“รถที่ดูหน้าตาแก่ๆ ลุงๆ อย่าง Skoda Superb เนี่ย มันจะขายออกในเมืองไทยได้เหรอ?”

คำถามนี้ ผมแอบเก็บไว้ในใจ มาตั้งแต่ช่วงผ่านพ้นวันขึ้นปีใหม่ 2011 มาได้ไม่กี่วัน มันเกิดขึ้นหลังจากที่คุณโต
สุวิชชา ลีนุตพงษ์ แห่ง ยูโรเปียน ออโตโมบิลล์ / MTM Thailand บอกกับผมว่า กำลังพยายามจะสั่งนำเข้า
รถยนต์รุ่นหรูสุด ท็อปสุด ในตระกูล Skoda ตอนนี้ เข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทยอย่างจริงจัง

ต่อให้คิดอย่างนั้น หลังสมองประมวลผลและกลั่นกรองประมาณ เสี้ยววินาที ปากผมก็พูดสวนกลับออกไป เพียง
สั้นๆ ว่า “จะไหวเหรอคุณโต?” รถคันใหญ่ สงสัยค่าตัวคงแพงแหงๆ ถ้ามาแบบนี้ก็เหนื่อยหน่อยนะ

รู้กันดีอยู่ว่า ตอนนี้ แบรนด์ Skoda แทบจะหาคนรู้จักในเมืองไทยได้น้อยมากๆ คนรุ่นใหม่ๆ นี่ไม่ต้องถามไถ่
ให้เสียเวลา พวกเขาจะพร้อมกันส่ายหน้าแล้วบอกว่า “มันเป็นรถเกาหลีเหรอครับพี่?”

ชิบหายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย แล้วววววววววววววววววววววววววววววววว!

อกอีแป้นแล่นลึกเข้าตึกแขก แทบจะรีบพูดสวนกลับไปในฉับพลันทันใดว่า “ไอ้บ้าเอ้ยยยย รถยี่ห้อนี้ มาจาก
สาธารณรัฐเชค! มันเคยมีคนสั่งเข้ามาขายในบ้านเรา เมื่อ 50 ปีก่อนแล้วนะโว้ยยยย!” พอนึกขึ้นมาได้ ก็ต้อง
รีบเหยียบเบรก ยั่งปากไว้แทบไม่ทัน เพราะกลัวคนจะจำได้ว่า “ทำไมพี่รู้ดีจัง สงสัยเกิดในยุคนั้นแหงๆเลย”
ซึ่งถ้าน้องคนไหน มันบังอาจแหย่มาแบบนั้น โดยพลัน ลูกแปจากกีบหน้า…เอ้ย!…ขาขวาข้าพเจ้า จะเหวี่ยง
ออกไปสัมผัสกับแก้มก้นของน้องคนที่พูดในที่สุด !

เรื่องคนไม่รู้จักแบรนด์นี่ว่าน่าหนักใจแล้ว ปัญหาก็คือ แล้วรถคันนี้ มันมีดีอะไรมากพอให้ไปงัดข้อกับพวกพ้อง
ที่มีระดับราคาพอกันกับกลุ่ม D-Segment Mid-size Sedan กันละเนี่ย?

พอคุณโตบอกสเป็กที่ (ตัวเอง) อยากจะสั่งเข้ามาว่า อยากนำเข้ารุ่น 2.0 TSI ซึ่งใช้เครื่องยนต์ และเกียร์อัตโนมัติ
DSG ลูกเดียวกันกับ Volkswagen GOLF GTi คันโปรดของผมแล้ว….ดวงตาก็ลุกวาวออกนอกเบ้า เงาประกาย
แทบอยากจะไหว้ให้รีบมาในวันรุ่งพรุ่งนี้เลยทีเดียว เพราะยังจำได้ดีว่า สมรรถนะอันน่าประทับใจของ Golf GTi และ
Scirocco นั้น มันช่างน่าหวนกลับไปลิ้มลองอีกหลายๆครั้งเลยจริงๆ เหมือนใครสักคนเอาข้าวขาหมูมาวางตรงหน้าผม
เลยทีเดียว!

