สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน

เรากลับมาพบกันอีกครั้งกับบทความ BestDrive ซึ่งนำเอารถที่เราได้ทดสอบไปในปี 2015
มารวมไว้ในบทความเดียวเพื่อเฟ้นหาว่ารถคันใด คือรถที่พวกเราในทีมงาน Headlightmag
รู้สึกดีกับมันมากที่สุด โดยไม่ใช่เพียงแค่เสียงของ J!MMY เจ้าของเว็บ เสียงของผม หรือ
ความชอบของพวกเราสองคน หากแต่เป็นความรู้สึกและความคิดที่กลั่นกรองออกมาจาก
กรรมการซึ่งเป็นคนในทีมของเราโดยทุกคนมีน้ำหนักของคะแนนเสียงเท่ากัน เพื่อให้รถ
แต่ละคันผ่านการพิจารณาโดยบุคคลที่มีทั้งส่วนเหมือนและต่างจากคนอื่น

เรามีทั้งกรรมการที่สนใจในเรื่องดีไซน์และการออกแบบมาก และกรรมการที่ไม่ค่อยเน้นเรื่อง
รูปลักษณ์ เรามีกรรมการที่มองขาดในเรื่องออพชั่นและความคุ้มค่า และมีกรรมการประเภทที่
ออพชั่นคืออะไรฉันไม่สนมากเท่ากับความสนุกในการขับและความแรง ลักษณะของคนที่
มีความคิด 60% เหมือนกันแต่มีอีก 40% ที่มีอิสระตามความชอบของตัวเอง ผมเลือกที่จะไม่
พยายามดึงดูดให้กรรมการทุกคนคิดเหมือนตัวผมหรือเจ้าของเว็บ แต่ต้องการให้แต่ละคน
ใช้ความสนใจในมุมของตัวเอง แปลงมาเป็นการให้คะแนนที่เป็นระบบและต้องมีเหตุผลสนับสนุน

ในปีนี้ เรารู้สึกว่ามีหลายสิ่งที่กระตุ้นให้เราลองปรับปรุงวิธีการของ Best Drive บางสิ่งเราก็
ตัดสินใจว่าไม่ทำ เช่นการพยายามไต่ระดับตัวเองจากการจัดคะแนนภายในเว็บกันเอง เป็น
การให้คะแนนในระดับประเทศ หรือเปลี่ยนจาก Best Drive ของ Headlightmag ให้กลายเป็น
Best Drive ของประเทศไทย..เรื่องนี้ผมขอพูดแบบเผด็จการเลยว่าเราไม่ขอทำ เพราะจำนวนคน
จำนวนข้อมูล และแม้กระทั่งวิธีการคิดเราจะต้องพร้อมสู่ความเป็นสากล โยนความคิดของ
ตัวเองทิ้งไปและคิดถึงผู้ใช้รถทั้งประเทศมากขึ้น การให้คะแนนระดับ National แบบนี้เรามองว่า
มันซีเรียสมากกว่าสนุก เราพอใจที่จะให้ Best Drive สะท้อนเสียงของ Headlightmag ต่อไป
เพราะมันทำให้เราสามารถนำความรู้สึกส่วนตัวมาเป็น 1 ใน 14 ข้อของการให้คะแนนได้และ
รู้สึกไม่ตะขิดตะขวงใจว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่า

สำหรับสิ่งที่เราเปลี่ยน ก็คือการคัดเลือกรถ และวิธีการให้คะแนน บางอย่างที่เราเปลี่ยนใน
วันนี้ก็เป็นการทดลอง หากได้ผลก็จะทำต่อไป หากยังไม่แน่ชัดเราอาจปรับปรุงมันต่อ แต่ถ้า
ผลออกมาไม่ดี เราก็จะไปปรับปรุงที่เรื่องอื่น

เรื่องการคัดเลือกรถ แต่เดิมเรากำหนดไว้ว่า เฉพาะรถที่ได้ผ่านการทดสอบอัตราเร่ง
และอัตราสิ้นเปลืองโดย J!MMY เท่านั้นที่จะได้สิทธิ์เอาชื่อเข้ามาอยู่ใน Scorecard ให้คะแนน
โดยรถมีแค่บทความ First Impression จะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม แต่ใน Best Drive ครั้งนี้ เราเปลี่ยน
ตรงที่รถบางคันอย่าง Lexus ES300h และ Subaru XV ซึ่งมีแค่บทความ First Impression
แต่บริษัทรถยืนยันว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางกลจักร เครื่องเดิม เกียร์เดิม กล่องเดิม แล้วเรา
มีตัวเลขการทดสอบจากรถโฉมก่อนไมเนอร์เชนจ์ที่พอจะใช้อ้างอิงได้ ถ้าเข้าข่ายแบบนี้เราจะ
ยอมให้เข้าเป็นหนึ่งในผู้ประกวด Best Drive แต่รถอย่าง Aston Martin หรือรถที่เจ้าของเว็บ
ได้ไปขับเมืองนอก และไม่มีวิธีการหรือตัวเลขอ้างอิงเทียบได้กับการทดสอบอัตราเร่งและ
อัตราสิ้นเปลืองตามวิธีการปกติของ J!MMY ได้ เราก็จะยังไม่นำมารวมใน Scorecard

เป็นการเปลี่ยนที่เสี่ยงต่อการโดนหาว่ารับใต้โต๊ะจากบริษัทรถหรือเปล่า บอกเลยว่า
บริษัทรถไม่จ่ายเงินเพื่อให้พวกผมมาชมหรือด่าภายใต้บทความเดียวนี้หรอกครับ เอาเงิน
ไปทำอย่างอื่นฉลาดกว่าเยอะ ส่วนข้อดีของการทำแบบนี้คือเราจะได้เห็นกันว่ารถคันนั้นๆ
เมื่อมีการอัพเดท แล้วราคาเปลี่ยนแปลงไป มันจะยังดีพอทำให้รถคันนั้นรักษาคะแนนของมัน
เทียบกับคู่แข่งได้หรือไม่

bestdrive2015_banner

ส่วนวิธีการให้คะแนน ก็มีบางส่วนที่เราลองปรับใหม่ จะถือโอกาสอธิบายวิธีการให้ชัดเจน
ตรงนี้ ผมอาจขอรบกวนคุณผู้อ่านที่เป็นนักอ่านตัวจริงทั้งหลายได้รับข้อมูลตรงนี้และช่วยผม
ชี้แจงให้กับคนอื่นๆที่ “ไม่อ่าน แต่ถามเยอะ” หรือ “กูไม่อ่าน กูด่าไว้ก่อน” ด้วยแล้วกันนะครับ

การให้คะแนนรถแต่ละคัน เราเปลี่ยนจากเดิมที่ให้คะแนนกับคุณสมบัติ 10 ด้าน บวกกับ
คะแนนความชอบส่วนตัวของกรรมการอีก 1 ช่อง เป็นการให้คะแนนคุณสมบัติรถ 13 ด้าน
บวกกับคะแนนความชอบส่วนตัวของกรรมการ 1 ช่อง แต่ละข้อจะให้คะแนน 1- 10 คะแนน
โดยถ้าข้อนั้นได้คะแนนต่ำกว่า 5 แปลว่าคุณสมบัติข้อนั้นของรถคันนั้นจะต้องแย่กว่า
เกณฑ์เมื่อเทียบกับรถระดับเดียวกัน/ระดับราคาเดียวกัน และถ้าได้ 6 หรือ 7 อาจจะแปลว่า
อยู่ในขั้นที่ธรรมดาและไม่โดดเด่น ในขณะที่ 8-9 หมายถึงดี แต่ยังไม่สุด และ 10 แปลว่า
นึกไม่ออกเลยว่ามีใครทำได้ดีกว่านั้นในบรรดารถระดับเดียวกัน

เมื่อได้ใบลงคะแนนกลับมาแล้ว เราก็จะทำกระดาษสรุปคะแนนโดยแยก Sheet ตามคุณสมบัติ
ข้อต่างๆ เอาคะแนนของกรรมการแต่ละคนมาวางเรียงกัน จากนั้นหาค่าเฉลี่ยของคะแนน
แล้วเอาค่าเฉลี่ยนั้น ถือเป็นคะแนน Final จากกรรมการทั้งหมด จากนั้นคะแนน Final ของแต่ละ
หัวข้อและแต่ละคันจะถูกนำมารวมในตารางสรุปขั้นสุดท้าย บวกคะแนนทุกหัวข้อเข้าด้วยกัน
ที่ด้านขวาของตาราง รถคันที่ได้คะแนนมากที่สุดคือ Best Drive..มันอาจจะมีวิธีกว่านี้
แต่ในปัจจุบันผมมองว่ามันดีที่สุดในแง่การถ่วงดุลย์เสียงของกรรมการด้วยกัน ถ้ารถคันไหน
ได้คะแนน Final เยอะแปลว่ากรรมการทุกคนชอบเหมือนกัน รถคันนั้นก็ต้องมีดีไม่ปานกลางก็มาก

คะแนนเต็มสำหรับทุกหัวข้อคุณสมบัติ รวมกับคะแนนความชอบส่วนตัวของกรรมการ
เป็น 14 หัวข้อ คะแนนเต็มคือ 140 คะแนน และทุกหัวข้อมีน้ำหนักเท่ากัน ไม่ได้เทให้กับเรื่อง
อัตราเร่ง เรื่องความประหยัด หรือเทให้กับจิตพิศวาสกรรมการมากไปกว่าหัวข้ออื่น จุดนี้
อยากให้ทำความเข้าใจกันให้มาก เพราะหลายคนชอบเถียงว่าทำไมรถรุ่นนั้นราคาถูก
และมีดีหลายอย่างแล้วทำไมคะแนนไม่ดี..ราคาถูก เป็นแค่ 1 ใน 14 ข้อ ออพชั่นดี เป็นแค่
1 ใน 14 ข้อ คุณชนะโลกด้วยความดีแค่ 2 อย่างไม่ได้

ส่วนคุณสมบัติทั้ง 14 ข้อที่เรานำมาใช้พิจารณารถได้แก่

1. การออกแบบภายนอก
2. การออกแบบภายใน
3. ความสบายของผู้ขับ/ผู้โดยสารตอนหน้า
4. ความสบายของผู้โดยสารตอนหลัง (ถ้าเป็นรถ 2 ที่นั่ง ข้อนี้ให้ตัดออกและนับคะแนนรวมกับ#3)
(หากเป็นรถที่มีที่นั่ง 3 แถว ให้นับผู้โดยสารตอน 2 และ 3 รวมกันพิจารณาลงในข้อนี้)
5. การเก็บเสียงรบกวน
6. อุปกรณ์ที่ให้มาและคุณภาพที่สัมผัสได้จากตัวรถ (ไม่นับรวมอุปกรณ์ความปลอดภัย)
7. ระบบสนับสนุนความปลอดภัย (เช่นถุงลม, ABS, TCS, VSC ต่างๆ)
8. อัตราเร่งและความคล่องตัว (รวมถึงการทำงานของเกียร์ การตอบสนองเมื่อต้องการบู๊)
9. ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง (ผลจากการทดสอบเป็นหลัก + ผลจากการเติมและขับในชีวิตจริงบางส่วน)
10. ความนุ่มนวลของช่วงล่าง (ตามที่ควรเป็นเมื่อเทียบกับประเภทและจุดประสงค์ของรถคันนั้นๆ)
11. ความมั่นใจของช่วงล่างและพวงมาลัย (ตามที่ควรเป็นเมื่อเทียบประเภทของรถคันนั้น)
12. การทำงานของเบรก
13. ความคุ้มค่าเมื่อเทียบราคาของรถกับสิ่งที่ได้ในภาพรวม
14. คะแนนความชอบของกรรมการ (ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลประกอบ)

เราไม่นับเรื่องภาพลักษณ์อันสูงส่งทางสังคม ไม่เอาเรื่องสัญชาติเชื้อชาติรถ ไม่เอาเรื่องศูนย์บริการ
มาคิดเพราะเรื่องแบบนี้มันแล้วแต่ประสบการณ์ดี/เลวที่แต่ละคนจะพบ เราไม่สนเรื่องความทนทาน
ในระยะยาว (เอารถมาทดสอบแค่ 7-10 วันจะตอบได้ไงว่าอะไรทนไม่ทน) ไม่สนว่ารถคันนั้นจะ
ของแต่งเยอะหรือน้อย และไม่สนเรื่องราคาขายต่อ เรื่องต่างๆเหล่านี้ ผมให้คุณผู้อ่านไปพิจารณา
เวลาท่านจะทำ Best Drive ในแบบฉบับของตัวท่านเองแล้วกันนะครับ

 

HEADLIGHTMAG’S READER’S CHOICE

แน่นอนว่าธรรมเนียมของเรานอกจากมีการจัด Best Drive แล้ว ยังมีการจัดให้คุณผู้อ่านได้
ทำโพลล์ในเว็บบอร์ด โดยให้คุณผู้อ่านของเราโหวตตามใจชอบว่าใครจะได้คะแนนมากที่สุด
ในปีก่อนๆผมพลาดตรงที่ดันประกาศผล Best Drive ก่อนแล้วค่อยทำโพลล์ ทำให้มีข้อครหาว่า
เอาผลจาก Best Drive มาเหนี่ยวนำการตัดสินใจของคนอ่าน ปีนี้ผมเปิดโพลล์และปิดโพลล์
ก่อนประกาศผล Best Drive น่าจะเป็นการกระทำที่โปร่งใสมากกว่า

ผู้ชนะ READER’S CHOICE POLL ก็คือ Ford Everest 3.2 Titanium Plus!
สำหรับคะแนนโพลล์ของรถคันอื่นๆ สามารถ คลิกดูได้ที่นี่

เอาล่ะครับ มาเข้าสู่บทความ Best Drive กันดีกว่า!

