Tesla ยังคงประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้รายงานผลประกอบการ ในไตรมาสแรกของปี 2019 ว่าขาดทุนมูลค่า 702 ล้าน USD (ราว 22,000 ล้านบาท) ส่วนรายได้อยู่ที่ 4,540 ล้าน USD (ราว 145,000 ล้านบาท) ซึ่งต่ำกว่าไตรมาสสุดท้ายของปี 2018 แต่ยังสูงกว่าไตรมาสแรกของปี 2018

ส่วนกระแสเงินสดของ Tesla ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าเหลือ 2,200 ล้าน USD (ราว 70,000 ล้านบาท) เนื่องจากบริษัทได้ใช้เงินไป 920 ล้าน USD (ราว 29,000 ล้านบาท) ในการชำระพันธบัตรแปลงสภาพ และใช้เงินอีก 640 ล้าน USD (ราว 20,000 ล้านบาท) เป็นค่าใช้จ่ายดำเนินธุรกิจ

สาเหตุที่กำไรลดลง ส่วนหนึ่งเกิดจากยอดขายลดลง ซึ่งมีการวิเคราะห์ว่าเป็นผลจากการที่ลูกค้าของ Tesla ได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐน้อยลง ส่งผลให้มีลูกค้ามาซื้อรถยนต์ลดลงนั่นเอง นอกจากนั้น ยังเกิดปัญหาการขนส่ง Model 3 ไปยังลูกค้าในยุโรปและจีน เพราะระบบขนส่งโตไม่ทันความต้องการของตลาด

ผลก็คือกว่าครึ่งของยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า Tesla สำหรับลูกค้าต่างแดนในไตรมาสแรกของปี 2019 เกิดขึ้นในช่วง 10 วันสุดท้ายก่อนปิดไตรมาสซึ่ง Elon Musk ระบุว่าเป็นสิ่งที่บริษัทไม่เคยพบเจอมาก่อน และพนักงานทุกคนไม่ว่าจะอยู่แผนกอะไรก็ตาม ล้วนแล้วต้องมาช่วยกันรับมือ เรื่องส่งมอบรถยนต์

สำหรับยอดผลิตและยอดส่งมอบ รถยนต์ไฟฟ้า Tesla ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2019 แบ่งตามรุ่น ได้ดังนี้

  • Tesla Model 3 : ผลิตไป 62,975 คัน (สูงกว่าไตรมาสก่อน) ส่งมอบไป 50,928 คัน (น้อยกว่าไตรมาสก่อน)
  • Tesla Model S และ X : ผลิตไป 14,163 คัน ส่งมอบไป 12,091 คัน (น้อยกว่าไตรมาสก่อนทั้งคู่)

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าสถานการณ์ของ Tesla จะดีขึ้นในไตรมาสถัดไป เนื่องจากกระบวนการขนส่งเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ทั้งยังมีปัจจัยบวกอีกหลายประการทั้ง การเตรียมเปิดตัว Tesla Model 3 พวงมาลัยขวา ช่วยให้ทำตลาดได้กว้างขึ้น และยังมีแผนเปิดโรงงานแห่งใหม่ที่จีน ภายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2019 ด้วย

 

ที่มา: paultan, thedriven