ตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ช่วงปี 2016 ยังคงทรุดตัวลง จากช่วงปี 2015
แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุและปัจจัยต่างๆ
มากมาย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และความเปลี่ยนแปลงของการเมืองโลก ดังนั้น
ตัวเลขยอดขายรถยนต์ที่คาดกรณ์กันว่า จะทำตัวเลขได้ถึง 740,000 คันนั้น
ยังพอมีความเป็นไปได้ให้ลุ้นกันอยู่

สำหรับ ปี 2017 นั้น จากการคาดการณ์ มีแนวโน้มว่า ยอดขายรถยนต์ในไทย
อาจจะร่วงลงมามากกว่านี้อีก ทั้งด้วยปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่มีทีท่า
ว่าจะฟื้นตัว โดยเฉพาะในภาคการเกษตร และภาคแรงงานกับการขนส่งต่างๆ
อีกทั้งการเิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในปี 2017 จะลดน้อยลง และ ไม่อาจช่วยกระตุ้น
ยอดขายให้เพิ่มขึ้นได้มากนัก แต่เชื่อว่า ตัวเลขยอดขายที่ผมประเมินไว้ ในปี
2017 น่าจะทำได้อยู่ในระดับ 720,000 คัน เป็นอย่างมาก

facebook_banner_newcars

เป็นประจำทุกต้นปีที่ J!MMY จะเขียนบทความสรุปความเคลื่อนไหวของปีก่อน
และสรุปความเคลื่อนไหว ของบรรดารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะเปิดตัวในปีนี้ รวมทั้ง
Update ข้อมูลการพัฒนา รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ล้ำไปไกลล่วงหน้าก่อนสื่อรายใดถึง
4 ปี เผยแพร่ลงในเว็บไซต์ ของเรา Headlightmag.com เป็นประจำในช่วงเดือน
มกราคม เพื่อเป็นของขวัญ สำหรับคุณผู้อ่าน ใช้เป็นข้อมูลในการเตรียมวางแผน
ซื้อรถยนต์ล่วงหน้า หรือสำหรับเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ของผู้คนที่ทำงานใน
แวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ของบ้านเรา

ปีนี้ บทความสรุปรถใหม่ที่จะเปิดตัวในประเทศไทย 4 ปีข้างหน้า กลับมาอีกครั้ง
หลังจากหายไป 1 ปีเต็ม เหตุผลก็คือ ช่วงปีที่แล้ว แทบทุกค่าย มีการปรับเปลี่ยน
แผนงานกันเยอะมาก มีทั้งรถยนต์รุ่นใหม่ที่ไม่เคยคาดว่าจะถูกส่งเข้ามาจำหน่าย
ในประเทศไทยมาก่อน ทะยอยถูกจับเข้ารวมอยู่ในแผนของแต่ละค่าย หลายรุ่น
ทำให้บทความที่เตรียมไว้ กลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปทันที

ผมตัดสินใจรอให้ แผนพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ สำหรับตลาดบ้านเรา เริ่มนิ่งเสียก่อน
จึงค่อยสรุปออกมาเป็นบทความในปีนี้ ให้ทุกท่านได้อ่านกัน ซึ่งกว่าจะนิ่งได้นั้น
ต้องรอกันจนถึงเดือนธันวาคม เลยทีเดียว!

ในปี 2017 นี้ ความเคลื่อนไหวในตลาดรถยนต์เมืองไทยนับจากนี้ จนถึงปี 2019
จะเป็นอย่างไร จะมีรถยนต์รุ่นไหนเข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา รอให้ได้เป็นเจ้าของกัน
และมีเทคโนโลยีอะไรที่จะเข้ามาให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสกันบ้าง ทุกอย่าง
ทุกข้อสงสัย มีคำตอบให้คุณได้อ่านกันแล้ว…ข้างล่างนี้…!

 


 

***หมายเหตุ***

1. ปีนี้ หลายค่าย จะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ทำตลาด แต่เราก็ยังคงบรรจุแบรนด์เหล่านั้น
ไว้ในบทความประจำปีนี้ เพราะในปี 2018 แต่ละค่ายจะกลับมามีความเคลื่อนไหวกัน
อีกครั้ง

2. ปีนี้ เราขอถอด Alfa Romeo, Citroen , Fiat, Lotus, Peugeot, Proton ,Skoda และ
ค่ายอินเดีย Tata Motors ออกจากบทความ เพราะไม่สามารถสืบหาข้อมูลแผนการนำ
รถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดในบ้านเราได้เลยจริงๆ ส่วนค่ายรถยนต์ที่เพิ่งเริ่มทำตลาด
อย่างจริงจังในปีแรกๆ อย่าง Foton หรือบรรดาค่ายรถจากจีน ขอยังไม่นำมารวมในครั้งนี้

3. ข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้ ได้รับการตรวจสอบและยืนยันแล้วว่าถูกต้อง ตรงกับข้อมูล
ที่เราได้รับจากหลายแหล่งข่าว ณ วันที่นำบทความชิ้นนี้ ขึ้นเผยแพร่ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป
อาจมีข้อมูลดิบและ/หรือข้อมูลที่กลั่นกรองแล้วปรากฎขึ้นอีกได้ตลอดเวลา ข้อมูลเหล่านั้น
อาจคลาดเคลื่อนหรือเพิ่มเติมข้อมูลเดิมจากบทความชิ้นนี้ย่อมเป็นไปได้ เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น
เนื่องจากรายงานข่าวประเภทเจาะโครงการลับ หรือ Spyshot นั้น ไม่มีสื่อมวลชนเล่มใด
รายใดในโลก ที่รายงานได้ถูกต้อง ตรงกับความเป็นจริง 100% ต่อให้เป็นฝรั่งมังค่าก็ตาม

คุณผู้อ่านควรติดตามข่าว “ด้วยวิจารณญาณ เหตุผลในเชิงตรรกะ หรือเกมการตลาดอย่าง
ปราศจากอคติ” รวมทั้งศึกษาจากข้อมูลที่ปรากฎอยู่ในสื่ออื่นๆ ประกอบกันด้วยอยู่เสมอ
เพื่อความสดใหม่ของข้อมูล โดยเฉพาะ ช่วงหลังจากบทความนี้ เผยแพร่สู่สาธารณชนแล้ว

4. บทความนี้ ใช้อ้างอิงได้ 1 ปี คือนับจากวันที่ 1 มกราคม 2017 ถึง 31 ธันวาคม 2017
เท่านั้น หลังจากนี้ ให้ติดตามอ่านข้อมูลอัพเดทได้ จากบทความสรุปรถใหม่ 2018 – 2021
ในวันที่ 1 มกราคม 2018

5. ถ้าต้องการนำบทความนี้ ไปเผยแพร่ที่ไหน ติดต่อมาที่ [email protected]
เพื่อ ขออนุญาตกันเสียให้ถูกต้องตามธรรมเนียม ก่อนจะนำไปเผยแพร่ ต่อไป ทั้งนี้ ขอสงวนสิทธิ์
ในการอนุญาต เพื่อให้นำไปเผยแพร่ เพื่อเป็นประโยน์แก่สาธารณชน และ ไม่ใช่เพื่อนำไปใช้ใน
ทางธุรกิจใดๆทั้งสิ้น

เมื่อได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ได้ ขอความกรุณา ขึ้นเครดิตของผู้เขียน และทำลิงค์ มายัง เว็บไซต์
Headlightmag.com ให้ถูกต้องเรียบร้อยด้วย การนำบทความไปเผยแพร่ต่อ โดยไม่ขึ้นเครดิต
และไม่มีการบอกกล่าวมายังข้าพเจ้า ถือเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ ผู้ละเมิด จะถูกดำเนินคดี ตามที่
กฎหมายบัญญัติไว้ สูงสุด โดยไม่มีการยอมความใดๆทั้งสิ้น!

(โดยเฉพาะพวกหน้าด้าน copy ไปโพสต์ในเว็บบล็อกตัวเองกันโครมๆ อย่านึกว่าไม่รู้นะ!
ปีก่อนๆ ก็โดนกันมาบ้างแล้ว ถ้ายังไม่ฟัง ก็จะต้องเจอไม้แข็งกันเสียบ้าง อย่าชุ่ย! มักง่าย!
แค่ส่งอีเมล์มาขอนำไปลงเว็บกันดีๆ ผมก็อนุญาตแล้ว ไม่เห็นจะยากเย็นวุ่นวายนักหนา หาก
ไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า ก็ยินดีอนุญาตให้นำไปเผยแพร่เกือบจะทุกรายอยู่แล้ว ใส่
ชื่อผู้เขียน ชื่อเว็บไซต์ และทำลิงค์ให้เว็บไซต์ของเราด้วย แค่นี้ หวังว่าคงไม่ยากไปนะครับ!)

 


 

Aston_Martin_V8_Vantage_Next
(ภาพจาก www.gtspirit.com)

ASTON MARTIN
2017 : All New V8 Vantage / DB11 Volante
2018 : All New V8 Vantage Volante / Next Vanquish (Call “DBS”)
           : Rapide E “Pure EV” / AM RB-001 (with Red Bull Racing Team )
2019 : DBX Crossover
2020 : Next Rapide / DBS Volante

ปี 2016 Aston Martin เพิ่งเปิดตัว รถสปอร์ต GT DB11 ในงาน Geneva
Auto Salon ต้นเดือนมีนาคม 2016 จากนั้น MGC (กลุ่ม Millennium)
ก็รีบฉวยโอกาส คว้ารถคันต้นแบบ บินมาเปิดตัวที่เมืองไทย อย่างฉับไว
ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนเดียวกัน!
พร้อมกับนำ DB10 รถสปอร์ตต้นแบบ ที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับการถ่ายทำ
ภาพยนตร์ James Bond 007 ตอน SPECTACLE มาอวดโฉมให้ชาว
ไทยได้ยลกันด้วย นั่นเท่ากับว่า DB11 ขุมพลัง V12 สูบ 5.2 ลิตร 608
แรงม้า (PS) ถูกเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการไปแล้ว และ
DB11 เป็นเพียงแค่ 1 ในบรรดา 5 รุ่น ที่ Aston Martin ต้องเตรียมส่ง
ขึ้นโชว์รูม นับจากปี 2016 – 2021 อย่างที่ Andy Palmer CEO ซึ่งเคย
ย้ายกลับมาจาก Nissan Motor เคยกล่าวไว้ (คนนี้แหละ เคยกำหนด
ให้งานเปิดตัวรถกระบะ NP300 Navara จัดขึ้นที่เมืองไทย!)

2017 จะเป็นปีที่ Aston Martin ต้องเปิดตัว รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน
ของ Vantage รถสปอร์ต GT รุ่นหลักที่ทำรายได้หลักให้กับแบรนด์มา
ตลอดหลายปีมานี้ รถรุ่นใหม่ จะเบาขึ้น สปอร์ตขึ้น และเปลี่ยนขุมพลัง
บล็อกใหม่ มาเป็น เบนซิน V8 DOHC 32 วาล์ว 4.0 ลิตร ภายใต้ความ
ร่วมมือแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี กับ Mercedes-Benz แต่จะยังคงมีรุ่น
เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะให้เลือกด้วย กำหนดเปิดตัวอย่างเร็วสุดน่าจะ
ได้เห็นกัน ใน Geneva Auto Salon เดือนมีนาคม หรือช้าสุด ไม่เกิน
Frankfurt Motor Show ปลายเดือนกันยายน 2017

2018 จะเป็นปีที่ Aston Martin น่าจะยุ่งมากๆ เพราะมีรถยนต์หลายรุ่น
ซึ่งต้องจ่อคิวกันเปิดผ้าคลุมสู่สายตาชาวโลก

เริ่มกันด้วย V8 Vantage Volante (เวอร์ชันเปิดประทุน) ที่แชร์ชิ้นส่วน
และงานวิศวกรรมร่วมกับ V8 Vantage Coupe ซึ่งจะคลอดออกมาหลัง
รุ่น Coupe เปิดตัวล่วงหน้าไปก่อนแล้ว 1 ปี ตามธรรมเนียมเดิมของค่าย

จากนั้นตามด้วย การเปลี่ยนเปิดตัวรถสปอร์ตแนวดุ รุ่นใหม่ที่จะมาแทน
รุ่น Vanquish ด้วยชื่อรุ่นใหม่ว่า DBS (ที่เคยใช้มาแล้วในช่วงทศวรรษ
ที่ 1960 – 1973) คาดว่าจะมาพร้อมกับขุมพลังแรงกระชากใจถึง 700
แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดมากถึง 850 นิวตัน-เมตร (86.61 กก.-ม.)
พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel Drive รวมทั้งยังมีเวอร์ชัน
ขุมพลังไฟฟ้าเพียวๆ ของ Rapide ออกมาให้อุดหนุนกันอีกด้วย

Aston_Martin_AB_RM001_2018

ในปี 2018 นั้น ยังมีอีกโครงการที่น่าสนใจในระดับเรียกน้ำลายจากเหล่า
เด็กเนิร์ดบ้ารถทั้งหลาย ให้แตกฟองจนฟูมปากไปเลย นั่นคือ HyperCar
คันแรก Aston Martin AM-RB 001 ที่ออกแบบโดย Adrian Newey
นักออกแบบรถแข่ง Formular 1 หัวหน้าวิศวกรฝ่ายเทคนิค ของทีมแข่ง
Red Bull Racing Team รายละเอียดที่มีการเปิดเผยออกมา น้อยมาก
มีเพียงแค่ว่า AM-RB 001 จะวางเครื่องยนต์ V12 สูบ ที่ให้กำลังสูงถึง
900 แรงม้า (BHP) Andy Palmer ยืนยันว่า “มันจะต้องเป็นรถสปอร์ต
ที่หรูหราสุด และต้องแรงสุด เร็วที่สุด” คาดว่าจะผลิตออกมา 2 เวอร์ชัน
ทั้งแบบปกติสำหรับลูกค้าระดับอภิมหาอมตะโคตรเศรษฐี ใช้ขับขี่เล่น
บนถนนตามกฎหมายปกติ และเวอร์ชันพิเศษ 25 คัน สำหรับลงแข่ง
ในสนาม จากจำนวนยอดผลิตทั้งหมดแค่ 99 คัน เท่านั้น

Aston Martin มีกำหนด ส่งมอบรถรุ่นนี้ ได้ในช่วงปี 2018 ไม่ต้องถาม
ถึงค่าตัว เพราะเมื่อถึงตอนนั้น คิวสั่งจองจากลูกค้า Ultra VIP ทั่วโลก
คงเต็มไปหมดแล้ว

Aston_Martin_DBX_2020

ล่วงเข้าสู่ปี 2019 จะถึงเวลาของ Aston Martin DBX Coupe Crossover
พลังไฟฟ้า คันแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ตัวรถคันจริงจะถูกพัฒนา
ต่อเนื่องมาจากรถต้นแบบ Aston Martin DBX Concept ที่เผยโฉมในงาน
Geneva Motor Show เมื่อ 3 มีนาคม 2015

Andy Palmer CEO ของ Aston Martin กล่าวตอนเปิดตัวว่า “รถคันนี้ยัง
ไม่ใช่เวอร์ชันที่พร้อมจะขึ้นสายการผลิตจริง แต่มันแสดงให้เห็นถึงรถ GT
ที่ลูกค้ากำลังจะเรียกร้องจากเราในอนาคต”

ข้อมูลเบื้องต้นก็คือ DBX จะติดตั้ง ขุมพลังเบนซิน V8 เพื่อขับเคลื่อน
มอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 4 ล้อ แต่ถ้าปฏิกิริยาจากลูกค้า เรียกร้องเพิ่มเติมละก็
Andy Palmer ก็พร้อมที่จะสั่งให้ลูกน้อง วางเครื่องยนต์ V12 แบบแรงๆ
เพื่อเอาใจลูกค้าที่ไม่แคร์เรื่องค่า CO2 ทันที

พอย่างเข้าปี 2020 Rapide ก็ได้เวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน พร้อมกันนั้น
DBS ก็จะมีตัวถังเปิดประทุนในชื่อ DBS Volante คลานตามออกมา

ทั้งหมดนี้ เชื่อแน่ว่า MGC ในกลุ่ม Millennium เขาคงเตรียมพร้อมจะ
สั่งเข้ามาเอาใจเศรษฐีเมืองไทยกันเรียงลำดับตามปีที่เปิดตัว เพียงแต่
อาจต้องรอคิวจากลูกค้าฝั่งยุโรปกันสักหน่อย

——————————————————-

Audi_Q2_2017

Audi
2017 : New Distributor / New Q2

เมื่อ 10 ตุลาคม 2016 ที่ผ่านมา เกิดเรื่องเรื่องเซอร์ไพรส์ในวงการธุรกิจ
ยานยนต์ เมื่อ Audi AG. จากเยอรมนี ตัดสินใจเซ็นสัญญา แต่งตั้ง บริษัท
ไมซ์สเตอร์ เทคนิค จำกัด ของ “กฤษฎา ล่ำซำ” (โดยมี “นวลพรรณ ล่ำซำ”
เป็นหุ้นส่วน) เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ ค่ายสี่ห่วง จากเยอรมนี
รายใหม่ แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย หลังจากคู่สัญญาเดิมอย่างบริษัท
เยอรมันมอเตอร์เวอร์คส์ ในเครือ ยนตรกิจ ของตระกูล ลีนุตพงษ์ กำลังจะ
หมดสัญญา และ หลุดมือไปในที่สุด

ถือเป็นเรื่องที่ไม่เกินไปจากความคาดหมาย เพราะก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าว
ว่าทาง Audi เอง ก็เล็งที่จะมองหาผู้จำหน่ายรายใหม่ในบ้านเรามานานแล้ว
เพราะชาวเยอรมัน ตัดสินใจไม่เข้ามาทำตลาดเอง โดยจะให้สิทธิ์กับกลุ่ม
นักธุรกิจในไทย รายใหม่ เข้ามาดูแลแบรนด์ Audi ในเมืองไทยแทน

อย่างไรก็ตาม เยอรมันมอเตอร์เวอร์คส์ ก็ออกมาป้องกันตัว โดยระบุว่า ยัง
เป็นผู้จำหน่าย Audi ในเมืองไทยอยู่ และทางบริษัทแม่ในเยอรมนี มีสิทธิ์
แต่งตั้งผู้จำหน่ายรายอื่นเพิ่มเติมได้ เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ก็ยังสามารถเข้า
ไปใช้บริการได้ที่โชว์รูมถนนเทียนร่วมมิตร ย่านพระราม 9 ได้ตามปกติ ซึ่ง
ก็ยังคงเป็นไปตามนั้น เนื่องจากสิทธิ์ในการจำหน่าย Audi ของผู้จำหน่าย
รายเดิม จะยังเหลืออยู่อีกราวๆ 1 ปีนับจากนี้

ตอนนี้ ไมซ์สเตอร์ เทคนิค ได้ดึงตัว มือดีจาก Mercedes-Benz ซึ่งเป็น
หนึ่งในเครือญาติของตระกูล ล่ำซำ ไปเริ่มต้นบริหารงานแล้ว

สำหรับรถยนต์รุ่นแรกที่น่าจะเอาเข้ามาเปิดศักราชใหม่ให้กับแบรนด์
สี่ห่วง ในบ้านเรา น่าจะเป็น Audi Q2 B-Segment Crossover SUV
ที่เปิดัวในตลาดโลก มาตั้งแต่ 1 มีนาคม 2016 ณ งาน Geneva Auto
Salon

ในภาพรวมแล้ว Q2 ก็คล้ายกับการนำ A3 Sportback มายกสูงขึ้นนิดๆ
นั่นเองโดย Q2 ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น และลูกค้าที่
มักใช้รถยนต์ในเมืองเป็นหลัก อีกทั้งยังคาดหวังให้โดนใจจะได้กลุ่ม
ลูกค้าหน้าใหม่ที่ไม่เคยซื้อรถยนต์แบรนด์ Audi มาก่อน

ถึงแม้สัดส่วนตัวถังภายนอกแทบจะดูคล้ายกับ Audi A3 แต่ทีมวิศวกร
กลับพัฒนา Q2 ให้มีเนื้อที่ศีรษะห้องโดยสารตอนหลังโปร่งกว่า A3 อีก
นิดนึง แถมมีเนื้อที่ห้องสัมภาระท้าย 405 ลิตร เมื่อพับเบาะก็จะจุได้
1,050 ลิตร

ขุมพลังในตลาดโลก มีให้เลือกทั้งแบบ เบนซิน 3 สูบ 1.0 ลิตร TFSI
114 แรงม้า (BHP), 1.4 ลิตร TFSI พร้อมเทคโนโลยีพักกระบอกสูบ
เมื่อไม่จำเป็น, 2.0 ลิตร TFSI 187 แรงม้า (BHP) , กับ Diesel ขนาด
1.6 ลิตร Turbo TDi 114 แรงม้า (BHP) และ Diesel  2.0 ลิตร TDI
ที่มีให้เลือกทั้งรุ่น 148 แรงม้า (BHP) และ 187 แรงม้า (BHP)

อย่างไรก็ตาม การทำตลาด ของ Audi ในบ้านเรา คงต้องทำใจว่าอาจ
เห็นขุมพลัง TDi Diesel Turbo ยากหน่อย เพราะ Audi AG ยังกังวล
กับมาตรฐานของน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทยอยู่ไม่น้อย

กำหนดการเปิดตัว คาดว่า น่าจะมาพร้อมการ Re-Launch แบรนด์ Audi
ในเมืองไทยอีกครั้ง ช่วงเดือนมีนาคม 2017 ก่อนหน้างานแสดงรถยนต์
ประจำปี Bangkok International Motor Show เล็กน้อย ส่วนรุ่นอื่นๆ
ทั้ง Q3 , Q7 , TT , A5 และ A6 จะทะยอยตามมาในภายหลัง

——————————————————-

Bentley_Bentayga_2017

BENTLEY
2017 : Bentayga (Diesel?)
2018 : All New Continental GT
2019 : All New Continental GTC

Highlights เด่นๆ ของ Bentley ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ความเคลื่อนไหว
ในการพัฒนา Bentley Bentayga SUV คันแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์
จนต้องชะลอการเปิดตัวไปอีก 1-2 ปี หลังจากเจอเสียงวิจารณ์ในเชิงลบจาก
อย่างหนักจากสื่อมวลชน และลูกค้าทั่วโลก อย่างหนัก เพื่อกลับไปออกแบบ
ตัวถังภายนอกมาใหม่ เปิดตัวมาตั้งแต่ 9 กันยายน 2015 แต่ก็ยังไม่มีวี่แวว
ว่าจะพร้อมเข้ามาทำตลาดในบ้านเราเสียที

Bentayga มีขนาดตัวถังใหญ่โตมหึมา ยาว 5,140 มิลลิเมตร กว้าง 1,944
มิลลิเมตร สูง 1,722 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,995 มิลลิเมตร วางขุมพลัง
W12 สูบ DOHC 5.950 ซีซี. Twin-Turbo 608 แรงม้า (PS) ที่ 5,250 –
6,000 รอบ/นาที แรงบิด มหาศาลถึง 900 นิวตัน-เมตร (91.71กก.-ม.)
ที่ 1,250 – 4,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ส่งกำลังสู่
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4 วินาที
และมีความเร็วสูงสุด 301 กิโลเมตร/ชั่วโมง (Top Speed สูงสุดในโลก
สำหรับกลุ่ม SUV)

ล่าสุด 1 ปี ให้หลังจากการเปิดตัว Bentley ก็เพิ่มทางเลือกใหม่ให้เฉพาะ
ลูกค้าใน Australia, NewZewland, Russia,South Africa,Taiwan และ
United Kingdom เท่านั้น ด้วยขุมพลังใหม่ ยกมาจาก Audi SQ7 TDI
เป็นเครื่องยนต์ Diesel V8 DOHC 4.0 ลิตร Twin-Turbo พร้อม Electric
Supercharger 441 แรงม้า (PS) ที่ 3,750-5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
91.77 กก-ม. (900 นิวตันเมตร) ที่ 1,000-3,250 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับ
เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ จาก ZF ส่งกำลังลงพื้นทั้ง 4 ล้อ อัตราเร่ง 0-100
กิโลเมตร/ชั่วโมง แค่ 4.8 วินาที เทียบเท่ากับ SQ7 ทุกประการ

ปีนี้ AAS ผู้นำเข้าและจำหน่าย Bentley อย่างเป็นทางการ น่าจะพร้อมแล้ว
สำหรับการสั่ง Bentayga เข้ามาให้ลูกค้าอภิมหาเศรษฐีชาวไทยได้จับจอง
คาดว่าน่าจะเปิดตัวได้ในงาน Bangkok International Motor Show ช่วง
ปลายเดือนมีนาคม 2017 นี้

Bentley_EXP10_6

อย่างไรก็ตาม ปี 2018 ถือเป็นปีที่สำคัญ เพราะ Bentley มีกำหนดเผยโฉม
All New “Continental GT” รถยนต์ Coupe 2 ประตู ที่ทำรายได้หลักให้
พวกเขาอย่างงดงามมาตลอด คราวนี้ GT ใหม่ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง
ใหม่ล่าสุด MSB ซึ่งมี Porsche เป็นหัวหอกหลักในการพัฒนาพื้นตัวถังนี้
โดยจะใช้อลูมีเนียม เป็นส่วนประกอบมากขึ้น เพื่อให้ตัวรถมีน้ำหนักเบาลง
กว่าเดิม ส่วนรูปลักษณ์ภายนอก ก็ยกเส้นสายส่วนใหญ่มาจากรถต้นแบบ
Bentley EXP 10 Speed 6 จากงาน Geneva Auto Salon เดือนมีนาคม
2015 ส่วนขุมพลัง จะยังคงเป็นบล็อกเดิม W12 สูบ DOHC 6.0 ลิตร แต่
ถูกอัพเกรดพละกำลังจาก 582 เป็น 600 แรงม้า (PS) อีกทั้งในรุ่น GT
Speed Convertible เปิดประทุน จะถูกปรับปรุงให้แรงกว่า 633 แรงม้า
(PS) ในรุ่นปัจจุบัน ขึ้นไปอีก!

