ตั้งแต่วันแรกที่หนังเรื่อง Back to the future ภาคแรกฉายจนกระทั่งวันนี้ที่คุณสามารถหาโหลดได้ตามเว็บ torrent ทั่วไป สิ่งหนึ่งที่คุณจะรู้สึกได้จากหนังเรื่องนี้คือความตื่นเต้น ความสนุกที่ได้จากหนังเรื่องนี้ คุณคงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่รถ Delorean ประตูปีกนกคันนั้นแล้วบอกว่า “ว้าว! เจ๋งว่ะ ล้ำว่ะ!” ทั้งๆที่ทั้งตัวรถ และหนังเรื่องนี้แก่กว่าผู้อ่านบางคนเสียอีก ผมมีความรู้สึกแบบเดียวกันนี้กับรถหลายรุ่นที่แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ยังรู้สึกว่ามันมีความเจ๋งอยู่ในตัว รถบางคันสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการสร้างความประทับใจของผู้ที่ได้พบเห็น รถบางคันสร้างประวัติศาสตร์ด้วยจำนวนยอดขายถล่มทลาย และบางคันเลือกที่จะสร้างเรื่องราวของตัวเองด้วยการพกความแตกต่างที่ทำให้ทั้งวงการต้องนำมาเป็นบรรทัดฐานในการพัฒนาต่อยอดไป

J!MMY เป็นมนุษย์ชนิดพิเศษเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ผมต้องขอเชิญมานั่งคุยกันเป็นการส่วนตัวเพื่อมาให้ความเห็นเกี่ยวกับรถรุ่นต่างๆในรอบหลายปีที่ผ่านมา นึกถึงรถคันที่เราเห็นตั้งแต่ยังท่องสูตรคูณแม่ 12 ไม่ได้ จนถึงรถที่เพิ่งจะหมดอายุการตลาดไปไม่นานมานี้ (สำหรับบางคันก็เพิ่งเลิกผลิตไปเมื่อปลายปีนี้ด้วยซ้ำ) และหลังจากที่ทั้งคุย ทั้งพิมพ์ เถียงแบบมีเกือบตบ เลือกกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากบรรดารถยนต์ทั้งหลายทั้งปวง ที่ทำตลาดอยู่ในประเทศไทย ช่วงปี 1985 – 2010 ในที่สุด เราก็ได้มาซึ่งรถ 50 คันที่นักโบราณคดีวิทยาทางรถยนต์ชาวไทยในอนาคตอีก 200 ปีข้างหน้าจะต้องเขียนบันทึกลงในหนังสือของเขา

 

BMW 3-Series E30 : BMW แห่งชนชั้นหาเช้ากินค่ำรุ่นสุดท้าย

Commander CHENG : คงไม่ต้องสาธยายอะไรกันมากสำหรับตำนานตัวจริงอย่าง E30 ซึ่งผมได้เขียนไว้แล้วในคอลัมน์ Rewind E30 เจ้า BMW รุ่นนี้เป็นที่นิยมทั้งในหมู่วัยรุ่น คนทำงาน และเป็น BMW รุ่นหนึ่งที่สามารถซื้อไว้ใช้เป็นรถคันแรกของบ้านได้สบาย ช่วงล่างนิสัยยุโรปเต็มขั้น น่าคบ น่าขับเหมือนรุ่นพี่ แต่เบรคยังต้องทำอีกนิดถ้าคิดจะขับแบบคนไม่ธรรมดา ทางด้านเทคนิคต้องยอมรับว่าการออกแบบภายในล้ำสมัยมาก ไม่น่าเชื่อว่านี่คือดีไซน์ของเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน! เบาะนั่งสามารถปรับส่วนรองน่องให้รับกับขาได้ สมัยนี้ BMW ใหม่ๆยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ เครื่องยนต์รุ่นที่ขายในประเทศไทยทั้งหมด ไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ เทคโนโลยีเครื่องของญี่ปุ่นในช่วงนั้นยังก้าวล้ำไปไกลกว่าเยอะ แต่ในทางกลับกัน หากเป็นโลกของ Motorsport นั้น E30 กลับมีชื่อเสียงกระฉ่อนมากเพราะเป็นรถที่ใช้บุกสนามแข่งไปทั่ว และบ่อยครั้งที่มันจะเจอคู่ปรับอย่าง 190E ที่โมดิฟายเป็นทัวร์ริ่งคาร์

J!MMY : Champion of BMW for Mass Market! ยอดขายดีจนถล่ม Toyota ราบคาบในปี 1984 และเป็นรถที่กอบโกยความสำเร็จให้กับ BMW ชนิดที่เราคงไม่ได้มีโอกาสได้เห็นกันอีกแล้ว เคล็ดไม่ลับของความสำเร็จก็คือความคล่องแคล่วทะมัดทะแมง มีบุคลิกไม่แก่หรือกระเตาะจนเกินไป เด็กมหาวิทยาลัยขับไปเรียนก็ดูป๋าดีมีระดับ แต่คนแก่ขับ กลับดูแล้วเหมือนจะหนุ่มแน่นขึ้น อีกทั้งสมัยนั้นเบนซ์ยังไม่ยอมนำ 190E เข้ามาประกอบขายแข่ง ส่วนคู่แข่งยุโรปรายอื่นมีแต่ยี่ห้อที่ชื่อชั้นแบรนด์ดูไม่หรูและรวยเท่า E30 จึงสามารถจับตลาดได้หลายกลุ่ม มีราคาค่าตัวไม่ได้ห่างจากรถญี่ปุ่นเท่าไหร่นัก ราคาแพงกว่ารถญี่ปุ่นตัวเท่าๆกันประมาณ 20% เท่านั้น..ลองนึกภาพดูสิว่าถ้าคุณซื้อ 3-Series ในปัจจุบันได้ในราคา 1.3 ล้านบาท ว้าว! อายุการตลาดในประเทศไทย 8 ปี ยาวนานมาก มีไมเนอร์เชนจ์เปลี่ยนไฟท้าย ไฟหน้า และเครื่องยนต์มาเรื่อยๆเพื่อคงความสดในตลาดเอาไว้ แต่สงสัยจริงว่าทำไม รุ่นถูกสุด ณ วันแรกที่เปิดตัว 5 แสนบาทนิดๆ แต่รุ่นแพงสุดที่ออกจากสายการผลิตเป็นคันท้ายๆราคาเกือบล้าน

———————————————————————————-

BMW 5-Series E34: เทคโนโลยีเมืองเบียร์ ปรุงรสด้วยคนไทย

Commander CHENG : แม้จะเปิดตัวอย่างธรรมดาๆด้วยรุ่น 520i 129 แรงม้า ที่ยังแรงสู้คู่แข่งไม่ได้ แต่ในภายหลัง BMW ประเทศไทยขอแรง อาจารย์ ศิริบูรณ์ เนาว์ถิ่นสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์ระดับแถวหน้าของประเทศไทย เพื่อช่วยเสกพละกำลังให้กับเครื่อง M20 บล็อคเดิม ซึ่งในท้ายสุดก็ทำให้คนไทยได้ใช้ซีรีส์ 5 เพิ่มออกมาอีก 2 รุ่น ได้แก่ 520iS ใช้เครื่องยนต์ M20 ที่ขยายความจุเป็น 2.7 ลิตร แรงม้ากระโดดเพิ่มเป็น 160 แรงม้า และตามมาด้วยรุ่น S5 ซึ่งใช้ท่อนล่าง 2.7 ลิตรเหมือนกัน แต่มีการลงแรงแต่งฝาสูบให้ไอดีไอเสียไหลเข้าออกดีขึ้น แรงม้าพรวดขึ้นเป็น 190 แรงม้า ซึ่งนับว่าสูงมากสำหรับรถบ้านที่ใช้ฝาสูบแบบ 2 วาล์วต่อสูบ ผมรู้สึกชอบเป็นการส่วนตัวเพราะมันเป็นเวอร์ชั่นที่มาจากมันสมองของคนในชาติเรา ที่ทำไปทำมาแรงกว่า M20 2.5 ของรถจากเมืองนอกเสียอีก

แต่ต่อมาไม่นาน ในปี 1991 เครื่องบล็อค M50 ถูกนำมาใช้แทนที่ ชูจุดเด่นในการขายด้วยการเป็นเครื่อง 4 วาล์วต่อสูบ 2.0 ลิตร 150 แรงม้า และ 2.5 ลิตร 192 แรงม้า ถาม…ว่าทำไมคิดว่ามันเป็นจุดเด่น .? อ๋อ..ก็เพราะ 520i กับ 525i ยุคนั้นน่ะจะมีป้าย 24V แปะหราอยู่ด้านท้ายเพื่อบอกว่า อั๊วะมีวาล์วตั้ง 24 ตัวนะเฟ้ย ถ้าลื้อมีมากกว่านี้ก็แซงไปเลย (ป้าด) แล้วถัดมาในปี 1993 เมื่อรัฐปรับโครงสร้างภาษี คิดภาษีรถที่ความจุเกิน 2,400 ซี.ซี.สูงขึ้น BMW ก็หันมาปรับเครื่องยนต์ลดความจุลงเหลือ 2.4 ลิตร 188 แรงม้า มีระบบแค็มแปรผันมาให้ใช้ การที่ BMW ตัดสินใจลดความจุลงเพียง 0.1 ลิตรนี้กลายมาเป็นกุญแจสำคัญที่ดันให้ยอดขายของ 5-Series สูงขึ้น รับกับเศรษฐกิจยุคฟองสบู่กำลังพอง..พองได้ที่ เพราะภาษีที่ถูกกว่าทำให้เป็นรถพรีเมียมเครื่อง 6 สูบที่ราคาน่าจับมาจอดในบ้าน แค่ 2 ล้านต้นๆเท่านั้น

 

 

J!MMY : อันนี้เป็นรถที่แปลกอย่างนึงคืออายุยิ่งมาก ราคายิ่งถูกลง อย่าง 525i รุ่นแรกๆนั้นเปิดมาด้วยราคา 2.5 ล้าน ต่อมาเมื่อเป็นรุ่น 2.4 ลดราคาลงมาเหลือ 2.34 ล้าน ในช่วงท้ายสุดของอายุตลาดนั้นวิกฤติต้มยำกุ้งเล่นงานจนหลายคนไม่กล้าออกรถแพงๆ ประกอบกับ E39 ตัวใหม่จะมาถึงไทยอยู่แล้ว เลยมีการหั่นราคาลดลงมาเหลือ 1.88 ล้านบาทเท่านั้น ใครมีเงินซื้อช่วงนั้นถือว่าได้กำไรไปเลย 5-Series รุ่นนี้ยังเป็นที่นิยมของบุคคลมีชื่อเสียง ดารา หรือแม้แต่คุณบอย วรพล สิงห์เขียวพงษ์แห่งนิตยสาร Thaidriver ก็ใช้รถรุ่นนี้ แถมยังมีดาราอีกคนหนึ่ง..คุณมินท์ อาทิตยา ดาราสาวผู้ที่โชคไม่ค่อยดีนัก ขับ E34 กลับบ้านอยู่ดีๆก็มีไอ้ผู้ชายกมลสันดานต่ำมากระทำอนาจารย์โชว์ต่อหน้าสายตาเธอ โชคดีที่มันยังมีกระจกบางๆกับประตูกั้นเอาไว้ และโชคดีที่คุณยายของคุณมินท์ออกจากบ้านมาพบพอดี คุณยายเลยกลับเข้าบ้านไปคว้าปืนมาไล่ยิงไอ้ผู้ชายคนนั้นจนต้องซิ่งมอเตอร์ไซค์หนี ล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นท่า

Commander CHENG : แล้วมันเกี่ยวกับรถตรงไหนวะไอ้อันหลังเนี่ย ขอเสริมให้อีกนิดว่านอกจากรุ่น 4 ประตูที่พบเห็นกันทั่วไปแล้วบริษัทไทยยานยนต์ที่เป็นผู้แทนจำหน่ายในช่วงนั้นยังนำรุ่นแปลกๆเข้ามาขาย ที่พบเห็นกันบ่อยที่สุดคือ 520iA Touring ซึ่งเป็นบอดี้สเตชั่นแวก้อน ใช้เครื่อง 2.0 ลิตร 150 แรงม้าจำหน่ายในราคา 2.24 ล้านบาท รถรุ่นนี้นำมาใช้ต่อกรกับ E220 สเตชั่นแวก้อนจากค่ายดาวสามแฉกโดยเฉพาะ แต่ดูเหมือนจะแพ้ในเรื่องยอดขาย นอกจากนี้ก็มีรุ่น 530iA ซึ่งมาแปลกตรงที่แม้ความจุจะแค่ 3.0 ลิตร แต่รูปแบบเครื่องยนต์กลับเป็น V8 32 วาล์วอลูมินั่มทั้งก้อน 218 แรงม้า ตั้งราคาขายเอาไว้ 3.8 ล้านบาท

———————————————————————————-

BMW 3-Series E36: สุดยอดแห่งรถพรีเมียมระดับเล็กที่ตอบสนองอย่างครบครัน

J!MMY : จะมีใครหาว่าลำเอียงไหมเนี่ย 3-Series เข้าป้ายทั้ง 2 รุ่นเลย?