เวลาผ่านไป อีกเพียงเดือนเดียวถัดมา สุดท้าย หลังความพยายามในการเจรจากันอย่างหนัก ฝรั่งมังค่า ที่ Skoda
ก็บอกว่า ยังก่อน เอารุ่น 1.8 TSI มาให้ขายกันก่อน ฟังแล้ว ก็ได้แต่เกิดอาการเซ็งเป็ด…ธ่อ! หมดกัน ความฝันก็
สลายลงไปในบัดดล อยากจะรู้จังว่า ถ้าเครื่องยนต์ของ Golf GTi และ Scirocco TSI มาวางลงในตัวถังที่ใหญ่กว่า
และหนักกว่ากันของ Superb แล้ว ตัวเลขจะเป็นอย่างไร ออกตัวจะอืดกว่า 2 ศรีพี่น้องเขาไปมากน้อยแค่ไหน?
ไม่ได้ลองกันพอดี

อดเลย! เซ็งเป็ด แทบหมดความสนใจในรถใหญ่คันนี้ไปดื้อๆ

แต่สิ่งที่คุณโต ทำให้ผมกลับมาหูผึ่งกับ Superb อีกครั้ง ก็คือ ค่าตัวของรถคันนี้ เพราะตั้งเอาไว้ โคตรจะถูก
เหนือความคาดหมายของผมไปมากคือ เริ่มต้นรุ่นถูกสุดแค่ 1,795,000 บาท……

เฮ้ยยยยยยย!!!!! ถูกกกกกกกกกกกกว่าที่คิด!!! 

และที่น่าตีมือคุณโตไปกว่านั้นคือ วันนั้น เจ้าตัวไม่ได้บอกกับผมว่า รถคันเนี้ย มันมีของเล่นมาให้ อำนวยความ
สะดวกสบาย แน่นเอี๊ยด คือบอกมาแค่ว่า “มีออพชันไม่มากนักหรอกครับ แค่เบาะไฟฟ้า ชุดเครื่องเสียงที่ผมว่า 
ก็พอฟังได้ละครับ บ้านๆ”

ก็เพราะความที่เจ้าตัวเป็นคนที่สนใจรถยนต์ เพียงแคค่ว่า มันขับดีไหม ขับสนุกไหม อัตราเร่งเป็นอย่างไร
เข้าโค้งแล้วอาการเป็นอย่างไร เบรกดีไหม แต่ไม่ได้สนใจเรื่องอุปกรณ์ที่ติดมากับรถเลยว่า มีอะไรบ้างนั่นละ
คุณโต ก็เลย ไมได้บอกผม…ผมก็เลยเข้าใจไปว่า Superb ดูไม่น่าสนใจ เหมือนไม่มีจุดขายอะไร สั่งเข้ามา
เล่นๆ ขายกันพอเป็นพิธี น่าจะแค่ไม่กี่คันก็คงเลิก…

จนกระทั่ง ผมมารู้จากคุณผู้อ่านที่ไปทดลองขับกันก่อน ในสนาม ลาน P9 มาตั้งกระทู้ใน Weeboard ของเรา
นั่นละ ว่ามีระบบช่วยจอด Parking Assistant มาให้ด้วย ถือเป็นรถยนต์ราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท รายแรกในไทย
ที่มีระบบถอยเข้าจอดแบบนี้มาให้จากโรงงาน!

แถมชุดเครื่องเสียง ที่คุณโตบอกว่าเป็นแบบบ้านๆ นั้น กลับมีหน้าตาเหมือนกับที่ผมพบเจอในทั้ง Golf GTi
และ Scirocco อีกต่างหาก!! (อันนี้ต้องยกคุณงามความดีให้กับ “คุณตี้”  เพื่อนสนิทของคุณโต ตั้งแต่สมัยเรียน
มาด้วยกัน ที่มาช่วยทำงานอยู่ในตอนนี้ เขาเป็นคนบ้าออพชัน ทั้งคุณโต และคุณตี้ เลยกลายเป็นเพื่อนคู่หู ที่
เติมเต็มแนวคิดที่ขาดหายไปของกันและกันได้อย่างลงตัว…..เฉพาะเรื่องงานเท่านั้นนะ) แถมคุณภาพเสียง
ก็ยังดีเลิศเลอเพอร์เฟกต์ ในระดับราคาของมัน เหมือนกันกับที่ผมเจอมาแล้วใน Golf GTi ไม่มีผิด!!!

อ้าว! เฮ้ย! ออพชันนี่ก็เจ๋งใช่เล่นเลยนี่หว่า แบบนี้ คงต้องขอลองขับไปด้วยพร้อมกันเลยแล้วละ! ผมเลยต้อง
ถ่อสังขารไปงาน Motor Show กันอีกรอบหนึ่ง เพื่อจะลองขับสัก 2 รอบสั้นๆ พร้อมกับเจ้า Yeti และ Fabia
เพื่อจับสัมผัสแรกก่อน ว่ารถมีบุคลิกประมาณไหน ก่อนที่เราจะได้รับเจ้า Superb สี Platin Grey Metallic
คันนี้ มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในช่วงปลายเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ นั่นเอง