 

+++++++++++++++++

BD2015_01

อันดับที่ 32 Ford EcoSport 1.5L Titanium

เดี๋ยวนะ..ไม่มีใครรัก EcoSport ขนาดนั้นเชียวหรือ? การที่รถคันนี้ทำคะแนนรั้งท้าย
ไม่ได้แปลว่ารถคันนี้ไม่มีดีอะไรเสียเลย สิ่งที่เรารู้สึกดีกับรถคันนี้ก็ยังมีอยู่บ้าง เช่น
อัตราสิ้นเปลืองซึ่งอยู่ในระดับค่อนข้างดี เช่นเดียวกับการยุบยืดและความหนึบของช่วงล่าง
ที่ความเร็วสูงซึ่งให้ความมั่นใจได้มากกว่า HR-V เสียอีก และการซับแรงกระแทกที่ความเร็ว
ใช้งานในเมืองก็ทำได้ค่อนข้างดีเช่นกัน นับว่าไม่ทิ้งมาตรฐานการเซ็ตช่วงล่างที่ดีของค่าย
นอกจากนี้ขนาดพื้นที่ภายในก็อำนวยความเอนกประสงค์มากกว่า Juke เบาะหลังมีที่
ให้เหยียดแข้งขาและหัวได้มากกว่า Juke แม้จะไม่ถึงขั้นสบายสุดๆก็ตาม คะแนนในเรื่อง
การออกแบบแม้ไม่ดีแต่ก็ไม่แย่ กรรมการเกือบทุกคนมองว่าอยู่กลางๆ ไม่ได้มีความเห็น
แยกฝั่งกันอย่างสุดกู่แบบ Juke

ปัญหาอยู่ที่ว่าคุณสมบัติด้านอื่นๆของ EcoSport นั้นค่อนข้างจะธรรมดาหรือไม่ก็แย่
กว่าเฉลี่ย เบาะนั่งยังทำมาไม่สบายเท่าที่ควร พนักพิงศีรษะแข็ง คุณภาพการประกอบ
และวัสดุยังต้องปรับปรุง พวงมาลัยค่อนข้างไวและเมื่อหักหลบสิ่งกีดขวางเร็วๆจะออกอาการ
ดึงหน้ารถไปมากกว่า Juke เบรกเหมือนจะไม่ไวแต่กดเพิ่มไปนิดเดียวหน้าทิ่ม เกียร์ยัง
ทำงานไม่ดีเท่าเวอร์ชั่นที่ปรับปรุงแล้วใน Fiesta EcoBoost บางจังหวะมีอาการสับสนเลือก
เกียร์ไม่ถูกบ้างเหมือนกัน ภาพรวมที่ออกมายังไม่มีจุดที่น่าประทับใจเป็นพิเศษในสายตา
ของพวกเรา แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ต้องการจ่ายระดับ 900,000 บาท และพบว่า Juke
คับแคบและอินดี้เกินไป..หรือคุณอยากได้หลังคาซันรูฟ..EcoSport ก็เป็นรถที่สามารถ
ไหว้วานได้ระดับหนึ่ง

 

อันดับที่ 31 Toyota Hilux Revo 2.8G 4×4

ทำคะแนนได้ไม่ดีนักในเรื่องการออกแบบภายนอก จากนั้นเมื่อเข้ามาข้างในแล้วเริ่มขับรถไป
พวกเราจะเริ่มภาวนาขอให้ถนนมันเรียบ เพราะถ้ามันไม่เรียบ Revo มีช่วงล่างหลังที่
ดีดกระเด้งกระดอนมากกว่าเพื่อน มีแต่กรรมการคนที่ชินกับรถกระบะเท่านั้นที่ยังพอรับได้
นั่นก็เป็นเพราะ Toyota ทำช่วงล่างมาเผื่อการบรรทุกไว้มาก จนเรามองว่ามันออกจะมาก
ไปสักนิดสำหรับรถกระบะ 4 ประตูที่ควรเน้นความสบายในการโดยสารไว้บ้าง นอกจากนี้
เมื่อมองราคาของตัวรถ เทียบกับสิ่งที่ได้แล้วรู้สึกว่ากระบะญี่ปุ่นจากค่ายอื่นถูกกว่าแต่
ให้หลายสิ่งใกล้เคียงกันหรือเหนือกว่า เบาะหลังของ Revo ก็แค่น่านั่งกว่า NP300
แต่ไม่มีเนื้อที่หลังคามากเท่า Vigo

แต่ถ้ามองข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้ Revo ก็ยังมีหลายสิ่งที่ได้รับการปรับปรุงมาดีเกินคาด
เช่นการเก็บเสียงรบกวนที่ชนะ D-Max แบบขาดลอย พวงมาลัยที่ปรับแต่งน้ำหนักหน่วง
ความตึงมือและอัตราทดมาได้ลงตัวเหมาะสมกับรูปแบบของรถ อีกทั้งยังมีการตกแต่ง
ภายในที่รู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าอีกระดับจากสมัย Vigo ส่วนเครื่องยนต์ 2.8 ลิตรนั้น
มีตัวเลขความประหยัดเชื้อเพลิงค่อนข้างดี ขับในโหมดปกติกดคันเร่งไม่ต้องเยอะก็เรียก
แรงบิดมาใช้ได้เร็ว แม้เวลาเร่งแซงรอบจะยังไม่กวาดไหลลื่นอย่างที่คิดก็ตาม อุปกรณ์
ความปลอดภัยเทียบกับ Ford Ranger Wildtrak เรียกได้ว่าขาดบางอย่าง แต่ก็มีเหนือกว่า
บางอย่าง แลกกันคนละหมัด นี่ถ้าราคาถูกกว่านี้สักแสนบาท ก็คงได้คะแนนรวมดีกว่านี้

 

อันดับที่ 30 Nissan Navara NP300 Double Cab 2.5 Calibre V 7AT

การมาของ Revo มีผลกระทบต่อคะแนนเรื่องความสบายในห้องโดยสารของ NP300
พอสมควรเพราะกลายเป็นรถกระบะที่ไม่ค่อยสบายต่อการโดยสารนัก เบาะหน้าดันหัว
ส่วนเบาะหลังก็ไม่ใช่ที่น่านั่งเท่ารถของคู่แข่ง ช่วงล่างหลังที่แข็งค่อนข้างดีดกระดอน
โดยเฉพาะเวลาวิ่ง 110-120 บนถนนที่พื้นไม่เรียบก็เกือบคล้าย Revo อาจเป็นไปได้ว่า
พวกเราไม่ใช่คนเล่นรถกระบะตัวจริง แต่ก็ทิ้งคำถามไว้อยู่ดีว่าแล้วทำไมเราถึงนั่ง
Ford Ranger, D-Max และ Triton เดินทางได้โดยไม่เวียนหัวเท่า?

จุดดีที่ช่วยเซฟไม่ให้ Calibre V คะแนนต่ำลงไปกว่านี้ก็คือสิ่งที่ได้เมื่อเทียบกับราคา
892,000 บาท ณ วันทดสอบ ซึ่งภายในมองดูบนแดชบอร์ดก็หรูหราน้องๆพวกรุ่นท้อป
ส่วนพลังเครื่องแม้จะเป็นรุ่น Low Power แต่อัตราเร่งออกมาไม่เลวเลย ถ้าไม่ขับลากรอบ
เกิน 3,000 แทบจะไม่ต่างกับรุ่น 190 แรงม้าด้วยซ้ำ อัตราสิ้นเปลืองก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ
แต่ถ้าหลุดจากเรื่องเหล่านี้ไป Calibre V ก็ไม่ได้มีจุดที่สร้างความประทับใจมากเป็นพิเศษ
อาจจะนับเป็นกระบะราคาดี ของเล่นค่อนข้างครบในดวงใจของคนที่โอเคกับเบาะและ
ช่วงล่างของมันเท่านั้น

 

อันดับที่ 29 Toyota Fortuner 2.4V 2WD

โอเค.มันอยู่อันดับที่ 29 แต่ก็ใช่ว่าไม่มีดีเสียเลย เรื่องการออกแบบทั้งภายนอกและภายใน
คะแนนรวมจากกรรมการออกมาบ่งชี้ว่า Fortuner ได้คะแนนดีกว่า Pajero Sport
ความสบายของผู้โดยสารตอนหน้าแพ้นิดหน่อยในขณะที่ด้านหลังนั้นใกล้เคียงกัน
Toyota พัฒนาการตอบสนองพวงมาลัยมาได้ดีเช่นเดียวกับ Revo ไม่ประสาทแxกเวลาขับ
มีแรงดีดคืนเป็นธรรมชาติ การเก็บเสียงทั้งคันในภาพรวมทำออกมาได้ค่อนข้างดี มีถุงลม
นิรภัยมาให้ 7 ใบในขณะที่ Pajero Sport ถ้าไม่ใช่รุ่นท้อป คุณจะได้ถุงลมแค่ 2 ใบเท่านั้น
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 13.53 กม./ลิตรนั้นประหยัดกว่า Ford 2.2 และ Mitsubishi และ
ถือว่าเป็นผู้นำของคลาสแม้จะไม่ได้ห่าง Pajero Sport GLS ขับหลังมากนัก

ทุกอย่างดูดีจนเมื่อออกสู่ถนนใหญ่ เริ่มใช้ความเร็วและถนนไม่เรียบ ในบรรดา PPV
ทั้งหมดทั้งปวง Fortuner มีอาการดีดดิ้งมาจากช่วงล่างหลังมากที่สุด ในกรณีคนไม่เคยชิน
กับรถแบบนี้อาจจะถึงขั้นเมารถในขณะที่ Pajero Sport จะนุ่มนวลกว่า และ Everest นิ่งกว่า
ถ้าช่วงล่างแบบนี้ไปอยู่ในยุค 2003-2005 มันคงเป็นเรื่องปกติ แต่ Sorry โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว
นอกจากนี้แม้พละกำลังจะมาดีในช่วงขับคลานๆ แตะๆก็มา แต่เวลาต้องการพลัง 100%
อัตราเร่งมันไม่น่าพอใจเอาซะเลยแม้ว่าไมล์จะเพี้ยนเยอะแล้วก็ตาม เบรกดีกว่ารุ่นที่แล้ว
และความสัมพันธ์ระหว่างความลึก/แรงจับผ้าดีกว่า Ford แต่ก็ยังมีอาการเฟดง่ายเมื่อ
เทียบกับคู่แข่ง ทั้งหมดนี้มาในราคาที่อีกนิดเดียวก็ซื้อ Pajero Sport ตัวท้อปของครบๆได้
ทำให้มันขาดความน่าดึงดูดใจในสายตากรรมการและน้อยคนนักที่จะชอบสิ่งที่มันให้
เมื่อเทียบกับราคาค่าตัว

BD2015_02

อันดับที่ 28 BMW 116i M-Sport

ใครบอกนะว่าเวลา Headlightmag เทสต์ BMW แล้วมักได้อันดับ Top 10 ตลอด
นี่ไงแกะดำของค่าย โอ้..ฟังดูเหมือนแรงแต่อ่านต่อไปก่อนครับ สิ่งที่ฆ่า 116i มากที่สุด
ก็คือการออกแบบภายนอกที่นอกจากจะดูเศร้าในตัวของมันเอง กรรมการเห็นก็เศร้าตาม
จนคะแนน Final ออกมาได้แค่ 3.6 จาก 10 คะแนน นอกจากนี้ยังไปตายที่ความสบายของ
เบาะหลังซึ่งแม้เฮดรูมจะเยอะกว่า A180 แต่ก็ยังเหมาะสำหรับคนตัวเล็กมากกว่าอยู่ดี
ออพชั่นภายในไม่มีความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง ยิ่งคุณลองเทียบกับ Volvo V40 ที่เราได้มาขับ
ในปีที่แล้วในราคาถูกกว่า ภายในของ 116i ถ้าไม่มีจอบนนี่แทบจะไม่เหลืออะไรให้ชม

116i เป็นรถที่เหมาะกับคนที่สนใจกับการขับมากกว่าเรื่องอื่น ด้วยความที่เป็นรถขับหลัง
ยางค่อนข้างโตเกินตัวทำให้มันเปรียบเสมือนกับลูกผสมระหว่าง Mazda MX-5 กับรถ
แฮทช์แบ็คยุโรป เป็นรถที่สอนให้เรารู้จักคำว่าขับสนุกโดยไม่ต้องแรง พวงมาลัยคมและ
บาลานซ์มาดีทั้งเวลาบู๊หรือสันติโหมด ช่วงล่างเกาะถนนมากและไม่หักหลังคุณถ้าคุณ
ไม่ตั้งใจทำให้มันหลุดเอง เบรกตามตีน สั่งได้ เฟดยาก ต่อให้มันเป็นแกะดำ มันก็เป็นแกะ
ตัวที่ผมรู้สึกชอบมากถ้าจะต้องขับไปเที่ยวปายหรือแม่สลอง เครื่องแรงบิดดี แต่รอบปลาย
เหี่ยวไปหน่อย ถ้าเครื่องมันเป็นเครื่อง 2.0 เทอร์โบหรือไม่ก็ทำราคาให้ดีกว่านี้ และช่วย
ปรับหน้าตาภายนอกให้ดูดีกว่านี้ ดีไม่ดีคะแนนอาจจะติด Top 10 เลยก็ได้

 

อันดับที่ 27 Suzuki Ciaz GA 5 M/T

ไม่รู้มาอยู่ตรงนี้ได้ไงสำหรับ Ciaz GA รถอีโคคาร์ตัวโตสเป็คประหยัดที่ไม่มีมาให้แม้แต่
เครื่องเสียงสักชุด ตัวถังรถออกแบบได้สวย เส้นสายภายในจริงๆก็สวย แต่พอลดสเป็ค
โดยการถอดอุปกรณ์ออกไปเยอะมาก เวลาดูรูปเทียบกันกับตัวท้อปแล้วรู้สึกยอมปล้นแบงก์
เพื่อให้ได้สิ่งประทินโฉมที่ทำให้ตัวรถดูสวยขึ้นมากกว่า Ciaz เป็นรถที่มีฐานล้อยาว ตัวใหญ่
ภายในกว้าง การทรงตัวและการขับขี่มั่นใจได้มากกว่า Almera แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้น่าผิดหวัง
ช่วงล่างไม่ได้ดีไปกว่า Brio Amaze นักถ้าจะว่ากันตรงๆ ส่วนพวงมาลัยนั้น ถ้ามองว่า
Suzuki เคยเซ็ตพวงมาลัยได้แบบ Swift กับ Ertiga ก็ไม่เข้าใจว่าทำไม Ciaz ถึงได้พวงมาลัย
ที่ขาดความรู้สึก หลวมโพรก ราวกับไป CTRL+C, CTRL+V พวงมาลัยของ Vios มาใส่

การเซ็ตแป้นคลัตช์ ไม่กระชับเท่า Swift มันไม่ใช่รถที่เน้นขับสนุก แต่เรื่องความสบายพอได้
ด้วยตัวเบาะที่นุ่มขึ้นกว่าของ Swift และนั่งสบายกว่า เรารู้สึกเซอร์ไพรสกับการเก็บเสียงลม
ที่ความเร็วเกิน 120 เพราะมันเงียบกว่าใคร แต่ถ้าคุณต้องจ่ายเงิน 484,000 บาท (ณ วันทดสอบ)
เพื่อเทียบกับรถที่สเป็คโล้นขนาดนี้ บางทีคุณอาจจะอยากมอง Attrage GLX M/T ซึ่งราคาถูกกว่า
และให้ออพชั่นมามากกว่า เครื่องยนต์ก็ไม่ได้มีอะไรดีเด่น มันยังมีนิสัยที่ต้องเหยียบหนักๆลากรอบ
ถึงจะแรง ในภาพรวมกรรมการยังรู้สึกไม่ประทับใจนัก สวย ใหญ่ สบาย แต่นอกนั้นไม่มีอะไรเด่น
และบางข้อก็แย่ ถ้าจะเล่น Ciaz เล่นรุ่นสูงขึ้นไปอีกหน่อยดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

 