Commander CHENG : มีสิ แต่ลองคิดดูดีๆก่อน ว่าในตลาดรถ Premium ตัวถังขนาดเท่านั้น ณ ช่วงเวลานั้นมีใครที่เรียกได้ว่าเจ๋งทั้งในด้านเทคนิค ด้านการออกแบบ และสมรรถณะเท่า E36 อีกหรือไม่? ไฟหน้าแบบกลมข้างละคู่เหมือนเดิม แต่คราวนี้มีกระจกใสครอบมาให้ ดีไซน์ของรถรุ่นนี้ถูกนำมาใช้กำหนดทิศทางรูปลักษณ์ของ BMW รุ่น 5 และ 7-Series ที่ตามออกมาภายหลัง ช่วงล่างด้านหลังพัฒนาจากเซมิเทรลลิ่งอาร์มใน E30 มาเป็น Central Link ก็คือมัลติลิงค์แบบของ BMW นั่นล่ะ การกระจายน้ำหนักของตัวรถถูกกำหนดให้ใกล้เคียง 50:50 มากที่สุด ทางด้านเครื่องยนต์ก็มีเครื่อง 4 สูบเรียง 2 วาล์วต่อสูบ 113 แรงม้า ในปี 93 มีการนำเอาเครื่องจาก 525iA 2.4 มาใส่ ก็กลายเป็น 325i อีก ดังนั้นถ้าลองมามองคู่แข่งอย่าง C-Class แล้วล่ะก็ Mercedes-Benz จะทำได้ดีกว่าในแง่ของความสบายในการโดยสาร แต่ในเรื่องของการขับขี่ BMW ขับได้สนุกกว่า (ยกเว้นช่วงล่างเดิมของ 325i ที่ขอให้ด้านหน้าแข็งกว่านี้สักหน่อยเถอะ) และถ้าเอาราคามาเป็นตัวเทียบด้วยแล้วล่ะก็จะเห็นได้ว่าในงบประมาณที่ใกล้เคียงกันนั้น BMW จะได้รุ่น 6 สูบ ในขณะที่เบนซ์จะได้รุ่น C220 หรือถ้าหากเทียบรุ่นพื้นฐานอย่าง C180 กับ 318i กันแล้ว สมัยนั้นราคาต่างกัน 40 หมื่น ซึ่งก็ไม่ใช่น้อยๆเลย และดูเหมือนว่า E36 จะมาถูกเวลา เพราะได้ใช้ชีวิตเกือบ 5 ปีอยู่ในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น จึงสร้างยอดขายได้น่าชมเชย ผู้คนนิยมซื้อหามาใช้กันเยอะ แล้วก็เหมือน 124 ของเบนซ์อยู่ประการหนึ่งคือแม้รุ่น 318i จะขายดีกว่า แต่จำนวนรถที่เป็นรุ่น 325i ก็มีไม่น้อย

สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างจะประหลาดสำหรับ E36 ที่ผมจำได้ก็คือ ในช่วงปี 92-93 นั้นชาวบ้านชาวช่องเขาฮิตการทำสีตัวรถแบบคัลเลอร์คีย์ (สีเดียวตลอดคัน) มาตั้งนานแล้ว แต่พอ E36 เปิดตัวออกมากลับมีกันชนเป็นสีดำทั้งชิ้น ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้รถที่น่าจะดูทันสมัยแบบเต็มปากเต็มคำ กลายเป็นแพนด้าไปซะงั้น รถอีกรุ่นที่ขายในเวลาใกล้ๆกันแล้วใช้กันชนโทนสีแบบนี้คือ Opel Astra ส่วนฝั่งรถญี่ปุ่นน่ะ พวกกันชนดำเขาเก็บไว้ใช้กับรุ่นล่างสุดเครื่อง 1.3 ลิตรกันทั้งนั้น..เฮ้อ แต่ไม่นานนักหรอก BMW ก็นำเอากันชนแบบสีเดียวกับตัวรถ คาดแถบกันกระแทกดำมาใส่ให้

J!MMY : ส่วนที่น่าชมเชยสำหรับรถรุ่นนี้อีกอย่างหนึ่งคือ 80% ของชิ้นส่วนต่างๆในรถสามารถนำไปรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่ได้ และหลายส่วนของวัสดุต่างๆในรถก็ทำมาจากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ดีถ้าไม่ใช่ว่า 10 ปีหลังจากนั้นวัสดุเหล่านี้จะกรอบ ปริ แตก แยก ย่น และสารพันไม่ไหวจะเคลียร์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อนึกถึงรถที่มีบทบาทในการสร้างตลาดกลุ่ม Small Premium Segment แล้ว E36 น่าจะเป็นรถคันนั้น เพราะ E30 ยังถือว่าค่อนข้างเอียงไปทางตลาดทั่วไปอยู่มาก ด้วยราคาขายปลีกที่ถูกกว่า E36 กันคนละเรื่อง

———————————————————————————-

Chevrolet Zafira: ส้มหล่น ณ ประเทศไทย ตกใส่หัว GM

J!MMY : เป็นความบังเอิญที่ GM จะไม่วันลืม เพราะเมื่อหมดสัญญากับพระนครยนตรการลง ก็มีความจำเป็นที่จะต้องคิดหาหนทางนำรถรุ่นใหม่เข้ามาขาย ในช่วงแรกนั้นทางบริษัทคิดจะเอารถเก๋งธรรมดาอย่าง Astra มาขาย แต่ในที่สุด เมื่อเห็นแล้วว่า Astra ไม่สามารถขายแข่งกับเจ้าตลาดได้แน่นอน GM เลยยอมกล้าเสี่ยงเพื่อ เปิด segment ใหม่มันซะเลย โดยเอาตลาดมินิแวนที่ตายไปแล้วพักนึงกลับมาปัดฝุ่นอีกครั้ง หลังจากที่ Mitsubishi Spacewagon รุ่นแรกได้ทำตลาดมา และหายไปก่อนหน้านั้น

แผนการของ GM ยังรวมถึงการทำตลาดภายใต้ Brand เก่าที่หายไปแล้วนานแล้วอย่าง Chevrolet แทนที่จะเป็น Opel (ซึ่งเป็นค่ายที่ทำรถรุ่น Zafira) โดยหวังผลเพื่อเลี่ยงภาพลักษณ์บริการหลังการขายและการดูแลลูกค้าที่แบรนด์เดิมสร้างไว้ไม่สู้จะดีนัก การตอบรับของลูกค้าสร้างความประหลาดใจชนิดหักปากกาเซียน เพราะ Zafira ทำยอดขายได้ดีเกินคาด แถมยังส่งออกไปขายในยุโรป หลายประเทศ รวมทั้งที่ญี่ปุ่นในชื่อ Subaru Traviq ด้วยอีกต่างหาก ทั้งหมดนี้ Made in ระยอง!

Commander CHENG : จุดเด่นที่นำมาโฆษณาขายก็ประกอบไปด้วย ช่วงล่างและแฮนด์ลิ่งสไตล์รถยุโรป (ก็มันเป็นรถยุโรปนี่หว่า) การจัดที่นั่งแบบ Flex-7 เอนกประสงค์ไปกันทั้งได้คันเดียวจบไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ลูกหลานปู่ย่า หรือจะใช้เป็นรถขนสุภาพสตรีกับเพื่อนชะนีไปช้อปปิ้งก็ได้ ทีมการตลาดของ Chevrolet ในยุคนั้นถือว่ากล้าได้กล้าเสีย ออกแคมเปญดาวน์ 0% แล้วออกรถได้ทันที (ชื่อแคมเปญซูชิกับสเต็ก) ขนาด Honda เอา Stream มา หวังจะตีค่ายแตกด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์รวมถึงภาพลักษณ์แบรนด์ที่ติดตาติดใจในหมู่คนไทยมากกว่า ก็ยังต้องจ๋อยถอยทัพไปโดยไม่สามารถเอายอดขายมาเทียบกันได้เลย

Zafira มีช่วงชีวิตที่น่าประทับใจและได้สร้างกระแส Mini MPV ให้กลับมาติดตาผู้บริโภคอีกครั้ง …ถึงขนาดฟาดกบาล Honda Stram เสียจนหมอบราบคาบไปเลย จนกระทั่ง Toyota ส่งคำอธิษฐาน (Wish) เข้ามาสู่ตลาด นับแต่นั้นมายอดขาย Zafira ก็ค่อยๆร่วงลงเรื่อยๆ จนในที่สุด ถูกปลดจากการผลิตไป เพราะหมดอายุตลาด โดยไม่มีการนำรถรุ่นใหม่ เข้ามาผลิตขายสืบทอดตำนานกันอีกเลย

———————————————————————————-

Daihatsu Mira: น่าจะเรียกว่า Eco Car ตัวจริงแห่งยุค 90

Commander CHENG: เรามีธุระอะไรกับเจ้ากระป๋องตัวเจ็บนี่หรือ?

J!MMY : สมัยก่อนจริงๆ แล้ว ถ้าย้อนไปในอดีตกาล เรามีรถเล็กๆต่ำกว่า 1.0 ลิตรให้เลือกตั้งหลายรุ่น แต่ในยุคท้ายสุดของรถพวกนี้ มันมาจบเอาที่เจ้า Mira เนี่ยแหละ

สำหรับสเป็คบ้านเรานั้นตอนแรกออกมาเป็นรถกระบะและทำยอดขายได้ดีพอตัวเพราะราคาเริ่มต้นอยู่ที่แค่ 175,000 บาท (1 ใน 3 ของรถ C-Segment ส่วนใหญ่ในขณะนั้น) เครื่องยนต์กระจิ๋วบล็อค ED-10 ความจุแค่ 847 ซี.ซี. มีม้าให้ใช้แค่ 43 ตัวเท่านั้นเอง แต่ใช้งานในเมืองก็คล่องตัวด้วยความยาวตัวถังแค่ 3 เมตรกับอีก 1 ฟุตเท่านั้น แต่ถ้าขายกันแต่โฉมกระบะ ตลาดมันอาจจะแคบไปหน่อย ในภายหลัง ทางพระนครมอเตอร์เลยให้แครี่บอยทำหลังคาไฟเบอร์ติดตั้งในส่วนท้าย ทำให้ทรงดูกลายเป็นรถแฮทช์แบ็คไป โดยมีหลังคาให้เลือก 3 แบบคือ 1. แบบที่ฝาท้ายแยกชิ้น เปิดได้ 2 ส่วน  2. แบบที่เป็นเป็นโครงสร้างหลังคาไฟเบอร์พร้อมบานฝาท้ายเปิดเป็นชิ้นเดียว  ส่วนแบบที่ 3 นั้นจะมีกระจกหลังออกแบบให้ดูดีขึ้น ซึ่งเป็นผลงานของ Toyo Fiber และเป็นฝาท้ายปิดเปิดด้วยระบบล็อคสองชั้น กระจกดีไซน์ใหม่ทำจากสวิส ยัง..ยังไม่จบ ต่อจากนั้นก็มีรุ่น Mira New Kids in Town กันชนสีเดียวกับตัวรถ ฝาครอบล้อใหม่ มีเครื่องกรองไอเสีย (ตัวนี้มาจำหน่ายกันช่วงปี 94-95) แล้วก็ยังมีรุ่น  Mira Porter ซึ่งเป็นรุ่นที่มีหลังคาไฟเบอร์ แต่ไม่มีเบาะหลัง

ในช่วงท้ายของการตลาดมีรุ่น Mira  Mint ราคา 245,000 บาท ซึ่งมีความแตกต่างจากรุ่นอื่นตรงที่มีลักษณะตัวถังเป็นรถสามประตูจากโรงงานเลย ชิ้นส่วนตัวถังหลังคากับเสากรอบต่างๆออกแบบให้เป็นชิ้นเดียวกันต่อเนื่อง เครื่องยนต์เปลี่ยนระบบจ่ายเชื้อเพลิงมาเป็นแบบหัวฉีด แต่แรงม้าเพิ่มขึ้นแค่ 2 ตัวเท่านั้น ส่วนภายในนั้นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือชุดแผงหน้าปัด เอาของ Mira เวอร์ชั่นญี่ปุ่นปี 90 มาใส่ลงไป ถือว่าเป็นรถยนต์ขนาดเล็กน้ำหนักต่ำกว่า 700 ก.ก. รุ่นสุดท้ายที่ประกอบในประเทศ

Mira เคยสร้างเรื่องติดตัวไว้กรณีหนึ่ง เป็นเรื่องของการเลี่ยงสรรพสามิต เพราะพื้นฐานเดิมถือว่าเป็นรถมีกระบะหลัง ซึ่งทำให้ได้รับภาษีในอัตราที่ถูกกว่า การที่นำมาดัดแปลงเป็นแฮทช์แบ็คต่อในภายหลังนั้นทำให้รูปแบบของรถเทียบได้กับซิตี้คาร์ 4 ที่นั่ง มันเลยกลายเป็นข่าวอยู่พักใหญ่ เพราะมีการไล่เบี้ยจากหน่วยงานรัฐเกิดขึ้น

Commander CHENG : ไม่ยักกะรู้ว่ามันมีรุ่นยิบย่อยเยอะขนาดนี้ เผอิญผมลงไปนั่งไม่ได้เลยไม่ค่อยได้ติดตามมันเท่าไหร่ แต่จริงๆแล้วอยากจะเรียกว่า เป็น The Last K-Car in Thailand มากเลยนะ แต่ที่ทำไม่ได้เพราะเครื่องยนต์ใหญ่เกิน 660 ซี.ซี.

J!MMY : เฮ้ย! อย่าเพิ่งลืมดิว่า เรายังมี Subaru R1 และ R2 ขายกันอยู่ตอนนี้ คันละ 1.5 ล้านบาท โดยประมาณ!

Commander CHENG : เออจริงว่ะ..งั้นเรียกว่าเป็น The Last CKD K-Car in Thailand ได้ไหม?

JIMMY : ก็ไม่ได้อยู่ดี เพราะเครื่องมันเกิน 660 ซี.ซี.

Commander CHENG : งั้นช่างมันเถอะค่ะ

———————————————————————————-

Ferrari F355: ม้าป่าปลุกวงการซูเปอร์คาร์ไฮโซ ขับง่าย แรงขึ้นอีกโข

J!MMY: มันสำคัญกับประวัติศาสตร์รถไทยตรงไหนฮึ? แต่เท่าที่รู้ ไอ้เจ้านี่เป็น Poor Man’s Ferrrari คันแรกที่ทำให้คนทั่วไปเริ่มรู้สึกว่า Ferrari ง่ายต่อการเอื้อมถึง เพื่อนของข้าพเจ้า ก็มีอยู่คันนึง สีเหลือง จำได้เลยว่า วิทยุติดรถ เป็น ฟอนท์ Alpine แบบเดียวกับใน Honda Accord ยุคเดียวกันเลยนั่นแหละ !! แต่ที่แน่ๆ คุณสมบัติของตัวรถมันก็ดีกว่า 348TB/TS ขึ้นมาก รถรุ่นนี้เคยได้ออกโลดแล่นในแผ่นฟิล์มด้วย ถ้าจำไม่ผิดเป็น James Bond ตอน Goldeneye เป็นรถคันเก่งของยัยชะนีตัวร้ายใช่ไหม?