คือต้องบอกกันตรงๆว่า อยากจะขอขอบคุณ คุณผู้อ่านของ Headlightmag.com เรามากๆ ที่ช่วยให้ผม สะดุดกึก
และเหลียวหลังหันกลับมามอง Skoda Superb อีกครั้ง หลังจากที่ แทบไม่ได้อยู่ในความสนใจไปแล้ว แถมคิด
ไปเองว่า มันอาจจะขายในบ้านเราได้ไม่ออกเท่าไหร่หรอก คิดดูแล้วกัน ผมเดินเข้าบูธ Skoda ในวันก่อนการ
เปิดงานรอบ VIP (คืนวันที่ 22 มีนาคม 2011) ผมเดินเข้าไปถามหาเจ้า Yeti กับคุณโต และไม่ได้นึกถึง Superb
เลยด้วยซ้ำ

ที่ไหนได้ พอเปิดขายกันในงานเท่านั้นแหละ คุณโต บอกว่า จากยอดจอง 28 คันในงาน Motor Show เกินกว่า
ครึ่งหนึ่ง เป็น Superb ทั้งนั้น!! แถมตอนนี้ ณ วันที่รีวิวนี้ ขึ้นสู่สายตาคุณผู้อ่าน ยังมีลูกค้าที่สั่งจองมาเพิ่มอีก
3 คัน จากจำนวน 5 คันที่ขายได้ในช่วงหลังจากนั้นไม่กี่วัน

แปลกมาก! ทำไมเป็นเช่นนี้? ตอนแรก ผมคิดว่า Fabia กับ Yeti น่าจะขายดีกว่า Superb กลับกลายเป็นว่า พี่ใหญ่
ของตระกูล ทำยอดขายได้เยอะกว่า เป็นไปได้ยังไง….

แสดงว่า มันต้องมีอะไรดีแล้วละ เจ้าเนี่ย!

ว่าแต่ว่า Superb จะสู้ คู่แข่งในพิกัด D-segment Mid-size Sedan อย่าง Toyota Camry , Honda Accord, Nissan Teana
Hyundai Sonata Sport หรือจะทาบรัศมี ขึ้นไปเทียบชั้นกับ Volvo S80 ใหม่ หรือเลยเถิดยกระดับขึ้นไปกระทบไหล่
Mercedes-Benz E-Class , BMW 5-Series กันได้หรือเปล่านั้น…

ยังก่อนครับ…ตามธรรมเนียม ขอพาคุณไปรู้จักที่มาที่ไปของ Skoda Superb ในเมืองนอกเขาเสียก่อนดีกว่า เพราะว่า
ความเป็นมาของรถรุ่นนี้ ต้องนย้อนหลังกันไปไกลถึงสมัยก่อนสงครามดลกครั้งที่ 1…

ครับ เขียนไม่ผิด ก่อน.สงครามโลกครั้งที่ 1 !!!!!

หลายคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อ Superb มาก่อนเลย แต่ความจริงก็คือ ชื่อของ Skoda Superb นั้น ถูกใช้เป็นครั้งแรก
มานานมากแล้ว ตั้งแต่ ปี 1934…ครับ เขียนไม่ผิดหรอก อย่าลืมสิว่า นับจนถึงวันนี้ Skoda เป็นบริษัทผลิตรถยนต์
ที่เก่าแก่มากสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจาก Mercedes-Benz

ชื่อรุ่น Superb ถือกำเนิดขึ้นมา ในตระกูล Skoda ช่วงปี 1934 โดยในตอนแรกยังเป็นเพียงแค่ ชื่อรุ่นพิเศษ ที่หรูยิ่งขึ้น
สำหรับรถรุ่น Skoda 640 และเรียกกันในชื่อ Skoda 640 Superb รถรุ่นแรกนี้มีตัวถังที่ยาว 5,500 มิลลิเมตร กว้าง 1,700
มิลลิเมตร สูง 1,700 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง SV (Side Valve) 2,492 ซีซี คาร์บิวเรเตอร์ 55 แรงม้า (HP)
ขับเคลื่อนล้อหลัง ความเร็วสูงสุด 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีการผลิตออกมาทั้งหมดเพียง 201 คัน ตลอดอายุตลาดตั้งแต่ปี
1934 – 1939 ด้วยความหรูหาสุดยอด ในปี 1935 Superb ได้รับรางวัลจากสื่อมวลชนในยุโรปยุคนั้น ว่าเป็น “The most
elegant car” (2 รูปแรก ข้างบนนี้)

