Full Review : รีวิว ทดลองขับ Audi A4 Avant 45 TFSI quattro S-Line Black Edition : พ่อบ้านหรูซิ่ง นิ่งแต่เชือดเงียบ

 

ในสมัยเด็กๆ คุณเคยมีเรื่องหรือเหตุการณ์ท้าประลองกำลังกันตามสไตล์วัยรุ่นบ้างหรือไม่?

ลองนึกย้อนไปหาตัวเองในอดีต เมื่อพวกคุณอยู่ในช่วงมัธยมต้นถึงปลาย ผ่านเวลาช่วงที่สิวขึ้นบนใบหน้าต้องโปะทาด้วยเคลียราซิลหรือเดอมิสท์ ซีบรีสโลชั่นชุบแล้วเช็ดหลังล้างหน้า ช่วงเวลาที่พวกคุณส่วนใหญ่อาจยังไม่รู้จักคำว่าภาระหนี้สิน ดอกเบี้ย กฎหมาย อย่างลึกซึ้งและเจ็บปวดเท่ากับที่คุณรู้ในทุกวันนี้

แต่คุณรู้จักการตกหลุมรัก การถูกทิ้ง และแน่นอนการทะเลาะเบาะแว้งตามประสาวัยรุ่นเลือดร้อน หรือการแสดงออกซึ่งพละกำลังในเชิงกายภาพ…แบบเดียวกับที่ผมและหลายๆคนเคยผ่านมา แต่วันเวลาก็ผ่านไป ในขณะที่เส้นผมของเราถูกเปลี่ยนจากสีดำเป็นเทา กล้ามเนื้อที่หน้าท้องเปลี่ยนเป็นพุงห้อยๆ สิวบนหน้าแปรสภาพไปเป็นรอยเหี่ยวย่น นัยน์ตาที่เคยคมจนสามารถเล็งเหาบนหัวเด็กสาวต่างโรงเรียนได้ ตอนนี้มองหน้าเมียยังไม่ค่อยจะชัด

สาเหตุที่ผมต้องชวนคุณให้รื้อฟื้นความทรงจำสมัยเด็กกลับมานั้น ก็เพราะเจ้า Audi A4 Avant 45TFSI quattro S-Line Black Edition คันนี้ (ชื่อยาวจนในบทความอาจจะขอเรียกย่อๆว่า A4 Avant หรืออย่างอื่น) มันทำให้ผมนึกถึงเพื่อนสมัยมัธยมคนนึง ชื่อไอ้มิก

มิกเป็นเด็กร่างโต ผอมกว่าผม แต่สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด ผิวขาวๆ หัวกลม เกรียน ใส่แว่น หน้าตาบ่งบอกแบรนด์ความเป็นเด็กสายวิทย์อย่างแท้จริง สมัยมัธยมปลาย พวกเราผู้ชายที่มัธยมสาธิตสถาบันราชภัฎสวนสุนันทา (ชื่อในขณะนั้น) ชอบหาเรื่องประลองกำลังกันเล่นๆ ด้วยการงัดข้อ ผมก็เล่น.. และจะมีก็แต่เพียงท่อนแขนที่แข็งราวเหล็กกล้าของมิก ที่สามารถกดมือผมลงกระแทกโต๊ะได้เหมือนไฮดรอลิก “ทุกครั้ง” งัดกันกี่สิบกี่ร้อยครั้งผมไม่เคยพามือกับแขนของไอ้มิกผ่านแนวมุมฉากมาได้เลย

มิกเรียนเก่ง คะแนนดี เฮอาบ้างเงียบบ้างตามวิสัยคนปกติ ไม่ดูถูกคน ไม่ทำตัวเป็นนักเลงไถตังค์ชาวบ้าน แต่ถ้าใครหาเรื่องก่อนก็พร้อมสู้ ครั้งหนึ่ง พวกเราเด็กมัธยมเคยไปซ้อมบาสฯที่โรงยิมของสถาบันราชภัฎ ซึ่งทุกคนตั้งแต่ประถม/มัธยม/นักศึกษา มาใช้ร่วมกันได้ เมื่อพวกเราไปซ้อมกัน ก็ไม่ทราบว่าเหตุใดพี่ๆนักศึกษาจู่ๆกันหมั่นไส้พวกเรา ตะโกนด่าชิ่งบ้าง แกล้งวิ่งชน เพราะแย่งบริเวณสนามกันเล่นบ้าง แล้วก็ปาลูกบาสอัดหน้าเพื่อนผมจนพวกเราทนไม่ได้ เตรียมต่อยกันแล้ว รุ่นพี่ก็รุ่นพี่ เรายืนกันคนละฝั่งแล้วตะโกนด่ากันด้วยอารมณ์ที่เหมือนด้ายใกล้สะบั้น

…จู่ๆ ไอ้มิกไปกระจากท่อนเหล็กยาว 8 ฟุตมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วก็ใช้มือขวาเพียงมือเดียว เดินถือท่อนเหล็กยาวนั่นวนเป็นวงกลมไปรอบๆ พวกนักศึกษาคล้ายฉลามว่ายวนเหยื่อ แต่ทำด้วยสีหน้า..ยิ้มแย้ม แจ่มใส เป็นมิตร ขัดกับของในมือมัน

วันนั้นไม่มีใครตาย โชคดีว่าพี่คนหนึ่งที่เป็นประธานนักศึกษาเข้ามาห้ามและเคลียร์ให้เราจับมือกัน เราไม่จับ เพราะรุ่นพี่คนหนึ่งถุยน้ำลายใส่ขาเรา สุดท้ายจึงเดินออกมา แล้วก็พากันขำในใบหน้าโหดยิ้มๆ และเหล็กที่ไอ้มิกไปกระชากจากกำแพงที่ไหนสักแห่งหลุดออกมา

คุณดูรูปหน้าของ A4 Avant ดำโหดข้างบนนะครับ มันคือสีหน้าแบบเดียวกันกับที่ไอ้มิกทำในวันนั้น และบุคลิกของทั้งคนและรถก็มีความคล้ายกันอย่างน่าตกใจ ทั้งในเรื่องรูปลักษณ์ที่เฉลียวฉลาด ความกำยำที่ดูไม่เวอร์ แต่พอดี และความสามารถรอบด้าน ที่บางด้านอาจใช้สั่งสอนคนอื่นให้เลิกคิดกำเริบเสิบสานได้

ความรู้สึกที่ได้ใช้ชีวิตหลายวันร่วมกับเจ้า A4 Avant Black Edition นี้จึงค่อนข้างเป็นในทางที่บวก เพราะนอกจากการที่ตัวรถจะมีทั้งประโยชน์ใช้สอยและความสามารถในการป้องกันตัวเสมือนพกไอ้มิกไปกินข้าวร้านลุงตามสั่งฝั่งตรงข้ามโรงเรียนอื่นด้วยแล้ว เทคนิคการจัดอุปกรณ์ภายใน/ภายนอก กับการตั้งราคาของทางผู้แทนจำหน่ายรายปัจจุบันอย่าง Meister Technik ก็ส่งผล A4 ที่ตกแต่งมาอย่างโหด มีเบาะสปอร์ต Fine Nappa Leather หลังคา Panoramic เครื่องยนต์เทอร์โบ 252 แรงม้าพร้อมเกียร์คลัตช์คู่และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อคันนี้ อยู่ที่แค่ 3,249,000 บาท

ปฏิกริยาตอบสนองจากผู้ชมทางบ้านก็เลยดีเกินคาด จากเดิมที่รถอนุกรม A4 มีค่าแค่เพียงไม้ประดับของ Audi Thailand ที่ไม่ได้เรียกยอดจองมากเท่ากับ TT หรือ Q7 กลายเป็นพระเอกของค่ายในงาน Motor Expo ปลายปี 2017 ได้โดยที่ไม่มีใครคาดคิดว่า พ.ศ. นี้ รถสเตชั่นแวก้อนใต้ท้องเตี้ยจะยังมีคนหลงใหลอยู่ ทำให้ A5 Sportback ที่ทั้งสวยทั้งเซ็กซี่และสีแดงแสบสันต์รู้สึกเหมือนดาวโรงเรียนที่โดนเด็กใหม่แย่งความสนใจไป

ไม่ใช่แค่พวกคุณหรอกครับที่สน..J!MMY, ผม, คุณหมู, ทีม The Coup ทั้งทีม ก็ชอบ..สื่อมวลชนระดับอาวุโสหลายท่านต่างก็รู้สึกชอบใน แพ็คเกจกับราคา ที่รถคันนี้มีให้ โดยเฉพาะพี่คิงสลีย์ นักขับรุ่นอาวุโสจาก The Nation ได้ลองขับแล้วถึงกับบอกว่าเป็น “Best Supermarket car, in a good way”…อย่าลืมว่านี่คือคำจำกัดความโดยสื่อฯ รุ่นคุณพ่อที่เน้นเรื่องการขับขี่เป็นอย่างมาก คุณคิดว่าไงล่ะครับ?

..ผมถึงต้องมาเขียนแชร์ให้ทุกท่านอ่านกันนี่ไง!

A4 เจนเนอเรชั่นแรก เผยโฉมในเดือนตุลาคมปี 1994 มีรหัสเรียกขานกันว่า A4 B5 หรือตัวถัง Type 8D ซึ่งถูกพัฒนามาเพื่อแทนที่ Audi 80 ซาลูนขนาดกระทัดรัดของค่าย (ในสมัยนั้น) ซึ่งเริ่มมีอายุมากและโดนกระแสความใหม่ของซีรีส์ 3 E36 และ C-Class W202 กลบจนไม่เหลือแสง แม้ว่าดีไซน์ของรถจะเริ่มตั้งแต่ปี 1988 แต่ทาง Audi ก็รอจนได้เห็นโฉมหน้าตัวจริงของคู่แข่งก่อนที่จะเซ็นอนุมัติแช่แข็งดีไซน์

ผลของการรั้งรอจนเปิดตัวช้ากว่าคู่แข่งก็ยังให้ความคุ้มค่า เมื่อ A4 เจนเนอเรชั่นแรกเปิดตัวออกมา มันกลายเป็นรถที่ดูทันสมัยที่สุดในกลุ่ม ด้วยเส้นสายที่ถอดแบบมาจากเวอร์ชั่นต้นแบบของ A8 (ASF) แล้วย่อส่วนลงมาในแบบที่กำลังพอดี เป็นการฉีกรูปทรงชนิดอกอิแป้นแตกจาก Audi 80 เดิมทั้งภายนอกและภายใน โครงสร้างตัวถังก็ใช้แพลทฟอร์ม PL45 แบบเดียวกับ Volkswagen Passat B5 และ Skoda Octavia ในยุคเดียวกัน เครื่องยนต์วางตามยาว ขับเคลื่อนล้อหน้า และ 4 ล้อ Quattro และยังเป็นรถรุ่นแรกของค่ายที่ได้ใช้เกียร์อัตโนมัติ Tiptronic (มีฟังก์ชั่น +/- ซึ่งประยุกต์มาจากของ Porsche)

คนไทยเราก็มีโอกาสได้ใช้ A4 รุ่นนี้อย่างแพร่หลาย โดยรุ่นแรกที่เข้ามา เป็นรุ่น 1.8 ลิตร ฝาสูบแบบ 5 วาล์วต่อสูบ 125 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะพร้อม DSP-Dynamic Shift Program ตามมาด้วยรุ่น 2.4 ลิตร V6 150 แรงม้า ก่อนที่จะมีการไมเนอร์เชนจ์เปลี่ยนไฟหน้าเป็นโปรเจคเตอร์และไฟท้ายใหม่ มีทั้งรุ่น 2.4 V6 165 แรงม้า และรุ่น 1.8 เทอร์โบ 150 แรงม้า ซึ่งรถรุ่นหลังนี้จะได้เกียร์ Tiptronic มาใช้แล้ว

ต่อมาในเดือนตุลาคมปี 2000 Audi ก็เผยโฉม A4 เจนเนอเรชั่นที่ 2 ตัวถัง B6 (8E) ซึ่งออกแบบตัวถังโดย Peter Schreyer (คนนี้ตอนหลังออกไปอยู่กับ Kia และมีส่วนปฏิวัติความหล่อของรถเกาหลีค่ายนั้นในระดับมหภาค) ดีไซน์เส้นสายตัวถังถอดแบบมาจากรุ่นพี่อย่าง A6 ซึ่งจำหน่ายมาก่อนหน้านั้น 3 ปี เน้นความเรียบร้อยแต่ซ่อนเส้นตัดมุมไว้ด้านข้างตัวถัง A4 รุ่นนี้ยังใช้เครื่องยนต์แบบ 5 วาล์วต่อสูบในรุ่นเบนซิน 4 และ 6 สูบ บ้านเราก็มีโอกาสได้ใช้ แต่เนื่องจากมาในช่วงเวลาที่เรายังไม่ฟื้นจากพิษต้มยำกุ้ง และประกอบกับการใช้เกียร์ CVT Multitronic ที่หลายคนยังกังขาถึงความทนทาน ทำให้ขายได้น้อยมาก จัดเป็นรถหายากรุ่นหนึ่ง

ปลายปี 2004 เจนเนอเรชั่นใหม่ก็มาแทนที่รุ่นเดิม โดยแม้จะมีรหัสว่า B7 และทำตลาดเหมือนเป็นรถเจนเนอเรชั่นใหม่ แพลทฟอร์มที่ใช้ก็ยังคงเป็นแบบ PL46 ที่แชร์กันกับ Volkswagen เช่นเดิม หน้าตาของรถถูกออกแบบใหม่โดย Walter de Silva ซึ่งแม้ว่าตัวถังหลักจะยังคงเหมือน B6 แต่ด้านหน้าและด้านท้ายเปลี่ยนแนวการออกแบบมาโดยให้กระจังหน้าดูใหญ่โตเต็มพื้นที่ เปลี่ยนไฟหน้ากับไฟท้ายใหม่ ภายในคล้ายเดิม ยกเลิกการใช้เครื่อง 5 วาล์วต่อสูบ เปลี่ยนมาใช้เครื่อง Direct Injection FSI แทน ซึ่งการที่ต้องเพื่อที่สำหรับหัวฉีดตรง ทำให้ต้องลดจำนวนวาล์วต่อสูบเหลือ 4 เหมือนเครื่องทั่วไป ระบบส่งกำลังในรุ่นขับหน้ายังเป็น CVT Multitronic ส่วนรุ่น quattro จะได้เกียร์ 6 จังหวะของ ZF