 

 

Commander CHENG: มีคนจนซื้อ Ferrari ได้ด้วยหรือ? ลองคิดย้อนไปถึงยุคนั้นก่อนสิ ปี 94 Ferrari มีรถขายแค่ 348 ราคา 6-7 ล้านบาท ซึ่งถามว่าแรงไหม ก็แรงแต่ไม่ใช่รถที่ไวขนาดนั้นและแน่นอนไม่ใช่ Ferrari ที่คนอยากเอาไปขับทุกวันหรอก ส่วน 512TR 12 สูบนั้นราคา 14 ล้าน แพงมากในสมัยนั้น ซูเปอร์คาร์ก็เลยยังเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ แต่จู่ๆ F355 ก็มาถึง และมันนี่ล่ะเป็นตัวสำคัญในการขยาย community ของม้าป่าผยองในประเทศไทย

ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 9.5 ล้านบาทสำหรับรุ่น Berlinetta หลังคาแข็ง และ 9.8 ล้านบาทสำหรับรุ่น GTS ที่เป็นหลังคา T-Bar ช่วงกลางยกเปิดได้ทั้งชิ้นนั้น สิ่งที่คุณได้ ก็คือพลังเครื่อง V8 5วาล์วต่อสูบที่มีแรงม้าสูงถึง 380 แรงม้า ด้วยความจุแค่ 3.5 ลิตร ถ้าลองหารกันดู จะได้อัตราส่วนระดับ 108.5 แรงม้าต่อลิตร สูงที่สุดสำหรับรถที่มีขายในไทยในขณะนั้น เคยฟังเสียงรถพวกนี้เวลามันอัดเต็มๆผ่านเราไปไหม? F355 มี By-Pass valve ในท่อไอเสีย ซึ่งถ้าในยามปกติ มันก็จะเป็นท่อไอเสียเก็บเสียงแบบรถทั่วไป แต่ถ้าเล่นบทโหดกันเมื่อไหร่ ไอ้วาล์วที่ว่านี่จะเปิดต่อให้ไอเสียออกได้แบบตรงๆ เสียงดังล่อตำรวจมากขึ้น ผมเคยขับรุ่นนี้ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีใบขับขี่ มันเป็นเรื่องที่ผมจะจำไม่มีลืม พูดง่ายๆว่า เฉี่ยว เร็ว แรง แค่เหยียบคันเร่งให้รอบตวัดผ่าน 8,000 ไป เสียงที่ได้นั้นน่าจะเอาไปสอน Fairlady Z ได้ในคลาสเรียนเรื่อง “การทำเสียงเครื่องให้สะเด่าทรวง” ทั้งหมดนี้ประกอบกับค่าตัวสมเหตุผลสำหรับการแลกมาซึ่งซูเปอร์คาร์สักคันที่ได้หน้าตาทางสังคมสูงไร้เทียมทาน เศรษฐีเงินหมุนบางท่านเลยกล้าจะควักกระเป๋าแลกมากขึ้น ในช่วงก่อนเปลี่ยนศตวรรษ ถ้าคุณเจอ Ferrari บนถนนเมืองไทย นับไปเลย 7 ใน 10 จะเป็น F355 แม้ว่าทุกวันนี้จะหายๆกันไปบ้างแล้วก็ตาม

J!MMY: ผู้การเอ๋ย เสริมนิดเดียวนะ ไม่ต้องรวย ก็ซื้อ Ferrari มาเล่นได้…แค่เดินไปแผนกของเล่นห้างเซ็นทรัลได้ ทุกสาขา (ช่วงนี้ ขอยกเว้น สาขา เซ็นทรัลเวิลด์ เพราะยังคงปิดไม่มีกำหนดเปิด)

———————————————————————————-

Honda Accord ตาเพชร: หมัดปฐมฤกษ์แห่งศักยภาพในการออกแบบรถ D-Segment จาก Honda

J!MMY : เจ้าตาเพชรนี้เป็นครั้งแรกที่ Honda ตั้งใจทำ Accord ออกมาได้ดีมากจนกระทั่ง Toyota เริ่มเล็งเห็นแล้วว่าขืนขายแต่ Corona / Carina E ทั่วโลกกันต่อไปอาจมีสิทธิ์หนาวตายได้ ดังนั้นจึงสังเกตได้เลยว่าเมื่อตลาดรถนำเข้าเปิดเสรี Toyota ก็ต้องเอา Camry เข้ามาเสริมทัพในทันที

ในสมัยนั้นคู่แข่งของ Accord นอกจาก Corona แล้วก็ยังมี Bluebird ATTESA, Cefiro, Peugeot 405 รวมไปถึง Galant และ Mazda 626 ด้วย ดีไซน์ภายนอกและภายในของรถถือว่า สวยจบเป็นอันดับต้นๆ ในยุคของมัน นอกจากนี้ Honda มีการจัดแบ่งรุ่นย่อยไว้กอบโกยทุกตลาด ในช่วงแรกมีรุ่นหัวฉีดเกียร์ธรรมดา LXi แล้วก็รุ่นคาร์บูเรเตอร์ทั้งเกียร์ธรรมดา LX และอัตโนมัติ EX ในเวลาต่อมาจึงออกรุ่น Exi ที่เป็นเครื่องหัวฉีดเกียร์อัตโนมัติมาให้เลือกด้วย นับได้ว่าเป็นรถที่ยกระดับ Accord ให้มีลูกค้าและฐานยอดขายกว้างขึ้น เยอะขึ้น ทั้งในเมืองไทย สหรัฐอเมริกา (ตลาดหลักของเขาเลย) และทั่วโลก อีกทั้งทำให้ประสิทธิภาพทางวิศวกรรมของ Honda เริ่มเป็นที่ยอมรับในบรรดาลูกค้าตลาด Mass มากขึ้น

 

Commander CHENG : สงสัยเหมือนกันว่าถ้าไฟหน้ามันไม่ใช่ตาเพชรเราจะเรียกรถรุ่นนี้ว่าอะไรดี? แต่ Honda คิดถูกที่ใช้ดีไซน์หน้าลิ่มแบบนี้ การออกแบบคอนโซลที่เรียบร้อยลงตัว (เอาภาพคอนโซลมาเทียบกับ Corona ในยุคเดียวกันก็ได้) และทัศนวิสัยด้านหน้าโปร่งสบายตา การจัดพื้นที่ภายในก็ไม่เลวเลยสำหรับรถขนาดตัวเท่านั้น ผมเคยนั่งหลังโดยสารมันทางไกลมาแล้ว และจะบอกให้นะว่า ผมชอบการเซ็ตช่วงล่างของรถรุ่นนี้มากกว่า Honda เก๋งรุ่นใหม่ๆหลายๆคันที่ไม่รู้จะเด้งไปหาลูกชิ้นปลานายใบ้อะไรกันขนาดนั้น Honda ใช้จุดขายเรื่องช่วงล่างอิสระแบบดับเบิลวิชโบน “เทคโนโลยีจาก F1” มาเน้นย้ำในเรื่องสมรรถณะการขับขี่ ซึ่งในชีวิตจริงก็คงจะมีแต่พวกรถยุโรป และ Mazda 626 TTL ที่ได้ชื่อว่ามี Handling ดีกว่า แต่ด้วยอานิสงส์จากความเป็น Honda ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นรถญี่ปุ่นของคนรวย (เพราะอะไหล่แพงฉิบ) เครื่องยนต์และเกียร์ที่ขับสนุกเมื่อเทียบกับรถพิักัดใกล้เคียงกัน เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน มันก็เป็นส่วนผสมอย่างเหมาะเจาะที่ทำให้กลายเป็นรถยอดนิยมอีกรุ่นหนึ่งไป

———————————————————————————-

Honda Prelude: บทพิสูจน์ว่าตลาดสปอร์ตคูเป้ยังไม่ตาย

J!MMY : ก่อนหน้าปี 1992 นั้นรถคูเป้ทรงเฉี่ยวมีตัวเลือกไม่มากนัก ไม่เหมือนกับช่วงต้นทศวรรษ สมัยนั้น Toyota ก็ไม่มีรถคูเป้ขาย Nissan มี Sentra Coupe กับ NX Coupe ส่วน BMW มี 318i Coupe และนอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีก จนกระทั่งช่วงปลายปี 92 นั่นเอง Honda มาแบบม้ามืด จู่ๆตัดสินใจนำเอา Prelude ทรงเฉี่ยวที่เพิ่งวางขายในบ้านเกิดตัวเองได้แป๊บเดียวมาลงตลาดในบ้านเรา และนับเป็นคูเป้รุ่นแรกของ Honda ที่นำมาขายโดย Honda ประเทศไทยเอง นับจากวันที่เปิดตัวไม่นาน Prelude สีแดงสด และสีเงินก็ออกวิ่งให้เห็นทั่วกรุงเทพ เป็นที่จับจองหมายปองของคนตั้งแต่ชนชั้นกลางและไม่เว้นแม้แต่ไฮโซ กลายเป็นผู้เล่นตัวสำคัญที่ต่ออายุให้ตลาดรถคูเป้ในไทยยืนยาวต่อมาได้อีกนานหลายปี ถ้าไม่ได้การลดกำแพงภาษีนำเข้าสมัยรัฐบาล คุณอานันท์ ปัณยารชุน ก็ไม่รู้จะได้เห็น พรีลูด ขายกันในราคาล้านกว่าบาทหรือเปล่า

 

 

Commander CHENG : ใช่ ถ้าใครอายุประมาณ 30-35 จะจำกันได้ดีว่าเมืองไทยช่วงนั้นมี Prelude วิ่งเยอะขนาดไหน พวกเกรย์มาร์เก็ตก็นำเข้ามาขายแข่งกันอีกต่างหากโดยเอารถสเป็คญี่ปุ่นเข้ามา แต่รถในไทยจะเป็นเครื่องสเป็คออสเตรเลีย รุ่นแรกที่นำเข้ามาเป็นเครื่อง 2.2 ลิตร 130 แรงม้าธรรมดาๆ สงสัย Honda จะกลัวเคี้ยว Celica ได้ไม่สนิทปาก ตอนหลังเลยเอารุ่น Si เครื่อง 2.3 ลิตร 160 แรงม้าเข้ามา

แล้วที่เด็ดสุดคือรุ่น VTi-R DOHC VTEC ม้าเฉียดๆ 200 ตัว ซึ่ง Honda ประเทศไทยก็สั่งเข้ามาขายด้วยแม้ว่าจะเป็นจำนวนน้อยก็ตาม ต้องยอมรับว่าโฉมหน้าของ Honda เปลี่ยนไปมากนับตั้งแต่รัฐบาลประกาศเปิดนำเข้าเสรีด้วยการลดภาษี เราจึงได้เห็นรถนอกที่มีอุปกรณ์ครบครัน กับเครื่อง VTEC ประเภทรอบจัดแรงม้าสูงซึ่งประจำการอยู่ใน Prelude และ Integra ซึ่งเป็นคูเป้ที่ขนาดตัวเล็กกว่า (และไม่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขายเท่า)  ดังนั้น สำหรับสิ่งที่รถคูเป้ราคาประมาณล้านนึงจะให้ได้ Prelude ถือว่าเป็นรถที่ตอบโจทย์ได้ครบทั้งรูปทรง ความทันสมัย และสมรรถณะ สมัยนี้ถ้าคุณอยากได้รถคูเป้ 200 ม้า ต้องจ่ายกี่บาท เอาที่มีซันรูฟบานโตเป็นอุปกรณณ์มาตรฐานด้วยนะ?

———————————————————————————-

Honda Civic (EG): เมื่อ Honda ติดไอพ่นปล้นยอดขาย

Commander CHENG : ย้อนกลับไปวันเปิดตัวในเดือน พ.ค. ปี 1992 Honda เปิดตัว Civic รุ่น 4 ประตูบนแท่นสง่างามเพียงเพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่าเบาะยังเป็นหนังเทียมเกรดเดียวกับรถสองแถว และกระจกประตูหลังยังเป็นมือหมุนอยู่ ทั้งๆที่พรรคพวกอย่าง Sentra กับ Corolla ให้ของมาเพียบกว่า แถมยังมีสมรรถณะที่ดีกว่าจากเครื่องหัวฉีด 1.6 ลิตร แต่ Honda เองก็เริ่มขยับตัวสู้ในภายหลังด้วยการนำเครื่องหัวฉีด 120 แรงม้ามาใส่ แล้วพอมีลู่ทางในตลาดรถนำเข้า ก็เปิดตัวรุ่น VTEC 1.6 ลิตร 130 แรงม้าโดยนำเข้ามาขายทั้งคัน (แล้วก็นำเครื่องนี้มาวางในรถประกอบในประเทศหลังจากนั้น) รุ่นนี้มีมูนรูฟด้วยและปัจจุบันหายากมาก เพราะเข้ามาขายอยู่ไม่นานทาง Honda ประเทศไทยก็นำมาประกอบขายเองในภายหลัง พลัง 130 แรงม้าในสมัยนั้นสำหรับ 1.6 ลิตรถือว่าไม่ธรรมดา เพราะเท่าเทียมกับ 4A-GE ใน Corolla GTi ตัวแรงเลยล่ะ

 

J!MMY: ในช่วงเปิดตัวใหม่ๆนั้น ความที่ราคาไม่ถูก แถมยังขี้เหนียวออพชัน เลยโดนทั้ง Corolla AE-101 และ Lancer E-Car ทุบตีเอาจนสะบักสะบอมไป แต่พอผ่านไปไม่นาน Honda ก็คิดได้ว่าควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อสร้างฐานจำนวนยอดขายขนาดใหญ่ให้ได้เสียที จึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะนำรุ่น 3 ประตูมาประกอบขายในประเทศ แต่เวรกรรมตรงที่ รถมาดดีอย่างนี้ ดันไม่ได้วางเครื่องยนต์เจ๋งๆมาให้เลยตั้งแต่แรก อุปกรณ์ก็น้อย รุ่นเกียร์ธรรมดาไม่มีพวงมาลัยเพาเวอร์ให้ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้มันไม่ธรรมดาคือราคาเปิดตัวที่อยู่แค่ 361,000 บาท บวกกับภาพพจน์ของ Honda ที่สูงในสายตาผู้บริโภค ดังนั้นจึงสร้างสถิติทางด้านยอดขาย เปรี้ยงเดียว 3 วัน 9,000 คัน! เป็นสถิติที่ Honda บ้านเรา ไม่เคยทำได้อีกเลยนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งรถรุ่นนี้ประสบอุบัติเหตุจนหลังคาฉีก แล้วก็มีคนตาไวไปถ่ายภาพวัสดุบุหลังคามาแล้วบอกว่าเหมือน “กระดาษลัง” เลยเล่นเอา Honda ปวดหัวไปพักใหญ่เพราะแท้จริงแล้วมันคือวัสดุที่ออกแบบมาไว้ซับเสียง (แม้จะเป็นชนิดที่ลดต้นทุนหน่อยก็เถอะ) แต่ Honda เองก็อธิบายให้ผู้บริโภคฟัง แบบเสียงไม่ังฟังไม่ชัด หลายคนเลยเบือนหน้าหนีไป เพราะเชื่อว่าเป็นรถที่บอบบางและไม่ปลอดภัย ที่ซวยยิ่งกว่าคือ ทุกวันนี้ ยังมีคนที่จำภาพนั้นได้อยู่ ฝังใจ!