ต่อมา ในปี 1936 Skoda Superb Typ 902 ก็ถูกผลิตออกมา วางเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 2,704 ซีซี คาร์บิวเรเตอร์ 60 แรงม้า
(HP) ความเร็วสูงสุด 115 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลงบนตัวถังขนาดเท่ากัน ขายไปได้ทั้งหมด 53 คัน จนถึงปี 1937 และในปี
เดียวกันนั้นเอง Skoda Superb Typ 913 พร้อมเครื่องยนต์ใหญ่โตขึ้น 6 สูบเรียง 2,916 ซีซี คาร์บิวเรเตอร์ 65 แรงม้า (HP)
ความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ถูกผลิตออกสู่ตลาด จนถึงปี 1939 ด้วยยอดผลิตทั้งหมด 350 คัน

 ปี 1938 Skoda Superb 3000 Type 924 ลีมูซีน 6 ที่นั่ง ถูกสร้างขึ้น บนตัวถังยาว 5,200 มิลลิเมตร กว้าง 1,800 มิลลิเมตร
สูง 1,720 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ 6 สูบ OHV 3,137 ซีซี 85 แรงม้า (HP) ขับเคลื่อนล้อหลังด้วย เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ
(ไม่รวมเกียร์ถอยหลัง) ความเร็วสูงสุด 125 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนใหญ่ ถูกสร้างขึ้น เพื่อเป็นรถยนต์สำหรับนายทหาร
ชั้นสูง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลิตออกมารวมทั้งสิ้น 113 คัน (รวมทั้งรุ่นเปิดประทุนในรูปที่ 3 ข้างบนนี้ด้วย)

ปี 1939 Skoda ผลิต Superb รุ่นพิเศษ Type 919 ตัวถัง Limousine 2 คัน และเปิดประทุน Convertible 8 คัน รวมแล้วแค่
10 คันเท่านั้น ทั้งหมด มีตัวถังยาวถึง 5,700 มิลลิเมตร กว้าง 1,800 มิลลิเมตร สูง 1,750 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ V8 OHV
3,991 ซีซี 96 แรงม้า ขับล้อหลังเกียร์ธรรมดา เดินหน้า 3 จังหวะ ความเร็วสูงสุด 135 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วงล่างหลังเป็นแบบ
Swing Axle พร้อมตับแหนบ 4 แผ่น ต่อฝั่งล้อ ออกขายแค่เพียงช่วงสั้นๆจนถึงปี 1940

ปี 1941 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Skoda ผลิต Skoda Superb 3000 Typ 952 ขึ้นมาเพื่อราชการทหารของเชคโกสโลวาเกีย
วางเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 3,137 ซีซี 85 แรงม้า (HP) ลงบนตัวถังยาว 4,800 มิลลิเมตร สั้นกว่ารุ่นอื่นๆ กว้าง 1,800 มิลลิเมตร
สูง 1,720 มิลลิเมตร รถรุ่นนี้ ถูกผลิตทั้งหมด มากที่สุดในบรรดา Superb ยุคโบราณ คือ 1,626 คัน

และในช่วงสุดท้าย ปี 1946 Skoda นำ Superb Typ 924 กลับมาผลิตอีกครั้ง ด้วยการเพิ่มความยาวตัวรถออกไปอีก เป็น 5,300
มิลลิเมตร ผลิตออกมาอีก 162 คัน รวมยอดผลิตรุ่น Typ 924 ทั้ง 2 รุ่น อยู่ที่ 275 คัน (2 รูปสุดท้าย ของรูปชุดข้างบนนี้)

และในที่สุด Superb ยุคโบราณรุ่นสุดท้าย ก็ถูกยุติบทบาทไปในปี 1949

หลังจากที่ แบรนด์ Skoda ต้องล้มลุกคลุกคลานมาตลอดในช่วงทศวรรษ 1950 – 1990 กลุ่ม Volkswagen ก็เข้ามาซื้อหุ้น
ร่วมกิจการกันกับ Skoda ในปี 1991 สาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลของสาธารณรัฐเชค ตัดสินใจเลือก Volkswagen มาเป็น
พันธมิตร ในครั้งนั้น มาจากข้อได้เปรียบหลายประการ และหนึ่งในเหตุผลสำคัญก็คือ Volkswagen คิดที่จะเตรียมสร้าง
รถยนต์ขนาดกลาง รุ่นใหม่ ที่ใหญ่กว่า Skoda Favorite (ซึ่งต่อมา ก็เปลี่ยนโฉมใหม่เป็น Felicia ในปี 1994 และ Fabia
ในปี 1999 จนถึงรุ่นล่าสุดในปี 2006) พวกเขาตัดสินใจนำ Skoda Octavia กลับมาทำใหม่อีกครั้ง และกลายเป็นหนึ่งใน
รถยนตืนั่งตัวทำเงินอีกรุ่น ที่ค่อยๆ พลิกสถานะของ Skoda สู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลก ที่ได้รับการยอมรับจากใน
ยุโรปตะวันออก และยุโรปตะวันตก มากขึ้น

