับกระดกสปอยเลอร์หลัง (ซึ่งโดยปกติพอวิ่งเกิน 60 กิโลเมตร
ต่อชั่วโมงมันจะกระดกขึ้นอยู่แล้ว) และสวิตช์ปิดระบบ Auto Start/Stop

ตรงกลางของชุดสวิตช์ควบคุมความมันส์ ยังมีปุ่มสำหรับเลื่อนเปิดม่านบนหลังคา
และอีกสองปุ่มสำหรับเปิดหลังคาแบบกระดกท้ายซันรูฟ หรือจะเปิดทั้งบานก็ได้
(หลังคากระจกเปิดได้นี่ต้องสั่งเพิ่ม ประมาณ 9,000 SGD)

 

2016_911CS_instrumentspanel

ชุดมาตรวัด ยังคงเป็นแบบ 5 วงกลม ตรงกลาง ใหญ่สุด เป็นมาตรวัดรอบ
พื้นสีเงิน ส่วนมาตรวัดในวงอื่นจะใช้พื้นสีดำ และมีจอแสดงตัวเลขความเร็วแบบ
Digital มาให้ด้วย เวลาเปิดไฟตอนกลางคืน ตัวเลขจะเป็นสีขาวเรืองแสงจาก
ด้านหลัง และเข็มเป็นสีแดง มีมาตรวัดแรงดันน้ำมันเครื่องและอุณหภูมิน้ำกับ
น้ำมันเครื่องมาให้อย่างที่รถสปอร์ตควรมี เวลาขับแบบปกติจะดูค่อนข้างง่าย
แต่เวลาตั้งใจขับเร็วๆแล้วมองมาตรวัดแบบชำเลืองผ่านเร็วๆ ก็จะมีแต่วัดรอบ
นี่ล่ะที่สังเกตง่ายที่สุด เพราะตัวเลขความเร็วยังค่อนข้างเล็ก ส่วนมาตรวัด
ความเร็วนั้น วิ่ง 90 เข็มดีดตัวขึ้นมาแค่นิดเดียว เวลามองเร็วๆจะไม่ค่อยถนัด

ลักษณะแบบนี้ก็คล้ายกับ GT-R หรือรถอื่นๆที่ต้องยัดบรรดาเข็มและข้อมูลต่างๆ
ลงไปในพื้นที่กรอบมาตรวัดอันจำกัด อาจจะขึ้นอยู่กับความถนัดและความ
สามารถในการขับของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน วิศวกร Porsche อาจจะมอง
ว่าเวลาขับเร็วๆ นักขับสนแค่วัดรอบเป็นหลัก ในขณะที่วิศวกร AMG อาจมอง
ว่าคนขับสนใจอยากรู้ทั้งวัดรอบและความเร็วเท่าๆกัน ไม่มีผิดหรือถูกครับ
มีแต่คุณถนัดแบบไหนมากกว่า

2016_911CS_rightTFT1 2016_911CS_rightTFT2

นอกจากมาตรวัดเข็มความเร็วปกติ จอฝั่งขวาสุด 911 Carrera S จะเป็นจอสี
TFT Multi Information   4.8 นิ้ว ความละเอียดสูงและแสดงการทำงานของ
ระบบต่างๆ แสดงสถานะของระบบต่างๆในตัวรถ เครื่องเสียง โทรศัพท์ ระบบนำทาง
การแสดงผลของแผนที่ คอมพิวเตอร์ on-board และการวัดระดับของลมยาง ผู้ขับขี่
จะเลือกใช้งานฟังก์ชันต่างๆนี้ได้จากปุ่มต่างๆ ฝั่งขวามือของพวงมาลัย นอกจากนี้ยัง
แสดงหน้าจอของมาตรวัดแรง G หรือ G-Force วัดแรงดึงจากอัตราเร่งทางตรงและ
การเหวี่ยงออกด้านข้าง รวมไปถึง Sport Chrono  Package ที่สามารถเรียกดูได้
จากจอแสดงผลเช่นกัน

รายละเอียดทางวิศวกรรม

2016_911CS_Enginebay

พอเปิดฝากระโปรงท้ายมา เจอแบบนี้ ไม่ต้องตกใจครับ Porsche ซีลห้องเครื่อง
ปิดแบบนี้มาสักพักแล้ว คุณไม่มีโอกาสเปิดมาแล้วเจอเครื่องแบบสมัย 993, 996
หรือ 997 อีกต่อไปเหมือนหลายต่อหลายอย่างของตัวรถที่ดูเหมือนพยายามจะ
ให้เจ้าของมีโอกาส “ซน” น้อยลง และพึ่งพาศูนย์บริการมากขึ้น ยังดีที่มีฝาเปิด
สำหรับเอาไว้เติมน้ำหล่อเย็นและน้ำมันเครื่องทางด้านบนซ้ายและแค่นั้น

2016_911CS_engin2

มาถึงจุดที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุดจุดหนึ่งในรถรุ่นใหม่ นั่นก็คือเครื่องยนต์

