เป็นไปตามที่เราได้รายงานไปก่อนหน้านี้ว่า Toyota Harrier Minorchange ที่พึ่งเปิดตัวไปนั้น จะมีขุมพลังเบนซิน 2.0 Turbo มาเสริมทัพ ซึ่งเครื่องยนต์ตัวนี้ยังประจำการอยู่ใน Toyota Crown Athlete และ Lexus NX – IS – RX ด้วย ในส่วนของหน้าตายังได้รับการปรับปรุงทั้งภายนอกและภายใน พร้อมกับมีการเพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัยอีกด้วย

ภายนอกมาพร้อมกับไฟหน้าทรงใหม่ ที่แบ่งช่องภายในโคมออกเป็น 3 ส่วน ส่วนไฟ DRL จะอยู่บริเวณขอบกันชนหน้า ในขณะที่ไฟตัดหมอกย้ายมาอยู่ด้านในช่องลมของกันชนหน้า ซึ่งไฟทั้งหมดที่กล่าวมานี้เปลี่ยนมาใช้แบบ LED ทั้งหมด ไฟเลี้ยวในโคมหน้ายังเป็นแบบ Sequential LED ที่เปล่งแสงเป็นแนวจากด้านในของโคมวิ่งมาจนสุดอีกฝั่งก่อนที่จะดับลงทั้งหมด และเริ่มทำงานใหม่อีกครั้ง

 
ด้านหลังของ Toyota Harrier Minorchange มาพร้อมกับไฟท้ายแบบ Combination Lamp พร้อม LED Tube ทรงใหม่ ส่วนไฟตัดหมอกหลังจะอยู่ขอบด้านล่างบริเวณกึ่งกลางของกันชนหลัง ฝาท้ายเป็นแบบไฟฟ้าที่ควบคุมการเปิด – ปิดได้ด้วยปุ่มกด ทั้งยังตั้งความจำได้ด้วยว่าจะให้เปิดสูงได้แค่ไหน

ภายในมาพร้อมกับเบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง และคนนั่งหน้า 4 ทิศทาง เบาะทั้งสองฝั่งมาพร้อมกับระบบปรับอากาศ เมื่อดับเครื่องยนต์และปลดเข็มขัดนิรภัยออก เบาะคนขับพร้อมพวงมาลัยจะถอยหลังอัตโนมัติเพื่อให้ขึ้น – ลงสะดวกขึ้น และจะปรับกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมตามที่ตั้งไว้ เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง

ในห้องโดยสารยังมีการตกแต่งด้วยไฟ LED สีน้ำเงินรอบคันทั้งบริเวณกันเตะประตู, มือเปิดประตูด้านใน, ที่วางขาคู่หน้า, ปุ่ม Push Start, คอลโซลหน้าฝั่งผู้โดยสาร, แป้นเกียร์, สวิตช์ปรับช่องแอร์ และที่วางแก้วน้ำด้านหน้า ระบบเครื่องเสียงเป็นหน้าจอขนาด 9.2 นิ้วแบบ TFT ทำงานร่วมกับลำโพง 11 ตำแหน่งของ JBL

หน้าปัดของ Toyota Harrier Minorchange มาพร้อมกับจอแสดงผล LCD ขนาด 4.2 นิ้ว แต่จะมีสีตกแต่งบริเวณขอบมาตรวัดต่างกันไปตามชนิดของเครื่องยนต์ โดยในรุ่น NA จะเป็นสีขาว, รุ่น Hybrid เป็นสีน้ำเงิน และรุ่น Turbo เป็นสีแดง

ในส่วนของขุมพลัง Toyota Harrier Minorchange มีเครื่องยนต์ให้เลือกด้วยกัน 3 รุ่น ดังรายละเอียดต่อไปนี้

– 3ZR-FAE

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 151 แรงม้า (PS) ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.68 กก-ม. (193 นิวตันเมตร) ที่ 3,800 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i ส่งกำลังลงพื้นผ่านล้อคู่หน้าหรือทั้ง 4 ล้อ มีอัตราบริโภคเชื้อเพลิงราว 15.2 – 16.0 กิโลเมตร/ลิตร