กำหนดเปิดตัวในตลาดโลก ในปี 2017 แต่คาดว่าจะมาถึงบ้านเราราวๆปี
2018 ซึ่งเป็นปีที่ รุ่นเปิดประทุน Continental GTC จะตามออกมาสมทบ
ในตลาดโลกพอดี เท่ากัว่า รุ่นเปิดประทุนน่าจะเข้าเมืองไทย ราวปี 2019

BMW_5_Series_2017

BMW / MINI
2017 : The New 5-Series / All New Countryman

Highlights สำคัญของ BMW ในปี 2017 นี้ คือการเคลียร์สต็อกของซีรีส์ 5
รุ่น F10 ให้หมด เพื่อรอรับการเปิดตัว ซีรีส์ 5 ใหม่ รหัสรุ่น G30 ที่จะมีขึ้น
ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2017 นี้ โดยรุ่นที่คาดว่าจะนำเข้ามาขาย
ในช่วงแรก จะเป็นรุ่น 520d ขุมพลัง Diesel Turbo และ 530e Plug-in
Hybrid สเป็กต่างๆ อาจแตกต่างจากเวอร์ชันต่างประเทศ เล็กน้อย ตาม
สไตล์ของ BMW Thailand

ปี 2017 นั้น ในตลาดโลก เราจะได้พบกับ M5 ใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับขุมพลัง
V8 Twin Turbo พ่วงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อาจแรงถึง 600 แรงม้า (PS)
ตามมาด้วย X2 Croossover SUV ตัวถัง Coupe ของ X1 ที่สร้างขึ้นบน
พื้นตัวถังขับเคลื่อนล้อหน้า UKL แบบเดียวกับ X1 แต่ถูกออกแบบให้สวย
และดูโฉบเฉี่ยวขึ้น พูดง่ายๆคือ เป็นเวอร์ชัน Coupe ของ X1 เหมือนกับที่
X6 เป็นเวอร์ชัน Coupe ของ X5 นั่นเอง

ปี 2018 Z4 ใหม่ จะพร้อมเผยโฉมสู่สายตาชาวโลก อันที่จริง ตลาดกลุ่มนี้
เริ่มมียอดขายลดลงเรื่อยๆ แต่ในเมื่อ Mazda กับ Mercedes-Benz ยังคง
ไม่เลิกทำรถเปิดประทุนขนาดเล็ก Roadster ออกมาขาย BMW เองก็เลย
ไม่อยากเสียลูกค้าไป แต่คราวนี้ พวกเขาจะเลิกทำหลังคาแข็งพับด้วยไฟฟ้า
แล้วหันกลับไปคบหลังคาแบบผ้าใบแทน เพราะวิศวกรต้องการให้น้ำหนัก
เบา จุดศูนย์ถ่วงต่ำลง และเพิ่มเนื้อที่ในห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายมากขึ้น
ขุมพลังของรุ่นหลัก จะเป็นแบบ 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร TwinPower Turbo
มีกำลังตั้งแต่ 300 – 444 แรงม้า (PS) ในรุ่นแรงสุดอย่าง Z4M นอกจากนี้
ยังมีโอกาสที่จะได้ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbo
มาใช้ในรุ่นล่างๆ แต่ที่แน่ๆคือไม่มีรุ่น Plug-in Hybrid เนื่องจากขัดกับ
ปรัชญาการออกแบบรถสปอร์ตขนาดเล็ก

ส่วน ซีรีส์ 6 จะถูกยุติบทบาทไป เพื่อแทนที่ด้วย ซีรีส์ 8 ซึ่งกลับมาอีกครั้ง
หลังจากหายหน้าไปตั้งแต่ ปลายทศวรรษ 1990 ด้วยหตุผลว่า ต้องการจะ
ยกระดับตัวรถขึ้นไปให้เป็น ซีรีส์ 7 ตัวถัง Coupe และเปิดประทุน อย่าง
เต็มตัวมากกว่าที่เป็นอยู่ อีกทั้งยังต้องมีเบาะหลังสบายขึ้น น้ำหนักเบา
ดังนั้น ซีรีส์ 8 จึงอาจเป็น BMW รุ่นสุดท้ายที่ใช้พื้นตัวถัง CLAR ซึ่งใช้
อยู่ใน ซีรีส์ 5 รุ่น G30 และซีรีส์ 7 รุ่นปัจจุบัน

MINI_Countryman_2017

ข้ามมาดูฝั่ง MINI แบรนด์รถนต์คันเล็ก ที่ BMW ซื้อมาตั้งแต่ปี 1994
ยุคที่ยังเป็นเจ้าของ Rover Group กันบ้าง ปี 2016 ถือเป็นปีแห่งการ
เดินหน้าทำตลาดต่อเนื่อง จาก 2 ปีที่ผ่านมา คราวนี้จะถึงเวลาที่ MINI
ต้องเปิดตัว All New Countryman ในประเทศไทย

การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ เน้นไปที่ขนาดที่ใหญ่โตขึ้นในทุกมิติ ส่งผลให้
ห้องโดยสาร และ พื้นที่บรรทุกสัมภาระมีมากขึ้น

สำหรับโครงสร้างพื้นฐานของ F60 จะใช้ UKL Platform พื้นตัวถังสำหรับ
รถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าขนาดเล็ก แบบเดียวกับ MINI ตัวถัง Hardtop,
Clubman และ Convertible รุ่นล่าสุด รวมไปถึง BMW X1 F48 ด้วย

ในตลาดโลก Countryman ใหม่ มีขุมพลังให้เลือก ถึง 5 แบบ ที่สำคัญ
เป็นครั้งแรกสำหรับ MINI ที่จะมีรุ่น Plug-in Hybrid สำหรับรายละเอียด
ต่างๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมในเบื้องต้นได้ที่นี่
http://www.headlightmag.com/news-2017-mini-countryman-f60/

การเปิดตัวจะมีขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่งาน Bangkok International Motor Show
เดือนมีนาคม 2017 นี้ โดยจะเป็นรุ่นนำเข้าทั้งคันก่อนในช่วงแรก ส่วนรุ่น CKD
ประกอบในไทย น่าจะเจอกันได้ ช่วงปลายปี 2017 เป็นอย่างเร็วที่สุด

——————————————————-

Chevrolet_Equinox_2018

CHEVROLET
2017 : No New Cars!!
2018 : Equinox???
2019 – 2020 : Colorado / Trailblazer “Next Generation”

ช่วงปี 2014 – 2015 GM Thailand โดนกระหน่ำด้วยวิกฤติการณ์ความเชื่อมั่น
ของลูกค้าที่มีต่อคุณภาพของตัวรถยนต์ โดยเฉพาะกรณีระบบเกียร์อัตโนมัติ
ใน Chevrolet Cruze ส่งผลให้ยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง โชว์รูมและศูนย์
บริการ หลายแห่งต้องปิดตัวลงไป สภาพการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่
GM ต้องกลับมาทบทวนกลยุทธ์การบุกตลาด ASEAN ใหม่ทั้งหมด

พวกเขาเริ่มต้นด้วยการปิดโรงงานผลิต Minivan Chevrolet Spin ที่ Bekasi
ใน Indonesia แต่ยังคงทำตลาดอยู่ที่นั่น โดยเหลือรถยนต์เพียง 3 รุ่นเท่านั้น
ได้แก่ Mini SUV รุ่น Trax , Captiva โฉมเดียวกับเมืองไทย และ Orlando
Minivan 7 ที่นั่ง เนื่องจาก Spin มียอดขายที่ล้มเหลว เพราะตัวรถออกแบบ
มาจาก ทาง Brazil ซึ่งไม่ได้ให้ความสำคัญกับตลาด Indonesia อันเป็นเจ้า
ตลาด Minivan 7 ที่นั่ง เท่าที่ควร

ในบ้านเรา GM ตัดสินใจ ลดขนาดองค์กร ตลอดช่วงปี 2015 – 2016 ทำให้
ต้องย้ายออฟฟิศ บนอาคาร รสา ถนนพหลโยธิน จากตึกหน้า ไปยังตึกหลัง
ซึ่งมีค่าเช่าถูกกว่า ลดค่าใช้จ่าย ลดจำนวนพนักงาน ให้เหมาะสมกับรายได้
และรายจ่าย รวมทั้งตัดสินใจ ลดจำนวนรุ่นรถยนต์ลง ยุติการผลิตรถยนต์
B-Segment รุ่น Sonic ไป ด้วยเหตุผลที่ว่า ยิ่งประกอบขายต่อ ต้นทุนจะยิ่ง
แพงขึ้นมาก จนไม่เหลือกำไรต่อคันตามที่ตั้งเป้าให้ตัวรถอยู่รอดตลอดอายุ
ในตลาดต่อไปได้

ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังตัดสินใจ ไม่นำรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ๆ เข้ามาขาย
อีกต่อไป โดย C-Segment Sedan รุ่น Cruze ที่เพิ่งปรับโฉม Minorchange
ครั้งสุดท้าย เมื่องาน Motor Expo 2015 จะยังคงลากขายต่อไปอีกสักพัก
ก่อนจะยุติการผลิตไปในช่วงปี 2017

ส่วน Captiva ก็จะมีชะตากรรมไม่ต่างกัน คือถูกลากผลิตขายไปเรื่อยกัน
จนโดนล้อว่า “Captiva รุ่นแซยิด” เช่นนี้ ไปจนกว่าจะยุติบทบาทในอีก
ราวๆ 2 ปีข้างหน้า โดยจะไม่มีรุ่นใหม่ เข้ามาประกอบขายในบ้านเราอีก!

เท่ากับว่า นับแต่นี้ GM จะมุ่งทำตลาดเฉพาะ รถกระบะ Colorado และ SUV
บนเฟรมแชสซีส์จากรถกระบะอย่าง Trailblazer เท่านั้น เพราะทั้ง 2 รุ่นนี้
มีฐานการผลิตทั่วโลกที่ประเทศไทย และ GM เองก็ทุ่มทุนสร้างกับโรงงาน
ของตนที่จังหวัดระยองไปมากโข ล่าสุด พวกเขาเพิ่งเปิดตัวรุ่นปรับโฉม
Minorchange ครั้งใหญ่ ให้กับ 2 พี่น้องคู่หู ตลอดปี 2016 ไปแล้ว เริ่มจาก
การนำรถต้นแบบ มาอวดโฉมในงาน Bangkok International Motor Show
เมื่อเดือนมีนาคม 2016 จากนั้น ค่อยเปิดตัว เวอร์ชันขายจริงของ Colorado
ออกมาก่อน เมื่อ 28 เมษายน 2016 แล้วจึงเริ่มปล่อยออกสู่ตลาดจริงอีกเมื่อ
22-24 กรกฎาคม 2016 ส่วน Trailblazer รุ่นปรับโฉมตามออกมาเมื่อวันที่
20 สิงหาคม 2016

นับจากนี้ไป อนาคตของ GM Thailand จะต้องฝากไว้กับ 2 ศรีพี่น้อง คู่หู
กระบะ / SUV/PPV กันแล้ว ว่าการปรับทัพครั้งล่าสุด รวมทั้งความพยายาม
ในการปลดโชว์รูมและศูนย์บริการเจ้าปัญหา ออกจากสารระบบ เพื่อรักษา
ตัวแทนจำหน่ายที่ดีๆ เอาไว้ จะช่วยให้สถานการณ์ในระยะยาวของ GM
Thailand ดีขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน เพราะนับจากนี้ พวกเขาจะแทบไม่มี
รถยนต์รุ่นใหม่ แบบ Full ModelChange มาให้เราเห็นกันอีกอย่างน้อยๆ
ก็ 2 ปี

สำหรับ Colorado / Trailblazer รุ่นต่อไปนั้น ตอนนี้เพิ่งจะอยู่ในระหว่าง
เริ่มต้นโครงการพัฒนารอบใหม่ หลังจากตัดสินใจแยกทางกับพาร์ทเนอร์
ดั้งเดิมอย่าง Isuzu (ซึ่งดันหันไปจับมือกับ Mazda แทน!) เท่ากับว่า กว่าที่
เราจะได้เห็น Colorado / Trailblazer รุ่นต่อไป ที่มีบุคลิกเป็นตัวเองมาก
ยิ่งขึ้น น่าจะต้องรอไปจนถึงปี 2019 – 2020

เหตุผล ที่ผู้บริหารของ GM แถลงไว้ในการ แยกทางกับ Isuzu ก็คือ
“เนื่องด้วยการแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน ทำให้ GM ต้องการสร้างรถ
กระบะให้มีเอกลักษณ์ในแบบของตนเอง มากขึ้น พวกเราต้องการจะ
ฉีกหนี แนวทางการทำธุรกิจให้ต่างจากค่ายญี่ปุ่นอย่างชัดเจน ไม่ว่า
จะเป็น Isuzu, Toyota, Mitsubishi ดังนั้นแนวทางการพัฒนาตัวรถ
จึงต้องต่างออกไปด้วยเช่นกัน ทำให้ต้องยุติความสัมพันธ์ในครั้งนี้ลง”

ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ๆ นอกเหนือจากนี้ พวกเขากำลังอยู่ในระหว่างศึกษา
ความเป็นไปได้ ในการนำเข้า Chevrolet Equinox รุ่นใหม่ล่าสุดมาจาก
โรงงานใน Mexico ซึ่งเป็นฐานผลิตเดียวของ SUV รุ่นนี้ เข้ามาจำหน่าย
ในเมืองไทย แต่ดูเหมือนว่า หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะว่า
ไทยกับ Mexico ยังไม่ได้ทำข้อตกลงการค้ากัน ดังนั้น ภาษีนำเข้ารถยนต์
จาก Mexico จึงยังแพงอยู่ ไม่ต่างกับการนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐอเมริกา
ซึ่งถ้านำเข้ามาจริงๆ น่าจะทำให้ค่าตัวของ Equinox ในบ้านเรา ทะลุหลัก
2 ล้านบาท ไปไกลโข จนอาจไม่เหลือลูกค้าอีกเลยก็เป็นได้

——————————————————-

Ferrari_GT4_Lusso

FERRARI
2017 : F12 Minorchange /All New California

ปี 2016 ที่ผ่านมา ค่ายม้าลำพอง ภายใต้การดูแลโดย Cavalino Motor
เพิ่งจะเปิดตัว Ferrari GTc4Lusso T ในประเทศไทย เมื่อ 21 พฤศจิกายน
2016 ที่ผ่านมา โดยมีให้เลือกทั้งรุ่นเครื่องยนต์ V8 Turbo Downsizing
610 แรงม้า (PS) และรุ่น V12 สูบ 6,292 ซีซี 690 แรงม้า (PS) ตั้งราคา
25,060,000 บาท

อย่างไรก็ตาม อีก 2 รุ่นที่มีกำหนดเปลี่ยนโฉมในตลาดโลก สำหรับปี 2017
นี้ คือ F12 Berlinetta รุ่นปรับโฉมใหม่ Minorchange รวมทั้ง รถสปอร์ต
เปิดประทุน California ที่เน้นทำตลาดในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะ

คาดว่า California ใหม่ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังของ Maserati Alfieri
และใช้ขุมพลัง V8 Turbo วางหน้ารถ ขับเคลื่อนล้อหลัง แบบ FR กำหนด
เปิดตัวในปี 2017-2018 ถ้านับอายุตลาดของรุ่นปัจจุบันแล้ว ถือว่า เปลี่ยน
รูปโฉมเร็วพอๆกับรถญี่ปุ่นเลยทีเดียว

นอกจากนี้ ในวระฉลองครบรอบ 70 ปี ของ Ferrari พวกเขาจะทำรถรุ่นพิเศษ
ในแต่ละรุ่น รุ่นละ 70 คัน มีทั้ง 488 coupe & spider, California T,  GTC4
Lusso,และ F12Berlinetta รวมทั้งสิ้น 350 คัน ส่งกระจายไปยังู้จำหน่ายใน
ทวีปต่างๆทั่วโลก ตามโควต้า จำนวนจำกัด อีกด้วย

——————————————————-

Ford_Mustang_2016

FORD
2017 : Mustang ?
2018 : Ranger Minorchange / Everest Minorchange
2019 : Fiesta for ECO Car Phase 2 ?

สถานการณ์ของ Ford เอง ถือว่าดีกว่า เพื่อนร่วมชาติชาวอเมริกัน
อย่าง GM / Chevrolet อยู่สักหน่อย เพราะต่อให้จะมีเสียงก่นด่า
จากลูกค้าในเรื่องบริการหลังการขาย และปัญหา Defect ที่เกิดจาก
เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Dual Clutch Power Shift (หาย) ในลูกค้า
ที่ซื้อ Fiesta , Focus และ EcoSport มากแค่ไหน แต่ลูกค้ากลุ่ม
ที่ใช้รถกระบะ ยังคงอุดหนุน Ranger Minorchange ที่เพิ่งคลอด
เมื่อปลายปี 2015  รวมทั้งรุ่น FX4 กลางปี 2016 อย่างเหนียวแน่น
ส่งผลให้ ยอดขายรถกระบะ Ford พุ่งขึ้นมายืนอยู่ในอันดับ 3 ได้
อย่างไม่ยากเย็นนัก

เมื่อ 2 ปีก่อน เราพูดถึงเรื่อง Surprise ไว้ว่า Ford Sales Thailand
มีแนวคิดอยากจะสั่ง Ford Mustang สุดยอด Pony Car จากโรงงาน
ใน เมือง Flatrock มลรัฐ Michigan สหรัฐอเมริกา ข้ามน้ำข้ามทะเล
มาเปิดตัวในเมืองไทย ยั่วกิเลสเศรษฐีบ้านเรากันเล่นๆ

จนถึงวันนี้ เวลาผ่านไป ความคืบหน้ากลับไม่โผล่ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
ปล่อยให้บรรดาพ่อค้ารายย่อย Grey Market หลายราย ชิงตัดหน้า สั่ง
นำเข้ารถมาจากประเทศในแถบเอเซีย ขายบรรดาไฮโซใจร้อน ไปจน
เกือบจะหมดแล้ว

กระนั้น เสียงพูดคุยในออฟฟิศของ Ford เรื่อง Mustang ยังไม่จางหาย
พวกเขามองว่า ถ้าจะมาทั้งที รอตัวปรับโฉม Minorchange แล้วค่อย
สั่งรถเข้ามาขายทีเดียวเลยดีกว่า

Mustang รุ่นล่าสุด ถือเป็นรุ่นที่ 6 เปิดตัวมาตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2013
พร้อมกันทั้ง 6 เมืองใหญ่ทั่วโลก เป็นการประกาศว่า Mustang รุ่นนี้ จะ
ถูกส่งออกไปจำหน่ายถึง 140 ประเทศ ใน 6 ทวีป ทั่วโลก และกลายเป็น
1 ใน Global Model ของ Ford อย่างแท้จริง ร่วมกับพี่น้องอย่าง Fiesta,
Focus, Mondeo, Ranger และ Everest

Mustang ใหม่ มีตัวถังยาว 4,782 มิลลิเมตร กว้าง 1,915 มิลลิเมตร สูง
1,379 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,720 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า/
หลัง อยูที่ 1,584 และ 1,653 มิลลิเมตร มีขุมพลังให้เลือก 4 ความแรง
เป็นแบบเบนซิน ทั้งหมด เริ่มด้วย บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,253
ซีซี. EcoBoost Turbocharger Direct Injection (GTDi) 310 แรงม้า
(HP) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 433 นิวตัน-เมตร (44.1 กก.-ม.)
ที่ 3,000 รอบ/นาที ตามด้วยบล็อก V6 DOHC 24 วาล์ว 3,719 ซีซี.มี
ระบบแปรผันวาล์ว Ti-VCT 300 แรงม้า (HP SAE) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 379 นิวตัน-เมตร (38.6 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที และ
แรงสุดด้วยบล็อก V8 DOHC 32 วาล์ว 4,948 ซีซี พร้อมระบบแปรผัน
วาล์ว Ti-VCT 435 แรงม้า (HP) ที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 542
นิวตัน-เมตร (55.2 กก.-ม.) ที่ 4,250 รอบ/นาที

และรุ่นแรงสุด Shelby GT350 มาพร้อมขุมพลัง V8 DOHC 32 วาล์ว
4,948 ซีซี Flat Plane Crank แรงขึ้นเป็น 526 แรงม้า (HP) ที่ 7,500
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 581 นิวตัน-เมตร (59.2 กก.-ม.) ที่ 4,750
รอบ/นาที ทุกรุ่นเลือกได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรืออัตโนมัติ
Select Shift 6 จังหวะ พร้อมแป้น Paddle Shift หลังพวงมาลัย
(Option) ยกเว้น GT350 และ GT350R ที่จะมีเฉพาะเกียร์ธรรมดา
6 จังหวะ แบบมาตรฐาน และแบบ TREMEC

หากมีการนำเข้ามาจริงๆ คาดว่า เวอร์ชันไทย คงจะได้เครื่องยนต์ แบบ
4 สูบ 2.3 ลิตร EcoBoost Turbo และ ขุมพลัง V8 5.0 ลิตร ค่อนข้างจะ
แน่นอน เพราะเครื่องยนต์ V6 ถูกจำกัดไว้ทำตลาดเฉพาะอเมริกาเหนือ
เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความไม่แน่นอน ว่า Mustang จะมาบ้านเรา ทัน
ปี 2017 นี้หรือไม่ เพราะมิเช่นนั้น เท่ากับว่า ปี 2017 นี้ Ford จะแทบ
ไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่เปิดตัวในบ้านเราเลย!

สำหรับ รถกระบะ Ranger และ Everest นั้น Ford ตั้งเป้ายอดขายไว้สูง
มหากาฬมากๆ จนคนข้างในเอง ยังหวั่นใจว่าจะทำได้ถึงหรือเปล่า? ปีนี้
อาจมีอย่างมากสุดแค่รุ่นย่อยพิเศษกระตุ้นตลาดเล็กๆน้อยๆ นอกนั้น จะ
ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้นอีก จนกว่าจะถึงปี 2018 ซึ่งน่าจะถึง
เวลาปรับโฉม Minorchange ครั้งใหม่กันอีกรอบ

Ford_Fiesta_2017

ขณะเดียวกัน โครงการ ECO Car ที่ Ford สนใจจะลงทุนนั้น เป็นไปได้สูง
ว่า Ford คงไม่เอารถยนต์จากอเมริกากลาง อย่าง Fico มาผลิตขายเป็น
ECO Car ราคาประหยัดแล้ว พวกเขามองว่า ทางเลือกที่ดีกว่าก็คือ การ
นำ Fiesta ใหม่ มาวางเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.0 ลิตร EcoBoost แล้ว
จับเข้าร่วมขอรับสิทธิพิเศษตามโครงการดังกล่าวไปเลย จะง่ายกว่า!

Fiesta ใหม่ เจเนอเรชันที่ 6 เพิ่งเผยโฉม ครั้งแรกในโลก เมื่อวันที่ 30
พฤศจิกายน 2016 ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ ด้วยรูปลักษณ์ที่ปรับปรุงจากเดิม
ให้ดูภูมิฐาน และ Premium มากขึ้นกว่าเดิม แบ่งการตกแต่งออกเป็น
4 สไตล์ ทั้งรุ่น Titanium มาตรฐาน , Vignale เวอร์ชันหรูหราขึ้นมาก
, ST-Line เน้นบุคลิกแนวสปอร์ต และ Active Crossover เวอร์ชัน
ยกสูงตามเทรนด์

จุดเด่นที่มีการเปิดเผยในเบื้องต้นนั้น มีทั้ง ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ซึ่งจะ
ประกอบด้วยกล้อง 2 ตัว, เรดาร์ 3 จุดและเซนเซอร์ Ultrasonic 12 จุด
รอบคันรถ มีระยะสำรวจในระยะ 130 เมตร ช่วยเป็นหูเป็นตาให้แก่ระบบ
ช่วยเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะที่สามารถหยุดรถ
ทันทีถ้าหากผู้ขับขี่ไม่ตอบสนองต่อคำแนะนำของระบบ ฟังก์ชันอ่าน
ป้ายจราจรในหลายย่านความเร็ว แม้แต่ป้ายบนไฮเวย์, ระบบเชื่อมต่อ
Infotainment SYNC3 กับ Smart Phone และเครื่องเสียง Premium
ของ Bang & Olufsen Play System ลำโพง 10 ตัว กำลังขับ 675 วัตต์

เครื่องยนต์มีให้เลือก 5 ระดับความแรง เริ่มจากรุ่นประหยัด เบนซิน 3 สูบ
DOHC 12 วาล์ว 1.1 ลิตร ที่ใช้โครงสร้างร่วมกับขุมพลัง 1.0 EcoBoost
มีให้เลือกทั้ง 70 และ 85 แรงม้า (PS) เชื่อมเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ

ขุมพลังหลัก เป็นแบบ เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร Ecoboost
Turbo มีทั้งแบบ 100, 125 และ 140 แรงม้า (PS) จับคู่ด้วยเกียร์ธรรมดา
6 จังหวะ ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ต่ำเพียงแค่ 97 กรัมต่อกิโลเมตร สวนรุ่น
100 แรงม้า (PS) จะเพิ่มเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Dual Clutch Power
Shift ซึ่งดูเหมือนว่า Ford จะยังไม่เข็ดกับเกียร์ลูกนี้ ที่ก่อปัญหากับกลุ่ม
ลูกค้าทั่วโลก ซ้ำซาก!

นอกจากนี้ยังมีเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร TDCi
ทั้ง 85 และ 125 แรงม้า (PS) จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ปล่อยค่าไอเสีย
CO2 ต่ำมากเพียง 89 กรัม/กิโลเมตร

เรายังไม่รู้ว่า เทคโนโลยีมากมายก่ายกองท่วมคันรถยิ่งกว่าเก่าขนาดนี้
เมื่อมาถึงเมืองไทย จะถูกตัดออกไปมากน้อยเพียงใด แต่นั่นยังไม่น่า
สงสัย เท่ากับคำถามที่ว่า Fiesta ใหม่จะมาเมืองไทยได้เมื่อไหร่ เพราะ
จนถึงตอนนี้ Ford กำลังทบทวนแนวทางการทำตลาดในเมืองไทยอยู่
เพราะเข็นรถเก๋งมาหลายปีดีดักแต่ยังไม่เห็นยอดขายดีขึ้นเท่าที่ควร
แถมเจอปัญหาบริการหลังการขาย จากดีลเลอร์แย่ๆของตน มาบั่นทอน
จิตใจลูกค้าอีกต่างหาก หากจะคาดการณ์ ก็คงเดาได้แค่ว่า เราควรจะ
ได้เห็น Fiesta ใหม่ บนโชว์รูม Ford ในเมืองไทย ได้อย่างเร็วที่สุด คือ
ปลายปี 2018 ถึง ต้นปี 2019

——————————————————-

for_city

HONDA
2017 : CITY Minorchange / CIVIC 5 Door / All New CR-V /
: Jazz Minorchange / Mobilio Minorchange
2018 : HR-V Minorchange
2019 : Accord Full Modelchange / Civic Minorchange /
: City Full Modelchange (ECO Car Phase 2?) /
: BRIO Discontinue?

ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Honda ลดความร้อนแรงจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ
ลงไปพอสมควร เพราะหลังจากเปิดตัว Honda CR-V Minorchange เพิ่ม
รุ่น 2.4 ลิตร ขับเคลื่อนล้อหน้า เกียร์ CVT ทำตลาดไปพร้อมๆกับน้องใหม่
อย่าง Honda HR-V ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ 17 พฤศจิกายน 2014 แล้ว ปี 2015
Honda แทบไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่เปิดตัวเลย อาจมีแค่เพียง เผยโฉม BR-V
ล่วงหน้าตั้งแต่เดือนตุลาคม 2015 ก่อนเปิดผ้าคลุมในงาน Motor Expo
2015 แต่กว่าจะเริ่มทำตลาดจริง ก็ปาเข้าไปยังเดือนมกราคม 2016

ส่วนปี 2016 Honda BR-V ในช่วงต้นปี อาจทำยอดขายในระดับไปเรื่อยๆ
เพราะตลาดรถยนต์ 7 ที่นั่งบ้านเรานั้น มียอดสั่งซื้อเข้ามาแบบไม่หวือหวา
แต่เมื่อ Civic Full Modelchange เปิดตัวตามมาติดๆ ในช่วงเดือนมีนาคม
รถยนต์ยอดนิยมรุ่นสำคัญของบ้านเรารุ่นนี้ ก็สร้างกระแส ปรากฎการณ์ให้
เราทุกคน ได้เห็นกันแล้วว่า แท้จริงนั้น ตลาดรถยนต์นั่ง C-Segment ของ
บ้านเราหนะ ยังไม่ตาย ต่อให้ Honda HR-V จะตอดยอดขายจาก Civic
ไปมาก แต่ถ้า Civic ใหม่ ทำสเป็กและราคาออกมาน่าใช้ ลูกค้าก็พร้อมจะ
เปลี่ยนกลับจาก Crossover SUV มาเป็นรถเก๋ง Sedan ได้ตามเดิม ทันที!

นอกนั้น รุ่นอื่นๆ ทั้ง Honda Accord Hybrid ปรับขุมพลังใหม่ ที่ออกมา
งัดข้อกับ Toyota Camry Hybrid ได้สมศักดิ์ศรี จนมียอดขายเพิ่มขึ้นมา
เป็นรองเพียงรุ่น 2.0 ลิตร ปกติ เท่านั้น

ส่วน Brio กับ Brio Amaze แม้จะมีรุ่น Minorchange ออกมาแล้ว ทว่า
ยอดขายของสองพี่น้องคู่หลังเนี่ย ไม่ต้องไปคาดหวังมากนัก ดังนั้นจึง
มีแนวโน้มอยู่ว่า เมื่อถึงปี 2019 ความเป็นไปได้ที่ Brio และ Brio Amaze
จะถูกยุติการผลิตและจำหน่ายในบ้านเรา มีสูงมาก

สำหรับปี 2017 Honda จะกลับมาโหมกระหน่ำเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่กัน
แบบบ้าคลั่งอีกแล้ว ตามแผนทั้งหมดจะมีมากถึง 5 รุ่น !!

