หลังจากที่มีข่าวว่า Mercedes-Benz หวนกลับไปทำเครื่องยนต์ 6 สูบแบบแถวเรียงแทนเครื่องยนต์แบบ V6 ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1997 บรรดานักเลงรถก็รอมานานว่าเมื่อไหร่จะมี Performance version อย่าง AMG ออกมาเสียที แล้วในที่สุดการรอคอยนั้นก็สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 15 มกราคมตามเวลาอเมริกา เมื่อ Mercedes-AMG เผยรายละเอียดของ CLS53 และ E53 Coupe/Cabriolet โดยถือเป็นไฮไลท์หนึ่งของงาน North American International Auto Show โดยในบทความนี้ เราจะกล่าวถึง CLS53 4MATIC กันก่อน

Tobias Moers ประธานกรรมการบริหารของ Mercedes-AMG กล่าวว่า จุดเด่นของรถ AMG ตระกูล 53 Series ใหม่นี้อยู่ที่ขุมพลังในการขับเคลื่อน ซึ่งเป็นแบบ 6 สูบเรียง 3.0 ลิตรบล็อคใหม่ล่าสุด นอกจากจะอัดอากาศด้วยเทอร์โบคู่แล้วก็ยังมีชุดคอมเพรสเซอร์อัดอากาศเรียกแรงในรอบต่ำ มอเตอร์/สตาร์ทเตอร์แบบ EQ Boost ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าเสริมแรงในการขับเคลื่อนได้ ทำให้รถ 53 Series ได้สถานะเป็นรถแบบ Mild-Hybrid นวัตกรรมอย่างหลังนี้เกิดขึ้นได้เพราะการเปลี่ยนระบบไฟฟ้าหลักของรถมาเป็นแบบ 48V

ผลที่ได้ก็คือพลังขับเคลื่อนที่กระชากออกตัวได้รุนแรงและรวดเร็วกว่ารถตระกูล 43 Series ที่ใช้เครื่องยนต์ V6 ทวินเทอร์โบแบบเก่า แต่ก็ยังทำมาให้ขับได้ง่าย คุมพลังอยู่หมัดด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ทันสมัย

ภายนอกของ Mercedes-AMG CLS53 4MATIC นั้น จะมีจุดเด่นในการตกแต่งตัวถังตามสไตล์ของ “AMG 53 Series” ซึ่งได้แก่กระจังหน้าแบบ Twin-blade ซึ่งปกติจะสงวนเอาไว้สำหรับรถ AMG V8 เท่านั้น มีกันชนหน้าตกแต่งแบบ A-Wing Design ตกแต่งด้วยวัสดุสีดำเงา กับ Silver-chrome

ด้านท้ายรถ มีกันชนหลังทรงเฉพาะรุ่นพร้อมดิฟฟิวเซอร์ด้านล่างเพื่อไล่อากาศใต้ท้องรถออกได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น มีท่อไอเสียโครเมียมเงา แยกออกด้านซ้ายและขวาอย่างละคู่ ส่วนสปอยเลอร์หลังที่ติดมาบนฝากระโปรงนั้น จะเป็นสีเดียวกับตัวรถ แต่ลูกค้าสามารถสั่ง Carbon package โดยเพิ่มเงินเอาก็ได้ ส่วนล้ออัลลอยแบบมาตรฐานจะมีขนาด 19 นิ้ว โดยมีล้อขนาด 20 นิ้วเป็นอุปกรณ์เสียเงินเพิ่ม

สำหรับภายในของรถนั้น ก็จะมีสไตล์แดชบอร์ดเกือบเหมือนกับ CLS รุ่นปกติ ซึ่งมีชุดจอ TFT บริเวณหน้าปัดและคอนโซลกลาง เชื่อมเข้ากันจนดูเหมือนเป็นชิ้นเดียว สามารถปรับการแสดงผลมาตรวัดแบบ Classic/Sport/Progressive ได้ในลักษณะที่คล้ายกับ E-Class บ้านเรา แต่จุดเด่นที่เพิ่มมาก็คือชุด AMG Meter ซึ่งสามารถแสดงค่าอุณหภูมิน้ำ, น้ำมันเครื่อง, แรงดันบูสท์เทอร์โบ, แรงดันลมยาง, อุณหภูมิยาง และกราฟแรงจีซ้าย-ขวา/หน้า-หลัง ได้อีกด้วย

ส่วนที่แตกต่างกันระหว่าง CLS53 กับรุ่นที่ไม่ใช่ AMG ยังมีอีก เช่นเบาะสปอร์ตแบบพิเศษพร้อมโลโก้ AMG สายเข็มขัดนิรภัยจะเป็นสีแดง และพวงมาลัยแบบสปอร์ตของ AMG ซึ่งหุ้มด้วยหนัง Fine Nappa และมีการตกแต่งด้วยวัสดุเพิ่มเติม ซึ่งสามารถสั่งเป็นคาร์บอนได้เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆของภายในรถ

มาที่องค์ประกอบนำพาความสะใจกันบ้าง…เครื่องยนต์ของ CLS53 เป็นแบบ 3.0 ลิตร 6 สูบเรียงเทอร์โบชาร์จ ไฮบริด พร้อมคอมเพรสเซอร์ไฟฟ้าอัดอากาศที่รอบต่ำ พื้นฐานของเครื่องยนต์เอามาจาก CLS450 รุ่นปกติ รวมถึงมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน 21 แรงม้าก็เป็นชุดเดียวกัน แต่ได้มีการปรับบูสท์เพิ่มจนทำให้แรงม้าเพิ่มจาก 362 กลายเป็น 435 แรงม้าที่ 6,100 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตัน-เมตรตั้งแต่ 1,800-5,800 รอบต่อนาที