เครื่องยนต์ ของ 911 ใหม่ เป็นแบบ 6 สูบนอน BOXER DOHC 24 วาล์ว จ่ายน้ำมัน
เชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดตรงสู่ห้องเผาไหม้ DFI (Direct Fuel Injection) พร้อมระบบ
วาล์วแปรผัน VarioCam Plus อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์คู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์
ความจุกระบอกสูบ ลดลงจาก 3.4 และ 3.8 ลิตรมาอยู่ที่ 3.0 ลิตร (2,981 ซี.ซี.)
ขนาดปากกระบอกสูบ 91.0 มิลลิเมตร ช่วงชัก 76.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด
10.1:1 ความจุน้ำมันเครื่อง 13.1 ลิตร ปริมาตรน้ำมันเวลาเปลี่ยนถ่าย 8.0 ลิตร

เครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้จะถูกปรับจูนเรียกกำลัง 2 ระดับ

ในรุ่น Carrera ธรรมดา จะให้กำลังสูงสุด 370 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด  450 นิวตันเมตรที่ 1,700-5,000 รอบต่อนาที รอบการทำงานสูงสุด
7,500 รอบต่อนาที (เพิ่มจาก Carrera 3.4 20 แรงม้า และ 60 นิวตันเมตร)

ส่วน Carrera S จะมีกำลังสูงสุด 420 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด  500 นิวตันเมตรที่ 1,700-5,000 รอบต่อนาที รอบการทำงานสูงสุด
7,500 รอบต่อนาที (เพิ่มจาก Carrera S 3.8 20 แรงม้า และ 60 นิวตันเมตร เช่นกัน)

ถ้าสังเกตตัวเลขของ Carrera S แล้วไปเทียบกับ 911 รุ่นที่เก่ากว่า คุณจะเห็นได้
ว่าแรงบิดสูงสุดนั้นมาให้ใช้ตั้งแต่รอบต่ำ ไม่ต้องลากไปถึง 5,600 รอบต่อนาที
แบบ 991 รุ่น 3.4 และ 3.8 แถมแรงม้าแรงบิดที่ได้นั้นถือว่าน่าพอใจไม่ใช่น้อย
เพราะมันเสกม้าได้เท่ากับ 996 Turbo ปี 2000 เลยทีเดียวแม้ว่าแรงบิดจะยัง
น้อยกว่าอยู่ก็ตาม

2016_911CS_transmissionPDK
ระบบส่งกำลังในรุ่น Carrera S มีให้เลือก 2 แบบ คือเกียร์อัตโนมัติ PDK
7 จังหวะ แบบรถทดสอบของเรา ซึ่งมีอัตราทดดังนี้

เกียร์ 1………………..3.91
เกียร์ 2………………..2.29
เกียร์ 3………………..1.58
เกียร์ 4………………..1.18
เกียร์ 5………………..0.94
เกียร์ 6………………..0.79
เกียร์ 7………………..0.62
เกียร์ถอยหลัง………3.55
เฟืองท้าย……………3.59

ส่วนระบบส่งกำลังอีกแบบคือเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะ ซึ่งมีอัตราทดแต่ละ
เกียร์ รวมถึงอัตราทดเฟืองท้ายเท่ากับรุ่น PDK เด๊ะ! และถ้าเป็นรุ่น Carrera
ธรรมดา 370 แรงม้า ตัวเลขอัตราทดก็เท่ากันหมด จะเว้นก็แต่เฟืองท้ายที่
Carrera จะทดยาวกว่า เป็น 3.44 ทั้งในรุ่นเกียร์ธรรมดาและ PDK

ตัวเลขสมรรถนะจากโรงงานระบุว่า ในรุ่น Carrera มาตรฐานนั้น อัตราเร่ง
จาก 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงเกียร์ธรรมดา อยู่ที่ 4.6 วินาที เกียร์อัตโนมัติ PDK
4.4 วินาที (ใช้ Sport Plus ลดเหลือ 4.2 วินาที) วิ่งควอเตอร์ไมล์ได้ 12.8
, 12.6 และ 12.3 วินาทีตามลำดับ ความเร็วสูงสุดเกียร์ธรรมดา 295 กิโลเมตร/ชั่วโมง
รุ่นเกียร์อัตโนมัติ PDK 293กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง มาตรฐาน
NEDC รุ่นเกียร์ธรรมดา 8.3 ลิตร/100 กิโลเมตร รุ่นเกียร์ PDK ประหยัดกว่าเป็น
7.4 ลิตร/100 กิโลเมตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ รุ่นเกียร์ธรรมดา
190 กรัม/กม รุ่นเกียร์ PDK 169 กรัม/กิโลเมตร