ทันทีที่ผ่านพ้นวันหยุดช่วงปีใหม่ Honda จะเริ่มประเดิมปี 2017 ด้วยการ
เปิดตัว Honda City Minorchange ถือเป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่ ให้กับ
B-Segment Sedan ซึ่งขายดีมากสุดในบรรดา Honda ทุกรุ่นซึ่งกำลัง
ทำตลาดในบ้านเรา

ภายนอกจะมีการเปลี่ยนมาใช้ชุดไฟหน้าใหม่ มีไฟ LED Tube Daytime
Running Light มาให้ เปลี่ยนกระจังหน้า เปลือกกันชนหน้า – หลัง ใหม่
ไฟตัดหมอกหน้า แบบ LED และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ลายใหม่

สีตัวถังภายนอก มีสีใหม่ให้เลือก คือ สีน้ำเงิน Cosmic Blue Metallic
เหมือนกับรุ่นพี่ Civic FC (โดยมาแทนที่ สีน้ำเงินสด Brilliant Sporty
Blue Metallic เดิม)

แม้จะยืนหยัดด้วยขุมพลังบล็อกเดิม พร้อมเกียร์อัตโนมัติ CVT ลูกเดิม
แต่การปรับโฉมครั้งนี้ ยืนยันแล้วว่าหน้าตาจะแตกต่างจาก Honda Greiz
เวอร์ชันจีน ที่เปิดตัวในแดนมังกรเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา อย่างแน่นอน

กำหนดการจัดงานแถลงข่าว มีขึ้นในวันที่ 12 มกราคม 2017 และจะส่งขึ้น
โชว์รูม Honda ทั่วประเทศ ทันที

Honda_Civic_5_Door_2017

ย่างเข้าเดือนกุมภาพันธ์ ข่าวดีสำหรับวัยรุ่นวัยแรง ที่เฝ้ารอการมาถึงของ
Civic ตัวถัง Hatchback 5 ประตู คราวนี้ คงได้สมใจกันเสียที เพราะยืนยัน
ได้แล้วว่า จะมีการนำเข้ามาประกอบขายในประเทศไทย ณ โรงงานใหม่
“โรจนะ 2” จังหวัดปราจีนบุรี อย่างแน่นอน โดยจะขึ้นสายการผลิตร่วมกับ
Civic Sedan 4 ประตู

เหตุผลที่ Civic Hatchback สามารถมาแจ้งเกิดในประเทศไทยได้ เพราะ
โรงงาน โรจนะ 2 ถูกมอบหมายให้เป็นฐานการผลิต Civic รุ่นใหม่ เพื่อการ
ส่งออกไปยังประเทศในแถบ Oceania อย่าง Australia กับ New Zealand
ด้วย ซึ่งทั้ง 2 ประเทศนี้ มียอดจำหน่าย Civic Hatchback ในสัดส่วน ที่สูง
มากกว่าตัวถัง Sedan มาตลอดหลายสิบปี ดังนั้น ถ้า Civic ใหม่ ไม่ได้ถูก
ขึ้นสายการผลิตที่ญี่ปุ่นแล้ว จะให้สั่งนำเข้ามาจากยุโรป หรืออเมริกาเหนือ
ต้นทุนจะแพงเอาเรื่อง ดังนั้น ยกมาประกอบที่เมืองไทย ก็จะช่วยประหยัด
ต้นทุนลงไปได้ในระดับหนึ่ง ลูกค้าบ้านเรา ก็เลยพลอยได้อานิสงส์ผลบุญ
จากการแบ่งรถที่ผลิตได้บางส่วน มาจำหน่ายด้วย ไปในตัวนั่นเอง!

ตอนแรก Honda จะเอา Civic Hatchback 5 ประตู มาขึ้นแท่นอวดโฉมใน
งาน Motor Expo เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2016 ที่ผ่านมา แต่จากสถานการณ์
บ้านเมือง และตลาดรถยนต์ที่ยังโศกเศร้าไม่สร่างซา หลังการสวรรคตของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทำให้ Honda ตัดสินใจ เลื่อน
การเปิดตัว ไปเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แทรกคิวตรงกลาง ระหว่าง City
Minorchange และ CR-V แทน

Civic Hatchback 5 ประตู เวอร์ชันไทย จะมีทางเลือกขุมพลังให้เลือกแค่
เพียงแบบเดียว นั่นคือเครื่องยนต์ L15B7 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1,496 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 73.0 x 89.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.6 : 1
พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VTEC (แบบ Dual VTC แปรผันโดยหมุนแท่ง
แคมชาฟท์ ทั้งฝั่งไอดีและฝั่งไอเสีย) กับระบบอัดอากาศ Turbocharger
กำลังสูงสุด 173 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 22.41 กก.-ม. ที่
1,700 – 5,500 รอบ/นาที แต่ปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดอ็อกไซด์ ต่ำลงมาก
เพียง 132 กรัม/กิโลเมตร ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro IV แต่รองรับน้ำมัน
แก็สโซฮอลล์ แค่ระดับ E20 เหมือนรุ่น Sedan

ด้วยต้นทุนที่แพงกว่ารุ่น Sedan ค่อนข้างมาก ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าราคา
ของ Civic Hatchback 5 ประตู จะถูกนัก มันอาจจะแพงขึ้น จากรุ่น Top
1.5 Turbo RS CVT 1,199,000 บาท ไปอีกมากโข แต่ไม่น่าจะเกินกว่า
1,299,000 บาท กระนั้น ออพชันที่ให้มา ก็ถือว่า พอฟัดเหวี่ยงกับตัวถัง
Sedan โดยเฉพาะใครที่อยากได้ชุดไฟหน้าสเปกตัวท็อปของเวอร์ชัน
อเมริกาเหนือ คงสมใจอยากแน่ๆ

พูดกันตามตรงคือ งานนี้ Honda เอา Civic Hatchback 5 ประตู เข้ามา
ประกอบขายในบ้านเรา เพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้า เฉพาะกลุ่ม ที่เรียกร้องว่า
อยากได้ Civic ตัวถังอื่น เอาไว้ไปขับซิ่ง แต่งต่อ ดังนั้น จึงไม่ซีเรียสกับ
ตัวเลขยอดขายมากนัก เพราะกว่าจะได้มาขายนี่ ก็น่าจะหืดขึ้นคอแล้ว
ถ้าเป็นยุคอดีต ก็คงต้องเทียบกรณีนี้กับ Mazda 323 ASTINA ในช่วง
เดือนมีนาคมปี 1990 หรือ Toyota Soluna Vios Turbo เมื่อปี 2004
นั่นเอง!

ย้ำกันอีกทีว่า กำหนดการเปิดตัว จะเกิดขึ้นในช่วง ต้นเดือนกุมภาพันธ์
2017 ที่จะถึงนี้

Honda_CR_V_2017

เสร็จจากงานเปิดตัว Civic Hatchback แล้วคนของ Honda จำเป็นต้อง
รีบเตรียมงานเปิดตัว CR-V ใหม่ 5th Generation Full Modelchange
แทบจะในทันที

ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ CR-V ใหม่ คราวนี้ คืออาจมีการยกเลิก
รุ่นเครื่องยนต์ เบนซิน 2.0 ลิตร ทั้งหมด แต่จะยังมีเครื่องยนต์รุ่นเบนซิน
2.4 ลิตร เอาไว้ตามเดิม ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าประหยัดน้ำมันเท่ากัน ปล่อย
ไอเสีย พอๆกัน แต่ได้กำลังมากกว่า ขายในราคาแพงกว่าเดิมนิดเดียว
ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับลูกค้ามากกว่า

อย่างไรก็ตาม สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ตัว Top นั้น ถึงแม้ว่าเวอร์ชันอเมริกา
จะได้ใช้เครื่องยนต์ L15 เบนซิน 4 สูบ DOHC 1.5 ลิตร Turbo ที่ปรับจูน
ให้แรงขึ้นเป็น 190 แรงม้า (PS) แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้สูงมากว่า ลูกค้า
ชาวไทย อาจได้สัมผัสกับเครื่องยนต์ Diesel Turbo ในเวอร์ชันยุโรป

ดังนั้น เราคงต้องมาลุ้นกันต่อว่า Honda จะเลือกวางเครื่องยนต์ CR-V
ใหม่ รุ่น Top เป็นแบบไหนกันแน่ ระหว่าง เบนซิน 1.5 ลิตร Turbo
หรือ Diesel Turbo

เพราะหาก Honda เลือกนำขุมพลัง Diesel Turbo เข้ามาจริงๆแล้วละก็
นั่นเท่ากับว่า CR-V ใหม่ จะสร้างปรากฎการณ์ครั้งแรกในประเทศไทย ที่
Honda นำเครื่องยนต์ Diesel มาวางลงในรถยนต์นั่งที่จำหน่ายในบ้านเรา!
(เสียที)

กำหนดการเปิดตัว อยู่ในช่วง เดือน มีนาคม 2017 ก่อนจะส่งเข้าไปจอด
อวดโฉมรับยอดจอง ในงาน ฺBangkok International Motor Show
ปลายเดือนเดียวกัน ด้วยค่าตัวที่คาดว่าน่าจะถูกกว่า หรือใกล้เคียงกับ
Honda Accord โฉมปัจจุบัน ตามเคย

เว้นว่างไปจนถึงช่วงกลางปี คิวหมายเลข 4 ของ Honda ในปีนี้จะเผยโฉม
นั้นคือ Jazz Minorchange คาดว่าจะมีการอัดออพชันมาให้ในระดับเท่าๆ
Honda City Minorchange อย่างไรก็ตาม ยืนยันอย่างเป็นทางการว่ายัง
ไม่มีรุ่น Jazz Hybrid เข้ามาด้วยอย่างแน่นอน เพราะโครงการดังกล่าว ถูก
ระงับ ไปตั้งแต่ปี 2015 แล้ว

คิวสุดท้ายของ Honda ในปีนี้ จะตามมาหลังจาก Jazz Minorchange สัก
พักใหญ่ๆ รุ่นปรับโฉม Minorchange ของ Honda Mobilio ก็จะตามมา
กระนั้น เราคงต้องรอดูรูปโฉมจากเวอร์ชัน Indonesia ที่จะเปิดตัวก่อนไทย
ในช่วงต้นปี 2017 ว่าจะมีรูปลักษณ์ หน้าตา และภายใน เช่นใด เพราะรุ่นที่
จะนำมาเปิดตัวในเมืองไทย ก็ยกเวอร์ชัน Indo มาประกอบขายในบ้านเรา
ไม่ผิดเพี้ยนเลยนั่นแหละ!

เห็นปี 2017 Honda กระหน่ำ เปิดตัวรถใหม่ ถี่ยิบขนาดนี้ ทว่า พอเข้าสู่
ปี 2018 พวกเขาจะแทบไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่มาให้ได้เห็นกันเลย เต็มที่สุด
ก็คงจะเป็นเพียงแค่ การปรับโฉม Minorchange ให้กับ Crossover SUV
รุ่นขายดีสุดของตนในบ้านเราตอนนี้ อย่าง HR-V เมื่อถึงตอนนั้น ต้องรอดู
กันว่า ปัญหา Defect ต่างๆ ที่ลูกค้าในรุ่นปัจจุบันเผชิญกันอยู่ จะได้รับการ
แก้ไขปรับปรุงจนเรียบร้อยแล้วหรือยัง กำหนดเปิดตัว คาดว่าจะอยู่ในช่วง
ไตรมาสแรกของปี 2018

Honda_Accord_2019

แต่ใครที่ถามถึง รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange ของ Accord ใหม่นั้น
ต้องบอกว่า “รอไปยาวๆ” เพราะเวอร์ชันอเมริกาเหนือเอง ก็จะยังไม่เปิดตัว
จนกว่าจะถึงปลายปี 2017 แต่อาจต้องใช้เวลานานกว่าปกติในการข้ามมา
เตรียมการประกอบที่เมืองไทย เพราะคราวนี้ ฐานการพัฒนา Accord ใหม่
ก็ถูกย้ายไปอยู่ที่ Honda R&D ใน Ohio สหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับ Civic
รุ่นล่าสุด เป๊ะ! ดังนั้น กว่าที่ Accord ใหม่ จะพร้อมเปิดตัวในบ้านเรา คงจะ
ต้องรอกันไปนานถึงปี 2019!!

ขณะเดียวกัน ใครที่คิดจะรอให้ Civic รุ่นนี้ปรับโฉม Minorchange หรือ
รอให้ City เปลี่ยนโฉมใหม่ Full Modelchange ก็คงต้องบอกว่า อาจรอ
กันยาวๆ ไปถึงปี 2019 เลยทีเดียว

จากการคาดการณ์ของผู้เขียน City รุ่นเปลี่ยนโฉม Full ModelChange
ในปี 2019 อาจมีแนวโน้มว่าน่าจะถูกจับลดขนาดเครื่องยนต์ ให้เหลือแค่
เบนซิน 1.3 ลิตร แล้วถูกจับเข้าร่วมโครงการ ECO Car Phase 2 ดังนั้น
ได้แต่ฝากทาง Honda ไปด้วยว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง กำลังเครื่องยนต์
เบนซิน 1.3 ลิตร จะต้องสูงกว่า 100 – 105 แรงม้า และต้องผ่านมาตรฐาน
มลพิษ ต่ำกว่า 100 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากมากๆ มิเช่นนั้น
จะขายในราคาเดิมหรือถูกลง คงเป็นไปไม่ได้ เพราะลูกค้าในกลุ่มที่ซื้อ
City ในปัจจุบัน ยังคาดหวังความแรงในการเดินทางไกลอยู่ อีกทั้งหาก
มองย้อนกลับไป Honda เอง ก็เคยมีบทเรียนมาล้วกับการลดความแรง
ของ City รุ่นปี 2002 – 2003 ลงจาก 120 เหลือ 88 แรงม้า (PS) ว่ามัน
ส่งผลต่อยอดขายตอนนั้นอย่างไร ดังนั้น ถ้าอยากรักษา Momentum
ด้านยอดขาย และส่วนแบ่งตลาด ในช่วงปี 2019 – 2022 ต้อง”คิดให้ดีๆ”

ท้ายสุดนี้ ใครก็ตามที่ถามไถ่ว่า Honda Freed จะกลับมาขายในบ้านเรา
หรือไม่? ขอยืนยันให้เลยว่า จนถึงวันปิดต้นฉบับ (31 ธันวาคม 2016) นั้น
ทาง Honda Automobile (Thailand) ยังไม่มีแผนการนำเข้า Freed รุ่น
ใหม่ล่าสุด มาทำลาดในเมืองไทย ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมาในรูปรถนำเข้าทั้งคัน
จากประเทศเพื่อนบ้าน หรือ นำมาขึ้นสายการประกอบที่บ้านเราก็ตาม

แหงละ ตอนเปิดตัว เล่นตั้งราคาไว้ซะสูงลิ่ว จนขายไม่ออก จึงค่อยมาเริ่ม
ปรับออพชัน เพิ่มรุ่นย่อย ยอดขายจึงเริ่มเดินไปได้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นดีเด่นนัก
ประคับประคองตัวให้ขายได้จนหมดเกลี้ยง นั่นก็บุญโขแล้ว

——————————————————-

Hyundai_Tucson_2017

HYUNDAI
2017 : All New TUCSON

หลังการเสียชีวิตของแม่ทัพคนไทยอย่าง พี่อุ๋ย สฤษฎร์พร สกลรักษ์ ในช่วง
กลางปี 2015 ทำให้ Hyundai Motor (Thailand) ถึงกับชะงักงันไปพักนึง
ความเคลื่อนไหวต่างๆที่เคยมี ก็เงียบหายไปนาน

หลังจากการปรับเปลี่ยนหน้าที่ในการทำงานภายในองค์กร ของทั้งผู้มาใหม่
และผู้ที่ทำงานมาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่า Hyundai น่าจะพร้อมแล้วที่จะเริ่ม
กลับมาเดินหน้า ส่งรถยนต์รุ่นใหม่ ออกสู่ตลาดบ้านเราอีกครั้ง

ดังนั้น ในปี 2017 Hyundai จะมีน้องใหม่ มาให้ลูกค้าชาวไทยได้เลือกซื้อ
เป็นเจ้าของ กันเพียงรุ่นเดียวนั่นคือ Hyundai Tucson โฉมใหม่ล่าสุดที่
เพิ่งเปิดตัวในตลาดต่างประเทศไปเมื่อไม่นานมานี้ โดย Hyundai เพิ่งจะ
หยั่งเชิงปฏิกิริยาของลูกค้า ด้วยการนำมาอวดโฉม ณ งาน Motor Expo
เมื่อ 1 ธันวาคม 2016 ที่ผ่านมา

ในตลาดโลก Tucson ใหม่จะมีเครื่องยนต์ให้เลือก มากถึง 4 แบบ ทั้งรุ่น
เบนซิน 2.0 ลิตร MPi 155 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
19.6 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที ตามด้วย เบนซิน 2.0 GDi 164 แรงม้า
(PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.7 กก.-ม.ที่ 4,700 รอบ/นาที
แรงสุดกับรุ่นเบนซิน 1.6 T-GDi (Turbo) 177 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/
นาที แรงบิดสูงสุด 27.0 กก.-ม.ที่ 1,500 ~ 4,500 รอบ/นาที

แต่สำหรับเวอร์ชันไทย จะได้ใช้ขุมพลังตัวแรงสุด Diesel Turbo 2.0 ลิตร
CRDi 185 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 41.0 กก-ม.ที่
1,750 ~ 2,750 รอบ/นาที เชื่อมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

Tucson เวอร์ชันไทย จะถูกนำเข้ามาจากโรงงาน ของ Tan Chong Group
ในมาเลเซีย และจะมีกำหนดการเปิดตัว ณ งาน Bangkok International
Motor Show ปลายเดือนมีนาคมนี้ ด้วยค่าตัวในระดับเดียวกับคู่แข่งร่วม
พิกัด นั่นคือ อาจจะอยู่ในช่วงระหว่าง 1.4 – 1.8 ล้านบาท

ปัญหาของ Hyundai ในตอนนี้ ก็คือ พวกเขายังไม่มีแผนตั้งโรงงานประกอบ
รถยนต์ในเมืองไทยสักที ดังนั้นจึงต้องพึ่งพาการสั่งนำเข้ารถยนต์ จากโรงงาน
ในต่างประเทศ ซึ่งทำให้เราไม่มีอิสระมากพอในการสั่งอุปกรณ์ติดรถตามใจ
คนไทยได้เท่าที่ควร ต้องเลือกตาม รูปแบบที่โรงงานกำหนดมาให้

ตราบใดที่สำนักงานใหญ่ในเกาหลีใต้ ยังไม่เห็นความสำคัญของตลาดบ้านเรา
สถานการณ์ของ Hyundai ก็คงอยู่ในระดับประคับประคองตัวไปเรื่อยๆอย่างนี้
นั่นแหละ

——————————————————-

Isuzu_Pickup_Collaboration

ISUZU
2016 : Welcome Mazda / Bye Bye GM
2017 : D-Max MY2017 & MU-X Minorchange
2018 : D-Max & MU-X MY 2018
2019 : D-MAX Full ModelChange ?

กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาในรอบปี 2016 เลยทีเดียว เมื่อ Isuzu
ตัดสินใจประกาศ ความร่วมมือ กับ Mazda ในการพัฒนารถกระบะรุ่น
ถัดไป ร่วมกัน เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2016

ในข้อตกลงดังกล่าว Mazda ได้ให้ Isuzu รับผิดชอบผลิตรถกระบะ
Mazda รุ่นถัดไป ที่จะสร้างขึ้น บนพื้นฐานรถกระบะ Isuzu รุ่นต่อไป
สำหรับจำหน่ายในตลาดทั่วโลก ยกเว้นตลาดอเมริกาเหนือ

หลายคนอาจไม่เคยทาบมาก่อนว่า แท้จริงแล้ว Isuzu กับ Mazda
มีความสัมพันธ์อันดี มากว่า 10 ปี โดยเฉพาะในญี่ปุ่น Isuzu ได้ผลิต
รถบรรทุกขนาดกลาง 4 และ 6 ล้อ ตระกูล ELF ให้ Mazda นำไป
ขายในชื่อ Mazda Titan อีกด้วย

หลายคนคงสงสัยว่า แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่าง Isuzu กับพันธมิตร
เก่าแก่อย่าง General Motors (GM ) ที่เคยจับมือกันพัฒนารถกระบะ
มาตั้งแต่ปี 1970 ละ?

คำตอบคือ หลังการเซ็นสัญญากับ Mazda อีกเพียง 1 สัปดาห์ต่อมา
22 กรกฎาคม 2016 GM และ Isuzu ต่างคนต่างประกาศออกมา ว่า
ขอยุติความสัมพันธ์ในการพัฒนารถกระบะขนาดกลางสำหรับตลาด
เอเชีย ถือเป็นจุดสิ้นสุดการทำธุรกิจรถกระบะร่วมกัน ตลอด 45 ปี

ในเมื่อ GM ต้องการสร้างรถกระบะให้มีเอกลักษณ์ในแบบของตนเอง
และพวกเขาสามารถลงทุนทำเองได้ตามลำพัง Isuzu เอง จึงจำเป็น
ต้องมี พาร์ทเนอร์รายใหม่ มาร่วมแชร์ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา มากขึ้น

ขณะเดียวกัน Mazda เอง ก็ทุ่มงประมาณ ร่วมพัฒนารถกระบะกับ
Ford มาตลอด หลายสิบปีเช่นเดียวกัน พวกเขาตัดสินใจเลือกจะ
แยกทางกับ Ford โดยจะไม่พัฒนารถกระบะรุ่นต่อไปร่วมกันอีก จึง
ต้องหาใครสักคน ที่อยากจะทำรถกระบะด้วย แต่ต้องมีคนช่วยแชร์
ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา จึงจะอยู่ด้วยกันได้โดยรอดปลอดภัย และ
Isuzu คือทางออกที่ดีสุดของ Mazda

นั่นจึงทำให้ Isuzu จะต้องใช้เวลาในการพัฒนารถกระบะรุ่นต่อไป
หลังจากนี้ อีกอย่างน้อย 3 – 4 ปี โดยเครื่องยนต์รุ่นมาตรฐาน จะ
ยืนหยัดอยู่บนพื้นฐานของ ขุมพลัง Diesel 1.9 ลิตร Ddi Turbo
ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2015

ส่วนจะมีรุ่นขุมพลัง High Power ตามมาอีกด้วยหรือไม่ หรือว่าทาง
Mazda จะได้ SUV / PPV ใหม่ๆ จาก Isuzu ไปลองขาย ดูหรือไม่
ต้องรอกันต่อไป จนกว่าจะถึงปี 2019

แต่ในช่วงปลายปี 2017 ตามธรรมเนียมของ Isuzu ที่จะต้องเปิดตัวรถ
ในช่วงนั้น อาจมีความเคลื่อนไหวของ MU-X Minorchange ที่ควรจะ
ต้องมาได้แล้ว เพราะทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2013 คงต้องรอลุ้นกันว่า
อุปกรณ์ติดรถ รวมถึงดีไซน์ด้านหน้าจะทัดเทียมคู่แข่งได้หรือยัง

ระหว่างนั้น ตั้งแต่ปี 2017 – 2018 Isuzu อาจจะปรับปรุงอุปกรณ์
หรือปรับโฉมเล็กๆน้อย Minorchange ให้กับทั้ง Isuzu D-Max
และ MU-X ตลอดทั้ง 2 ปีที่เหลือ  เพื่อกระตุ้นยอดจำหน่ายให้
ยังอยู่ในอันดับต้นๆ ของตารางยอดขายรถกระบะในบ้านเรา

——————————————————-

Jaguar_XF_Sport_Brake_2017_2

JAGUAR
2017 : New Distributor / XF SportBrake
2019 : All New XJ

ข่าวใหญ่ที่สุด สำหรับ Jaguar ในบ้านเราตลอดปี 2015 – 2016 ที่ผ่านมา
นอกเหนือจากการที่ผู้จำหน่ายรายเดิมอย่าง City Automobile จัดเปิดตัว
Jaguar XE ในงาน Motor Expo (ธันวาคม 2015) แล้ว

พอถึงเดือนกรกฎาคม 2016 Jaguar Land Rover (JLR) ก็แต่งตั้งให้กลุ่ม
Inchcape บริษัท Trading Company รายใหญ่จากอังกฤษ เป็นผู้ได้สิทธิ์
ทำตลาดรถยนต์ Jaguar กับ Land Rover ในประเทศไทย แทนบริษัทเดิม
City Automobile โดยก่อตั้งบริษัท Inchcape Service (Thailand) จำกัด
มารับหน้าที่นี้ พร้อมกับเปิดตัว Jaguar F-Pace Premium Crossover SUV
ขนาดกลางไปแล้ว 3 รุ่นย่อย ราคาเริ่มตั้งแต่ 4,699,000 – 5,999,000 บาท
เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2016 ที่ผ่านมาหมาดๆ

ปี 2017 นี้ Jaguar มีรถยนต์รุ่นใหม่ เพียงรุ่นเดียว นั่นคือ XF SportBrake
ตัวถัง Station Wagon ของ Sedan ขนาดกลาง รุ่น XF ซึ่งกำลังอยู่ในช่วง
โค้งสุดท้ายของการพัฒนาแล้ว

ตอนแรก Jaguar ก็แอบหวั่นใจอยู่เหมือนกันว่าจะทำ XF SportBrake มา
เสริมทัพให้กับ XF Sedan ดีไหม เพราะตลาดรถยนต์ Premium Wagon
ในยุโรป Mercedes-Benz E-Class T-Model, BMW 5-Series Touring
และ Audi A6 Avant ครองส่วนแบ่งการตลาดกันไปแทบจะหมดเกลี้ยง
แต่ Jaguar ก็คิดว่า ในเมื่อ ตนมีจุดเด่นด้านงานออกแบบ และสมรรถนะ
ของตัวรถ ดังนั้นก็น่าจะลองทำตัวถัง Wagon ออกมาขายแข่งกับเขาดู

เครื่องยนต์ จะมีให้เลือก 3 ขนาด 4 ระดับความแรง ยกชุดมากจาก XF
Sedan ทั้ง เบนซิน ตระกูล Ingenium 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร
240 แรงม้า (PS) , เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร 340 แรงม้า
(PS) กับ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร 163 และ 180 แรงม้า
(PS) เชื่อมต่อกับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง หรือ 4 ล้อ AWD ได้ทั้งหมด

กำหนดเผยโฉมในตลาดโลก คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในงาน Geneva Auto
Salon ต้นเดือนมีนาคม 2017 นี้ แต่สำหรับบ้านเรา ยังไม่แน่ใจว่า ทาง
Inchcape คิดจะเอา XF Sport Brake มาหยั่งเชิงตลาดในไทยหรือไม่
เพราะยอดขายของรถยนต์กลุ่ม PremiumStation Wagon ในบ้านเรา
แม้จะพอขายได้ แต่ก็ยากจะหาลูกค้ามาอุดหนุน กระนั้น ถ้า Inchcape
ตกลงปลงใจว่าจะสั่งเข้ามาลองตลาดเราก็คงต้องรอดูกันถึง ปลายปีใน
งาน Motor Expo 2017 หรือไม่ก็คงต้องเลยเถิดไปถึงต้นปี 2018

หลังจากนี้ แผนต่อไปของ Jaguar มีหลายรุ่นที่จะต้องตลอดออกมา ทั้ง
XJ รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange ซึ่ง Ian Callum หัวหน้าทีมงาน
ฝ่ายออกแบบของ Jaguar ยืนยันว่า XJ ใหม่ จะมีรูปลักษณ์ภายนอกที่
“ชวนให้ตื่นตะลึง” และมีภายในที่หรูหราอลังการมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
และพวกเขายังต้องเพิ่มความสูงของหลังคารถ เพื่อเพิ่มพื้นที่เหนือศีรษะ
ให้มากกว่าเดิม หลังได้รับเสียงบ่นจากลูกค้าที่อุดหนุนรุ่นปัจจุบันไปแล้ว
กำหนดการเปิดตัว มีขึ้นในปี 2019 และน่าจะมาถึงบ้านเรา ปี 2020

นอกจากนี้ Jaguar ยังจะเริ่มหันมาพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า EV เพื่อต่อกรกับ
Tesla ซึ่งตอนนี้ อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาทั้ง 2 รุ่น แบบแรกจะเป็นตัวถัง
Coupe 4 ประตู เพื่อปรกบ Tesla Model-S ใช้รหัสโครงการ X590 ซึ่ง
จะผสานความต้องการของบอสใหญ่ค่าย JLR อย่าง Dr.Ralf Speth และ
หัวหน้าทีมออกแบบ Ian Callum โดยจะสร้างขึ้นบนโครงสร้างวิศวกรรม
ระบบขับเคลื่อนแบบไฟฟ้ารุ่นใหม่ ที่พัฒนาโดย Wolfgang Ziebart อดีต
วิศวกรจาก BMW ที่ถูกดึงตัวมาอยู่กับ JLR ตั้งเป้ายอดขายประมาณการ
ไว้ที่ระดับ 20,000 – 30,000 คัน/ปี ส่วนอีกรุ่นหนึ่งจะเป็น EV SUV ราคา
ย่อมเยาลงมาเล็กน้อย ตั้งเป้ายอดขายไว้ระดับ 30,000 – 50,000 คัน/ปี
ทั้งหมดนี้เราจะได้เห็นกัน หลังปี 2019

อย่างไรก็ตาม Jaguar ตัดสินใจแล้วว่า จะยุติโครงการพัฒนา รถ Sport
Coupe รุ่นเปลี่ยนโฉมของตระกูล XK ที่ยกเลิกการผลิตไปนานแล้ว และ
ยังยกเลิก เวอร์ชันผลิตขายจริงของ Super Car ต้นแบ C-X75 อีกด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น Ian Callum ยังยืนยันชัดเจนว่า Jaguar ไม่คิดจะผลิต
รถยนต์ ออกมาในปริมาณมากๆ ยอดผลิตปีละเป็นล้านคัน เท่า BMW
หรือ Audi เพราะนั่นทำให้พวกเขาอาจสูญเสีย เกียรติภูมิ (Prestige) !!