อันดับที่ 26 Isuzu D-Max 1.9 DDi Cab4 6M/T

เราไม่ได้เห็นรถกระบะที่ทดสอบตามวิธีของ J!MMY แล้วสามารถทำตัวเลขได้เกิน 15 กม./ลิตร
มานานมากแล้ว และครั้งสุดท้ายที่มีรถทำตัวเลขแบบนี้ได้มันก็เป็นกระบะตัวเตี้ยล้อเล็ก ไม่ใช่
รถยกสูงล้อโตขับหลังแบบคันนี้ นอกจากประหยัดแล้ว เครื่องยนต์ 1.9 ลิตรให้อัตราเร่งแซง
ที่ไม่อืดอาดอย่างที่คาดไว้ จะมีก็เพียงอาการรอรอบนิดหน่อยช่วงที่เทอร์โบยังไม่บูสท์ สำหรับ
รถกระบะแบบ 4 ประตูที่ไม่ได้เน้นบรรทุกหนักถือว่าพอรับได้ ยิ่งไปกว่านั้นช่วงล่างแม้จะมี
อาการยวบยาบตามสไตล์ Isuzu แต่น้ำหนักเครื่องยนต์ที่เบากว่าตัว 3.0 ลง 60 กิโลกรัม
ก็ช่วยให้รถหักเลี้ยวได้คล่องตัวขึ้นและอาการโคลงตามพื้นที่เป็นลอนซึ่งเคยพบในช่วงล่าง
ด้านหน้าก็น้อยลง

ในการขับขี่เดินทางไกล Isuzu มีห้องโดยสารที่ได้คะแนนความสบายเหนือกว่าคู่แข่ง
มีพื้นที่ในห้องโดยสารมากกว่า NP300 และ Revo ช่วงล่างหลังไม่มีอาการดีดดิ้นไปตามพื้น
จะมีก็แต่อาการโคลงเวลาเจอถนนเป็นลอนติดต่อกันเท่านั้น ทั้งนี้ D-Max 1.9 ก็ยังมีนิสัย
ที่ถูกปรับมาตามกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของแบรนด์ Isuzu ทำให้มันไม่ใช่กระบะประเภท
ขับสนุกและมั่นใจ หรือมีบุคลิกเวลาบู๊ที่มันส์แบบ Ford, Mazda หรือ Mitsubishi ซึ่งพัฒนา
ช่วงล่างกันจนมั่นใจใกล้รถเก๋งแล้ว เรื่องการเก็บเสียงลมยังเป็นรองคู่แข่งอยู่ แม้ว่า
เสียงเครื่องยนต์ดีเซล 1.9 ลิตรตัวใหม่จะเงียบลงจนน่าชื่นชมแล้วก็ตาม เป็นรถกระบะ 4 ประตู
สำหรับคนที่ใช้งานมันแบบกระบะ 4 ประตู และไม่ใช่สำหรับคนบ้าพลังเท้าหนัก

 

อันดับที่ 25 Subaru WRX 2.0 CVT Sports Lineartronic

คุณคงเห็นผลของการให้คะแนนแบบให้ทีมมีส่วนร่วมกันชัดๆแล้วเมื่อพบ WRX อยู่ในอันดับ
ค่อนไปทางท้ายๆ ทั้งๆที่ผู้เขียนเองก็มักโดนหาว่าเป็นติ่งดาวลูกไก่อยู่ทุกวัน ถูกครับ
ถ้าคุณเป็นคนที่ขับรถเน้นซิ่ง เอามันส์ อัตราเร่งดี WRX CVT มีพร้อมให้คุณเกือบครบ
เกียร์ CVT ปรับจูนมาได้ค่อนข้างฉลาด โหมด Sport+ จะแบ่งการทดเกียร์เป็น 8 จังหวะ
ทำให้มีแค่ช่วงออกตัวเท่านั้นที่นิสัยเหมือนรถ CVT หลังจาก 60 กม./ชม.ไป มันเหมือนรถ
เกียร์อัตโนมัติ Torque Converter ทั่วไปมาก พวงมาลัยปรับอัตราทดมาได้เหมาะสำหรับ
การขับที่สนุก ไวพอให้คล่อง ไม่ไวพอจนประสาทกิน เบาะนั่งสบายตัวแถมปรับความเอียง
ของพนักพิงศีรษะตอนหน้าได้ อุปกรณ์ความปลอดภัยให้มาค่อนข้างครบ เป็นรถซิ่งที่คุณ
ไม่ต้องเมื่อยเท้าซ้าย ไล่กวดเวอร์ชั่นเกียร์ธรรมดาได้ และยังพาเพื่อนไปเที่ยว 4 คนได้
เหมือนรถเก๋ง C-Segment ทั่วไป

แต่เพื่อนของคุณควรเป็นคนที่ชินกับรถญี่ปุ่นแต่งช่วงล่างซิ่งสักหน่อย เพราะช่วงล่าง
ของ WRX ก๊อปความแข็งแบบช่วงล่างแต่งมาเลยทีเดียว คุณแทบจะรับรู้ได้เลยเวลา
วิ่งทับซากคางคกที่แบนอยู่กับพื้น (เวอร์ไป) เน้นซิ่งไม่เน้นสันติภาพ และส่วนที่ผิดหวังที่สุด
คือระบบเบรกซึ่งแม้จะดีตรงที่ไม่เฟดง่ายแบบ WRX ปี 2009 แต่น้ำหนักแป้นนั้นทำมา
หนักราวกับซูเปอร์คาร์อิตาลียุคเก่า ทำให้การใช้เท้าควบคุมแรงเบรกนั้นยากที่จะให้ได้จุด
ที่สมดุลย์ การเก็บเสียงลมและเสียงยางยังสู้รถสปอร์ตแฮทช์แบ็คกับซาลูนจากฝั่งยุโรป
ไม่ได้ แม้จะได้คะแนนความชอบจากกรรมการสูง แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะดัน WRX ให้
ทำคะแนนได้ดีกว่านี้ น่าเสียดาย

 

BD2015_03

อันดับที่ 24 Subaru WRX STi

กอดคอกันมาติดๆกับลูกพี่ใหญ่ STi ซึ่งค่อนข้างน่าสงสารตรงที่โดนจับไปเปรียบกับ
รถระดับ A45 เนื่องจากราคาและสมรรถนะของมันอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่าจะไปเทียบกับ
A250, CLA250 หรือ Golf GTi ได้ แต่ถ้ามองเรื่องความมันส์ที่ได้เมื่อเทียบกับเงินที่จ่าย
STi ก็เป็นรถที่คุ้มค่า อัตราเร่งและความเร็วของมันใกล้เคียงกับรถรุ่นเดิม และยังเป็นรถ
ที่เร็วเป็นอันดับต้นๆของรถทดสอบที่เราเคยสัมผัสตั้งแต่เปิดเว็บมา มันเร็วกว่า WRX
และมีเกียร์ที่เข้าได้คล่องมือ พวงมาลัยทดมาไวมาก ดีสำหรับคอมอเตอร์สปอร์ต แต่
กรรมการหลายคนที่ไม่ฮาร์ดคอร์กลับรู้สึกว่ามันไวจนขับบนถนนแล้วน่ากลัวมากกว่า

การที่มีระบบ DCCD ทำให้ STi สามารถปรับการถ่ายกำลังและเปลี่ยนนิสัยการ
ตอบสนองของรถให้เข้ากับความชอบของผู้ขับได้หลายคน ถ้านี่เป็นการจัดรางวัล
Best Performance Car มันต้องได้ที่ 1 ไม่ก็ 2 แน่นอน แต่เมื่อรวมการให้คะแนนจาก
คุณสมบัติทุกด้านก็เลยเป็นอย่างที่เห็น เบรกดีกว่า WRX ธรรมดา แต่ยังไม่ให้ความมั่นใจ
มากพอเพราะน้ำหนักแป้นต้านเท้ามาก (รุ่นที่แล้วคุมน้ำหนักได้ง่ายกว่าเยอะ) ความแข็ง
ของช่วงล่างเป็นไปตามสไตล์รถ (ผมชอบ แต่อีกหลายคนยังบอกว่าแข็งไปมาก) ราคาของมัน
แม้จะถูกกว่า STi ตัวที่แล้วลงมาก แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ STi ยังมีรถอีกคันที่
ได้คะแนนรวมชนะ STi คันนี้…แต่ราคาถูกกว่ามาก

 

อันดับที่ 23 Subaru WRX 6 M/T

ความซวยของ WRX ทั้ง 3 คือการเป็นรถที่กรรมการให้คะแนนส่วนตัวตั้งแต่ ชอบ ไปจนถึง
โคตรชอบ ไม่มีใครเกลียดมัน แต่เมื่อให้คะแนนอีก 13 ข้อที่เหลือ มันกลับพาตัวไปเองไม่ถึง
จุดที่เราคาดหวังไว้ WRX คันสีแดงนี้ก็เจอปัญหาเดียวกับที่คัน CVT สีขาวเจอ เราถึงขนาด
รอให้รถผ่านการเซอร์วิสครั้งใหญ่ ซ่อมแซมทุกอย่างให้สมบูรณ์แล้วค่อยยืมกลับมาทดสอบ
อีกรอบ เบรกก็ยังต้องเหยียบราวกับสะสมความแค้นมาจากรุ่นพ่อ รถถึงจะชะลอความเร็วลงได้
เราลองรถกันมาหลายร้อยคัน ผมขับรถแต่งและซูเปอร์คาร์มาบ้าง ไม่คิดว่ารถ Sports Saloon
ระดับนี้จำเป็นต้องเซ็ตเบรกให้หนักแบบรถแข่งมืออาชีพนะ ส่วนคันเกียร์และคลัตช์ WRX
ก็ไม่ได้หนึบแน่นแม่นแบบที่เจ้า STi เป็น การควบคุมรถเวลาอัดเต็มพิกัด ก็ยังไม่ดีเท่า STi
ซึ่งขานั้นใช้ความได้เปรียบจากยางและระบบ DCCD ทำให้ควบคุมได้ดังใจกว่า

จุดเด่นมันอยู่ตรงนี้ครับ..ในวันปกติ หรือคืนซิ่งกึ่งสนุกของผู้คนส่วนใหญ่ เราไม่ได้ใช้พลัง
ของรถ 100% แบบในสนามแข่ง และถ้าขับแบบปกติกึ่งซิ่ง WRX ให้ความมันส์ได้ 80-90%
ของ STi โดยมีข้อดีคือพวงมาลัยไม่ดีดดิ้นและไม่ไวมากจนคุมลำบากบนถนนที่ไม่เรียบ
แถมเวลาขับแบบไม่เร่งรีบ ยังมีลุ้นอัตราสิ้นเปลืองระดับ 15 กม./ลิตรซึ่งถ้าจะเอาเสือคอแดง
ให้ได้เลขระดับนี้ สงสัยต้องไปวิ่งตามขบวนประหยัดน้ำมันของ Isuzu ..ตบท้ายด้วยราคา
ที่ถูกกว่า STi ตั้ง 710,000 บาท ณ วันทดสอบ ทำให้คะแนนรวมออกมาชนะพี่คนโตของมันเอง
ไปชนิดเฉียดฉิว

 

อันดับที่ 22 Honda CR-V 2.4EL CVT

รถขวัญใจแม่บ้านขนของและพ่อบ้านรักสงบ มาปีนี้มีการไมเนอร์เชนจ์ เพิ่มอุปกรณ์มา
บางส่วนและรุ่น 2.4 ลิตรก็เปลี่ยนไปใช้เกียร์ CVT แทน แล้วก็เกียร์ CVT นี่ล่ะครับที่ทำให้
CR-V 2.4 ยกระดับสมรรถนะอัตราเร่งซึ่งแต่ก่อนไม่มีใครเคยสน แต่ถ้ามองดูตัวเลขแล้ว
เวลาออกตัวอาจจะเฉยๆ แต่การเร่งแซงนั้นไล่ X-Trail 2.5 ได้สบาย แถมเวลาขับนิ้งหน่อง
ไปแบบเรื่อยๆก็ประหยัดชนะ X-Trail 2.5 และสูสีกับตัว 2.0 เลยด้วย! ภายในของรถเปลี่ยน
วัสดุตกแต่งสีเทาเป็นลายไม้แบบ Accord G9 และเพิ่มระบบ Lane Watch มาให้ที่จอกลาง
ซึ่งเป็นประโยชน์มากอย่างมีสาระ อุปกรณ์ความปลอดภัยมีครบไม่แพ้ใครในคลาส

แต่ถ้ามองในเรื่องอื่นล่ะ? แน่นอนใครมันจะบ้าเอา SUV ไปซัดเล่น แต่ก็ต้องยอมรับว่า
เสถียรภาพของช่วงล่างเวลาวิ่งเร็วๆ กับการหักหลบสิ่งกีดขวางนั้น CR-V ก็ยังเป็นรถที่
ทำคะแนนด้านนี้ได้น้อยที่สุดในคลาส..บางคนคิดว่ามันคงไปเอาคะแนนคืนที่หัวข้อเรื่อง
ความนุ่มนวลได้ แต่ก็เปล่า ช่วงล่างไม่ได้นุ่มไปกว่าคู่แข่ง การสะเทือนบนถนนขรุขระ
รู้สึกไม่สมกับราคาเกือบล้านหก เบาะนั่งคู่หน้ามีพนักพิงศีรษะที่นุ่มอยู่ แต่ภาพรวมของ
ความสบายทั้งคันยังเป็นรอง X-Trail อยู่นิดๆ กรรมการบางท่านสรุปให้ผมฟังว่า มีดีที่
ถุงลม 6 ใบและความประหยัด..แต่คุณสมบัติด้านอื่นในวันนี้คู่แข่งเขานำไปหลายก้าว

 

อันดับที่ 21 Subaru Levorg GT-S

รถสเตชั่นแวก้อนลักษณะนี้มีตัวเลือกในตลาดค่อนข้างจำกัด เราจึงเทียบมันกับ
Volvo V60 เป็นหลักโดยอาจจะนำราคาไปพิจารณารวมกับรถแวก้อนจากยุโรป
รุ่นอื่นๆอีกบางรุ่น Levorg ไม่ใช่รถพรีเมียมที่เน้นความหรูหรามีสไตล์ มันคือรถที่เอา
ความเป็น WRX มาปรับความดิบโหดให้น้อยลง อารมณ์เหมือนเน วัดดาวที่เปลี่ยนวิถี
ชีวิตหลังมีเมียมีลูก ภายในมันก็คือ WRX แต่เปลี่ยนวัสดุบางจุดให้หรูขึ้น เปลี่ยนสี
มาตรวัด เพิ่มหลังคามูนรูฟ เบาะหลังเอนได้นิดหน่อย เบาะหน้าทรง WRX และ
ปรับพนักพิงศีรษะได้เหมือนกัน ช่วงล่างเปลี่ยนสปริงกับโช้คอัพเป็นแบบที่นุ่มขึ้น
ใกล้เคียง Subaru XV แต่งงตรงที่รถครอบครัวอย่าง Levorg ได้ล้อขนาด 18 นิ้วเท่าตัว
STi มาเฉย ทำให้ในความนุ่มนั้นยังมีอาการกระด้างจากแก้มยางเตี้ยอยู่บ้าง