Commander CHENG
: แม้จะอายุไม่น้อยแล้ว แต่พวก 3 ประตูเหล่านั้นก็กลายมาเป็นรถที่นิยมนำมาดัดแปลงเพื่อการแข่งขันในปัจจุบัน โลกของมอเตอร์สปอร์ต ไม่ว่าจะเป็นเซอร์กิต หรือจิมคาน่านั้นต้องยกให้เป็นโลกของ 3 ประตู เพราะมันคือรถครูที่สอนนักแข่งมาหลายรุ่นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพี่ Pom Gambino ซึ่งโลกจิมคาน่ารู้จักกันดี หรือเอม อภิชัย พันธุ์คงชื่น พี่อ๊อฟ หทัย ไชยวัณ ล้วนเป็นนักขับที่ใช้ Civic 3 ประตูได้ขั้นเทพ

ส่วนคนที่ไม่ใช่นักแข่ง แต่ใช้ Civic รุ่นนี้ เท่าที่นึกออกก็มีคุณหลิน นุศรา ประวันณา และคุณ ปาน ธนพร

———————————————————————————-

Honda City: ปฐมบทแห่ง B-Segment ที่วางรากฐานให้กับวงการและกับชีวิตของใครหลายคน

J!MMY : รถรุ่นนี้เปิดตัวในเดือนสิงหาคมปี 1996 คุณนัท มีเรีย ร้องเพลงประกอบโฆษณา (“นี่คือบ้านเรา”) เปิดราคาออกมาแล้วถูกไล่เลี่ยกับ Civic 3 ประตูเลยทีเดียว ทำให้ได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นจำนวนมาก ในการที่จะควบคุมราคาของรถไม่ให้เกินเลย Honda เลือกวิธีลดต้นทุนโดยการใช้ชิ้นส่วนร่วมกับ Civic EF รุ่นเดิมเพื่อกดราคาลงหวังจะให้ City เข้ามาสานต่อในฐานะรถยนต์นั่งราคาประหยัด

ขุมพลังที่ Honda เลือกให้กับเจ้าตัวเล็กนี้เป็นเครื่อง 1.3 ลิตร Hyper 16 วาล์ว หัวฉีดPGM-Fi  95 แรงม้า ถือว่าแรงพอตัว และประหยัดน้ำมัน ทั้งหมดนี้ บวกกับความเป็น Honda ซึ่งมีภาพพจน์ที่ดี ทำให้ได้รับความนิยมจากสุภาพสตรีให้มาเป็น  First car in life ทางด้านแคมเปญการตลาดอันขึ้นชื่อในสมัยนั้น Honda ทำกุญแจ 3 ดอกแล้วส่งไปให้ลูกค้าตามบ้าน โดยที่มีกุญแจ 1 ดอกในประเทศไทยเท่านั้นที่จะสามารถไขตู้เก็บกุญแจ Honda City ตัวจริงได้ ถ้าใครไขออก ก็จะได้เป็นเจ้าของรถคันนั้น จริงๆแล้วน่าจะดึงกลับมาเล่นอีกครั้งนะมุขนี้ แต่ขอเป็นกุญแจ Honda Legend จะได้ไหม ฮ่าๆ

 

 

แล้วพอออกขายได้สัก 5 เดือน ดาวรุ่งพุ่งแรงของเราก็ถูกสกัดโดย Toyota Soluna ส่งผลให้ City กลายเป็นเหมือนลูกเมียน้อยในบัดดล เพราะความเชื่อของคนในยุคนั้นยังยึดติดอยู่กับ ซี.ซี. Toyota มีความจุเครื่อง 1.5 ลิตร ซึ่งดูแล้วน่าจะพึ่งพาได้มากกว่า 1.3 ลิตร ของ Honda ทำให้ลูกค้าเป็นหมื่นแห่กันไปซบ Toyota จนกระทั่งในที่สุด Honda เองก็ไม่อาจนั่งนิ่งดูดายอีกต่อไป จึงต้องเร่งรุ่น 1.5 ออกมาให้ลูกค้าใหม่เชยชม แต่ก็โดนลูกค้าเก่าก่นด่าเอาไว้เละเทะ เช่นกัน ว่าทำไมไม่ทำออกมาให้เร็วกว่านี้ฟะ? จากนั้น ก็มีการเปิดตัวรุ่น VTEC เครื่อง 115 แรงม้า เรียกว่า Type Z เปลี่ยนโฉมด้านหน้าและด้านท้ายใหม่จนดูไฉไลขึ้นเยอะ Honda จัดงานเปิดตัวเมื่อ 31 พ.ค. 1999 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์

จะว่าไปแล้วมันก็เป็น City Type Z เพื่อชะนีออฟฟิศโดยแท้นะ ดึงตัวเอา พิม ซอนญ่า มาเป็น presenter ในวีดีโอเทป ที่ปั้มแจกกระหน่ำไปแทบทุกบ้าน เป็นแสนม้วน (แต่ไม่ฉายขึ้นโฆษณา ในช่องฟรีทีวี) และช่วงนี้ล่ะที่ยอดขายของมันกลับมาแซง Soluna อีกครั้งจนโตโยต้าเครียดจัดซัดน้ำใบบัวบกไปหลายโฮก ก่อนจะแก้มือคืนได้ด้วย Vios

Commander CHENG! :  สำหรับ City 1.5 นั้นจำได้ว่า วิลลี่ แม็คอินทอช กับหมิว ลลิตาเป็น Presenter โดยที่โฆษณาชุดนั้นพยายามทำให้ City มีภาพลักษณ์เหมือนเครื่องบินไอพ่นส่วนตัว และที่ตลกที่สุดกับโฆษณาชุดนั้นก็คือ ถ้อยคำบรรยายบอกว่ามี ABS แต่มีอยู่ฉากหนึ่งที่วิลลี่กระทืบเบรค (คิดว่าตามบทแล้วคงกะจะโชว์ว่ามี ABS นะเฟ้ย) แล้วกล้องจับภาพ..ปรากฏว่าล้อล็อคให้เห็นกันจะจะ…เจ๋งอ่ะ เจ๋งจริงๆ ตกลงมันเป็น Anti Lock Braking System หรือ Anti Braking System ฟะ อย่างไรก็ตาม เราต้องยกจอกคำนับให้มันในการที่เป็นผู้เล่นระดับ Sub-compact รายแรกๆที่ทำให้เรามี Vios, City และ Jazz ในประเทศไทยทุกวันนี้

———————————————————————————-

Honda CR-V Gen 1: SUV เอาใจคนเมืองและสาวเฟี้ยว เริ่มที่นี่


Commander CHENG : นี่เลย บ้านผมเคยมีเจ้าตัวนี้ ย้อนกลับไปในสมัยนั้นมันเป็นรถที่ใช้งานได้เอนกประสงค์มาก และราคาในช่วงปี 2000 รู้สึกว่าจะป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆล้านบาทนี่เอง มันไม่ใช่รถที่หนา แน่น หนึบ พวงมาลัยออกจะโหวงแปลกๆ ช่วงล่างก็ยังไม่เข้าขั้น แต่นั่นไม่ได้หยุดยั้งความนิยมในตัวรถรุ่นนี้ลงได้ แม้พวกออฟโรดขาใหญ่จะชอบล้อว่าเพลาหลังของ CR-V อันเท่านิ้วก้อย แต่ในชีวิตจริงที่ไม่ใช่ออฟโรด คันที่ขับคล่องปรื๋อ แถมจ่ายค่าน้ำมันน้อยกว่า พากันไปได้ทั้งครอบครัวนั่นล่ะ เป็นผู้ชนะในเกมสร้างยอดขาย..รถอะไรก็ไม่รู้ น่ารักชะมัด ซื้อรถมีแถมโต๊ะปิกนิกให้ด้วย แนบสนิทเป็นฝาปิดห้องยางอะไหล่เลย บางคนขับตั้งแต่ซื้อรถจนขายรถยังไม่รู้เลยว่ามันมีมาให้

 

J!MMY : จะบอกให้เลยว่านี่แหละรถที่เริ่มกระแส Soft-Roader SUV ในไทย (ก็ SUV ประเภทเอาไว้ลุยน้ำท่วมหรือลุยแบบเบาๆพอได้) และทำให้ SUV ทรงสูงเป็นของที่ง่ายทั้งในเรื่องการเป็นเจ้าของ และง่ายในการขับขี่ของผู้หญิง ตอบสนอง Lifestyle หลากหลายรูปแบบ จริงอยู่ว่า RAV4 ของ Toyota ก็เข้ามาในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่กาลเวลาก็พิสูจน์แล้วว่าใครสามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้ดีกว่า เริ่มต้นก่อนในปี 1997 ด้วยรุ่นนำเข้าจากญี่ปุ่นที่เป็นล้อน็อตยึด 4 ตัว จากนั้นปี 1999 ก็มีไมเนอร์เชนจ์ จูนเพิ่มแรงม้าจาก 129 แรงม้าเป็น 147 แรงม้า แล้วก็เปลี่ยนน็อตยึดล้อมาเป็นแบบ 5 ตัว และที่สำคัญ ประกอบในประเทศแล้วจ้า! ความนิยมของ CR-V ตั้งแต่รุ่นนั้น คือสิ่งที่เป็นตัวปูพื้นตลาดให้รถรุ่นอื่นๆที่ตามมา…ซึ่งส่วนมาก ก็คือ CR-V รุ่นหลังๆนั่นเองแหละมั้ง รวมถึงไอ้คันที่โดนเจ๊ Fullmoon ทุบออกทีวีเป็นข่าวดังกระฉ่อน เพราะแค่คำว่า “1 ในร้อย” นั่นก็ด้วย

———————————————————————————-

Honda Jazz GD: บอกให้มาดีๆก็ไม่รีบมา แล้วเป็นไงล่ะ สุดท้ายก็ต้องมา

J!MMY : นี่เป็นรถที่บ่งบอกถึงการกลับมาของความนิยมในรถครอบครัวท้ายตัด ซึ่งห่างหายไปจากตลาดนับตั้งแต่ Opel Corsa ตัว 5 ประตู ยอดขายและความนิยมในตัวรถนั้นคงไม่ต้องบอกว่ามาแรงขนาดไหน ลองนับ Jazz บนถนนหรือตามลานจอดรถดูก็รู้ แต่กว่าจะมาถึง ณ จุดนี้ได้ คนของ Honda เมืองไทยเองก็ต้องทนกล้ำกลืนเซ็งเป็ด ทนขาย City หน้ากบไปพักใหญ่ ก็แหงล่ะ คนไทยชอบของแปลก แต่ไม่เคยบอกหรอกว่าแปลกประเภทไหนที่ชอบ ที่แน่ๆ แปลก แบบ City idsi หน้าตามันแปลกไป คนส่วนใหญ่ เลยหันไปสอย Vios มาขับดีกว่า พออินเตอร์เน็ต เริ่มแพร่หลายขึ้น คนเริ่มเห็น Jazz จากเว็บไซต์ในญี่ปุ่น ก็เลยเกิดกระแสเรียกร้อง ส่งเสียงเรียกหาว่า “Honda เอ้ยย เอาเข้ามาปั้มขายซะทีสิโว้ย” แต่แทนที่จะเอา Jazz มา ดันเอา City มาก่อน เมื่อ 12 พ.ย. 2002 ซะงั้น คนเลยเก็บเงินไม่ยอมจ่าย ทนรอให้ Jazz เปิดตัวในเดือน พ.ย. 2003 ซึ่งทันทีที่มันมาถึง Honda ก็เริ่มยุทธการกวาดยอด แต่สุดท้าย ยอดขาย Jazz ต่อเดือน ก็ยังน้อยกว่า City และที่น่าเศร้ากว่าก็คือ ยอดขายของทั้ง 2 รุ่นรวมกัน ก็ยังแพ้ Toyota ที่ขาย Vios อยู่เพียงรุ่นเดียว แทบทุกเดือน เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องจนทั้งคู่หมดอายุตลาดกันไปเลย!!

Commander CHENG: เห็นด้วย นี่คือรถที่เปิดให้คนไทยเข้าสู่ยุคแห่งความนิยมในรถขนาดกระทัดรัด กำลังเครื่องแบบพอดีๆ จริงอยู่ว่าพวกรถครอบครัวราคาประหยัดเครื่องพันห้านี้มันมีมานานแล้ว แต่ไม่มีใครทำได้เหมือน Jazz ในเรื่องของสไตล์การออกแบบ และการเลือกรูปแบบตัวถังที่สูงโปร่ง ทำให้เป็นรถเล็กที่ใช้ขับไปไหนมาไหนทั้งครอบครัวได้โดยไม่รู้สึกอึดอัด แถมยังมีความเอนกประสงค์ ปรับเบาะพับโน่นเก็บนี่ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครๆก็ชอบมัน เด็กเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย เด็กเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย บัณฑิตใหม่เพิ่งเข้างาน คนเพิ่งแต่งงาน ไปจนถึงคนที่แก่แต่แอบอยากดูเด็ก

นอกจากจะเป็นรถที่ใช้ดีในแบบเดิมๆ ประหยัดค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษาแล้ว หลายคนก็นิยมเอามาตกแต่งให้กลายเป็นรถวัยรุ่น สำนักแต่งแทบจะประเคนของแต่งให้กับไม่ทัน อะไหล่มือสองนำเข้าตัดจาก Fit ในญี่ปุ่นก็มีเข้ามาเรื่อยๆเช่นกัน สำคัญที่สุดคือเกียร์ CVT ซึ่งพังง่าย ไม่เหมาะกับคนเท้าหนัก ผมมีคนรู้จักที่เคลมเกียร์ไป 3 ลูกแล้วทั้งๆที่รถยังวิ่งไปไม่ถึงแสนโลด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้าเจอน้องพอลล่า เทย์เลอร์ที่เป็น Presenter ให้รถรุ่นนี้ ผมฝากบอกเธอด้วยว่า Jazz up your life but don’t kick down too often.

J!MMY : อีกเรื่องที่ลืมไม่ลง ทั้งในหมู้่พวกเรา และผู้เป็นเจ้าของรถรุ่นนี้ คือ Jazz รุ่นแรก กลายเป็นรถยอดฮิตในหมู่สมาชิกสมาคมศิษย์เก่าเรือนจำบางขวาง ไปจนได้ ด้วยเหตุที่ ตลาดนิยม น่ารัก แถมขโมยไปถอดชิ้นส่วนแยกขาย สวมทะเบียนขาย ก็ยังง่ายดายอีกต่างหาก!