– 2AR-FXE

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด ให้กำลังสูงสุด 152 แรงม้า (PS) ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 21.00 กก-ม. (206 นิวตันเมตร) ที่ 4,400 – 4,800 รอบ/นาที พร้อม E-Four Power ที่มาพร้อมกับมอเตอร์ 2 ตัว ซึ่งให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 41.70 กก-ม. (409 นิวตันเมตร) ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ e-CVT ส่งกำลังลงพื้นทั้ง 4 ล้อ มีอัตราบริโภคเชื้อเพลิงราว 21.4 กิโลเมตร/ลิตร

– 8AR-FTS

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร Turbo ให้กำลังสูงสุด 231 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 – 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 35.69 กก-ม. (350 นิวตันเมตร) ที่ 1,650 – 4,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ ECT 6 จังหวะ ส่งกำลังลงพื้นผ่านล้อคู่หน้าหรือทั้ง 4 ล้อ มีอัตราบริโภคเชื้อเพลิงราว 12.8 – 13.0 กิโลเมตร/ลิตร

ระบบความปลอดภัยที่เพิ่มเข้ามาใน Toyota Harrier Minorchange คือ Toyota Safety Sense P ทำงานร่วมกับเรดาร์บริเวณใต้กระจังหน้าเพื่อตรวจสอบระยะห่างจากวัตถุด้านหน้า พร้อมกับกล้องที่อยู่ด้านหลังของกระจกมองหลังที่ตรวจสอบรูปทรงและความเร็วของวัตถุ ซึ่งสามารถระบุได้ว่าวัตถุดังกล่าวเป็นรถยนต์, คน, เส้นแบ่งถนน หรือรถยนต์สวนทางที่กำลังขึ้นเนินมาได้

สำหรับลูกเล่นของ Toyota Safety Sense P มีทั้งระบบเบรกอัตโนมัติ ที่ทำงานในช่วงความเร็ว 10 – 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง, ระบบแจ้งเตือนออกนอกช่องจราจรพร้อมช่วยปรับแต่งพวงมาลัย ทำงานในช่วงความเร็ว 50 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป, ระบบล็อคความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ที่ลดความเร็วเองเมื่อพบรถยนต์คันหน้าวิ่งช้ากว่าความเร็วที่ตั้งเอาไว้ และระบบลดระดับไฟสูงอัตโนมัติ

Toyota Harrier Minorchange ยังมาพร้อมกับระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติ หากพบว่ากำลังจะออกตัว แต่คนขับใส่เกียร์ไปยังทิศทางที่มีวัตถุขวางอยู่พร้อมกับกดคันเร่งทันที, ระบบช่วยออกตัวทางลาดชัน, กล้องรอบคัน และถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ประกอบไปด้วย คู่หน้า, เข่าคนขับ, ด้านข้าง (เฉพาะคู่หน้า) และม่านถุงลมนิรภัยยาวตลอดแนวน

Toyota Harrier Minorchange เริ่มออกจำหน่ายแล้วที่ประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมทางเลือก 6 เฉดสีตัวถัง ประกอบไปด้วย สีขาว White Pearl Crystal Shine, สีเทา Silver Metallic, สีดำ Black, สีดำ Sparking Black Pearl Crystal Shine, สีแดง Dark Red Mica Metallic และ สีน้ำเงิน Dark Blue Mica Metallic

ผู้ที่ต้องการครอบรอง Toyota Harrier Minorchange สีขาว White Pearl หรือสีดำ Sparking Black Pearl ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 32,400 เยน (ราว 10,000 บาท) จากราคารถยนต์ และในแต่ละแบบเครื่องยนต์จะมี 3 รุ่นย่อย โดยใช้ชื่อเรียกว่ารุ่น Elegance, Premium และ Progress ซึ่งมีราคาดังต่อไปนี้

– รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 NA
ราคาระหว่าง 2,949,480 – 3,780,000 เยน (ราว 910,000 – 1,167,000 บาท)

– รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 Hybrid
ราคาระหว่าง 3,774,600 – 4,604,040 เยน (ราว 1,165,000 – 1,421,000 บาท)

– รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 Turbo
ราคาระหว่าง 3,380,400 – 4,050,000 เยน (ราว 1,043,000 – 1,250,000 บาท)

ที่มา: toyota.jp