จ้าาาาา เอาที่สบายใจเลยแล้วกันนะ!!!

——————————————————-

Kia_Sportage_2017

KIA
2017 : New Sportage / Kia Niro

ผู้ผลิตรถยนต์ระดับยักษ์รองจากแดนโสม ร่วมเครือเดียวกันกับ
Hyundai-Kia ทำตลาดในบ้านเรา ภายใต้การ ดูแล ของบริษัท
Yontrakit Kia Motors  มานานหลายปีแล้ว ในช่วงที่ผ่านมา
Kia ยังคงยืนหยัดฮึดสู้อยู่ได้ ด้วย New Grand Cranival รถตู้
MPV 11 ที่นั่ง

ตาม รายงานข่าวของเว็บไซต์ Manager Online เมื่อ 5 ตุลาคม 2016
ระบุว่า เฉพาะ 8 เดือนแรก โชว์รูม และศูนย์บริการของ Kia ทั้ง 19 แห่ง
ทั่วประเทศไทย ทำยอดขาย New Grand Carnival ไปได้มากถึง 282
คัน และพบเห็นได้บ่อยขึ้น ตามโรงเรียน นานาชาติชั้นนำ ในกรุงเทพฯ
ขณะที่รถบรรทุกเล็ก K2500 ก็ทำยอดขายไปได้ 134 คัน ในช่วงเวลา
เดียวกัน ส่วนรุ่นอื่นๆ ทั้ง Cerato Koup , Soul , Sorento ทำตัวเลขได้
รวม 40 คัน

ปี 2017 นี้ Yontrakit Kia Motor ตั้งใจจะเน้นทำตลาดกลุ่ม SUV
โดยเตรียมแผนสั่งนำเข้า รถยนต์รุ่นใหม่รวม 2 รุ่นรวด

เริ่มจาก Kia New Sportage ที่จะเข้ามาเปิดตลาดในบ้านเราอีกรอบ
หลังจากหายหน้าหายตาไปนานหลายปี เพราะทำราคาไม่ได้ คราวนี้
Yontrakit Kia Motor ตัดสินใจรอให้ทางเกาหลีใต้ เปิดตัวรุ่นล่าสุด
ซึ่งเป็น เจเนอเรชันที่ 4 ออกมาในปี 2016 กันเสียก่อน

Sportage ใหม่ กลับมาด้วยตัวถัง Crossover Hatchback 5 ประตู
ท้ายสั้น โดยมีความยาว 4,480 มิลลิเมตร กว้าง 1,855 มิลลิเมตร
สูง 1,655 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,670 มิลลิเมตร ในต่างประเทศ
มีเครื่องยนต์ให้เลือก ทั้งแบบ Nu เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
2.0 ลิตร 155 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิด 19.6 กก.-ม.
ที่ 4,000 รอบ/นาที , Theta 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.4 ลิตร GDi
184 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 24.2 กก.-ม.ที่
4,000 รอบ/นาที กับ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร พ่วง
Common-rail Turbocahrger 185 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/
นาที แรงบิดสูงสุด 41.0 กก.-ม.ที่ 1,750 – 2,750 รอบ/นาที แต่
เวอร์ชันที่อาจเป็นไปได้ในบ้านเรา น่าจะเป็นแบบ เบนซิน 4 สูบ
DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร GDi Turbo 169 แรงม้า (PS) มากกว่า

Kia_Niro_2017

อีกรุ่นหนึ่ง เป็น Kia Niro B-Segment Crossover SUV ซึ่งจะเป็น
ครั้งแรกของ Kia ในบ้านเรา ที่สั่งนำเข้า รถยนต์ HYBRID มาขาย
อย่างจริงจัง

Niro มีขนาดตัวถังยาว 4,355 มิลลิเมตร กว้าง 1,805 มิลลิเมตร สูง
1,545 มิลลิเมตร แต่มีระยะฐานล้อยาวถึง 2,700 มิลลิเมตร เท่ากับ
Honda Civic FB ใหม่! จุดเด่นอยู่ที่ขุมพลัง มีเพียงแบบเดียว และ
เหมือนกันทั่วโลก เป็นเครื่องยนต์ Kappa เบนซิน 4 สูบ DOHC 16
วาล์ว 1.6 ลิตร จุดระเบิดแบบ Atkinson Cycle 105 แรงม้า (PS) ที่
5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.0 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที
พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้า 43.5 แรงม้า (PS) และแบ็ตเตอรี Lithium-
ion Polymer 1.56 kWh พร้อมระบบ Re-generative Brake และ
เกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 6 จังหวะ แบบมีโหมด บวก/ลบ

กำหนดเปิดตัว ในบ้านเรา ยังไม่แน่ชัด แต่น่าจะอยู่ในช่วงเริ่มงาน
Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2017 นี้
เป็นการประเดิม แต่ถ้ายังเจรจาไม่จบ ก็รอไปถึง Motor Expo
ต้นเดือนธันวาคม 2017

——————————————————-

Lamborghini_Huracan_Performante_Spyshot

(ภาพจาก www.Motor1.com)

LAMBORGHINI
2017 : Huracan Performante
2018 : URUS

ในตลาดโลก Lamborghini มี 2 ตระกูลหลัก เอาใจลูกค้าบ้าพลัง ทั้งรุ่น
Huracan และ Aventador ซึ่งมีรุ่นย่อยให้เลือก รวมกันแล้ว 12 รุ่นย่อย
แต่ดูเหมือนว่า นอกเหนือจากแผนเปิดตัว SUV คันแรกในรอบหลายปี
อย่าง Urus ในปี 2018 แล้ว พวกเขากำลังเล็งจะสร้างรถรุ่นที่ 3 กันอยู่
โดยคาดว่าจะคั่นตรงกลางระหว่าง Huracan กับ Aventador นั่นแหละ

กระนั้น ปัญหาของ ค่ายกระทิงดุ ก็มีอยู่หลายเรื่อง นับตั้งแต่เข้ามาอยู่
ใต้ร่มไม้ชายคาของ Audi การตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ก็ต้องปล่อยให้
ทางสำนักงานใหญ่ Ingolstad และ Wolfburg (Volkswagen Group)
เขาสั่งการมา ยิ่งช่วง 2 ปีมานี้ ผลประกอบการก็ไม่ถึงกับดีนัก ดังนั้น
ถ้าจะลงทุนสร้างรถรุ่นใหม่เพิ่มเติมในตอนนี้ พวกเขาก็ต้องคิดให้หนักๆ

ดังนั้น การนำรุ่นปัจจุบัน มาปรับปรุงสมรรถนะ แล้วออกขายเป็นรุ่นย่อย
พิเศษๆ จึงเป็นทางออกที่บรรดาผู้ผลิต Super Car ทั้งหลายพากันทำ
ไม่เว้นแม้แต่ค่ายกระทิงดุ ด้วย

ตอนนี้ Lamborghini กำลังซุ่มทดสอบ Huracan Performante ซึ่ง
เป็นเวอร์ชันน้ำหนักเบา และเพิ่มสมรรถนะให้แรงขึ้นกว่าเดิม ของตระกูล
Huracan โดยเป้าหมายหลักอยู่ที่การ ลดน้ำหนักตัวด้วยการเปลี่ยนมา
ใช้ Becker Carbon รวมทั้ง Carbon Fibre เป็นวัสดุโครงสร้างตัวรถ
แทนเหล็ก รวมทั้งการออกแบบเพื่อ เพิ่มแรงกดด้านหน้า (Downforce)
ซึ่งสำคัญมากต่อการขับขี่ในย่านความเร็วสูงๆ และการเลี้ยวเข้าโค้ง

การปรับปรุงดังกล่าวน่าจะทำให้ Huracan Performante บนพื้นฐาน
ของขุมพลังเดิม เบนซิน V10 ทำมุม 90 องศา 5,204 ซีซี หัวฉีด MPI
DSI (Direct Stratified Injection) 610 แรงม้า (PS) ที่ 8,250 รอบ/
นาที แรงบิดสูงสุด 560 นิวตัน-เมตร (57.06 กก.-ม.) ที่ 6,500 รอบ/
นาที (0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.2 วินาที 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ใน 9.9 วินาที Top Speed 325 กิโลเมตร/ชั่วโมง ให้แรงยิ่งขึ้นไปกว่า
รุ่นปัจจุบันอีกพอสมควร

กำหนดเปิดตัวในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2017 และ
คาดว่าทาง Niche Cars น่าจะนำเข้ามาตามใบสั่งให้กับลูกค้าได้ช่วง
ปลายปี 2017 ถึงต้นปี 2018

Lamborghini_Urus_2018

ส่วนความคืบหน้าล่าสุดของ Lamborghini URUS SUV รุ่นใหม่ในรอบ
หลายปีของค่ายกระทิงดุ ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรมร่วมกับ
Audi Q7 ใหม่ และ Bentley Bentayga นั้น เพิ่งมีรายงานข่าวต่างประเทศ
เมื่อ 30 ธันวาคม 2016 ระบุว่า Maurizio Reggiani หัวหน้าวิศวกรของ
โครงการพัฒนา Urus ยืนยันว่ารถรุ่นนี้ จะมีขุมพลัง Plug-in Hybrid ให้
เลือก เพียงแบบเดียว ใน Line-up ตอนนี้

อย่างไรก็ตาม บางกระแสข่าวระบุว่า ขุมพลังที่จะมีเชื่อมต่อกับมอเตอร์
ไฟฟ้า น่าจะเป็นเครื่องยนต์ V8 สูบ Twin Turbo

ตอนนี้ Urus ยังคงอยู่ในระหว่างการพัฒนาและทดสอบอย่างหนัก เพื่อ
ให้เป็น Super Crossover SUV ที่สมบูรณ์แบบมากสุด แต่จะต้องมีค่าตัว
ถูกที่สุดเท่าที่ Lamborghini เคยผลิตออกมา

Lamboghini ตั้งใจจะเปิดตัว เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ Urus ให้ได้ภายใน
ปี 2018 โดย ตั้งเป้ายอดขายทั่วโลกให้ได้ ปีละ 3,000 คัน โดยผลิตขึ้นที่
โรงงาน Sant’Agata ในเมือง Bolognese ที่ Italy

ดังนั้น กว่าที่ทาง Niche Cars จะสั่งนำเข้ามาเอาใจลูกค้าชาวไทย อาจต้อง
รอกันถึงช่วงท้ายๆ ของปี 2018 หรืออาจล่วงเลยไปถึง ต้นปี 2019

——————————————————-

Land_Rover_Discovery_2017

LAND ROVER
2017 : New Distributor / All New Land Rover Discovery
2018 : Land Rover Defender

อีก 1 แบรนด์ ที่ถูกโยกย้ายไปอยู่ภายใต้การดูแลของ Inchcape Service
(Thailand) Co.,Ltd. เช่นเดียวกับ Jaguar ในปีที่ผ่านมา ภายใต้การดูแล
ของผู้จำหน่ายรายเดิม หลังจากเปิดตัว Discovery Sport ในบ้านเราไป
ตั้งแต่ 17 กรกฎาคม 2015 ตามด้วย Range Rover Hybrid และ Range
Rover Spot Hybrid ในงาน Motor Expo เมื่อ 1 ธันวาคม 2015 แล้ว ก็
แทบไม่ค่อยมีรถยนต์รุ่นใหม่โผล่เข้ามาเอาใจลูกค้าระดับไฮเอนด์ มากนัก

ปี 2016 ที่ผ่านมา Land Rover เปิดตัว Discovery ใหม่ ไปแล้วเมื่อวันที่
29 เมษายน 2016 ที่ผ่านมา ถือเป็น เจเนอเรชันที่ 5 นับตั้งแต่เปิดตัวและ
ออกสู่ตลาดครั้งแรก เมื่อช่วงปี 1993 และเป็น SUV รุ่นบุกเบิกที่ทำให้
Land Rover เริ่มกลับมาได้รับความนิยมในหมู่ลูกค้าผู้มีอันจะกิน แต่รัก
การผจญภัย ไปพร้อมกับการดูแลมีครอบครัว

ปี 2017 นี้ คาดว่า Inchcape น่าจะสั่งนำเข้า Discovery ใหม่ มาเปิดตัวได้
อย่างเร็วที่สุด คืองาน Bangkok International Motor Show มีนาคมนี้

จากนั้นในปี 2018 Land Rover Defender โฉมใหม่ที่ทั่วโลกจับตามอง
จะตามมา Gerry McGovern Chief Designer เจ้าเก่า ยังนำทีมออกแบบ
ด้วยตัวเองเหมือนเช่นเคย ใครที่คิดว่าเส้นสายจะออกมาเหมือนกับรถยนต์
ต้นแบบ DC100 ที่เผยโฉมออกมาก่อนหน้านี้ น้า Garry เขายังคงยืนยัน
เช่นเดิมว่า “เลิกคิดเถอะครับ” มันจะไม่เหมือนกันเท่าไหร่นักหรอก

เพราะ Defender ใหม่จะเป็นรถที่แหกเหล่าแหกคอกด้านการออกแบบ
มากที่สุด ต่างจากตระกูล Discovery และไม่เหมือน Land Rover รุ่นใดๆ
มาก่อน Defender ใหม่จะมีความใกล้เคียงกับ Land Rover ยุคแรกๆ มาก
ที่สุด คือเน้นการใช้งานจริง ลุยโหดจริงๆ กระแทกกระทั้นโหดๆ ได้จริง ซึ่ง
เป็นคุณสมบัติที่แฟนพันธ์แท้ของแบรนด์นี้ รักและชื่นชอบ

ล่าสุด Dr. Ralf Speth นายใหญ่ของ Jaguar-Land Rover ออกมายืนยัน
แล้วว่า งานออกแบบ เสร็จหมดแล้ว และตัวรถ ดู “Fantastic” มากๆ! โดย
ตัวรถจะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรมของรุ่น Discovery แต่
จะมีชิ้นส่วนจำนวนมาก ที่แตกต่างกันออกไป และใช้ร่วมกันไม่ได้ ที่แน่ๆ
ตัวรถจะยังคงรักษาคุณสมบัติความถึกทรหดเอาไว้เช่นเดิม กำหนดการ
เปิดตัว จะเกิดขึ้นในปี 2018 อย่างแน่นอน

จากนั้นในปี 2019 Land Rover ยังมีแผนเปิดตัว SUV รุ่นใหม่เพื่อ เข้ามา
แทรกระหว่าง Range Rover Sport กับ Evoque ซึ่งตอนนี้ ยังไกลเกินกว่า
จะพูดถึงรายละเอียดอย่างชัดเจน มีแค่คำบอกเล่าว่า “จับตาดู SUV ของ
Jaguar ให้ดีแล้วกัน” เพราะ SUV รุ่นใหม่จะใช้พื้นตัวถังเดียวกันกับ
Jaguar F-Pace

——————————————————-

Maserati_Levante_2017_2

MASERATI
2017 : New Distributor / Levante SUV Diesel Turbo
2018 : Maserati Alfieri

ช่วงปี 2014 – 2016 บริษัท Empire Motorsport จำกัด (เครือของกลุ่ม
บริษัท Firma อดีตผู้จำหน่าย Ferrari ในไทยเดิม) ในฐานะผู้นำเข้าและ
จำหน่าย รถยนต์แบรนด์ตรีศูล ในไทย พยายามทำกิจกรรมการตลาดต่างๆ
รวมทั้งสั่งนำเข้า Maserati Ghibli รถเก๋ง Sport Sedan ขนาดกลาง มา
เปิดตลาดในเมืองไทย เมื่อช่วงปี 2014

แต่ด้วยภาวะยอดขายเป็นไปอย่างฝืดเคือง ตามสภาพความแปรปวนของ
เศรษฐกิจ ทำให้ ในที่สุด กลุ่มบริษัท Master Car Group จำกัด หรือกลุ่ม
Millennium ก็คว้าสิทธิ์การทำตลาด Maserati ในไทย แทน Empire
MotorSport ไปเรียบร้อยแล้ว โดยมีผลตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2560 โดย
MGC จะเข้ามารับซื้อสต็อกอะไหล่ และสต็อกรถยนต์ Maserati ที่เหลือ
อยู่อีกไม่กี่คัน ไปทั้งหมด รวมทั้งจะยังใช้โชว์รูมริมถนนวิภาวดีรังสิต และ
โชว์รูมบนห้างสรรพสินค้า Siam Paragon ต่อไป

ดังนั้น ในปีนี้ ทาง MCG ก็จะสานต่อการทำงานจาก ทาง Empire เพื่อ
สั่งนำเข้า Maserati LeVante SUV รุ่นแรกในประวัติศาสตร์กว่า 100 ปี
ของแบรนด์ตรีศูล จากเดิมที่มีกำหนดเปิดตัวเมื่อช่วง ปลายปี 2016

LeVante มีขนาดตัวถังยาว 5003 มิลลิเมตร กว้าง 1,968 มิลลิเมตร สูง
1,679 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาวถึง 3,004 มิลลิเมตร ความกว้างช่วง
ล้อคู่หน้า / หลัง อยู่ที่ 1,624 และ 1,676 มิลลิเมตร หนัก 2,205 กิโลกรัม
โดยรถยนต์ล็อตแรกที่นำเข้ามาขายในบ้านเรา จะเป็นเครื่องยนต์ Diesel
V6 ทำมุม 60 องศา DOHC 24 วาล์ว 2,987 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
83 x 92 มิลลิเมตร กำลังอัด 16.5 :1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Common-
Rail พ่วง Turbocharger กับ Intercooler 275 แรงม้า (HP) ที่ 4,000
รอบ/นาที แรงบิด 600 นิวตัน-เมตร (61.14 กก.-ม.)ที่ 2,000 – 2,600
รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
AWD พร้อม ATC (Active Transfer Case)

คาดว่า หลังจากนี้ LeVante น่าจะพร้อมสำหรับการเปิดตลาดบ้านเราได้
ภายในช่วง ฺBangkok International Motor Show เดือน มีนาคม 2017

Maserati_Alferi_2018

ส่วน รถสปอร์ตขนาดเล็กกว่า Gran Turismo ในชื่อ Maserati Alfieri
ซึ่งเคยมีการเปิดผ้าคลุมเวอร์ชันต้นแบบ ในงาน Geneva Motor Show
เดือนมีนาคม 2014 มาแล้วนั้น กลับกลายเป็นว่า โครงการถูกเลื่อนมา
เป็นช่วงปี 2018 แทน

Alfieri ได้รับแรงบันดาลใจ จากรถสปอร์ต Maserati A6 GCS/53 ซึ่ง
เป็นผลงานในปี 1954 ของ PininFarina ถือเป็น รถสปอร์ต Maserati
ที่โด่งดังมากสุดในอดีต โดยชื่อรุ่นนำมาจาก Alfieri Maserati 1 ใน 5
พี่น้องตระกูล Maserati ผู้ก่อตั้งบริษัท เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ
100 ปี ของแบรนด์ Maserati เมื่อปี 2015

รูปลักษณ์ภายนอกมาในแบบ Coupe 2+2 ที่นั่ง วางขุมพลังบล็อก V8
4.7 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศ 460 แรงม้า (BHP) ที่ 7,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร ที่ 4,750 รอบ/นาที แต่เวอร์ชันผลิต
ออกขายจริง จะวางเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร และมีเฉพาะรุ่น Coupe
2 ประตูเท่านั้น

Maserati ประกาศว่า Alfieri จะพร้อมขึ้นสายการผลิตออกสู่ตลาดจริง
ในปี 2018 แต่กว่าจะมาถึงเมืองไทยได้ อาจต้องรอกันจนถึงปี 2019

——————————————————-

Mazda_3_2017

Mazda
2017 : Mazda 3 Minorchange / Mazda 2 MY2017 / CX-3 MY2017
/ MX-5 RF / CX-9

2018 : CX-5 Full Modelchange

ตลอด 2 ปี ที่ผ่านมา Mazda บุกตลาดบ้านเรา หนักขึ้นเรื่อยๆ หลังจากยอดขาย
เริ่มดีวันดีคืน จากการถล่มเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง  ไล่กันตั้งแต่รุ่น
CX-5 , Mazda 3 , Mazda 2 และ Mazda CX-3 แต่ละรุ่นทำตัวเลขได้น่าพอใจ
ยกเว้น CX-3 ที่ยังพอขายได้ในช่วงแรกๆ แต่พักหลังมานี้ ยอดเริ่มลดลงไปมาก

ปี 2017 นี้ Mazda จะเปิดศึกกันตั้งแต่ต้นปี ด้วยการเปิดตัว Mazda 3 รุ่นปรับโฉม
Minorchange ที่ถูกเลื่อนจากกำหนดเดิม เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2016 ที่ผ่านมา
จากเหตุการณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต มาเป็น
วันที่ 24 มกราคม 2017 นี้

จุดขายสำคัญ จะอยูที่การติดตั้งระบบ G-Vectoring Control (GVC) ซึ่งจะควบคุม
แรงบิด จากเครื่องยนต์ (Torque Vectoring) เพื่อช่วยให้การขับขี่ ระหว่างเข้าโค้ง
ด้วยความเร็วสูงนั้น ง่ายขึ้น และ ยังคงเฉียบคมไปในเวลาเดียวกัน เพราะแรงบิด
ที่เหมาะสม จะช่วยให้รถยนต์เข้าโค้งได้ดีขึ้น ทำให้คนขับไม่ต้องมานั่งแก้อาการ
ของตัวรถในโค้งอีกด้วย รถยนต์ที่มีระบบทำงานคล้ายกันนี้ ( Torque Vectoring )
ซึ่งมีจำหน่ายในบ้านเรามาก่อนแล้ว ได้แก่ Volkswagen Golf GTi, Subaru WRX
และ Ford Focus EcoB0ost Turbo เป็นต้น

ย่างเข้าเดือนมีนาคม Mazda 2 และ CX-3 รุ่นปรับอุปกรณ์ ประจำปี 2017 คล้ายๆ
กับที่ญี่ปุ่นจะพร้อมขึ้นโชว์รูม

Mazda_MX5_RF_2017
จากนั้นในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม
2017 Mazda จะสั่งนำเข้า MX-5 RF หลังคาแข็งพับได้ด้วยไฟฟ้า เข้ามา
ในจำนวนไม่มากนัก เพื่อเอาใจลูกค้าที่อยากได้ MX-5 เวอร์ชันหลังคาแข็ง
โดยรายละเอียด้านวิศวกรรม ก็ไม่ต่างจาก MX-5 รุ่นปกติ แต่อย่างใด

ไม่เพียงเท่านั้น Crossover SUV รุ่นใหญ่ อย่าง Mazda CX-9 โฉมล่าสุด
ที่เพิ่งเปิดตัวที่สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2016 ก็จะถูกนำเข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา
ที่งานเดียวกัน อีกด้วย เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องจาการทำตลาดของ CX-9
รุ่นที่แล้ว ซึ่งเคยเปิดตัวในบ้านเรา ช่วงปี 2011 – 2014 แต่ทำยอดขายได้
ไม่มากนัก ด้วยค่าตัวที่ค่อนข้างแพงในตอนนั้น

Mazda_CX5_2017

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 2017 เราคงต้องมาลุ้นกันละว่า Mazda CX-5
รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Model Change ที่เพิ่งเปิดตัวไปในงาน L.A Auto
Show เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2016 ที่ผ่านมา สดๆร้อนๆ จะพร้อมส่ง
เข้ามาทำตลาดในบ้านเราได้หรือไม่

คาดว่า เวอร์ชันไทย น่าจะยังคงยืนหยัดกับทางเลือกขุมพลังแบบเดิม คือ
เบนซิน 2.0 ลิตร และ Diesel 2.2 ลิตร Turbo ส่วนรุ่นเบนซิน 2.5 ลิตร
พ่วง Turbo นั้น ลืมไปได้เลย

กำหนดการเผยโฉม คาดว่าจะอยู่ในช่วง งาน Motor Expo 2017 แต่อาจ
ยังไม่พร้อมทำตลาด ในทันที ต้องรอจนถึงช่วงต้นปี 2018 จึงจะเริ่มทะยอย
ส่งมอบให้ลูกค้าที่สั่งจองกันได้

คำแนะนำสำหรับคุณผู้อ่านซึ่งกำลังคิดจะซื้อ CX-5 ในช่วงนี้ก็คือ ถ้ารีบใช้รถ
รุ่นปัจจุบัน เบนซิน 2.0 ลิตร น่าจะรับรถได้เร็วกว่า Diesel 2.2 ลิตร Turbo
ซึ่งโรงงานที่มาเลเซีย ก็ดูเหมือนจะแกล้งตลาดเมืองไทย ปล่อยให้ลูกค้า
ในบ้านเราต้องรอกันนานถึงกว่า 6 เดือน

แต่ถ้าไม่รีบใช้รถแล้วละก็ เก็บตังค์ไปเรื่อยๆ แล้วรอดูรุ่นใหม่กันก่อนจะดีกว่า

ส่วนใครที่รอ รถกระบะ Mazda BT-50 PRO เจเนอเรชันต่อไป คงต้องบอกว่า
หลังจากการยุติความร่วมมือกับ Ford คราวนี้ Mazda จะหันไปจับมือกับ Isuzu
เพื่อสั่งซื้อ รถกระบะรุ่นต่อไป มาทำตลาดเอง ในรูปแบบของ OEM (Original
Equipment Manufacturing) จนถึงตอนนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะมีข้อมูลตัวรถ
ว่าจะแตกต่างจาก D-Max รุ่นใหม่ในปี 2019 มากน้อยเพียงใด ยังต้องติดตาม
ข้อมูลเพิ่มเติมในช่วงปี 2018 ขึ้นไป

——————————————————-

McLaren_570S_Spider_Render

(ภาพจาก Designrm.wordpress.com)

McLaren
2017 : 570S Spider

Niche Cars ผู้นำเข้าและจำหน่าย McLaren ในประเทศไทย อย่าง
เป็นทางการ เริ่มเปิดตัวแบรนด์รถสปอร์ต “คิดต่างอย่างเข้มข้น”จาก
อังกฤษ มาได้สัก 2-3 ปีแล้ว และการตอบรับจากกลุ่มลูกค้านักนิยม
ความแรงในบ้านเรา ก็เป็นปได้ด้วย ประชากร McLaren เริ่มมีให้เห็น
บนถนนเมืองไทย เพิ่มมากขึ้นชัดเจน

อันที่จริง Niche Cars เปิดตัว 570S รถสปอร์ตในตระกูล Sport Series
ในบ้านเรา มาตั้งแต่ 19 พฤศจิกายน 2015 แต่เพิ่งจะเริ่มเชิญสื่อมวลชน
ได้ลองขับกันสั้นๆ เมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2016 ที่ผ่านมานี้เอง บอกเลย
ว่า อัตราเร่งเร้าใจใช้ได้ และตัวรถคล่องแคล่วกว่าที่คิด แต่บังคับควบคุม
ง่ายดายเกินคาด ที่สำคัญ ระบบInfotainment IRIS แบบหน้าจอสัมผัส
มีโหมดการใช้งานเป็นภาษาไทย มาให้จากโรงงานด้วย!