———————————————————————————-

Isuzu Faster Z: กระบะแชมป์ยอดขาย ติดใจทุกเพศ ทุกวัย (และหัวขโมย) ทุกคน

J!MMY : มันคือรถกระบะที่สร้างขึ้นร่วมกับ GM เช่นเดียวกับรุ่น Faster ที่มาก่อนหน้านั้น นถึง D-Max ที่ขายดีเป็นล้านคันในทุกวันนี้ แต่ Faster Z นั้นนับได้ว่ามันคือรถที่เริ่มสร้างการแข่งขันในตลาดรถกระบะให้รุนแรงยิ่งขึ้น  เริ่มจากตัว KB ก็มีการเปิดตัวรุ่น Spacecab แบบมีที่ว่างหลังเบาะแถวหน้าเป็นรายแรกในตลาดประเทศไทยตั้งแต่ปี 1985 และในปีต่อมา Isuzu ก็ออกรุ่น 2500Di 85 แรงม้าในปี 1986

แต่ก้าวที่เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานแชมป์ตายยากนั้น เริ่มในเดือนสิงหาคมปี 1988 ซึ่ง Faster Z มีการเปลี่ยนโฉมใหม่แบบถอดด้ามเป็นรุ่น TFR ในตอนนั้นใช้วงไมโครเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณา 87 แรงม้า (รุ่นแรกมีหูช้าง) ในช่วงนั้นทั้ง Isuzu และ Toyota หันมาเล่นสงครามแรงม้ากันโดยต่างฝ่ายต่างก็กล่าวในทางอ้อมว่าวิธีวัดแรงม้าของอีกฝ่ายนั้นไม่เที่ยงตรง หรือใช้หน่วยวัดที่ไม่เป็นมาตรฐาน ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ยอดขายกระบะของ Isuzu ก็แซงขึ้นหน้าไปได้สำเร็จอยู่ดี

Commander CHENG : ไม่กี่ปีหลังจากนั้นก็มีการไมเนอร์เชนจ์รอบเล็กใช่ไหม? เพิ่มแรงม้าเป็น 90 ตัวถ้วนๆเอากระจกหูช้างออก และสร้างรุ่นย่อยแยกการทำตลาดอย่างชัดเจนโดยประกอบไปด้วยรุ่น Spark EX ที่ได้ไฟหน้าแบบเดิม กระจังหน้า 3 ช่อง และไม่มีแค็บหลัง แล้วก็รุ่น Spacecab SL ที่เป็นไฟหน้าแบบเต็มดวง สวยเข้าขั้นทีเดียวแหละยุคนั้น ที่สำคัญคือ Isuzu ยกระดับความหรูให้กับโลกรถกระบะด้วย Spacecab SLX ล้ออัลลอยหกก้าน สีเมทัลลิค กันชนสีเดียวกับตัวรถ ผ้าหุ้มเบาะเป็นผ้าที่สั่งตรงมาจากญี่ปุ่น มีพวงมาลัยเพาเวอร์ให้สั่งเป็นอุปกรณ์พิเศษ เป็นตัวส่งสัญญาณว่ารถกระบะนั้นทำไปทำมาก็ใช้เป็นรถขับตามปกติ มีความหรูแบบรถเก๋งได้

J!MMY : แล้วก็มีไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่อีก 2 ครั้ง ครั้งแรกเปลี่ยนไฟหน้าเป็นทรงมนขึ้น เปลี่ยนกระจังหน้าและล้อลายใหม่ ส่วนครั้งที่สองเปลี่ยนมาใช้ไฟหน้าทรงแนวนอน เปลี่ยนคอนโซลและภายในใหม่ให้โค้งมนทันสมัยขึ้น ใช้ชื่อรุ่นว่า Golden Power เริ่มนำเทอร์โบชาร์จเจอร์เข้ามาใช้โดยมีเครื่องให้เลือก 2 แบบคือ 2.5 ลิตร และ 2.8 ลิตร แต่แรงม้าไม่ได้เยอะถล่มทลายเหมือนที่คาด แถม Isuzu ยังมีลูกเล่น บอกแรงม้าในโบรชัวร์เป็นหน่วย kW หรือกิโลวัตต์ แทนที่จะเป็นหน่วยที่ใช้กันตามปกติ สร้างความสับสนให้คนบ้าแรงม้าพอสมควรก่อนที่จะมีคนลองแปลงหน่วยดูแล้วพอว่า ม้าเพิ่มขึ้นแค่ไม่กี่ตัวเองอ่ะ…รุ่นนี้ล่ะที่ภายหลังมีการนำมาติดไฟซีน่อนจากโรงงานและมักเป็นที่ถกเถียงกันว่ามันแยงตาชาวบ้านจริงหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม คงไม่ค่อยมีรถรุ่นไหนทำอย่างที่ Faster Z ทำได้อีกแล้ว นั่นคือใช้แชสซีส์โครงสร้างหลักเดิม ลากขายกันยาว 14 ปี และตลอดระยะเวลานั้นก็เป็นแชมป์ยอดขายใน Segment ของมันชนิดไม่เคยต้องถอดเข็มขัดให้ใคร


Commader CHENG
: Isuzu รุ่นนี้ยังเป็นยอดรถยอดนิยมที่ได้ใบสั่งจากประเทศเพื่อนบ้านประจำ โดนขโมยไปจากอ้อมอกเจ้าของกันเป็นว่าเล่น สมัยนั้นใครมีล็อคอะไร ล็อคไปเหอะ ล็อคแม่xทุกอย่างที่ขวางหน้าเลย เอาที่ล็อคล้อมาใส่ ล็อคยางอะไหล่ไว้ด้วยก็ดี เพื่อนผมเคยจอดไว้ข้างหอที่ฝั่งตรงข้าม ม.มหิดลวิทยาเขตศาลายา กลางคืนไปนอน ตอนเช้าออกมาเดินหารถ …สงสัยรถกูหนีเที่ยวว่ะ…

———————————————————————————-

Jeep Cherokee (XJ): ออฟโรดตัวเล็กใจใหญ่ในยุคเด็กและผู้ใหญ่หนีเข้าป่า(ไปร่วมขบวนออฟโรด)

 J!MMY : ในยุคก่อนที่ประเทศนี้จะรู้จัก Honda CR-V และ SUV สมัครเล่นทั้งหลาย Jeep Cherokee ถือว่าเป็นหนึ่งในบรรดารถ SUV ประเภทที่ใช้ตัวถังโมโนค็อกซึ่งมีขนาดตัวไม่เล็กจนวิ่งแล้วปลิว แต่ไม่ใหญ่เกินกว่าที่สุภาพสตรีจะขับไปทำงานได้ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือดีไซน์ของตัวรถรุ่นนี้จริงๆแล้วมันออกมาตั้งแต่ปี 1984 โน่น! ณ วันที่มันมาถึงเมืองไทยนั้นอายุการตลาดก็ปาเข้าไป 9 ปีแล้ว ภายนอกเป็นเหลี่ยมสันแบบไม่มีคำว่าโค้ง และเช่นเดียวกันกับภายใน โบราณมากถ้าเทียบกับรถคันอื่นในตลาด แต่กลับกลายเป็นว่าผู้คนที่ซื้อรถรุ่นนี้มองสิ่งเหล่านั้นเป็นความคลาสสิคที่ไม่เหมือนใคร อีกทั้งการส่งเสริมการตลาดด้วยการใช้ธีม “ตำนานแห่งออฟโรดตัวจริง” และนำเอารถไปผูกกับภาพป่าเขาลำเนาไพรและเส้นทางทุรกันดาร ได้กระแสตอบรับที่ดีและทำให้ มีการตัดสินใจนำมาขึ้นไลน์ประกอบในประเทศกันเลยทีเดียว นี่ล่ะคือรถที่ทำให้ชื่อแบรนด์ Chrysler/Jeep กลับมาอยู่ในเมืองไทยได้อีกครั้ง

 

Commander CHENG: แล้ว หลังจากที่ผ่านเข้าศตวรรษใหม่แบรนด์นี้ก็เลือนหายไปอีกครั้ง แต่ในตลาดมือสองนั้นไม่ต้องห่วงเพราะคนยังเล่นกันอยู่เยอะ  Cherokee เป็นรถที่เหมาะกับการลุยโดยแท้ ช่วงล่างคานแข็งทั้งสี่ล้อ (Quadra Link) รักษาระยะห่างระหว่างท้องรถกับพื้นถนนได้คงที่กว่าช่วงล่างแบบอิสระ ระบบส่งกำลังแบบ Selec-Trac ที่เปลี่ยนระหว่างขับสองกับขับสี่ได้โดยไม่ต้องหยุดรถ ที่สำคัญคือน้ำหนักตัวรถเบากว่า Land Cruiser ตั้งครึ่งตัน จึงไม่ต้องแบกไขมันส่วนเกินสำหรับการลุยป่า Suzuki Caribbean อาจจะสู้ได้เรื่องความคล่องในจุดนี้ แต่ถ้าออกถนนเมื่อไหร่ล่ะก็ ออฟโรดน้อยคันนักที่ไวพอจะแซง Cherokee 190 แรงม้านี้ได้ (ไว้เจอกันที่ปั๊มน้ำมันนะน้อง)

ในช่วงแรกที่เปิดตัวนั้น Cherokee มาในแบบนำเข้า ประกอบด้วยรุ่น Sport ซึ่งไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากเท่า และรุ่น Limited อย่างที่เห็นในภาพนี้ จะมีเบาะหนังปรับไฟฟ้า ลายไม้ ล้ออัลลอย แถมตกแต่งมาในแนวหรูหราครบครัน ต่อมาเมื่อรถรุ่นนี้ได้รับความนิยม ก็นำมาประกอบในประเทศอย่างที่จิมมี่ว่าไว้ แต่ยกเลิกรุ่น 4.0 Sport ขายแต่รุ่น 4.0 Limited เปลี่ยนล้ออัลลอยมาเป็นลายห้าก้าน ย้ายยางอะไหล่มาแขวนไว้ท้ายรถ และเพิ่มรุ่น 2.5 ลิตรเพื่อจับตลาดคนที่ไม่ค่อยสนเรื่องแรงอีกทาง

บุคคลมีชื่อเสียงอย่าง Tata Young ได้รับ Cherokee เป็นของขวัญวันเกิดจากคุณพ่อตั้งแต่ยังไม่มีใบขับขี่ และคุณโน้ต อุดม แต้พาณิช เดี่ยวไมโครโฟนฝีปากฉกาจ ก็เป็นหนึ่งในอดีตเจ้าของ Cherokee เช่นกัน แต่สุดท้าย รถของแกก็โดนขโมยไป ซวยจริงๆนมอุโด้ตของกรู

———————————————————————————-

Mazda Familia : กระบะตัวเล็ก..อมตะ..และเพิ่งจะตายไม่นานนี้เอง

Commander CHENG : ผมคุ้นกับไอ้เจ้ารถรุ่นนี้มาก เพราะตั้งแต่ผมเกิด ก็ได้มันนี่แหละเป็นรถสองแถวเข้าออกปากซอยชินเขตทุกวันหยุด

J!MMY : ใช่ จริงๆแล้วกระบะ Familia มันคือ รถกระบะที่ดัดแปลงมาจาก รถเก๋ง Familia ต้นตระกูล Mazda 323 นั่นเอง เราคิดว่าเก่ากันขนาดไหนหนะเรอะ? กระบะมังกรทองของ Isuzu น่ะ ลากขายตัวถังเดิมแล้วไมเนอร์เชนจ์ไปกันเรื่อยอยู่ 14 ปี? นานแล้วรึ Sunny FF 13 ปี นานแล้วรึ? Familia นี้ถ้าย้อนกันจริงๆนี่จำความแทบไม่ได้เลยว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผมค้นโบรชัวร์อันเก่าสุดที่มีในบ้าน เจอเป็นโบรชัวร์ปี 1975! และโบรชัวร์อันสุดท้ายก็คือปี 95 โดยตัวรถจริงๆแล้วมีลากขายกันไปจนถึงปี 97 จนกว่าจะหมดสต็อค เป็นการใช้ Main design ของรถรุ่นเดียว ปรับโน่นเปลี่ยนนี้ลากขายได้นานถึงกว่า 25 ปี!

โดยในตอนแรก ชื่อที่ใช้ในการทำตลาดคือ Mazda 1000 Pick-up และ Mazda 1200 Pick-up ซึ่งตัวเลขสี่หลักนั่นก็บ่งบอกถึงซี.ซี.เครื่องนั่นเอง
ตำแหน่งทางการตลาดในช่วงแรก Mazda ใช้รถรุ่นนี้เพื่อกวักมือเรียกลูกค้ากลุ่มที่ต้องการใช้รถปิกอัพเพื่อการบรรทุก แต่ไม่ใช่บรรทุกหนัก เป็นรถสำหรับบรรดานักธุรกิจท้องถิ่น พ่อค้าและแม่ค้าทั่วไป อาศัยความประหยัดจากขนาดที่เล็ก น้ำหนักเบา และเครื่องยนต์ซี.ซี.น้อย ทำให้เป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางในยุคที่เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันแพง ในช่วงหลังนั้นมีการเพิ่มเครื่องยนต์ขนาด 1,300 ซี.ซี. และเกียร์กระปุกเข้ามา

ในช่วงปี 1989-90 หลังจากผ่านวิกฤติน้ำมันมาจนคนลืมกันไปหมดแล้ว Mazda เดินหน้าปรับภาพลักษณ์ใหม่ให้กับ Familia โดยเปลี่ยนจากรถประหยัดเน้นการใช้งาน มาเป็นรถที่มีความอเนกประสงค์สามารถพึ่งพาได้มากขึ้น ลองสังเกตดูจากตัวโฆษณาข้างบนนี่ก็ได้ว่ามีใครอยู่ในนั้น นั่นคือสิ่งที่ Mazda พยายามสร้างความเข้าใจให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายว่าใครก็ขับได้ ไม่ว่าจะแก่หรือวัยรุ่น สาวหรือชาย แต่ Mazda ต้องการยกระดับจากรถประหยัดเพื่อการใช้งาน เป็นรถที่ใครๆสามารถขับไปไหนมาไหนแล้วดูโก้ได้ ล้อรถถูกเปลี่ยนให้มีลวดลายเก๋ไก๋เหมือนล้ออัลลอย (แต่จริงๆแล้วเป็นเหล็กนี่แหละ!) สติกเกอร์ลายกราฟฟิคคาดด้านข้างให้ดูทันสมัยขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มตัวถังแบบมีแค็บหลัง โดยให้ชื่อเรียกว่า “Supercab” เพราะในยุคนั้นกระบะพิกัดใหญ่กว่าอย่าง Isuzu Faster Z ก็สามารถขยายฐานลูกค้าไปสู่คนทั่วไปได้ด้วยการมีแค็บนี่ล่ะ

Commander CHENG : พอมาถึงจุดนี้ข้าพเจ้าเริ่มจำได้แล้วล่ะ ในช่วงนั้นกำลังเป็นเด็กประถมปลายบ้ารถอยู่ เคยดูทีวีแล้วเห็นน้าแอ๊ด คาราบาวของเรานี่แหละเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับ Mazda Familia Supercab “เป็นเพื่อนคู่ใจของผม ไปทุกแห่งหนทั่วประเทศ” (ด้วยดรัมเบรค 4 ล้อ..พิมพ์ไม่ผิด)เท่ห์มาก รู้สึกว่าภายในก็เปลี่ยนลุคใหม่ คอนโซลสวยขึ้น พวงมาลัยสวยขึ้น  มีเกียร์ 5 สปีดกับเขาแล้วด้วย แล้วจากนั้นทำไมจู่ๆ Familia ของเราหายไปซะล่ะ?

