เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Ford Motor ได้ประกาศแผนธุรกิจในอนาคตระยะกลางว่า พวกเขาจะยุติการทำตลาดรถยนต์นั่งทุกรุ่นในสหรัฐอเมริกา ยกเว้น Ford Mustang และเตรียมเปิดตัว All NEW Ford Focus Active ซึ่งเป็นเวอร์ชัน Crossover เพื่อหันมาผลิตรถยนต์อเนกประสงค์และ SUV-Crossover เป็นหลักแทน

(Ford Edge)

Ford ในวันนี้แตกต่างในวันนั้นเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา Alan Mulally อดีตผู้บริหาร Ford เคยกล่าวไว้ในปี 2008 ว่า ธุรกิจของ Ford จะไม่ยั่งยืนถ้าหากยังไม่ลดการพึ่งพายอดขายรถกระบะใหญ่และ SUV แต่เมื่อเวลาผ่านไปสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป ณ ปัจจุบัน Jim Hackett เป็น CEO ใหญ่ของ Ford กลับเดินหน้าแผนธุรกิจแบบตรงกันข้าม เขาเชื่อว่ายอดขายตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ของ Ford จะมีส่วนแบ่งเฉียด 90% ในอเมริกาเหนือ พร้อมทั้งยกเลิกทำตลาดรถยนต์ Sedan รุ่นไม่สำคัญออกจากตลาดอีกด้วย

Ford Fusion ถือเป็นรถ Sedan ขนาด D-Segment ที่มีความพยายามในการต่อสู้ขอส่วนแบ่งการตลาดจาก Toyota Camry และ Honda Accord อย่างยาวนาน ก็ต้องยอมแพ้ไป, Ford Fiesta คือความพยายามในการหาลูกค้าหน้าใหม่จากสภาวะเศรษฐกิจถดถอยและ Ford Taurus รถ Sedan ใหญ่ที่กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้งในสมัย Alan Mulally เมื่อปี 2006 ก็ต้องถึงจุดจบเช่นกัน

(Ford Edge)

แผนธุรกิจของ Jim Hackett เป็นแผนที่เด็ดขาด เพราะเขามองว่าจะไม่ยอมให้มีสิ่งใดมาทำลายคุณค่าของธุรกิจพวกเขา และมอบอาหาร (ที่หมายถึงรถยนต์กระบะและ SUV-Crossover รุ่นใหม่ ๆ ) ที่ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจแข็งแรง

การมุ่งเน้นทำตลาดเฉพาะรถกระบะ, SUV-Crossover จะช่วยให้ Ford ประหยัดเงินไปได้ถึง 25,500 ล้านดอลลาร์หรือ 808,000 ล้านบาทเมื่อถึงปี 2022

รถยนต์นั่งที่มาจากค่ายรถหรูในเครือ Ford อย่าง Lincoln และธุรกิจรถยนต์ Ford นอกอเมริกาเหนือที่กำลังอยู่ภาวะหดตัว คือตัวทำลายคุณค่าทางธุรกิจ ในส่วนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาว่าจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ซึ่ง Bob Shanks : CFO แห่ง Ford Motor วิเคราะห์ไว้ว่าความต้องการรถยนต์นั่งหดตัวลงทุกเดือน ๆ

(Ford Flex)

Colin Langan นักวิเคราะห์จาก UBS ได้ประเมินเอาไว้ว่า Ford Motor ขาดทุนจากการขายรถยนต์ขนาดเล็ก 800 ล้านดอลลาร์/ปี หรือ 25,360 ล้านบาท/ปี

LMC Automotive เผยว่ายอดขายรถยนต์อเนกประสงค์น้ำหนักเบามีสัดส่วนคิดเป็น 68% ในไตรมาสแรกของปีนี้ และคาดว่าน่าจะมีสัดส่วนสูงถึง 73% ในปี 2022 และเมื่อดูยอดขายรถยนต์อเนกประสงค์ของค่าย Big 3 อเมริกันในไตรมาสแรกของปี 2018 พบว่า GM มีสัดส่วนสูงถึง 84%, Ford มีสัดส่วนสูง 92% และ Fiat-Chrysler มีสัดส่วน 97%

นอกจากนี้ความต้องการของรถยนต์นั่งโดยลูกค้าที่แท้จริงอาจอ่อนแอกว่าที่คิด เมื่อดูยอดขายของ Ford Fusion ในปี 2017 ที่สำรวจโดย Polk จะพบว่า ยอดขาย 1 ใน 3 เกิดจากรถเหมาล็อต Fleet และอีก 19% ก็ล้วนมาจากยอดขายบริษัทรถเช่า

(Ford Flex)

Ford Motor ในยุค Alan Mulally มีความผิดพลาดสองประการคือ การวางแผนเปิดตัวรถเล็กหลังจากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นในปี 2008 แต่กว่าจะเปิดตัวก็ต้องรอถึงต้นปี 2010 และการลุยตลาด SUV ในช่วงขาขึ้นยุค 90s และช่วงต้นยุค 2000 แต่กลายเป็นอาวุธทำลายล้างเมื่อเศรษฐกิจแย่ลง ดังนั้น Jim Farley ผู้บริหารฝ่ายการตลาดระดับโลก Ford Motor เผยว่า Ford จะไม่ยอมให้ความผิดพลาดเหล่านั้นเกิดขึ้น

ในวันนี้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของรถยนต์นั่งและ SUV-Crossover มีความแตกต่างกันน้อยมาก เมื่อนำ Ford Escape ที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 26 MPG ก็ไม่แตกต่างจาก Ford Fusion ที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 27 MPG เนื่องจากรถยุคนี้มีตัวช่วยเทคโนโลยีมากมาย

ที่มา : Automotive News