ผลที่ได้ออกมาคือรถพ่อบ้านแอบซิ่งที่สามารถบรรทุกของชิ้นใหญ่ได้ใกล้เคียง SUV
ขนาดกลาง เกาะถนนดีสมศักดิ์ศรี Subaru ช่วงล่างกระชับกำลังดี เล่นโค้งก็พอได้
วิ่งบนถนนวงแหวนตะวันตกก็ยังซับแรงกระแทกได้อย่างปราณีมากกว่า WRX คนละเรื่อง
เบรกเฟดง่ายกว่า WRX แต่น้ำหนักแป้นและระยะเหยียบสมบูรณ์แบบ สั่งเท่าไหร่ได้เท่านั้น
มันคือรถที่พวกเราชอบมากถ้าจะได้นำไปขับเดินทางไกลๆ แต่เราคิดว่ามันไม่ใช่รถที่เร่งสนุก
เห็นเป็นเทอร์โบ แต่ตัวหนักตันห้า อัตราเร่งออกมาเลยเฉยๆเนิบๆ อัตราสิ้นเปลืองไม่ได้เด่น
เมื่อเทียบกับคู่แข่ง และท้ายสุดคือราคา 2,350,000 บาท ณ วันทดสอบที่ทำให้เราสรุปได้ว่า
“รักแกนะ..แต่สินสอดขนาดนี้ แกไปแต่งกับคนที่รวยๆหน่อยละกัน เราลาก่อน”

 

BD2015_04

อันดับที่ 20 Subaru Outback 2.5i

เรายอมรับว่า Outback รุ่นนี้ทำหน้าตาภายนอกออกมาได้ดีกว่ารุ่นที่แล้ว มีความรู้สึก
หรูเรียบ เป็นพรีเมียมมากขึ้น ส่วนภายในนั้นกลับรู้สึกยังไม่ประทับใจ แม้จะไม่ได้ใช้
แดชบอร์ดสหกรณ์แบบ Levorg กับ Forester แต่ดีไซน์ที่จืดสนิทนั้นไม่ค่อยสมราคาของรถ
ทั้งๆที่วัสดุที่ใช้กับการบุนุ่มภายในนั้นเลือกมาได้ดี รถราคา 2.59 ล้าน แต่ไม่มีแอร์หลัง
ตรงนี้ก็น่าคิด แอร์หลังอาจจะมีมาให้ถ้าเป็นรถสเป็คที่ขายจริง ก็ไม่รู้สินะ..เราให้คะแนน
ตามสิ่งที่เราเห็น

ช่วงล่างล่ะ? Outback ไม่ทำให้ผิดหวัง ความแพงที่แพงกว่า SUV ราคาล้านกลางๆมันมา
กระจุกอยู่ตรงช่วงล่างซึ่งนั่งสบายอย่างเหลือเชื่อ ลุยไปในซอยถนนปูนแตกๆได้อย่างสบาย
ในขณะที่พอเดินทางด้วยความเร็วสูงกลับทรงตัวได้นิ่ง แน่น ลองแกล้งเบรกแล้วหักหลบ
แรงๆที่ 120 ตัวรถกลับคุมอาการได้อยู่หมัด ปลอดภัย สบายและสนุกทั้งหมดไปพร้อมกัน
อัตราการสิ้นเปลืองนึกว่าตัวใหญ่เครื่องโตจะกินจุ แต่ก็แทบไม่ต่างจาก Levorg ที่ใช้เครื่อง
1.6 เทอร์โบไม่ว่าจะวิ่งในเมืองหรือนอกเมือง ขนาดตัวรถที่โตกว่า ความสูงของใต้ท้องที่
อยู่ระดับน้องๆ SUV ทำให้เรารู้สึกว่าการจ่าย 2.59 ล้านให้ Outback ดูสมเหตุสมผลกว่าจ่าย
2.35 ล้านให้กับ Levorg เพราะไม่นับเรื่องความหล่อกับอุปกรณ์ที่ขาดๆบางอย่างแล้ว
สิ่งที่เหลือถือว่าทำได้ดีเกือบหมด

 

อันดับที่ 19 Subaru XV 2.0i Premium

นับเป็นความโชคดีของ Subaru ที่มีรถทดลองขับให้เราตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา
เพราะถ้าโดนผัดวันมาทดสอบในปีนี้ พร้อมกับเจอราคาใหม่ที่แพงขึ้นไปกว่าราคา Motor Expo
อีก สงสัยคงไม่ได้อันดับดีนัก แม้กระนั้น ด้วยราคาของรุ่น 2.0i Premium ณ วันทดสอบ
ซึ่งอยู่ที่ 1,198,000 บาท ก็ยังรู้สึกว่าค่อนข้างสูง ถูกล่ะในราคาขนาดนี้ รถเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์
มีการปรับโฉมภายนอกให้ดูทันสมัยขึ้นนิดหน่อย มีการปรับวัสดุการตกแต่งภายในบางส่วน
ให้ดูดีขึ้นเช่นกรอบแอร์ จอกลางบน ชุดมาตรวัด และแผงพลาสติกดำเงา ดัชนีความคุ้มเมื่อเทียบ
กับรถทดสอบปี 2013 ซึ่งเป็นล็อตราคา 1.35 ล้าน แน่นอนสิครับว่ารุุ่นใหม่ดูคุ้มกว่า แต่เพราะอะไร
อันดับของ XV จึงหล่นจากระดับ Top 10 มาอยู่ที่ 19 ล่ะ?

ลองดูว่าปี 2013 คู่แข่งของ XV มีใครบ้าง แล้วลองเทียบกับปี 2015 ดู แน่นอนถ้าคุณมองว่า
รถขับสี่ต้องเทียบกับรถขับสี่เท่านั้นแบบนี้ XV มันก็ยังโดดเด่นด้วยประสิทธิภาพการเกาะถนน
ที่เหนือชั้น ช่วงล่างนุ่มหนึบ แต่เรื่องพวกนี้มันก็แค่คุณสมบัติด้านหนึ่ง แต่ในด้านอื่นๆอีก 12-13 ด้าน
มันไม่ได้มีอะไรเด่นกว่าคู่แข่งขนาดนั้น นี่เรายังไม่พูดถึง Mazda CX3 นะครับ เอาแค่ HR-V ก็ได้
ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ได้สนเรื่องการขับเคลื่อนสี่ล้อและไม่ได้ขับรถเร็ว XV จะเอาอะไรไปชนะ HR-V?
บางข้อเสมอกัน ส่วนเรื่องอัตราเร่งแซง การทำงานของเกียร์ อุปกรณ์ที่มีให้ อุปกรณ์ความปลอดภัย
อุปกรณ์อำนวยความสะดวก อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและอีกหลายอย่าง..ชนะมั้ย? เป็นอันว่า
ถ้ามองคุณสมบัติทุกด้านของรถมีความสำคัญเท่ากัน ผลการตัดสินก็ได้รู้กันแล้ว และถ้าไม่ใช่
เพราะราคามันแพงกว่า Honda ตั้งแสนกว่าบาท คะแนนรวมอาจจะออกมาดีกว่านี้ก็ได้

 

อันดับที่ 18 Suzuki Ciaz GLS LTD (หรือรุ่น RS)

ทำคะแนนทิ้งห่าง Ciaz เวอร์ชั่นประหยัดได้เพราะความหล่อกว่าทั้งข้างนอกและข้างใน
ล้อขอบ 16 กับยางที่แก้มเตี้ยลงช่วยให้การขับขี่การทรงตัวกระชับขึ้นกว่ารุ่น GA และถ้า
เทียบในหมู่อีโคคาร์ 4 ประตูนั้น เรื่องการขับขี่จะเป็นรองก็แค่ Mazda 2 SkyActiv G 1.3
แต่สู่สีกับ Brio Amaze และดีกว่า Almera อยู่ดี จุดเด่นที่ชัดมากของ Ciaz คือห้องโดยสาร
ที่มีขนาดยาว มีพื้นที่ให้เหยียดแข้งขาได้มาก กับตัวเบาะที่ถือว่าทำมาค่อนข้างดีเมื่อเทียบ
กับคู่แข่ง สบายทั้งคนตัวเล็กและใหญ่ อุปกรณ์และลูกเล่นต่างๆภายในให้มาครบ
เครื่องเสียงให้เสียงที่ดี และการเก็บเสียงก็ทำได้ดีกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่และสูสีกับ Mazda
ในบรรดาอีโคคาร์ทั้งหมด มันคือรถที่ทำคะแนนเรื่องความสบายและการขับขี่ในโหมดสันติ
ได้ดีที่สุด หน้าปัด แดชบอร์ดและภายในมีการตกแต่งที่ภูมิฐาน มีสไตล์ ไม่กิ๊กก๊อกเปราะบาง

ถ้าจะมีข้อตำหนิ ก็คงเป็นเรื่องพวงมาลัย ซึ่งขับในเมืองก็ไม่คล่องแบบพวงมาลัยของ Swift
ขับต่างจังหวัด..ก็ขาดความแม่นและน้ำหนัก มีอาการให้ต้องแต่งพวงมาลัยแก้ซ้ายทีขวาที
คล้ายพวงมาลัย Vios ช่วงล่างนุ่มสบายดีอยู่แต่ไม่ถือว่าเด่นกว่าคู่แข่ง เครื่องยนต์กับเกียร์
ยังจูนมาเน้นประหยัด มีอาการรอรอบ ต้องเฆี่ยนหนักๆถึงจะพุ่งดี สุดท้ายมาเจอราคาค่าตัว
675,000 บาท..นี่มันอีโคคาร์ราคา B-Segment ชัดๆ มันให้เราเยอะ แต่ก็เรียกค่าตัวเยอะ
เหมือนกัน ถ้าไม่ได้คิดมากเรื่องหน้าตาของรถ Almera ตัวท้อปถูกกว่านี้อีก 60,000 บาท
และมีอุปกรณ์หลายอย่างให้เกือบเท่ากันนะครับ

 

อันดับที่ 17 Toyota Alphard 3.5 V6

ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันว่าในโลกนี้จะมีสิ่งที่สามารถเชื่อมเอาเจ้าตัวคาปิบาร่า+ผู้คน
ในสังคมชั้นสูง+เบาะชั้นเฟิร์สท์คลาสของสายการบินชั้นนำ และผับไฮโซเข้าไว้ด้วยกัน
ในรถคันเดียวได้ แต่ Alphard 3.5 V6 ก็ทำไปแล้ว หน้าตาของมันออกจะดูตลก ดีไซน์
ภายนอกคะแนนออกมาได้ 5.6 จาก 10 เท่านั้น แต่พอก้าวเข้าไปนั่งภายใน..เอาไปเลยค่ะลูก
9.6 เต็ม 10 สำหรับเรื่องการออกแบบ การเลือกใช้สีแสงไฟ เรื่องวัสดุและอุปกรณ์ เอาไปเลย
9.6 เต็ม 10 และเรื่องความสบายสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เอาไปเลย 9.8 เต็ม 10 นี่ถ้าไม่ใช่
ว่าเบาะแถวสามแพ้ Honda Odyssey เรื่องความสบายมันคงเต็ม 10 ไปแล้ว ถ้าพวกเรา
ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 นี่คือรถแบบที่เราอยากซื้อให้พ่อกับแม่นั่งมากที่สุด

แถมถ้าให้เราเป็นคนขับ เราก็ยินดี เพราะเครื่อง V6 3.5 ลิตรนั้นให้สุ้มเสียงที่ทุ้ม นุ่ม ดุ
แบบผู้ดี มีพละกำลังแรงพอจะถีบตัวรถออกไปเหมือนคาปิบาร่าที่กระโดดเหมือนชีตาห์
มันขับคล่องกว่าที่เราคาด แม้ว่าจะไม่คล่องเท่า Odyssey ที่ตัวเล็กและเตี้ยกว่ามาก
แต่ก็น่าประหลาดใจสำหรับน้ำหนักตัวน้องๆ Hummer และบอดี้ใหญ่เท่าบ้านของมัน
ช่วงล่างให้ความนุ่มนวลดี การเปลี่ยนช่วงล่างหลังจากแบบคานบิดเป็นช่วงล่างอิสระ
ช่วยให้อาการโคลงน้อยลง ยกเว้นว่าคุณขับมันแบบรถสปอร์ต รถมันก็จะโย่งย้วยแบบที่
มันควรเป็นนั่นแหละ ค่าตัวเปิดมา 4,649,000 บาท ถือว่าโหดตามความแรง ทำให้
เรารู้สึกกันว่ามันเป็นรถที่ดี แต่ยังไม่ดีแบบคุ้มค่าตัว

 

BD2015_05

อันดับที่ 16 Mazda 2 Sedan 1.3 High Plus

ถ้าจุดประสงค์ของรถอีโคคาร์อยู่ที่ความประหยัดและคล่องตัวเป็นหลัก Mazda 2 1.3
คงชนะอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะทันทีที่ได้นำมาทดสอบมันก็ทำลายสถิติการประหยัด
น้ำมันของรถทุกคันที่เราทำมา ไม่ใช่แค่ชนะเป็นจุดทศนิยมแต่ทิ้งไปไกล รุ่น 4 ประตู
ทำตัวเลขไว้ 24.29 กม./ลิตร ฆ่าไฮบริด ฆ่าดีเซลยุโรปตายทุกตัว นอกจากประหยัดแล้ว
การออกแบบและอุปกรณ์ภายในก็ยังพยายามทำให้ดูล้ำสมัยและใช้งานง่ายไปพร้อมกัน
มีการเลือกหุ้มวัสดุนุ่มบางจุดโดยพยายามทำให้รู้สึกเข้าใกล้ C-Segment มากกว่า B
หรืออีโคคาร์

มันเป็นรถที่ช่วงล่างและเบรกไว้ใจได้ การขับขี่และการหักหลบสิ่งกีดขวางตลอดจน
การเบรก ไม่มีอีโคคาร์ 4 ประตูตัวไหนเทียบมันได้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องความนุ่มนวล
ของช่วงล่างนั้นยังแพ้ Ciaz อยู่ และสิ่งที่แพ้เอามากๆคือเรื่องพื้นที่ภายใน เรารู้ หลายคนรู้
แม้แต่นกอีมูยังรู้ว่า Mazda นั้นถ้าไม่ใช่รถเอนกประสงค์ เขาไม่คิดจะแคร์เรื่องพื้นที่ภายใน
เขายอมแลกเรื่องความสบายเพื่อให้ได้มาเรื่องการลดน้ำหนักหรือแอโร่ไดนามิกส์
แต่คือมันต้องแคบขนาดนี้เลยหรือ เบาะหลังมีเฮดรูมจำกัดมาก และเบาะหน้าก็เป็นทรง
เอาใจคนผอม เจอกรรมการ 3 คนที่ตัวอ้วนไล่ 3 ระดับ คือระดับ Fluffy ระดับ Damn!
ไปจนถึงระดับ Oh Hell No! อย่างผมนี่รู้สึกผิดที่ดันเกิดมาแล้วปล่อยตัวเองให้อ้วน
ยังมีข้อเสียข้ออื่นอีก แต่จะไว้ว่ากันในส่วนของตัว Hatchback 1.3 ละกันครับ

 

อันดับที่ 15 Mitsubishi Pajero Sport 2.4GLS LTD (ขับหลังตัวถูกสุด)