แต่เพียงแค่ Octavia หนะ…ยังไม่พอ

หนึ่งในโครงการรถยนต์รุ่นใหม่ที่ Volkswagen กับ Skoda คิดกันไว้ตั้งนานแล้วก็คือ พวกเขาก็ดำริกันว่าจะนำชื่อ Superb
กลับมาโลดแล่นกันอีกครั้งในฐานะรถยนต์นั่งขนาดกลาง ค่อนข้างหรู หรือ Upper D-Segment ด้วยความเชื่อที่ว่า น่าจะมี
รถยนต์สักรุ่นที่เหนือชั้นยิ่งกว่า Octavia เพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้าที่มีฐานะดีขึ้น Volkswagen กับ Skoda ก็เลยจับมือกัน นำเอา
Volkswagen Passat รุ่นปี 1998  ที่สร้างขึ้นจากพื้นฐาน Platform B5 PL45+ มาปรับโฉม และขยายตัวถังให้ยาวขึ้นกว่า เดิม
อีก 10 เซ็นติเมตร แล้วนำออกสู่ตลาดยุโรป ด้วยชื่อ Skoda Superb

Superb รุ่นแรกที่กลับมาทำตลาดใหม่ เปิดตัวครั้งแรกในงาน Frankfurt Motor Show 2001 และสายการผลิตก็เริ่มเดินเครื่อง
เมื่อ 1 ตุลาคม 2001 ตัวรถยาว 4,803 มิลลิเมตร กว้าง 1,765 มิลลิเมตร สูง 1,489 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,803 มิลลิเมตร มี
เครื่องยนต์ให้เลือกมากมาย หลายขนาด ยกชุดมาจาก สหกรณ์ขุมพลังของ Volkswagen Group เองนั่นละ! ในรุ่นพื้นฐาน
Classic จะเริ่มด้วยเครื่องยนต์ Diesel  บล็อก 4 สูบ 1.9 ลิตร TDI Turbo 101 แรงม้า (PS) กับรุ่นเบนซิน 4 สูบ OHC 2.0 ลิตร
116 แรงม้า (PS)  ในรุ่น Comfort และ Elegance จะมีเครืองยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 20 วาล์ว (5 วาล์ว /สูบ) 1.8 ลิตร Turbo
162 แรงม้า (PS) หรือ ขุมพลังเบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 2.8 ลิตร 193 แรงม้า (PS) และ เครื่องยนต์ Diesel V6 DOHC
24 วาล์ว 2.5 ลิตร Turbo TDI 163 แรงม้า (PS) ทุกรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
หรือเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ Tiptronic จาก ZF ระยะต่อมา จึงค่อยเพิ่มเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร TDI
140 แรงม้า (PS) ตามมาในภายหลัง

เดือนสิงหาคม 2006 Skoda ปรับโฉม Minorchange ให้กับ Superb เล็กน้อย ด้วยการเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่ เปลี่ยนชุดไฟหน้า
ฝังไฟเลี้ยวไว้ในกรอบกระจกมองข้าง และเปลี่ยนไฟท้ายลายใหม่ ให้คล้ายกับรถยนต์ อเนกประสงค์ Skoda Roomster ทำตลาด
จนถึงปี 2008 ในบางประเทศ

ด้วยการตอบรับจากลูกค้าทั่วโลกอย่างดี ไม่เว้นแม้กระทั่ง Vaclav Klaus ประธานาธิปดีของ สาธารณรัฐเชค ยังเลือกใช้เป็น
รถยนต์ประจำตำแหน่งมาตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2006 กันเลยทีเดียว (แน่ละ ผู้นำระดับประเทศ ก็ควรจะใช้รถยนต์ที่ผลิตขึ้น
โดยบริษัทในประเทศของตัวเองอย่างนี้แหละ ถึงจะเหมาะสมกันดี)ทำให้ยอดผลิตและยอดขาย ผ่านหลัก 100,000 คัน เมื่อ
วันที่ 16 สิงหาคม 2006 อีกทั้งยังมีการส่งชิ้นส่วน CKD (Complete Knocked-down) ไปประกอบยังโรงงานที่ Ukraine,
India, Bosnia และ ที่ Kazakhstan ทำให้ยอดผลิตรวมของ Superb รุ่นกลับมาเกิดใหม่รุ่นนี้ มียอดสะสมมากถึง 133,955 คัน 
เมื่อสิ้นสุดอายุตลาดในเดือนมีนาคม 2008  (แต่ในประเทศจีน โรงงาน Shanghai Volkswagen Automotive ยังคงผลิต 
Superb เพื่อทำตลาดในจีนด้วยชื่อ Volkswagen Passat Lingyu หลังจากนั้นต่อเนื่องมาอีกพักใหญ่)