ผมได้มีโอกาสขับรถบอดี้ B7 เพียงครั้งเดียว และมันคือ MTM RS4 ของคุณสุวิชชา ลีนุตพงษ์ หรือคุณโต ซึ่งได้กรุณาอนุญาตให้ผมอัดเล่นรอบสนามหลังซีค่อนสแควร์และทำให้รู้ว่าพอเครื่อง V8 4.2 ลิตร 8,000 รอบมันมีทางให้กด เรี่ยวแรงและการตอบสนองมันต่างจาก Impreza หรือ Evolution สเป็คโรงงานที่ผมเคยขับมามากขนาดไหน

B7 ทำตลาดอยู่ได้เพียงไม่กี่ปี Audi ก็เปิดตัวบอดี้ B8 (8K) ในเดือนกันยายน 2007 ที่ Frankfurt Motorshow ในเจนเนอเรชั่นนี้ Audi เปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของรถมาใช้ MLB-Modular Longtitudinal-engined ฺBody ที่ทำมาใช้กับรถเครื่องวางตามยาวด้านหน้า ซึ่งนอกจากจะใช้กับบอดี้ A4, A4 Avant แล้ว ก็ยังแชร์กันกับ A5 (ซึ่งเผยโฉมก่อน A4), Q5, A6, A7 และยังมีการปรับไปใช้ใน Porsche Macan อีกด้วย

แพลทฟอร์ม MLB ถูกพัฒนามาเพื่อแก้ปัญหาหลายอย่างที่เคยสะสมมาตั้งแต่อดีต รวมถึงตำแหน่งการติดตั้งเครื่องยนต์ เกียร์ และความยาวระยะฐานล้อ ซึ่งในเจนเนอเรชั่นนี้ถูกปรับให้ฐานล้อยาวขึ้นถึง 160 มิลลิเมตร บอดี้ยาวใกล้เคียงเดิม ระยะความยาวจากส่วนหน้าสุดของรถถึงแนวแกนกลางล้อคู่หน้า (Overhang) สั้นลง ตัวเครื่องยนต์อยู่หลังจากแทร็คล้อหน้ามากขึ้นกว่าเดิม ให้การบังคับควบคุมดีขึ้น ลดอาการหน้าดื้อเวลาเข้าโค้งแรงๆลง ส่วนเครื่องยนต์ที่มีให้เลือกนั้นก็มีทั้ง 1.8-2.0 ลิตรเทอร์โบ 3.0 ลิตรซูเปอร์ชาร์จ และเหลือเพียงเครื่อง 3.2 ลิตร V6 265 แรงม้าเพียงรุ่นเดียวที่ไม่มีระบบอัดอากาศ

ในช่วงปลายปี 2011 ทาง Audi ก็ไมเนอร์เชนจ์ปรับหน้าตารถโดยเปลี่ยนไฟหน้า กันชนหน้าและกระจังหน้าใหม่ ไฟหน้าและไฟท้าย LED ใหม่ ปรับเปลี่ยนวิธีการใช้งานระบบมัลติมีเดีย MMI และสวิตช์ควบคุมต่างๆให้ใช้งานได้ง่ายเครื่อง เครื่องยนต์ 3.2 ลิตรเบนซินหายใจเองถูกยกเลิกการทำตลาดไป และเปิดตัวรุ่น RS4 V8 4.2 ลิตร 444 แรงม้า ซึ่งนี่จะเป็นสายพันธุ์สุดท้ายของ Audi V8 บล็อคโตที่ไม่มีเทอร์โบหรือระบบอัดอากาศ

พอได้ฤกษ์ที่จะพัฒนาเจนเนอเรชั่นใหม่ (ซึ่งก็เริ่มกันตั้งแต่ช่วงปี 2010 นั่นล่ะ) Audi เริ่มเล็งเห็นแนวทางของรถเซกเมนต์นี้แล้วว่าจะมีทิศทางอย่างไร BMW ที่เคยทำรถสปอร์ตซาลูนประเภทไม่แคร์คนนั่งหลัง ก็ยังปรับตัวปรับใจทำพื้นที่มาเอาใจคนนั่งหลังมากขึ้น ขณะเดียวกัน Mercedes-Benz ก็มีนโยบายที่จะทำภายนอกและภายในของรถให้มีความเป็น Premium ระดับผู้นำของคลาส Audi ก็เลยต้องคิดหนักว่าจะปรับตรงไหนบ้าง

เมื่อมองจากขนาดของตัวรถ Audi จะให้ความสำคัญทั้งในเรื่องพื้นที่ใช้สอยและน้ำหนักตัวรถซึ่งจะส่งผลต่อการขับขี่ เมื่อคิดได้ว่ารถรุ่น B8 ที่ใช้แพลทฟอร์ม MLB นั้นมีขนาดที่ใหญ่โตอยู่แล้ว ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานก็จะใช้เวอร์ชั่นพัฒนาต่อของ MLB Platform ที่เรียกว่า MLBevo ดังนั้นขนาดตัวรถจึงไม่ควรหนีจากเดิมมากนัก ส่วนที่ยาว หรือกว้างขึ้น ก็ทำไว้เพื่อให้ทรวดทรงของรถมีสัดส่วนที่ดูเพรียวลมหน้ามองขึ้น Frank Rimili ก็คือผู้รับหน้าที่ออกแบบภายนอก เขามองว่ารถรุ่นที่แล้วนั้นยังขาดความดุดัน ดูหวานเกินไปนิด ทางแก้ก็คือเอาเส้นสันหั่นคม เข้ามาเสริมอารมณ์ส่วนหน้าและท้ายของรถ ส่วนด้านข้างนั้นเส้นหลักและกรอบกระจกของ B8 ทำมาสวยดีอยู่แล้ว

อันที่จริงเขาคงไม่อยากเปลี่ยนอะไร ถ้าคุณสังเกตกันสักหน่อยจะพบว่าด้านข้างของรถคือส่วนที่ Audi เปลี่ยนแปลงมันน้อยที่สุดนับตั้งแต่เข้าศตวรรษใหม่เป็นต้นมา

ส่วนงานออกแบบภายในนั้น เป็นของ Ruediger Mueller ซึ่งเป็นส่วนที่มีการเปลี่ยนไปมากที่สุด คอนโซลที่เคยเป็นบั้งอัดสายตาใน B8 ถูกเปลี่ยนให้เป็นแนวราบ ให้บรรยากาศที่ปลอดโปร่งสำหรับคนนั่งหน้า โดยมีจอกลางเท่านั้นที่โผล่ขึ้นมาขวางวิวนิดๆ สไตล์การออกแบบยุคใหม่ของ Audi จะเน้นความทันสมัย บวกกับความสะอาดสายตา เรียบง่าย ไม่รกเลอะเทอะ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบตำแหน่งสวิตช์และจอต่างๆ เพื่อให้รองรับต่อการเป็นรถในยุคอินเทอร์เน็ตมากขึ้น

Audi A4 บอดี้ล่าสุด (B9 หรือ 8W) เผยโฉมสู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการที่งานมอเตอร์โชว์ Frankfurt ในเดือนกันยายนปี 2015 ส่วนในไทย ก็มีการนำเข้ามาจำหน่ายโดยผู้แทนจำหน่ายรายเดิมก่อน จากนั้นทาง Meister Technik ซึ่งมีคุณกฤษฎา ล่ำซำ เป็นประธานกรรมการบริษัท และคุณกฤษณะกร เศวตนันทน์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ได้เข้ามามีบทบาทในการทำตลาดแบรนด์สี่ห่วง โดยเซ็นสัญญากับบริษัทแม่ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2016 และเปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการ พร้อมกับรถรุ่นต่างๆที่จะมาจำหน่ายตั้งแต่ 22 มีนาคม 2017

ในบรรดารถรุ่นแรกๆที่เปิดตัว ก็รวมถึง A4 บอดี้ 4 ประตู ซึ่งมีให้เลือกเพียง 2 รุ่น ได้แก่

  • A4 40 TFSI S-Line 2.0 ลิตร เบนซินเทอร์โบ 190 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ราคา ณ วันเปิดตัว 2,699,000 บาท
  • A4 45 TFSI Quattro S-Line  2.0 ลิตร เบนซินเทอร์โบ 252 แรงม้า พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro 3,149,000 บาท

(หมายเหตุ: ในปัจจุบัน A4 45 TFSI Quattro มีการปรับราคาลงเหลือ 2,999,000 บาทและมีการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์เล็กน้อย)

ส่วนบอดี้สเตชั่นแวก้อน หรือ Avant นั้น มีการเผยราคาและรายละเอียดตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน และนำรถไปจัดแสดงไว้ที่งาน Motor Expo ปลายปี 2017 โดยมีให้เลือกเพียงระดับการตกแต่งเดียวคือ 45 TFSI Quattro S-Line Black Edition คันที่ท่านเห็นอยู่นี้

A4 Avant 45 TFSI Quattro มีความยาวตัวถัง 4,725 มิลลิเมตร กว้าง 1,842 มิลลิเมตร สูง 1,434 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,820 มิลลิเมตร ระยะความกว้างช่วงล้อคู่หน้า / หลัง (Front / Rear Track) อยู่ที่ 1,572 และ 1,555 มิลลิเมตร ตามลำดับ น้ำหนักตัวรถ ตามที่ระบุมาในสเป็คคือ 1,575 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 58 ลิตร ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd=0.30 ซึ่งอาจจะดูสูงสำหรับรถสมัยใหม่ แต่อย่าได้แปลกใจเพราะนี่คือตัวเลขของรุ่นที่ใส่ล้อโตและชุดแต่งพร้อม ซึ่งมีผลต่ออากาศพลศาตร์ของรถ

ขนาดตัวถังของบอดี้ Avant นั้น หลายคนดูแล้วอาจจะนึกว่ายาวกว่าตัวซีดาน แต่ปรากฏว่าความจริงต่างกันแค่ 1 มิลลิเมตร และรุ่นซีดานยาวกว่า ยิ่งถ้าวัดความยาวของห้องเก็บสัมภาระจากเบาะหลังถึงขอบในของฝากระโปรงท้าย ยิ่งน่าฉงนเมื่อพบว่ารุ่นซีดานมีพื้นที่ยาว 1,081 มิลลิเมตร ในขณะที่ตัว Avant นั้นจะสั้นกว่ากัน 31 มิลลิเมตร

เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง BMW ซีรีส์ 3 Touring ซึ่งมีขนาดยาว 4,624 มิลลิเมตร กว้าง 1,811 มิลลิเมตร สูง 1,429  มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อยาว 2,810 มิลลิเมตร กับ C-Class Estate ซึ่งยาว 4,702 มิลลิมเตร กว้าง 1,810 มิลลิเมตร  สูง 1,457 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาว 2,840 มิลลิเมตร จะเห็นได้ว่า A4 Avant ยาวและกว้างที่สุด แต่ฐานล้อเบนซ์ยาวกว่าและบอดี้ของเบนซ์สูงที่สุด

ทว่าน่าเสียดายหน่อยที่การเปรียบเทียบกับรถสองรุ่นนี้ คงทำได้แค่ในเชิงทำให้เห็นภาพ…เพราะในปัจจุบัน BMW เลิกขาย F30 บอดี้ Touring แล้ว เช่นเดียวกับค่ายดาวสามแฉกที่เลิกทำตลาด C350e Estate ไปเมื่อไม่นานมานี้

รูปลักษณ์ภายนอก โดยรวมนั้นถ้าใครจะเข้าใจผิดว่ามันเป็นเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ “อีกรอบ” ก็อย่าไปว่าเขาเลยครับ เพราะทรวดทรงของกระจกบานข้างนั้นเหมือนรุ่นก่อนหน้านี้จนต้องสังเกตดีๆ ไฟหน้า LED จัดทรงออกมาดูดุกว่าเดิม (และเป็นไฟหน้าที่ปรับองศาจานฉายอัตโนมัติซึ่งใช้งานได้จริง ไม่ใช่บอกว่า Auto แต่วิ่ง 60 กับวิ่ง 140 พ่อก็ส่องไกลเท่ากัน) เส้นสายด้านข้าง ต้องสังเกตที่ส่วนล่างของประตูจึงจะเห็นความต่างจากรถรุ่นเดิม

ส่วนด้านท้ายนั้น มีทรงของไฟท้ายที่แตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างชัดเจน เป็นไฟท้ายแบบ LED 48 หลอด พร้อมไฟเลี้ยวที่เมื่อเปิดใช้งานจะกระพริบไล่ติดๆกันจากดวงนอกไปในเหมือนไฟส้มๆของรถหน่วยซ่อมบำรุงการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ซึ่งทำให้รถดูเด่น ล้ำยุคคล้ายรถต้นแบบ และน่าจะทำให้คนประเภทที่ไม่ชอบเปิดไฟเลี้ยวเวลาเปลี่ยนเลน มีความอยากจะใช้บริการไอ้ก้านเล็กๆที่ด้านซ้ายของคอพวงมาลัยมากขึ้น

รถทดสอบของเรา มาพร้อมกับชุดแต่ง Black Edition ซึ่งก็คือกระจังหน้า กระจกมองข้าง และชุดวัสดุตกแต่งสีดำ แล้วก็ยังมีชุดแต่งที่มาพร้อมกับ S Line Black Package ซึ่งประกอบไปด้วย

  • กันชนหน้าแบบ S Line ซึ่งจะมีช่องดักลมด้านหน้าเป็นแถบกับลายตาข่าย ดูสปอร์ตกว่ารุ่นปกติ
  • ราวหลังคาสีดำ
  • ล้ออัลลอย 19 นิ้ว ลาย 5 ก้านสีทูโทนเงินสลับไทเทเนียม
  • ช่วงล่างแบบ Sport
  • โลโก้ S Line

ซึ่งชุดแต่งทั้งหมด แม้จะไม่ได้ดูดุโหดราวกับนักซิ่งแต่งมาเอง แต่มันก็ช่วย “หยอด” ความโหดลงไปบนบอดี้มาตรฐานของ A4 Avant ซึ่งหากไร้ชุดแต่งใดๆแล้วใส่ล้อ 17 นิ้ว ก็จะดูเรียบๆ หงิมๆเหมือนพ่อบ้านเรียบร้อยที่อยู่ภายใต้การปกครองในระบอบภรรยาธิปไตยเต็มร้อยทุกฝีก้าว พอใส่แพ็ค S Line + Black Edition ลงไป ก็กลายเป็นพ่อบ้านหน้านิ่งแอบโหดพร้อมพลังปกป้องครอบครัวที่ดูจริงจังห้าวหาญมากขึ้น (แต่ยังอยู่ในกรอบที่กำหนดโดยภรรยาเช่นเดิม..อย่า..อย่าเพิ่งได้ใจ)

