ว่าว!

นี่ไม่ใช่ประโยคชวนให้คิดทะลึ่ง แต่เป็นเสียง “WOW!” ที่ออกจากปากของผมเมื่อครั้งที่ได้เจอ Peugeot 3008 ที่งานมอเตอร์โชว์ในประเทศสิงคโปร์ แต่พอพูดออกมาแล้ว รุ่นน้องสื่อมวลชนที่อยู่ในบูธด้วยกันได้ยินพลันเข้าใจผิด คิดว่าผมเกิดอารมณ์แฟนตาซีขึ้นมาตอนกลางวันแสกๆ

สิ่งที่ชวนให้ WOW นั้น คือหน้าตา ไม่เหมือนรถญี่ปุ่น ไม่เหมือนรถเยอรมัน ไม่เหมือนรถอะไรที่ผมเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ สิงห์โตที่ดุแบบสง่างามเคร่งขรึมจากยุค 90s ในวันนี้ เปลี่ยนเป็นสิงห์ไซบอร์กที่มีหน้าตาปนระหว่าง Organic และ Cybernetic อย่างเหมาะสม ขนาดไฟหน้าก็มีหยักขึ้นมาดูกวนโอ๊ย (ผมทราบภายหลังว่าหยักที่ไฟหน้า คือ “เขี้ยว” ของราชสีห์) ไฟท้ายเอาอารมณ์รถแข่งแรลลี่ยุค 80s มารวมกับดีไซน์สมัยใหม่ได้อย่างลงตัว แล้วยังมีภายในที่เหมือนถอดแบบมาจาก Concept Car ชัดๆ พวงมาลัยวงเล็กเหมือนรถเด็กเล่น หน้าปัดอยู่สูงใกล้ระดับสายตา

มันสวยเข้าท่ากว่า 3008 เจนเนอเรชั่นแรกแบบคนละเรื่อง และไม่เหมือน Peugeot แบบที่ผมคุ้นเคยมาก่อนเลยสักนิด…จะสารภาพก็ได้ว่าตั้งแต่เขียนบทความให้เว็บนี้มา ผมไม่เคยได้ลองขับ Peugeot ป้ายแดงแม้แต่คันเดียว ดังนั้นความทรงจำของผม จึงอยู่กับรถยุค 90s ของค่ายนี้ ซึ่งนอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องราคาขายต่อที่ตกกราวรูดอย่างน่าหวั่นใจ กับความทนทานในการใช้งานที่เจ้าของ Peugeot เพื่อนผมบอกว่า มันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพราะรถทั้งคันพร้อมย่อยสลายตัวเองได้ภายในสิบปี ..เพื่อนผมพูดเล่น แต่บางคนไม่ขำ เพราะโดนมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมปฏิเสธไม่ได้ก็คือ Peugeot เป็นยาแก้เบื่อรถญี่ปุ่นที่อยู่คู่คนไทยรสนิยมยุโรปรายได้เท่าเกณฑ์เฉลี่ยครัวเรือนมาโดยตลอด รถอย่าง 405 ที่ออกแบบโดย Pininfarina นั้น คือ Peugeot ในแบบที่ผมจดจำ โดยเฉพาะรุ่น Mi16 เครื่อง 1.9 ลิตร 160 แรงม้าเกียร์ธรรมดาซึ่งเป็นรถขับสนุก และทำให้ผมฉงนใจว่ารถขับหน้า น้ำหนักตัวเบาหวิว ยางหน้ากว้างแค่ 185-195 มิลลิเมตร แต่ทำไมทิ้งโค้งเฉียบเป็นบ้า แล้วยังให้ความรู้สึกหนักแน่น ไม่ดิ้น ไม่โคลงแบบรถยุคใหม่ที่เน้นช่วงล่างแข็งเข้าว่า

ไม่ใช่แค่เพียงรถขนาดกลาง แค่ 205 เครื่องยนต์ 1.4 ลิตรของเพื่อนแม่สมัยเด็กที่อุตรดิตถ์ เขาเอารถมาซ่อมที่กรุงเทพ ผมลองขับ และผิดหวังที่ไม่สามารถทำล้อฟรีตอนออกตัวได้..แต่รู้สึกเกินคาดกับช่วงล่าง เขาทำอย่างไร รถเล็กแบบนี้ หน้าตาโบราณแบบนี้ วิ่งรูดฝาท่อซอยประดิพัทธ์ได้นุ่มนวลราวกับ Toyota Crown คันโตๆ แถมห้อบนทางด่วน 140-150 ก็ไม่รู้สึกหวิวอย่างที่คิด

ระหว่างที่ผมกำลัง Daydream ถึงอดีตเมื่อ 15-20 ปีก่อน ก็ได้ยินเสียงรุ่นน้องรำพันเบาๆถึง 3008 ที่จอดโชว์อยู่ว่า

“ถ้าเอามาขายบ้านเรานี่คงวิเศษไปเลยว่ะพี่”

ผมก็มีความเห็นเหมือนเขา เพราะไม่คิดว่าชาตินี้จะได้มีโอกาสขับ Peugeot ยุคใหม่บนแผ่นดินไทย..และทั้งเขากับผมก็คิดผิดถนัด เพราะตั้งแต่ช่วงกลางปี ก็มีกระแสข่าวว่า Peugeot ในไทยจะเปลี่ยนมือเจ้าของใหม่ ไปอยู่กับ MGC Asia (Master Group Corporation Asia) ซึ่งผู้คนที่อยู่เบื้องหลังนั้นก็ไม่ธรรมดา เพราะทำธุรกิจจำหน่ายรถยนต์มานานกับ BMW (มิลเลนเนียม) และ Honda

พอวันที่ 16 สิงหาคม 2019 ก็มีการแถลงข่าวเปิดตัว Peugeot ยุคใหม่ ภายใต้ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการที่ชื่อ “Peugeot ประเทศไทย” ซึ่งได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจาก PSA Group ที่ฝรั่งเศส โดยรถรุ่นที่นำมาเปิดตัวก่อนก็คือ 3008 และ 5008 ซึ่งผมคิดว่าพวกเขาเลือกถูกแล้ว เวลานี้ แม้ผู้คนบนโลกโซเชียลจะถวิลหารถเก๋งและรถสปอร์ตมากเพียงใด แต่รถแบบที่ยอดขายพุ่งจริงจัง ก็หนีไม่พ้นพวก SUV/Crossover นั่นล่ะ และการจะตั้งตัวให้เร็ว ก็ต้องรู้จักหารายได้เข้าบริษัทก่อน จะมีอะไรเหมาะสมไปกว่าการเลือกรถเซกเมนต์ที่คนนิยม แต่นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หน้าตาต่างไปจากชาวบ้าน

จากนั้น ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ทาง Peugeot ประเทศไทยก็จัดทริปทดลองขับไปเขาใหญ่ ในทริปนี้เรามีโอกาสได้ขับทั้งรุ่น 5 ที่นั่ง 3008 และรุ่น 7 ที่นั่ง 5008 แต่ด้วยเวลาที่จำกัดสำหรับการถ่ายภาพ เก็บรายละเอียด ผมจึงขอเล่าถึง 3008 เป็นหลัก เพราะเป็นรถที่ได้รับความนิยมสูงกว่า ยอดจองของ 3008 มีอัตราส่วนสูง 70-80% ของรถ Peugeot ทั้งหมดในขณะนี้