Horst Muhl กรรมการบริหารของ Skoda Auto รับผิดชอบในด้านการผลิตและการจัดการด้าน logistics ในตอนนั้นกล่าวว่า
“การตัดสินใจผลิตรถยนต์ระดับ upper-medium class เป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ Skoda อีกทั้งยังมีความ
สำคัญในการเติบโตของบริษัท ทั้งในด้านคุณค่าของแบรนด์ และรายได้จากยอดขาย ดังนั้นความสำเร็จของ Superb ที่
สามารถต่อกรและเทียบชั้นกับบรรดารถยนต์ยุโรปในระดับ Premium ได้ ถือเป็นการยืนยันให้เห็นว่า การกลับมาบุกตลาด
รถยนต์ระดับสูงอีกครั้ง ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง”

ด้วยเหตุนี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้า ทีมผู้บริหารของ Skoda จะพร้อมใจกันเปิดไฟเขียว ให้มีการพัฒนาSuperb รุ่นต่อไป

งานออกแบบ Superb ใหม่ มีขึ้นที่ศูนย์ออกแบบ Skoda Design Center ในเมือง Mlada Boleslav ภายใต้การ
กำกับดูแลโดย อดีต chief designer คนเก่าของ Skoda ที่ชื่อ Jens Manske ซึ่งหมดวาระไปแล้ว ตั้งแต่วันเปิดตัว
Superb รุ่นนี้ เมื่อ 3 ปีก่อน

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ Superb ใหม่ ยังคงเป็นกลุ่มลูกค้าแนววอนุรักษ์นิยม (Conservative) ดังนั้น Superb จึง
ยังจำเป็นต้องออกแบบมาให้ดูภูมิฐาน มีระดับ และเรียบง่ายอย่างสง่างามมากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่า
ในตอนแรก คุณอาจจะเห็นว่า ภาพสเก็ตช์ เบื้องต้นในช่วงที่ทีมออกแบบ ยังพยายามหาแนวทางของเส้นสาย
กันอยู่ จะออกมาในรูปแบบของ รถยนต์ที่มีบั้นท้าย ในลักษณะของ Hatchback กันเป็นหลักก็ตาม

ดังนั้น ทางออกของทีมงานออกแบบก็คือ ออกแบบ บานประตูห้องเก็บของด้านหลัง ในแบบ Twin Door ขึ้นมา
ซะเลย สามารถใช้งานได้ ทั้งการเปิดแบบรถยนต์ Sedan ทั่วไป หรือจะเปิดยกกระจกบังลมหลังขึ้นพร้อมกัน
แบบรถยนต์ Liftback ซึ่งช่วยลดข้อจำกัดในการนำสัมภาระ เข้า หรือ ออกจากห้องเก็บของด้านหลัง ไปได้
อย่างดียิ่ง

เมื่อทุกอย่าง เสร็จสมบูรณ์ Skoda จึงเผยภาพถ่ายแรกของ Superb ใหม่ เป็นครั้งแรกในโลก อย่างเป็นทางการ
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2007 จากนั้น รอให้ข้ามปีมาถึงวันที่ 8 มกราคม 2008 จึงปล่อยภาพถ่ายเต็มคัน กลางแจ้ง
ออกมาทาง Internet ตามด้วยการเผยภาพถ่ายภายในรถอีกชุดใหญ่ เมื่อ 25 มกราคม 2008

กว่าที่สาธารณชนจะได้เห็นรถคันจริง ก็ต้องรอถึงงานแถลงข่าวคืนก่อนงาน Geneva Motor Show จะเริ่มขึ้น
1 วัน ในช่วงคืนวันที่ 5 มีนาคม 2008 ก่อนงานแสดงจริงจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ 6 – 16 มีนาคม 2008 ในงานวันนั้น
Superb เป็นรถยนต์รุ่นใหม่ 1 ในหลากหลายรุ่นของกลุ่ม Volkswagen Group ที่จะถูกเปิดตัวในงานนี้เป็น
ครั้งแรกในโลก เฉกเช่นเดียวกับ Volkswagen Caddy Maxi ไปจนถึง Bugatti Veron !!!