การเข้าสู่ตัวรถ ก็ใช้กุญแจ Smart Key ซึ่งทาง Audi เขาจะเรียกว่าเป็นออพชั่น “Audi Comfort Key” ซึ่งคุณสามารถพกไว้ในกระเป๋ากางเกง เดินเข้าใกล้รถ แล้วเอามือเอื้อมจับประตูเปิดได้เลย คุณสามารถเซ็ตผ่านจอกลางได้ว่าเมื่อคนขับเอามือจับเปิดประตู จะให้รถปลดล็อคประตูทุกบานพร้อมกันหรือปลดล็อคเพียงแค่บานคนขับ ซึ่งมีประโยชน์ในกรณีที่คุณต้องไปจอดตามห้างหรือสถานที่อันมีความเสี่ยงต่อโจรผู้ร้าย โดยเฉพาะเจ้าของรถที่เป็นผู้หญิง ซึ่งบางครั้งเมื่อคุณปลดล็อคประตูทุกบาน พวกโจรห้าร้อยจะแอบวิ่งมาเปิดประตูบานอื่นเข้าไปนั่งในรถแล้วทำการจี้ปล้น

นอกจากนี้ ตัวกุญแจยังมีปุ่มสำหรับกดเปิดฝากระโปรงท้ายแบบไฟฟ้า ซึ่งเหมาะกับมนุษย์หัวโบราณแบบผมที่ชอบกดปุ่มมากกว่าจะใช้ระบบเปิดฝาท้ายโดยไม่ใช้มือที่ Audi ติดตั้งมาให้ในรถคันนี้

ส่วนการสตาร์ทรถนั้น ก็ให้เหยียบเบรกแล้วกดปุ่มสตาร์ทซึ่งตำแหน่งที่อยู่จะแปลกกว่ารถที่มี Push Start รุ่นอื่นๆ เพราะย้ายสวิตช์ลงต่ำมาอยู่บนคอนโซลกลางใกล้หัวเข่าของคนขับ

การเข้า -​ ออกจากบานประตูคู่​หน้า จะสะดวกดีต่อเมื่อคุณปรับเบาะนั่งลงจนต่ำสุด มิเช่นนั้น คุณอาจเจอปัญหาหัวโขกกับเสากรอบประตูได้ นี่เป็นปัญหาที่พบได้ในรถยุโรปรุ่นใหม่ๆจำนวนมากซึ่งออกแบบกระจกบานหน้าเอนลาดเน้นแอโร่ไดนามิกส์
ห้องโดยสารเป็นโทนสีดำ แผงประตู​ด้านข้างบุด้วยผ้า Alcantara สีดำ ให้สัมผัสที่นุ่มสบายดีงาม มือจับเปิดประตู ทำจาก โครเมียมด้าน ให้ความรู้สึก​เหมือนโลหะมากๆ ล้อมรอบด้วยแผง Trim สีดำ Piano Black มือจับประตู​หุ้มด้วยหนัง แต่ด้านในเป็นพลาสติกผิวเรียบเนียนสีดำ ยาวต่อเนื่องมาเป็นพนักวางแขน ซึ่งวางท่อนแขนได้สบายพอดีๆถ้าคุณ​ปรับตำแหน่งเบาะให้ต่ำสุ
ด้านล่าง​ของแผงประตูคู่หน้า มีช่องวางขวดน้ำ ขนาด 7 บาท ได้ขวดเดียว และของจุกจิกอีกนิดหน่อย  นอกจากนี้ ยังมีสวิตช์​ไฟฟ้าเปิดฝาท้าย ติดตั้งในบริเวณนี้ของประตูฝั่งคนขับ ดังนั้นจะหยิบกาแฟแก้วโปรดมากินก็ระวังอย่าไปหกรดปุ่มกดพวกนี้แล้วกันเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
เบาะนั่งคู่หน้าแบบสปอร์ต S Sports ตกแต่งแบบ Diamond Cut หุ้มด้วยหนัง Fine Nappa ปรับได้หลายทิศทางไม่ว่าจะเป็นการปรับระดับสูงต่ำทั้งตัว ปรับเบาะรองนั่งเทหน้า-หลัง และตัวดันหลังทั้งขึ้นลง หรือดันเข้าดันออก ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ที่ด้านข้างเบาะรองนั่ง ซึ่งจะเชื่อมต่อการแสดงผลขณะปรับเบาะบนจอมอนิเตอร์สีตรงกลางให้ดูอีกด้วย
ตัวพนักศีรษะ​ถูกออกแบบเชื่อมติดกับพนักพิงหลัง ตำแหน่งและมุมติดตั้งจะดันหัวเล็กน้อย (J!MMY บอกว่าแทบจะไม่ดันเลย) ตอนแรกนึกว่าจะนั่งไม่สบายแต่โชคดีว่าหมอนรองศีรษะนิ่มและฟูกำลังสบายจึงไม่มีปัญหา
พนักพิงหลังถูกออกแบบให้รองรับช่วงหัวไหล่ดีมาก ปีกข้างเบาะทรงสปอร์ต สามารถกดสวิตช์เลือกให้หุบเข้าหรือกางออกเพิ่มได้ตามชอบ เช่นเดียวกับบริเวณกลางหลัง ซึ่งนอกจากจะปรับตัวดันหลังด้วยสวิตช์ไฟฟ้าแล้ว A4 Avant Black Edition คันี้ยังมีระบบนวดหลัง 3 แบบ ได้แก่ Wave, Stretch และ Knead การนวดจะดันเต็มที่ แต่ช้าๆ ไม่เร็วนัก พอให้ผ่อนคลายได้ดีอยู่ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับน้ำหนักแผ่นหลังและความรู้สึก/เส้นประสาทหลังแต่ละคนด้วย เพราะในกรณีของผม กลับรู้สึกว่ามอเตอร์นวดยังกดไม่ค่อยแรง เหมือนเอาหลาน 5 ขวบมากดหลังให้มากกว่า
เบาะรองนั่ง นุ่มแน่นสบายกำลังดีตามแบบฉบับรถเยอรมันยุคใหม่ มีความยาวเบาะเหมาะสม​ แต่ถ้ายังไม่พอใจ ก็สามารถดึงคันโยกตรงกลางเบาะรอง​นั่ง​เพื่อยืดเพิ่มความยาวอีกหน่อยก็ทำได้ตามต้องการ
การเข้าออกบานประตู​คู่หลัง ต้องระมัดระวังศีรษะจะไปโขกกับเสากรอบประตูด้านบน ขณะเดียวกัน การก้าวขาออก อาจต้องทำใจสักหน่อย เพราะไม่ว่า ท่อนขาของคุณจะสูงหรือเตี้ยเพียงใด รองเท้าคุณอาจต้องเหวี่ยงไปโดนขอบล่างของแผงประตูแน่ๆอย่างยากจะหลีกเลี่ยง

แผงประตู​คู่หลังตกแต่งแบบเดียวกับแผงประตู​คู่หน้า แต่ตำแหน่งของมือจับเปิดประตูที่ยาวต่อเนื่องมาเป็นพนักวางแขน เตี้ยไปนิดสำหรับการวางข้อศอก ครึ่งท่อนล่าง มีช่องวางขวดน้ำขนาด 7 บาท มาให้ ฝั่งละ 1 ตำแหน่ง

เบาะนั่งด้านหลังมีมุมองศาการเอียงที่เหมาะสม เสียดายแค่ว่าปรับเอนไม่ได้แบบพวก SUV พนักพิงหลังแน่นติดนุ่มมาให้นิดๆ รองรับแผ่นหลังได้ดี เช่นเดียวกับเบาะรองนั่งที่มาในสไตล์นุ่ม ชนิดที่ผมชื่นชอบกว่าเบาะหลังของ 3 Series Touring รุ่นปัจจุบัน​นิดหน่อย นอกจากนี้ พนักวางแขนตรงกลางแบบพับเก็บได้ พร้อมช่องวางแก้วแบบซ่อนรูป 2 ตำแหน่ง อยู่ในระดับที่วางท่อนแขนและข้อศอกได้พอดี
แต่น่าเสียดาย​ว่า พนักศีรษะ​ของเบาะหลัง ซึ่งดูเหมือนจะมีฟองน้ำแบบแน่นคล้ายกับเบาะสระผมในร้านทำผม ที่ไหนได้ กลับยังไม่สบายเท่าที่ควร ส่วนพื้นที่ Headroom ซึ่งเพิ่มมาจากรุ่นซีดาน 18 มิลลิเมตรนั้น พอให้ผมนั่งได้โดยไม่ต้องเอียงหัว แต่ถ้าเป็นไซส์ J!MMY จะยยังเหลืออีก 4 นิ้วมือในแนวนอน ส่วนพื้นที่วางขา อาจจะคับแคบสำหรับผม แต่ก็ไม่แย่ไปกว่าคู่แข่ง หากปรับเบาะคนขับด้านหน้าในตำแหน่งมาตรฐานที่ถูกต้องของคนทั่วไปแล้วเอา J!MMY ไปนั่ง จะเหลือพื้นที่วางขา 1 ฝ่ามือ กับอีก 4 นิ้วมือในแนวนอนต่อกัน
ด้านบนเพดาน เป็นผ้าบุนุ่มสีดำ มีไฟอ่านหนังสือ LED สีขาว เอานิ้วแตะที่ดวงไฟแล้วมันจะติดขึ้นมา มีมือจับศาสดา (ยึดเหนี่ยวจิตใจ) มาให้ครบทั้ง 4 ตำแหน่ง พับคืนตำแหน่งเดิมได้แบบนุ่มนวล
เบาะนั่งด้านหลังสามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน​ 40: 20: 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง เมื่อพับแล้วส่วนที่เป็นเบาะจะลาดขึ้นไปหาทางด้านหน้าของรถพอสมควร ไม่ถือเป็นพื้นแบบ Flat-floor มีสวิตช์พับจากข้างหลังรถและไฟส่องสว่างมาให้เรียบร้อย

ที่เก็บสัมภาระด้านท้ายของ A4 Avant รุ่นนี้ มีความจุ 505 ลิตร และจะเพิ่มเป็น 1,510 ลิตร เมื่อพับเบาะหลัง ขอบล่างสูงจากพื้น 63 เซนติเมตร ซึ่งถือว่ามีขนาดโตกว่า Avant รุ่นเดิม (490 ลิตร/1,430 ลิตร) พอสมควร และถ้าเทียบกับคู่แข่งอย่าง ซีรีส์ 3 Touring ก็พบว่า Audi มีความจุมากกว่า (320d Touring จุ 495 ลิตรเมื่อไม่พับเบาะและ 1,500 ลิตรเมื่อพับ)

ความจุอาจจะไม่ได้มากกว่ารุ่นซาลูน (480 ลิตร) ชนิดฟ้ากับเหว แต่ส่วนที่ได้เปรียบคือพื้นที่ในแนวสูง ซึ่งสามารถเปิดยาวตลอดไปจนถึงส่วนหลังของเบาะหน้า ทำให้สามารถขนเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องใช้ขนาดใหญ่ได้ง่ายกว่า ตามสไตล์รถทรงสเตชั่นแวก้อน

แผงแดชบอร์ด ออกแบบให้มีความต่อเนื่องจากซ้ายถึงขวาด้วยการทำช่องแอร์ซี่ปลอมมาไว้ตรงฝั่งคนนั่ง ทำให้ช่องลมจริงฝั่งซ้ายสุดกับช่องที่คอนโซลกลางถูกเชื่อมเข้าด้วยกัน จะว่าทันสมัยก็ได้หรือโบราณก็ได้แล้วแต่มุมมองแต่ละคน ด้านบนของแดชบอร์ดถูกกดให้เรียบราบเพื่อสร้างความรู้สึกโล่งเมื่อมองไปด้านหน้า มีจอกลางโผล่ขึ้นมาขวางหูขวางตาแบบรถสมัยใหม่ และจอนี้จะไม่สามารถพับเก็บซ่อนแบบ Audi Q7 ได้

แผงบังแดด มาพร้อมกระจกแต่งหน้าและไฟส่อง LED สีขาวนวลตาทั้ง 2 ฝั่ง ส่วนเพดานตอนหน้า นอกจากจะมีชุดไฟส่องสว่างแล้วก็ยังเป็นที่อยู่ของสวิตช์สำหรับเปิดปิดหลังคา Panoramic roof ด้วย บรรยากาศห้องโดยสารซีกหน้าโดยรวม ปนเปกันระหว่างความทันสมัยแบบที่ไม่แก่ตามกาลเวลาซึ่งเป็นหัวใจดีไซน์แบบเยอรมัน กับลักษณะของรถสปอร์ตยุคคุณพ่อคุณแม่ ความเห็นของผมคือ มันยังขาดกลิ่นความไฮโซ Modern อย่างที่คุณได้รับใน C-Class และยังไม่ดูเป็นวัยรุ่นชัดเจนแบบ BMW

จากขวาไปซ้าย

สวิตช์กระจกไฟฟ้าอยู่บนแผงควบคุมด้านขวา มีกลไกการกดขึ้น/ลงแบบ One Touch ทั้ง 4 บาน ถัดขึ้นมาด้านบนบริเวณมือจับเปิดประตู จะเป็นสวิตช์สำหรับล็อค/ปลดล็อคประตู อยู่ติดกับปุ่มของระบบความจำตำแหน่งของเบาะ 2 ตำแหน่ง ใต้ช่องแอร์ด้านขวาเป็นลูกบิดสำหรับเปิดปิดไฟหน้า พร้อมระบบไฟหน้าอัตโนมัติ และสวิตช์ปรับความสว่างของไฟส่องหน้าปัดและภายในห้องโดยสารยามค่ำคืน ซึ่งต้องกดลงไปก่อน ลูกบิดถึงจะเด้งออกมาให้เราหมุนได้ ถัดลงมาข้างล่างเป็นช่องเก็บของพร้อมฝาปิดขนาดใหญ่ สามารถยัดสมาร์ทโฟนขนาด 4 นิ้วและ iPhone รุ่นเก่าๆ และธนบัตรสำหรับจ่ายค่าทางด่วนได้