J!MMY :  กับรถที่ขายมาได้ 17 ปีดีดักในตอนนั้นก็ต้องมีวันร่วงโรยบ้างสิคร้าบบ Mazda เริ่มเปลี่ยนตำแหน่งทางการตลาดของรถอีกครั้งโดยหันไปจับลูกค้าประเภทที่กำลังมองหารถคันแรกในชีวิตอยู่ ซึ่งก็พอขายไปได้เรื่อยๆแต่ไม่โด่งดังเปรี้ยงปร้างเหมือนวันเก่าก่อน เพราะในที่สุดลูกค้าส่วนมากที่อยากได้รถคันแรก ก็จะอยากได้รถเก๋ง ถึงแม้ Familia จะมีราคาถูกมากในวันนั้น แต่ลูกค้าก็ยังยินดีที่จะขวนขวายหาเงินเพิ่มเพื่อให้ได้รถอย่าง Lancer Champ III หรือ Sunny FF เพราะยังไงๆภาพลักษณ์กระบะก็ยังไม่เข้ากับชีวิตคนเมืองที่ทันสมัย หมัดสุดท้ายของ Mazda ก่อนปล่อยให้ Familia ล้างมือในอ่างทองเหลืองก็คือการไมเนอร์เชนจ์ครั้งสุดท้ายประมาณปี 1995 ที่เปลี่ยนมือจับเปิดประตูให้ดูเหมือนรถเก๋ง (ของเดิมเป็นดีไซน์เก่าจากยุคเซเว่นตี้) ปรับเครื่องยนต์เป็นขนาด 1.4 ลิตร และเพิ่มตัวถังแบบ Maxicab ที่มีเพดานสูงโปร่งโล่งผิดปกติ และตัวแค็บที่กว้างให้นั่งได้ 4 คนจริง จากนั้นโหมโปรโมตโดยใช้แนวคิดรถกระบะขนาดเล็ก ภายในไม่เล็ก สำหรับครอบครัวโดยเฉพาะ สโลแกนของเขาคือ “สีสันของครอบครัว”

ซึ่งนั่นล่ะเป็นสีถังสุดท้ายที่ Mazda บรรจงทาใส่ Familia ก่อนที่รถรุ่นนี้จะเลิกผลิตเพราะขายไม่ออก

———————————————————————————-

Mazda 323 Astina: ไอค่อนขวัญใจวัยรุ่นไทย กับยุคสมัยที่ Mazda แซง Honda บนทางตรง!

J!MMY : รถรุ่นนี้ เปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ 1990 ที่สวนอัมพร ด้วยความเซอร์ไพรส์ชนิดหักปากกาเซียน เพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า กิจกมลสุโกศล คนขาย Mazda ในตอนนั้น จะกล้านำรถรุ่นนี้ ซึ่งด้านหน้าแหลมยังกะรถสปอร์ตด้วยไฟป๊อบอัพ แต่ด้านท้ายกลับเป็นรถแฮทช์แบ็ค 5 ประตูทรงครอบครัว ผสมกันได้แปลกแต่ดันลงตัว แถมแรงม้าก็สูงตั้ง 140 ตัว เยอะกว่าเวอร์ชั่นญี่ปุ่นที่มี 125 ตัว (ก็บ้านเรายังไม่มีกฎหมายให้ติดตั้ง ระบบฟอกไอเสีย แคตาไลติก คอนเวอร์เตอร์ ณ เวลานั้น)

สเป็คข้าวของที่ได้ใช้แทบจะเอามาจากเวอร์ชั่นญี่ปุ่นเลยที่เดียว ในช่วงแรกที่ประกอบขายนั้นราคาจะสูงหน่อยคืออยู่ประมาณ 700,000 บาท แต่หลังจากมีการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ บวกกับโปรโมชั่นโหมหนักของ Mazda ก็ทำให้ราคาร่วงลงมาอยู่ที่ 5 แสนปลายๆเท่านั้น ซึ่งไม่ได้แพงกว่ารถบ้านขนาด 1.6 ลิตรเท่าไหร่ แต่แรงกว่ากันมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะต้องโดนใจวัยโจ๋อย่างจัง วัยรุ่นยุคพาเลซตอนปลายหลายคนจะมีความหลังกับมัน ทั้งเป็นเพื่อนขาซิ่งและเพื่อนล่าสาว แต่ส่วนใหญ่อายุรถจะไม่ค่อยยืนเพราะคนเหล่านั้นจะพามันไปมิดเป็นประจำ ในช่วงปลายอายุการตลาดมีการนำมาติดเครื่องกรองไอเสียเพื่อช่วยลดมลพิษ แรงม้าก็เลยลดลงไปเหลือ 125 แรงม้าเท่าญี่ปุ่น แต่มีการติดเบรค ABS มาให้ รถพวกนี้ถ้าสังเกตจากข้างหน้าจะพบว่าอักษรภาษาอังกฤษคำว่า Mazda จะหายไป แต่กลายเป็นโลโก้ใหม่ทรงกลมของทางค่ายแปะอยู่ข้างหน้าตรงกลางแทน

Commander CHENG : ถ้าใครจำหนังเรื่อง สะแด๋วแห้ว เจอะแจ๋วแหววได้ รถคันนี้ก็ถูกใช้ใช้ในเรื่องนั้น (แม้ปรากฏตัวเพียงครู่เดียว) แน่นอนวัยรุ่นต้องชอบ เครื่อง BP รอบจัด เกียร์ธรรมดาอัตราทดจัด ผมเคยขับเจ้านี่ในสภาพเดิม ใช้เกียร์ห้าอัดรวดเดียวจาก 160 ไป 210 ก็ขึ้นเร็วใช้ได้ ในสมัยนั้นรถเล็กที่จะเอามันลงเห็นจะมีแต่ Lancer GTi ตัวนำเข้านี่ล่ะที่สเป็คใกล้เคียงกันมากที่สุด Sentra RZ-1 สู้มันได้แค่ 2 เกียร์ เช่นเดียวกับ Corolla GTi น่าจะเอาคืนวันแบบนี้กลับมาให้ Mazda อีกครั้งนะ เด็กสมัยนี้จะรู้ไหมว่าเคยมีครั้งหนึ่งที่ Mazda แซงเพื่อนร่วมรุ่นได้โดยไม่ต้องใช้ทางโค้งเข้ามาช่วย เล่นมันตรงๆ แซงมันตรงๆแบบนี้ล่ะไอค่อนแห่งวัยรุ่นไทยบ้าพลังของช่วงต้นยุค 90 ส่วนที่ว่ามิดกันบ่อยนั้น..สงสัยน่าจะเป็นความคะนองของคนขับนะ แต่ถ้าจะให้พูดจริงๆ ความท้ายสั้นของรถรุ่นนี้ทำให้บางครั้งเมื่อวิ่งเร็วๆเหมือนมันเกาะไม่ค่อยจะอยู่ แต่นั่นหมายถึงต้องเร็วระดับ 180-190 นะ เพราะถ้าเป็น 120-140 ไม่ต้องห่วง ไอ้หมอนี่ มันนิ่ง อย่างกับ เด็กนั่งดริงค์โดนโปะยาสลบ (แค่เปรียบเฉยๆนะ ไม่เคยทำจริงๆ สาบานได้)

———————————————————————————-

Mazda Cronos : บทเรียนให้คู่แข่งว่าราคาถูกและแรงม้าเยอะไม่ใช่หนทางสู่ชัยชนะเสมอไป

Commander CHENG : Cronos ก็คือ 626 นั่นเอง เปิดตัวในช่วงปลายปี 1992 ภายใต้สโลแกน “เอกลักษณ์แห่งความเหนือชั้น” มันคือไพ่ใบสุดท้ายที่ Mazda ฝากความหวังเอาไว้เป็นอย่างมากในการกอบกู้ยอดขายให้กับตนเอง เพราะในขณะที่คู่แข่งมีรถ D-Segment ที่ขายดีเป็นแถมฟรีบวกเททิ้งทั้ง Accord, Cefiro และ Corona ทาง Mazda กลับพบอาการง่อยรับประทานกับยอดขาย 626 รุ่นเก่าที่เหมือนจะทันสมัย เพราะมีช่วงล่างหลังปรับมุมองศาตามการเลี้ยว TTL-Intra 4WS เลี้ยวสี่ล้อ แต่กลับใช้เครื่องคาร์บิวเรเตอร์ 1.8 ลิตร 90 แรงม้าเหมือนรถยุคกลาง แม้ในภายหลังจะมีรุ่น 2.0ลิตรหัวฉีดมาให้ใช้ ก็สายเกินจะแก้แล้ว ปี 1992 นั้นเหมือนปีชี้เป็นตายของ Mazda เพราะ 323 Sedan ที่เอาไว้จับตลาดรถบ้านทั่วไปก็ทำยอดขายได้น้อย Astina แม้จะเป็นรถแรง แต่ก็จับตลาดได้ในหมู่คนเท้าหนักและวัยรุ่น หลังจากที่รัฐบาลออกนโยบายลดกำแพงภาษีนำเข้า Mazda นำ 929 เข้ามาขาย และแป้กไม่เป็นท่า

ดังนั้น Mazda จึงสั่งนำเข้า Cronos มาขายทั้งคัน และรวบรวมดราก้อนบอลทุกลูกเพื่ออธิษฐานกับเทพมังกือ ว่าขอให้มันขายได้เถอะวะ แล้วปรากฏว่า
ไม่ใช่แค่ขายได้..กลายเป็นขายดี เป็นรถยอดนิยม เป็นรถที่ผู้คนให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น Mazda ทำได้ทั้งๆที่ Cronos ไม่ใช่รถที่แรงอะไรเลย แม้จะมี 16 วาล์วเหมือนชาวบ้านเขาแต่ก็มีม้าแค่ 115 ตัว (626 Hatchback รุ่นที่เพิ่งเลิกขายไปยังมีให้ตั้ง 148 ตัว) Galant GTi มี 148 ตัว, Accord และ Corona ต่างก็พกม้ากันไม่ต่ำกว่า 130 ตัว ทั้งนั้น..แล้วยังมีเรื่องราคาอีกต่างหาก Cronos รุ่น 4 ประตูที่ถูกที่สุด มีราคา 835,000 บาท และตัวท้อป 5 ประตูเกียร์อัตโนมัติขายอยู่ที่ 910,000 บาท แพงหรือไม่? ในปี 92 Accord ตัวท้อปราคา 7.9 แสน Cefiro 12 วาล์ว A/T 7.9 แสน และ BMW 318i ราคา 9.9 แสน

J!MMY : ก็คงไม่แปลก เพราะต้องไม่ลืมสิว่าคนไทยน่ะ นอกจากยึดติดกับแรงม้ากับราคา ก็ยังมีกลุ่มที่ยึดติดกับรูปลักษณ์และค่านิยมความเป็นรถนำเข้า จำไม่ได้เหรอว่าในยุคนั้นคนไทยเห่อนิยมรถนำเข้ากันยังกะเด็กเห่อขนหน้าแข้ง Cronos ตอบโจทย์ทั้งสองอย่างนี้ได้แบบเต็ม 100% คงไม่เถียงใช่ไหมว่า Cronos เป็น D-Segment ที่ได้รับการยอมรับว่าสวยที่สุดในยุคนั้น ในรุ่น 5 ประตู รูปทรงดูโฉบเฉี่ยวเทียบได้กับ Cefiro สบายๆ แต่ภายในของรถกลับทำได้ดีกว่าทั้งในเรื่องการจัดพื้นที่ วัสดุ และการจัดวางอุปกรณ์ Cronos ยังมีเครื่องปรับอากาศมาพร้อมช่องแอร์สวิงซ้าย-ขวาได้แบบอัตโนมัติ (แต่กลับไม่มี mode Auto สำหรับความแรงและทิศทางลม) นอกจากนี้ใครชอบขับรถเที่ยวก็จะชอบ Cronos เพราะมีการติดตั้ง Cruise Control มาให้ด้วย เจ๋งหรือเปล่าล่ะ?

Commander CHENG : โอเคงั้นคงไม่แปลกที่จะขายได้ และกลายเป็น “Another day in paradise” ของ Mazda..ซึ่งก็ใช้เพลงของ Phil Collins เพลงนี้ในโฆษณาทีวีของ Cronos ด้วย ทั้งในไทย และในญี่ปุ่น กิจกมลสุโกศล Mazda ได้เสวยสุขบนสวรรค์ไปอีกพักใหญ่ เพราะ Cronos นี่ล่ะส่งยอดขายของ Mazda ให้เพิ่มจาก 1,327 คันในปี 1991 พรวดขึ้นเป็น 4,957 คันในปี 1992 ทั้งๆที่ Cronos เพิ่งจะเปิดตัวช่วงปลายปีด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องแรงม้าน้อยนั้น ในช่วงท้ายๆของอายุตลาด Mazda เอาเครื่อง V6 บล็อคเดียวกับ Lantis มาใส่ให้ Cronos ได้ม้าเพิ่มเป็น 145 ตัว แต่กลับสร้างยอดขายได้ไม่มากนักและถือเป็นรถหายากในทุกวันนี้

J!MMY : ใช่ เพราะในตลาดมือสอง คนจะเมิน Cronos กัน เพราะราคาอะไหล่แพงหูตูบ เพราะอะไหล่ทั้งหมดต้องนำเข้าจากเมืองนอก ลูกเดียว แน่ละ ตัวรถทั้งคัน ก็นำเข้ามาจากญี่ปุ่นนี่นา

———————————————————————————-

Mazda MX-5 (NA): โรดสเตอร์ตัวจริง ซิ่งได้ สวยได้ ซื้อหาได้สบาย ไร้ปัญหาปวดหัว

J!MMY : นี่ล่ะ คือสุดยอดรถที่นำเอาความคลาสสิคแบบโรดสเตอร์ขนานแท้มารวมเข้ากับเทคโนโลยียุคใหม่แล้วออกมาเป็นรถที่เรียกได้ว่าฮิตไปแทบจะทุกที่ที่มันเข้าไปทำตลาดแถมยังกวาดรางวัลมาทั่วจากอเมริกา ยุโรป หรือแม้แต่ประเทศที่คนจงรักภักดีในรถบ้านเกิดตัวเองอย่างเยอรมัน ดังนั้น Mazda ในสมัยนั้นซึ่งอยู่ในมือของกลุ่มกิจโกมล สุโกศลจึงตัดสินใจนำเข้ามาขายแบบสำเร็จรูปโดยตั้งราคาไว้ที่ 802,500 บาท ในบรรดา MX-5 สเป็กส่งออกทั้งหมด จะมีเวอร์ชันไทย เท่านั้น ที่จะมีหลังคาแข็งแบบถอดออกได้มาให้ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ซึ่งถ้าถอดออกแล้วก็จะมีหลังคาผ้าใบกางและเก็บด้วยมือไว้กันร้อน

แน่นอนละ มันไม่สะดวกสบายเหมือนรถเปิดประทุนสมัยนี้ที่มีหลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ แต่นั่นก็เป็นข้อดีเพราะไม่ต้องแบกชุดมอเตอร์ขับเคลื่อนใดๆ ไม่ต้องคิดทฤษฎีมาขายของอะไรมาก Jinba Ittai เอย กรรม.เอ้ย! Gram Strategy เอย แค่ทำรถขับหลังที่กระจายน้ำหนักดี มีรูปแบบเรียบง่าย ไม่ต้องใช้พลังเครื่องยนต์มากมายมหาศาล นี่คือรถที่ขับสนุกได้ทุกที่ ขับไปทำงานได้ทุกวัน ขับเที่ยวก็ได้ ไม่เปลืองน้ำมัน แถมสมัยนั้น MX-5 ขับผ่านทีไรคนเหลียวมองกันคอแทบเคล็ด ลงทุนไม่ถึงล้าน ได้สิ่งที่ว่ามานี่คิดว่าคุ้มไหมล่ะ?