Peugeot 3008 ที่ขายในบ้านเรานั้น เป็นรถประกอบจากมาเลย์ ได้การสนับสนุนที่ดีเยี่ยมจากทางฝรั่งเศสเพื่อช่วยทำราคาลงมา มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย เครื่องยนต์เดียว แตกต่างที่อุปกรณ์

  • 3008 1.6 Turbo Active  1,549,000 บาท
  • 3008 1.6 Turbo Allure  1,699,000 บาท

พร้อมฟรีโปรแกรมบำรุงรักษา Maintenance นาน 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร

บางคนอาจจะสงสัยว่ารถ 2 รุ่นย่อยนี้ต่างกันอย่างไร ก็จะช่วยแถลงไขให้ เพราะปัจจุบัน Peugeot ประเทศไทยยังไม่เคยเอารุ่น Active ออกมาอวดโฉมเลย ก็คงต้องอาศัยจินตนาการของท่าน หรือไม่ก็เปิดดูเว็บ Peugeot ไทย โดยข้อแตกต่างมีดังนี้

  • เขี้ยวสิงห์ที่ไฟหน้า – Active จะมีเขี้ยวสิงห์หยักขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แต่ Allure จะมีเขี้ยวขนาดใหญ่ สูงเกินครึ่งหนึ่งของไฟหน้า
  • กระจังหน้า- Active จะเป็นลายหลายจุดแนวตั้ง แต่ Allure เป็นลายหลายจุดแนวนอน
  • ไฟหน้า – Active เป็นไฟฮาโลเจน ไม่มีไฟตัดหมอก Allure เป็นไฟหน้า Full LED พร้อมไฟตัดหมอก LED
  • วัสดุตกแต่งภายใน – รุ่น Active เป็นพลาสติกลายคาร์บอน รุ่น Allure เป็นผ้าอย่างเก๋
  • อุปกรณ์เสริมต่างๆที่มีเฉพาะรุ่น Allure อาทิ
    • หลังคา Panoramic Sunroof
    • ฝากระโปรงท้ายแบบใช้เท้าเตะเปิดใต้กันชนได้ (Active เป็นไฟฟ้า เปิดด้วยมือ)
    • ระบบนำทาง
    • ระบบช่วยเตือนรถในมุมอับกระจกมองข้าง
    • ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน
    • Cruise Control แบบ Adaptive  (*ขออนุญาตแก้ไขเป็น “ปรับความเร็วตามป้ายสัญญาณจราจรกำหนดความเร็ว มิใช่ปรับตามรถคันหน้า)
    • เซนเซอร์กะระยะด้านหน้า

ด้วยราคาที่ต่างกัน 150,000 บาท คุณต้องลองพิจารณาดูว่าอุปกรณ์เหล่านี้ดึงดูดใจและเงินของคุณได้หรือไม่ ถ้าไม่ใช่สายเน้นออพชั่น รุ่น Active ก็เพียงพอ และมีกล้องมองหลังกับระบบความปลอดภัยอื่นๆมาให้ใกล้เคียงกัน ได้เบาะหนังและเบาะปรับไฟฟ้าคู่หน้า หน้าจอสัมผัส และหน้าปัดแสนกลทั้งคู่ ส่วนรถทดสอบของเราทั้งทริปนี้เป็นรุ่น Allure ทั้งหมด

Peugeot 3008 ใหม่ มีมิติตัวถังยาว 4,447 มิลลิเมตร กว้าง 1,841 มิลลิเมตร สูง 1,620 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,675 มิลลิเมตร ระยะความกว้างของฐานล้อคู่หน้าและหลังเท่ากับ 1,579/1,587  มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดของรถถึงพื้น (Ground Clearance) 219 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 53 ลิตร น้ำหนักตัวถังตามที่แจ้งใน Eco sticker อยู่ที่ 1,527 กิโลกรัม

มองหาคู่ชกที่ตรงพิกัด..ผมเลือก CX-5  มาเทียบแล้วกันเพราะเป็น SUV/Crossover ประเภทท้ายสั้น 5 ที่นั่งที่มีระดับราคาใกล้เคียงที่สุด CX-5 มีขนาดตัวยาว 4,550 มิลลิเมตร กว้าง 1,840 มิลลิเมตร และสูง 1,680 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,700 มิลลิเมตร น้ำหนักตัว รุ่น 2.0SP ตามมาตรฐาน Eco sticker แจ้งไว้ 1,583 กิโลกรัม พูดง่ายๆคือ CX-5 มีขนาดตัวในภาพรวมใหญ่กว่า และมีน้ำหนักมากกว่า แต่ความสูงใต้ท้อง 3008 ก็สูงกว่าอยู่ 26 มิลลิเมตร

ฟังดูเหมือนเอาผู้ใหญ่กับเด็กมาทะเลาะกัน แต่ผมนึกไม่ออกจริงๆครับว่าจะเอาใครมาเทียบ MG HS ก็ดูจะจับลูกค้าจากคนละกลุ่มและช่วงราคาก็แตกต่างกันมากเกินไป

สำหรับความเห็นของผมในเรื่องการออกแบบ จุดที่ผมชอบมากที่สุดใน 3008 (และเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผมอยากเขียนถึงมัน มากกว่า 5008) ก็คือท้ายรถนี่ล่ะครับ มันคือการผสมผสานความเรียบแต่ดุแบบรถแข่ง Hot Hatch เข้ากับความล้ำยุค ที่น่าฉงนคือเส้นสายคมตัดทับไปทับมาพิลึกราวกับงานของ Picasso แต่ไม่ทราบไปทำอิท่าไหนมันดูแล้วเก๋เป็นบ้า คะแนนความสวยในหมู่รถระดับเดียวกัน ผมชูแขนให้เสมอกับ CX-5 ได้ง่ายๆ สวยทั้งคู่ แต่ต่างคนต่างมีความศรัทธาในแนวทางการออกแบบที่ต่างกัน

สัดส่วนของรถดูลงตัว กำยำ สลัดคราบราชสีห์สง่างามแต่แอบแฝงความแก่ของรถยุค 405/406 กลายเป็นสิงหนุ่มเบรกแดนซ์ มีลีลา มีความกล้าในการเป็นตัวของตัวเอง แล้วไม่ได้อินดี้อย่างสะเปะสะปะ แต่ดูแล้วรู้ว่านักออกแบบน่าจะตบกันหลายยกกว่างานจะเสร็จ ขนาดของซุ้มล้อพอเหมาะ ลงตัวกับล้อและยางขนาด 225/55R18 คุณจะลองยัดล้อ 20 นิ้วดูก็ได้ แต่รถไม่น่าจะสวยขึ้นอย่างที่คุณคิด

มาดูภายในกันบ้าง เบาะนั่งของ 3008 ปรับด้วยไฟฟ้าทั้งสองด้าน ฝั่งคนขับสามารถปรับได้ 8 ทิศ ปรับเทหน้า/หลังเพื่อล็อคตัวให้อยู่กับเบาะตอนเบรกแรงๆก็ได้ ส่วนฝั่งคนนั่ง ปรับได้แค่ 6 ทิศ เวลาปรับความสูงจะเป็นแบบยกไปทั้งตัว ปรับเทหน้า/หลังเหมือนเบาะคนขับไม่ได้ ไม่มีระบบบันทึกความจำของเบาะ