พวงมาลัยเป็นทรงสปอร์ต S Line ท้ายตัด เพื่อลดปัญหาขอบพวงมาลัยติดพุงคนอ้วนและแอบช่วยให้รับจับส่งพวงมาลัยเวลาหมุนเร็วๆหลายๆรอบได้ถนัด เป็นพวงมาลัยสไตล์ที่นิยมในหมู่รถมาดซิ่งหรือรถซิ่งจริง ไม่ว่าจะเป็น GT-R R35 ไล่ลงมาถึง Suzuki Swift ตัวใหม่ สามารถปรับองศาก้ม/เงย และระยะเข้าออกได้โดยปลดก้านล็อคได้คอพวงมาลัย อีกทั้งยังหุ้มด้วยหนังอย่างดีที่เลือกเจาะบางส่วนคล้ายรูกลม ทำให้ไม่ลื่นมือและจับถนัด

ก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย เป็นชุดสวิตช์สำหรับควบคุมจอ Multi Information Display บนหน้าปัด ในขณะที่ก้านด้านขวาจะคุมพวกระบบเครื่องเสียง และการรับสายโทรศัพท์ ส่วนระบบ Cruise Control นั้นจะมีก้านแยกมาซ่อนอยู่ด้านซ้ายล่าง (คล้ายกับพวก Toyota) ซึ่งถ้าคนขับไม่ชินการใช้งาน บางทีก็ต้องแอบก้มๆเอียงๆคอดูเหมือนกันว่ากดทางไหนสั่งทำอะไร นอกจากนี้ บนก้านพวงมาลัยฝั่งขวาจะมีปุ่ม * คล้ายดอกจัน เป็นปุ่มพิเศษที่คุณสามารถกำหนดฟังก์ชั่นได้ว่าจะให้มันทำอะไร เช่น ปรับโหมดการขับขี่, เปลี่ยนฟังก์ชั่นระหว่างวิทยุ/CD/Media USB หรือเปิดปิด Traffic Announcement

ก้านสวิตช์คอพวงมาลัยฝั่งซ้ายมือ ใช้เปิดไฟเลี้ยวกับไฟสูง ส่วนก้านด้านขวา จะใช้คุมระบบปัดน้ำฝน ซึ่งมีระบบอัตโนมัติปรับตามปริมาณน้ำฝนที่ตก แต่ถ้าทำงานไม่ได้ดังใจ คนขับสามารถเลื่อนลูกบิดบนก้านเพื่อปรับความ Sensitive ของเซ็นเซอร์หรือความเร็วในการปัดน้ำฝนได้

ชุดมาตรวัดถูกออกแบบให้เป็น 2 วงกลม คั่นกลางด้วยจอ TFT ซึ่งจะมีไฟสัญญาณเตือนต่างๆ และหน้าจอแสดงข้อมูล Multi Information Display ซึ่งจะแสดงตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงทั้งแบบปัจจุบัน (Real-Time) และแบบเฉลี่ยระยะสั้น (Short-term) และระยะ (Long-term) รวมทั้งแสดงระยะทางที่น้ำมันในถังยังเหลือพอให้แล่นได้ (Driving Range) แสดงตำแหน่งเกียร์ โหมดการขับขี่ที่เลือกใช้ นาฬิกา มาตรวัดระยะทางทั้งแบบ Odometer และ Trip Meter โดยทั้งหมดนี้ คุณสามารถเลือกได้โดยปุ่มหมุนขนาดเล็กบนก้านพวงมาลัยด้านซ้าย

ถึงแม้จะยังไม่ใช่ชุดมาตรวัดจอสีเต็มพื้นที่อันอลังการล้ำอนาคตแบบ Virtual Cockpit อย่างใน Audi TT แต่พอทราบว่าออพชั่นหน้าปัดแบบนี้อย่างเดียวจะส่งผลให้ราคาของรถเพิ่มขึ้นอีกราวสองแสนกลางๆ…ก็เลยต้องพยายามมองให้มันสวย ซึ่งอันที่จริงในยามขับขี่แบบรีบๆ มาตรวัดแบบคลาสสิคของ Audi นี้ก็อ่านค่าได้ง่ายทั้งกลางวันและกลางคืน แล้วก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดเลยเมื่อเทียบกับมาตรวัดของรถคู่แข่ง จะมีจุดที่ผมไม่ชอบก็แค่มาตรวัดอุณหภูมิน้ำทางซ้ายและเข็มน้ำมันทางขวา ซึ่งจะขึ้นเป็นไฟดวงเล็กๆทีละดวง ต้องเพ่งหน่อยถึงจะรู้ว่าเหลือน้ำมันเท่าไหร่ ถ้าทำดวงไฟให้โต หรือทำเป็นแบบเข็ม น่าจะอ่านค่าได้ง่ายกว่า

ลิ้นชักเก็บของมีขนาดโตปานกลาง แค่พอเอาสมุดคู่มือรับบริการหรือเอกสารอื่นๆที่มีขนาดเท่ากันมาใส่ได้บ้างเท่านั้น  แต่มีไฟส่องสว่างมาให้เสร็จสรรพ ข้างในลึกเข้าไปจะมีช่องสำหรับใส่ CD MP3 และ SD Card

ส่วนที่คอนโซลกลางนั้น ด้านบนจะเป็นจอมัลติมีเดียขนาด 7 นิ้ว ซึ่งใช้สำหรับโชว์การทำงานของฟังก์ชั่นต่างๆ เช่นการเซ็ตค่าในแต่ละส่วนของรถ รวมถึงเครื่องเสียง แต่ไม่มีระบบนำทางมาให้นะครับ ออกจะดูแปลกๆหน่อยสำหรับรถสมัยนี้ที่ราคาเกินสามล้านแล้วยังไม่มีมาให้ ส่วนการเชื่อมต่อโทรศัพท์ ก็มีเรื่องที่น่ารำคาญใจมากสำหรับผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือระบบ Android ไม่ว่าจะเป็นผม, J!MMY หรือคุณบอมทีมตัดต่อรายการของ The Coup

ปัญหาที่พบก็เช่น Pair Bluetooth ไม่ติดเลยไม่ว่าจะพยายามกี่รอบ (ลองกับ Asus Zenfone Max ของผม) หรือ Pair ติด แต่พอเราดับเครื่องยนต์แล้วสตาร์ทใหม่แล้วกดเล่นเพลงจากสมาร์ทโฟน หน้าจอจะขึ้นคำว่า Loading ค้าง และแม้เสียงเพลงจะออกมาเหมือนทุกอย่างปกติ แต่คุณจะไม่สามารถปรับ Bass, Treble หรือมิติใดๆของเสียงจากชุดจอกลางได้เลย ลองพยายามแก้อยู่เป็นชั่วโมงบนมือถือ XZ1 ของบอม ก็ไม่ประสบผล สุดท้าย วิธีง่ายสุดตามหลักการ IT.. ต้องกด Forget มือถือ ให้ล้างข้อมูลจากระบบแล้ว Pair ใหม่อีกครั้ง ทุกอย่างกลับเป็นปกติ

แต่พอมาเป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple ไม่ว่าจะ iPhone 6 หรือ 7 หรือใหม่กว่านั้น ทุกอย่างทำงานได้อย่างปกติสุข ไม่น่าปวดหัวอย่างที่ผู้ใช้ Android ต้องเจอ ประเด็นนี้ผมคิดว่ายังต้องปรับปรุงต่อไป

นั่นก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะสมัยนี้ผมชอบต่อฟังเพลงจากมือถือตัวเองบ่อยครั้งเวลาเดินทาง และถ้าได้ฟังผ่านเครื่องเสียง Bang & Olufsen ที่มาพร้อมระบบเสียง 3 มิติ 19 ลำโพงอย่างใน A4 Avant คันนี้ มันให้สุนทรียสัมผัสแก้วหูได้ดีจนน่าพอใจ นอกจากการปรับภาคเสียงแหลมเสียงทุ้มแบบเครื่องเสียงปกติทั่วไปแล้ว ยังสามารถปรับลักษณะความเป็น Surround และความลึกของเสียงแบบ 3 มิติได้ ผมลองกับเพลงโปรดเพลงเดิมคือ Wake up this day ของ Tom Misch และเพลงจาก Soundtrack ของ Top gun อีกหลายเพลง บอกได้เลยว่าขนาดผมไม่ใช่มนุษย์หูทองคำ ยังรู้สึกได้ว่าเสียงแน่นและมีมิติชนะ Burmester ใน C350e ขาดลอย…ถ้าจะชนะเครื่องเสียง Bang & Olufsen ชุดนี้ได้ คงต้องพึ่ง Bower & Wilkins ของ Volvo เท่านั้นครับ

ระบบปรับอากาศ เป็นแบบอัตโนมัติดิจิตอล 3-Zone ซึ่งสามารถปรับแยกอุณหภูมิห้องโดยสารแยก ซ้าย/ขวา/ผู้โดยสารด้านหลัง สามารถทำความเย็นได้ดีพอสมควร แต่ต้องเซ็ตไว้ประมาณ 22-23 องศาถึงจะสู้แดดกลางวันได้ (รถติดฟิล์มกรองแสงแล้ว) ในกรณีที่ต้องการปรับอุณหภูมิแบบเผด็จการ (เท่ากันทั้งห้องโดยสาร) ก็แค่กดปุ่ม SYNC โดยเอานิ้วไปลูบๆแตะๆปุ่มสีเงินอันที่สองจากซ้ายแล้วกดเลือกได้เลย

ข้างใต้แผงควบคุมชุดปรับอากาศจะมีแผงสวิตช์สำหรับการปรับระบบ Dynamic Select, สวิตช์ปิดการทำงานของระบบ Auto Start/Stop, สวิตช์ปิดทำการงานของระบบควบคุมการทรงตัว และปุ่มกดปิดหน้าจอกลาง (แค่ปิดเฉยๆ แต่ตัวจอไม่ได้เลื่อนลงไปซ่อนในแดชบอร์ดเนียนๆแบบ Audi Q7)

ถัดลงมา เป็นช่องเสียบจ่ายไฟ ช่อง USB และปุ่มสตาร์ท ซึ่งอยู่ชิดเข่าซ้ายของคนขับ ตามมาด้วยที่วางแก้ว 2 ตำแหน่ง ไม่มีฝาปิดใดๆ แล้วก็เป็นชุดแผงควบคุมมัลติมีเดีย MMI ซึ่งประกอบด้วยปุ่มจำนวนมาก แต่มีปุ่มหมุนขนาดใหญ่ ขนาบด้วยสวิตช์รูปคล้าย ] และ [ เพื่อเข้าสู่ฟังก์ชั่นย่อยบางอย่างได้ มีปุ่มสำหรับ Back และ Enter ซึ่งการใช้งานไม่ได้ยากแต่บางครั้งจะสับสนเวลาจะออกจากเมนูหนึ่งไปอีกเมนูหนึ่งว่าจะใช้ปุ่ม ” ] ” หรือกด Back ส่วนด้านท้ายสุดของคันเกียร์ จะมีปุ่มสำหรับระบบ Auto Brake Hold และฟังก์ชั่นเบรกมือไฟฟ้า

ในยามค่ำคืน ห้องโดยสารของ A4 ที่เคยดูจืดๆไปนิด ก็จะมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้างด้วยแสงจากไฟ Ambient Light ตามส่วนล่างของแผงประตู ส่วนบนของประตู ด้านข้างของคอนโซลอุโมงค์เกียร์ ซึ่งจะมีสีหลักให้เลือก 3 สีคือ แดง, ขาว, น้ำเงิน แต่ถ้าคุณมีเวลาว่างมาก ก็สามารถใช้ปุ่มหมุนของ MMI กดเข้าไปเลือก Settings ในจอกลาง แล้วหาฟังก์เช่นเซ็ตแสงไฟ Interior Light แบบ Individual เพียงเท่านี้ คุณก็จะมีสีให้เลือกแทบจะตามโทนสีรุ้ง แถมยังปรับแต่งสีตามแต่ละจุดให้ต่างกันได้อีกด้วย มีแค่ส่วนล่างของประตูที่จะขึ้นเป็นไฟสีขาวเหมือนเดิมตลอดเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีฟังก์ชั่นแบบนี้มาให้ แต่ผมก็ยังคิดว่าเมื่อพูดถึงบรรยากาศ “Cozy” และ “Luxury” ในห้องโดยสาร ณ เวลานี้ยังไม่มีใครกิน C-Class ลงได้ ไม่ว่าจะเป็นเที่ยงตรงหรือตีห้าฟ้าสาง

กล่องเก็บของบริเวณที่เท้าแขนตรงกลาง มีช่องสำหรับเสียบ AUX และ USB อย่างละหนึ่ง และช่องเสียบจ่ายไฟอีกหนึ่งช่อง ซึ่งทั้งหมดนี้น่าจะเพียงพอกับการชาร์จมือถือของคนในครอบครัวระหว่างเดินทางได้แล้ว กล่องเก็บของตรงกลางไม่ลึกนัก พอเอาไว้วางสมาร์ทโฟนและของกระจุกกระจิกได้เพียงนิดเดียว

ของเด็ดที่หลายคนน่าจะชอบ ก็คือหลังคา Panoramic roof ที่ยาวเผื่อแผ่ไปถึงผู้โดยสารตอนหลัง เวลาอากาศร้อน ก็จะมีม่านทึบแสงทำจากผ้าบังเอาไว้ สามารถเลื่อนเปิดม่านเพียงอย่างเดียวได้ และเมื่อกัดเปิดซันรูฟ ตัวบานกระจกซันรูฟด้านหน้าก็จะยกตัวขึ้นเหนือบานกระจกหลัง เวลาวิ่งเปิดซันรูฟ รถอาจจะดูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณเลือกหลังคาแบบนี้ มันก็ไม่สามารถสไลด์เข้าไปสอดในหลังคาได้อยู่ดี ไม่งั้นก็คงต้องทำที่เผื่อไว้สอดบานซันรูฟ ซึ่งจะส่งผลไปเบียดบังเนื้อที่เหนือศีรษะให้น้อยลงไปอีก

ทัศนวิสัยด้านหน้า ออกจะดูเล็กเพราะแนวหลังคาที่ค่อนข้างเตี้ยกับเสา A-pillar ที่ลาดและมีขนาดใหญ่จนบางครั้งเวลาเลี้ยวโค้งต้องชะเง้อหน้ามองเพราะเสาบัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับรถสมัยใหม่ที่ต้องมีเสาขนาดใหญ่เพื่อเสริมความปลอดภัยในกรณีการพลิกคว่ำ