ส่วนรุ่น Carrera S นั้น อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 4.3 วินาที
และจะเร็วขึ้นเป็น 4.1 วินาทีในรุ่นเกียร์ PDK และถ้าใช้โหมด Sport Plus จะเหลือแค่
3.9 วินาที ควอเตอร์ไมล์ได้ 12.5/12.3 และ 12.0 วินาทีตามลำดับ ความเร็วสูงสุด
รุ่นเกียร์ธรรมดา 308 กิโลเมตร/ชั่วโมง รุ่นเกียร์อัตโนมัติ PDK 306 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามมาตรฐาน NEDC รุ่นเกียร์ธรรมดา 8.7 ลิตร/100 กิโลเมตร
รุ่นเกียร์ PDK ประหยัดกว่าเป็น 7.7 ลิตร/100 กิโลเมตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์
รุ่นเกียร์ธรรมดา 199 กรัม/กม รุ่นเกียร์ PDK 174 กรัม/กิโลเมตร

ถ้าให้สรุปความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเครื่องยนต์เป็น 3 บรรทัด ก็คงพูดได้ว่า
1. Carrera S ของวันนี้ ไล่ฆ่า 996 Turbo จาก 10-15 ปีก่อนได้สบายต้นยันปลาย
2. อัตราสิ้นเปลืองดีกว่ารถเครื่อง 3.4-3.8 ไร้เทอร์โบประมาณ 10-12%
3. ปล่อยมลภาวะน้อยลง 10-12% เช่นกัน

2016_911CS_suspension2

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงก์
ติดตั้งระบบ PASM (Porsche Active Suspension Management) ซึ่งเป็น
ออพชั่นเสริม มาพร้อมสปริงที่ลดความสูงลง 20 มิลลิเมตร ราคา 3,340 SGD
(ประมาณ 88,000บาท) ระบบนี้จะทำงานด้วยการตรวจจับอาการของตัวรถ
ทั้งแรงเหวี่ยงออกด้านข้าง องศาของพวงมาลัย แรงดันของเบรก แรงบิดเครื่องยนต์
และความเร็วที่ใช้อยู่ จากเซ็นเซอร์รอบคันรถ มาประมวลผลที่สมองกลของระบบ
ในเสี้ยววินาที เพื่อปรับความหนืดของโช้คอัพให้เหมาะสมกับการขับขี่ในตอนนั้น
และยังสามารถเลือกปรับโหมดสปอร์ตได้จากสวิตช์ควบคุมความมันส์ที่อยู่หลัง
คันเกียร์เข้ามา

ระบบห้ามล้อ เป็นเบรกดิสก์แบบมีรูระบายความร้อนครบทั้ง 4 ล้อ คาลิเปอร์จาน
เบรกคู่หน้ามี 4 Pot ส่วน จานขนาด 350 มิลลิเมตร จานเบรกคู่หลัง มี 4 Pot
ขนาดจาน 330 มิลลิเมตร พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก
EBD และยังสามารถ เลือกสั่งติดตั้งระบบเบรกเซรามิก PCCB (Porsche Ceramic
Composite Brake) ได้ คุณจะได้จานหน้าขนาด 410 มิลลิเมตร จานหลังขนาด
390 มิลลิเมตร ได้คาลิเปอร์สีเหลืองด้วย แต่ราคา 34,000 SGD (900,000บาท)
สู้ไหม?

2016_911CS_xray012

991 เวอร์ชั่นปรับปรุงใหม่นี้ ยังมีระบบ Porsche Torque Vectoring (PTV) โดย
การทำงานของมันก็คือการกระควบคุมแรงบิดที่จะส่งไปล้อฝั่งซ้ายและฝั่งขวา
ในจังหวะที่ลงคันเร่ง โดยในรุ่นเกียร์ธรรมดาจะใช้เฟืองทดแรงบิดซ้ายขวาเป็นตัว
แบ่งพลัง แต่ถ้าเป็นรถที่ใช้เกียร์ PDK จะเปลี่ยนเป็นระบบ PTV Plus ซึ่งควบคุม
การทำงานด้วยระบบไฟฟ้า สั่งการไปที่เบรก เพื่อให้เบรกจับล้อหลังวงในโค้ง
เมื่อล้อวงในเกิดแรงขืนในการหมุน พลังก็จะส่งไปที่ล้อวงนอกโค้งแทน

อย่าจำสับสนกับระบบเบรกแยกซ้าย/ขวาที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบควบคุมการทรงตัว
PSM (Porsche Stability Management) แล้วกันครับ จำง่ายๆว่า Torque Vectoring
ทำงานตอนที่มีการกดคันเร่งและมีกำลังส่งไปที่ล้อ ถ้านอกเหนือจากนี้ไป เป็นระบบ
ควบคุมการทรงตัวตามปกติครับ

2016_911CS_bodyconstruction2

โครงสร้างตัวถัง ทำมาจากวัสดุหลายชนิดปนกัน โดยหลักแล้ว 991.2 ก็ยัง
ใช้โครงสร้างแบบเดียวกัน 991.1 โดยมีส่วนหน้า พื้นรถ และโครงสร้างหลัก
ที่ทำมาจากอะลูมิเนียม ทำให้มีน้ำหนักเบา (แต่พอรวมกับเครื่องและเกียร์กับ
อุปกรณ์อื่นๆก็ไปจบที่ 1.4 ตันอยู่ดีเพราะตัวรถก็โตขึ้นกว่า 997 มาก) บริเวณ
ขอบประตูจะใช้เหล็กกล้าความเหนียวสูง (Ultra-high strength) เพื่อกำกับ
การบิดตัวของตัวถังเวลาเข้าโค้งแรงๆ บางส่วนจะใช้โบรอนอัลลอย และเหล็ก
ชนิดความแข็งสูงพิเศษ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับตัวถัง

 

THE REAL TEST

2016_911CS_dynamic02

ผมผลัดกันขับโดยขอให้คุณสุรมิสเป็น “รุ่นพี่” เป็นผู้เริ่มในผลัดแรกก่อน
และลองนั่งสังเกตอาการต่างๆของรถบ้าง นั่งเล่นพวกระบบไฟฟ้าต่างๆที่
มีในรถบ้าน หลังจากจอดแวะถ่ายภาพที่อนุสรณ์สถาน Kranji เสร็จ ก็ค่อย
รับกุญแจและเป็นฝ่ายลองขับบ้าง

อัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง..มีโอกาสได้ลองเต็มๆแค่ 1-2 ครั้งเพราะพื้นที่บริเวณ
ที่พี่ Ro Charlz บอกว่าให้ไปลองอัดเล่นได้นั้น เอาเข้าจริงมันคือบริเวณถนน
เลียบฐานทัพอากาศครับ ตำรวจ ทหารตระเวนกันให้แน่น มีแค่บางช่วงที่ปลอดรถ
ปลอดคนหรือมอเตอร์ไซค์ สามารถลองจับอัตราเร่งดูได้ เมื่อลองตอกคันเร่งลงไป
พบว่าถึงแม้ว่าจะไม่ได้กระชากทันทีตั้งแต่ 1,500 รอบอย่างที่เห็นจากตัวเลขแรงบิด
ก็เถอะ พอเหยียบคันเร่งจม ตัวรถจะพุ่งในระดับแรงดึงพอๆกับรถ Carrera 3.4 ลิตรรุ่นปี
2000 ก่อน (ซึ่งก็ไม่ได้ถือว่าช้า) แต่พอเข็มวัดรอบกวาดถึง 2,400 รอบ จู่ๆเหมือนรถ
มันคิดว่าตัวมันเองเป็น 911 Turbo แล้วก็พุ่งจ๊าดออกไปอย่างบ้าคลั่ง เพียงแค่ราว
3 วิเศษๆ ผมต้องรีบสละเท้าขวามากระทืบเบรกเพื่อไม่ให้ความเร็วพุ่งไปเกิน 100

แถมตอนลอง ผมลืมไปว่าตั้ง Drive Mode ไว้ที่ Sport Plus พอถอนเท้า
จากคันเร่งปุ๊บ เสียงท่อกับเสียงระเบิดปุปะปุ้งปั้งตามสไตล์รถซิ่งมาเต็มสองรูหู
ผมกลัวจะกลายเป็นการเรียกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาดูพร้อมกุญแจมือมากกว่า

มันไม่เหมือนกับรถ V8 5.0-6.0 ลิตรที่แรงตั้งแต่รอบต่ำไปเลย..แต่ก็ไม่ใช่
อารมณ์รอบูสท์เหมือนชายโสดที่นั่งตบยุงรอผู้หญิงที่ใช่เดินมาเหยียบเท้าแบบ
ที่เราพบจากรถเทอร์โบสมัยก่อน ผมเคยขับ 911 Turbo บอดี้ 996 เกียร์ Tiptronic
และขับรถเครื่อง 2JZ-GTE เทอร์โบเดิมมาหลายคัน เครื่องยนต์ 3.0 ลิตรของ
911 Carrera S ตัวใหม่นี้ติดบูสท์เร็วกว่าเครื่องทั้ง 2 รุ่นที่กล่าวมาแน่นอน

และเผลอๆถ้าเล่นกันแค่ช่วงออกตัว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง มันอาจจะกัด
AMG GT-S 510 แรงม้าได้ชนิดมองหน้าคนขับวัดข้างต่อข้างกันไปเลยก็ได้
ถูกล่ะ AMG มีพลังสูงกว่า แต่ Porsche ก็เบากว่ากันเกือบ 200 กิโลกรัมนี่

ในการขับแบบปกติ เรียกได้ว่าไม่จำเป็นต้องเค้นพลังอะไรมากมาย จะอยู่ในโหมด
Comfort ก็เถอะ กดคันเร่งแค่ครึ่งเดียว ตัวรถก็พุ่งดีแล้ว และเผลอๆจะไหลไปเร็ว
กว่ารถเครื่อง NA 3.8 ลิตรตัวเก่าเสียด้วยซ้ำ แต่ต้องรอให้รอบเกิน 2,400 ไปก่อน
ถ้าเป็นช่วงก่อนหน้านั้น เทอร์โบยังสร้างบูสท์ได้แค่ระดับหนึ่ง เช่นที่เกียร์ 5
ถ้ากดคันเร่งครึ่งหนึ่งที่รอบต่ำประมาณ 1,700 บูสท์เทอร์โบจะอยู่ราว 0.3 บาร์
ซึ่งก็เพียงพอแล้วสำหรับเครื่องเทอร์โบคู่ความจุขนาดนี้