ทรงของเบาะนั่งเป็นแบบกึ่งสปอร์ต แต่เป็นเบาะที่ทำให้ผมเถียงกับหลายคนมาก เพราะคนอื่นบอกว่าเบาะดูนุ่มแน่น ส่วนผมคิดว่ามันแข็ง ต้องใช้เวลาและการสังเกตจริงๆ ถึงเห็นได้ว่า มันเป็นเบาะที่ผิวนอกบุฟองน้ำมานุ่มมาก แต่ฟองน้ำส่วนนี้ไม่ได้หนานัก และแกนของเบาะข้างในนั้นแข็งสุดๆ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ถ้าคุณน้ำหนักตัวมากแบบผม ก็จะไปกดทับฟองน้ำจนบี้แบน กลายเป็นรู้สึกว่าตัวเบาะรองนั่งมันช่างแข็งเสียเหลือเกิน นอกจากนี้ตัวเบาะรองนั่งยังสั้น ไม่รองรับใต้ขาคนตัวสูงเท่าที่ควร ดังนั้น ถ้าเป็นเป็นชายไทยไซส์ S หรือ M คุณอาจพบว่ามันนั่งสบาย แต่พวกไซส์ L ขึ้นไป คุณอาจพบว่าเบาะของ Mazda CX-5 นั่งสบายกว่า

พนักพิงศีรษะปรับสูงต่ำได้ แต่ปรับเอนไม่ได้ ตำแหน่งการติดตั้งเยื้องมาค่อนหน้าเหมือน Mazda แต่มันไม่ได้นุ่มนัก เวลาขับทางไกลคิดจะพิงศีรษะคลายเมื่อย กลับไม่สบายหัวอย่างที่ควร อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้จะไม่เกิดกับคนที่ขับรถแล้วไม่เอาหัวพิงหมอน

พื้นที่แหกแข้งแหกขา ฝั่งคนขับนั้นก็พอได้อยู่ คนไซส์ S-L นั่งได้สบาย แต่ฝั่งผู้โดยสารด้านซ้ายนั้น จะโดนเส้นแนวยกสูงของแดชบอร์ดที่ทำมาเพื่อสร้างบรรยากาศล้ำยุคนั่น เบียดพื้นที่ของเข่าขวาไปอย่างน้อย 2-3 นิ้ว ทำให้รถที่กว้าง 1.84 เมตร แหกขานั่งแล้วได้ความสบายไม่มากไปกว่ารถเล็กจากญี่ปุ่นเท่าไหร่ ..เฉพาะฝั่งคนนั่งนะครับที่จะเจอปัญหานี้

ส่วนเบาะหลังนั้น มาแนวนอกนุ่มแข็งในคล้ายกันกับเบาะหน้า นั่งแล้วรู้สึกว่าต้องขยับก้นเปลี่ยนอิริยาบทบ่อย เหตุผลในความเมื่อยก็เหมือนกับเบาะหน้านั่นแหละครับ แต่พนักพิงหลัง แม้จะดูธรรมดา แต่เอาเข้าจริงกลับรองรับหลังได้ดีพอสมควร พนักพิงศีรษะของเบาะหลังก็ปาดลาดไปด้านหลัง ดังนั้นแม้จะยื่นออกมาเหมือนเบาะหน้า แต่พออิงหัวลงไปแล้วรู้สึกชีวิตมีความสุขมากกว่าตอนนั่งเบาะหน้าเสียด้วยซ้ำ นี่ถ้าเอนลงได้สัก 1-2 แก๊ก จะเพิ่มความสบายขึ้นอีกเยอะ

เนื้อที่วางขา ใกล้เคียงกับ Mazda CX-5 และ MG HS ซึ่งเพียงพอสำหรับคนสูง 170 เซนติเมตร นั่งและขยับขาได้โดยอาจจะติดเบาะคู่หน้าบ้าง แต่พื้นที่เหนือศีรษะด้านบนนั้นมีน้อยมาก ปกติหาไม่ได้ง่ายๆนะครับรถทรง SUV ที่ผมนั่งหลังตรงแล้วหัวติด ต้องไถลทะแล่ดตัวมาข้างหน้าเพื่อให้สามารถนั่งได้วิ่งผ่านคอสะพานแล้วหัวไม่โขก แต่ถ้าคุณเทียบกับ SUV-Coupe แบบ BMW X4 หรือ Mercedes-Benz GLC Coupe ล่ะก็ แบบนี้ ยังไง 3008 ก็มีพื้นที่เยอะกว่า

ที่เอา MG, BMW และเบนซ์มาเทียบตรงนี้ ไม่ได้หลงคลาสรถนะครับ แค่พยายามจะสื่อให้คนที่เคยนั่งรถเหล่านี้นึกภาพออกว่ากว้างหรือแคบขนาดไหน ส่วนไซส์ 5XL อย่างผม ถ้าให้นั่งหลัง ผมขอไปนั่งรุ่น 5008 ดีกว่า

รุ่นย่อย Allure จะมาพร้อมกับหลังคา Panoramic Sunroof ที่เป็นกระจกใสยาวไปถึงข้างหลังพร้อมแผ่นบังแดดสไลด์เปิด/ปิดด้วยระบบไฟฟ้า แต่ถ้าเรานึกอยากสูดอากาศหน้าแล้วแล้วกดเปิดรับลม มันจะเปิดเป็นช่องเฉพาะผู้โดยสารตอนหน้า แล้วแผ่นบังแดดก็จะสไลด์ไปอยู่ในตำแหน่งตามที่เห็นในภาพนี้ละครับ

ห้องเก็บสัมภาระด้านท้าย มีความจุ 520 ลิตร สามารถพับเบาะแบบ 60:40 เพื่อเพิ่มเนื้อที่บรรทุกได้ เมื่อพับแล้วจะได้พื้นที่เพิ่มเป็น 1,482 ลิตร ขนาดพื้นที่ดูไม่กว้าง แต่ลึก ความจุโดยรวมมากกว่า Mazda CX-5 เพียงเล็กน้อย (505 ลิตร) แต่ยังเพียงพอสำหรับการใส่กระเป๋าเดินทางขนาดค่อนข้างใหญ่หลายใบ และน่าจะเพียงพอสำหรับชีวิตครอบครัวแบบสามี+ภรรยา และลูกวัยกำลังโต 1-2 คน แต่คงไม่เหลือที่ขนรถเข็นและของใช้เด็กมากเท่าพวก SUV ที่ทำมาเผื่อ 7 ที่นั่ง

ฝาท้ายของ 3008 รุ่น Allure เปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า สามารถพกกุญแจไว้กับตัว แล้วแกว่งเท้าหาเสี้ยน เอ้ย แกว่งเท้าใต้กันชนเพื่อสั่งให้ฝากระโปรงเปิดได้ นี่คือออพชั่นอลังการที่ปกติมักพบในรถยุโรประดับพรีเมียม แต่ปัจจุบัน SUV ราคาไม่เกินสองล้านหลายค่ายก็มีมาให้กันแล้ว

บรรยากาศภายในห้องโดยสาร..เมื่อได้แรกเห็นอาจถึงกับซู้ดปาก เพราะในบรรดารถราคาไม่เกินสองล้าน คงไม่มีรถคันไหนแล้วที่จะเล่นจัดเต็มเรื่องดีไซน์มากเท่า 3008 คอนโซลท่อนกลางยกระดับสูงราวกับจะประชด Porsche 911 เดินเส้นซาตินโครเมียมเป็นแนวรูปตัว C สลับแก้เลี่ยนด้วยวัสดุสีดำเงา และผ้าที่ตกแต่งบนคอนโซลและแผงประตู ถือว่าแทบจะไม่มีใครเหมือน (ยกเว้น Chevrolet Captiva LS ที่ใช้ผ้ายีนส์) ไม่แน่..ผ้าทำนองนี้อาจจะเข้ามาแทนการตกแต่งด้วยวัสดุประเภทลายไม้,Piano Black หรืออะลูมิเนียมในยุคต่อไปก็เป็นได้