ส่วนทางด้านซ้าย เมื่อมองจากมุมนี้ เสา A-Pillar กลับไม่ค่อยเป็นอุปสรรคทางสายตามากเท่าเสาทางขวา กระจกมองข้างมีลักษณะตีบลงในส่วนนอก (คงทำเพื่อความลู่ลม) แต่ก็ทำให้มุมมองของตัวกระจกส่องถูกตัดพื้นที่ออกไปพอสมควร ตัวกระจกติดไว้ค่อนข้างต่ำ ทำให้ส่วนล่างของบานกระจกถูกแผงประตูส่วนบนเบียดบังพื้นที่ไปเล็กน้อย

ทัศนวิสัยด้านหลัง ไม่แย่อย่างที่คิด กระจกบานข้างชิ้นหลังสุดมีความโปร่งพอให้สามารถถอยออกจากซองจอดโดยสามารถมองเห็นรถที่กำลังพุ่งตัดมาจากด้านข้างได้บ้าง แต่เสา C-pilar มีขนาดใหญ่พอสมควร สามารถบังลำตัวครึ่งหลังของ Audi Q7 คันเบ้อเริ่มได้เกือบหมดอย่างที่เห็น เวลามีมอเตอร์ไซค์พุ่งมาจากข้างหลัง ต้องสังเกตให้ดี แต่อย่างน้อยผมก็มีปัญหากับ A4 Avant น้อยกว่ารถ Hatchback ขนาดเล็กหลายรุ่นที่มีเสา C ขนาดใหญ่บังพื้นที่มาก

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ในตลาดโลก A4 Avant จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกหลายแบบ ถ้านับรวมรุ่นพิเศษอย่าง S4 และ RS4 เข้าไปด้วยแล้ว ก็จะมีเครื่องยนต์เบนซินให้เลือกถึง 5 แบบ และเครื่องยนต์ดีเซลอีก 6 แบบ ดังนี้

  • 1.4 TFSI เทอร์โบชาร์จ 150 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร มีให้เลือกเฉพาะระบบขับเคลื่อนล้อหน้า
  • 2.0 TFSI เทอร์โบชาร์จ 190 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร มีให้เลือกเฉพาะระบบขับเคลื่อนล้อหน้า
  • 2.0 TFSI เทอร์โบชาร์จแบบแรงดันสูง ให้พลัง 252 แรงม้า แรงบิด 370 นิวตันเมตร มีให้เลือกทั้งขับหน้าและขับสี่
  • 3.0V6 TFSI เทอร์โบชาร์จ 354 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร วางใน S4 quattro ขับสี่ เกียร์ Tiptronic
  • 2.9V6 TFSI เทอร์โบคู่ 450 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร RS4 quattro เครื่องยนต์รุ่นนี้ก็คือแบบเดียวกับของ Porsche Panamera 4S นั่นเอง
  • 2.0 TDI ดีเซลรุ่นประหยัด 122 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตันเมตร มีเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า
  • 2.0 TDI 150 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร มีเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า
  • 2.0 TDI ปรับจูนเพิ่มเป็น 163 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร มีเฉพาะรุ่น quattro
  • 2.0 TDI  รุ่น 190 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร มีให้เลือกทั้งแบบขับหน้าและขับสี่
  • 3.0 TDI  V6 ดีเซล 218 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร มีในรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า
  • 3.0 TDI V6 ดีเซล ปรับจูนพลังเพิ่มเป็น 272 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร มีเฉพาะรุ่น quattro ขับเคลื่อน 4 ล้อและใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ Tiptronic แทน S Tronic

สำหรับ Audi A4 Avant 45TFSI Quattro สเป็คที่บ้านเราได้มาใช้นั้น จะเป็นเครื่องยนต์รุ่นที่แรงอยู่ในระดับกลางๆของบรรดาเครื่องเบนซินทั้งหมด มีรหัสว่า CYR ซึ่งเป็นแบบ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,984 ซีซี.กระบอกสูบ x ระยะช่วงชักเท่ากับ 82.5 x 92.8 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.6 : 1  จ่ายด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์คู่ คือใน 1 สูบมีทั้งแบบ Direct Injection และหัวฉีดปกติ (ซึ่งอย่างหลังนี้จะทำงานที่ช่วงภาระเครื่องต่ำๆ) พ่วง Turbocharger เดี่ยวและอินเตอร์คูลเลอร์แบบอากาศระบายความร้อน พร้อมระบบวาล์วแปรผันองศาเพลาลูกเบี้ยว และยังมีระบบ AVS- Audi Valve lift System แปรผันระยะยกวาล์วที่ฝั่งไอเสีย เพื่อจัดการกระแสการไหลของไอเสียที่เข้าสู่เทอร์โบให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

เครื่องยนต์ CYR บล็อคนี้ ให้กำลังสูงสุด 252 แรงม้า (PS) ที่ 5,000 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร (37.70 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 4,500 รอบ/นาที วัดอัตราการปล่อยมลพิษ CO2 ตามมาตรฐานของบ้านเราได้ 149 กรัม/กิโลเมตร จัดเข้าเพดานสรรพสามิต 25% ตามอัตราใหม่ที่เพิ่งประกาศช่วงปลายปี 2018 ได้แบบหวุดหวิด

จุดแตกต่างระหว่างเครื่องยนต์รุ่นนี้ กับบล็อค CVK ที่มี 190 แรงม้านั้น ก็คืออัตราส่วนกำลังอัด รุ่นที่แรงน้อยหน่อย จะใช้อัตราส่วนกำลังอัด 11.65: 1 ส่วนรุ่น 252 แรงม้าที่รับประทานบูสท์เทอร์โบเยอะกว่าจะใช้กำลังอัด 9.8: 1 ซึ่งความต่างที่ว่านี้ก็น่าจะเกิดจากลูกสูบที่มีหัวบนนูน/เรียบต่างกัน

 

ระบบส่งกำลังของ Audi A4 ที่ใช้ขุมพลัง 2.0 ลิตรเบนซินเทอร์โบ ไม่ว่าจะเป็นรุ่น 190 หรือ 252 แรงม้า จะใช้เกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ S tronic 7 จังหวะ แบบคลัตช์เปียก พร้อมฟลายวีลแบบ Dual-mass โดยมีอัตราทดเกียร์เท่ากันดังนี้

เกียร์ 1……………………….. 3.188

เกียร์ 2………………………. 2.190

เกียร์ 3………………………. 1.517

เกียร์ 4………………………. 1.057

เกียร์ 5……………………….. 0.738

เกียร์ 6………………………… 0.557

เกียร์ 7………………………… 0.433

เกียร์ถอยหลัง  2.750: 1 อัตราทดเฟืองท้าย 4.27: 1

ทั้งนี้ ถ้าเป็นรุ่น 190 แรงม้าขับหน้า จะใช้อัตราทดเฟืองท้าย 4.23: 1

คันเกียร์ของ Audi A4 เป็นแบบไฟฟ้า ไม่มีร่องสำหรับเกียร์ P แต่สามารถเข้าได้ด้วยการกดปุ่มบนหัวเกียร์ วิธีการใช้งานอาจจะก่อความสับสนกับคนที่ชินเกียร์กลไก P-R-N-D อยู่บ้างในระยะแรก (ผมก็ด้วย) เวลาอยู่ในเกียร์ P ถ้าจะถอยหลัง ก็เหยียบเบรก กดปุ่มข้างเกียร์ แล้วดันคันเกียร์ไปข้างหน้า 2 ครั้งหรือจนกว่าไฟบอกตำแหน่งเกียร์บนหน้าปัดจะโชว์ R ส่วนถ้าเข้าเกียร์เดินหน้า ก็กดปุ่มข้างเกียร์แล้วดันไปข้างหลัง

ระหว่างวิ่งอยู่ในเกียร์ D ถ้าดันเกียร์ไปข้างหลัง 1 ครั้งจะเป็นการเข้าโหมด Sport หรือถ้าดันไปข้างซ้าย ก็จะเข้าสู่โหมด Manual +/-

พลังจากเครื่องยนต์ และเกียร์ จะถูกถ่ายทอดต่อไปยังระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro อันลือชื่อของค่ายสี่ห่วง ทั้งนี้ การทำงานของระบบ quattro ในรถเครื่องวางตามยาวอย่าง A4 จะต่างจากระบบ quattro ในเครื่องวางขวางของ S3 และ TT อยู่บ้าง ตรงที่ระบบแรกนั้นจะมีการส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้าและหลังตลอดเวลา แต่ระบบ quattro อย่างหลัง จะทำงานแบบ Part-time ซึ่งในยามปกติขับแบบเรื่อยๆจะไม่มีการส่งกำลังไปล้อคู่หลัง

ระบบ quattro ของ A4 ในสภาวะปกติ จะเซ็ตการถ่ายแรงบิดให้ไปด้านหน้า 40% และด้านหลัง 60% ที่ทำมาเช่นนี้ ก็เพื่อให้รถมีแรงถีบจากด้านหลังเข้ามาช่วยแก้ปัญหาอาการหน้าดื้อเวลากดคันเร่งในโค้ง และในสภาพแวดล้อมต่างๆ ระบบคอมพิวเตอร์ของรถจะสามารถจัดสรรแรงบิดไปลงล้อหน้า/หลังตามความเหมาะสม โดยสามารถส่งแรงบิดไปล้อคู่หน้าได้สูงสุด 70% และสามารถส่งไปล้อคู่หลังได้สูงสุด 85%

ก็เท่ากับว่าไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่ A4 quattro จะขับเคลื่อนสองล้อได้แบบ TT

นอกจากนี้ คนขับยังสามารถปรับนิสัยการทำงานและการตอบสนองของรถได้ด้วย Audi Drive Select ซึ่งจะมีผลต่อการควบคุมวิธีการตอบสนองของคันเร่ง, การทำงานของเกียร์อัตโนมัติ และน้ำหนักของพวงมาลัย โดยแบ่งออกเป็น

  • Comfort – เน้นขับสบายสุด น้ำหนักพวงมาลัยเบา คันเร่งตอบสนองแบบไม่กระโชกโฮกฮาก
  • Auto – ปรับตัวเองไปมาระหว่าง Comfort กับ Dynamic โดยอ่านจากพฤติกรรมการใช้คันเร่งและพวงมาลัยของผู้ขับ
  • Dynamic – เน้นความเป็นสปอร์ต ตอบสนองต่อคันเร่งไว น้ำหนักพวงมาลัยหน่วงขึ้น มีเสียงดุดันขึ้นเวลาเปลี่ยนเกียร์ จำกัดการทำงานของ Traction/Control และระบบควบคุมการทรงตัวลงกว่าปกติ
  • Efficiency – เน้นความประหยัด จำกัดการทำงานของระบบเครื่องปรับอากาศ ปรับลิ้นคันเร่งให้เฉื่อยแต่รักษาความเร็วได้ดีขึ้นเมื่อต้องการวิ่งด้วยความเร็วคงที่
  • Individual -เลือกปรับเอาตามใจชอบ โดยแยกกันระหว่างการตอบสนองของคันเร่งและเกียร์ กับการตอบสนองของพวงมาลัย ถ้าคุณชอบให้พวงมาลัยหน่วงมือ แต่อยากให้คันเร่งกับเกียร์ตอบสนองเหมือนปกติ ก็เซ็ต Steering ไปที่ Dynamic แล้วเซ็ต Engine/Gearbox ไปที่ Comfort หรือ Auto ก็แล้วแต่จะเลือก

จากพลัง และระบบขับเคลื่อนต่างๆที่มีให้ A4 คันนี้จะสร้างความประทับใจให้เราได้ขนาดไหนล่ะ?

ผมก็ต้องอันเชิญ J!MMY มาช่วยทำอัตราเร่งให้เช่นเคย ถึงแม้ว่าน้ำหนักตัวผมเองจะเท่ากับ J!MMY รวมกับเติ้งอยู่แล้ว แต่ในเมื่อมีคนอาสาทำให้ ก็สบายผมสิครับ แน่นอนว่าเรายังคงทำการทดลองจับเวลาตามมาตรฐานดั้งเดิมของเรา คือทำในเวลากลางคืน เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า นั่ง 2 คน น้ำหนักรวม ไม่เกิน 170 กิโลกรัม

การนำอัตราเร่งของ A4 Avant คันนี้ไปหาตัวเทียบกับรถคันอื่นนั้น อาจจะเป็นเรื่องน่าปวดหัวสักหน่อยตรงที่รถยุโรปทรงสเตชั่นแวก้อน ขนาดตัวเท่ากันจากตลาดระดับเดียวกันนั้นหาข้อมูลยาก จะมีก็แค่เพียง BMW 320d Touring เท่านั้นที่ใกล้เคียงที่สุด ดังนั้นอย่างงถ้าผมจะเอาตัวเลขของรถซีดานรุ่นอื่นมาเทียบ เพราะไม่งั้นเดี๋ยวตารางมันจะเหงา และที่ทำแบบนี้ ก็เพื่อที่จะได้ทราบด้วยว่าขีดความสามารถของพลัง 252 แรงม้าใน A4 มีดีกรีความดุพอจะเล่นกับใครได้บ้าง

อัตราเร่งที่ได้นั้นสะใจสมกับการเป็นรถเทอร์โบยุคใหม่ เมื่อกระทืบคันเร่งจากจุดหยุดนิ่ง รอบจะตวัดไปแช่อยู่แถว 2,400 รอบต่อนาทีเพียงชั่วครู่ก่อนที่เสียงเทอร์โบหวีดที่แอบคล้ายมอเตอร์ไฟฟ้าจะดังขึ้นแล้วตัวรถก็พุ่งออกไปด้วยความรุนแรงสะใจเหมือนขับ Hot Hatch เครื่องเทอร์โบตัวเบาๆ ดังนั้นเราคงไม่ต้องเอาไปเทียบกับ 320d Touring ที่เป็นรถสเตชั่นแวก้อนเครื่องดีเซลให้เสียเวลา (แต่เอาตัวเลขใส่ตารางไว้เพราะไม่รู้จะเอารถแวก้อนพรีเมียมรุ่นไหนมาใส่ให้) ด้วยตัวเลขที่จับเวลามาได้ 7.05 วินาที คุณคงเห็นแล้วว่าต้องเอาพวกรถ High-performance อย่าง WRX STi, A45AMG หรือพวกยุโรปเทอร์โบหกเม็ดที่มีกำลัง 300 แรงม้าขึ้นไป ถึงจะสามารถฆ่า A4 Avant ได้แบบจบๆ