อย่างไรก็ตาม ในปี 2017 นี้ McLaren มีแผนจะส่ง 570S Spider
เวอร์ชันเปิดประทุน ของ 570S ออกสู่สายตาชาวโลก

ขุมพลังของ 570 S Spider จะยังคงเป็นบล็อกเดียวกับรุ่นมาตรฐาน
วางเครื่องยนต์ M838TE บล็อก V8 สูบ ทำมุม 90 องศา DOHC
32 วาล์ว 3,799 ซีซี Twin-Turbo อ่างน้ำมันเครื่องแบบ Dry Sump
570 แรงม้า (PS) ที่ 7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตร
(61.14 กก.-ม.) ที่ 5,000 – 6,500 รอบ/นาที วางกลางลำตัว หลังเบาะ
คนขับ ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ Seamless Shift Dual
Clutch 7 จังหวะ (SSG) ให้อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน
3.2 วินาที 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 9.5 วินาที Top Speed อยู่ที่
328 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปล่อยก๊าซ CO2 249 กรัม/กิโลเมตร

คาดว่า การเปิดตัว น่าจะเกิดขึ้นได้ ในช่วงงาน Geneva Motor Show
ต้นเดือนมีนาคม 2017 และน่าจะเข้ามาถึงประเทศไทยได้ ราวปี 2018
เป็นอย่างช้าที่สุด

——————————————————-

2016_06_23_Mercedes_Benz_E220d_W213_07

Mercedes-Benz
2017 : E 220d Made in Thailand / E-Class Coupe Full Modelchange

ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา Mercedes-Benz Thailand ถล่มตลาดรถยนต์ระดับหรู
ในบ้านเรา ชนิดที่เรียกว่า มากันครบ ทุกตัวถัง ทุก Segment อย่างที่ไม่เคย
มีมาก่อน ใครจะไปนึกละว่า แม้กระทั่ง AMG GT S หรือ S-Class เปิดประทุน
จะถูกนำเข้ามาเปิดตัวในบ้านเราด้วย นี่ยังไม่นับการปรับทัพครั้งสำคัญถึงขั้น
กล้ายกเลิก เครื่องยนต์ เบนซิน ปกติ ใน C-Class แล้วทำตลาดแต่ C350e
Plug-in Hybrid เพียงแบบเดียว แต่มีให้เลือก 4 รุ่นย่อย การยกทัพ SUV
เข้ามาขายในบ้านเรา แทบทุกรุ่น ไม่เว้นแม้แต่ GL-Class และ G-Class
รวมทั้ง Mercedes-Maybach ฯลฯ อีกมากมาย

ทว่า E-Class ที่เพิ่งเปิดตัวในบ้านเราไป ในงาน Bangkok International
Motor Show 2016 กลับเงียบเหงากว่าที่คิด สาเหตุส่วนหนึ่ง นอกจากตัวรถ
มีบุคลิกแทบไม่ต่างจาก C-Class มาสูบลมให้ป่องขึ้น แล้ว ลูกค้าจำนวนมาก
เริ่มรู้ทันว่า เดี๋ยวอีกสักพัก รุ่นประกอบในประเทศก็จะตามมา ด้วยราคาที่ถูก
กว่ารุ่นนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน

ความคิดของคุณ ถูกต้องครับ Mercedes-Benz (Thailand) เพิ่งฉลองการ
ผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ณ โรงงานธนบุรี ประกอบรถยนต์ ย่านสำโรง
ครบ 100,000 คัน เมื่อช่วงก่อน คริสต์มาส ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ และทาง
MBTh ก็เริ่มเผยแผนการเปิดตัวรถยนต์ใหม่ในปี 2017 ออกมาบ้างแล้ว

เริ่มจาก E 220d รุ่นประกอบในประเทศ จะเปิดตัววันที่ 31 มกราคม 2017
รายละเอียดเบื้องต้น ทีมงานของเรา น้อง Moo Cnoe สรุปเอาไว่ให้แล้ว
ที่นี่ http://community.headlightmag.com/index.php?topic=55467.0

จากนั้น ในช่วงงาน Bangkok International Motor Show ทาง MBTh
จะยกโขยงบรรดา Dream Car ก๊อกล่าสุด ขนมาเปิดตัวกันแน่นขนัดบูธ
ทั้ง E-Class Coupe และ Mercedes-AMG GT C Roadster

พอเข้าสู่ช่วงกลางปี GLA Minorchange และ S-Class Minorchange
ก็จะทะยอยคลอดตามออกมา หลังจากนั้น จะปิดท้ายปี 2017 ด้วยรุ่น
E-Class Cabriolet ระหว่างปีก็คงไม่ได้เงียบเหงา สารพัดรุ่นนำเข้า
รหัสตัวแรงต่างๆ น่าจะเข้ามาเสริมทัพกันเต็มที่เหมือนดังปี 2016 เพราะ
รถเหล่านี้ นำเข้ามาขายทั้งคันอยู่แล้ว ไม่ยากที่จะเปิดตัว เพียงแต่ว่า
Mercedes-Benz (Thailand) จะสั่งนำเข้ามาหรือไม่ เท่านั้นเอง !

Mercedes_Benz_X_Class_2018

อย่างไรก็ตาม ข่าวเศร้า สำหรับใครที่เฝ้ารอยลโฉมรถกระบะแท้ๆคันแรก
ในประวัติศาสตร์ค่ายตราดาว (ที่ไม่ได้สร้างขึ้นจากพื้นฐานรถเก๋งรุ่นใดๆ)
อย่าง Mercedes-Benz X-Class ที่พัฒนาขึ้นตามโครงการความร่วมมือ
ระหว่าง Daimler AG และ Renault-Nissan ภายใต้โครงสร้างวิศวกรรม
ของ Nissan NP300 Navara บอกได้เลยว่า ทำใจนะ มันจะไม่มาไทย!

เพราะแม้ในงานเปิดตัวเวอร์ชันต้นแบบ เมื่อ 26 ตุลาคม 2016 ที่ผ่านมา
CEO ใหญ่ ของ Daimler AG. ไม่มีการพูดถึงประเทศไทยในแผนของ
X-Class เลยแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลก ว่าตลาดรถกระบะขนาด
1 Ton ที่ใหญ่มากสุดในดลก อย่างปรเทศไทย จะตกสำรวจไปได้ยังไง?

สุดท้าย มร.ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร Mercedes-Benz (Thailand)
กล่าวยืนยัน ในงานฉลองยอดประกอบรถยนต์ Mercedes-Benz ที่โรงงาน
ธนบุรีประกอบรถยนต์ ครบ 100,000 คัน เมื่อ 20 ธันวาคม 2016 ชัดเจนว่า
MBTh จะไม่นำ X-Class เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย อย่างแน่นอน

เป็นอันปิดฉาก และฝันสลายด้วยประการฉะนี้!

——————————————————-

MG_GS_Minorchange_2017

MG
2017 : MG GV / MG 3 Minorchange / MG ZS / MG GS Minorchange
2018 : New Pickup Truck

หลังจากเข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทยได้ 3 ปี ประชากร MG ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงวันที่ SAIC จากจีน และ กลุ่ม C.P. ในบ้านเรา เริ่มต้นก้าว
เข้ามาทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายรถยนต์ในบ้านเรา จาก 0 และต้องทุ่มงบประมาณ
เพื่อสร้างแบรนด์กันอย่างหนักตลอดหลายปีมานี้

ยอดขายรถยนต์ของแบรนด์ MG ตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำตลาดในไทย ช่วงปี 2014
ในปีแรก ทำไปได้เพียง 204 คัน จากนั้นในปี 2015 มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด
จากการเปิดตัวของ MG ทำไปได้ 3,779 คัน และ ในปี 2016 นี้เอง จากต้นปี
เดือน มกราคม ถึง ยอดขายเดือน ตุลาคม ที่มีตัวเลขล่าสุด รวม 6,605 คัน
ดังนั้นในประเทศไทยตอนนี้มีรถยนต์ MG วิ่งอยู่บนถนนราวๆ 10,000 คัน

SAIC เริ่มนำแบรนด์ MG กลับเข้ามาเปิดตลาดบ้านเราอีกครั้งในปี 2014 พวกเขา
เริ่มต้นได้ไม่สวยนัก แม้ว่าความพยายามในการสร้างแบรนด์ ด้วยการโหมโฆษณา
ในทุกสื่อ อย่างหนักหน่วง หวังทำให้ลูกค้าในกลุ่มที่ไม่รู้เรื่องรถยนต์มากนัก มอง
ว่า MG คือรถยุโรป มาจากอังกฤษ เป็นผลสำเร็จ ทว่า ลูกค้าในกลุ่มคนรักรถก็รู้อยู่
เต็มอก ว่า MG ถูกซื้อกิจการไปอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่สุดในจีน
อย่าง SAIC มานานแล้ว

อีกทั้งตัวบุกตลาดรุ่นแรกในการกลับคืนสู่เมืองไทยอย่าง MG 6 เอง มีสมรรถนะ
ในภาพรวมยังไม่น่าประทับใจเท่าที่ควร จากนั้น ปี 2015 MG ก็เปิดตัว MG3 ใน
งาน Bangkok International Motor Show 2015 และได้รับการกล่าวขวัญในด้าน
การบังคับควบคุมรถ และช่วงล่าง ที่ดีเหนือความคาดหมาย ไปพร้อมๆกับอาการ
ตอบสนองกระฉึกกระฉักเกินคำบรรยาย จากเกียร์กึ่งอัตโนมัติ AMT ที่คนไทย
ส่วนใหญ่ ไม่คุ้นชินกับพฤติกรรมของมัน

ปี 2015 MG 6 รุ่นปรับโฉม Minorchange ถูกเข็นออกสู่ตลาด หลังจากปรับปรุง
และแก้ไขทั้ง โปรแกรมของสมองกลเครื่องยนต์ ให้รองรับน้ำมันแก็สโซฮอลล์
E85 ได้ รวมทั้งปรับการทำงานของสมองกลเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch ใหม่ให้
ราบรื่นดีขึ้นกว่าเดิมบ้าง พอจะเรียกลูกค้าได้นิดหน่อย ไม่เยอะเท่า MG 3

ขณะเดียวกัน ในปี 2015 MG ก็ส่ง MG5 เข้ามาเปิดตลาด วางตำแหน่งให้เป็น
รถยนต์นั่งกลุ่ม B-Segment ที่มีขนาดตัวถังเทียบเท่ากับ C-Segment แถมยังมี
รูปลักษณ์ภายนอก สไตล์รถยนต์ Coupe 4 ประตู พอจะมีลูกค้าอุดหนุนไปบ้าง
เพราะยอมรับในสมรรถนะการขับขี่ โดยเฉพาะการเข้า-ออกจากโค้ง ที่ทำได้
ดีเกินคาดหมาย อีกทั้งยังมีเครืองยนต์ 1.5 ลิตร Turbo ที่เรียกกำลังให้แรงเท่าๆ
รถเก๋ง C-Segment เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร แต่ยังคงมีจุดด้อยเรื่องการออกแบบด้าน
สรีรศาสตร์ เช่นเบาะคนขับ ปรับระดับสูง – ต่ำ ไม่ได้ บางคนนั่งแล้ว ศีรษะชน
เพดานหลังคา เป็นต้น

พอช่วงต้นปี 2016 พวกเขาก็ส่ง MG GS เปิดตัวในงาน Bangkok International
Motor Show โดยเริ่มจากรุ่น 2.0 ลิตร Turbo ทั้งขับเคลื่อนล้อหน้า และ 4 ล้อ แต่
ด้วยค่าตัวที่สูงจนทัดเทียมกับเจ้าตลาด แถมสมองกลเกียร์ยังปรับจูนมาไม่ลงตัว
รวมทั้งการสื่อสารทางการตลาดที่ไม่ชัดเจน ทำให้ลูกค้าต่างพากันเมินหน้าหนี
โดยไม่รู้เลยว่า GS ก็มีรุ่นขับล้อหน้าให้เลือกด้วย

ปลายปี 2016 ในงาน Motor Expo พวกเขาจึงแก้ปัญหาด้วยการสั่งเครื่องยนต์
1.5 ลิตร Turbo (คนละตัวกับใน MG 5) มาวางลงใน GS เพิ่มทางเลือกใหม่ในชื่อ
MG GS 1.5 Turbo เน้นทำตลาดกับรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยค่าตัวเริ่มต้นถูกมาก
เพียง 890,000 บาท และรุ่น Top 990,000 บาท มาเปิดตัวรับจอง ก่อนจะเริ่ม
ทะยอยส่งมอบรถได้ ในช่วง เดือนมกราคม 2017

สำหรับช่วงปี 2017 – 2018 นี้ MG จะมีรถยนต์รุ่นใหม่ มาให้เลือกกัน 3 รุ่น ทั้งการ
นำ MG 3 น้องเล็กในตระกูล มาปรับโฉม Minorchange โดยเน้นการปรับเปลี่ยน
หน้าตา และบั้นท้าย รวมทั้ง มีการเปลี่ยนแผงหน้าปัดใหม่ ยกชุด ให้ดูใกล้เคียงกับ
บรรดา รถเก๋งขนาดเล็ก จากค่ายเจ้าตลาดมากขึ้น ซึ่งคาดว่าน่าจะเปิดตัวได้ในช่วง
ปลายปี 2017 ถึง ต้นปี 2018

maxus_g10_1 5 G10-interior-1 saic-maxus-datong-g10-012

แต่ก่อนที่จะไปถึง MG 3 ตอนนี้ MG กำลังเตรียมสั่งนำเข้ารถตู้ Maxus G10 จาก
เมืองจีน มาเปิดตลาดในบ้านเรา โดยสวมแบรนด์ MG ออกขายในชื่อ MG GV!

MG GV มีตัวถังยาว 5,168 มิลลิเมตร กว้าง 1,980 มิลลิเมตร สูง 1,928 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 3,210 มิลลิเมตร เวอร์ชันไทย จะวางเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 2.0 ลิตร Common-Rail Turbo จัดวางตำแหน่งทางการตลาดเป็นรถตู้
Minivan 11 ที่นั่ง ตั้งใจดับเครื่องชน Hyundai H-1 กันจังๆ!

กำหนดเปิดตัว จะมีขึ้นในงาน ฺBangkok Internationa Motor Show เดือนมีนาคม
2017 แต่อาจจะเผยโฉมกันก่อน ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2017

รุ่นถัดไป ที่มีกำหนดเปิดตัวในช่วงปี 2017 – 2018 คือ MG GS Minorchange ที่
เปิดตัวอย่างฉับไวมากๆในประเทศจีน เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2016 ที่ผ่านมา เร็ว
จนทีมงาน MG ในเมืองไทย ถึงกับ สตันท์ ทึ่ง และอึ้งไปพักใหญ่ ว่า ทางเมืองจีน
จะรีบปรับโฉมกันไป โดยไม่ถามไถ่ ฝั่งไทยสักหน่อยก่อนเลยเหรอ? เพราะบ้านเรา
เพิ่งจะเปิดตัวรุ่น GS ได้ไม่ทันครบปี แถมยังเพิ่งจะกระตุ้นตลาดด้วยรุ่น 1.5 Turbo
จู่ๆ ฝั่งจีน ปล่อยรุ่น Minorchange ออกมากันแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบนี้ ลูกค้าใน
เมืองไทย ที่เพิ่งซื้อ GS ไป หรือรอรับรุ่น 1.5 Turbo อยู่ ก็ด่า MG เละเทะกันพอดี

งานออกแบบภายนอกถูกปรับเปลี่ยนใหม่ โดยเฉพาะกระจังหน้า เพิ่มแถบโครเมี่ยม
คาดกลางมาให้ จนดูคล้ายกระจังหน้าของ Toyota Corolla Altis Minorchange
แถมยัง เปลี่ยนกันชนหน้าใหม่ เว้นที่ว่างให้โลโก้มากขึ้น พร้อมออกแบบช่องดักลม
ด้านหน้า ให้ดูเรียบง่ายกว่าเดิม

อีกความเปลี่ยนแปลงสำคัญอยู่ที่ การเปลี่ยนแผงหน้าปัดใหม่แบบยกชุด อัพเกรด
ให้ดูดีขึ้น ด้วยวัสดุหนังหุ้ม พร้อมบุน่มเสริมด้านหลัง ลดขนาดช่องแอร์ตรงกลาง,
เปลี่ยนหน้าจอสัมผัส และวัสดุรอบหน้าจอใหม่, เรียงสวิตช์เครื่องปุ่มปรับอากาศ
และปุ่มที่จำเป็นให้ใช้งานง่ายขึ้น, เปลี่ยนคอนโซลกลางใหม่, เปลี่ยนช่องแอร์ทั้ง
ซ้ายและขวาใหม่ รวมทั้งเปลี่ยนทรงพวงมาลัยใหม่แบบ Flat Bottom

กำหนดเปิดตัวของ GS Minorchange เวอร์ชันไทย น่าจะต้องรอกันไปอีกประมาณ
1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง ดังนั้น ใครที่รีบใช้รถ รุ่น 1.5 Turbo ก็ยังน่าจะเหลือเวลาทำตลาด
อีกราวๆ 1 ปี แต่ถ้ายังไม่รีบ ควรรอไปก่อน

MG_ZS_001 MG_ZS_002 MG_ZS_004

อีกรุ่นหนึ่งที่น่าจับตามองของ แบรนด์ MG เป็น Crossover SUV น้องเล็กรุ่นใหม่
ที่มีขนาดเล็กกว่า MG GS นั่นคือ MG ZS ซึ่งเพิ่งจะเผยเรือนร่างในงาน กวางโจว
มอเตอร์โชว์ เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2016 ที่ผ่านมา จุดเด่นอยู่ที่การนำเส้นสายหรือ
Design Theme ใหม่ มาใช้กับรถยนต์ MG เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการพลิกโฉมงาน
ออกแบบของ MG รุ่นก่อนๆไปโดยสิ้นเชิง

MG ZS จะวางเครื่องยนต์ 2 ขนาด ทั้งแบบ เบนซิน 1.0 ลิตร Turbo 125 แรงม้า (PS)
แรงบิดสูงสุด 170 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ
Dual Clutch 7 จังหวะ อีกรุ่นหนึ่งเป็นขุมพลังเบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร
ไม่มีระบบอัดอากาศใดๆมาให้ 120 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร เชื่อม
กับเกียร์อัตโมัติ Dual Clutch 7 จังหวะ

กำหนดออกสู่ตลาดโลก จะเกิดขึ้นในช่วง ไตรมาส 1 ของปีนี้ โดยเริ่มจากประเทศจีน
เป็นแห่งแรก จากนั้น น่าจะตามด้วย สหราชอาณาจักร ส่วนลูกค้าชาวไทย เจอกันได้
ในช่วงปลายปีนี้ ที่งาน Motor Expo 2017

MG_Maxus_T60

นอกเหนือจากนี่้ MG ยังสนใจที่จะร่วมกระโจนเข้าสู่ตลาดรถกระบะขนาดกลาง อัน
โหดหฤหรรษ์ อีกด้วย โดยในช่วงปี 2015 – 2016 ที่ผ่านมา พวกเขาลงประกาศว่าจ้าง
คนทำงานในแผนก Product Planning เพื่อดูแลการทำตลาดรถกระบะโดยเฉพาะ และ
ไม่เพียงเท่านั้น SAIC และ MG ยังแอบดอดไปสำรวจ “ตลาดไทย” อันเป็นศูนย์รวม
ของผู้ใช้รถกระบะ ในภาคการขนส่ง และภาคธุรกิจส่วตัวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
มาแล้วเรียบร้อย แสดงให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจัง ว่าพวกเขา ตั้งใจบุกตลาดอย่าง
แน่นอนแล้ว

ก่อนหน้านี่้ มีรายงานจากเว็บไซต์  GoAuto ว่า รัฐบาลไทย โดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รองนายกรัฐมนตรี (ในตอนนั้น) เข้าร่วมประชุมโรดโชว์ชักจูงการลงทุนอุตสาหกรรม ณ
นครเซี่ยงไฮ้ เมื่อ เดือนมิถุนายน 2016 จนได้ข้อสรุปว่า SAIC Motor จะลงทุนตั้งโรงงาน
ผลิตรถยนต์ และรถกระบะในบ้านเรา ด้วยกำลังการผลิตสูงมากถึง 1 แสนคัน/ปี เพื่อเป็น
ฐานการส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น เช่น Australia / New Zealand  จึงมีความเป็นไปได้ว่า
รถกระบะ Maxus จาก SAIC คันนี้จะเป็นรถที่จะเตรียมขึ้นสายการผลิตในไทยเร็ว ๆ นี้

ล่าสุด บริษัทในเครือของ SAIC อย่าง Maxus เพิ่งพัฒนารถกระบะ Maxus T60 เสร็จสิ้น
และออกจำหน่ายในแดนมังกร เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2016 ที่ผ่านมา

T60 มีตัวถังยาว 5,365 มิลลิเมตร กว้าง 1,900 มิลลิเมตร ความสูงรุ่นกระบะส่งของ 1,722
มิลลิเมตร รุ่น Cab และ 4 ประตู ตัวเตี้ย 1,809 มิลลิเมตร รุ่น 4×4 สูง 1,845 มิลลิเมตร หาก
เป็นรุ่นฐานล้อยาวพิเศษจะเพิ่มความยาวตัวถังอีก 315 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อรุ่นช่วงสั้น
ยาว 3,155 มิลลิเมตร รุ่นช่วงยาว 3,470 มิลลิเมตร พื้นที่กระบะของรุ่น 4 ประตู ฐานล้อ
มาตรฐานจะมีความยาว 1,485 มิลลิเมตร กว้าง 1,510 มิลลิเมตร สูง 530 มิลลิเมตร

รูปลักษณ์ ภายนอกไม่แตกต่างจากรถกระบะในท้องตลาดมากนัก เสริมความโดดเด่นด้วย
การติดตั้งไฟหน้า LED พร้อม Daytime Running Light และระบบปรับมุมองศาจานฉาย
ตามการเลี้ยวของพวงมาลัย AFS

ขุมพลังมีให้เลือกเพียงแบบเดียว เป็นแบบ VM Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.8 ลิตร
ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Common-Rail 3rd Generation จาก BOSCH พ่วงด้วยระบบ
Turbocharger มีให้เลือก 2 ระดับความแรง ทั้งแบบมาตรฐาน136 แรงม้า (PS) ที่ 3,200
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร (31.5 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 3,000 รอบ/นาที และ
แบบ Hi-Output 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร
(36.68 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 หรือ 6 จังหวะ และเกียร์
อัตโนมัติ 6 จังหวะโดย Punch Powertrain ซัพพลายเออร์ระบบเกียร์จากเบลเยี่ยม กับ
ระบบขับเคลื่อนn 4 ล้อ จาก BorgWarner ส่วนช่วงล่างหลัง Maxus T60 เป็นตับแหนบ
ที่ถูกออกแบบจุดยึดโดยคำนึงถึงความสะดวกสบายในการขับขี่หากมีการบรรทุกเบาและ
สามารถรองรับการบรรทุกหนักได้ ด้านระบบความปลอดภัยจะติดตั้งระบบควบคุมการ
ทรงตัว และเสถียรภาพ ESP, ระบบเตือนเปลี่ยนเลย Lane Departure,กับ ถุงลมนิรภัย
มากถึง 6 ใบ เป็นต้น

ดังนั้น จึงพอมีความเป็นไปได้สูงว่า รถกระบะ T60 คันนี้ เมื่อส่งมาทำตลาดในบ้านเรา
อาจจะไม่ได้พะแบรนด์ Maxus และอาจจะใช้ตรา MG แทน แต่กว่าที่พวกเขาจะพร้อม
เปิดตัวรถกระบะรุ่นนี้ น่าจะเป็นปี 2018 ขึ้นไป มากกว่า

——————————————————-

Mitsubishi_XM_Concept_2016

MITSUBISHI MOTORS
2017 : XM Minivan 1.5 L CVT From Indonesia / Triton Minorchange
2018 : Pajero Sport Minorchange
2019 : All New Mirage & Attrage

การเปิดตัว Mitsubishi Pajero Sport ใหม่ในเดือนสิงหาคม 2015 กลายเป็น
Talk of the town ที่ปลุกกระแส แบรนด์ Mitsubishi Motors ให้กลับฟื้นชีพ
ขึ้นมาอยู่ในความสนใจของผู้บริโภคชาวไทยอีกครั้งได้อย่างดี ต้องให้เครดิต
กับบรรดาทีมงานฝ่ายการตลาด โฆษณา และประชาสัมพันธ์ในยุคนั้น ที่ต่าง
ช่วยกันผลักดันให้ออกมาประสบความสำเร็จได้อย่างสวยงาม

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปิดตัวรถกระบะ Triton รุ่นปี 2016 ในช่วงปลายปี
2015 เพื่อแก้ปัญหายอดขายไม่กระเตื้อง อันเกิดจากงานออกแบบกระจังหน้า
ที่ทำให้ Triton ใหม่ ดูคล้ายรถกระบะจากเมืองเสิ่นเจิ้น จนลูกค้าเมินหนี แต่
เหมือนโชคร้ายมาเยือน การเปลี่ยนตัวผู้บริหารระดับสูง ก่อให้เกิดเรื่องราว
และความวุ่นวายภายในองค์กร มากมาย

1 สิงหาคม 2016 การย้ายสำนักงานใหญ่ จากทุ่งรังสิต เข้ามาอยู่ที่ ตึก FYI
สี่แยกคลองเตย ทำให้ บรรดาคนเก่าๆ ที่เคยทำงานอย่างจงรักภักดีให้กับ
องค์กร จำนวนมาก บางคนอยู่มาตั้งแต่สมัยเมื่อครั้งยังเป็น MMC สิทธิผล
ต่างทนไม่ไหว ยกพลตบเท้าลาออก ครั้งมโหฬาร ชนิดที่ต้องจารึกเอาไว้
ว่า ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของบริษัทนี้ และทำให้ค่ายทุ่งรังสิต…
เอ้ย..แยกคลองเตย เต็มไปด้วยความเครียด และ ความกดดันไปพักใหญ่
จากปัญหา งานล้น แต่ไม่มีคนทำ ส่งผลกระทบต่อยอดขายที่ไม่ฉลุยนัก
แม้ว่าจะมีความพยายาม ปรับปรุง Triton กันอีกรอบ ในช่วง กลางปี ก็ยัง
ไม่มีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก เมื่อบริษัทแม่ในญี่ปุ่น ถูก
รัฐบาลญี่ปุ่น จับได้ว่า โกงตัวเลจอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ในรถยนต์พิกัด
K-Car 660 ซีซี ในตลาดบ้านตัวเอง ทั้ง eK Wagon กับ eK Custom และ
ยังเลยเถิดไปถึง พันธมิตรอย่าง Nissan ทั้ง รุ่น Dayz และ Dayz Roox อีก
ยิ่งซ้ำเติมให้ยิ่งเจ็บหนัก หุ้นร่วงระนาว จนกระทั่ง Nissan ตัดสินใจซื้อหุ้น
ของ Mitsubishi Motors 34% เมื่อ 12 พฤษภาคม 2016 ตามรายละเอียด
เพิ่มเติม Click Here!