ทั้งหมดนี้ ตบท้ายด้วยไฟตกแต่งในห้องโดยสารยามค่ำคืนที่มีสีสัน ปรับเลือกโทนได้ด้วยแอพพลิเคชั่นบนจอกลาง ที่สามารถเลือก Mood ได้ทั้งแบบผ่อนคลาย และแบบแดงเดือดพร้อมรบ ไม่ว่าจะโทนไหน ห้องโดยสารของ 3008 ในยามค่ำคืนก็ดูอลังการ เขยิบไปทาง Mercedes-Benz และ BMW มากกว่ารถญี่ปุ่นราคาล้านกลาง

อย่างไรก็ตาม คุณภาพของวัสดุ และการประกอบ ก็เป็นไปตามราคาของรถ ด้วยค่าตัวแค่นี้ ในรถขนาดนี้ อย่าคาดหวังวัสดุชั้นดีแบบรถราคาสามล้าน หนังที่ใช้ยังไม่ใช่เกรดเนียนนุ่มมือสุด วัสดุพลาสติกและการประกอบบางจุด พูดง่ายๆว่ายังสู้ Mazda CX-5 ไม่ได้ แต่ก็คงไม่มีทางเลือก ถ้าใช้ของดีมากๆ ราคาก็จะแพงไปกว่านี้ คนอาจจะไม่สนใจซื้อเลยก็ได้

ตำแหน่งการขับขี่ประหลาด ต้องทำความคุ้นเคยอยู่สักหน่อย เพราะ Peugeot เลือกใช้พวงมาลัยขนาดเล็กยิ่งกว่าพวกพวงมาลัยรถซิ่งเสียอีก ที่ต้องใช้วงเล็กก็เพราะต้องหลบหน้าปัดที่ติดตั้งไว้สูง แต่เมื่อคุ้นมือแล้ว ผลพลอยได้ก็คือแม้คุณจะตัวใหญ่ขนาดไหนก็หมุนพวงมาลัยได้คล่อง ไม่มีวันที่มือจะไปติดขา

สวิตช์กระจกไฟฟ้าและกระจกมองข้าง อยู่ที่ประตูเหมือนรถปกติทั่วไป ปุ่มสตาร์ทย้ายมาอยู่ที่บริเวณคันเกียร์ ใกล้เข่าซ้ายคนขับ ปุ่มควบคุมหลายอย่าง ถูกย้ายไปอยู่บนจอทัชสกรีน เหลือ Hard switch เพียงไม่กี่อย่าง เรียงเป็นตับอยู่ด้านล่าง คุณสามารถปรับแอร์ได้แค่ 1) อากาศหมุนเวียน และ 2) เป่าไล่ฝ้า นอกนั้น ถ้าจอทัชสกรีนพังขึ้นมา ก็จะไม่สามารถปรับอุณหภูมิหรือทิศทางลมอื่นๆได้อีก

การจัดเรียงสวิตช์แบบ Piano Key สองชั้น ดูแล้วสวยงามแปลกตา ใช้งานได้ถนัดกว่าที่คิด ส่วนบริเวณใกล้คันเกียร์จะมีสวิตช์ปรับโหมดการทำงานของ Traction Control (Advance Grip Control) ที่ดูเหมือนลอกแบบมาจากพวกรถขับเคลื่อนสี่ล้อ แต่อันที่จริง 3008 เป็นรถขับหน้า การทำสวิตช์ในลักษณะนี้ ก็เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการปรับเซ็ตการทำงานของระบบกันไถล ช่วยให้เลือกโหมดที่ตรงกับสภาพถนนได้ง่ายขึ้น

สวิตช์เบรกมือไฟฟ้า อยู่ถัดมาด้านหลังคันเกียร์  ไม่มีปุ่ม Auto Brake Hold ซึ่งผมลองค้นคู่มือเมืองนอกดูก็ไม่พบว่ามีการกล่าวถึงระบบนี้ ไม่มีไฟเตือนของระบบ ผมไม่แน่ใจนักแต่อาจจะไม่มีมาให้ ส่วนปุ่มที่อยู่ท้ายสุดของคันเกียร์คือปุ่มสำหรับโหมด SPORT

จอกลางเป็นแบบทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ซึ่งนอกจากใช้ควบคุมเครื่องปรับอากาศ แสดงระบบนำทาง และระบบบันเทิงทั้งหลายแล้ว ยังใช้เพื่อการเซ็ตฟังก์ชั่นต่างๆของรถ เช่นเปิด/ปิดระบบ Active Safety ต่างๆ สีสันและรูปแบบของหน้าจอนี้ มีความทันสมัยและให้ภาพที่มีความคมชัด ไม่มีฟังก์ชั่นกล้องรอบคัน แต่มีกล้องถอยหลังมาให้

ระบบเครื่องเสียง เป็นแบบ 6 ลำโพง ซึ่งเมื่อลองเสียบ USB ฟังดู คุณภาพเสียงที่ได้ อยู่ในระดับกลางๆ ดีกว่าเครื่องเสียงติดรถของ Subaru XV และ Forester แต่ยังสู้เครื่องเสียงของ Mazda ไม่ได้ในแง่ของมิติเสียง และการเก็บรายละเอียด นี่เราพูดถึง Mazda CX-5 เครื่องเสียงธรรมดานะครับ ไม่ใช่ BOSE แต่ถ้าคุณฟังเพลงแนว POP/Jazz คุณภาพของเสียงที่ได้ ก็ยังถือว่าดีอยู่ ถ้าผมใช้รถคันนี้ ก็คงไม่รู้สึกว่าต้องไปโมดิฟายเครื่องเสียงเพิ่มเติม

แผงมาตรวัด เป็นจอสีขนาด 12.3 นิ้ว และนับเป็นจุดเด่นที่สุดที่เหนือกว่ารถราคาระดับเดียวกัน คุณสามารถปรับการแสดงผลได้ 6 แบบ โดยใช้สวิตช์ลูกกลิ้งที่อยู่บนก้านพวงมาลัยด้านขวา

  • DIALS – แสดงค่าเป็นเข็มวงคู่ มีวัดความเร็วแบบดิจิตอลประกอบ
  • NAVIGATION – ปรับเพื่อแสดงผลของระบบนำทางเป็นหลัก
  • DRIVING – มาตรวัดเข็มจะกลายเป็นมาตรวัดแบบ Rolling Barrel มีรูปรถขึ้นตรงกลาง แสดงผลว่าระบบการขับอะไรบ้างที่เปิดใช้อยู่
  • MINIMAL – แสดงผลเท่าที่จำเป็น คือความเร็ว ปริมาณน้ำมันคงเหลือ และอุณหภูมิเครื่อง
  • TRIP COMPUTER – เหมือน MINIMAL แต่แสดงมาตรวัดรอบและข้อมูลระยะทางที่วิ่ง
  • PERSONAL – แสดงผลตามค่าที่ User ตั้งไว้ โดยสามารถเลือกแสดงค่าต่างๆบนหน้าจอซ้ายและขวา ต้องปรับตั้งข้อมูลที่จะแสดง ณ จุดนี้ ในจอกลาง