ส่วนอัตราเร่งแซงระหว่าง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น แรงบิดที่มาเป็นช่วงกว้างกับเกียร์คลัตช์คู่ S Tronic ช่วยให้รถตอบสนองได้ไวจนสามารถทำตัวเลข 4.91 วินาที ซึ่งไม่ได้มาแบบฟลุค เพราะทำกี่ครั้งก็ได้ต่ำกว่า 5 วินาทีทั้งหมด ใกล้เคียงกับ 328i F30 ซึ่งเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง กับ WRX Lineartronic 268 แรงม้า และเร็วกว่า Volvo S60 Polestar Performance 245 แรงม้าอยู่กว่า 1.5 วินาที

ในช่วงความเร็วเกิน 120 ขึ้นไป A4 ยังไต่ขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบไม่จบความมันส์ แต่มันอาจจะไปได้เร็วกว่านี้หากได้อัตราทดเกียร์ 4 และ 5 ที่จัดกว่านี้สักหน่อย คุณดูความเร็วสูงสุดในแต่ละเกียร์ของ A4 เทียบกับ 328i นะครับ แล้วพิจารณาที่เกียร์ 4 กับ 5 จะเห็นได้ว่าอัตราทดของทั้งสองเกียร์ที่ว่านั้น A4 ทดยาวและห่างกันมากจนดูเหมือนเอาอัตราทดของรถที่มีเกียร์แค่ 6 จังหวะมาใส่ ถ้าเรียงใหม่ชิดๆขึ้น อาจจะไต่ได้เร็วกว่านี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อลองทดสอบการวิ่ง 0-1,700 เมตรแบบที่ผมชอบทำในคลิป Check!Check!Out! A4 ก็สามารถทำความเร็วได้ 227 กิโลเมตร/ชั่วโมง เร็วกว่า S60 Polestar (212) แต่มันก็เท่ากับ Audi TT แบบเป๊ะๆ และไม่ต่างจาก BMW 530i G30 ที่ผมเคยเอามาลองวิ่งเล่นๆมากนัก

จากนั้นเมื่อเข็มความเร็วไหลขึ้นไประดับ 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วในการไต่ของเข็มจะเริ่มช้าลง แต่ไหลไปเรื่อยๆ ชนิดชวนให้ขนหัวลุกสำหรับคนที่ต้องพยายามหาตัวเลขความเร็วสูงสุด ใจคิดว่าน่าจะจบแถวๆ 250 แต่ก็ยังมีกะใจไหลต่อเหมือนหยอกคนทดสอบเล่นๆ แต่ท้ายสุดกว่าจะเอาให้เข็มแน่นิ่งได้ เข็มความเร็วของ A4 Avant 45TFSI ก็ชี้อยู่ที่ 263 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ย้ำกันอีกสักทีว่า เราไม่สนับสนุนให้ทำการทดลองความเร็วสูงสุดด้วยตัวคุณเองเด็ดขาด เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจก่ออันตรายต่อชีวิต ของคุณผู้อ่าน และเพื่อนร่วมทางอีกด้วย เราทำการทดลองเพื่อให้ได้รู้ข้อเท็จจริง สำหรับการใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อการศึกษา ในด้านวิศวกรรม ของผู้คนทั่วไปเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องสนุกที่จะทำความเร็วสูงขนาดนี้ หากเกิดอุบัติเหตุใดๆขึ้นมา เราไม่ขอรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น ในทุกกรณี

นั่นคือการขับขี่ในโหมดกดจมแม็ก แต่ในชีวิตประจำวันจริงๆที่คุณอาจจะต้องขับแบบเร่งรีบผ่านสภาพการจราจรหลากหลาย A4 คันนี้มีเครื่องยนต์ที่ให้แรงบิดเป็นช่วงกว้าง สร้างพลังดึงได้ดีตั้งแต่รอบต่ำเพียงแค่ 1,800-1,900 รอบต่อนาทีเท่านั้น บูสท์มาเร็วกว่ากระบะดีเซลบางรุ่นที่ใช้เครื่อง 2.4 ลิตรเสียด้วยซ้ำ และไม่ว่าคุณจะใช้รอบเครื่องปานกลางหรือหลัง 5,000 A4 ก็พร้อมพุ่งตามคำสั่งคุณเสมอ

การทำงานของเกียร์คลัตช์คู่ S Tronic นั้น บอกได้ว่ามันมีนิสัยสมกับเป็นคลัตช์คู่ในรถราคาแพง ขับใช้งานในเมืองที่ความเร็วต่ำก็ไม่กระยึกกระยักให้น่ารำคาญเว้นเสียแต่ว่าคุณใส่โหมด Dynamic จะรู้สึกกระชากเวลากด และหน้าทิ่มเวลาถอนคันเร่งชัดเจน ก็อย่าลืมว่าโหมดนี้เขาทำไว้ให้ใช้เวลาออกรบนี่ครับ ในการขับแบบปกติ การเปลี่ยนเกียร์ทำได้เรียบเนียน เวลาคิกดาวน์ก็ชะงักไม่นาน และพอมา..ก็มาแบบไว เล่นเกียร์โหมด Manual แล้วลองตอกคันเร่งไวๆ ก็ไม่พบอาการ “รักนวลสงวนเกียร์” แบบที่พบในบรรดา Lexus 2.0 เทอร์โบทั้งหลาย

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อลองเล่น Drive Select โหมดอื่นๆดู ผมพบว่าการตอบสนองในโหมด Dynamic น่าจะมีความห้าวมากกว่านี้ บางครั้งวิ่งอยู่ 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังมุดมาเพลินๆแล้วเจอรถวิ่งปิ้งปลาหมึกอยู่เลนขวา กำลังคิดๆว่าจะไปเลนไหนต่อ กล่อง ECU ก็สั่งตัดไปเข้าเกียร์ 6 แล้วรอบก็ร่วงเหลือแค่ประมาณ 2,000 รอบบวกลบ ซึ่งอันที่จริงความเร็วระดับนั้นน่าจะใช้เกียร์ 5 (2,400-2,500 รอบ) หรือไม่ก็ 4 (ประมาณ 3,500 รอบ) คาไว้แบบนั้นนานๆสักหน่อย

กลายเป็นว่าความต่างที่เพิ่มมาจากโหมด Auto ที่สัมผัสได้จริงคือเสียงตัดไฟจุดระเบิดที่ดังขึ้นเวลาเปลี่ยนเกียร์กับการพยายามไม่ขึ้นเกียร์ 7 และคันเร่งดุดันขึ้นอีกหน่อยแค่นั้น ซึ่งเมื่อขับแบบรีบๆแล้วเจอการทำงานแบบเอะอะก็คิดจะพักกับคิทแคทแบบนี้ ก็ทำให้ผมต้องเข้าเกียร์ Manual Mode แล้วเล่นเกียร์เอง ซึ่งเมื่อเทียบกับเกียร์ 8 จังหวะของ BMW อย่างใน 330e, 430i และ 530i ผมแค่ใส่โหมด Sport แล้วเกียร์ก็เลือกการเปลี่ยน การคิกดาวน์ หรือการคาเกียร์ได้อย่างเหมาะสมโดยที่ผมไม่ต้องเล่น +/- เองเลย

ส่วนการเก็บเสียงลมจากบานกระจกและขอบประตูทำได้ดีมาก วิ่ง 140 กิโลเมตร/ชั่วโมงก็ยังไม่ดังเข้ามาในห้องโดยสารเท่าที่คิดไว้ เสียงเครื่องยนต์กับท่อไอเสียก็เงียบมาก ต่อให้เปิดโหมด Dynamic แล้วก็ยังถือว่าเงียบเหมือนรถบ้านนิสัยเรียบร้อยมากกว่ารถผู้ใหญ่ซิ่ง 252 แรงม้า J!MMY มองว่าให้มันเงียบแบบนี้แหละดีแล้ว แต่ส่วนตัวผมอยากให้มันมีความกร้าวในน้ำเสียงมากกว่านี้ แต่ไม่ต้องดังเท่า TT ก็ได้

เสียงเดียวที่ดังที่สุดในรถคันนี้ คือเสียงรบกวนที่มาจากยาง Pirelli P Zero บดถนน ไม่ว่าจะความเร็วต่ำหรือสูง แต่ก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ เพราะหน้าค่อนข้างกว้างและ P Zero ก็ไม่ใช่ยางประเภทที่เน้นความเงียบอยู่แล้ว ทั้งนี้ เสียงที่เข้ามาก็ยังอยู่ในระดับใกล้เคียง E220d ยาง Michelin Primacy และเบากว่า Lexus GS ใส่ยาง Dunlop Sport MAXX อยู่พอสมควร..มันไม่แย่เกินจะรับไหวหรอกครับ

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยเพาเวอร์แบบกึ่งไฟฟ้า Electro-mechanical เซ็ตอัตราทดไว้ 15.9: 1 ระบบพวงมาลัยถูกออกแบบมาให้ลดน้ำหนักลงกว่าของ A4 รุ่นเดิม 3.5 กิโลกรัม สามารถปรับน้ำหนักหน่วงมือตามความเร็วของรถได้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ผู้ขับยังสามารถปรับตั้งน้ำหนักของพวงมาลัยได้ 3 ระดับคือ Comfort/Auto/Dynamic โดยต้องเลือก Drive Select Mode เป็น Individual แล้วปรับค่าของพวงมาลัยเอาเอง

น้ำหนักของพวงมาลัยอยู่ในระดับปานกลาง แอบติดเบานิดเดียวที่ความเร็วต่ำ ถ้าใช้โหมด Comfort แต่ถ้าเป็นโหมด Dynamic จะตึงมือขึ้นเล็กน้อย พวงมาลัยไม่ไวมากนัก เวลาวิ่งทางตรงด้วยความเร็วสูงไม่รู้สึกว่าต้องเกร็งมือช่วย ส่วนการหักเลี้ยวลัดเลาะไปตามโค้งภูเขา มีความไวปานกลาง ใกล้เคียงกับ BMW ซีรีส์ 3 กับ VW Scirocco/Golf GTi แต่ไม่ไวชนิดพลิกข้อมือทีรถแทบคว่ำแบบรถเน้นซิ่งอย่าง WRX STi

ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบ Five link ซึ่งออกแบบมาเน้นการลดแรงสะเทือนทั้งจากแนวตามยาวและด้านข้าง ใช้จุดยึดช่วงล่างและลูกหมากแบบพิเศษที่ออกแบบให้แข็งตัวต้านแรงเหวี่ยงด้านข้างได้มาก แต่รับและซับแรงกระแทกจากการปะทะแนวตรงได้ดี บุชยางบางตัวจะเป็นแบบ Hydromount (สอดไส้ของเหลวไว้ข้างใน) เพื่อลดแรงสะเทือนและความกระด้างลง ก้านลิงค์ชิ้นบนสุดติดตั้งเข้ากับบอดี้รถโดยตรง และก้านยึด Link ต่างๆทำมาจากอะลูมิเนียมฟอร์จ โช้คอัพเป็นแบบ Monotube พร้อมเหล็กกันโคลง

ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Five link ซึ่งถูกนำมาใช้แทนแบบ Trapezoidal link ในรุ่นเดิม และใช้วัสดุน้ำหนักเบาลงจนสามารถลดน้ำหนักของช่วงล่างหลังลงได้ 5 กิโลกรัม ใช้โช้คอัพแบบ Monotube และมีลูกหมากยึดบางตัวที่เป็นแบบ Hydromount เช่นเดียวกับช่วงล่างด้านหน้า

อุปนิสัยของช่วงล่าง A4 Avant คันนี้ จะมาในแนวเอาใจวัยรุ่น เพราะในแพ็คเกจ S Line นั้นจะมีช่วงล่างแบบ Sport-tuned กับล้ออัลลอยของ Audi Sport ห้าก้านขนาด 19 นิ้วมาให้ ยางที่ใช้ก็เป็น Pirelli P Zero ขนาด 245/35ZR19 ดังนั้นในความเร็วต่ำๆบนถนนขรุขระมันคงจะยากถ้าจะให้นุ่มนวลเหมือนรถที่ใช้ยางแก้มหนา มันก็ไม่ถึงกับสะเทือนเป็นรถซิ่งแท้ๆอย่าง STi หรือ A45 หรอกครับ มันนุ่มกว่า S60 Polestar Performance ที่ได้โช้ค/สปริงแต่งสวีเดนมา และยังอยู่ในข่ายที่พอพาคุณพ่อคุณแม่ไปกินข้าวได้บ้าง แต่มันไม่นุ่มแบบ C350e ที่ใช้ช่วงล่างถุงลมหรือ BMW ซีรีส์ 3 กับ A4 รุ่น 190 แรงม้าช่วงล่างมาตรฐานแค่นั้น

ในการเล่นโค้งมุมแคบความเร็วปานกลาง โช้คอัพ Monotube และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อทำหน้าที่ของมันได้ดีในการควบคุมบอดี้ไม่ให้โยนมากเกินไป ขับแล้วรู้สึกได้โดยไม่ต้องเปิดโบรชัวร์ว่านี่คือช่วงล่างแบบ “ยุโรปสปอร์ตซาลูน/สปอร์ตแวก้อน” จริงแท้ ส่วนในโค้งความเร็วสูงที่แรงเหวี่ยงสะสมเยอะๆ รถจะมีอาการท้ายออกมากกว่า A4 รุ่นก่อนๆชัดเจน ถ้าใส่แรงมากเกินไปอาจมีสิทธิ์ได้พึ่งระบบควบคุมการทรงตัวบ่อยกว่าที่คิด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะยาง P Zero ในรถทดสอบคันนี้เพิ่งผ่านศึกหนักในสนามปทุมธานีสปีดเวย์มา การเกาะของขอบยางจึงน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

อย่างไรก็ตาม ผมชอบการแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติของระบบ quattro ใน A4 มากกว่าของ TT เพราะมันจะมีสัญญาณล่วงหน้ามาก่อนว่ามันจะทำอะไรต่อไป และคาดเดาได้ง่าย ในขณะที่ระบบของ TT นั้นจะมีการสลับไปมาระหว่างโหมดขับหน้ากับขับสี่ ซึ่งในบางจังหวะการตอบสนองจะมีบุคลิกที่ปนเประหว่างหน้าดื้อกับท้ายออกแบบไปทั้งก้อน TT จึงเป็นรถที่ขับเร็วๆแล้วน่าขนลุกกว่า ต่างจาก A4 ที่พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้ จนกว่าคุณจะดันมันจนเกินขีดจำกัด