ผลจากการเข้าถือหุ้นใหญ่ของ Nissan ทำให้ ทั้ง 2 ค่าย ต่างเห็นประโยชน์
ร่วมกัน ในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ร่วมกัน ทั้งโรงงาน จัดซื้อ
หรือแม้แต่ การแชร์โครงสร้างวิศวกรรมยานยนต์และเทคโนโลยีต่างๆ เข้า
ด้วยกัน โดยเฉพาะ เทคโนโลยี ด้านระบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ที่ Nissan
ถนัด และระบบ Plugin Hybrid ที่ Mitsbishi Motors ชำนาญกว่า

หนึ่งในโครงการความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย และเขตภูมิภาค
ASEAN จะเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม ในปี 2017 นี้ นั่นคือ Mitsubishi Motors
กำลังซุ่มพัฒนา Minivan ขนาดเล็กรุ่นใหม่ และ Nissan เอง ก็สนใจจะ
ร่วมนำรถรุ่นนี้ ไปขายในแบรนด์ของตนเองอีกด้วย

Minivan ขนาดเล็กคันนี้ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังสำหรับรถเก๋งขนาดเล็ก
และมีรูปลักษณ์ภายนอก กับภายใน ยกมาจากรถยนต์ต้นแบบ XM Concept
ที่เพิงจะนำมาจัดแสดงในงาน Motor Expo เมื่อต้นเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา
คาดว่าจะวางเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร ขับเคลื่อน
ล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT

ล่าสุด มีผู้พบเห็นรถคันนี้ กำลังพรางตัว แล่นทดสอบในต่างประเทศ แสดงว่า
ใกล้จะได้เวลาปล่อยอกสู่ตลาดแล้ว เพราะตามแผนการที่วางไว้ กำหนดการ
เปิดตัว จะเกิดขึ้นในงาน Gaikindo Indonesia International Motor Show
ช่วงเดือนสิงหาคม 2017 ก่อนจะส่งมาเปิดผ้าคลุมในเมืองไทย ภายในช่วง
ไตรมาส 3 และ 4 ของ ปี 2017 แต่อาจจะต้องรอกำหนดทำตลาดจริงในช่วง
ต้นปี 2018 โดยคู่แข่งที่ดูจะใกล้เคียงกับรถคันนี้มากสุด คือ Honda BR-V

เริ่มเห็นแล้วใช่ไหมครับ มีแนวโน้มว่า ยอดขาย อาจไม่สูงอย่างที่ตั้งใจไว้
ดูยอดขายต่อเดือนของ BR-V ก็คงพอรู้แล้ว มีทางเดียวที่พอจะช่วยพยุง
ยอดขายไว้ต่อไปได้ นั่นคือ อัดออพชันมาให้เยอะมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
และปรับปรุงบุคลิกการขับขี่ รวมทั้ง ฟีลลิง พวงมาลัย กับช่วงล่าง ให้ดีๆ

รายการต่อไป ได้แก่ การปรับโฉม Big Minorchange ให้กับ Triton ใหม่
โดยจะเน้นไปที่การเปลี่ยนกระจังหน้า และชุดไฟหน้าออกแบบขึ้นใหม่หมด
ส่วนรายละเอียดด้านวิศวกรรมนั้น แทบไม่แตกต่างจากรุ่นปัจจุบันมากนัก
น่าจะเกิดขึ้นในปี 2017

จากนั้น จะเป็นคิวของ Pajero Sport ที่จะถูกส่งกลับไปแต่งหน้าทาปากใหม่
เป็นรุ่น ปรับโฉม Minorchange ที่มีกำหนดเปิดตัวในปี 2018 ขณะนี้ยังเร็ว
เกินไป ที่จะสรุปรายละเอียดความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ในปีนี้
แต่ช่วงปี 2017 คงมีการปรับอุปกรณ์ให้กับรุ่น GLS Ltd. และ GT ตามรุ่น
ท๊อป GT-Premium ที่ปรับไปแล้วในช่วงปลายปี 2016

ท้ายสุด ปี ใครที่เริ่มเบื่อหน้า 2 พี่น้องคู่หู B-Segment (ECO Car) ทั้งรุ่น
Mirage (Hatchback 5 ประตู) และ Attrage (Sedan 4 ประตู) ยืนยันว่า
ทั้งคู่ จะทะยอย เปลี่ยนโฉมใหม่ Full Model Change ราวๆ ปี 2019แแ

——————————————————-

Nissan_Note_2017

NISSAN
2017 : NOTE / GT-R !? / Teana NISMO ?
2018 : New SUV – PPV / All New ALMERA / KICKS
2019 : All New Teana? / C-Segment Sedan

ปี 2016 ที่ผ่านมา Nissan ต้องเจอมรสุมมากมาย ทั้งจากยอดขายที่ลดลง
ไปจนถึงปัญหาการถูก ดีลเลอร์ รายหนึ่ง ทำ Double Finance (อธิบายให้
เข้าใจง่ายๆคือ ปกติ ดีลเลอร์จะกู้เงินจาก Nissan Leasing เพื่อมาซื้อรถ
จากโรงงาน ไปขาย แต่ดีลเลอร์รายนี้ เมื่อได้รถมาแล้ว กลับเอารถไปเข้า
กระบวนการไฟแนนซ์ กับ บริษัทไฟแนนซ์  อีกทอดหนึ่ง) ว่ากันว่า มูลค่า
ความเสียหาย อาจสูงถึงประมาณ 2,000 ล้านบาท จนทำให้ประธานใหญ่
มร.นัมบุ ประกาศลาออก พร้อมกับ ประธานของ Nissan Leasing

ตอนนี้ประธานคนใหม่ ชาวฝรั่งเศส เข้ามารับช่วงดูแลกิจการแทน และเริ่ม
สานต่องานเก่าที่คั่งค้างไว้ มากมาย ทั้งการปรับปรุงบริการหลังการขาย
การบริหารจัดการ ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ และรวมทั้ง เปิดัวรถยนต์
รุ่นใหม่ๆ เพื่อช่วยฉุดสถานการณ์ Nissan ที่ร่วงลงเหว ให้กลับฟื้นขึ้นมา
อีกครั้ง

เริ่มต้นปี 2017 Nissan จะเปิดตัว NOTE เป็นครั้งแรกในไทย ตามคิดตลาด
ญี่ปุ่นที่เพิ่งเปิดตัวไป เมื่อต้นเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา กระนั้น Note เวอร์ชันไทย
จะยังยืนหยัดวางขุมพลัง HR12DE แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1,198 ซีซี.
และเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT ยกชุดมาจาก March และ Almera
แต่ มีการปรับปรุงสมองกลเกียร์ใหม่ ให้สามารถลากรอบเครื่องยนต์ไปจนถึง
Red Line แล้วจะมีะบบตัดลงมาอยู่ที่ระดับ 5,000 รอบ/นาที เพื่อให้ลากรอบ
เครื่องยนต์ ได้สนุกขึ้น แบบเกียร์อัตโนมัติทั่วไป (D-Range) โดยจะไม่มีขุมพลัง
Hybrid e-Power มาให้แบบเวอร์ชันญี่ปุ่น

แต่จุดขายสำคัญของ Note จะอยู่ที่การประโคมอัดอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย
มาให้เต็มพิกัด เกินหน้าเกินตา บรรดา ECO Car คันอื่นๆมากๆ อาทิ ระบบ
เบรกอัตโนมัติ เมื่อเข้าใกล้วัตถุหรือยานพาหนะข้างหน้ามากเกินไป และ
ระบบ Pre-Crash Safety

กำหนดการเปิดตัว Note ในบ้านเรา จะอยู่ที่ 17 มกราคม 2017 นี้ ซึ่งเป็น
รอบ Preview ก่อน ยังไม่มีรถคันจริงให้ชมโฉมกัน จากนั้น กำลังการผลิต
จะเดินเครื่องได้เต็มที่ ในช่วงเดือนมีนาคม 2017

ไม่เพียงเท่านั้น เรายังแอบได้ยินมาว่า Nissan กำลังคิดจะสั่งนำเข้า GT-R
และ GT-R NISMO รุ่นปี 2017 มาขายให้กับลูกค้าชาวไทย ที่อยากได้รถซึ่ง
ถูกฏหมาย แต่ยอมจ่ายแพงกว่าพอสมควร กระนั้น ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
ในตอนนี้

Nissan_Teana_Nismo_2017

ไม่เพียงเท่านั้น ในปี 2017 เราคาหวังจะเห็นการกระตุ้นตลาดให้กับ Teana
Sedan D-Segment ที่ขับดี แต่กลับขายไม่ดีเอาเสียเลย อย่างไรก็ตาม อย่า
คาดหวังว่าจะมีรุ่น Minorchange เพราะพวกเขาจะไม่ทำขายออกมาแน่ๆ
แต่ในเมื่อ ตลาด มาเลเซีย เพิ่งมีการเปิดตัว Nissan Teana NISMO ซึ่ง
ก็คือการออกแบบชิ้นส่วนตกแต่งมาประดับเรือนร่าง รวมทั้งปรับปรุงสปริง
กับช็อกอัพใหม่ ให้หหนึบขึ้นอีกนิด ดังนั้น พอจะคาดหวังได้ว่า อาจมีสิทธิ์
มาเปิดตลาดในเมืองไทย อย่างน้อยๆ ก็เอาไว้ประกบกับ Toyota Camry
Extremo ก็ยังดี

navara_ppv

(ภาพจาก Motor1.com)

สำหรับใครที่รอ Nissan Navara SUV/PPV นั้น ความเคลื่อนไหวล่าสุด
ก็คือ มีภาพถาย Spyshot พอให้เห็นเค้าลางของรถคันจำหน่ายจริง ออก
มาวิ่งทดสอบกันบ้างแล้ว

ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่น่าจะทำให้ขา PPV ถูกใจคือดีไซน์ด้านหน้า
จะไม่เหมือนกับ Navara เสียทีเดียว เพราะมีแนวโน้มว่ามันจะเป็นใบหน้า
ที่ถูกปรับปรุงให้ดูอัพเดทขึ้นด้วยชุดกระจังหน้า V-Shape ที่ใหญ่โตแบบ
V-Motion ที่ขอบกระจังหน้ากินพื้นที่กันชนหน้า

มีความเป็นไปได้สูงว่า Nissan Navara PPV จะมาพร้อมกับชุดโคมไฟหน้า
บูมเมอแรงทรงเพรียวขึ้น (ที่มีขอบขยักชายล่างไฟหน้า)และมีกันชนหน้า
ที่มีมิติรับกับไฟหน้า ส่วนบั้นท้ายก็ยังเป็นปริศนาว่าจะมีไฟท้ายทรงใด

ด้านขุมพลัง มีเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.3 ลิตร จาก
Renault ที่แฟนๆ Nissan ฝั่งกระบะ เขารอคอยกันอยู่ แต่ถ้าจะถามว่า
ขุมพลังบล็อกนี้ จะมาขายในบ้านเราเมื่อไหร่ คำตอบก็คือ อาจต้องรอ
ให้ Navara SUV/PPV เปิดตัวในตลาด ตะวันออกกลาง และเมืองจีน
ช่วงกลางปี 2017 ก่อน เราถึงจะได้สัมผัสกับรถคันนี้อย่างเร็วที่สุดช่วง
ปลาย 2017 จนถึงต้นปี 2018

Nissan_KICKS_2018

ล่วงเข้าสู่ปี 2018 Nissan จะมี 3 โครงการสำคัญ ที่จะต้องเปิดตัวในบ้านเรา
เริ่มต้นกันด้วย Nissan KICKS B-Segment Crossover SUV คันใหม่ ที่จะ
เข้ามาเปิดตัว และทำตลาดในเมืองไทย แทนที่ Nissan Juke ซึ่งจะถูกยุติ
บทบาทลงในอีกไม่นานนี้

Kick เพิ่งเปิดตัวในตลาดโลก เมื่อ 24 กรกฎาคม 2016 ที่ผ่านมา ถูกสร้างขึ้น
บนพื้นตัวถัง V-Platform เช่นเดียวกับ March Note Almera วางเครื่องยนต์
HR16DE พร้อมเกียร์อัตโนมัติ CVT ที่มีอยู่แล้วใน Sylphy เวอร์ชันไทย

จุดเด่นอยู่ที่ ในตลาดโลก Kick จะมีระบบ Around View Monitor และระบบ
ตรวจจับการเคลื่อนไหวของวัตถุ ระบบว่า Chassis Dynamic Control ซึ่งมีทั้ง
ระบบการควบคุมการทรงตัวขณะเลี้ยงโค้ง (Active Trace Control) ระบบสร้าง
เสถียรภาพขณะวิ่งทางลูกคลื่น (Active Ride Control), ระบบ Active Engine
Brake เป็นต้น รวมทั้งพื้นที่ในห้องโดยสาร ที่แก้ปัญหาความคับแคบจาก Juke
ได้สำเร็จ

กำหนดออกขายในเมืองไทย จะอยู่ในช่วงปี 2018 ซึ่งจะเป็นปีที่ Nissan ต้อง
เตรียมเปิดตัว Almera Full ModelChange เพื่อที่จะเข้าร่วมโครงการ ECO
Car Phase 2 ของรัฐบาลไทยด้วย หลังจากนั้น เราก็ต้องมาลุ่นกันต่อไป ว่า
Nissan จะถอดใจ เลิกนำ Teana รุ่นถัดไป มาประกอบขายในบ้านเราหรือไม่
แ้วพวกเขาจะเดินหน้าอย่างไรต่อกับโครงการพัฒนา C-Segment Sedan
รุ่นต่อจาก Sylphy N17 อนาคต ยังยากจะหยั่งรู้

——————————————————-

Porshce_Panamera_Hybrid_2017_2

PORSCHE
2017 : 911 GTS / Panamera 4 e-Hybrid  /718 GTS (Boxster & Cayman)
          : Cayenne Full Modelchange
          : Panamera Sport Turismo  (Shooting Brake)

ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา AAS Auto Service ผู้นำเข้าและจำหน่าย Porsche
ในบ้านเราอย่างเป็นทางการ ส่งรถสปอร์ต และ SUV รุ่นใหม่ๆ มาเอาใจ
กลุ่มลูกค้าเศรษฐีรุ่นใหม่ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในปี 2016 พวกเขาส่ง
911 Carrera รุ่นปรับโฉม มาเปิดตัวในงาน Bangkok Motor Show
เดือนมีนาคม 2016 ต่อมา 30 ตุลาคม 2016 ก็เปิดตัว Panamera
ใหม่หมดครบทั้งตระกูล ก่อนส่งท้ายปีที่ผ่านไป ด้วยการเปิดผ้าคลุม
Cayenne S E-Hybrid Platinum Edition และรุ่น 718 Cayman ใน
งาน Motor Expo ไปหมาดๆ

สำหรับปีนี้ Porsche เตรียมรถสปอร์ตรุ่นใหม่ไว้เปิดตัวมากมาย เริ่มจาก
ช่วงต้นปี เดือนมกราคมนี้ Porsche จะจัดงานเปิดตัว 911 GTS กันไกล
ถึง South Africa ซึ่งงานนี้ คุณ Pan Paitoonpong จาก Headlightmag
ของเรา จะได้รับเชิญให้บินไปร่วมงานดังกล่าวด้วย รายละเอียดของรถ
เวอร์ชันขายจริง รอพบได้จากคุณ Pan ปลายเดือนมกราคม 2017 นี้

กลับมาดูเมืองไทย Panamera 4 e-Hybrid จะมาถึงบ้านเรากลางปีนี้
พร้อม ขุมพลัง 6 สูบ 2,894 ซีซี 330 แรงม้า (PS) ที่ 5,250 – 6,500
รอบ/นาที แรงบิด 450 นิวตันเมตร (45.85 กก.-ม.) ที่ 1,750 – 5,000
รอบ/นาที พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า 136 แรงม้า (PS) ที่ 2,800 รอบ/นาที
แรงบิด 400 นิวตันเมตร (40.76 กก.-ม.) ที่ 2,300 รอบ/นาที เมื่อรวม
กำลังในระบบทั้งหมดจะอยู่ที่ 462 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิด 700 นิวตันเมตร (71.33 กก.-ม.) ที่ 1,100 – 4,500 รอบ/นาที
พร้อมเกียร์อัตโนมัติ PDK และระบบชาร์จไฟผ่านปลั๊ก กำหนดเริ่มส่ง
มอบให้ลูกค้าได้ ในช่วงกลางปี 2017 ด้วยค่าตัว 9,800,000 บาท

Panamera 4S เครื่องยนต์เบนซิน Bi-Turbo V6 2.9 ลิตร 2,894 ซีซี.
อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 กำลังสูงสุด 440 แรงม้า ที่ 5,650 – 6,600
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 5,500 รอบ/นาที
จับคู่กับ เกียร์อัตโนมัติ PDK 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel Drive
สนนราคาที่ 13,500,000 บาท

และปิดท้ายด้วย Panamera Turbo เครื่องยนต์เบนซิน Bi-Turbo V8
4.0 ลิตร 3,996 ซีซี. อัตราส่วนกำลังอัด 10.1 : 1 กำลังสูงสุด 550 แรงม้า
ที่ 5,750 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตร ที่ 1,960 –
4,500 รอบ/นาที จับคู่กับ เกียร์อัตโนมัติ PDK 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ
All-Wheel Drive กับค่าตัวที่ 21,900,000 บาท

ช่วงปลายปีจะถึงเวลาของรุ่นแรงพิเศษ 718 GTS ที่จะมีให้เลือกทั้ง
ตัวถังเปิดประทุน Boxster และ หลังคาแข็ง Cayman คาดว่าจะใช้
เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.5 ลิตร Turbo เหมือน รุ่น S แต่จะเพิ่มกำลังให้
แรงขึ้น จากนั้น รุ่น 718 GT4 จะตามออกมาในเวลาไม่นานนัก และ
เป็นรุ่นเดียวในตระกูล ที่ยังคงใช้เครื่องยนต์ Boxer 6 สูบนอน อยู่

ไม่เพียงเท่านั้น ปลายปี 2017 เราอาจจะได้พบกับตัวถัง Shooting
Brake (Sport Wagon 2 ประตู) ในชื่อ Panamera Sport Turismo
ตามออกมา โดยใช้เครืองยนต์กลไก และงานวิศวกรรม ร่วมกับพี่ชาย
ตระกูล Panamera ทุกประการ แ่ต่หลังคาด้านหลังจะเตี้ยลง และมี
บุคลิก เป็น Sport Wagon ชัดเจน

สำหรับตระกูล SUV นั้น แม้จะถึงเวลาที่ Cayenne จะต้องเปลี่ยนโฉม
Full Modelchange แต่ก็ยังไม่มีข้อมลใดๆแน่ชัดออกมา ขณะที่รุ่นเล็ก
อย่าง Porsche Macan จะมีการปรับโฉม Minorchange ครั้งใหญ่ ในปี
2018 แต่ยังไม่มีข่าวว่าจะเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Modelchange เมื่อใด

——————————————————-

Rolls_Royce_Phantom_2017_Spyshot_1

ROLLS ROYCE
2017 : All New PHANTOM
2018 : Cullinan SUV

อธิบายกันนิดนึงก่อนว่า Rolls Royce ยุคใหม่ จะแบ่งกลุ่มรถยนต์หรู
ของพวกเขาไว้ 2 รุ่นหลัก นั่นคือ กลุ่มรุ่นเล็ก อย่าง Ghost Saloon
Wraith Coupe และ Dawn เปิดประทุน กับกลุ่มรุ่นใหญ่อย่างตระกูล
Phantom Saloon , Coupe กับ Drophead หรือเปิดประทุน ซึ่งมี
ราคาแพงกว่ามาก

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2003 เป็นต้นมา จนถึง
วันนี้ Rolls Royce ไม่เคยปรับปรุง Saloon คันใหญ่ ระดับ Flagship
รุ่น Phantom เลย ได้แต่ผลิตรถตามใบสั่งของลูกค้าไปวันๆ เรื่อยๆ
สบายๆ ไม่เร่งรีบ และถือว่า ทำยอดขายได้ในระดับน่าพอใจ

ล่าสุด เมื่อ 5 กรกฎาคม 2016 ผู้ผลิตรถยนต์ระดับหรู จอม Slow Life
ชาวอังกฤษ แห่งเมือง Goodwood เพิ่งเปิดเผย ภาพถ่าย Spyshot
ชุดแรกของ Phantom ใหม่ แบบเปลี่ยนโฉมทั้งคัน ออกมาครั้งแรก

คราวนี้ Phantom ใหม่ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง MEB Modular
Platform พร้อมโครงสร้างตัวถัง All Aluminium Space Frame
น้ำหนักเบาขึ้น รวมทั้งจะใช้วัสดุ Carbon-Fibre reinforced plastic
(CFRP) มาใช้ในการผลิตเพื่อช่วยลดน้ำหนักตัวลงมาอีกด้วย

ขุมพลังเบื้องต้น คาดว่า ยังคงยืนหยัดกับเครื่องยนต์ V12 สูบ เช่นเดิม
แต่มีความเป็นไปได้ว่า เราอาจได้เห็นเวอร์ชัน Plug-in Hybrid ตาม
ออกมาในเวลาไม่นานนัก พร้อมกันนี้ Roll Royce ยังเตรียมนำระบบ
Infotainment ต่างๆ จาก BMW 7-Series มา Upgrade เพิ่มขึ้นไป
ให้เหนือชั้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยยังคงรักษามาตรฐานในการประกอบ
ระดับงานฝีมือชั้นเลิศของพวกเขาเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

กำหนดเปิดตัวในตลาดโลก จะเกิดขึ้นในช่วงปี 2017 นี้

Rolls_Royce_Cullinan_Official_Spyshot

หลังจากนั้น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2018 Rolls Royce Cullinan SUV
คันแรกอย่างเป็นทางการของพวกเขา จะพร้อมเปิดตัว และส่งมอบให้
ลูกค้าได้

Cullinan คือ SUV ที่ถูกสร้างขึ้นบนโครงสร้างพื้นตัวถัง MEB Modular
All Aluminium Platform แบบเดียวกับ Phantom ใหม่ คาดว่าจะวาง
เครื่องยนต์ V12 สูบ 6.6 ลิตร ยกมาจาก Ghost และ Wraith และอาจ
มีเวอร์ชัน Plug-in Hybrid ตามมาให้เลือกในภายหลัง

เพื่อไม่ให้บรรดาอภิมหาเศรษฐีระดับถังข้าวสาร หรือถุงทองคำ รอเก้อ
Rolls Royce จึงปล่อยภาพถ่ายอย่างเป็นทางการ หรือ Official Leak
ของ Cullinan ในสภาพหุ้มห่อด้วยสติกเกอร์พรางตัว แบบลอกออกได้
รอบคัน เมื่อ 1 ธันวาคม 2016 ที่ผ่านมา

พวกเขากล่าวว่า หลังพ้น Christmas 2016 ไปแล้ว รถคันนี้จะถูกส่งไป
ทดสอบในสภาพอากาศหนาวสุดขั้วที่ Arctic Circle ก่อนจะส่งต่อไป
ทดสอบในสภาพอากาศร้อนจัด กลางทะเลทรายในตะวันออกกลาง
ช่วงกลางปี 2017 เพื่อให้พร้อมสำหรับการเปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของ
ปี 2018

สำหรับเมืองไทย Rolls Royce Motor Car (Thailand) ในเครือของ
MGC (กลุ่ม Millennium) น่าจะพร้อมเตรียมสั่ง Phantom ใหม่ เข้า
มาเปิดตัวก่อน ช่วงกลางปี 2017 และ ตามด้วย Cullinan ประมาณ
ช่วงปลายปี 2018

——————————————————-

Ssangyong_LIV2_2016_Paris_Show

SSANGYONG
2017 : New Rexton

ดูเหมือนว่าผู้ผลิตรถยนต์ชาวเกาหลีใต้ ผู้อุทิศตัวให้กับการผลิตแต่ SUV
ในเครือของกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรม Mahindra & Mahindra จากอินเดีย
มีความเคลื่อนไหวแค่เพียงการทดลองนำ Sub-Compact Crossover ใหม่
รุ่น Tivoli เข้ามาทดลองตลาด แต่ด้วยค่าตัวแพงถึง 1,500,000 บาท จึง
แทบไม่มีลูกค้าสนใจ โชคดีที่สั่งเข้ามาเพียงแค่ 2 คัน และต้องยุติแผนไป
อย่างน่าเสียดาย

กระนั้น ในตลาดโลก Ssangyong เพิ่งจะเผยโฉมรถยนต์ SUV ต้นแบบรุ่น
LIV2 ในงาน Paris Auto Salon เดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งคาดกันว่า นี่
คือเค้าโครงหน้าตาของ Ssangyong Rexton รุ่นใหม่ ที่มีกำหนดเปิดตัวใน
ตลาดโลก ปี 2017 ที่จะถึงนี้

เมื่อมีการเปิดตัวในตลาดโลกอย่างเร็วที่สุดในงาน Geneva Motor Show
เดือนมีนาคมนี้ เราอาจได้เห็น Rexton ใหม่ ถูกสั่งเข้ามาจำหน่ายในไทย
ราวๆ ต้นปี 2018

——————————————————-

Subaru_XV_Concept_2017

SUBARU
2017 : “All Model” Minorchange / XV Full Modelchange

ค่ายดาวลูกไก่ภายใต้การทำตลาดของ T.C.Subaru จากกลุ่ม Tan Chong Group
สิงคโปร์ ยังคงได้รับการกล่าวขวัญมากมาย ในความสามารถปลุกตลาด Subaru ที่
เคยเงียบเหงาดุจนั่งเฝ้าป่าช้า ให้ฟื้นกลับมากระปรี้กระเปร่า ได้อีกครั้ง จนบริษัทแม่
ที่ญี่ปุ่น FHI (Fuji Heavy Industries) เริ่มให้ความสำคัญกับประเทศไทยมากขึ้น
ถึงขั้นส่งคนมาเยี่ยมเยียนบ่อยมากในช่วงปี 2015 – 2016 ที่ผ่านมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลดราคาครั้งประวัติศาสตร์ที่ทำให้โชว์รูม Subaru ถึงขั้น
หัวบันไดไม่แห้ง เมื่อช่วงต้นปี 2015 ทำให้ Subaru เติบโตขึ้นพรวดพราด ทำให้
หลายค่าย เริ่มจับตามอง ค่ายดาวลูกไก่มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การประคองตลาด XV ให้อยู่รอดไปจนถึงสิ้นปี 2017 ไม่ใช่เรื่องง่าย
T.C.Subaru เองก็หาทางส่ง Forester ประกอบจากมาเลเซีย เข้ามาเปิดตลาดใน
ราคาทีถูกจนแย่งลูกค้าจาก XV มาได้พอสมควร ไปพร้อมๆกับหาทางนำรถยนต์
รุ่นอื่นๆ เข้ามาเปิดตลาดบ้าง ทั้ง Outback ใหม่ ในงาน Motor Expo 2014 และ
Levorg ในงาน Motor Expo ปี 2015 แต่ทั้ง 2 รุ่น กลับมียอดขายไม่เยอะนัก

พอเข้าสู่ปี 2016 กลับมีกลยุทธ์ประหลาดๆจากฝั่ง สิงค์โปร์ ที่เลือกจะขึ้นราคา XV
และอีกหลายๆรุ่น กันดื้อๆ จนลูกค้าพากันก่นด่าและสาบส่งเละเทะอยู่พักใหญ่ แต่
ท้ายสุด พวกเขาก็ยอมตัดสินใจ หั่นราคา Levorg เหลือแค่ 1,890,000 บาท เพื่อ
ระบายสต็อกที่มีอยู่ทั้ง 20 คัน หมดเกลี้ยงภายในเวลาเพียง สัปดาห์เดียวเท่านั้น
ส่วน XV ก็ยังคงต้องกระตุ้นตลาด ด้วย รุ่นตกแต่งพิเศษ ของ XV กันต่อไป

พร้อมกันนั้น T.C.Subaru ก็นำ Forester 2.0 ลิตร Made in Malaysia มาเปิดตัว
ในงาน Bnagkok International Motor Show เมื่อ 21 มีนาคม 2016 ด้วยราคา
ที่ยั่วยวนใจให้คนที่คิดจะซื้อ XV กัดฟันเพิ่มงบอีกนิด เพื่อยกระดับไปเล่นรุ่นใหม่
ตัวใหญ่กว่ากันนิดหน่อยไปเลยดีกว่า ทำให้ Forester พอมียอดขายเพิ่มขึ้นอีก
เล็กน้อย

brz_all_edit

ไม่เพียงเท่านั้น รถสปอร์ต 2 ประตู ขับเคลื่อนล้อหลัง ฝาแฝดของ Toyota 86
อย่าง Subaru BRZ ก็เริ่มมีรุ่นปรับโฉม Minorchange ออกมาในช่วงปลายปีนี้
เรียบร้อยแล้ว แต่ในช่วงแรก เพิ่งส่งไปอวดโฉม ที่นครราชสีมา ก่อน เพราะยัง
ไม่อยากให้เป็นกระแสมากนัก กลับกลายเป็นว่า มีลูกค้าสนใจสั่งจองกันเยอะ

ปี 2017 จะเป็นปีแห่งการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ ยุคถัดไปของ Subaru เพราะพวกเขา
เพิ่งเปิดตัว Impreza Full ModelChange รถยนต์นั่ง C-Segment รุ่นแรก ที่ใช้
พื้นตัวถังใหม่ Subaru Global Platform architecture เมื่อ 24 มีนาคม 2016
ในงาน New York Auto Show ก่อนเริ่มออกขายในญี่ปุ่น เมื่อ 13 ตุลาคม 2016
ปรากฎว่า สร้างสถิติยอดสั่งจอง สูงถึง 11,050 คัน หรือ 4 เท่าของเป้าจำหน่าย
2,500 คัน/เดือน ในระยะเวลาเพียง 1 เดือนหลังเปิดตัว แถมยังเป็นกลุ่มลูกค้าที่
เคยใช้รถยี่ห้ออื่น มากถึง 51%

ล่าสุด เวอร์ชันต้นแบบ ในชื่อ Subaru XV Concept 2016 เผยโฉมแล้วในงาน
Geneva Auto Salon เมื่อ 1 มีนาคม 2016

รูปลักษณ์ภายนอก จะถูกสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แนวทางการออกแบบใหม่ล่าสุด
Dynamic X Solid เน้นความแข็งแรงและมีพลังของทุกเส้นสายบนตัวถัง ส่วน
รายละเอียดทางวิศวกรรม ยังคงเป็นความลับ แต่เป็นไปได้สูงมากว่า XV ใหม่
เวอร์ชันไทย จะได้ใช้เครื่องยนต์ FB20 บล็อก 4 สูบนอน Boxer DOHC 16
วาล์ว 1,995 ซีซี  ไร้ระบบอัดอากาศ 152 แรงม้า (PS) เชื่อมกับระบบขับเคลื่อน
4 ล้อ AWD (All Whell Drive) เอกลักษณ์ประจำค่าย ด้วยเกียร์อัตโนมัติ
อัตราทดแปรผัน CVT คล้ายคลึงกับรุ่นปัจจุบัน

คาดว่า เวอร์ชันจำหน่ายจริง น่าจะเปิดตัวได้ในงาน Geneva Auto Salon เดือน
มีนาคม 2017 และน่าจะเข้ามาเปิดตัวในประเทศได้ อย่างเร็วที่สุด ภายในก่อน
สิ้นปี 2017 – ต้นปี 2018 โดยโรงงานของ Tan Chong Group ใน Malaysia
จะยังคงรับหน้าที่ผลิต XV ใหม่ ส่งมายังเมืองไทย ตามเคย

เปล่าหรอกครับ Impreza ใหม่หนะ ไม่มาเมืองไทยแน่ๆ แต่รถยนต์ที่สร้างขึ้นบน
พื้นฐานงานวิศวกรรมร่วมกับ Impreza Hatchback 5 ประตู อย่าง XV รุ่นใหม่นั่น
ต่างหาก ที่มีแผนจะถูกนำเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย

แล้วระหว่างต้นปี จนถึง Motor Expo ละ? ไม่ต้องห่วง Subaru XV รุ่นปัจจุบัน
จะยังมีจำหน่ายเพียง 2 รุ่นย่อยสุดท้าย นั่นคือ Crosstrek กับ XV STI ตกแต่ง
ด้วยชุด Aero Part ของ Subaru Technica Internatonal ที่เพิ่งเปิดตัวไปใน
งาน Motor Expo 2016 อีกราวๆ 300 คัน เท่านั้น หมดแล้ว หมดเลย!