นอกจากนี้ ยังเลือกธีมของสี (สุขุม/ร้อนแรง) ได้จากจอกลาง ซึ่งหลังจากทดลองเล่นสักพัก ผมก็กลับมาใช้จอแบบ DIALS ตั้งค่าธีมไปที่สีแดง ซึ่งมีสีสัน และอ่านค่าได้ง่ายที่สุด แต่ยังรู้สึกไม่ชินกับมาตรวัดรอบที่หมุนทวนเข็มนาฬิกาเท่านั้นล่ะครับ

****รายละเอียดทางวิศวกรรม****

Peugeot 3008 และ 5008 ในประเทศไทย มีเครื่องยนต์ให้เลือกเพียงแบบเดียว คือเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ PSA-EP6 หรือเรียกตามรหัสของ Peugeot ว่า 10UF20 5G02 ขนาด 1.6 ลิตร 1,598 ซีซี. จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Direct Injection พร้อมระบบ Variable Valve Timing พ่วงเทอร์โบ Twin Scroll กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 77.0 x 85.8 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1

กำลังสูงสุดอยู่ที่ 167 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ที่ 1,400 – 4,000 รอบ/นาที เมื่อวางในบอดี้ 3008 อัตราการปล่อยมลพิษ CO2 อยู่ที่ 177 กรัม/กิโลเมตร

ระบบส่งกำลัง มีเพียงแบบเดียว คือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Paddle Shift ที่พวงมาลัย คันเกียร์เป็นแบบไฟฟ้า คล้าย BMW/Audi มีอัตราทดเกียร์ดังนี้

  • เกียร์ 1  4.043
  • เกียร์ 2  2.370
  • เกียร์ 3  1.555
  • เกียร์ 4  1.159
  • เกียร์ 5  0.852
  • เกียร์ 6  0.671
  • เกียร์ถอยหลัง  3.192
  • อัตราทดเฟืองท้าย  3.679

สำหรับระบบ Advance Grip Control เป็นสวิตช์ปุ่มหมุนอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของคันเกียร์ มีหน้าที่หลักในการควบคุมอัตราการหมุนฟรีของล้อ แบ่งเป็น 5 โหมดโดยใช้รูปสื่อถึงสภาพถนนที่ขับ

  • Normal – สำหรับวิ่งบนถนนปกติ ระบบจะพยายามไม่ให้มีการหมุนฟรีของล้อ
  • Snow – ระบบจะสั่งการให้เซนเซอร์ตรวจจับอาการลื่นของล้อสองข้างไวเป็นพิเศษ และพยายามควบคุมให้ล้อหมุนแล้วรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยไม่มีอาการฟรีทิ้ง (ใช้งานได้ที่ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง)
  • All Terrain – ในโหมดนี้ จะอนุญาตให้ล้อที่มีแรงยึดเกาะน้อยหมุนฟรีได้ระดับหนึ่ง แต่จะพยายามส่งกำลังไปล้อข้างที่มีการยึดเกาะดี ไว้ใช้ลุยบนโคลน หญ้าลื่น (ใช้งานได้ที่ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง)
  • Sand – ระบบจะปล่อยให้ล้อหมุนฟรีได้ แต่พยายามกำกับให้ล้อสองข้างหมุนไปพร้อมกันเพื่อไม่ให้ติดหล่มทราย (ใช้ได้ที่ความเร็วไม่เกิน 120)
  • OFF- สั่งปิด Traction Control ทิ้งทั้งหมด (ใช้ได้ที่ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง)

พวงมาลัยของ 3008 เป็นแบบเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า ระบบเบรกเป็นดิสก์ 4 ล้อ ด้านหน้าเป็นจานแบบมีร่องระบายความร้อนตรงกลาง คาลิเปอร์เบรกแบบ Sliding พร้อมกลไกปรับความห่างของผ้าเบรกกับจานเบรกอัตโนมัติ ส่วนด้านหลังเป็นดิสก์เบรกตันธรรมดา คาลิเปอร์แบบ Sliding

ช่วงล่างของ 3008 นั้น ด้านหน้าเป็นแบบอิสระ Pseudo MacPherson Strut ส่วนด้านหลังเป็นแบบคานบิด กึ่งอิสระ

****การทดลองขับ****

ในเรื่องของพละกำลังและการตอบสนองนั้น Peugeot 3008 ทำได้ดีตามแรงม้าที่เห็น คุณอาจจะหลงระเริงไปกับคำว่า TURBO จนคิดว่ามันจะไวเหมือนขับ MINI Countryman Cooper S แต่ในความเป็นจริง ผมอยากใช้คำว่ายืดหยุ่นและเพียงพอมากกว่าแรงสะใจ

อัตราเร่ง ผมลองจับโดยใช้โหมดธรรมดา นั่งคนเดียว ได้ตัวเลข 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ประมาณ 10.4 วินาที ทดลองทำในโหมด Normal 4 ครั้ง ค่าแกว่งจากนี้ไม่เกิน 0.2 วินาที และทดสอบวิ่งไปกลับบนเส้นทางเดียวกันเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเรื่องความลาดชันของทางเข้ามาเกี่ยวข้อง

สำหรับอัตราเร่งแซงช่วง 80-120 ทำได้ใน 7.1 วินาที ส่วนโหมด Sport ไม่ได้ลองจับเวลาเนื่องจากมัวแต่ขับหาโลเคชั่นถ่ายภาพและลองเบาะนั่งกับจับอาการช่วงล่าง เหลือเวลาสำหรับทดสอบอัตราเร่งน้อย ต้องรีบนำรถไปคืน แต่ถ้าให้เดา อัตราเร่งแซงช่วง 80-120 น่าจะดีขึ้นเล็กน้อย (ผมเลือกทดสอบโหมด Normal ก่อน เพราะสำหรับรถ SUV/Crossover เกือบทุกคัน เราใช้วิธีใส่เกียร์ D และไม่กดโหมด Sport เพราะจะเอาเลขไปลองเทียบกับรถรุ่นอื่นดูด้วยครับ)

ถ้าคุณพิจารณาจากน้ำหนักของรถและแรงม้า/แรงบิด ก็จะเข้าใจว่าตัวเลขระดับนี้ ถือว่ารับได้ เพราะ 0-100 ใช้เวลาใกล้เคียงกันกับ Nissan X-Trail เครื่อง 2.5 ลิตร และเร็วกว่า Mazda CX-5 2.0 เบนซิน แต่ยังแพ้ CX-5 2.2 ดีเซลเพราะแพ้เขาทั้งแรงม้าและแรงบิด ส่วนอัตราเร่งแซงกลับไวกว่าทุกรุ่นยกเว้น CX-5 2.5 เบนซินรุ่นเก่า และ CX-5 2.2 ดีเซลรุ่นใหม่ ผมถือว่าไม่อืดอาดเมื่อต้องการเรียกใช้พลัง และมันจะยิ่งจี๊ดจ๊าดกว่านี้ถ้าไม่มีอาการคล้ายอมพลังในช่วงออกตัว