หากเทียบบุคลิกกับรถขับหลังอย่างซีรีส์ 3 ก็ต้องบอกว่ามันดีกันคนละอย่าง คุณอยากสนุก หรืออยากเอาแม่นล่ะ? BMW 328i, 330i, 330e หรือ 430i พวกนี้จะมีคาแร็คเตอร์ที่แอบซุกซน ยิ่งถ้าปิดอุปกรณ์ช่วยเหลืออิเล็กทรอนิกส์ คุณสามารถตบคันเร่งเพื่อให้รถเลี้ยวหน้าจิก หรือกวาดท้ายเล่นมันส์ๆได้ คิดเสียว่าเหมือนลีลาของนักดาบที่อาจจะไม่แม่น แต่ก็น่าดูน่าชม ส่วน A4 quattro จะ say no to drama มันต้องการแค่จะเกาะและไปให้ไวที่สุดเท่าที่การยึดเกาะของรถจะให้ได้ อุปมาก็คงเหมือนนักแม่นปืน..มันไม่มีจินตลีลาใดๆให้ร้องว้าว แต่มันแม่นและได้ผลจริง

ส่วนที่ความเร็วสูง..ไม่ต้องห่วง อันที่จริงผมรู้สึกว่า A4 คันนี้วิ่ง 150-160 คือจุดที่ช่วงล่างทำงานได้ดี มั่นคง ซับแรงกระแทกจากถนนได้พอเหมาะ กระโดดสะพานมอเตอร์เวย์ เปลี่ยนเลนกระทันหันหลบพวกรถที่ออกจากซอยไม่ดูสี่ดูแปด ช่วงล่าง Sport-tuned ของ A4 รับได้หมดครับ มันคือสิ่งที่คุณคาดหวังจากช่วงล่างของรถจากประเทศที่มีเอาโต้บาห์นแบบไม่ต้องปรับอะไรอีก

ระบบเบรกนั้น ใน A4 เครื่องยนต์แบบ 4 สูบจะมีเบรกมาตรฐาน 2 แบบ ถ้าเป็นรถเครื่องเบนซินม้าไม่เกิน 190 กับรุ่นดีเซลม้าไม่เกิน 163 และใช้ล้อขอบ 16 นิ้ว จะเป็นคาลิเปอร์แบบ Floating ธรรมดา แต่ถ้าเป็นรุ่นที่มีพลังมากกว่านั้นและมาพร้อมกับล้อ 17, 18 หรือ 19 นิ้ว จะได้คาลิเปอร์แบบ Fixed ทำจากอะลูมิเนียม ทุกรุ่นมีระบบป้องกันล้อล็อค ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD

ลักษณะการตอบสนองของแป้นเบรก จะเป็นประเภท ช่วงเหยียบสั้นจิ๊ด แต่อาศัยที่ว่ามีแรงต้านเท้าพอประมาณ และเซ็ตลักษณะการตอบสนองมาในแบบเหยียบน้อยจับน้อย เหยียบมากจับมาก มีความต่อเนื่อง ทำให้สามารถควบคุมแรงในการเบรกได้ง่าย เวลาวิ่งในเมืองก็ไม่มีอาการเหยียบแล้วหัวทิ่มแบบ Golf GTi แต่พอวิ่งออกนอกเมืองหรือใช้ความเร็วสูงก็สามารถเบรกเพื่อหน่วงความเร็วได้หลายรอบติดๆกันโดยไม่ปรากฏอาการเฟด

โครงสร้างตัวถังของ A4 ใช้วัสดุผสมผสานระหว่างเหล็กกล้าทนแรงดันสูง โลหะต่างๆ อยางบริเวณกรอบข้าง เสา A และ B-pillar กับผนังห้องเครื่องซึ่งมีความสำคัญในกรณีการปะทะ จะใช้เหล็กกล้าแบบ Hot-formed steel ผสานกับเหล็กแบบ Cold-formed ในส่วนอื่นๆของบอดี้ มีการใช้อะลูมิเนียมเข้ามาช่วยเซฟน้ำหนักในส่วนของเบ้าโช้คและค้ำโช้คหน้า ซึ่งใช้อะลูมิเมียมขึ้นรูปแบบแข็งแรงเป็นพิเศษ ส่วนฝาท้ายจะทำมาจากอะลูมิเนียมแผ่นที่ช่วยทำให้มีน้ำหนักเบาลง เป็นภาระต่อระบบมอเตอร์เปิดฝาท้ายน้อยลง

Audi A4 ได้รับคะแนนความปลอดภัย 5 ดาว จากการทดสอบชนของ Euro NCAP โดยได้คะแนนการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ 89% คะแนนการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นเด็ก 87% คะแนนการปกป้องคนเดินถนนและจักรยาน 75% และคะแนนในด้านระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัย 75%ทั้งนี้ อุปกรณ์ความปลอดภัยที่ให้มาในรถสเป็คบ้านเราจะประกอบไปด้วย

  • ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB
  • ระบบล็อคเบรกขณะหยุดนิ่ง Audi Hold Assist
  • ระบบเบรก ABS / EBD / BA
  • ระบบควบคุมการทรงตัว ESC (Electronic Stabilization Control)
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง
  • ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง
  • ม่านถุงลมนิรภัย 2 ตำแหน่ง
  • เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหน้า – ด้านหลัง
  • กล้องมองภาพขณะถอยจอด
  • จุดยึดเบาะนั่ง ISOFIX
  • ชุดปฐมพยาบาล

ถึงแม้จะดูเหมือนมีอุปกรณ์หลายอย่างครบ แต่ก็พอๆกันกับ BMW ซีีรีส์ 3 และ C350e แต่ยังขาดอุปกรณ์ความปลอดภัยขั้น Advance ไปหลายอย่าง ซึ่งในตลาดพรีเมียมนั้น Volvo จะครองแชมป์การอัดอุปกรณ์ความปลอดภัยมาให้มากกว่าคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นระบบ City Safety เบรกอัตโนมัติเมื่อคนหรือจักรยานตัดหน้า, ระบบตรวจจับรถในจุดบอดกระจกส่องข้าง, ระบบเตือนรถเบี่ยงออกนอกเลน ..หรือแม้กระทั่ง Cruise Control ซึ่งใน S60/V60 รุ่น 2.0 เทอร์โบธรรมดา (ไม่ใช่ Polestar) ก็เป็นระบบ Adaptive Radar Cruise ที่ปรับความเร็วตามรถคันหน้าเองได้แล้วด้วยซ้ำ

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

เรายังคงใช้วิธีการทดลองตามมาตรฐานดั้งเดิม คือการนำรถไปเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ถนนพหลโยธิน ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ ในช่วงกลางคืน

สำหรับการทดลองรถยนต์นั่งระดับพรีเมียม หรือรถยนต์สมรรถนะสูงทั้งหลายนั้น เราจะเติมน้ำมันกันแบบปกติโดยไม่มีการเขย่ารถ เนืองจากมองว่ากลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถระดับนี้ ไม่ได้ซีเรียสเรื่องอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากเท่ากลุ่มอีโคคาร์ หรือกลุ่มผู้ใช้รถปิคอัพซึ่งค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงมีความสำคัญต่อคนกลุ่มนั้นมาก

แน่นอนว่าการทดสอบตัวเลขแบบนี้ ทางคุณ J!MMY ก็อาสาจัดให้พวกเราอีกครั้งอย่างเต็มใจครับ

เมื่อเติมน้ำมัน Caltex เบนซิน 95 จนเต็มถัง ก็คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ออกรถไปเลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายลัดเลาะไปตามซอยอารีย์ โผล่ออกปากซอยโรงเรียนเรวดี เลี้ยวซ้าย มุ่งสู่ถนนพระราม 6 ไปเลี้ยวขวาขึ้นทางด่วน ขับไปเรื่อยๆ จนสุดปลายทางด่วนสายเชียงราก อุดรรัถยา ที่ด่านบางปะอิน ก่อนเลี้ยวกลับย้อนขึ้นทางด่วนสายเดิม ขับย้อนกลับมาเข้ากรุงเทพฯกันอีกครั้ง ด้วยมาตรฐานเดิมคือ

ใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และ นั่ง 2 คน

จากนั้น ลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  เลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex พหลโยธิน อีกครั้งเพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ให้เต็มถัง แค่หัวจ่ายตัดพอ เหมือนตอนเริ่มต้นทดลอง

ผู้ช่วยทดลอง และสักขีพยานของเราคราวนี้ เป็น น้องเติ้ง กันตพงษ์ สมชนะ

เอาละ มาดูตัวเลขที่ ออกมากันดีกว่า

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด  93.2 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.05 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 15.40  กิโลเมตร/ลิตร

จะเห็นได้ว่า จากการทดสอบตามมาตรฐานการวิ่งทางไกลของคุณ J!MMY A4 Avant 45TFSI quattro ก็ทำตัวเลขได้ในระดับที่น่าพอใจ ประหยัดในระดับที่ใกล้เคียงกับรถ C-segment อย่าง Corolla กับ Civic ทั้งที่ตัวรถหนัก 1.57 ตัน ล้อวงโต 19 นิ้วยางกว้าง 245 และใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ทำงานตลอดเวลาซึ่งก็ถือเป็นภาระในการขับเคลื่อนอย่างหนึ่ง แต่ถ้าไปเทียบกับรถยุโรป 2.0 ลิตรเทอร์โบยุคใหม่ด้วยกัน ก็จะเห็นว่า 328i F30 จากปี 2012 ยังสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อยกว่า และ Volvo S60 T5 Polestar Performance ก็ทำตัวเลขได้ใกล้เคียงกัน แต่สองคันหลังนี้เป็นรถขับเคลื่อนสองล้อ ทำให้มีความได้เปรียบเรื่องการสูญเสียพลังขับเคลื่อนน้อยกว่า A4 quattro

นี่ล่ะครับ..อยากให้ดูไว้ บางคนชอบพูดติดปากว่ารถแรงม้าเยอะจะต้องกินน้ำมันเยอะ..คุณต้องดูประกอบด้วยว่าคนขับน่ะเรียกม้ามาใช้ตลอดเวลาหรือเปล่า อย่างเวลาขับ 110-120 บนถนนนิ่งๆเรื่อยๆ บางทีใช้ม้าแค่ 50 ตัวก็พอ เครื่องยนต์ถึงแม้จะมีแรงม้าสูง แต่ถ้าปรับจูนมาดี ก็สามารถออกแบบให้ใช้เชื้อเพลิงน้อยเวลาขับแบบปกติ มันอยู่ที่การจ่ายน้ำมัน แรงเสียดทานในเครื่องและเทคโนโลยีอื่นๆที่บริษัทรถจะประเคนเข้าไปนั่นแหละครับ

แล้วถ้าเรียกม้ามาใช้บ่อยๆ ม้าเหล่านั้นก็จะกินหญ้าเยอะ เป็นเรื่องปกติ อย่างวันแรกที่ผมรับ A4 สีดำคันนี้มา ผมขับไปแหลมแม่พิมพ์จังหวัดระยองด้วยความเร็วแบบปกติ 100-110 ใจเย็นๆ มีรถติดบ้าง ก็ยังสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ 15 กิโลลิตร แต่พอขากลับ อาหารทะเลเจ้ากรรมเกิดออกฤทธิ์เร็วกว่าที่ตกลงกันไว้ ทำให้ผมต้องบินเป็น F16 กลับบ้าน (ส้วมที่บ้านคือส้วมที่น่ารักที่สุดเสมอ) ผมเล่นซะอัตราสิ้นเปลืองลงไปเหลือ 11 กิโลลิตร นี่คือธรรมชาติรถเทอร์โบแหละครับ ถ้าเหยียบหนัก บูสท์มาบ่อยก็จะกินดุเหมือนเครื่อง NA บล็อคโต โดยเฉพาะน้ำมันถังที่เจอรถติดหนักๆและมีการทำท้อปสปีดหลายๆครั้ง พวกเราพามันลงไปแตะ 6.79 กิโลเมตรต่อลิตรได้..เหมือนรถ 6 สูบ 220 แรงม้าสมัยก่อนไม่มีผิด

********** สรุป **********

Benchmark ของสปอร์ตแวก้อนสำหรับนักเลงรถสายขับในราคาที่รับได้

ผมไม่ทราบว่าจะหาคำจำกัดความใดที่เหมาะสมกับ A4 Avant 45TFSI quattro S Line Black Edition มากไปกว่านี้อีกแล้ว ลองช่วยผมคิดหน่อยแล้วกันครับว่ามีรถคันไหนที่สามารถให้ความสนุกสนานจากพลังเครื่องยนต์เทอร์โบแท้ๆ ไม่มีมอเตอร์มาเจือปน ใช้เกียร์อัตโนมัติที่ไม่ใช่ CVT มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาที่พัฒนามายาวนานหลายสิบปี ได้ช่วงล่างแบบ Sport-tuned มีล้ออัลลอย 19 นิ้ว ยาง Pirelli P Zero แล้วยังมีความอเนกประสงค์จากพื้นที่ใช้สอยด้านท้ายตามแบบฉบับของรถสเตชั่นแวก้อน?