Commander CHENG : คุ้มสิ อันนี้เห็นด้วยนะ แม้มันจะไม่ใช่รถสปอร์ตชนิดที่เราเห็นกันได้ทุกวันก็เถอะ MX-5 คือรถที่สตาร์ท Trend รถประเภทเปิดประทุนให้กลับมาเฉิดฉายในบ้านเมืองแดดเปรี้ยงอย่างประเทศไทย แน่นอนบางคนต้องเถียงว่ามันมีรถเปิดประทุนเข้ามาในไทยตั้งนานแล้วนี่หว่า แล้วรถพวกนั้นผมถามจริงๆเหอะว่าค่าตัวเท่าไหร่? หรือใครจะนึกถึง MG เปิดประทุนจากยุคจูราสสิก? ลองเอามาวิ่งรอบกรุงเทพผ่านสีลม สาธรตอนชั่วโมงเร่งด่วนกันสักรอบดีกว่าแล้วจะรู้ว่า MX-5 คือโรดสเตอร์ที่เชื่อถือได้ และมันไม่ใช่การนำเอารถจ่ายกับข้าวมาหั่นหลังคา เพราะโครงสร้างทุกส่วน ช่วงล่าง ฟีลลิ่งพวงมาลัย หรือคันเกียร์ธรรมดา 5 สปีดที่สั้นกุดแต่เข้าเกียร์ได้คล่องด้วยการพลิกข้อมือ ช่วงล่างอิสระปีกนกคู่ทั้ง 4 ล้อ แท่นยึดระหว่างชุดเกียร์กับเฟืองท้ายเพื่อลดการสั่นของระบบขับเคลื่อน ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อรถรุ่นนี้โดยเฉพาะ (ยกเว้นเครื่องยนต์)

MX-5 เป็นรถที่ใช้ประกาศความภาคภูมิของวิศวกร Mazda ได้อย่างเต็มอก (นอกเหนือจากความพยายามต่อยอดเทคโนโลยีเครื่องยนต์โรตารี) สิ่งเดียวที่ผมไม่ค่อยชอบ (แต่คนอื่นรับได้) คือมันควรได้รับเครื่องที่มีพลังมากกว่านี้ Mazda ก็สนองตอบให้โดยการนำเครื่อง 1.8 ลิตรมาใส่ในภายหลัง และ..คุณพระช่วย จะบอกว่าเคยขับมาแล้วครั้งนึงในชีวิต มันสนุก! ใช่! ประมาณนี้เลย แถมราคาก็ไม่ได้แพงขึ้นมาก จ่าย 863,000 บาทคุณก็เป็นเจ้าของตำนานเคลื่อนที่ทรงสวยได้เลย

โมเดลเชนจ์หลังจากนั้นได้เครื่อง 2.0 ลิตรที่ทรงพลังมากขึ้นไปอีก แต่น่าเสียดายที่ MX-5 ยุคหลังๆโตขึ้น หนักขึ้น ผู้ดีขึ้น จนทำให้ผมคิดถึงบุคลิกที่ซน ร่าเริงและสนุกสนานของ MX-5 ตัวถัง NA ตัวแรกเอามากๆ

———————————————————————————-

Mercedes-Benz W124: เบนซ์พันธุ์แท้ สร้างแฟนพันธุ์แท้ ให้กับรถหรูของแท้ที่ทนจนลือชื่อ

Commander CHENG: คงไม่มีใครปฏิเสธว่าถ้าหากพูดถึงรถที่สามารถใช้บ่งบอกฐานะได้ดีและเป็นที่นิยมที่สุดจากยุค 90 ก็คือ W124 รายละเอียดบางส่วนเช่นการเก็บขอบรางน้ำฝน มุมไฟและบังโคลนหน้า สร้างพื้นฐานในการออกแบบรถใหม่ๆที่ตามมา ในประเทศไทย มันสร้างชื่อเอาไว้กับความทนทานด้วยวัสดุที่เลือกสรรมาอย่างดี และยิ่งถ้ามุดดูช่วงล่างแล้วจะเห็นว่าทุกอย่าง หนา หนัก ใหญ่ พลังของเครื่องยนต์มีให้เลือกทั้งแบบใจเย็นกับเครื่อง 4 สูบ และมีเครื่อง 6 สูบสำหรับคนใจร้อน ที่อยากถามเบนซ์มากคือคิดยังไงที่ยุคแรกใช้หัวฉีดกลไกกึ่งไฟฟ้าฝาสูบ 2 วาล์วต่อสูบ แล้วจู่ๆก็ข้ามขั้นมาเป็นหัวฉีดไฟฟ้า Bosch FHM เอ้ย! HFM (Hot Film Management) มี 4 วาล์วต่อสูบ แถมมีแค็มแปรผันอีกต่างหาก

และในยุคฟองสบู่ยังไม่แตกนั้นก็ไม่น่าแปลกใจที่เราจะพบเห็นรถเครื่อง 6 สูบได้มากพอกันกับบล็อคเล็กๆ จุดเด่นที่เป็นที่ชอบของผู้ขับนอกจากความทนทานแล้ว ยังมีนิสัยของช่วงล่างที่เสถียร มีตัวรถที่ออกแบบมาให้วิ่งด้วยความเร็วสูงได้โดยไม่เครียด สามารถรองรับพละกำลังเครื่องยนต์ได้มาก เพียงแต่อย่าคิดเอามันไปเล่นในสนามแข่งเล็ก ที่ซึ่งพวงมาลัยลูกปืนหมุนวนอันเฉิ่มแฉะของมันนั้นยากต่อการคุมให้ได้ดังใจอยู่บ้าง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรสามารถหยุดมันจากการเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งมีของยุคฟองสบู่แตก ซึ่งทำให้มันเป็นรถที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ยุคหลังของวงการรถในไทย

J!MMY : ใช่ หรือแม้แต่กระทั่งตำนาน Airport Taxi วิ่งฉิวจนพลีชีพกับ E200 ดีเซลสีขาวบนโทลล์เวย์ในยุคดอนเมือง ยังอึกทึก ก็นี่ล่ะมัน 124 ถึงฝรั่งจะขนานนามให้ W140 เป็น “The Last Over-engineered Mercedes” แต่ถ้าพูดถึง “เบนซ์ตัวสุดท้ายที่ทนทานไม่จุกจิก” มันคงต้องเป็น 124 อีกนั่นแหละ เห็นแล้ว อยากได้ตัว 300CE ชะมัด!

———————————————————————————-

Mercedes-Benz S-Class (W140-V140): เบนซ์รุ่นสุดท้ายที่ต้นทุนไม่ใช่ปัญหา (แต่ค่าซ่อมอั๊วะไม่รู้นะ)

Commander CHENG: ยุค 90 เป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองจอมปลอมทางเศรษฐกิจที่เมื่อประกอบด้วยการเปิดอิสระเสรีทางภาษีรถนำเข้า ทำให้รถมากมายหลั่งไหลเข้ามาให้คนได้เลือกรวมถึง S-Class คันโตเท่าตึกเช่นรถรุ่นนี้ที่แม้กระทั่งรุ่น V8 ก็ยังมีราวที่ราว 6 ล้านบาทกลางๆเมื่อตอนเปิดตัวใหม่เท่านั้น นวัตกรรมทางด้านความปลอดภัยก็สูงขึ้นกว่ารถรุ่นก่อนๆมาก อุดมไปด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เจ้าของบางคนยังไม่เคยใช้ด้วยซ้ำ กลายเป็นว่าพอนานวันเข้า ประตูที่เคยดูดให้ปิดสนิทเองได้ก็ไม่ดูด แอร์รวน ตู้แอร์รั่ว สวิทช์ไฟฟ้าใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง และราคาค่าซ่อมของมันในยุคที่อินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายนั้นเรียกว่าฟันกันหัวแบะ เสี่ยบางท่านที่บ้านมีทั้ง W124 และ W140 พบว่ามันง่ายกับชีวิตพวกเขามากกว่าที่จะขายรถคันใหญ่กินเงินทิ้ง และเก็บรถทรงโบราณกว่า เก่ากว่า เล็กกว่าไว้เพราะมันกินเงินน้อยกว่านั้นเอง

อย่างไรก็ตามทุกวันนี้เรายังสามารถพบเห็น S-Class ขนาดยักษ์รุ่นนี้ได้บ่อย และอย่าแปลกใจที่รุ่น 6 สูบจะมีราคาแพงกว่า 8 สูบเสียอีก อย่างไรก็ตาม หากเราจะบอกว่า W124 เป็นสัญลักษณ์แห่งฐานะ W140 นี้ก็จะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงฐานะที่สูงกว่า และแฝงด้วยพลังอำนาจอีกต่างหาก อย่าแปลกใจถ้ามันจะเป็นขวัญใจของนักการเมืองระดับสูง ผู้บริหาร และผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลาย คุณคิดว่าไอ้คำว่า “อัครยานยนต์” มันเริ่มใช้กับรถรุ่นไหนเป็นรุ่นแรกกันล่ะครับ? ทุกวันนี้ราคามือสองถูกกว่า Jazz ใครอยากได้ ยกมือเลย..แล้วไปซื้อเอาเอง

J!MMY: เห็นด้วยเรื่องความเป็นเจ้าพ่อ S-Class แม้ในสภาพเดิมๆเอามาใช้ขับไปไหนมาไหนก็บ่งบอกได้ว่าผู้ที่ขับอยู่ไม่ธรรมดา ชาว headlightmag จำนวนไม่น้อยโหวตให้ S-Class สีดำติดฟิล์มดำเป็นรถที่ดูเป็น “เจ้าพ่อ” มากที่สุด S-Class รุ่นนี้เป็นรถที่กินงบประมาณในการพัฒนาไปมาก เรียกว่าใช้งบ R&D เกินที่กำหนดไว้ในขั้นแรกเสียอีก อุปกรณ์และความปลอดภัยนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่กระนั้นก็ยังไม่ดีพอที่จะช่วยชีวิตเจ้าหญิงไดอาน่าเอาไว้ได้ (ก็คืนนั้น เจ้าหญิงประทับที่เบาะหลัง แถมไม่คาดเข็มขัดนิรภัย อีกทั้งความเร็วตอนปะทะกับอุโมงค์หนะ มันใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่)

———————————————————————————-

Mercedes-Benz W201: เบบี้เบนซ์ ทารกหน้าแก่ พลิกประวัติศาสตร์ตลาดพรีเมี่ยม

J!MMY : นี่เป็นรถที่สร้างประวัติศาสตร์ของเบนซ์ในเมืองไทยรุ่นหนึ่งทีเดียวล่ะ ใครจะไปนึกว่า รถที่เปิดตัวในเมืองนอกมา 10 ปี จนจะตกรุ่นอยู่แล้วแล้วจะมาขายดีเป็นเทน้ำเทท่าในเมืองไทย พอรัฐบาลยุค คุณอานันท์ ปัณยารชุน เปิดนำเข้าเสรี เบนซ์เมืองไทยก็ไปขนเอา 190E 1.8 กับ 2.3 ที่เหลือสต็อคมาจากเมืองนอก แล้วมาเทระจาด ขายในไทยด้วยราคาแค่ล้านต้นๆ ผลที่ได้คือยอดขายพุ่งกระฉูดปรู๊ดปรี๊ด จนต้องสั่งรถเข้ามาเพิ่มซ้ำแล้วซ้ำอีก รวมแล้วมากถึง 5,000 คัน! งานนี้ ฝรั่งเยอรมัน ยังต้องทึ่ง ถึงขนาดยกโขยงบินมาตรวจสอบด้วยตัวเองว่า “มันเกิดอะไรขึ้นที่เมืองไทยวะเนี่ย” 190E เป็นรถที่ทำให้สมาชิกลัทธิบูชาดาวสามแฉกของบ้านเรา สรรหามาเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น จนแพร่หลายมาก ทุกวันนี้ยังพอจะเห็นวิ่งกันอยู่ทั่วไป

Commander CHENG: ถ้าให้ขยายความโดยละเอียด จะต้องบอกเลยว่านี่คือ “รถเล็กที่ก่อเรื่องใหญ่ที่สุดในวงการเบนซ์ไทย”! เพราะในยุคนำเข้าเสรีนั้นผู้แทนจำหน่ายเบนซ์ในประเทศไทยมีหลายเจ้ามาก ธนบุรีเอย เบนซ์ทองหล่อเอย กลุ่มเบนซ์ศรีนครินทร์เอย แล้วยังมีดีลเลอร์เบนซ์อย่างไม่เป็นทางการอีกมากมายหลายแห่ง และดีลเลอร์เบนซ์เหล่านี้แหละ มองเห็นโอกาสทองใน 190E จนสั่งเข้ามาขายแข่งกันเอง โหมกระหน่ำตีกันด้วยแคมเปญดาวน์น้อยผ่อนนานและโปรโมชั่นมากมายชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในวงการรถหรูประเทศไทย และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา เมื่อการเป็นเจ้าของเบนซ์กลายเป็นเรื่องง่าย สิ่งที่เกิดขึ้นคือเบนซ์ผงาดขึ้นเป็นแชมป์ยอดขายรถยุโรป ในขณะที่รถที่เคยเป็นแชมป์ในยุค 80 อย่าง Peugeot และรถยุโรปค่ายอื่นที่เล่นบทตัวประกอบต่างได้รับผลกระทบเป็นยอดขายที่น้อยลง และบางค่ายถึงกับม้วนเสื่อกลับประเทศไปเลยก็มี

แต่ให้พูดก็พูดเถอะนะ โดยทางเทคนิคแล้ว 190E ไม่มีอะไรที่น่าตื่นตาสำหรับปี 1992 ก็มันเล่นขายในเมืองนอกมาตั้งทศวรรษแล้วนี่ มันก็เป็นรถเล็กขับหลังแคบๆธรรมดา ดีไซน์ต่างๆออกจะล้าสมัยกว่า W124 ด้วยนะ แสดงว่าเหตุผลที่ขายได้นี่เป็นเรื่องของลัทธิบูชาดวงดาวเป็นสรณะ และมันยังมีเอกลักษณ์ของเบนซ์หลายอย่างที่ดีเช่นช่วงล่างกับการวิ่งทางไกลด้วยความเร็วสูง แม้จะตัวเล็กนิดเดียว แต่การทรงตัว การซับแรงกระแทกของช่วงล่างยังเป็นสิ่งที่รถสมัยนี้บางคันทำได้ไม่ดีเท่าด้วยซ้ำ  สมัยนั้นรถที่ถูกที่สุดของเบนซ์อย่าง 230E ยังมีราคาล้านปลายๆ ดังนั้นพอมีเบบี้เบนซ์ (ชื่อที่เรียกกันสมัยนั้น) โผล่มาล้านสองด้วยรุ่น 190E 1.8 คนก็แห่กันซื้อแม้ว่ามันจะเป็นรถราคาล้านกว่าบาทที่ใช้เกียร์ธรรมดา 4 สปีดและไม่มีมาตรวัดรอบก็ตามที ส่วนรุ่น 2.3 นั้นใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด และมีอุปกรณ์ครบครันกว่า บางคันมีเบาะไฟฟ้าคู่หน้ามาให้ และเนื่องจากเป็นรถที่ถูกนำเข้ามาโดยบริษัทมากหน้าหลายตา บางครั้งเราจึงจะเห็นรถสเป็คแปลกๆเช่น 190E 2.0 มีเบาะไฟฟ้า บุด้วยผ้า แต่ดันมีซันรูฟโผล่เข้ามา