ส่วน Subaru Forester ก็จะยังคงมีทำตลาด 2 รุ่นย่อยตามเดิม แต่อาจเพิ่มเติม
ด้วยรุ่นตกแต่งพิเศษ สไตล์เดียวกับ XV Sti

ขณะเดียวกัน บรรดา รถยนต์รุ่นที่ขายได้น้อย ก็จะมีการปรับโฉมเช่นเดียวกันทั้ง
Outback และ WRX รวมทั้ง WRX STi ด้วย ในช่วงกลางปี

ท้ายสุด คือ Levorg Sport Wagon จะยืนราคาไว้ที่ 2,100,000 บาท ตลอดปี
ไม่มีลดราคาและขึ้นราคากันอีกแล้ว เพราะตอนนี้ ทางผู้บริหารที่สิงค์โปร์ ได้
เรียนรู้แล้วว่า จะเอากลยุทธ์การขึ้น-ลงราคารถตามใจชอบ แบบในบ้านตัวเอง
มาใช้กับประเทศไทยหนะ ไม่ได้! กระนั้น ช่วงกลางปีนี้ Levorg จะถูกปรับโฉม
เล็กน้อย มาพร้อมกับ Advanced package ครบชุด ทั้ง Blind Spot Monitor
Lane Keeping Assist ฯลฯ อีกมากมาย แต่จะยังไม่มีระบบ Eyesight มาให้
เหมือนเดิม เพราะตลอดปีที่ผ่านมา มีการนำระบบ Eyesight มาทดสอบใน
เมืองไทยแล้ว แต่ยังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร (แหงละ สภาพการจราจรของ
บ้านเรา มันไม่เอื้อกับการทำงานของระบบนี้เลยจริงๆ!)

ส่วนแผนการนำ Subaru กลับเข้ามาประกอบในประเทศไทยอีกครั้ง ในรอบหลาย
สิบปี อาจต้องชะลอกันไปก่อน เพราะผู้บริหารชาวสิงค์โปร์ของกลุ่ม Tan Chong
พูดไว้ชัดเจนว่า “จะไม่สร้างโรงงานใหม่ จนกว่าประเทศไทยจะมีรัฐบาลที่มาจาก
การเลือกตั้ง…” ดังนั้น ถ้าปีนี้ มีการเลือกตั้ง ตาม Road Map ของรัฐบาล เราอาจ
ได้เห็น การประกาศแผนนำรถยนต์ Subaru มาประกอบในประเทศไทย เสียที
แต่กว่าจะถึงวันที่ รถคันแรก คลอดออกจากสายการผลิตในบ้านเรา คงต้องรอถึง
ปี 2018 – 2019 ขึ้นไป

——————————————————-

Suzuki_Swift_3_2017

SUZUKI
2017 : No New Cars!
2018 : SWIFT Full Model Change
2019 : IGNIS ?

สถานการณ์ของผู้ผลิตรถยนต์ชาวญี่ปุ่น จากเมือง Hamamatsu ในยามนี้
ถือว่า อยู่ในระดับ “ประคับประคองตัว” เหตุผลนั่นเพราะว่า รถยนต์ระดับ
Sub-Compact ที่ขายดีสุดของแบรนด์ อย่าง Swift กำลังเดินทางเข้าสู่
ช่วงปลายอายุตลาดแล้ว

ขณะเดียวกัน Sub-Compact Sedan รุ่น Ciaz ที่มีเรือนร่างใหญ่โตเท่าๆ
C-Segment Compact Sedan แต่วางเครื่องยนต์1.2 ลิตร ของ Swift ก็
เพิงจะเริ่มมียอดขายทะยอยเข้ามา ราวๆ เดือนละ 1,000 คัน โดยเฉลี่ย
แถมยังมี ฺBack Order อยู่ที่ 1 เดือน อีกต่างหาก!

อีกรุ่นหนึ่งที่ยังคงขายได้เรื่อยๆ คือ รถกระบะ Carry 1.6 ลิตร ซึ่งยังคง
อยู่ในห้วงความคิดของ เถ้าแก่ SME และบรรดา Food Truck Owner
ยุคใหม่ เสมอๆ เมื่อคิดจะซื้อรถกระบะเล็ก มาต่อยอดกิจการของตน
สักคันหนึ่ง

นอกนั้น เจ้าเปี๊ยก Celerio กับ Ertiga ยังคงเป็นเพียงเถาวัลย์เส้นเล็กๆ
ประดับโชว์รูมให้ดูเต็มพื้นที่ เพียงเท่านั้น ไมสามารถสร้างยอดขายได้
มากมายอย่างที่คาดหวังกันไว้ ก็แน่ละ Celerio มีหน้าตาจืดชืดขนาดนั้น
ส่วน Ertiga ก็ยังมีเรื่องยนต์เล็กสุดในกลุ่มคู่แข่ง สู้แบรนด์ใหญ่เขาไม่ได้

หลังการเปิดตัว Suzuki Ciaz ในช่วงกลางปี 2015 แล้ว จนถึงวันนี้ Suzuki
ก็แทบจะไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวอื่นใดให้เราได้ติดตามกันเลย อย่างมาก
ก็มีเพียงแค่ การเปิดตัว Suzuki Ertiga DREZA รุ่นปรับโฉม Minochange
ของ Sub-Compact Minivan 7 ที่นั่ง ขุมพลัง 1.4 ลิตร และ Suzuki Swift
Sai รุ่นตกแต่งพิเศษ สีม่วง พร้อมชุดเครื่องประดับรอบคัน และล้ออัลลอย
ลายพิเศษ ในงาน Bangkok Internatioal Motor Show เดือนมีนาคม
2016 เพียงเท่านั้น

ด้านกิจกรรมการตลาดที่เหลือ ก็เน้นไปยังการสนับสนุนผู้ประกอบการด้าน
อาหาร ให้นำ รถกระบะ Carry มาจัดกิจกรรมแนว Food Truck Festival
ซึ่งได้รับความสนใจอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งกลุ่มเจ้าของ SME
และกลุ่มนักชิมของอร่อย

Suzuki_Swift_4_2017

สำหรับปี 2017 นั้น Suzuki จะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ในบ้านเราทั้งสิ้น หากมี
ก็เป็นแค่เพียง การนำ Swift และ Ciaz มาตกแต่งเป็นรุ่นพิเศษ ในแบบ
“Limited Edition” เหมือนเช่นที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ทุกปี

อย่างไรก็ตาม ในญี่ปุ่น Suzuki เพิ่งเปิดตัว Swift ใหม่ 3rd Generation
Full Model Change ออกสู่ตลาดแดนปลาดิบอย่างฉับไวเรียบร้อยแล้ว
เมื่อ 27 ธันวาคม 2016 ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ที่เพิ่ม
ความโค้งมน พร้อมกับใบหน้าที่แปลกตาไปจากตระกูล Suzuki ด้วยกัน
ทุกคัน แถมมีเสาหลังคาด้านหลังสุด C-Pillar เป็นแบบ สีดำ เล่นระดับ
ในสไตล์ Floating C-Pillar อีกด้วย

Swift ใหม่ ถูกสร้างบนโครงสร้างพื้นตัวถังใหม่ล่าสุด HEARTECT โดย
ตัวรถจะมีความยาว 3,840 มิลลิเมตร (สั้นลงกว่าเดิม 10 มิลลิเมตร) กว้าง
1,695 มิลลิเมตร (เพิ่มขึ้น 5 มิลลิเมตร) สูง 1,500 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ
2,450 มิลลิเมตร (ยาวขึ้น 20 มิลลิเมตร เท่า Honda Jazz รุ่นปี 2008)

ตัวรถมีขนาดใกล้เคียงกับรุ่นปัจจุบัน นั่นหมายความว่า Swift ใหม่จะยังคง
ออกแบบมาโดยรักษาบุคลิกรถขับสนุกเอาใจชาวยุโรป ไว้ตามเดิม แต่ถ้า
จะคาดหวังพื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังเพิ่มเติม ต้องบอกเลยว่า เสียใจด้วย
ดูจากสเป็กแล้ว เบาะหลังน่าจะนั่งไม่ถึงกับสบายนัก พอกันกับรุ่นปัจจุบัน

เวอร์ชันญี่ปุ่น จะมีขุมพลังให้เลือก 3 แบบ ดังนี้

Dual JET

– เครื่องยนต์ เบนซิน รหัส K12C 4 สูบ DOHC 1,242 ซีซี. กระบอกสูบ x
ช่วงชัก : 73.0 x 74.2 มิลลิเมตร กำลังอัด 12.5 : 1 ระบบหัวฉีดคู่ Dual Jet
91 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 12.02 กก.-ม.(118 นิวตันเมตร)
ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ CVT

MILD Hybrid

– ขุมพลัง Mild Hybrid (SHVS) ที่นำเครื่องยนต์เบนซิน K12C 1.2 ลิตร
พ่วงกับชุด ISG (Integrated Starter Generator) ทำงานร่วมกับมอเตอร์
ไฟฟ้า WA05A 3.1 แรงม้า (PS) ที่ 1,100 รอบ/นาที แรงบิด 50 นิวตันเมตร
ที่ 100 รอบ/นาที เชื่อมกับ แบตเตอรี่ Lithium-ion

Booster JET

– เครื่องยนต์เบนซิน K10C 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 996 ซีซี. กระบอกสูบ
x ช่วงชัก : 73.0 x 79.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0 : 1 พ่วง Turbo 102
แรงม้า (PS) ที่ 5,550 รอบ/นาที แรงบิด 15.2 กก.-ม. (150 นิวตัน-เมตร)
ที่ 1,700 – 4,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ยกมาจาก
พี่สาวรุ่นใหม่อย่าง Suzuki Baleno 5 ประตู

จุดเด่นของ Swift ใหม่ อยู่ที่น้ำหนักตัวรถ เพราะรุ่นล่างสุดหนักเพียงแค่
830 กิโลกรัม ส่วนรุ่น Mild Hybrid จะมีน้ำหนักเบาแค่ 910 กิโลกรัม
และรุ่น 1,o ลิตร  Turbo จะหนักเพียง 930 กิโลกรัม เท่านั้น กำหนดการ
เปิดตัว ในญี่ปุ่น คาดว่าจะเกิดขึ้นภายใน ช่วง เดือน มกราคม 2017 นี้
ก่อนจะส่งไปเปิดตัวในยุโรป ที่งาน Geneva Auto Salon เดือนมีนาคม
2017 และจะเริ่มทะยอยออกจำหน่ายไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก ในช่วง
ครึ่งหลังของปี 2017 เป็นต้นไป

มาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่าน ก็คงจะเริ่มตั้งคำถามในใจว่า แล้วบ้านเราจะได้ใช้
Swift ใหม่ เครื่องยนต์แบบไหน และจะเปิดตัวกันเมื่อไหร่

สำหรับ Swift ใหม่ เวอร์ชันไทย อาจยังคงต้องใช้เครื่องยนต์ K12B
พ่วงด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT กันต่อไปตามเดิม พักหนึ่งก่อน แม้ว่าเรา
อยากจะให้ Suzuki นำเครื่องยนต์ 3 สูบ 1.0 ลิตร Turbo เข้ามาขายใน
เมืองไทย ใจจะขาด

กำหนดเปิดตัวในไทยนั้น เราอาจต้องรอให้ลูกค้าชาวญี่ปุ่นได้เป็นหนู
ทดลองยาไปสักระยะหนึ่งก่อน เพื่อหาข้อบกพร่องของตัวรถแล้ว หา
แนวทางแก้ไขปรับปรุง รอไว้ล่วงหน้า ไปพร้อมๆกับการเตรียมงาน ขึ้น
สายการผลิตราวๆ 12 – 18 เดือน ตามมาตรฐานของวงการอุตสาหกรรม
ยานยนต์ในบ้านเรา ดังนั้น Swift ใหม่ จึงมีโอกาส เปิดตัวในเมืองไทย
ช่วงต้นปี 2018 หรืออีก 1 ปี นับจากนี้

Suzuki_IGNIS_2017

ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ที่ตามมาหลังจากนั้น มีความเป็นไปได้สูงมาก ว่าอาจ
เป็น Suzuki IGNIS Mini Crossover SUV คันกระเปี๊ยก ที่มีรูปลักษณ์
ภายนอก แปลกตา อาจไม่ถูกใจใครหลายคนนัก แต่ภายในห้องโดยสาร
คือจุดขายสำคัญของ IGNIS ใหม่ ทั้งด้วยการออกแบบที่ร่วมสมัย วัสดุ
ตกแต่งที่ดีเกินหน้าเกินตา รถเก๋งคันเล็กในบ้านเราไปเยอะ

เวอร์ชันญี่ปุ่น มีเฉพาะ ขุมพลัง Mild HYBRID ประกอบด้วยเครื่องยนต์
รหัส K12C เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,250 ซีซี DualJet 91 แรงม้า
(PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตร (12.0 กก.-ม.)
ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับระบบ SHVS ซึ่งมี มอเตอร์ไฟฟ้า 3.1 แรงม้า
(PS) แรงบิดสูงสุด 50 นิวตัน-เมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน
CVT และมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AllGrip เป็นออพชั่นให้เลือก

อย่างไรก็ตาม จนถึงเวลานี้ ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัด ว่า IGNIS จะเข้ามา
เปิดตัวในประเทศไทย ได้เมื่อไหร่ และจะวางเครื่องยนต์ แบบใด ต้อง
รอความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนกว่านี้อีกครั้ง ในปีหน้า

ส่วนใครก็ตาม ที่เคยรอว่า เมื่อไหร่ Suzuki จะนำ Lapin และ Hustler
มาขยายตัวถัง จาก พิกัด K-Car 660 ซีซี. แล้ววางเครื่องยนต์ใหญ่ขึ้น
เป็น 1,000 – 1,200 ซีซี.ประกอบขายในบ้านเรา บอกได้เลยว่า เลิกรอ
เถอะครับ หลังจากความพยายามในการพูดคุยกับบริษัทแม่ ถึงกรณีนี้
ปรากฎว่า ประเทศในเขต ASEAN ชาติอื่นๆ ต่างไม่เอาด้วยกับไอเดีย
ของทีมงานฝั่งไทย เพราะรสนิยมการใช้รถยนต์ของพวกเขา ไม่ชอบ
รถเก๋ๆ แนวญี่ปุ่นกันเลย ดังนั้น โอกาสเสี่ยงที่จะไม่คุ้มค่าต่อการนำมา
ผลิตขายในบ้านเรา เพิ่อทำตลาดในประเทศ และส่งออกสู่ตลาดรอบๆ
เมืองไทย เป็นไปได้สูงมาก นั่นทำให้ Hustler และ Lapin ต้องถูกพับ
เก็บโครงการเข้าลิ้นชักไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง

——————————————————-

Toyota_Camry_2018

TOYOTA / LEXUS
2017  : Camry & Camry HYBRID Modelchange (in U.S.A.)

           : VIOS Minorchange / YARIS Minorchange
           : Hilux Revo Minorchange / LEXUS All New LS

2018 : Camry Full Modelchange (THAI) / C-HR !!!
           : Fortuner Minorchange /
: New HIACE / Commuter
2019 : VIOS Full Model Change (ECO Car Phase 2 ?)
           : COROLLA ALTIS Full ModelChange

ปี 2015 Toyota ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับ การเปิดตัวรถกระบะกับ
SUV / PPV รุ่นใหม่จากโครงการ IMV Gen 2 ทั้ง Hilux Revo และ
Fortuner ในช่วงกลางปี ทว่าหลังออกสู่ตลาด บรรยากาศตามโชว์รูม
ทั่วประเทศ กลับเงียบงัน พลิกความคาดหมาย ลูกค้าที่มีเงินพอ ก็จะ
อุดหนุน Fortuner กันต่อไป ขณะที่ Hilux Revo นั้น ช่วงแรกถึงกับ
เข็นยอดขายกันไม่ขึ้นเลย ต้องงัดสารพัดแคมเปญออกมาใช้กันจน
ตาเหลือก ยอดขายถึงเริ่มเดินหน้าขึ้นไปบ้าง

สาเหตุที่ทำให้ Hilux Revo ไม่ได้รับการตอบสนองจากลูกค้าใน
ช่วงแรกที่เปิดตัว เนื่องจาก รูปลักษณ์ด้านหน้า ที่หลายคนบอกว่า
“ไม่สวย” รวมทั้งการเซ็ตระบบกันสะเทือนหลัง ที่แข็งเกินไป จน
นั่งไม่สบายเท่าที่ควร จนต้องออกรุ่นปรับอุปกรณ์ ในช่วงกลางปี
2016 จึงจะพอช่วยดึงยอดขายให้ดีขึ้นมาได้บ้าง

ขณะที่ Fortuner เอง ช่วงแรกยอดขายก็ไม่เดิน เนื่องจากเจอกับ
กระแสความแรงของ Mitsubishi Pajero Sport รุ่นใหม่ ที่เปิดตัว
ตามมาติดๆ แซงหน้าขึนไปพักหนึ่ง แต่หลังจากเริ่มมีรถส่งมอบ
ให้แก่ลูกค้าไปสักพัก ตัวเลขยอดขายก็เพิ่มขึ้นๆ และเริ่มกลับมา
แซงหน้า Pajero Sport ขึ้นแท่น แชมป์ SUV/PPV ไปในที่สุด
ยิ่งพอ Toyota เปิดตัวรุ่น TRD Sportivo ที่เซ็ตช่วงล่างด้านหลัง
ให้นิ่งขึ้นชัดเจน ยิ่งเพิ่มยอดขายได้อีกเยอะ

ข้ามมาดูฝั่งรถเก๋งบ้าง ในปี 2015 Toyota Camry Minorchange
ออกสู่ตลาด ทวงบรรลังก์แชมป์ยอดขาย รถเก๋งกลุ่ม D-Segment
คืนจาก Honda Accord ได้สำเร็จ แถมยังมีการเปิดตัว รุ่นนำเข้า
จาก Australia อย่าง Camry Esport ที่ใช้ตัวถังภายนอกแตกต่าง
จาก Camry เวอร์ชันไทย โดยสิ้นเชิง กระนั้น พวกเขาก็ยังไม่พอใจ
ส่งรุ่นปรับอุปกรณ์ของ Camry 2.0 Camry Extremo กับ Esport
มาย้ำแค้นอีกครั้ง แม้จะเป็นแชมป์ได้ แต่ยอดขายภาพรวมกลับ
ลดต่ำลง เนื่องจากพฤติกรรมลูกค้าจำนวนไม่น้อย เปลี่ยนไปซื้อ
SUV แทน ส่วนกลุ่มลูกค้าองค์กร ทีจะซื้อรถประจำตำแหน่ง ก็ยัง
ไม่ค่อยคิดจะเปลี่ยนรถใหม่กันในช่วงปี 2015 – 2016 มากนัก

พอย่างเข้าปี 2016 สถานการณ์ ตลาดที่ซบเซาลง ก็ทำให้ Toyota
ต้องงัดสารพัดยุทธวิธีทำตลาด มางัดข้อกับสภาพตลาดที่เป็นอยู่
ประเดิมปีใหม่ด้วย Vios หน้าตาเดิม เปลี่ยนขุมพลังใหม่ พร้อมกับ
เกียร์อัตโนมัติ CVT จาก Yaris เพียงรุ่นเดียว แต่ตัวเลขยอดขาย
ก็ยังโดน Honda City มายืนหายใจรดต้นคออยู่ จนบางเดือน ก็
แซงขึ้นนำเป็นอันดับ 1 ไปได้

ครึ่งหลังของปี 2016 Toyota พยายามเปิดตัวรถยนต์ Minivan
จาก Indonesia ถึง 2 รุ่น ในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้ง Sienta ซึ่งเริ่ม
ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และ Innova Crysta ที่มีลูกค้า
เล็งจะอุดหนุนกันอยู่ แต่ในช่วงเดือนตุลาคม แม้ตลาดชะงักงัน
จากเหตุการณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จ
สวรรคต กระนั้น เมื่อเข้าสู่ช่วง Motor Expo ต้นเดือนธันวาคม
Toyota เอง ก็ตัดสินใจ เปิดตัว Corolla Altis Minorchange
เพื่อหวังจะกระตุ้นให้ตลาด กลับมาคึกคักขึ้นบ้าง

สำหรับปี 2017 แม้ว่าในตลาดอเมริกาเหนือจะเตรียมต้อนรับการ
เผยโฉมครั้งแรกในโลก ของ Toyota Camry ใหม่ ที่จะมีเส้นสาย
แนว Sport น่าตื่นตาตื่นใจ ณ งาน NAIAS (North American
International Auto Show หรือ Detroit Auto Show ) ต้นเดือน
มกราคม 2017 แต่กว่าจะเข้ามาเปิดตัวเมืองไทย ต้องรอกันไปถึง
ครึ่งหลังของ ปี 2018

ดังนั้น สำหรับ Highlight สำคัญของ Toyota ในเมืองไทย ตลอด
ทั้งปี 2017 จะอยู่ที่ การเตรียมปรับโฉม Minorchange ให้บรรดา
รถยนต์รุ่นหลักๆของตนมากกว่า

ทันทีที่พ้นวันขึ้นปีใหม่มาได้สัก 2 สัปดาห์ Toyota ก็เตรียม สกัด
ความร้อนแรงของ Honda City Minorchange ด้วยการส่ง Vios
Minorchange เปิดตัวตามประกบทันที 23 มกราคม 2017 นี้

จุดที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ กระจังหน้า ชุดไฟหน้าและไฟ
ตัดหมอกหน้า รวมทั้งเปลือกกันชนหลัง คาดว่าน่าจะมีการเพิ่ม
ลูกเล่นใหม่ๆ เข้าไปให้ครบถ้วนอย่างที่ควรเป็นกันเสียที แต่
เครื่องยนต์ และเกียร์อัตโนมัติ CVT จะยังคงเหมือนรุ่น 2016

จากนั้น เป็นคิวของน้องเล็ก Toyota Yaris ที่ได้เวลาปรับโฉม
Minorchange ตามกันมาไม่ห่างนัก คาดว่าจะมีรูปโฉมหน้าตา
แตกต่างไปจากเวอร์ชันจีน ส่วนรายละเอียดด้านงานวิศวกรรม
จะยังคงเหมือนเดิม จะเปิดตัวได้ ในช่วง กลางปี 2017 เพราะรุ่น
TRD Sportivo สีเหลือง เพิ่งจะคลอดออกมาในงาน Motor
Expo 2016 จึงต้องทิ้งช่วงเว้นระยะไว้สัก 3 – 6 เดือน

ส่วน Hilux Revo คาดว่าจะต้องมีการปรับโฉม Minorchange
ภายในปี 2017 เพื่อประคับประคองยอดขายให้ยังอยู่ในระดับ
9,000 คัน/เดือน กันต่อไป โดยคาดว่าจะมีการปรับเปลี่ยนงาน
ออกแบบด้านหน้ารถใหม่เกือบทั้งหมด รวมทั้งปรับอุปกรณ์และ
ปรับรุ่นย่อยต่างๆ ใหม่ คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงกลางปีไปแล้ว

Toyota_C_HR_2018_EDIT

ข้ามมาถึงปี 2018 จะเป็นปีที่ Toyota บุกแหลกลาญ หมายมั่น
ปั้นมือ จะกลับมาชิงบรรลังก์อันดับ 1 แชมป์ตลาดรถยนต์นั่งใน
บ้านเราให้ได้ จึงโหมทุ่มสรรพกำลังในช่วงนี้อย่างหนักหน่วง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะเป็นปีแรก ที่ Toyota เริ่มนำรถยนต์ที่ใช้
พื้นตัวถัง TNGA (Toyota New Global Architecture) เป็น
Modular Platform มาเปิดตัวในประเทศไทย

เริ่มต้นในช่วง ไตรมาสแรก ของปี 2018 ด้วย การเผยโฉมของ
รถยนต์ B-Segment Crossover SUV ที่หลายๆคนเฝ้าจับตา
เมียงมอง รอคอยเป็นเจ้าของ นั่นคือ Toyota C-HR ซึ่งเพิ่ง
เปิดตัวในตลาดญี่ปุ่นไปแล้ว เมื่อ 15 ธันวาคม 2016 ที่ผ่านมา
หลังจากประกาศเปิดตัวในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ไปแล้วเมื่อ
11 กันยายน 2016 และ 17 พฤศจิกายน 2016 ตามลำดับ

C-HR เป็นรถยนต์ Toyota รุ่นที่ 2 ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง
ใหม่ล่าสุด TNGA (Toyota New Global Architecture) เป็น
Modular Platform ที่มีหลักการเดียวกับ พื้นตัวถัง MQB ของ
Volkswagen Group และ พื้นตัวถัง CMF ของกลุ่ม Renault-
Nissan