รู้สึกดีที่ได้รุ่นถูกสุดมาทดสอบ มันเป็นความฝันอย่างหนึ่งของผมมานานแล้วเพราะ
ท่ามกลางกระแสที่คนฮิตรถรุ่นนี้ในเรื่องของราคาและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ผมก็อยากทราบ
เหมือนกันว่าถ้าถอดของเล่นไฮเทคออกทั้งหมดจะเป็นอย่างไร คำตอบที่ได้ก็คือ 1)
พอไม่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ..แม้จะเป็นพาร์ทไทม์ รถคุณเร่งได้เร็วขึ้น และประหยัดขึ้น
2) คุณเสียคะแนนเรื่องความอลังการภายในไปน้อยนิด และในการใช้งานส่วนใหญ่
มันก็คล้ายๆกับรถรุ่นท้อปนั่นแหละ 3) อุปกรณ์ความปลอดภัยหายไปค่อนข้างเยอะ
ถุงลมเหลือแค่สองใบ ไม่มีระบบเบรกพ่อ.งเบรก!(City brake) 4) พอราคารถเคาะ
ออกมา 1,138,000 บาท มันยิ่งดูคุ้มมากถ้าคุณเป็นคนประเภทชอบรถภายใน simple
วิทยุธรรมดา เบาะผ้า แอร์โซนเดียว แต่ในภาพรวมมองคุณสมบัติแบบครบทุกข้อ
กลายเป็นว่าตัว 2.4GT 4WD ชนะไป

เรื่องอุปกรณ์ความปลอดภัยนี่อย่าว่าแต่เทียบกับรุ่นท้อปเลย เทียบกับรถรุ่นรองๆ
ของค่ายอื่นเจ้า GLS LTD ก็สู้เขาไม่ได้ เพราะมิตซูตั้งใจมาแล้วว่ารุ่นนี้เน้นถูก
ก็ช่วยไม่ได้ที่คะแนนจะเป็นอย่างนี้ ส่วนข้อเสียอื่นๆเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ก็ต้องบอกว่า
ดีไซน์ด้านท้ายรถที่พอเรามองนานๆแล้วอยากจะน้ำตาไหลตามรูปแบบของไฟท้าย
คะแนนการออกแบบตัว GLS นี่ออกมา 6.8 เต็ม 10 ซึ่งแพ้ Fortuner นะครับ แล้วก็ยังมี
เรื่องของวัสดุและงานประกอบภายใน เราเห็นแล้วก็รับรู้ได้ว่าที่รถราคามันถูกกว่าคู่แข่ง
ก็คงเซฟต้นทุนไปจากจุดนี้ การเก็บเสียงด้านหลังยังรู้สึกไม่แน่นเท่า Everest ช่วงล่าง
นั่งนุ่มสบายรูดผ่านถนนขรุขระสบายที่สุดในหมู่ PPV แต่การทรงตัวและการหักหลบ
ซ้าย/ขวาเร็วๆนั้น แย่กว่ารุ่นเก่าที่เพิ่งตกรุ่นไปและไม่ได้ดีไปกว่า Fortuner

 

อันดับที่ 14 Mazda 2 Hatchback 1.3 High Plus

กลายเป็นรถประหยัดน้ำมันที่สุดที่เว็บเราเคยทดสอบมาด้วยตัวเลข 24.65 กม./ลิตร
ทำให้แม้ถังน้ำมันจะเล็กกะปิ๊ดแค่ 30 กว่าลิตร ก็ยังสามารถวิ่งได้ไกล 550-600 โล
ต่อถังได้สบาย และไม่ใช่แค่ประหยัดตอนวิ่งใน J!MMY Mode เท่านั้น ในการใช้งานใน
ชีวิตจริงซึ่งต้องจอดๆไปๆ มีการเร่งการเบรก มันก็ง่ายมากที่จะทำตัวเลข 17-19 กม./ลิตร
ลืมคำว่าประหยัดทุกชนิดที่เราเคยพบในรถอีโคคาร์ 1.2 ลิตรที่เคยมีมา นี่คือประหยัด
ของจริง ข้อดีอีกอย่างของรุ่น Hatchback คือเนื้อที่เหนือศีรษะด้านหลังมากกว่ารุ่น
4 ประตู แม้เพียงเล็กน้อย แต่ในเมื่อทำรถมาแคบแมวดิ้นไม่ได้ เพิ่มมานิดนึงยังดีกว่าแคบลง

ข้อเสียอย่างอื่นก็คงไม่ต่างอะไรกับตัวซีดานที่ได้พูดถึงไปแล้ว แต่อีกเรื่องหนึ่งที่
ยังไม่ได้พูดคือเรื่องพละกำลัง จริงอยู่ว่าเกียร์อัตโนมัติ SkyActiv ที่ฉลาด แสนรู้ จับจังหวะง่าย
แม้จะมีอาการหน่วงตอนออกตัวนิดๆ ทำให้การขับในเมืองและการเร่งๆจิ้มๆทำได้คล่อง
กว่ารถเกียร์ CVT แต่ถ้าเป็นการเร่งแซงแบบกดคันเร่งเต็ม 100% เมื่อไหร่ มันไม่ได้ไว
อย่างที่เราคิดเลย ขนาด Ciaz ตัวโต ภายในใหญ่ เครื่องเล็กกว่าและล้อ 16 นิ้วยัง
เอาจมูกขึ้นหน้า Mazda เครื่อง 1.3 ลิตรได้ นี่คือส่วนที่เราค่อนข้างผิดหวังแม้หลายคน
จะเถียงว่าเออน่าอย่างน้อยมันก็เร่งดีน้องๆ Mazda 2 1.5 เบนซินรุ่นเดิมก็ตาม

 

อันดับที่ 13 (คะแนนเสมอกัน 2 คัน) Nissan X-Trail 2.5V

หลายคนคาดหวังเอาไว้ว่า X-Trail ทั้ง 2 รุ่นจะก้าวเข้าไปอยู่ในระดับ Top 10 ได้ แต่เอา
เข้าจริง รุ่น 2.5 กลับมาตกอยู่อันดับที่ 13 ทั้งๆที่เป็นรุ่นที่มีถุงลมนิรภัย 4 ใบ มีล้อขอบ 18
มีหลังคาสไลด์ และมีพลังเหนือกว่าตัว 2.0V หลังจากสำรวจคะแนน จุดที่ทำให้ X-Trail
2.5 ลิตรเสียคะแนนมากที่สุดคือเรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เพราะคู่แข่งเครื่องเท่าๆกัน
แรงเท่าๆกันเขาวิ่งกัน 14 กม./ลิตรขึ้น X-Trail กลับทำได้ดีที่สุดแค่ 12.81 กม./ลิตร โดยที่
อัตราเร่งในการใช้งานจริงไม่ได้หนีห่าง CR-V 2.4 CVT มากอย่างที่คิด

มีอะไรอีก? ในขณะที่คู่แข่งมีถุงลมนิรภัยมาให้ 6 ใบ X-Trail 2.5 มีแค่ 4 แต่นั่นก็ส่งผล
ให้คะแนนลดลงจากคู่แข่งบ้างแม้จะไม่มากก็ตาม ส่วนจุดเด่นของ X-Trail นั้นอยู่ที่เรื่อง
การเซ็ตช่วงล่างที่เหมาะสมกับการเป็น SUV เดินทางไกล มันไม่คมเท่า Mazda CX-5
แต่มั่นคงและไว้ใจได้กว่า CR-V มาก เบาะหน้าไม่ได้สบายเกินใครนัก แต่เบาะหลังแถว 2
สบายที่สุดในคลาส การเก็บเสียงชนะ CX-5 แบบคนละโยชน์ และดีกว่า CR-V แม้จะมี
เสียงดังจากข้างหลังเข้ามาบ้าง และเสียงเครื่องเวลาเร่งแซงนั้นดังเข้ามาในห้องโดยสารมาก
อุปกรณ์อย่างอื่นที่ให้มาเช่นฝาท้ายไฟฟ้านั้นก็เป็นลูกเล่นที่น่าสนใจสำหรับราคาระดับนี้
คงได้คะแนนดีกว่านี้ถ้าไม่ใช่ว่าวัสดุภายในเริ่มจะเน้นพลาสติกแข็งๆตามจุดต่างๆมากไป

BD2015_06

อันดับที่ 13 (คะแนนเท่ากัน 2 คัน) Volvo V40 T-5 Polestar R-Limited
ตอนแรกคิดว่าจะไม่เอาเข้ามารวมในบทความนี้แล้ว แต่ก็เอาซะหน่อยจะได้รู้ว่ามันดี
หรือไม่ดีอย่างไร เห็นว่าโมดิฟายโดย Polestar เพิ่มแรงม้าจาก 213 เป็น 245 แรงม้า
และยังเปลี่ยนเกียร์จากอัตโนมัติ 6 จังหวะเป็น 8 จังหวะ น่าจะแรงขึ้นแบบผิดหูผิดตา
เอาเข้าจริงมันก็แรงขึ้น แต่แค่พอที่จะช่วยให้ V40 ซึ่งเคยเสียเปรียบคู่แข่งเรื่องความเร็ว
กลายเป็นวิ่งเกาะกลุ่มไปกับคู่แข่งได้ไม่ว่าจะเป็น A250AMG หรือ VW Golf GTi
(ไม่แซง..แต่ตามติดได้สบายถ้าเลือกจังหวะการกดคันเร่งในช่วงเกียร์ที่ถูกต้อง)
ช่วงล่างของ R-Limited ให้ความรู้สึกกระชับมั่นคง ไม่แข็งกระด้างสะเทือนไส้แบบ
A250AMG แม้จะเปลี่ยนมาใช้ล้อขอบ 18 กับยางแก้มเตี้ยแล้วก็ตาม เรียกว่าได้คะแนน
ดีทั้งในเรื่องบู๊ เรื่องบุ๋นเลยทีเดียว เบรกก็ทำงานดีและไว้ใจได้

เรื่องดีไซน์ภายในอาจต้องแล้วแต่คนชอบ เพราะส่วนหนึ่งที่ได้คะแนนดี มันเป็นเรื่องของ
อุปกรณ์ที่ให้มาและสัมผัสวัสดุมากกว่าเรื่องการออกแบบ อุปกรณ์ความปลอดภัยนั้น
มีทั้งเตือนจุดบอดกระจกมองข้าง, Radar Cruise Control, Lane Keeping Assist และ
ยังมีระบบ Parking Pilot ช่วยจอดมาให้ เมื่อรวมกับค่าตัวที่ตั้งมา 2 ล้านทอนพันบาท
ทำให้หาเรื่องมาตำหนิมันได้ยากมาก แต่เรื่องความคุ้มนี้เสียงของกรรมการค่อนข้างแตก
บางคนบอกว่ารุ่นธรรมดาก็คุ้มพอแล้ว แต่บางคนบอกว่าถ้าราคานี้ไม่คุ้มแล้วตัวไหนคุ้ม (วะ)
ส่วนเรื่องความสบายบนเบาะหลังนั้นแม้จะชนะรถ Hatchback ด้วยกันอย่าง A250
แต่ถ้ามองในภาพกว้างแบบกลุ่ม Performance Car ในราคาต่ำกว่า 3 ล้าน ก็จะแพ้
WRX CVT เรื่องพื้นที่ นอกจากนี้ลักษณะการตอบสนองของรถ ซึ่งมีน้ำหนักมากและ
เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า ทำให้รสชาติความสนุกของพวงมาลัยและคันเร่งสู้รถขับหลัง
อย่าง 116i ไม่ได้ (เฉพาะในโค้งบนเขา ซึ่งไม่ได้บี้คันเร่งเต็มๆ) ที่น่าเสียดายอีกอย่างคือ
R-Limited นี้มีขายแค่ 28 คันเท่านั้นครับ..หมดแล้วหมดเลย

 

อันดับที่ 12 Ford Everest 2.2 Titanium

เป็นรถที่สร้างความรู้สึกประหลาดใจตรงที่ใช้เครื่องยนต์แค่ 2.2 ลิตร ลากตัวถังที่หนักกว่า
Ford Ranger Wildtrak มาก แต่ในการใช้งานจริงก็พบว่ามันมีความคล่องตัวให้สัมผัส
ในระดับหนึ่ง การที่อัตราเร่ง 0-100 ออกมาไม่สวยเพราะมันไปมีการยื้อเกียร์อยู่ในช่วง
ความเร็วประมาณ 60-70 หาไม่เช่นนั้นแล้วก็คงเร่งได้เร็วน้องๆ Fortuner แต่คุณสมบัติ
ด้านอื่นก็ทำให้พอลืมเรื่องอัตราเร่งกับอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ Everest เป็นรถที่
ได้คะแนนด้านการออกแบบดีทั้งภายนอกและภายใน แต่รุ่น 2.2 นั้นการตกแต่งภายในจะ
ถูกทำให้ธรรมดาลงอย่างตั้งใจเพื่อให้มีความแตกต่างจากรุ่น 3.2 ตัวท้อป หน้าปัดล้ำสมัย
เหมือนรถราคาแพง แต่ทำตัวอักษรหรือเข็มบอกค่าบางตัวมาเล็กมากจนบางทีต้องเพ่งมอง
สู้ใช้เข็มง่ายๆแบบรถคู่แข่งไม่ได้ (ในเรื่องความง่ายในการดูค่า)

ช่วงล่างไม่นุ่มเท่าไหร่ เหมือน Ford จะตั้งใจเซ็ตช่วงล่างไปใช้กับตัว 3.2 ที่หนักกว่า แต่พอ
มาเจอบอดี้ 2.2 ที่เบากว่ากันมากทำให้มีอาการกระเด้งกระด้างให้สัมผัสมากกว่าตัว 3.2
รุ่นท้อปแม้ว่ายางจะแก้มสูงกว่าก็ตาม ความสบายในการขับแบบปกติยังสู้ Pajero Sport
ไม่ได้ ความคล่องตัวเวลาขับในเมืองก็เช่นกัน แต่บนเส้นทางไกลและความเร็วสูงมีความ
หนักแน่นมั่นใจชนะคู่แข่งจากญี่ปุ่นอย่างขาดลอย พวงมาลัยปรับเข้า/ออกไม่ได้ แต่ชดเชย
ในเรื่องอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ให้ถุงลมนิรภัยมามาก ความสบายในการโดยสารของรถ
อยู่ในเกณฑ์พอฟัดกับคู่แข่ง การขึ้นลงเบาะแถวที่ 3 ยากกว่าของคู่แข่ง การเก็บเสียงรบกวน
ทำได้ดีกว่าเกณฑ์เฉลี่ย

 