ในการขับบนถนนตามปกติ ความดีงามของเครื่องเทอร์โบปรากฎออกมาด้วยพละกำลังแรงบิดที่มาเป็นช่วงกว้าง ขอแค่ให้เข็มวัดรอบตวัดเหนือ 2400 เข้าไว้ จากนั้นคุณจะกดคันเร่งมากน้อยแค่ไหน รถก็จะไปตามสั่งอย่างว่าง่าย ถ้าเทียบ 3008 ที่มี 167 แรงม้า กับ CX-5 ที่มี 165 แรงม้า เวลาขับขึ้นเขาจะรู้สึกได้ว่า Mazda ตอบสนองต่อคันเร่งเร็ว แต่ไม่มีแรงขึ้นเนินถ้าไม่เล่นรอบสูงและกดคันเร่งหนัก ส่วน Peugeot อาจจะตอบสนองคันเร่งไม่คมเท่า แต่พอรอบมันได้ รถจะพุ่งขึ้นเนินไปอย่างว่าง่ายโดยใช้รอบแค่ 3,500 ก็พอ

เกียร์ 6 จังหวะ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีอะไรที่น่ารำคาญเวลาขับแบบปกติ แต่ความแสนรู้ คาดเดาความต้องการของคนขับได้นั้น เกียร์ SkyActiv ของ Mazda ยังทำได้ดีกว่า เลือกเกียร์มาให้ใช้ตามความต้องการได้รวดเร็วกว่า ส่วน Peugeot นั้นจะช้าเท่ารถปกติโดยเฉลี่ย แต่ก็เร็วกว่า CX-5 ที่เป็นเครื่องดีเซล (ถ้าใครเคยลองขับรุ่นเบนซินกับดีเซลติดๆกันจะรู้เลยครับว่า Mazda ดีเซล เกียร์และคันเร่งตอบสนองช้ากว่าเบนซินแบบรู้สึกได้)

อย่างไรก็ตาม เกียร์ของ Peugeot จะมีนิสัยชอบขึ้นเกียร์สูงเร็วเกินไป บางทีเหาะมาเร็วๆ ยกคันเร่งให้หมาข้ามถนนแป๊บเดียว พอจะกดต่อ เกียร์ก็ชิงขึ้นสูงเสียก่อนแล้ว หรือบางครั้งเวลาขึ้นเนิน ถ้าไม่ชันจริง ตรงที่มันควรจะใช้เกียร์ 3 หรือ 4 รถกลับเลือกขึ้นสู่เกียร์ 5 แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปเมื่อกดโหมด Sport ซึ่งความก้าวร้าว และนิสัยการคาเกียร์ จะดุดันขึ้น ขับสนุกขึ้น และได้เสียงสังเคราะห์ที่ดุโหดเสนาะหูเป็นของแถม

การเซ็ตพวงมาลัย มีน้ำหนักปานกลางค่อนไปทางเบา ความไวของพวงมาลัยอยู่ในระดับที่คล่องตัวสำหรับการเล่นโค้งตามภูเขา และวิ่งทางไกลโดยที่ไม่ต้องเกร็งมือมากนัก ผู้หญิงสามารถขับได้ และผู้ชายขับก็จะไม่เกลียด แต่ถ้ากดโหมด Sport ช่วย น้ำหนักของพวงมาลัยจะตึงมือ หนักแบบแมนๆคุยกัน ซึ่งเป็นแบบที่ผมชื่นชอบ และคิดว่าคงไม่ต้องไปปรับอะไรอีก

ช่วงล่าง ..ตรงนี้ แฟนๆ Peugeot จากยุค 90s เตรียมทำใจไว้นิดนึงนะครับ ถ้าคุณคิดถึงบรรยากาศความนุ่มและหนักแน่นแล้วยังเกาะโค้งดีแบบ 405 หรือ 406 บอกได้เลยว่าอาจผิดคาด เพราะ 3008 นั้น มีความแข็งสะเทือน..ไม่ถึงขนาดตัวจี๊ดอย่าง MINI Countryman Cooper S นะครับ แต่ก็ใกล้เคียงกับ SUV ที่เน้นการขับขี่สปอร์ตอย่าง CX-5 เมื่อวิ่งผ่านถนนช่วงที่ไม่เรียบ อาการสะเทือนจะเข้ามาถึงห้องโดยสารชัดเจน แต่เมื่อถนนเปิดโล่ง มันจะเป็นรถที่ขับสนุกมาก ลากความเร็วสูง 160-170 แล้วยังนิ่ง เจอถนนภูเขา อยากสาดโค้งเล่นก็ใส่เข้าไปเลย ใครจะไปนึกว่านอกจาก CX-5 แล้ว วันนี้เรายังมีสิงห์เบรกแดนซ์นิสัยวัยรุ่น ที่ให้คุณขับไล่พวกรถซิ่งในโค้งได้อย่างสบายใจ เกือบเหมือนรถเก๋ง

อย่างไรก็ตาม พึงระลึกไว้ว่า ยางติดรถน่ะ เป็นยาง Continental CommunistContact (จริงๆมันคือ ComfortContact แหละ ผมพูดไปงั้น) มันจะมีจุดอ่อนตามประสายาง Comfort ที่เมื่อถนนมีความชื้นหรือฝุ่นคลุม อาการจะมาทันที และเมื่อเข้าโค้งเร็วเกิน 3008 ก็จะมีอาการหน้าดื้อ แล้วเวลาดื้อคือดื้อจริงจัง คุณต้องอาศัยเสี้ยววินาทีหาจุดที่สามารถคืนพวงมาลัยและเพิ่มน้ำหนักเบรกเข้าไป

แต่ถ้าคุณกล้าพอจะทำสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ ..ลองขับแบบแกล้งโง่ไปเลยครับ หักพวงมาลัยเหมือนคนขี้ตื่น เบรกมั่วๆเหมือนคนไม่เคยเรียนคอร์สขับรถ วิธีนี้จะปลุกระบบช่วยเหลือด้านการทรงตัวให้ตื่นเร็วขึ้นและทำหน้าที่ของมันในการจับเบรกที่ล้อวงในโค้ง ดึงหน้ารถกลับเข้าทิศทางเอง ซึ่งเรื่องความเป็นธรรมชาติแบบนี้จะสวนทางกับ Mazda ซึ่งพยายามเก็บอาการอย่างเป็นธรรมชาติและตอบสนองตาม Input ของคนขับแบบตรงไปตรงมา

การเก็บเสียงของ 3008 ทำได้ดีปานกลาง ไม่รู้สึกว่ามีเสียงอะไรดังรบกวนมากผิดปกติ แต่ในขณะเดียวกัน คู่แข่งทางฝั่งญี่ปุ่นที่พัฒนาไปมาก ก็ทำให้การป้องกันเสียงรบกวนของรถเหล่านั้นดีขึ้นกว่าสมัยก่อน เสียงยางหมุนดังมาจากข้างหลังยังมีเหลืออยู่บ้าง เสียงลมที่กระจกหน้าก็ดังนิดๆ แต่ในภาพรวม ใกล้เคียง CX-5 และไม่ดังเท่า Subaru Forester

อัตราการสิ้นเปลือง ผมใช้วิธีสังเกตจากหน้าจอ On-board Computer ตัวเลขที่ได้ในทริปนั้นจะออกแนวโหดอยู่บ้าง คือ 10.8 กิโลเมตรต่อลิตร แต่เราไม่ได้มีโอกาสขับแบบ 110-120 นิ่งๆกันเท่าไหร่ มีบางช่วงที่ขับตามเป็นขบวนแล้ววิ่ง 100 ตัวเลขก็ค่อยๆเพิ่มเป็น 12 กิโลเมตรต่อลิตร นี่คือตัวเลขแบบเล่าสู่กันฟัง เพราะในการขับแบบทริปใหญ่ ผมไม่สามารถกำหนดสไตล์การวิ่งให้เหมือนกันหมดได้ทุกทริปครับ เอาไปเทียบกับรถคันอื่นในตารางการทดสอบ มันก็ไม่แฟร์