เสียงเครื่องยนต์ เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ผมสงสัยว่ามันจะเหมือนเดิมหรือไม่
คำตอบก็คือ ไม่เหมือน แม้ว่า Porsche จะพยายามใส่เสียงและเล่นกับท่อไอเสีย
ให้มันมีความห้าวในน้ำเสียงแบบ NA แต่รถที่มีหอยโข่งกับใบพัดกั้นท่ออยู่
กับรถ NA ที่มีแค่เฮดเดอร์ หม้อพัก กับเครื่องกรองไอเสีย ความกังวานของ
เสียงเครื่องยนต์ต่างกัน เหมือนคุณเอากระดาษหนังสือพิมพ์มาม้วนเป็นโทรโข่ง
แล้วเอาปลายด้านใหญ่ออก เวลาคุณส่งเสียงมันจะกังวานดีใช่มั้ยครับ? ทีนี้
ลองทำแบบเดิม แต่กำมือซ้ายเป็นรูเล็กๆ วางเอาไว้ตรงริมฝีปาก คั่นโทรโข่ง
เอาไว้แล้วส่งเสียงอีกครั้ง นั่นล่ะครับอารมณ์ที่ผมพยายามจะสื่อ

มันเป็นเสียงที่ไพเราะดีอยู่ แต่มีความรู้สึกเหมือนเสียงบางส่วนถูกซับเอาไว้
มีความอุดอู้ คล้ายเอาเสียง 911 Turbo มาเทียบกับเสียงลากรอบของ GT3
นั่นล่ะครับ อย่างหลังมันกระตุ้นอะดรีนาลินกว่าเยอะ

คันเร่งตอบสนองได้รวดเร็ว เป็นคันเร่งไฟฟ้าที่สมควรได้รางวัลนักเรียนดีเด่น
ของประเทศ สั่งเท่าไหร่ได้เท่านั้น ไม่มีคำว่าขอคิดดูก่อน ไม่มีอาการลังเล ยกเว้น
แต่ว่าคุณพยายามจะสั่งมันแบบโง่ๆ แต่เพียงวินาทีเดียวมันก็จะตามการสั่งของเท้า
คุณได้ทัน ในโหมด Sport Plus คันเร่งจะค่อนข้างไวมาก หลายคนที่ชอบอัดรถ
แบบไฮเวย์โหมดอาจจะชอบ แต่ผมมองว่าเวลาต้องการเลี้ยงระดับคันเร่งเพื่อเข้าโค้ง
คันเร่งในโหมด Sport Plus จะทำงานไว เท้าใหญ่ๆอย่างผมต้องเกร็งพอสมควร
ถึงจะกำหนดการพุ่งของรถได้ดังใจ

การทำงานของเกียร์ PDK ในโหมดปกตินั้น ยังพอมีอาการกระยึกกระยักเบาๆ
พอให้ทราบได้ว่านี่ไม่ใช่เกียร์อัตโนมัติ ทอร์คคอนเวอร์เตอร์แบบปกติ แต่ไม่ทำให้
รู้สึกรำคาญขนาดนั้น เกียร์ PDK ของ Porsche ยังถือว่าเป็นเกียร์คลัตช์คู่ที่นิสัย
น่าคบที่สุดในโลกลูกหนึ่ง การเปลี่ยนเกียร์ขึ้นและลงทำได้ราบรื่นสบายใน
การขับแบบกดคันเร่งไม่เกินครึ่ง แต่ถ้ากดคันเร่งจมเมื่อไหร่ การเปลี่ยนเกียร์
จะเร็วขึ้นมาก ไปอย่างไร้รอยต่อจน CVT ยังต้องร้องขอชีวิต แต่แรงดึงมาเต็ม
ชนิดเกียร์ธรรมดาคลัตช์แห้งปรบมือให้

เมื่อมีใครพูดถึงเกียร์คลัตช์คู่ว่ามันควรจะทำงานได้แบบไหน มันควรจะมีนิสัย
อย่างไร เวลากดโหมด Sport สุดๆ มันควรจะตอบสนองอย่างไร เกียร์ PDK
ของ Porsche มักเป็นตัวอย่างในด้านดีเสมอล่ะครับ

2016_911CS_kranji02

ส่วนการตอบสนองของพวงมาลัยไฟฟ้านั้น ถ้าคุณนำมันไปเทียบกับ 997 ที่ใช้พวงมาลัย
แบบไฮดรอลิกยุคสุดท้าย ผมบอกได้เลยว่าน้ำหนักที่ความเร็วต่ำต่างกันมาก แต่การหน่วงมือ
ที่ความเร็วสูง กลับไม่ต่างกันมากอย่างที่คิด ความไวในการตอบสนองก็ไม่ได้แย่
มันเป็นพวงมาลัยไฟฟ้าที่ “ใช้ไฟฟ้าเพราะมันช่วยลดภาระเครื่อง ลดมลภาวะ และเพิ่ม
ความประหยัดเชื้อเพลิง” แต่ในการขับขี่ทั่วไป มันไม่หลอนความรู้สึก ถ้าไปเที่ยว
โกหกคนอื่นว่ามันเป็นพวงมาลัยไฮดรอลิกโดยไม่ให้เห็นหน้ายางขนาดมหึมา หลายคน
อาจจะเชื่อก็ได้