อันดับที่ 11 Toyota Camry 2.0 Extremo

การกลับมาของ Toyota ในตลาด D-Segment นั้นเปรียบได้กับ Star Wars ตอน The Empire
strikes back ซึ่งจัดมาเต็มพิกัด คงข้อดีส่วนที่ดีเช่นเบาะนั่งฝั่งคนนั่งแบบปรับไฟฟ้าที่
ปรับสูงต่ำได้ และเนื้อที่ภายในรถโดยเฉพาะด้านหลังซึ่งมีเนื้อที่เหนือศีรษะมากกว่า
Teana L33 มารวมกับเครื่องยนต์ 6AR-FSE 2.0 ลิตร VVTi-iW ตัวใหม่กับเกียร์อัตโนมัติ
เปลี่ยนจาก 4 เป็น 6 จังหวะ ทำให้ Camry เอาดีได้ทั้งเรื่องอัตราเร่งซึ่งสู้ Teana 2.0 ใส่โหมด
Sport ได้ และยังประหยัดชนิดกอดคอกันกับ Accord 2.0EL ได้อีกด้วย และการเรียงอัตรา
ทดเกียร์แบบ 6 จังหวะก็ช่วยให้การเร่งแซงในช่วงเกียร์ 3 ทำได้รวดเร็ว เราขับแล้วรู้สึกได้ว่า
บางครั้ง รถ D-Segment นี่แค่เครื่อง 2.0 ลิตรมันก็คล่องพอแล้ว

อุปกรณ์เรื่องความปลอดภัย และอุปกรณ์อำนวยความสะดวก จัดมาให้เหมือนกับ
จะแก้ตัวที่เพลี่ยงพล้ำให้กับ Accord และ Teana ส่วนช่วงล่างและการขับขี่นั้น หาก
วิ่งในเมืองพวงมาลัยยังไม่ไวและคล่องแบบ Accord ส่วนเวลาวิ่งทางไกลเร็วๆ
ก็ยังไม่หนึบมั่นใจแบบ Teana แต่พวงมาลัยที่เซ็ตมาไม่ไว ทำให้ไม่ต้องเกร็งมาก
เท่า Accord การเก็บเสียงตามขอบประตูยังสู้ Teana ไม่ได้ แต่เสียงเครื่องที่ดัง
เข้ามา และเสียงจากถนนส่วนหน้าของรถ ทำได้ดีแล้วเมื่อเทียบกับคู่แข่ง รุ่น Extremo
นี้มาเสียคะแนนตรงที่การออกแบบชุดแต่งด้านหน้าที่ทำให้รถดูรก ราคา 1,429,000
นั้นแพงมากสำหรับ D-Segment 2.0 ลิตรแม้จะมีอุปกรณ์มาให้เยอะกว่า 2.0G
ตัวธรรมดารวมถึงมีการตกแต่งเพิ่มเช่นพวงมาลัยสปอร์ต มีจอกลางใหญ่ มี Paddleshift
และล้อขอบ 17 มาให้ก็ตาม เรื่องความอลังการภายใน ยังไงก็ยังแพ้ Accord อยู่ดี

 

****** เข้าสู่ช่วง Top 10 *******

MercedesAMGGTS

อันดับที่ 10 Mercedes-AMG GT-S

ต้องขอขอบคุณ Mercedes-Benz Thailand ที่ให้เราสัมผัสซูเปอร์คาร์ 14.9 ล้านบาท
(ราคาจริงรวมออพชั่นแพงกว่านี้) ที่มาพร้อมกับม้าเกินครึ่งพัน กลายเป็นรถทดสอบที่
สร้างความเร็วทางตรงได้ดีชนิดที่คงไม่มีใครมาลบสถิติไปอีกนาน เป็นรถทดสอบ
คันแรกที่พาเราไปเกิน 300 กม./ชม. และสอนให้เรารู้จักแบ่งแยกความแรงระหว่าง
ซูเปอร์คาร์จริงๆ กับรถ Sports Compact เช่น WRX หรือ A45AMG รวมถึงความต่าง
จากรถบ้าน 150 แรงม้าที่เอาไปโมดิฟายให้ได้ 400-500 แรงม้า ซึ่งนั่นล่ะคือปัญหา
ว่าถ้าจะเทียบ AMG GT-S เราจะเทียบกับรถอะไร ทำให้ผู้เขียนต้องถือโอกาสขอความ
ช่วยเหลือเพื่อนๆพี่ๆในการขอลองขับรถอย่าง 911 Turbo, Lamborghini Gallardo
และ GT-R เพื่อที่อย่างน้อยจะสามารถพูดถึงและเทียบได้อย่างเต็มปาก

แน่นอนว่าถ้าพูดถึงรถแรงที่สะใจและคุ้มเงินมากที่สุด GT-R ถูกใจนักซิ่งกว่าแน่นอน
ในขณะที่ Gallardo เป็นรถที่ตั้งใจให้เป็นซูเปอร์คาร์แท้ๆ ขนาดว่าปรับปรุงให้นั่งและใช้งาน
ได้ดีกว่าพวกรุ่นเก่าๆ มันก็ยังแคบและไม่ปราณีต่อคนอ้วนไซส์ Oh Hell No แบบผมอย่างที่
911 หรือ AMG GT-S เป็น เรื่องอารมณ์ดิบเถื่อนในการตอบสนองนั้นคุณอาจจะแปลกใจ
ที่ GT-S สามารถปรับโหมดการตอบสนองได้หลายแบบ จะเซ็ตความไวคันเร่ง เซ็ตช่วงล่าง
หรือเสียงท่อ สามารถแยกกันแล้วเลือกเข้าใน Individual Mode ได้หมด ภายในของรถจะ
เตี้ย นั่งติดพื้นแบบรถสปอร์ตแท้แต่ไม่แคบแบบ Gallardo ภายในตกแต่งมาด้วยวัสดุชั้นดี
มีดีไซน์ที่คลาสสิคและทันสมัยไปพร้อมๆกัน เสียงเครื่องยนต์นั้นใครเขาก็ว่าเครื่องเทอร์โบ
ไม่แผดแบบ NA แต่ลองมาฟังของจริงดู เครื่องของ GT-S นี่คำรามลั่นกว่ามังกรโดนเหยียบเท้า
ใส่ Race Start Mode กำพวงมาลัยแล้วปล่อยเท้าจากเบรก รถพุ่งตัวตรงโดยไม่มีอาการ
พยศ แต่ถ้าอยากให้พยศก็ปิดระบบช่วยเหลือต่างๆได้ สิ่งที่ต้องระวังในรถคันนี้คือเรื่อง
พวงมาลัย คุณอาจจะนึกว่ามันเป็นสิงห์เอาโต้บาห์น แต่ความจริงพวงมาลัยมันไว หน้ารถไว
เหมาะกับการขับเล่นตามถนนหุบเขาหรือสนามแข่ง เวลาใช้ความเร็วสูงเกิน 200 รถจะ
หน้าไวและยางดูดรถให้แล่นไปตามความลาดของถนน

 

ToyotaVellfire

อันดับที่ 9 Toyota Vellfire 2.5CVT

เป็นคู่แฝดของ Alphard 3.5 ที่ได้คะแนนความหล่อจากการออกแบบไฟหน้า 2 ชั้นและ
กระจังหน้าซึ่งดูล้ำสมัยและเข้าท่ากว่า Alphard ในความเห็นของเรา แต่ไปแพ้เรื่องการ
ใช้สีสันภายในซึ่งโทนสีครีมของ Alphard ให้ความหรูหราสบายตามากกว่า เบาะตอนสอง
ของ Vellfire ให้ความสบายได้ 90-95% ของเบาะ Alphard มีลูกเล่นการปรับน้อยกว่าอยู่บ้าง
ตามระดับราคาของรถ ช่วงล่างและการขับขี่มีลักษณะนุ่มนวลคล้ายกัน และมีอาการโยน
ย้วยน่ากลัวก็ต่อเมื่อคุณใช้มันในแบบที่ไม่เหมาะกับรถ MPV หรูที่ตัวหนักกว่า Everest แบบนี้

เครื่องยนต์ 2.5 ลิตรบวกเกียร์ CVT พยายามทำหน้าที่ของมันอย่างสุดความสามารถ
มันไม่ราบเรียบและมีพลังเหลือเฟืออย่างเครื่อง V6 3.5 แต่ก็เพียงพอให้ Vellfire สามารถ
ใช้เดินทางไกลและเร่งแซงได้แบบไม่ถึงขั้นเรือเกลือ อย่าได้คาดหวังมากกับอัตราสิ้นเปลือง
จากรถประเภทนี้แต่ถ้าขับดีๆก็ยังมีเลข 10-12 กม./ลิตรให้เห็น สำหรับคนที่มีเงินเหลือเฟือ
เราคงจะแนะนำให้เล่น Alphard 3.5 ไปเลย แรง หรูและจบ แต่สำหรับการพิจารณาคะแนน
แบบของพวกเราและเสียงจากกรรมการ ข้อเสียของ Vellfire ที่เสียเปรียบ Alphard หรือคู่แข่ง
รายอื่นๆ พอมาเทียบกับค่าตัว 3,399,000 บาท (ถูกกว่า Alphard 3.5 เกือบ 1.3 ล้านบาท)
ทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นรถที่ให้ความคุ้มค่าต่อเม็ดเงินได้มากจนยอมมองข้ามข้อเสียนั้นไป
คะแนนรวมจึงออกมาทิ้งห่าง Alphard 3.5 เยอะกว่าที่คาดเพราะ Alphard ชนะจริงๆแค่เรื่อง
ความหรู ความสบายของเบาะแถวสอง และความแรงเท่านั้น

 

HondaHRVEL

อันดับที่ 8 Honda HR-V 1.8EL

เมื่อ Honda ตั้งใจทำรถให้ดี มันก็ดีได้ HR-V ก็เป็น 1 ในรถที่พวกเราได้ลองขับและรับรู้
ตั้งแต่วันนั้นว่ามันจะต้องติดอันดับ Top 10 แน่นอน แม้จะมีราคาเกินล้านทำให้บางคน
บอกว่าดูแพง แต่คุณสมบัติหลายด้านของรถคันนี้ได้คะแนน 8 เต็ม 10 หรือมากกว่า
ในบรรดารถครอสโอเวอร์ตั้งแต่ราคา 800,000 ไปจนถึง 1.2 ล้าน มันเป็นรถที่ไวที่สุด
ประหยัดน้ำมันที่สุด มีเกียร์ CVT ที่พัฒนามาให้ตอบสนองได้ดีที่สุด มีอุปกรณ์อำนวย
ความสะดวกมาให้มากที่สุด มีอุปกรณ์สนับสนุนด้านความปลอดภัยมาให้เยอะที่สุด
มีระบบ Auto Brake Hold แบบเดียวกับรถยุโรปบางรุ่นซึ่งทำให้ขับใช้งานในเมืองได้
ไม่เมื่อยเท้า ในเรื่องการออกแบบก็ทำคะแนนได้ดี เบาะนั่งหน้านั้นเกือบจะดีที่สุดแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะ XV สามารถปรับพนักศีรษะได้ เบาะหลังมีความรู้สึกเหมือนถูกหลังคา
บีบอัด แต่นั่งจริงแล้วสบาย ปรับเอนได้และสามารถพับได้สะดวกด้วยมือเดียว

การเก็บเสียงโดยปกติ Honda ไม่ขึ้นชื่อเรื่องนี้ แต่ HR-V ก็ทำได้ดี ยิ่งเรื่องการ
ป้องกันเสียงจากเครื่องยนต์และเสียงจากด้านหน้า เผลอๆจะดีกว่า Accord ด้วยซ้ำ
วัสดุภายในรู้จักใช้สีสัน การตกแต่งและวัสดุนุ่มเข้ามาจนรู้สึกได้ว่า Honda พยายาม
สร้างความรู้สึกพรีเมียมโดยไม่ได้ใช้แค่คำพูด ถ้ามีจุดใดเหลือให้ปรับปรุงจริงๆก็คง
เป็นเรื่องช่วงล่าง HR-V ใช้ช่วงล่างหลังแบบคานบิด ไม่ใช่แบบอิสระเหมือน Subaru
ประกอบกับการเซ็ตช่วงล่างที่ยังมีสไตล์ตึงตังที่ความเร็วต่ำแบบ Honda อยู่นิดๆ
แล้วพอความเร็วเกิน 120 ขึ้นไป อย่าว่าแต่ชนะ XV เลย มั่นใจสู้ Juke ยังไม่ได้เลย
ด้วยซ้ำไป ทำให้เรายังรู้สึกว่าแม้คะแนนรวมจะชนะเจ้าอื่นขาด แต่คนที่ชอบการขับขี่
รถทางไกลความเร็วสูงๆยังรู้สึกคิดถึงความมั่นและหนึบของ XV อยู่ดี

 

2014_06_Nissan_X_Trail_10

อันดับที่ 7 Nissan X-Trail 2.0V

เราค่อนข้างประหลาดใจกับความสามารถของเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรและเกียร์ CVT
ที่อยู่ใน X-Trail คันนี้ เกียร์ของมันเป็นเวอร์ชั่นพัฒนาแล้วที่มีการจับและส่งกำลังไว
ตั้งแต่ช่วงออกตัว CX-5 2.0 ดีดออกเร็วกว่าแต่หลัง 60 ไปแล้ว X-Trail ก็วิ่งดีพอกัน
แถมยังทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองได้แทบไม่ต่างกับ Mazda การเก็บเสียงรบกวนจากลม
ชนะเพื่อนๆในกลุ่ม ยังคงเหลือแค่เสียงที่ดังมาจากด้านหลังของรถที่ค่อนข้างดังไปนิด
ยางแก้มสูงกว่าตัว 2.5V แต่ไม่ส่งผลต่อความมั่นใจในการขับขี่มากนัก X-Trail เป็นรถ
ที่ไม่ได้ขับสนุกแบบ Mazda แต่มันมีความหนักแน่นมั่นคงและปลอดภัยแบบที่รถสำหรับ
เดินทางไกลควรมี และมีความสบายอย่างที่ SUV ควรมีเช่นเบาะนั่งที่นั่งได้สบาย
เบาะหลังที่นุ่มพอและเอนได้ ส่วนที่นั่งแถวสามกรุณาสงวนไว้ให้คนตัวเล็กจะดีกว่า

เรื่องออพชั่นนั้น การที่ไม่มีหลังคาสไลด์ ก็ทำให้ไม่ต้องเว้าหลังคาเผื่อเก็บแผ่นกระจก
คนนั่งหลังมีเนื้อที่เหนือหัวมากขึ้น คุณยังได้ฝาท้ายแบบไฟฟ้าอยู่ แต่ที่รู้สึกไม่ดีคือ
รถราคา 1,337,000 บาทในปี 2015 ยังมีถุงลมแค่ 2 ใบ จริงอยู่ว่ารถถุงลมเยอะอาจ
ไม่ใช่รถที่ขายดีเสมอไปแต่มันก็ถึงเวลาที่เราควรจะปรับมาตรฐานของรถในระดับราคา
เดียวกันให้มันเท่ากันหรือไม่? เรียกได้ว่าเหลือแค่ประเด็นนี้ให้เล่นกันจริงจังเท่านั้น
ส่วนอื่นของรถทำได้ดี และด้วยความคุ้มค่าเทียบกับสิ่งที่ได้ในภาพรวม ก็ไม่แปลกใจที่
กระแสการตอบรับของผู้บริโภคจะค่อนข้างดี

 