***สรุป****

**ไม่นุ่มอย่างที่คาดหรือสบายอย่างที่คิด แต่มันส์+FUN & เด่น**

Peugeot 3008 ถือว่าเป็นการกลับมาที่สมศักดิ์ศรี เติมเต็มความต้องการของลูกค้ากลุ่มที่ต้องการฉีกแนวจากรถญี่ปุ่น แต่ครั้นมองไปที่รถ SUV/Crossover จากบรรดารถระดับพรีเมียมก็พบว่ารถที่ราคาล้านกลางถึงปลายนั้น มีขนาดเล็กเกินไปหรืออุปกรณ์น้อยเกินไป 3008 มีจุดเด่นที่รูปลักษณ์ภายนอก อาจจะไม่ได้สวยสำหรับทุกสายตา แต่มีความแปลกตาและกล้าที่จะฉีกแนวออกจากรถอื่นๆทั้งหมดในตลาด อีกทั้งบรรยากาศภายใน มีความล้ำยุค ถ้าไอ้รูปทรงภายนอกนั้นต่างแบบฉีก ภายในของ 3008 คือต่างแบบ…ยัดใส่เครื่องทำลายเอกสารเลย

มันคือรถที่พิสูจน์ว่าดีไซน์ที่ดูแพง ไม่จำเป็นต้องมากับราคาที่แพงเสมอไป แสงสีตกแต่งภายใน ดีไซน์ของสวิตช์ ความทันสมัยของหน้าปัด ทำให้รู้สึกว่ารถคันนี้ ถึงขาย 1.99 ล้านก็ยังดูน่าซื้อ (แต่อย่าขึ้นราคานะขอร้อง)

อย่างไรก็ตาม อย่าคาดหวังวัสดุและการประกอบแบบรถเยอรมันนำเข้า อันที่จริง การเก็บงานของโรงงานมาเลย์ ทำได้ดีในจุดที่ตาเห็นชัด แต่พอเริ่มเข้าซอกออกมุมหน่อยจะเริ่มรู้สึกค่อนไปทาง Honda มากกว่า สิ่งนี้ต้องอาศัยเวลาในการปรับปรุง หนัง พลาสติกตามจุดต่างๆ คือเกรดเดียวกับรถ SUV ราคาล้านกลาง ซึ่งก็ไม่ผิด..ก็มันราคาล้านกลางนี่หว่า..แต่ที่ต้องพูด เพราะหลายท่านมีความเข้าใจว่า รถยุโรปต้องเนี๊ยบสุดๆยิ่งกว่ารถญี่ปุ่น ซึ่งไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป

สมรรถนะการขับขี่ สำหรับราคาค่าตัวเท่านี้ ในแง่มุมของคนชอบอัดรถแรงๆ ถือว่าผ่านได้เกรด B เพราะแม้ 0-100 จะไม่ได้หนี CX-5 2.0 หรือ X-Trail 2.5 และยังแพ้ CX-5 2.2 ดีเซล แต่ช่วงเร่งแซงของมันนั้นไวระดับหัวแถว และการเป็นเครื่องเทอร์โบ ทำให้มีแรงบิดช่วงรอบกลางดี มีช่วงกำลังกว้าง ขับขึ้นเขาไม่ต้องลากรอบมากๆก็ไปได้เร็ว เกียร์ทำงานได้ดีถ้าคุณขับแบบรักสันติ แต่เวลาจะบู๊ ต้องคอยกด SPORT ไม่เช่นนั้นมันจะรีบเปลี่ยนขึ้นเกียร์สูงไวเกิน

พวงมาลัยที่เล็ก กับหน้าปัดที่อยู่สูง หลายคนมองว่าแปลก และไม่น่าขับได้ถนัด แต่ถ้าได้ลองขับจริง จะเปลี่ยนใจ เพราะการหมุนพวงมาลัยไปมาเร็วๆสามารถทำได้ง่ายมาก หน้าปัดอยู่ใกล้ระดับสายตา แต่ทัศนะวิสัยด้านหน้ากลับดี ไม่รู้สึกบีบแคบอึดอัดอย่างที่คิด

ช่วงล่าง มาในแนวเน้นยวบน้อยแต่แข็ง เหมือนรถที่ใส่โช้คแบบกึ่งๆสปอร์ต ถ้าถามหาความนุ่มนวลแต่หนักแน่นเกาะถนนดีเหมือน Peugeot ยุคเก่าคุณอาจผิดหวัง เพราะ 3008 นี้จะให้ความรู้สึกเปรียวคล่อง จ้องจะถลาไปตามจังหวะพวงมาลัยเหมือนวัยรุ่นรักสนุก พูดง่ายๆคือมันทำให้ผมนึกถึงช่วงล่าง CX-5 มากกว่า Peugeot 405/406

สิ่งเดียวที่รู้สึกว่าน่าจะปรับปรุงจริงจัง ในเจนเนอเรชั่นต่อไปจากนี้ คือการพยายามทำดีไซน์ภายในให้ดูสวย แต่ไม่เบียดบังเนื้อที่ในการโดยสาร โดยเฉพาะผู้โดยสารด้านหน้าซ้ายนั้น คอนโซลที่ยกแนวเป็นเทือกเขาตะนาวศรีนั่นเบียดเข่าอย่างจริงจัง ทำให้รถที่กว้าง 1.84 เมตร นั่งแล้วแหกขาได้น้อยเกือบไม่ต่างกับ Nissan Almera ใหม่

ประการต่อมาคือเบาะ ซึ่งเวลานั่งตอนแรกๆก็เหมือนดี แต่พอนั่งขับไปไกลๆแล้วรู้สึกเมื่อย คนตัวเล็กอาจจะไม่พบปัญหานี้ แต่ทำไมรถรุ่นอื่นที่ราคาระดับเดียวกัน พูดมาเลย Honda CR-V, Mazda CX-5, Subaru XV/Forester หรือ X-Trail ทั้งหมดนี้เขาสามารถทำเบาะให้คนหลายๆไซส์นั่งแล้วสบายได้เท่าๆกัน นักทดสอบจะไซส์ S หรือ 5XL ก็รู้สึกโอเคที่จะนั่งเหมือนกัน

ทั้งสองเรื่องนี้ ไม่ได้มีผลต่อต้นทุนการผลิตมากนัก แต่ต้องอาศัยต้นทุนการวิจัยเพิ่มขึ้น Peugeot อาจจะต้องทำตามความต้องการและไซส์ผู้บริโภคที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ เรื่องคอนโซลนั้นอาจจะพอยอมได้ แต่เรื่องเบาะ ผมมองว่าทั้งมาเลย์และไทยมีผู้ผลิตเบาะที่มีศักยภาพในการ Custom วัสดุให้เหมาะกับคนท้องถิ่นได้และทำได้ในราคาที่ถูกกว่าแรงงานฝรั่งเศสด้วย ก็น่าจะลองดูมิใช่หรือครับ

ALTERNATIVE CHOICE: PEUGEOT 5008

ถ้าคุณคิดว่า 3008 มีขนาดที่เล็กเกินไป และกำลังเตรียมเพิ่มงบอีกสองแสนบาทเพื่อไปจับ 5008 ที่มีเจ็ดที่นั่ง ..ผมมีบทสรุปการทดลองขับให้คร่าวๆ