TNGA จะเป็นชุดโครงสร้างงานวิศวกรรมสำเร็จรูป ที่ประกอบ
ด้วยพื้นตัวถังส่วนห้องเครื่องยนต์, พื้นตัวถังห้องโดยสาร, พื้น
ตัวถังบริเวณห้องเก็บสัมภาระ ชุดระบบส่งกำลัง/ระบบไฟฟ้าซึ่ง
สามารถใช้ร่วมกันได้โดยไม่ต้องดัดแปลงให้เปลืองต้นทุน โดย
C-HR ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง TNGA-C สำหรับรถยนต์นั่งกลุ่ม
Compact Class เช่นเดียวกับ Prius ใหม่ รุ่นล่าสุด และ Corolla
Altis สำหรับตลาดโลก โฉมต่อไป ในปี 2018 – 2019

C-HR ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อประกบกับ Nissan Juke , Honda HR-V
และ Mazda CX-3 โดยมีตัวถังยาว 4,350 มิลลิเมตร กว้าง 1,795
มิลลิเมตร สูง 1,565 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,640 มิลลิเมตร

ในตลาดโลก C-HR จะมีขุมพลังให้เลือก 3 แบบ ดังนี้

– เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 8NR-FTS บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1,197 ซีซี.กระบอกสูบ x ช่วงชัก 71.5 x 74.5 มิลลิเมตร กำลังอัด
10.0 : 1  ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Direct Injection D4 พร้อม
ระบบแปรผันวาล์ว ถึง 2 รูปแบบในเครื่องยนต์เดียว มีครบทั้งแบบ
VVT-iw (intake) และ VVT-i (exhaust) พ่วง Turbocharger
116 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 – 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 185
นิวตัน-เมตร (18.9 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับ
เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT

– ขุมพลัง Hybrid ประกอบด้วย เครื่องยนต์ รหัส 2ZR-FXE เบนซิน
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 80.5 x 88.3
มิลลิเมตร กำลังอัด 13.04 : 1  จุดระเบิดแบบ Atkinson cycle พร้อม
ระบบแปรผันวาล์ว VVT-i 98 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิด
142 นิวตัน-เมตร (14.5 กก.-ม.) ที่ 3,600 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับ
มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous 72 แรงม้า (PS)
แรงบิด 163 นิวตัน-เมตร (16.6 กก.-ม.) พ่วงแบตเตอรี่แบบ Ni-MH
( Nickel metal Hydride ) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน
CVT รวมพละกำลังจากทั้งเครื่องยนต์และ มอเตอร์ไฟฟ้าแล้ว ได้
กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS)

– เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,987 ซีซี กระบอกสูบ
x ช่วงชัก 80.4 x 97.6 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.5 : 1 หัวฉีด EFI แบบ
Direct Injection (DIS) พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT Valvematic
ให้กำลังสูงสุด 146 แรงม้า (PS) ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
190 นิวตัน-เมตร (19.35 กก-ม.) ที่ 3,900 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่าน
ล้อคู่หน้า ด้วย เกียร์อัตโนมัติ CVT ล็อคพูเล่ย์ 7 จังหวะ (เฉพาะ
เวอร์ชันอเมริกาเหนือเท่านั้น)

ส่วนความคืบหน้าของ C-HR เวอร์ชันไทย ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือ
ตัวรถจะถูกขึ้นสายการประกอบในประเทศ และ จะเปิดตัวในบ้านเรา
ช่วงต้นปี 2018 แต่อาจจะมีการเปิดผ้าคลุมอวดโฉมโชว์ตัวกันก่อน
ในงาน Motor Expo ช่วงปลายปี 2017

สาเหตุที่ล่าช้ากว่าตลาดอื่นๆ เนื่องจาก

1. อันที่จริงแล้ว C-HR ไม่ได้อยู่ในแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่
ของ Toyota ในประเทศไทย มาก่อน มันถูกแทรกเข้ามาในแผน
แบบเดียวกันกับ Minivan 7 ที่นั่ง อย่าง Toyota Wish ซึ่งเปิดตัว
ในบ้านเรา เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2003 ด้วยเหตุนี้ กำลังคนที่ต้อง
ใช้ในการพัฒนารถยนต์ของทั้ง Toyota และ TMAP-EM เอง จึง
ไม่เพียงพอรองรับ ปริมาณงานมหาศาลที่ Overload จึงส่งผลให้
การเปิดตัวต้องล่าช้าออกไปบ้าง และส่งผลกระทบต่อแผนเปิดตัว
All New Camry ใหม่ ด้วย

2. ต้องมีการปรับเปลี่ยนสายการผลิตใหม่พอสมควร เพราะ C-HR
ใช้พื้นตัวถังใหม่ TNGA ซึ่งไม่สามารถอ้างอิงกับรถยนต์ Toyota
รุ่นใดๆ ที่มีการผลิตอยู่ในบ้านเราตอนนี้ได้เลย

อย่างไรก็ตาม จนถึงวันปิดต้นฉบับ (31 ธันวาคม 2016) เรายังคง
ไมทราบแน่ชัดว่า สรุปแล้ว C-HR เวอร์ชันไทย จะวางเครื่องยนต์
แบบใดบ้าง จริงอยู่ว่า อาจมีขุมพลัง Hybrid มาให้เลือก กระนั้น
เครื่องยนต์เบนซิน แบบปกติ ก็ยังดูเป็นปริศนาอยู่ในตอนนี้ แม้ว่า
ตัวเลือกที่เหมาะสมมากที่สุดสำหรับบ้านเรา คือขุมพลัง 2.0 ลิตร
จากเวอร์ชันอเมริกาเหนือ ก็ตาม

Toyota_Camry_Teaser_NAIAS_2017

หลังจาก C-HR เปิดตัวไปแล้วในช่วงต้นปี ก็จะถึงคิวของพี่ใหญ่
All new Camry  Full ModelChange ทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน
และ Hybrid ที่จะใช้ตัวถังเดียวกับ เวอร์ชันอเมริกาเหนือ

นั่นหมายความว่า นับจากนี้ไป Camry จะถูกยุบรวม เหลือเพียง
ตัวถังเดียวแล้วไม่แยกเป็นเวอร์ชัน อเมริกา / ออสเตรเลีย กับ
เวอร์ชันญี่ปุ่น/ไทย และทั่วโลก อีกต่อไป

Camry ใหม่ เป็นรถยนต์คันที่ 3 ที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง TNGA
โดยเป็นแบบ TNGA-D สำหรับรถยนต์นั่งขับเคลื่อนล้อหน้าขนาด
ใหญ่ รูปลักษณ์ภายนอก ให้นึกถึงการนำ Camry ESport ในไทย
(หรือ Camry เวอร์ชันอเมริกา / ออสเตรเลีย) มาเพิ่มขนาดตัวถัง
ให้ใหญ่โตขึ้น ปรับรายละเอียดงานออกแบบให้โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น
แต่มีเส้นสายตัวถังที่โค้งมน คล้ายคลึง Lexus ES รุ่นปัจจุบัน

ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวถึงรายละเอียดทางเทคนิคในเชิงลึก
เพราะยังเหลือเวลาอีกตั้ง 1 ปี กับอีก 3 เดือน กว่า Camry ใหม่ จะ
เปิดตัวในเมืองไทย ต้องรอให้ถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2018 เสียก่อน

Toyota_Hiace_KNK
(ภาพ โดย KNK ลิขสิทธิ์ Headlightmag.com)

ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาวินรถตู้ทั่วประเทศไทยทั้งหลาย เตรียมเก็บ
ตังค์ไว้ตั้งแต่บัดนี้ เพราะรถตู้ยอดฮิตติดลมบนตลอดกาลในบ้านเรา
ทั้ง HiACE / Commuter จะได้ฤกษ์เปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน แบบ
Full ModelChange กันเสียที

ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ HiACE / Commuter ใหม่ รุ่นที่ 6
คือ การย้ายตำแหน่งเครื่องยนต์ จากใต้เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสาร
ด้านหน้า ไปไว้ที่บริเวณหน้ารถ ด้วยเหตุผลเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
ขณะเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น

นั่นจะทำให้ HiACE / Commuter รุ่นปัจจุบัน เป็นรุ่นสุดท้ายที่จะมี
หัวเก๋งแบบ ด้านหน้าสั้น 1 Box ซึ่งเป็นรูปแบบรถตู้ที่ชาวเอเซีย นิยม
มาตลอด 40 กว่าปี เพราะนับจากนี้ไป รถตู้รุ่นใหม่จะมีด้านหน้า ยื่น
ออกไป เหมือนรถตู้ยุโรป อย่าง Volkswagen Caravelle หรือแม้
กระทั่ง Toyota ProAce (พี่ชายที่ใหญ่กว่า HiACE, Toyota ร่วมมือ
กับ กลุ่ม PSA Peugeot / Citroen ผลิตขายเฉพาะในยุโรปเท่านั้น)

รายละเอียดด้านวิศวกรรม คาดว่า อาจใช้เฟรมแชสซีส์ ของ Hilux
Revo , Fortuner , Innova นำมาดัดแปลง เพื่อความเหมาะสมกับ
ลักษณะการใช้งานของตัวรถ ด้านขุมพลัง คาดว่าจะมีเครื่องยนต์
Diesel Turbo ตระกูล GD จาก 3 ศรี พี่น้องตระกูล IMV มาเป็นตัว
ชูโรงอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปข้อมูลในเชิงลึก

กำหนดการเปิดตัว ของ HiACE / Commuter ใหม่ จะอยู่ในช่วง
ครึ่งหลังของปี 2018 ไปแล้ว

ด้านพี่ชายร่วมตระกูล IMV อย่าง Fortuner ก็จะยังคงมีรุ่นย่อย
พิเศษกระตุ้นตลาดในปี 2017 ไปเรื่อยๆ ตามความคาดหมาย ยัง
ไม่น่าตื่นเต้นมากนัก กว่าจะปรับโฉมใหญ่ Minorchange อีกที
อาจต้องรอถึงกลางๆ ปี 2018 หรือเกินกว่านั้น

ที่แน่ๆ ใครที่เคยถามถึง Fortuner Hybrid ว่าจะมีการเปิดตัว
ในบ้านเราหรือไม่ คำตอบก็คือ หลังจากการวิจัยตลาดในช่วง
3 ปีที่ผ่านมา พบว่า ลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่ ยังคงมองเห็น
คุณประโยชน์ของเครื่องยนต์ Diesel Turbo เป็นหลักมากกว่า
ทั้งด้านความประหยัดน้ำมัน และพละกำลังในช่วงรอบต่ำ แถม
ยังมีความทนทาน และเหมาะกับสภาพถนนรวมทั้งการใช้งาน
ในประเทศไทยมากกว่า ดังนั้น โอกาสที่เราจะเห็น Fortuner
วางเครื่องยนต์ เบนซิน Hybrid จึงเป็นไปได้ยาก แม้เราจะรู้
อยู่เต็มอกว่า Toyota อยากทำมากๆ ก็ตามเถอะ

จากนั้น ในปี 2019 Toyota จะยังมีไม้เด็ด ออกมาฟาดฟันกับ
คู่แข่งในตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ทั้งการเปิดตัว Corolla
Altis รุ่นเปลี่ยนโฉม Full ModelChange ที่จะถูกสร้างขึ้น
บนพื้นตัวภัง TNGA-C เช่นเดียวกับ C-HR และ Prius ใหม่
เพียงแต่ว่า ณ ตอนนี้ ยังไม่มีรายละเอียดของตัวรถแน่ชัด

กระนั้น Toyota จะยังคงแยกการทำตลาด Corolla เวอร์ชัน
ตลาดโลก รวมทั้งเมืองไทย ออกจาก Corolla Axio Sedan
กับ Corolla Fielder Wagon เวอร์ชันญี่ปุ่น เหมือนเช่นทั้ง
3 รุ่นที่ผ่านมา อย่างแน่นอน

อีกรุ่นหนึ่งที่คาดว่าจะถูกเปิดตัวในปี 2019 นั่นคือ Vios ใหม่
ที่จะต้องเปลี่ยนโฉมทั้งคันแบบ Full ModelChange กระนั้น
มีกระแสข่าวลอยมาว่า Toyota คิดจะเล่นมุขเดียวกับ Honda
นั่นคือ การนำ Vios ใหม่ ปรับลดขนาดเครื่องยนต์ แล้วส่งเข้า
ไปเป็นหนึ่งใน ECO Car Phase 2

ความชัดเจนในเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ยังไม่มีใครให้คำตอบ
ได้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ Vios รุ่นต่อไป ต้องเปิดตัว ในปี 2019

Lexus_LS_Concept_2015

ข้ามมาดูฝั่ง Lexus กันบ้าง แผนกรถยนต์หรู ของ Toyota ในปีนี้ มีเพียง
รุ่นเดียวที่จะเปิดตัวในตลาดโลก ถือเป็นรุ่นสำคัญมากที่สุด เพราะนี่คือ
การเปลี่ยนโฉมครั้งใหม่ ในรอบ 12 ปี ของ Lexus LS สุดยอด พาหนะ
Saloon ระดับ Flagship รุ่นใหญ่และแพงที่สุดในตระกูล Lexus

นับตั้งแต่ LS รุ่นแรก เปิดตัวครั้งแรกในโลกพร้อมกับแบรนด์ Lexus ณ
งาน NAIAS (Detriot Auto Show) เดือนมกราคม 1989 หรือเมื่อช่วง
28 ปีที่แล้ว LS ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์ระดับหรู ทั้งในด้าน
คุณภาพการผลิต การขับขี่ สมรรถนะ การเก็บเสียง และอื่นๆอีกมากมาย
จนสร้างความประหลาดใจให้กับผูัผลิตรถยนต์ระดับ Premium ในยุโรป
เป็นอันมาก Toyota ส่ง Lexus LS ไปเปิดตัวรวมทั้งหมด 90 ประเทศ
ทั่วโลก และเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี รวมทั้งในเมืองไทย

มาถึงวันนี้ LS 5th Generation จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง TNGA-L
(Platform สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังขนาดใหญ่) แบบเดียวกับ
Lexus LC500 Coupe ใหม่ แต่ถูกขยายขนาดระยะฐานล้อ ให้ยาวขึ้น

LS ใหม่จะมาพร้อมกับ รูปลักษณ์ภายนอก และภายใน ที่ถูกปรับปรุง
ต่อเนื่องจากรถยนต์ต้นแบบ Lexus LF-FC Fuel Cell Concept ซึ่ง
เผยโฉมครั้งแรก ในงาน Tokyo Motor Show (28 ตุลาคม 2015)

แม้ว่า ณ วันปิดต้นฉบับ (31 ธันวาคม 2016) Toyota ‘ Lexus ยังไม่ยอม
เปิดเผยรายละเอียดใดๆของ LS ใหม่ทั้งสิ้น ถึงกระนั้น พวกเขายืนยันว่า
จุดเด่นของ LS ใหม่ จะอยู่ที่ สมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
พื้นที่ห้องโดยสารโอ่โถงยิ่งกว่าเดิม หรูหรา และเต็มเปี่ยมด้วยสารพัด
เทคโนโลยีที่อัดแน่นมาเต็มคันรถเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ที่เหนือทุก
ความคาดหวังจากรถยนต์ระดับ Flagship Sedan ทั้งปวง!

กำหนดการเปิดตัว เวอร์ชันจำหน่ายจริง จะมีขึ้นครั้งแรกในงาน NAIAS
(Detroit Auto Show) วันที่ 9 มกราคม 2017 จากนั้น เมืองไทย จะอยู่
ในคิวต้นๆ ของประเทศที่ได้สิทธิ์ในการเปิดตัว LS ใหม่ ก่อนชาติอื่นใด
ในโลก คาดว่า อาจเป็นช่วงกลางปี 2017

——————————————————-

Volvo_Platform

VOLVO
5 Years 5 Models!
2017 : XC60
2018 : XC40
2019 : All New S40 / V40
2020 : All New S60 / V60

หลังการเปิดตัว Volvo XC90 ในเมืองไทย เมื่อช่วงปลายปี 2015
และตามด้วย S90 Saloon ใหม่ ในงาน Motor Expo 2016 ทำให้
เราได้เห็นว่า Volvo ภายใต้เงินลงทุนจากกลุ่ม Geely ของจีน นั้น
กำลังจะสยายปีกไปทั่วโลก ครั้งใหญ่ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

การไปเยือนจีนของผู้เขียน ตามคำเชิญของ Volvo เมื่อช่วงเดือน
พฤศจิกายน 2016 ที่ผ่านมา ทำให้ได้ประจักษ์แก่สายตาแล้วว่า
Volvo กำลังเตรียม เปิดโรงงานใหม่ ในจีน รวมทั้งขยายกำลังการ
ผลิต รวมถึง 3 แห่ง ด้วยกำลังการผลิตมากกว่า 4 แสน คัน!!

นับจากนี้ จนถึงปี 2020 Volvo มีแผนเตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ
มากถึง 5 รุ่น ทั้งในต่างประเทศ และเมืองไทย ทุกรุ่นจะถูกสร้างขึ้น
ภายใต้โครงสร้างวิศวกรรมที่แตกต่างกัน 2 Platform

– SPA (Scalable Product Architecture) เป็น Platform ขับเคลื่อน
ล้อหน้า และ 4 ล้อ แบบ AWD สำหรับ รถยนต์นั่งขนาดกลางและใหญ่
อย่าง ตระกูล 60 กับ 90

– CMA (Compact Modular Architecture) เป็น Platform ขับเคลื่อน
ล้อหน้า และ 4 ล้อ แบบ AWD สำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก ตระกูล 40 ซึ่ง
ถูกสร้างขึ้นโดย Volvo ภายใต้การลงทุนร่วมกับ Geely ของจีน โดยใน
อนาคต Geely รุ่นใหม่ๆ จะใช้พื้นตัวถัง CMA ของ Volvo เฉพาะในจุด
ที่เป็นงานวิศวกรรมหลัก นั่นหมายความว่า Volvo และ Geely รุ่นเล็ก
ที่ใช้ Platform CMA จะมีขนาดระยะฐานล้อ ระบบช่วงล่างหน้า – หลัง
และจุด Hard points อื่นๆ ร่วมกัน ทว่า Volvo จะไม่ยอมแชร์อุปกรณ์
ระบบไฟฟ้าร่วมกับ Geely นอกจากนี้ งานออกแบบของทั้ง 2 แบรนด์
จะต้องแตกต่างกัน นั่นหมายรวมถึงว่า รถยนต์ของ Geely จะไม่ถูกแปะ
ตรา Volvo เด็ดขาด

ขุมพลังที่ Volvo ออกแบบให้สามารถติดตั้งลงบน CMA Platform ได้
มี 4 แบบ ดังนี้

– ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเครื่องยนต์สันดาป ตามปกติ
– ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเครื่องยนต์ Plug-in Hybrid (เรียกว่า Twin Engine)
– ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบกลไก Mechanical AWD ด้วยเครื่องยนต์ ปกติ
– มอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ BEV (Battery Electric Vehicle)

สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ ของ Volvo นั้น จะเริ่มจาก XC60 ใหม่ Crossover
SUV รุ่นขายดีที่สุด และทำรายได้ให้ Volvo อย่างมหาศาล ตลอด 8 ปี
ในอายุตลาดจะถูกพัฒนาขึ้น บนพื้นตัวถัง SPA แต่ถูกนำมาหั่นฐานล้อ
ให้สั้นลง

เครื่องยนต์ จะมีให้เลือกทั้งแบบ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร
Turbo 2 ระดับความแรง ทั้ง รุ่น D4 187 แรงม้า (PS) และ D5 232 แรงม้า
(PS) นอกจากนี้ จะมีรุ่น T8 ที่มาพร้อมขุมพลัง Plug-in Hybrid มุขเดียวกับ
XC90 โดยจะมีกำลังสูงสุดถึง 400 แรงม้า (PS)

กำหนดการเปิดตัว จะเกิดขึ้นภายในไม่เกินครึ่งแรกของปี 2017 แต่อาจมาถึง
เมืองไทยเร็วสุดคือ ช่วงปลายปี 2017 – ต้นปี 2018

Volvo_XC40_Concept_2017

ต่อมา ในปี 2018 และ 2019 Volvo เตรียมจะเผยโฉมรถยนต์รุ่นใหม่
ที่สร้งขึ้นบนพื้นตัวถัง CMA กันบ้าง ล่าสุด พวกเขาก็ปล่อยภาพถ่าย
Computer Graphic ของรถยนต์ต้นแบบ 2 คัน ที่จะเผยให้เห็นถึง
แนวทางของ Volvo ตระกูลเล็ก ต่อไปในอนาคต

คันแรกคือ 40.1 ซึ่งคาดว่าจะเป็นต้นแบบของ XC40 B-Segment
Crossover SUV ซึ่งเป็นรถคันแรกของ Volvo ที่จะถูกสร้างขึ้นเพื่อ
ต่อกรกับ Audi Q3, BMW X1, Mercedes-Benz GLA, และ Nissan
Infiniti QX30

ทางเลือกขุมพลัง ในตอนนี้ ยังไม่มีการกำหนดแน่ชัด แต่คาดว่าจะมี
เครื่องยนต์ Diesel Turbo ตามรหัสความแรง ทั้ง D3 D4 D5 และ
อาจมีเครื่องยนต์เบนซิน Hybrid ในรหัส T5 โผล่มาด้วย

XC40 จะยังคงมีฐานผลิตอยู่ที่โรงงาน Ghent ใน Belgium รวมทั้งที่จีน
แต่จะมีกำหนดเปิดตัวสู่สายตาชาวโลกได้ ในปี 2018 และคาดว่าน่าจะ
ส่งมาเปิดตัวในเมืองไทย ปลายปี 2018 ถึงต้นปี 2019

Volvo_S40_Concept_2018

คันถัดมาเป็น 40.2 ซึ่งมาในรูปลักษณ์ Premium Compact Sedan
4 ประตู และคาดกันว่า จะเป็นต้นแบบให้กับ Volvo S40 และ V40
โฉมถัดไป สร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง CMA เช่นเดียวกัน กับ XC40 นั่น
หมายความว่า โอกาสที่ ทั้ง XC40 และ S40 / V40 จะมีขุมพลัง
ให้เลือก เหมือนๆกัน นั้น เป็นไปได้สูงมากๆ

กำหนดการออกสู่ตลาดของ S40 / V40 ใหม่ คาดว่าจะอยู่ในช่วง
ปี 2019 และ อาจจะเข้ามาสู่ตลาดเมืองไทย ราวๆ ปี 2020 เป็น
อย่างช้าที่สุด

ส่วน S60 / V60 นั้น แม้ว่าสื่อต่างประเทศจะไม่ค่อยพูดถึงมากนัก
แต่ก็ไม่ต้องตกใจ เพราะ เชื่อแน่ว่า Volvo เอง ก็คงไม่ปล่อยให้
แบรนด์ตัวเอง มีแค่รถยนต์ SUV แต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่คิด
เหลียวแล รถยนต์ Premium MidSize รุ่นที่เคยทำยอดขายให้
ในอดีตไปแน่ๆ เพียงแต่ว่า กว่าที่ Volvo จะพร้อมเปิดตัวรุ่นใหม่
ให้กับ S60 / V60 เราอาจต้องรอกันจนรากงอกไปถึงปี 2020

——————————————————-

Volkswagen_Amarok_Design_Sketch

VOLKSWAGEN
2018 – 2019 :
Waiting for “Next Amarok Made in Thailand” Launch?

หลายปีผ่านไป คำถามที่ว่า “เมื่อไหร่ Volkswagen เยอรมันจะเข้ามา
เปิดตลาดบ้านเราเองเสียที?” ก็เริ่มจางหายไปเรื่อยๆ เชื่อแน่ว่า ทุกคน
คงรอกันจนเบื่อหน่าย เหมือนเป็นการรออย่างไร้จุดหมาย

ก่อนหน้านี้ เดิมที Volkswagen Group เคยมีความชัดเจนว่าจะลงทุน
ก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์สำหรับขึ้นสายการผลิต รถยนต์ประหยัด
พลังงานในโครงการ ECO Car Phase 2 และ Volkswagen รุ่นอื่นๆ
(ซึ่งว่ากันว่าอาจจะผลิตรถกระบะ Amarok รุ่นต่อไปเพื่อเป็นฐานการ
ส่งออก) ภายใต้การสนับสนุนการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการ
ส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มูลค่า 37,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 27
มีนาคม 2015

ต่อมา สำนักข่าว Nikkei ได้ระบุเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2015 ว่าโครงการ
ลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ Volkswagen ในไทย และ แผนการ
ผลิตรถยนต์ รุ่นอื่น ๆ อาจต้องมีการทบทวนโครงการใหม่หรืออาจยกเลิก
แผนนี้ทิ้งตามนโยบาย Matthias Müller CEO ในขณะนั้น ที่ต้องการ
ผ่าตัด Volkswagen ครั้งยิ่งใหญ่ จากผลกระทบของเหตุการณ์ที่ VW
โกงค่ามลพิษ ครั้งมโหฬาร ในดือนตุลาคม 2015 นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะทำให้ Volkswagen ต้องยอม
เปลี่ยนแผน และหาเงินมาจ่ายค่าปรับ รวมทั้งแก้ปัญหาต่างๆที่ตนก่อไว้
มากมายมหาศาล จนถึงวันนี้ 1 ปีผ่านไป ก็ยังเคลียร์ไม่จบสักที กระนั้น
สำหรับแผนการเข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทยเอง เราเชื่อว่า พวกเขายังคง
เคลื่อนไหวอยู่

สิ่งเดียวที่เราพอจะยืนยันได้คือ Volkswagen เคยเข้ามาสำรวจวิจัยตลาด
ถึงลักษณะความต้องการของผู้บริโภคในประเทศไทยมาแล้ว หลายครั้ง

จากข้อมูลที่เรามีอยู่ มีความเป็นไปได้สูงมากว่า เมื่อใดที่ รถกระบะ Amarok
2nd Generation พัฒนาเสร็จสิ้นลง โอกาสที่ VW จะมาตั้งฐานการผลิตใน
ประเทศไทย อาจเป็นไปได้อีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ Amarok รุ่นปัจจุบัน เคยถูกเปิดตัวในบ้านเรา โดยผู้จำหน่ายราย
ดั้งเดิม อย่าง ไทยยานยนตร์ ณ งาน Motor Expo 2012 ตอนนั้น Amarok
เวอร์ชันไทย วางขุมพลัง Diesel 2.0 ลิตร TDi 177 แรงม้า (PS) พร้อมเกียร์
อัตโนมัติ 8 จังหวะ จาก ZF ทว่า การนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันมาจากโรงงานใน
ต่างประเทศ ทำให้ต้องเสียภาษีเต็มอัตราจนส่งผลให้ค่าตัวของมัน พุ่งสูง
มากถึง 1.8 ล้านบาท แน่นอนว่า มีลูกค้า ไม่ถึง 20 ราย ที่ยอมจ่ายเงินเพื่อ
ความแปลกใหม่ไม่เหมือนใครเขา

ถึงวันนี้ แม้ว่า Amarok รุ่นปี 2017 จะเพิ่งเผยโฉมในตลาดโลก เมื่อช่วง
เดือนกันยายน 2016 และยังดูอีกห่างไกล กว่าที่ Amarok รุ่นถัดไป จะ
พร้อมเปิดตัว กระนั้น เราคาดการณ์ว่า เมื่อการพัฒนาเสร็จสิ้นลง เราอาจ
จะได้เห็น Amarok Made in Thailand กันก็เป็นได้ แต่นั่นคงต้องรอกัน
จนถึงปี 2018 – 2019 เลยทีเดียว

เอาเถอะ รอมาถึงขนาดนี้แล้ว จะรอต่อไปอีกสัก 3 ปี ก็คงไม่เป็นไรมั้ง?

—————————————///——————————————-

ขอขอบคุณ / Special Thanks
– แหล่งข่าว ผู้ขอสงวนนาม ทุกท่าน
– คุณ MoO Cnoe สำหรับการช่วยเตรียมข้อมูลต่างๆ
– คุณ KNK : ภาพวาดประกอบบทความ 

——————————–

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายรถยนต์รุ่นที่เปิดตัวแล้ว
เป็นของ แต่ละบริษัทผู้ผลิต

ลิขสิทธิ์ภาพวาด Illustrator โดย คุณ KNK
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย Spyshot เป็นของ Automedia

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
1 มกราคม 2017

Copyright (c) 2017 Text by J!MMY
Copyright (c) 2017 Photo by All Manufacturer
Copyright (c) Illustration By : KNK

Copyright (c) 2016 Spyshot by Automedia
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
January 1st,2017

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!