MitsubishiPJS_GT4WD

อันดับที่ 6 Mitsubishi Pajero Sport 2.4GT 4WD

Mitsubishi ค่อนข้างฉลาดและใจถึงสำหรับการเปิดตัวด้วยราคาแนะนำเพียง 1,399,000 บาท
ทำให้เราต้องใช้ราคา ณ วันทดสอบนี้เป็นเกณฑ์ในการให้คะแนน แล้วมันจะเหลืออะไรในเมื่อ
จ่ายเงินมากกว่ารถ 2.2-2.4 ลิตรของคู่แข่งเพียงนิดเดียว แต่คุณได้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ
Part-time รุ่นใหม่ที่สามารถใช้โหมดขับ 4-High วิ่งตลอดเวลาได้โดยไม่ทำให้วงเลี้ยวกว้างบาน
มีชุดเครื่องเสียง ระบบนำทาง มีจอหลังไว้ให้ลูกๆดู Deadpool (!!) มีหูฟังอินฟราเรด 2 ชุด
เครื่องยนต์ MIVEC 181 แรงม้ากับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะของ AISIN ลูกใหม่ฉลาดเป็นกรด
เลือกเกียร์ที่เหมาะกับความต้องการในการขับได้ดีเยี่ยม เบาะคู่หน้าสบายกว่าคู่แข่งนิดหน่อย
ในขณะที่เบาะแถวสองกับสามก็จะเสียเปรียบคู่แข่งอยู่ไม่มาก

เรื่องความปลอดภัย ก็มีมาให้ทั้งระบบเตือนและช่วยเบรกที่ความเร็วต่ำ ถุงลมนิรภัย 7 ใบ
ระบบช่วยเหลือการทรงตัวและลื่นไถล มีระบบช่วยเตือนจุดอับสายตา กล้อง Multi Around View
Monitor เซ็นเซอร์รอบคัน แล้วจะเอาอะไรอีกกับราคา 1.399 ล้าน?!!! ก็อยากจะหุบปากนะ
แต่มันไม่ใช่รถที่ไร้ที่ติ ช่วงล่างนุ่มสบายจริงไม่เถียง แต่ทำไมประสิทธิภาพความมั่นใจที่ความเร็วสูง
กลับลดลงจากรถรุ่นก่อน..ซึ่งก็ไม่ได้แข็งกระด้างแถมขับทางไกลมั่นดีเสียด้วย การออกแบบ
และการใช้วัสดุภายใน เราเห็นแล้วก็รู้สึกได้ว่าการที่มันราคาถูกกว่าคู่แข่งนั้นไปลดต้นทุนจาก
จุดนี้นั่นเอง ในกรณีกรรมการบางท่านพบปัญหาเข่าซ้ายยันคอนโซลเวลาขับ ซึ่งบางคนจะมีปัญหา
กับจุดนี้ การเก็บเสียงของรถด้านหน้าทำได้ดี แต่ด้านล่างและด้านหลังเสียงยังเข้ามามากกว่า
Ford Everest สำหรับคนที่มองเรื่องออพชั่น เรื่องความแรง ความนุ่มนวลและความคุ้มค่าเทียบ
กับราคา Mitsubishi ตอบโจทย์ได้หมดแล้ว มันเหลืออีกแค่บางด้านนี่ล่ะที่ทำให้มันยังไม่ใช่ PPV
ที่ได้คะแนนมากที่สุด

ToyotaCamry20G

อันดับที่ 5 Toyota Camry 2.0G

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม Camry ตัวล่างสุดที่ออพชั่นโล้นสุดกลับมาผงาดอยู่อันดับที่ 5 ได้
แต่จากคะแนนที่มันได้รับ มีข้อเดียวที่ทำได้น้อยกว่าเพื่อนในกลุ่ม 2.0 ลิตร ซึ่งก็คือเรื่องออพชั่น
ซึ่ง Camry 2.0G นั้นใช้ชุดเครื่องเสียงแบบธรรมดา ไม่มีจอให้ดูโก้หรูแบบ Accord หรือ Teana
คุณภาพเสียงไม่แพ้ JBL ของ Extremo แต่แพ้ของเจ้าอื่นหมด และถ้าไม่พูดถึงของบนแผง
แดชบอร์ด ภายนอกก็ยังมีหน้าตาที่ธรรมดากับล้อขอบ 16 นิ้ว ซึ่งคนอื่นที่ราคาระดับนี้เขาขยับ
ไป 17 นิ้วกันหมดแล้ว พ้นจากเรื่องออพชั่นไป ก็คงมีเรื่องความมั่นใจในการบังคับควบคุมซึ่ง
แม้จะต่างกับรุ่น Extremo แค่ล้อขอบ 17 (ยางหน้ากว้างเท่ากัน) และค้ำโช้ค แต่เวลาหักเลี้ยว
พบว่าพวงมาลัยมีอาการวืดเบามากกว่า Extremo อยู่นิดหน่อย ถ้าไม่จับผิดจะไม่รู้สึก ระบบเบรก
ไม่เด่นไปกว่าคู่แข่งแต่ก็มั่นใจกว่าของ 2.5 โฉมก่อนไมเนอร์เชนจ์ที่เราเคยสัมผัสมา

นี่คือข้อเสียทั้งหมดที่มันมี นอกเหนือจากนั้นไป Camry ทำคะแนนได้ 8 ขึ้นในหลายข้อ
เช่นเรื่องความสบายในห้องโดยสารในภาพรวม เบาะ เนื้อที่เหนือศีรษะ การเก็บเสียงรบกวน
ที่แปลกคือรถรุ่น G ล้อ 16 นิ้วนี้พอเอาไปจับอัตราเร่งและอัตราสิ้นเปลือง ตัวเลขต่างจากรุ่น
Extremo พอสมควร (0-100 เร็วขึ้น 0.57 วินาที 80-120 เร็วขึ้น 0.42 วินาที อัตราสิ้นเปลือง
ดีขึ้น 0.28 กม.ต่อลิตร..อันหลังนี้ต่างกันไม่มาก) และที่ตลกคือคะแนนการออกแบบภายนอก
2.0G หน้าตาเรียบๆแบบ Uber Uber ของมันกลับได้คะแนนมากกว่าชุดแต่งของ Extremo
และท้ายสุดราคาที่ถูกกว่า Extremo 110,000 บาททำให้คะแนนด้านความคุ้มค่าสูงกว่า

LexusES300hMinorchange

อันดับที่ 4  Lexus ES300h Premium

หลายอย่างที่ดี ก็ยังคงดีเหมือนเดิม และถ้าให้เทียบ ES300h กับรถในระดับเดียวกัน
ซึ่งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรในช่วงปีที่ผ่านมา เราก็ยังยืนยันคำเดิมว่า ถ้าหากคุณ
ต้องการพรีเมียมซีดานที่มีการเก็บเสียงเงียบขั้นสุดยอด มีช่วงล่างที่นั่งนุ่มสบายโดยไม่ต้อง
พึ่งถุงลมหรือระบบช่วงล่างแสนกลใดๆ มีเบาะนั่งที่นุ่มนวลให้สัมผัสสบายกายและก้น
ES300h ก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดจากคุณสมบัติเหล่านี้ การที่เราไม่เห็นมันบนท้องถนน
มากเท่า E-Class หรือ 5-Series นั้น ไม่ได้แปลว่ารถคันนี้ห่วย แต่เป็นเรื่องของภาพลักษณ์
ทางสังคมซึ่งเราไม่ได้นำมาเป็นหัวข้อสำหรับการให้คะแนน

กับอีกเรื่องหนึ่งคือราคา ในเมื่อ BMW มีตัวเลือกพรีเมียมราคาถูกและประหยัดน้ำมันแถม
ขับมันส์อย่าง 520d คนก็ย่อมไม่เล่น และในเมื่อราคาของ Lexus ตั้งมาไว้ในเพดานใกล้เคียง
กับไฮบริดดีเซลมาดองอาจอย่าง E300 BlueTEC Hybrid AMG หลายคนก็ต้องมองดาว
สามแฉกมากกว่าเป็นธรรมดา ยิ่งรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ราคาโดดขึ้นไปเป็น 3,970,000 บาท
ในขณะที่มีการปรับโฉมข้างนอกให้ดูหล่อคมเข้มขึ้นนิดหน่อย ภายในเปลี่ยนพวงมาลัยและ
สีลายไม้ที่ว่ากันตามตรงคือมันไม่ได้ช่วยให้ดูหรูขึ้นสักเท่าไหร่เลย ปุ่มสวิตช์บางตัวที่ยังดู
เหมือนรถราคาล้านห้า ก็ยังอยู่ตรงนั้น ความประทับใจของพวกเราที่เคยมีต่อ ES300h
ในภาพรวมจึงลดน้อยถอยลงไปบ้าง และไม่น่าแปลกที่เมื่อรวมกับรถใหม่ที่เปิดตัวหลายรุ่น
จากปี 2015 ซึ่งแต่ละค่ายก็พยายามแสดงศักยภาพในแบบของตนเองออกมาอย่างเต็มพิกัด
การที่ Lexus หลุดจากอันดับที่ 3 ลงไปอยู่ที่ 4 นั้นถือว่าเป็นโชคที่ดีที่สุดเท่าที่มันควรได้รับแล้ว

Mazda2_D15_Sedan

อันดับที่ 3 (เสมอกัน 2 คัน) Mazda 2 Sedan 1.5D High Plus

คุณอาจจะคิดว่ามันก็เหมือนกันนั่นแหละ Mazda 2 1.3 เบนซินหรือดีเซลมันก็ต่างกันแค่เครื่อง
อย่างอื่นเหมือนกันหมด ถ้าคุณซื้อตัวเบนซินมาแล้ว ผมก็เชียร์ให้คิดแบบนี้ต่อไปเพราะ
ไม่มีประโยชน์จากการนั่งจับผิดรถที่ตัวเองซื้อมา แต่ในความคิดของพวกเรา มันต่างแน่
ไม่ได้ต่างแค่เฉพาะตัวรถ แต่ยังกระทบไปถึงการให้คะแนน เพราะในขณะที่ Mazda 2 1.3
ไม่มีคู่เปรียบที่ตรงรุ่นในพิกัด B-Segment ทำให้เราต้องนำมันไปเทียบกับอีโคคาร์ (Mazda เอง
ก็รับสิทธิ์อีโคคาร์เฟส 2 อยู่ในปี 2016) ส่วนรุ่นดีเซลนั้น เรากลับเลือกที่จะนำมันไปเทียบกับ
B-Segment ด้วยเหตุผลเรื่องสมรรถนะและราคามหาโหดของมัน

Mazda 2 Sedan 1.5D เปิดราคามา 790,000 บาท แพงกว่า B-Segment ทุกรุ่นที่เรา
พอจะนึกออก และว่ากันเรื่องอุปกรณ์ที่ให้มากับเรื่องอุปกรณ์สนับสนุนด้านความปลอดภัย
มันก็ยังไม่สามารถสู้ Honda City SV ที่ราคาถูกกว่าได้เต็มปากนัก และยังเสียเปรียบเรื่อง
ความสบายในการโดยสารไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าหรือด้านหลัง แต่รถคันหนึ่งก็คือก้อนเงิน
ที่บริษัทรถเลือกว่าจะพัฒนาส่วนไหนให้เด่น Mazda เมินเรื่องความสบายของพื้นที่ภายในรถ
และมุ่งพัฒนาเรื่องช่วงล่างและการขับขี่จนสมบูรณ์แบบที่สุดในคลาส City เป็นรถที่นุ่มนั่งสบาย
แต่ 2 1.5D ได้ทั้งความสบาย กระชับ ทิ้งโค้ง หักหลบมอเตอร์ไซค์ตัดหน้าได้อย่างมั่นใจ
เครื่องยนต์ไม่ได้สร้างจุดเด่นเรื่องความแรง แต่ตีคู่แข่งด้วยความประหยัด 22.48 กม./ลิตร
ที่สำคัญคือแม้ออพชั่นจะดูเหมือนไม่มาก แต่ถ้าลองนั่งรถคันจริงจะพบว่า Mazda ยังให้
ความสำคัญกับคุณภาพวัสดุและการประกอบ อย่างน้อยก็ไม่เผยจุดลดต้นทุนให้เห็นชัดแบบ
Honda การออกแบบแผงแดชบอร์ดทำมาได้ล้ำยุค ทันสมัย อ่านค่าต่างๆง่ายและใช้งานได้ง่าย
การเก็บเสียงรบกวน..ถ้าคิดว่ารถดีเซลต้องดังน่ารำคาญ..คิดใหม่ได้เลยครับ

 

NissanSylphyDIGT

อันดับที่ 3 (เสมอกัน 2 คัน) Nissan Sylphy DIG-Turbo

แต่ก่อนเมื่อ Nissan ตั้งใจทำรถบ้านกึ่งมาดซิ่ง มันมักจะมีส่วนที่พลาด เช่น Tiida Nismo
หรือ Pulsar Turbo ที่แต่งภายนอกมาเหมือนคนที่ไม่ได้อยู่ในวงรถซิ่งเท่าไหร่ แต่กับ Sylphy
Turbo นั้น เรารู้สึกได้ว่ามีคนบางคนในแผนกผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจจิตใจของพวกพ่อบ้านแอบซิ่ง
อย่างแท้จริง มาดของรถที่ออกมาจึงเหมาะสม ไม่ดูเลอะเทอะ แต่ก็มีจุดต่างที่ทำให้เรารู้
ว่ามันไม่ใช่รถธรรมดาแบบเดียวกับที่จุดแดงบนตัวแมงมุมแม่หม้ายดำบอกว่าเราไม่ควรไปแตะมัน
ถ้าแตะ ก็อาจจะโดนม้า 190 ตัวรุมเตะเอาได้ Sylphy Turbo เป็น Sleeper ภาคครัวเรือน
อย่างแท้จริง คุณสามารถใช้งานมันเหมือนรถบ้านทั่วไป แต่เมื่อกดคันเร่งมันจะทะยาน
ด้วยความเร็วชนิดที่รถซิ่งบางคันยังอาย 80-120 กม./ชม. ทำได้ภายใน 5.19 วินาที เร็ว
พอที่จะทำให้ Volvo V40 R-Limited 245 แรงม้าขนลุกได้พักใหญ่ๆก่อนที่รถม้าเยอะ
จะแซงปลายไปตามธรรมชาติ

ถ้าไม่พูดกันเรื่องความแรง Sylphy ก็ยังมีคุณค่าของมันในด้านอื่น อุปกรณ์ติดรถมี
มาให้เยอะ มีซันรูฟ ซึ่ง Pulsar Turbo ไม่มี ถุงลมนิรภัยมาครบ 6 ใบ ระบบกันไถล
กันเป๋ครบในราคา 999,000 บาท ถ้าขายได้ดีกว่า Pulsar Turbo มากก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่จุดที่ยังไม่สมบูรณ์แบบก็มี ช่วงล่างและการตอบสนองของพวงมาลัยมันยังเหมือน
รถบ้าน 100% และอยู่ในเกณฑ์กลางๆของกลุ่ม C-Segment แค่นั้น เบาะนั่งยังไม่สบาย
เพราะพนักพิงศีรษะดันกบาลไปนิด เบาะหลังแม้จะมีที่เยอะแต่พนักพิงศีรษะก็แข็งเกินไป
อัตราสิ้นเปลืองเหมือนจะประหยัดแต่พอมาใช้ในชีวิตจริงถือว่ากินดุ โหด รถยุโรป
2.0 เทอร์โบขับหลังถ้าเอามาขับด้วยคนเดียวกันยังไม่ซดดุมากขนาดนี้ เกียร์ CVT ยัง
เป็นรุ่นเก่า แม้จะไม่ใช่ Jatcoรุ่นเดียวกับของตัว 1.8 แต่การจับส่งพลังมีส่วนทำให้
ขาดความมันส์ในการออกตัว ถ้าปรับนิสัยเกียร์ให้ทำงานได้แบบเกียร์ของ X-Trail
รถคันนี้น่าจะทำเวลาออกตัวได้เร็วและช่วยให้ขับสนุกยิ่งขึ้นไปอีก