จากตำแหน่งเบาะคนขับ 5008 กับ 3008 นั้นนับว่าเป็นฝาแฝดกันเลยก็ได้ อุปกรณ์ต่างๆที่มีให้ก็เหมือนกัน รวมถึงหน้าปัด i-Cockpit ล้ำยุคและพวงมาลัยสองก้านพร้อม Paddleshift ที่มีขนาดวงเล็กนั่นด้วย แม้แต่เบาะนั่งตอนหน้า ก็มีความสบาย (หรือ ความไม่สบาย) เหมือนกันเด๊ะๆ

สิ่งที่ต่าง จะอยู่ในซีกหลัง เบาะนั่งของ 5008 ดูด้วยตาเปล่าเหมือนเบาะรองนั่งจะยาวกว่า แต่เอาเข้าจริง มันเป็นเพราะส่วนกลางของเบาะยุบเข้าไปมากกว่าส่วนรองน่องของคนนั่งซ้าย/ขวามากกว่า อย่างไรก็ตามเบาะที่เลื่อนและปรับเอนได้ก็เพิ่มความสบายในการเดินทางสำหรับคนนั่งหลัง เนื้อที่วางขาอาจจะเพิ่ม แต่เนื้อที่เหนือศีรษะไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ปรับเบาะแถวสองตั้งปกติแล้วนั่งตัวตรง คนตัวสูง 180 มีสิทธ์หัวติดได้เท่ากัน ส่วนเบาะแถวสามนั้น มีไว้สำหรับเด็กตัวเล็กนั่งมากกว่า ความสบายเทียบกับ Mazda CX-8 ไม่ได้

เมื่อพับเบาะแถวสาม พื้นที่บรรทุกด้านท้ายรถจะมีมากถึง 952 ลิตร ถือว่ามากเหลือพอสำหรับชีวิตคนส่วนใหญ่ พ่อแม่ข้าวใหม่ปลามันที่เพิ่งมีลูกป้ายแดง 1 หรือ 2 คน ต้องบรรทุกข้าวของและรถเข็นเด็กเยอะจน 3008 รับไม่ไหว 5008 จะรับได้อย่างสบาย การขับขี่บนทางตรง การตอบสนองของพวงมาลัย เครื่องยนต์ และเกียร์ เหมือน 3008 รวมถึงอัตราเร่งที่ใกล้เคียงกัน

สิ่งที่น่าแปลกอย่างหนึ่งก็คือช่วงล่างหลังของ 5008 กลับมีอาการดิ้นสะเทือนไปตามพื้นถนนมากกว่า 3008 จนรู้สึกได้ เข้าใจว่าอาจเซ็ตช่วงล่างมาแข็งกว่ารุ่นน้องเพื่อเตรียมรับน้ำหนักบรรทุกเต็มอัตรา แต่ในความเป็นจริงควรโฟกัสการใช้งานแบบนั่ง 4 คนเป็นหลัก แล้วปรับให้นั่งสบายกว่านี้ เพราะคนใช้รถ 7 ที่นั่งคงไม่เน้นการขับแบบมุทะลุมากเท่ารถ 5 ที่นั่งท้ายสั้น

ดังนั้น สำหรับคนที่คิดว่าจะซื้อ 5008 ไว้ “เผื่อบรรทุก” แต่แทบไม่ได้มีโอกาสรับผู้โดยสารคนที่ 3-4 ก็ไม่มีความคุ้มค่าเลยที่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มสองแสนเพื่อรูปร่างที่ดูแก่ลง และช่วงล่างหลังที่กระด้างขึ้น ยิ่งถ้าไปเทียบกับ Mazda CX-8 2.5 SP แล้วว่ากันที่ตัวรถล้วนๆ ก็ต้องพูดตรงๆว่ามีแต่ดีไซน์นั่นแหละที่สู้เขาได้ แต่ช่วงล่างในแง่ความสบาย และพื้นที่ภายในนั้นแพ้แบบไม่ต้องสืบ


ท้ายสุดนี้ ไม่ว่ารถจะมีดีหรือไม่ดีในจุดไหน การมาของทั้ง 3008 และ 5008 นั้น ถือเป็นเรื่องในฝันที่กลายเป็นจริงสำหรับหลายคน และถือว่าทีมผู้บริหารเลือกรุ่นรถมาเปิดตัวได้ตรงตามเทรนด์ในตลาดประเทศไทย สิ่งที่ยังต้องค่อยๆสร้างเสริมต่อไปคือความมั่นใจของผู้บริโภคในการซื้อ ต้องยอมรับว่าจะให้ผู้คนจำนวนมากไว้ใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ตอนนี้ศูนย์บริการยังมีที่เดียว จำนวนลูกค้าก็จะมีจำกัด ถึงจะเป็นสิงห์แต่ก็ต้องค่อยๆก้าวไปบนดินที่ยังไม่แข็งตัว

ภายในปีแรกที่เปิดตัว Watch & Learn สิ่งที่ค่ายอื่นทำผิดพลาดแล้ว ถ้าให้มองจากมุมลูกค้า ผมไม่กลัวหรอกถ้ารถจะมี Defect บ้าง รถทุกค่ายมี Defect มากหรือน้อย หนักหรือเบาได้กันทั้งนั้น ลูกค้าไทยก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะขี้โวยวายขี้ประจาน แต่สิ่งที่จะทำให้พวกเขาโกรธ คือการแก้ปัญหาทำนองประวิงเวลา ความไม่เปิดใจซื่อตรงในการสื่อสาร หรือการปัดความรับผิดชอบไม่ว่าจะโดยบริษัทแม่ หรือผู้แทนจำหน่าย

Peugeot ประเทศไทย ต้องระวังในจุดนี้ และอาศัยระยะเวลาในช่วงที่ไก่ยังเป็นลูกเจี๊ยบเช่นนี้ในการดำเนินทางที่ถูก แม้มันจะดูเป็นเรื่องเพ้อฝันไม่น่าปฏิบัติได้ในโลกแห่งความจริง แต่ก็เป็นจุดหมายที่น่าตั้งเป้าเล็งเอาไว้ ในจังหวะที่รถเกือบทุกค่ายประสบปัญหาด้านบริการหลังการขายและ Defect พวกเขาสามารถใช้โอกาสนี้ในการวาดแนวทางบนกระดาษแผ่นใหม่ โดยไม่ต้องมีรอยยางลบรอยขีดฆ่าเยอะเหมือนค่ายอื่น

ภาพลักษณ์ที่แล้วมาเป็นอย่างไรช่างมันก่อน ตอนนี้สิงห์ฝรั่งเศส คือสิงห์ตัวใหม่ ไม่จำเป็นต้องดำเนินรอยตามอดีตอีกต่อไป

—–/////—–

 

ขอขอบพระคุณ บริษัท Peugeot ประเทศไทย (จำกัด)

เอื้อเฟื้อรถทดสอบและเชิญเข้าร่วมกิจกรรมทดลองขับ

Pan Paitoonpong

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน  ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน ช่างภาพของทาง Peugeot (ประเทศไทย) ///ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต///
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com 11 ธันวาคม 2019

Copyright (c) 2019 Text and Pictures. Use of such content either in part or in whole  without permission is prohibited. First publish in www.Headlightmag.com  11 DECEMBER 2019

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!