นอกจากนี้ ยังมีการเสริมพลังด้วยระบบ EQ Boost ซึ่งก็คือการรวมเอา ไดสตาร์ท/ไดชาร์จเข้าไว้ด้วยกันในรูปของมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังขับ 16kW (21.76 แรงม้า) และเสริมแรงบิดให้เครื่องยนต์ได้อีก 250 นิวตัน-เมตร โดยที่ชุดมอเตอร์ EQ Boost นี้จะถูกติดตั้งเอาไว้ระหว่างเครื่องยนต์กับเกียร์ ซึ่งก็คล้ายกับมอเตอร์ขับเคลื่อนของรถไฮบริดยุโรปเครื่องวางตามยาวหลายรุ่น

อย่างไรก็ตาม ทาง Mercedes-AMG ไม่ได้เผยตัวเลขว่าเมื่อเครื่องยนต์กับมอเตอร์ทำงานพร้อมกันแล้ว พละกำลังรวมจะอยู่ที่เท่าไหร่

สิ่งที่แปลกกว่าชาวบ้านก็คือ มอเตอร์ไฟฟ้าของ EQ Boost นั้นจะมีหน้าที่ในการควบคุมรอบเดินเบาของเครื่องยนต์สันดาปภายในด้วย และในเมื่อพวงมาลัยเพาเวอร์ก็เป็นแบบไฟฟ้า ไดชาร์จก็ไปผนวกอยู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า คอมเพรสเซอร์แอร์ก็เป็นแบบไฟฟ้า นั่นก็ทำให้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียงบล็อคนี้ ไม่จำเป็นต้องมีสายพานหน้าเครื่องอีกต่อไป โดยทีมวิศวกรใช้ประโยชน์จากตัวเครื่องที่สั้นลงแล้วใช้พื้นที่ส่วนนั้นในการติดตั้งระบบบำบัดมลพิษไอเสียแทน

พละกำลังทั้งหมด จะถูกส่งไปเกียร์ AMG Speedshift TCT 9G ซึ่งเป็นเกียร์คลัตช์คู่ 9 จังหวะ ที่ได้รับการปรับจูนให้นิสัยการทำงานเรียบร้อยเวลาขับปกติ และดุดันรุนแรง เปลี่ยนเกียร์ไวในโหมด Sport และ Sport + พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC ที่สามารถปรับการส่งพลังไปที่ล้อแต่ละข้างได้อย่างอิสระ ซึ่งในยามขับเคลื่อนแบบปกติ ระบบจะจัดกำลังไปที่ล้อหลังเพียวๆ เพื่อลดอัตราการสิ้นเปลืองลง

..แต่ถ้าคุณกำลังหวังว่ามันจะมี “Drift Mode” มาให้แบบ E63S หรือ BMW M5 ก็ต้องขอบอกเสียใจมาด้วย ณ ที่นี้

ระบบบังคับเลี้ยวเป็นพวงมาลัยไฟฟ้าที่สามารถปรับน้ำหนักได้ 2 ระดับ ส่วนระบบเบรกเป็นชุดของ AMG ด้านหน้าใช้คาลิเปอร์แบบ Fix 4 Pot จานเบรกขนาด 370 x 36 มิลลิเมตร ส่วนด้านหลังเป็นคาลิเปอร์แบบ Floating 1 Pot ขนาดจานเบรก 360 x 26 มิลลิเมตร

ด้วยเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนแบบดังกล่าวนั้น ทำให้ CLS53 มีน้ำหนักตัวตามมาตรฐาน DIN อยู่ที่ 1,905 กิโลกรัม แต่ถ้าวัดตามมาตรฐาน EC จะต้องบวกน้ำหนักเข้าไปอีก 75 กิโลกรัม (เท่ากับ 1,980 กิโลกรัม) ซึ่งแม้จะเป็นระดับที่ปกติสำหรับรถตัวโตยาวเกือบ 5 เมตรและมีมอเตอร์ไฟฟ้า แต่ก็ออกจะหนักไปสักนิดสำหรับรถที่ต้องการเน้นการขับขี่แบบสปอร์ต ส่วนอัตราการปล่อย CO2 นั้น อยู่ที่ 200 กรัม/กิโลเมตร

สำหรับตัวเลขสมรรถนะนั้น Mercedes-AMG เคลมเอาไว้ว่า CLS53 สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายใน 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถ้ายินยอมจ่ายเงินซื้อ AMG Sport Package เขาก็จะปรับโปรแกรมในกล่องยอมให้ความเร็วไหลไปได้ถึง 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว

ถ้าหาก Mercedes-Benz Thailand สนใจนำรถรุ่นนี้เข้ามา ก็จะต้องเสียภาษีสรรพสามิตในอัตราที่สูงกว่ารถไฮบริดปกติ โดยรถไฮบริดที่มีมลภาวะ CO2 ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียสรรพสามิตอัตราใหม่ 8% แต่ถ้าหากเกิน 100 ไปจนถึง 150 จะเสีย 16% และ 151-200 จะต้องเสีย 21% และถ้ามาวัดด้วยมาตรฐานไทยแล้วเกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ก็จะต้องเสีย 26%

แต่จะมาหรือเปล่า..ก็คงต้องรอดู ค่ายนี้ในประเทศไทย เขามีเรื่องเซอร์ไพรส์ให้ตื่นตกใจกันแทบในทุกไตรมาสอยู่แล้ว

 

ที่มา : Mercedes-Benz