ปฏิกิริยาตอบสนองผู้คนใน Volkswagen Group และสาธารณชนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สื่อมวลชนสาย
รถยนต์ จากทั่วทุกมุมโลก ที่ได้มีโอกาส เห็น Superb คันจริง ต่างพากันประหลาดใจ และแทบไม่เชื่อว่า รถที่
พวกเขาเห็นอยู่นี้ คือรถ Skoda ก็แน่ละ  ในความคิดและความเชื่ออันเกิดจากสายตาที่เคยมองเห็นสิ่งที่จับต้อง
ได้เป็นรูปธรรม Skoda แต่ละรุ่นที่ผ่านมา ก็เป็นเพียงแค่รถยนต์ธรรมดา บ้านๆ แบรนด์หนึ่งจากประเทศที่
เคยมีระบอบการปกครองแบบสังคมนิยม ใครจะไปนึกว่า หลังจากเวลาผ่านไป Skoda จะสร้างรถยนต์ที่ดู
หรูหราใหญ่โต และน่าใช้ได้มากขนาดนี้

จึงไม่น่าแปลกใจว่า นับตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2008 วันที่ Skoda Superb รุ่นปัจจุบันคันแรก เริ่มคลอดออกจาก
โรงงานในเมือง Kvasiny เพื่อส่งถึงมือลูกค้า มาจนถึงวันนี้ สื่อมวลชนในยุโรปส่วนใหญ่ จะให้การต้อนรับ
รถยนต์คันนี้ ค่อนข้างดีกว่า Skoda หลายๆรุ่นที่เคยมีมา ทำให้ Superb ใหม่ คว้ารางวัล Car of The Year ของ
สาธารณรัฐเชค มาครอง ตามความคาดหมาย เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2009 พร้อมกับการเป็นรถยนต์ประจำคณะ
รัฐมนตรีของ รัฐบาลสาธารณรัฐเชค ฯลฯ

สำหรับแวดวงยานยนต์ในเมืองไทย เราก็คงต้องบันทึกเอาไว้ว่า ยูโรเปียนออโตโมบิลล์ / MTM Thailand
เปิดตัวสู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการครั้งแรกในงานBangkok International Motor Show 2011 เมื่อวันที่
23 มีนาคม 2011 (รอบ VIP) ที่ผ่านมา และรถแทบทุกคันที่ทาง MTM Thailand สั่งเข้ามาให้ได้ยลโฉมนั้น
ถูกจับจองเป็นเจ้าของ ขายออกไปจนแทบจะเกลี้ยงกันเลยทีเดียว และนอกจากนี้ ยังมี Back Order ค้างส่วง
อยู่อีก สิบกว่าคัน ถือว่า น่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน ที่แบรนด์อย่าง Skoda จะมียอดสั่งจอง มากกว่าช่วงเวลา
ก่อนหน้านี้ทั้งหมด เท่าที่เคยมีมา เป็นการเริ่มต้นใหม่ สำหรับการกลับมาทำตลาดอีกครั้ง ที่ไม่เลวเลยทีเดียว
แม้ช่วงก่อนหน้านี้ จะเคยมีการนำเข้า Superb รุ่นที่แล้ว เข้ามาอวดโฉมในบ้านเรา ที่งาน Motor Show เมื่อ
หลายปีก่อน แต่ครั้งนั้น Superb ก็ยังไม่ได้รับความสนใจมากเท่าในว้ันนี้

Superb ใหม่ มีตัวถังยาว 4,838  มิลลิเมตร กว้าง 1.867 มิลลิเมตร (รวมกระจกมองข้างเข้าไปด้วย จะกว้างถึง
2009 มิลลิเมตร) สูง 1.462 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,761 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,545 มิลลิเมตร
ความกว้างช่วงล้อหลัง 1,518 มิลลิเมตร

หากเปรียบเทียบกับ Superb รุ่นก่อน จะพบว่า รถรุ่นใหม่ มีตัวถังยาวขึ้นกว่าเดิมเพียง 35 มิลลิเมตร กว้างขึ้น
มากถึง 102 มิลลิเมตร เตี้ยลง 27 มิลลิเมตร แต่มีการยืดระยะฐานล้อให้ยาวออกไปจากรุ่นเดิมมากถึงระดับ
41 มิลลิเมตร

ในตลาดโลก Skoda Superb จะแบ่งระดับการตกแต่งออกเป็น 3 แบบคือรุ่นพื้นฐาน Classic รุ่นตกแต่งระดับ
ปานกลาง หรือ Ambiente (Ambition ในอังกฤษ) และรุ่นตกแต่งหรูสุด คือ Elegance ถึงแม้ว่าเวอร์ชันไทย มี
2 รุ่นย่อย 2 ระดับการตกแต่ง คือรุ่น Classic จะใช้ล้ออัลลอย 16 นิ้ว ส่วนรุ่น Ambiente คันที่เห็นอยู่นี้ จะดูดี
มีชาติตระกูลยิ่งขึ้นด้วยล้ออัลลอย 18 นิ้ว