สิ่งที่ผมยังรู้สึกแปลก ก็จะมีเฉพาะช่วงที่หมุนพวงมาลัยเกิน 180 องศา การดีดกลับของ
พวงมาลัยยังหน่วงเมื่อเทียบกับพวงมาลัยไฮดรอลิกของ 996/997 แต่อย่าไปเทียบ
กับพวงมาลัยไฟฟ้าของรถพรีเมียมซาลูนเยอรมันแล้วกันครับ ถ้าเทียบกันแบบนั้น
Porsche ก็ให้อารมณ์ที่คล้ายพวงมาลัยไฮดรอลิกมากกว่าอยู่ดี

สิ่งที่สื่อต่างประเทศเขามักจะติกัน คือเรื่องการสื่อความยึดเกาะของยางหน้าผ่านพวงมาลัย
แต่ผมจะบอกตามตรงว่าในสิงคโปร์วันฝนตก เราแทบไม่มีโอกาสจะลองการตอบสนอง
ในโหมดนั้นเลย เรื่องนี้จึงขอติดไว้ก่อน ถ้ามีโอกาสจะลองอีกครั้ง

2016_911CS_rear1

ส่วนเรื่องการตอบสนองของช่วงล่าง ถ้าคุณเคยขับ Porsche ตระกูล Carrera
รุ่นธรรมดาจะทราบอยู่แล้วว่า Porsche ไม่ได้เน้นทำช่วงล่างให้แข็งชนิดลูกหมากแหก
มาแต่ไหนแต่ไร และ 911 Carrera S ที่พวกเราขับคันนี้ก็เช่นกัน เวลาปรับช่วงล่าง
เป็นโหมดปกติแล้วลองวิ่งผ่านรอยต่อของถนนในเมือง กับลานจอดรถที่ Turf City
ผมพบว่าความสะเทือนนั้นแทบไม่ต่างอะไรกับ BMW 116i/118i เลย มันเป็น
ความรู้สึกแบบหนึบแต่ยังเหลือความสบายไว้รับคุณยายกลับจากปาร์ตี้ได้บ้าง

แต่อย่าเพิ่งนึกว่ามันจะนุ่มนิ่มชวนฝันนะครับ ยังไงรถสปอร์ตก็คือรถสปอร์ต และใน
กรณีของ Carrera S ซึ่งใส่ล้ออัลลอยของ 20 นิ้วอย่างนี้ เวลาเจอถนนที่รอยต่อมัน
สูงและชันมากจริงๆ ยางแก้มเตี้ยก็จะไม่สามารถซับแรงกระแทกไว้ได้ทัน และส่ง
อาการตึงตังมาให้รู้สึกได้อย่างชัดเจน

เมื่อปรับช่วงล่างไปโหมด Sport (อันที่จริงผมใช้วิธีบิดสวิตช์ควบคุมบนพวงมาลัยไป
Sport Plus) ช่วงล่างจะแข็งขึ้นพอรู้สึกได้ สามารถควบคุมอาการโยนตัวได้ดีขึ้น
แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นรถสปอร์ตแบบมอเตอร์สปอร์ตจ๋า อาการยวบของตัวรถยังมี
หลงเหลืออยู่บ้าง บางจังหวะเวลาพื้นถนนไม่เรียบเสมอกันและพุ่งมาด้วยความเร็ว
80-90 ก็มีอาการท้ายส่ายตามน้ำหนักเครื่องบ้าง แต่น้อยมากจนไม่ได้ลดทอน
ความมั่นใจเวลาขับลง

ผมเดาว่า Porsche ตั้งใจทำรถ Carrera/Carrera S ให้เอาใจคนที่ชอบขับรถบน
ทางด่วน ในเมือง หรือถนนตามชานเมืองมากกว่า มันจึงยังไม่ได้อารมณ์รถซิ่ง
ถ้าคุณอยากได้แบบนั้น ก็คงต้องใช้บริการ 911R หรือพวก GT3 จะตรงจุดกว่า

2016_911CS_leftfrontdiag02

ระบบเบรก ให้การตอบสนองที่ดี แป้นเบรกหนักแบบรถสปอร์ต แต่เบากว่าพวก
Lamborghini พอสมควร ด้วยแรงต้านเท้าของแป้นที่มาก ทำให้เวลากดเบรก
แล้วมักจะไม่ค่อยมีอาการหน้าคะมำ ระยะฟรีของแป้นแทบจะไม่มีเลย และ
ระยะเหยียบของแป้นเบรกก็สั้นมาก แต่ภายในช่วงสั้นๆแบบนี้ คุณกลับสามารถ
กำหนดความหน่วงในการเบรกได้ง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะ

เรียกได้ว่าระยะของแป้น กับน้ำหนัก ถูกจูนมาให้ทำงานสัมพันธ์กันอย่างดี
ยิ่งกับรถเครื่องวางหลังขับหลังที่พี่แมน มานิตย์ เคยสอนผมไว้ตอนเจอกันที่
ราบ 11 ตอนลองขับ Cayman ว่า รถพวกนี้มันไม่มีน้ำหนักกดหน้า เวลาเข้าโค้ง
เราต้องแตะเบรกเอาไว้บางๆ การถ่ายน้ำหนักจะเข้าสู่จุดที่เหมาะสมและรถจะมี
แรงยึดเกาะที่ยางหน้ามากขึ้น..เบรกของ 911 ก็เซ็ตมาให้ควบคุมได้ง่ายสำหรับ
การขับแบบนี้

การเก็บเสียงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดีในซีกบนของตัวรถ พูดได้เลยว่าเทียบกับ
พวก 996/997 รุ่นเก่าแล้ว รถบอดี้ 991 พัฒนาเรื่องการเก็บเสียงไปได้ไกลขึ้น
ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจว่ายางหลังขนาด 305 มิลลิเมตรนั้น จะให้มัน
เงียบเหมือนยางรถบ้านขนาด 205-215 มิลลิเมตรคงไม่ได้ แน่นอนว่าตลอดเวลา
ที่เราวิ่งไปตามทางด่วนของสิงคโปร์ ยาง Pirelli P-Zero ก็ขับกล่อมเราด้วย
เสียงยางบดถนนดังเหมือนเครื่องบินเจ็ทบินผ่านอยู่ไกลๆไปตลอดทาง

 

*****สรุปการทดลองขับ****
รอรอบไม่มาก ดีดออกตัวสะใจขึ้น เสียงเครื่องเปลี่ยน
อย่างอื่นดีเหมือนเดิม

2016_911CS_withku

แม้ว่าจะยังไม่ได้ขับโดยใช้ความเร็วสูงอย่างที่ผมมักได้ทำประจำ แต่ก็พอบอก
ได้ว่า Porsche 911 Carrera S ที่ได้เครื่องยนต์เทอร์โบรุ่นใหม่นี้ แม้จะไม่เหมือน
กับรถเครื่อง 3.8 ลิตรรุ่นที่แล้ว และไม่เหมือนกับ Carrera ไร้เทอร์โบที่ผ่านๆมา
แต่มันก็สามารถทดแทนกันได้

สิ่งที่เราเสียไป ก็คือเสน่ห์ของเสียงเครื่อง Porsche แบบ NA ซึ่งไม่ต้องใส่ท่อ
แบบสปอร์ตก็กังวานหวานหู ชวนให้กระทืบคันเร่งหนักขึ้นไปอีก ในขณะที่เสียง
ของเครื่องเทอร์โบตัวใหม่ เราฟังแล้วก็รู้สึกได้ว่ามันถูกเค้นออกมาจากท่อไอเสีย
ส่วนตัวเครื่องยนต์เองนั้น ออกจะมีเสียงที่อุดอู้ แต่ก็ยังน่าฟังกว่าเครื่อง V6
เทอร์โบของ GT-R (ความเห็นส่วนตัวของผม)

แต่สิ่งที่สามารถทำให้เราลืมเสน่ห์เรื่องเสียงได้ก็คือแรงดึงมหาศาลจากแรงบิด
ระดับ 500 นิวตันเมตร ซึ่งมาให้ใช้ตั้งแต่รอบต่ำ ในรุ่น 3.4-3.8 ลิตรรุ่นก่อน
แรงจะมาแบบค่อยเป็นค่อยไป ลากรอบยิ่งสูงยิ่งมันส์ แต่เครื่อง 3.0 เทอร์โบ
ตัวใหม่นั้น ขอแค่วัดรอบแตะ 2,400 รอบต่อนาที ก็พร้อมจะระเบิดแรงได้
ทุกเมื่อ โดยที่ไม่มีอาการดีเลย์ของบูสท์ และยังมีการตอบสนองของคันเร่ง
ที่คมกริบชนิดที่แทบแยกความแตกต่างจากเครื่อง NA ไม่ได้เลยทีเดียว

2016_911CS_spoilerupFR

นอกเหนือจากเรื่องเครื่องยนต์ไปแล้ว สิ่งที่ Porsche เคยทำได้ดี ก็ยังดีเหมือนเดิม
เกียร์คลัตช์คู่ PDK ยังแสนรู้ ว่องไว ทำตามสั่งได้ดี และเวลาขับแบบปกติ ก็มีอาการ
กระยึกกระยักบ้างเพียงแต่น้อยมาก ช่วงล่างก็ให้ความสมดุลย์ที่ดีระหว่างการเป็น
รถสปอร์ตขับสนุกกับเป็นรถที่ขับใช้งานในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งตรงกับอุดมคติ
ของ 911 ตั้งแต่รุ่นแรกๆ นั่นก็คือ การเป็นรถสมรรถนะสูงที่คุณสามารถขับใช้งาน
ในชีวิตประจำวันได้

พวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้าที่สื่อต่างชาติหลายเจ้าบอกว่าถ่ายทอดความรู้สึก
ได้ไม่ดีเหมือนพวงมาลัยไฮดรอลิก ผมยังไม่ได้มีโอกาสลองอัดโค้งแบบเต็มๆ
แต่การใช้งานบนถนนในเมืองกับทางด่วนสิงคโปร์ มันให้ความสบายเวลากลับรถ
มีแรงหน่วงมากกว่ารถบ้านหรือพวงมาลัยไฟฟ้าของ Porsche Macan 2.0
พอสมควร แต่สบายพอให้ผู้หญิงขับได้ พอวิ่งด้วยความเร็วสูงขึ้น ก็มีแรงหน่วง
มือที่กำลังดี ไม่วอกแว่ก ความไวของพวงมาลัยใกล้เคียงกับรถอย่าง Golf GTi
หรือ WRX ซึ่งถือว่าเหมาะกับการใช้งานแบบผสมหลายแบบ มากกว่าพวงมาลัย
ที่เซ็ตมาสำหรับการแข่งแบบพวก WRX STi หรือรถแข่งของแท้

บางคนอาจจะบอกว่าไอ้บ้านี่เป็นใคร เที่ยวเอามาเปรียบกับรถญี่ปุ่นคนละเกรด
ผมก็อยากจะเทียบกับรถระดับเดียวกันครับ แต่ก็อยากจะสื่อข้อมูลให้เพื่อนๆ
ที่ฐานะปานกลางสามารถเดาความรู้สึกออกได้ด้วยเหมือนกัน

2016_911CS_rear2PS

ทั้งหมดที่พูดมา คุณผู้อ่านอาจจะบอกว่า แล้วข้อเสียล่ะ ไม่มีเลยหรือ? ก็มีเรื่องเสียง
เครื่องยนต์ และเสียงยางอย่างที่ได้กล่าวไปในย่อหน้าข้างบน ถ้าไม่ใช่เรื่องพวกนี้
ผมเรียนตามตรงว่าถ้าได้ลองขับบนถนนของประเทศไทย หรือลองขับในสภาวะการณ์ที่เร่งรีบ
กว่าที่ได้ลองในสิงคโปร์ ก็อาจจะได้รับรู้ข้อดีข้อเสียมากขึ้น

แต่ภายใต้ข้อจำกัดทางกฎหมายของสิงคโปร์ บวกกับเวลาที่เหลือเฟือในการใช้ชีวิต
อยู่กับรถครึ่งค่อนวัน ทำให้ผมรู้สึกว่าราคาค่าตัวกับความสามารถของ 911 Carrera S
รุ่นใหม่นั้นไปด้วยกันได้ดี มันเป็นรถสปอร์ตที่เข้าใจก็ง่าย ลุกเข้าลุกออกก็ง่าย
ภายในสวย เบาะและพวงมาลัยปรับได้หลากหลายตำแหน่ง เวลากระแทกคันเร่ง
แรงดึงที่ถาโถมเข้ามาก็ทำให้ลืมไปชั่วขณะ…ว่านี่คือ 911 รุ่นที่แรงเกือบน้อยที่สุด
ของโมเดลนี้ มันดึงแรงและสนุกจนทำให้ผมนึกถึง 996 Turbo จากสมัยก่อน
มากกว่า 997 หรือ 991 ที่เพิ่งตกรุ่นไปเสียอีก

ที่สำคัญ ราคาในประเทศไทยของ Carrera S รุ่นใหม่ถูกกว่าเดิม เพราะตามระเบียบ
สรรพสามิตใหม่นั้น รถที่มีความจุต่ำกว่า 3.0 ลิตรลงมาจะได้รับสิทธิในการคิดภาษี
ตามอัตราการปล่อย CO2 ทำให้ราคาลดจาก 14.5 ล้านบาท ลงมาเหลือ 13.5 ล้าน
มีงบเหลือให้คุณเอาไว้สั่งออพชั่นกระจุกกระจิกมากมายที่ขาดไปและควรจะมีมาให้
ตั้งแต่แรกโดยไม่ต้องสั่งเพิ่มอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นกระจกมองข้างพับไฟฟ้า
Keyless Entry ระบบนำทาง หรืออะไรก็ตามที่รถราคา 5-6 ล้านเขามีกัน

เอ๊ะ..หรือว่านั่นน่ะแหละ คือข้อเสีย..?

 

2016_911CS_ending

 


 

ขอขอบคุณ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท AAS Auto Service จำกัด
ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ Porsche อย่างเป็นทางการ
แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
Porsche Asia/Pacific of Singapore

PAN PAITOONPONG
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในไทย เป็นผลงานของ ผู้เขียน
และช่างภาพของทาง Porsche Singapore
ลิขสิทธิ์ภาพ Illustration ทั้งหมด เป็นของ Porsche AG เยอรมนี
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com 
7 กรกฎาคม 2016

Copyright (c) 2016 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
July 7th 2016

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! Click Here!