———————————————————————————-

Mitsubishi Lancer (และ Champ): สะใจ ภูมิใจ บางได้ใจ นี่แหละ รถไทยส่งออกนอกรายแรก

J!MMY : ตัวทำเงิน จนต้องลากขายของ Mitsubishi ในยุค ดร.วัชระ พรรณเชษฐ์ Lancer รุ่นนี้ เปิดตัวในไทย ปี 1985 แต่กว่าจะเลิกขายก็ 1996 ประสบการณ์ 11 ปีเป็นประกัน ในช่วงแรกๆหลังเปิดตัวนั้น Lancer นับเป็นรถที่มีเครื่องยนต์และรูปแบบให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 1.3 ลิตร 1.5 ลิตร และท้อปสุดเป็นตัวจี๊ดในสมัยนั้นอีกตัวก็คือ รุ่น 1.6 เทอร์โบ ซึ่งมาพร้อมกับระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ โดยมิตซูตั้งชื่อทางการตลาดให้แต่ละรุ่นว่า Lancer 1300, Lancer 1500 และ Lancer 1600 Turbo จากนั้นช่วงปลายปี 1986 ก็จับเจ้าน้องสุดท้องมาใช้ชื่อใหม่ว่า Lancer CHAMP หั่นออพชันออกซะเหี้ยน จนเตียนโล่งไปทั้งคัน พร้อมกับมีรุ่นพิเศษที่แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยล้อแม็กและแอโร่พาร์ทเสียจน ดุกว่ารุ่นเทอร์โบเสียอีก ในปีเดียวกันนั้นเองเป็นปีที่บริษัท สิทธิผลมอเตอร์ กับบริษัทสหพัฒนายานยนต์ที่เป็นโรงงานประกอบตัดสินใจรวมตัวกัน เกิดเป็นบริษัท MMC สิทธิผลนั่นล่ะ

Commander CHENG : พอถึงตอนนี้เริ่มจำได้แล้วว่าช่วงปี 1987 นั้นมีการไมเนอร์เชนจ์ รุ่นเทอร์โบหายไปจากตลาด เหลือแต่รุ่น 1.3 ลิตรที่ทำตลาดต่อในชื่อ Champ II จากนั้น ในปี 1988 พวกก็เล่นปรับโฉมกันอีกครั้ง อย่างง่ายๆ ด้วยการคาดสติกเกอร์ด้านข้างรถว่า New Generation Power ใช่ไหม? ส่วนรุ่น 1.5 หวนกลับมาขายอีกครั้ง ได้ล้อแม็กลายใหม่จาก Enkei เปลี่ยนชื่อจาก Lancer 1500 เป็น Lancer 1.5 หน้าปัดดิจิตอล หลังจากนั้น ปี 1990 มีรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ พวงมาลัยเพาเวอร์ มีหมิว ลลิตา ปัญโญภาส เป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เธอเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับรถยนต์ (จากนั้น ค่อยไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ Honda City ในอีก 5-6 ปีต่อมา)

J!MMY :  ช่วงปีหลังๆ ยิ่งมาแปลก มีรุ่น 3 ประตูท้ายตัดเครื่อง 1.5 ออกมาขายอีกด้วย ได้คุณเปิ้ล หัทยา เกตุสังข์ DJ ดังแหเป็นพรีเซ็นเตอร์ อ้อ!เกือบลืมบอกไปอย่างว่ารถรุ่นนี้ยังช่วยให้มิตซูทำรถส่งออกไปขายแคนาดา และอิสราเอล ไซปรัส เป็นรายแรกของประเทศไทย (แม้จะมีกระแสข่าวลือว่ามีการตีกลับก็ตาม) ในช่วงท้ายสุดของชีวิตมัน รุ่น 1.5 ถูกปลดระวางไป รุ่น 1.3 ยังอยู่ต่อในชื่อ Champ III และ Catalytic Champ (ติดเครื่องกรองไอเสีย) ซึ่ง Mitsubishi เล็งเอาไว้จับตลาดล่าง ยิ่งไปกว่านั้น เคยมีการนำรุ่น 1.3 ลิตรไปขยายความจุเป็น 1.5 ลิตรเพื่อรองรับตลาดแท็กซี่มิเตอร์ด้วย ขายไม่ดีเท่าไหร่ แต่นักวิเคราะห์สมัยนั้นชอบมองว่ายอดขายของมิตซูในปี 1992-3 ที่เติบโตขึ้นนั้นมันมาจากการที่ได้แท็กซี่ช่วยไว้ ซึ่งที่จริงพระเอกของเราคือรถคันข้างล่างต่อไปนี้ต่างหาก

———————————————————————————-

Mitsubishi Lancer E-Car: ข้าคือพระเอกหล่อมาขอล้มแชมป์..สักครั้งเหอะวะ

 

J!MMY : และ แล้ว เราก็มาถึง ตำนาน รถยนต์ Mass Production ที่ Mitsubishi ผลิตและขายเยอะสุดในเมืองไทย รวมมากถึง 70,000 กว่าคันทั้งประเทศ และมันก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยหลังจากนั้น มีอยู่เดือนนึงที่ยอดขายชนะ Corolla AE-101 ด้วยซ้ำ คนทำงานเขากรี๊ดสนั่น ปิดบริษัทเลี้ยงฉลองกันเลยทีเดียว!

Commander CHENG: การมา ของ E-Car ในยุคนั้นถือว่าเป็นก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีที่คนไทยส่วนมากรู้สึกตื่นตาตื่น ใจไปกับมัน ทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่มีอะไรในกอไผ่ เพราะประเทศไทยนั้นกระโดดข้าม Lancer ไปรุ่นนึงโดยใช้วิธีลากโฉมเก่าขายต่อ เมื่อโฉมใหม่มาถึงจึงรู้สึกว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมาก ในช่วงแรกที่เปิดตัวนั้นมีรุ่น 1.5 GLX คาร์บูเรเตอร์เป็นตัวหลัก และมีรุ่น 1.3EL เป็นรุ่นประหยัด (กระจกมือหมุน กันชนสีดำ) แต่เนื่องจากช่วงเวลาที่เปิดตัวชนกับช่วงที่มีการลดภาษีรถนำเข้าพอดี จึงมีการนำรุ่น 1.6GLXi เครื่องหัวฉีด 112 แรงม้าเข้ามาขายเพื่อที่จะได้ชนกับ Corolla และ Sentra อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยในขณะที่รุ่น 1.5 ทำตลาดให้กับลูกค้ารายเก่าที่ชอบเครื่อง 1.5 ลิตร และแข่งกับ Civic ต่อไปได้

สิ่งที่เข้ามาพร้อมกันโดยไม่ได้คาดหมายคือรุ่น GTi เครื่อง 1.8 ลิตร ทวินแค็ม 4G93 140 แรงม้า มีให้เลือกเฉพาะเกียร์ธรรมดาเท่านั้น เป็นทางเลือกสำหรับคนชอบความแรง ดังนั้นจึงเรียกได้ว่ามีเครื่องยนต์และอุปกรณ์สำหรับกวาดตลาดได้หลายระดับตั้งแต่ 1.3 ยัน 1.8 ลิตร แม้ว่ารถที่ขายได้ส่วนมากจะเป็น 1.5 ลิตรก็ตาม ในภายหลังมีการไมเนอร์เชนจ์แปลี่ยนกระจังหน้า เปลี่ยนล้อ เพิ่มเครื่องกรองไอเสีย นำรุ่น 1.6 มาประกอบในประเทศ ยกเลิก Line รุ่น GTi ออกไป และขายต่อมาจนถึงปี 1996 และทยอยปลดระวางเพื่อหลีกทางให้กับท้ายเบนซ์รุ่นใหม่

แต่ Lancer E-Car ก็ได้รับความนิยมต่อเนื่องมาเรื่อย เป็นรถที่การประปานครหลวงซื้อไปในแบบฟลีทจำนวนมาก รถพวกนี้จะมีสีฟ้าเหมือนท่อประปา PVC ไม่มีผิด ส่วนในโลกของคนรักความแรง เราคงไม่ลืมใช่ไหมว่า E-Car เป็นแพลทฟอร์มแรกที่มีรุ่นพิเศษ Evolution จำหน่าย ในประเทศไทยไม่มีการนำเข้ามาอย่างเป็นทางการ แต่มีการนำเข้าชิ้นส่วน Evolution มาจากญี่ปุ่น แล้วก็ซื้อรถไทยมาเลาะตะเข็บดัดแปลงเป็น Evolution I, II และ III กันอย่างแพร่หลาย มีหลายคนที่ใช้รถบอดี้ E-Car Evolution เป็นตัวสร้างชื่อเสียง ในสนามแข่งจิมคาน่า คุณส้ม วีระไวทยะ นักแข่งจิมคาน่ารุ่นเก๋า ช่างยศ ECU Shop หรืออดีตนักแข่งชื่อดัง (ทั้งในสนาม และบนหน้าหนึ่ง นสพ.) อย่าง อ๊อฟ หทัย ไชยวรรณ ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์กับ Evolution รุ่นนี้และสร้างผลงานที่น่าชมไว้บนสนามแข่งมาก..น่าเสียดายที่พี่อ๊อฟเดินทางผิดไปประกอบอาชีพไม่สุจริต ไม่งั้นคงรุ่งได้อีกนาน

———————————————————————————-

Mitsubishi Pajero: เมื่อรถลุยจะพาความหรูสู่พงไพร

J!MMY : นี่เรากำลังพูดถึง Pajero ตัวไหนกันบ้าง ถ้าเป็นตัวแรกที่เข้ามานั้นไม่น่าจะมีอะไรโดดเด่นนัก มันก็เหมือน Cherokee นั่นแหละ ขายในเมืองนอกมานานแสนนาน แล้วพอยุคคนเริ่มรวย มันก็กลายเป็นหนึ่งในรถที่ติดกระแสเข้ามากับเขาด้วย ที่เข้ามาประกอบขายในไทยรุ่นแรก เมื่อปี 1989 โดยโรงงานของ Bangkok Eagle Wings นั้นใช้เครื่องเบนซิน 2.6 ลิตร 4 สูบ ภายในโบราณ แต่มีลูกเล่นเป็นมาตรวัดความเอียงของตัวรถ แรงดันน้ำมันเครื่อง และวัดโวลท์ แต่ดูเหมือนว่าคนอาจจะยังไม่ค่อยยอมรับเครื่องตัวนี้หรือไงก็ไม่ทราบ ในภายหลังจึงนำเครื่อง 2.5 ลิตรดีเซลเทอร์โบมาวางจำหน่ายด้วย รถรุ่นนี้มีพื้นฐานตัวรถที่ทนทรหด เหมาะกับการนำไปลุยแบบออฟโรด แต่สมัยนั้นคนยังเถียงกันอยู่ว่าตกลงใครเป็น King of the jungle ระหว่าง Pajero, Cherokee และ Hilux SR5 (รุ่นกรมป่าไม้)

Commander CHENG : รุ่นแรกนั้นเป็นรถที่เข้ามาสร้างชื่อในแบบกึ่งลุยกึ่งหรู ดังนั้นเราจึงพบมันได้ในเมืองมากพอกับในป่า แต่พอมารุ่นที่สอง ดูเหมือนว่าตำแหน่งทางการตลาดจะขยับไปหาการใช้งานในแบบผู้บริหารวิ่งในเมือง/เดินทางไกลมากขึ้น  Mitsubishi ประเทศไทยก็เปิดตัวนำร่องก่อนด้วยรุ่น V-6 3500 ซึ่งยังไม่ได้อุปกรณ์หรูหราเท่ารถของผู้นำเข้าอิสระ ซึ่งมักเข้ามาเป็นรุ่น Exceed 2.8 ลิตร ดีเซลเทอร์โบ 125 แรงม้า ซึ่งขับคล่องกว่าที่คิดและไม่ซดน้ำมันโฮกเท่ารุ่นเบนซิน

รถที่สั่งนำเข้ามาเองนี้ยังมีออพชั่นเพียบทั้งมูนรูฟ เบาะไฟฟ้า ช่วงล่างปรับอ่อน-แข็งได้ด้วยปุ่มเดียว และอื่นๆอีกมากมายที่โดดเด่นกว่ารถสเป็คนำเข้าของ Mitsubishi เองมากนัก ด้วยความหรูหรา ของเล่นเพียบ ชื่อชั้นดี มีประสิทธิภาพในการลุย และดูยิ่งใหญ่ในยามที่ขับขี่ไปบนท้องถนน อีกทั้งถ้าเลือกช่วงล่างในโหมดนุ่ม มันยังนั่งสบายกว่า Land Cruiser มาก ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะกลายเป็นช้อยส์ของบรรดานักการเมือง ตั้งแต่ระดับรัฐมนตรีลงไปจนถึงระดับส.ส. สมัยนั้นมีรถจำนวนไม่น้อยที่นำเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย นักการเมืองแถบภาคอีสานคนหนึ่งก็โดนหางเลขไปเพราะ Pajero เถื่อน และเป็นตัวการสร้างความเคลื่อนไหวในหมู่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในการปราบปรามรถเถื่อนอย่างจริงจัง

ในช่วงหลัง Pajero ตัวถังนี้จะมีรุ่น V6-3000 ซี.ซี. มาให้เลือก แต่ออพชั่นติดรถยิ่งน้อยกว่ารุ่น V-3500 เสียอีก น้อยจนเรียกได้ว่าแทบไม่ต่างอะไรกับรถบ้านคันละ 5-6 แสน และเครื่องยนต์ที่น่าจะประหยัดน้ำมันสุดท้ายก็กินน้ำมันเหมือนเดิม ดังนั้นก็อย่าไปหวังมากในด้านยอดขาย

———————————————————————————-

มาถึงตรงนี้เรายังมีต่ออีก 25 คัน สำหรับ Rewind with Commander CHENG ในตอนที่สองและเป็นตอนจบสำหรับ 50 รถแห่งวงการยุค Modern Perid นี้ ใครที่เป็นแฟน Toyota และ Nissan อดใจรออีกสักพัก แล้วพบกันครับ!

 


สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดย Commander CHENG! ผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com 19/04/2010

Copyright (c) 2010 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
19/04/2010

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่

คลิกเพื่ออ่านต่อบทความตอนที่ 2 >> 50 รถรุ่นดังในเมืองไทย 1985 – 2005 (Part II)