ทั้งหมดนี้ในราคา 3,249,000 บาท และเป็นรถนำเข้าทั้งคัน? มันไม่มีหรอกครับ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะยอมเลิกคบรถสเตชั่นแวก้อน หรือยอมไม่เอาระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ คุณถึงจะมีตัวเลือกที่น่าสนใจเข้ามาเยอะกว่านี้

A4 Avant quattro มอบองค์ประกอบที่เหมาะสมสำหรับการเป็นรถครอบครัวที่ผสานความสะใจกับความรู้สึกปลอดภัยในการขับอย่างลงตัว นอกจากเครื่องยนต์แรงกำลังดีไม่มากไม่น้อยเกินไป การทำงานของเกียร์ก็ดีสมกับที่เป็นคลัตช์คู่จากรั้ว VW Group/Audi คันเร่งตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติ การเกาะถนนก็มั่นใจได้ในแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (แต่อย่าลืมลิมิตของรถและอย่าลืมเช็คสภาพยางก่อน) มีเบรกที่คุมง่าย รถทั้งคัน สั่งได้อย่างละเมียดตามชอบ เหมือนไปร้านอาหารตามสั่ง ออเดอร์แม่ครัวแบบกวนๆ ลาบไม่ใส่พริก กระเพราไม่ใส่ถั่วฝักยาว หมูกระเทียมไม่โรยผักชี พะโล้ไม่เอาหนัง สั่งแบบไหนแล้วแม่ครัวก็ทำได้ถูกหมด คุณจะโดนแม่ครัวด่าก็ต่อเมื่อสั่งอะไรบ้าๆที่ร้านเขาไม่ทำขาย ก็เท่านั้น

ถ้าเทียบกับ BMW ล่ะ? ..ก็คงเป็นร้านที่แม่ครัวทำอาหารถูกตามที่เราสั่ง 90% มีเผลอโรยผัก เผลอใส่พริกมาบ้าง แต่คนเสิร์ฟหน้าตาน่ารัก..คุณเสียบางอย่าง แต่ได้สิ่งเร้าอารมณ์บางอย่างเป็นข้อตอบแทน

โบนัสที่ตามมาพร้อมกับตัวรถ A4 คันนี้ คือเบาะนั่งแบบสปอร์ตหุ้มด้วยวัสดุชั้นดีที่เห็นตอนแรกแล้วนึกว่าจะนั่งไม่สบาย แต่ขับไป 3-4 ชั่วโมงก็ยังไม่รู้สึกเหนื่อยล้า แถมมีฟังก์ชั่นนวดมาให้แม้จะนวดเบาเหมือนอุ้งเท้าแมวบ้านน้าผมก็ตามเหอะ ฝาท้ายไฟฟ้า หลังคา Panoramic ก็มีส่วนช่วยทำให้ชีวิตน่ารื่นรมย์ขึ้นสำหรับหลายท่าน มันคือรถหนึ่งคันที่ทำได้ทุกอย่างยกเว้นวิ่งลุยป่าอุทยาน คุณจะพาแฟนไปกินข้าว เต้นรำ พาลูกไปซื้อของเล่นในวันเกิด ซัดเล่นยามดึกเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ เอาไปจอดมีตติ้งกับพวกวัยรุ่น หรือไปวิ่งเล่นในสนามแข่ง มันอาจจะไม่ใช่รถที่ทำทุกอย่างได้ 100% แต่คุณจะเอ็นจอยไปกับสิ่งที่มันสามารถให้ได้

แล้วจุดไหนบ้างล่ะ? ที่ยังปรับปรุงได้อีก…จุดไหนที่ยังทำให้คุณควรคิดซ้ำก่อนวางเงินมัดจำ..โจทย์ข้อนี้ค่อนข้างยากสำหรับผม เพราะในขณะที่รถส่วนมากในโลกที่ผมเคยลองขับ จะมีข้อเสียที่ชัดเจนให้พูดได้ แต่กับ A4 Avant ผมต้องตั้งใจหามากกว่าปกติ จนบางทีถ้าเอามาพูด ก็จะดูเหมือนพวกช่างติไม่รู้จักจบจักสิ้น..ผมก็ไม่ได้ทำเพื่อเอาความสะใจอะไรครับ แค่ถือคติในการพูดและพิมพ์บอกคนอ่านตามสิ่งที่ผมคิด

ข้อแรกที่ต้องพูดถึง ก็คงเป็นการขาด Safety Feature ขั้นสูง ซึ่งแม้ว่าอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยของ A4 Avant จะไม่ได้ด้อยไปกว่า BMW ซีรีส์ 3 หรือแพ้ C350e Estate (ซึ่งเลิกจำหน่ายไปไม่นานมานี้) อยู่ไม่มาก แต่ประเด็นเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่ คือสิ่งที่ผู้บริโภคในปัจจุบันเริ่มให้ความสำคัญกันมากขึ้น ในเมื่อรถ D-Segment จากญี่ปุ่น ประกอบในประเทศที่ราคาไม่ถึงสองล้านบาท รวมถึง Volvo V60 T-5 สเป็คมาตรฐาน สามารถให้ระบบหยุดรถอัตโนมัติ ระบบแจ้งเตือนรถในจุดบอด หรือ Adaptive Cruise Control มาได้ รถที่ราคาแพงกว่า ก็จะถูกตั้งคำถามว่า แล้วทำไมไม่ให้มาบ้าง

ข้อที่สอง คือ การเซ็ตวิธีการตอบสนองของรถใน Drive Select โหมด Dynamic ผมว่ามันยังไม่สะใจและแสนรู้เท่ากับโหมด Sport ของ BMW เพราะแม้จะไม่ค่อยยุ่งกับเกียร์ 7 แต่อย่าลืมว่าอัตราทดเกียร์ 4-5-6 ของ A4 นั้นยาวมาก บางครั้งรถจะตัดขึ้นเกียร์สูงที่ความเร็วต่ำเกินไป หรือขับแบบกดคันเร่งหนักๆต่อเนื่องมา พอมาเจอรถวิ่งช้าขวางแป๊บเดียว พ่อก็เข้าเกียร์ 6 ไปเลยโดยไม่รีรอ ทำให้ผมรำคาญจนต้องใช้โหมด +/- เล่นเกียร์เอง ซึ่งถ้าเป็นใน BMW ผมจะไม่ต้องทำแบบนั้นเลย

ประการต่อมาคือ ระบบมัลติมีเดียของรถ ซึ่งดูเหมือนจะชอบผสมพันธุ์ (Pair) กับผลิตภัณฑ์จากค่าย Apple และมีปัญหากับโทรศัพท์ Android เหลือเกิน Pair ไม่ได้บ้าง หรือ Pair ได้แล้วมีปัญหาในการปรับแต่งเสียงบ้าง..แล้วก็ไม่ได้เป็นเฉพาะกับ A4 คันนี้นะครับ Q7 ที่ผมไปลองขับในต้นเดือนมีนาคมก็มีอาการรังเกียจ Android phone เหมือนกัน…จะแก้ยังไงดี..เอ้า ไหนๆรถก็ไม่มีระบบนำทางมาให้ ลองจัดแคมเปญซื้อ Audi รุ่นที่ไม่มี Navi แล้วแถม iPhone เป็นไงครับ?

เรื่องที่เหลือ ก็จะเป็นประเด็นเล็กน้อยที่บางท่านอาจไม่มองว่าเป็นสาระ (แต่ผมสน) เช่นดีไซน์ภายในห้องโดยสาร ที่ผมมองว่ายังไม่ชวนให้น่าซื้อแบบ C-Class แต่บางท่านก็อาจจะชอบแบบนี้ รวมถึงเสียงเครื่องยนต์กับเสียงท่อไอเสียที่เงียบมากจนรู้สึกขัดๆกับภาพลักษณ์ที่กร้าวกำลังเหมาะของภายนอกรถ..บางท่านก็อาจจะไม่คิดมากเพราะไปหาท่อกับกรองสปอร์ตใส่เองได้ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม หากนำ A4 Avant ไปเทียบกับคู่แข่งในตลาด จะพบว่าตัวรถก็ยังมีความโดดเด่นในแง่มุมของการขับขี่อย่างที่ได้กล่าวไป ในกลุ่มพรีเมียมสเตชั่นแวก้อนขนาดกระทัดรัดนั้น ตัวเลือกในปัจจุบันน้อยลงมาก BMW 320d Touring ก็เลิกทำตลาดไปนานโข..ส่วน C350e Estate ก็เพิ่งหายตัวไปไม่นาน แต่ถ้ามันยังอยู่ มันก็จะเป็นคู่ปรับที่น่ากลัวมาก ด้วยอุปกรณ์ความหรูที่ครบครัน ชื่อชั้นของความเป็นดาวสามแฉก ระบบขับเคลื่อน Plug-in Hybrid ที่ได้เปรียบเรื่องความประหยัดในตัวเมือง และยังให้พลังถึง 279 แรงม้า วิ่งควอเตอร์ไมล์ได้ 14 วิปลาย ชุดแต่งรอบคันแถมช่วงล่างถุงลม ในราคา 3,690,000 บาท ผมว่ามีหลายคนที่ยอมเสียเงินเพิ่มไปเล่น..ถ้ามันยังขายอยู่

ดังนั้น รถที่ใกล้เคียงที่สุดที่ยังขายอยู่ตอนนี้ ก็มีแต่ Volvo V60 ซึ่งในบ้านเราก็ใกล้ตกรุ่นเข้าไปทุกขณะ รุ่น T-5 220 แรงม้า ดูจะเป็นคู่เปรียบที่ตรงรุ่น กับราคาแค่ 2,529,000 บาท ไม่ใช่รถขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่ก็ทดแทนด้วยอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยที่ครบครันกว่า A4 และถึงแม้เสียเปรียบเรื่องพลังและน้ำหนัก แต่ก็สามารถสั่งรีแมพกล่อง ECU by Polestar แล้วไม่ต้องลุ้นเรื่องประกันศูนย์ แต่ถ้า T-5 ล็อตนี้ขายหมดลง คุณก็จะเหลือแต่รุ่น D-4 Dynamic Edition 2.0 ลิตร 190 แรงม้าดีเซล ราคา 2,390,000 บาท

อีกเรื่องหนึ่งที่อาจทำให้หลายคนยังไม่มั่นใจที่จะซื้อรถจาก Audi ก็คือจำนวนศูนย์บริการและความน่าเชื่อถือ ซึ่งหลังจากที่เปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคม 2017 หนึ่งปีผ่านไป โชว์รูมหลักก็ยังคงมีแห่งเดียวคือที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ทำให้ลูกค้าต่างจังหวัดหลายคนไม่สามารถเข้าถึงได้ หรือเข้าถึงไหว แต่ใจยังหวั่น เหมือนพ่อตาจะยกลูกสาวให้หนุ่ม แต่ไม่รู้ที่มาที่ไปหรืออนาคตว่าจะลงเอยเช่นไร

ทาง Meister Technik เองก็ทราบในจุดนี้ พวกเขาพยายามขยายฐานศูนย์บริการไปพร้อมๆกับการนำเสนอรถโมเดลใหม่ๆสู่ตลาด ในปี 2017 พวกเขาตั้งเป้าเอาไว้ 600 คัน ขายจริงได้ 610 คัน ในปีนี้ เมื่อตั้งใจจะเพิ่มเป้าเป็น 1,200 คัน จึงต้องมีการเปิดศูนย์บริการต่างๆเพิ่ม โดยมีโครงการดังต่อไปนี้

  • Audi ชลบุรี (พัทยา) กำหนดเปิด เดือนเมษายนนี้
  • Audi Lighthouse เลียบทางด่วน รามอินทรา กำหนดเปิดในไตรมาสที่สามของปีนี้
  • Audi เชียงใหม่ ที่ ถนนเจริญเมือง กำหนดเปิดในไตรมาสที่สามของปีนี้
  • Audi ภูเก็ต ที่ ถนนเทพกษัตรี กำหนดเปิดภายในปีนี้
  • และจะมีการเพิ่มโชว์รูมในหัวเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ยังไม่กำหนดจังหวัด) ภายในปีนี้

ตามแผนการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายและบริการของ Meister Technik พวกเขาตั้งใจว่าภายในสิ้นปี 2019 จะต้องมีศูนย์บริการและโชว์รูมทั่วกรุงเทพ 6 แห่ง และในต่างจังหวัด 4 แห่ง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเข้าถึง ซื้อรถ และรับบริการได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ หนุ่มๆ Meister Technik ยังพยายามซื้อใจพ่อตา ด้วยการประกาศนโยบายรวมชาวสี่ห่วงให้เป็นหนึ่ง พยายามสร้างและรวมกลุ่มคนที่มีความชื่นชอบ Audi ด้วยการ ให้การสนับสนุนลูกค้าที่ซื้อรถ Audi จากผู้แทนจำหน่ายรายเดิมโดยไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆเพิ่ม หรือถ้าหากใครเคยซื้อรถมาจากผู้นำเข้าอิสระ ก็จะเก็บค่าแรกเข้า 10,000-50,000 บาท ตามแต่ละรุ่น ซึ่งจากจุดนั้นไป ลูกค้าจะมีสิทธิ์ในการอัปเดต ECU รวมถึงบริการตรวจเช็ครถเบื้องต้น 40 รายการ

นอกจากนี้ ยังมีความพยายามในการควบคุมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอะไหล่ ซึ่งบางรายการก็ตั้งราคามาถูกกว่ารถของคู่แข่ง จนอยู่ในระดับที่มีลูกค้าหลายคนซึ่งเคยใช้ Audi รุ่นเก่าๆ มาลองใช้บริการแล้วให้คำชมว่าค่าใช้จ่ายในบิลออกมาถูกกว่าที่คาดไว้

นี่คือก้าวแรกในการแสดงออกซึ่งความตั้งใจในการสร้างแบรนด์ Audi ให้เกิดในบ้านเราอีกครั้ง ซึ่งถ้าหากสามารถรักษามาตรฐานแบบนี้เอาไว้ได้ Audi Thailand ก็น่าจะใช้เวลาอีกราว 2-3 ปีในการสร้างความมั่นใจในหมู่ลูกค้าพรีเมียม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยึดติดแบรนด์อย่างหนัก ให้หันมาสนใจของแปลกที่แอบอยู่ตามท้องถนนในเมืองไทยมานานอย่าง Audi อีกครั้ง

ผมคิดว่า Meister Technik ณ บัดนี้ ได้ดูแลและฉุด Audi ที่เพิ่งวิ่งแล้วหกล้มให้ขึ้นยืนได้อีกครั้ง แต่หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล นอกจากการวางแผนที่ดี ความเข้าใจในสิ่งที่ลูกค้า Audi ตัวจริงต้องการ (ไม่นับลูกค้าบนคีย์บอร์ด) …มันก็คงจะมีแต่ความตั้งใจจริง และเวลานั่นล่ะครับที่จะช่วยหล่อเลี้ยงจนถึงวันที่พูดถึงแบรนด์ “สี่ห่วง” แล้วผู้คน “ไม่ห่วง”

เป็นกำลังใจให้แล้วกันครับ เพื่อที่นักเลงรถอย่างเราจะได้มีตัวเลือกในตลาดอย่างที่เราควรมีนานมาแล้ว!

 

————————–/////—————————-

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
Meister Technik (Audi Thailand)
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ

Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และ ภาพถ่ายโดย J!MMY และภาพประกอบทางเทคนิคของ Audi Germany

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com 13  มีนาคม 2018

Copyright (c) 2018 Text and Pictures. Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.First publish in www.Headlightmag.com 13 March 2018

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!