 

FordEverest32

อันดับที่ 2 Ford Everest 3.2 Titanium Plus

ขอย้ำอีกรอบว่ารถคันที่เรากำลังพูดถึงนี้เป็นสเป็ค 2015 ราคา 1,599,000 บาท
แม้รถทดสอบของเราจะมีฟังก์ชั่นของเวอร์ชั่นปี 2016 แต่เราจะไม่นำมานับรวมในการ
คิดคะแนน เพราะเป็นส่วนต่างที่ลูกค้าปี 2015 ไม่ได้พบกัน จะเอามาเทียบก็คงไม่ยุติธรรม
แม้จะคิดด้วยเงื่อนไขนี้ และแม้ Mitsubishi จะกระหน่ำออพชั่นและความแรงใส่ไป
ใน Pajero Sport มากเท่าใด ท้ายสุดเราก็เห็นแล้วว่าคะแนนรวม 14 ข้อออกมา Everest
3.2 Titanium Plus สร้างความประทับใจในภาพรวมได้ดีกว่า เรื่องอุปกรณ์ลูกเล่นต่างๆ
Mitsubishi ชนะ แต่ Ford พยายามชดเชยส่วนต่างด้วยหลังคา Panoramic ไฟฟ้า
เบาะแถวที่ 3 ปรับไฟฟ้า ประตูท้ายเปิดปิดด้วยไฟฟ้า และระบบช่วยจอด Active Park Assist
ส่วนอุปกรณ์ความปลอดภัยนั้น Ford จะขาดเรื่อง City Brake แต่มีระบบตรวจจับรถ
ในจุดบอด และมีระบบ Cross Traffic Assist มาให้ (แม้จะไม่ได้เป็น Around View แบบมิตซู)

แต่ไหนแต่ไรมา คนมักพูดกันว่า Ford มีดีที่ออพชั่น แต่ครั้งนี้ Ford สร้างรถที่มีดีในการขับขี่
และการใช้งานจริง เบาะแถว 2 ของ Everest ตั้งตำแหน่งมาดีนั่งสบาย คุณภาพวัสดุและ
การประกอบแม้จะมีพลาสติกเยื้องในบางจุดแต่มันก็ให้ความรู้สึกได้ว่า Ford พยายาม
สร้างมันให้ยกระดับไปเทียบ SUV ยุโรปมากกว่าที่จะสู้กับ PPV ด้วยกันเอง การเก็บเสียง
ทำได้ดีที่สุดในคลาส ให้ความรู้สึกเหมือนกลองหนังที่รัดแน่นเปรียะในยามโดยสาร พวงมาลัย
เป็นไฟฟ้าก็จริงแต่กลับหน่วงมือได้ดีในความเร็วสูงและเบาสบายที่ความเร็วต่ำ ช่วงล่างเซ็ต
มาค่อนข้างแข็ง แต่เป็นความแข็งหนึบที่ไม่ได้น่ารำคาญ แถมมีความมั่นคงหนักแน่น มั่นใจ
เวลาเดินทางในแบบที่เราไม่เคยสัมผัสจาก PPV คันใดมาก่อน ความรู้สึกดีที่ได้จากการขับ
ทำให้เรายังรู้สึกชอบมัน กรรมการทุกคนให้คะแนนความชอบส่วนตัวดีถึงดีมากทั้งที่อัตราเร่ง
ไม่แรง และกินน้ำมันดุเพราะรถหนัก ถ้าปรับปรุง 2 จุดนี้โดยคงความดีงามในส่วนอื่นเอาไว้
ได้เมื่อไหร่ อันดับ 1 ของ Best Drive คงไม่พ้นมือ Ford อย่างแน่นอน

(ปล. รถช่วงท้ายๆของวันที่เราขับ มีเสียงแต๊กๆๆจากบริเวณหลังคาให้ได้ยินด้วย
ไม่ได้เอาไปตัดคะแนน เพราะเราไม่ได้คิดเรื่องการใช้งานระยะยาว..แต่แค่บอกไว้เฉยๆ)

.
.
.
และนั่น…ก็หมายความว่า Best Drive 2015 ตกเป็นของ..

.
.
.

 

Mazda2_D15_HB_01

อันดับที่ 1 Mazda 2 Hatchback 1.5D High Plus

เป็นอีกครั้งที่ Mazda สามารถคว้าตำแหน่ง Best Drive ของ Headligtmag ได้สำเร็จ
หลังจากปีที่แล้วส่ง CX-5 2.5 ลิตรมาคว้าที่ 1 ไป…แล้วเขาก็เลิกขายมันในปี 2016
ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากนี้ไป Mazda จะเลิกขายเจ้า 2 รุ่น 1.5 ดีเซลด้วยหรือเปล่า
ดูจากรูปการณ์แล้วคงไม่

เมื่อเรามองคุณสมบัติของ Mazda 2 1.5 D High Plus รุ่นนี้ เราไม่ได้เทียบมันกับ
พวกอีโคคาร์ เพราะราคาของมันจะแปดแสนอยู่แล้ว และรูปแบบของรถมันก็คือ
B-Segment ทำให้เราตัดสินใจนำมันไปเทียบกับ Honda Jazz, Ford Fiesta Ecoboost,
Chevrolet Sonic 1.6 (เลิกขายแล้วแต่ขอนำมาเทียบ) ซึ่งทั้งหมดเป็นรถ Hatchback
เรื่องการออกแบบภายนอกและภายใน Mazda ทำคะแนนได้ดีเป็นหัวของกลุ่ม
มีรูปทรงภายนอกที่ทันสมัย เกือบจะหล่อกว่านี้ถ้าไม่ขาดไฟหน้าโปรเจคเตอร์ (ซึ่งให้มา
ทีหลังในปีนี้) เป็นการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ดูแล้วรู้ว่าเป็น Mazda Kodo
ผสานกับเส้นสายแบบยุโรปที่ด้านท้าย เป็นรูปลักษณ์ที่ดูกวนนิดตามรูปแบบของรถ
ภายในโดยเฉพาะแดชบอร์ด จัดวางตำแหน่งสวิตช์การควบคุมต่างๆได้ดี จอกลาง
แม้จะเข้าข่ายเอา Tablet แปะ (ซึ่งผมไม่ชอบ) แต่ก็เป็นตำแหน่งที่ใกล้ระยะสายตามาก
ที่สุด การออกแบบแดชบอร์ดให้ความรู้สึกทันสมัยและเลือกวัสดุมาได้สมราคา

Mazda2_D15_HB_02

เรื่องความสบายของเบาะนั่งแถวหน้า ตรงนี้ทำคะแนนได้ยังไม่ดีนัก เพราะ Jazz
ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย มีพื้นที่ให้แกว่งขาแขนเล่นได้มากกว่า ตัวเบาะของ Mazda นั้น
แม้เราจะจัดว่าอยู่ในขั้นดีกว่าเบาะชวนปวดหลังของ Fiesta แต่มันก็เป็นแบบที่แคบและบีบ
ส่วนความสบายของผู้โดยสารด้านหลัง…ตัดเข้าโฆษณาหรือไปเตะบอลเถอะ เบาะหลัง
ของ Mazda นั้นแพ้ Jazz หลุดลุ่ย ต่อให้มีพื้นที่เหนือศีรษะมากกว่าตัวซีดานมันก็ยังแคบอยู่ดี

การเก็บเสียงรบกวน ถ้าคุณมองว่านี่คือรถดีเซล มันเงียบกว่าที่คุณคิดแน่ และยิ่งถ้าพูด
เรื่องการเก็บเสียงจากขอบประตู กระจกหน้า และด้านล่าง เราบอกได้เลยว่ามันดีกว่า
Mazda รุ่นพี่ๆทั้งหมดที่ขายอยู่ในไทยตอนนี้เลยทีเดียว เรื่องอุปกรณ์ที่ให้มานั้นถือว่าให้
มาเยอะแต่ไม่ได้เต็ม 10 เพราะไม่ชนะ Jazz เช่นเดียวกับอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย
ซึ่ง Jazz มีถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านถุงลมมาให้ในราคาที่ถูกกว่า แต่ Mazda เอาคืน
ในเรื่องการเลือกใช้วัสดุ เกรดพลาสติก วัสดุบุนุ่ม การเก็บงานที่พยายามให้ดูเนี๊ยบกว่า

Mazda2_D15_HB_04

เรื่องสมรรถนะการขับขี่ แม้จะได้คะแนนค่อนข้างดีแต่ยังไม่สุด เพราะรถยังมีอาการ
หน่วงตอนออกตัวให้รู้สึกอยู่บ้าง ความเร็วบนทางตรงสูสีกับ Jazz และแม้ช่วงอัตราเร่ง
แซงจะดูเหมือนเร็วกว่า Ford ในชีวิตจริง Ford ช้าเพราะการรอคำสั่งของเกียร์ แต่ถ้า
กระทืบคันเร่งแล้วลากยาวแบบนี้ ยังไง 1.5 ดีเซลก็ยังแพ้ 1.0 เบนซินเทอร์โบอยู่ดี
Mazda มีจุดเอาคืนด้วยเกียร์ 6 จังหวะซึ่งช่วยให้ควบคุมการไต่ความเร็วได้ง่าย
ขับสนุก มีความเสถียรและตอบสนองไวกว่าเกียร์คลัตช์คู่ของ Ford ถ้าไม่นับเรื่อง
หน่วงคันเร่งตอนออกตัว

ในด้านความประหยัดเชื้อเพลิง..ชนะ…อย่างขาวสะอาด..22.48 กม./ลิตร
ความนุ่มนวลของช่วงล่าง ดีกว่า Jazz และ Ford แต่แพ้ทางให้กับความหนักแน่นที่
เหมือนกับรถใหญ่มาเองของ Sonic แต่ในเรื่องการเปลี่ยนทิศทาง ความคล่องตัวในโค้ง
กลับสามารถทำคะแนนได้ใกล้เคียง Fiesta ผลัดกันแลกคนละหมัด Fiesta เป็นรถที่
ขับในสนามจิมคาน่าความเร็วต่ำได้สนุกกว่า ท้ายแข็งกว่า ในขณะที่ถ้าเป็นโค้งบน
ถนนที่เป็นลอนและใช้ความเร็วเกิน 100 กม./ชม. Mazda กลับมีบาลานซ์ที่ดีและคุม
ตัวรถได้นิ่งกว่า เรื่องแปลกของช่วงล่างนี้คือแม้แต่ Mazda 2 ตัวเบนซิน ก็ยังให้ความ
รู้สึกไม่เหมือนกัน ตัวเบนซินจะแข็งกระด้างกว่าเหมือนหน้ารถเบากว่า แต่การตอบสนอง
ในโค้งกลับรับและทำตามสั่งได้ดีไม่แพ้กัน

ความมั่นใจของพวงมาลัยและระบบเบรก ได้คะแนนสูงทั้งคู่ ระยะการเหยียบแป้น
สั้นเหมือนรถสปอร์ต แต่สามารถกำหนดแรงในการเบรกได้ง่าย หยุดได้มั่นใจและ
ออกอาการผ้าเบรกเสื่อมจากการเบรกอย่างรุนแรงหลายๆครั้งช้ากว่า Honda
ส่วนเรื่องความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา คราวนี้คะแนนจะตกหน่อยเพราะเปิดมา
เกือบแปดแสนตามที่ได้พูดไปแล้วหลายรอบ

Mazda_2_D15_HB_03

อย่างไรก็ตามเมื่อรวมคะแนนในทุกหัวข้อเข้าด้วยกัน Mazda ก็ยังเป็นรถที่พวกเรา
ประทับใจเมื่อได้ขับ..และแค้นใจเมื่อถูกสั่งให้ไปนั่งเบาะหลัง มันไม่ใช่รถที่มีนวัตกรรม
ใหม่หลุดโลก แต่แค่เอาเครื่องดีเซลที่ค่ายอื่นเขาทำใส่รถเล็กขายในต่างประเทศมานาน
เอามาให้คนไทยลองใช้และทำให้เห็นว่าอัตราเร่งมันไม่แย่แถมยังประหยัดหลุดโลก
ส่วนช่วงล่างนั้นมันก็พิสูจน์ให้เห็นว่าคุณไม่จำเป็นต้องใช้ยางกว้างๆเพื่อให้รถเกาะถนน
ไม่ต้องใช้น้ำหนักตัวรถมากๆเพื่อให้ได้ช่วงล่างที่นุ่มหนึบกำลังดี พวกเขาพิสูจน์แล้วว่า
รถเล็ก ไม่จำเป็นต้องป๋องแป๋ง ขับแล้วร่อนส่าย และไม่จำเป็นต้องทำรถให้ดูลดต้นทุน
(เพราะราคาที่ขายก็แพงกว่าคนอื่น) ก็ยังสามารถมีจุดเด่นได้ ภายในก็สามารถทำให้
ดูมีสไตล์ไปพร้อมๆกับความง่ายในการใช้งานได้เช่นเดียวกัน

โลกนี้มีเด็กหลายคนอินดี้ ชอบแนวที่ไม่เหมือนชาวบ้าน 7 ใน 10 คนจะกลับบ้านไป
ก่อนคนอื่น 3 คนที่เหลือจะยังคงอยู่ต่อไปสักพัก ยืนหยัดในแนวทางของตัวเอง
โดยไม่แคร์สื่อ 2 จากใน 3 คนนั้นจะค่อยๆเปลี่ยนแนวตัวเองเข้าหากระแสนิยม
ในภายหลังเพื่อให้มีชีวิตรอด และ 1 คนสุดท้ายจะเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง
มีข้อเสียบางข้อที่เขาเลือกไม่สนใจมัน เพียงเพื่อเอาเวลาไปสร้างความเก่งกาจใน
ด้านอื่นที่มันมากพอจะทำให้เขามีชื่อเสียงและสามารถยืนหยัดอยู่บนโลกต่อไปได้

ผมคิดว่า Mazda 2 ก็คือเด็กคนนั้นแหละครับ และเด็กคนนั้น ก็สะท้อนความคิด
บางส่วนแบบที่ผม และพวกเราทีมงานคิดต่อการทำงานของเราเช่นกัน

ผมแค่ไม่ผอมพอจะนั่งใน Mazda 2 ได้สบาย..ก็เท่านั้น