แต่ในความจริงแล้ว อุปกรณ์ตกแต่งของรุ่นย่อยที่ขายกันอยู่ในไทยตอนนี้ หากเป็นรุ่น แพงสุด กลับจะใส้่
ชื่อรุ่นตอนท้ายว่า Ambiente ทั้งที่ถ้าเทียบกันจริงๆแล้ว เวอร์ชัน Ambiente ของไทย จะเท่ากับรุ่นหรูสุด
Elegance ในตลาดสหราชอาณาจักร เสียด้วยซ้ำ

เส้นสายภายนอก ถ้ามองว่า ต้องออกแบบมาเอาใจลูกค้ากลุ่มผู้ใหญ่ วัย 40 – 50 ปีขึ้นไป ทีมออกแบบของ
Skoda ก็ถือว่า มาถูกทางแล้ว คือ สร้างด้านหน้าของรถให้ดูมีระดับ เรียบง่าย แต่แฝงถึงความไม่ธรรมดา
เอาไว้ด้วย ไฟหน้าเป็นแบบ Bi-Xenon ชิ้นเดียวขนาดใหญ่ มาพร้อมระบบไฟหน้านักเรียนทุน AFS หรือ
Adaptive Front Lightning System ปรับทิศทางของแสงอัตโนมัติเมื่อเข้าโค้ง และที่ฉีดน้ำล้างไฟหน้า
ออกแบบให้ยื่นออกมาเป็นติ่งครึ่งวงกลมใต้ชุดไฟหน้า กระจังหน้าลายโครเมียมแนวตั้ง ที่ถูกนำมาใช้
เป็นครั้งแรกกับรถรุ่น Felicia (1994) ก่อนจะถูกปรับปรุงใหม่ และออกใช้กับรถยนต์อเนกประสงค์รุ่น
Roomster ในปี 2006 และมีไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้างมาให้จากโรงงาน

ฝากระโปรงหน้า มีการออกแบบ แนวเส้นคู่ตรงกลาง มาบรรจบที่กระจังหน้า บริเวณโลโก้ของ Skoda
ซึ่งนอกจากจะมีส่วนช่วยในเรื่องการยุบตัวของฝากระโปรงขณะเกิดการชนแล้ว ยังมีส่วนหลอกตา
ให้หลายๆคนที่ไม่รู้เรื่องรถ เข้าใจผิดว่า รถที่เห็นอยุ่นี้ เป็น BMW ได้อีกด้วย!!

อย่าคิดว่าจะไม่มีใครที่เข้าใจผิดแบบนี้! อย่างน้อย ตลอด 5 วัน 4 คืน ที่ผมขับรถคันนี้ ไปเจอผู้คนมากมาย
มีถึง 3 คนที่ถามว่า นี่เป็น BMW หรือเปล่า!!!! ชวนให้สงสัยว่า พวกเขาลืมกระจังหน้าไตคู่ของค่ายใบพัด
สีฟ้าไปได้อย่างไร หรืออีกนัยหนึ่ง ทีมออกแบบจากเมือง Mlada Boleslav ประสบความสำเร็จแล้วละ
ในการสร้างภาพลักษณ์ของรถรุ่นแพงสุดของพวกเขา ให้หรูหราเทียบชั้นกับรถยนต์ที่แพงกว่าได้ขนาดนี้

ส่วนไฟท้าย ถือว่าทำได้ดีพอสมควร สำหรับการสร้างรถยนต์ระดับหรูด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก โดยไม่ได้ยืม
เส้นสายของ Volkswagen Passat มาใช้ อย่างที่รุ่นก่อนต้องเป็นไปอย่างนั้น แต่น่าเสียดายว่า หากดูจากภาพ
สเก็ตช์แล้ว แนวเสาหลังคา C-Pillar ที่ดูลงตัวอย่างมากนั้น กลับไม่อาจนำมาใช้ได้ ในรถที่ผลิตขายจริง เรา
ไม่ทราบว่า เกิดอะไรขึ้น อาจเป็นเพราะ ต้องออกแบบ ไม่ให้ศีรษะของผู้โดยสาร ไปเฉี่ยวชนกับขอบด้านบน
ของหลังคา ตอนเข้าออกจากรถ หรือจะเกี่ยวข้องกับนโยบายของ Volkswagen ที่แอบไม่ยอมให้ แบรนด์อื่นๆ
ได้ดิบได้ดีไปกว่าตน หรือเปล่า จึงได้มีแนวเส้นบริเวณประตูคู่หลัง หรือ C-Pillar ออกมา เชย และไม่สอดรับ
กับภาพรวมของรถทั้งคันอย่างที่เป็นอยู่

Skoda Superb ใหม่ เวอร์ชันไทย มี 2 รุ่นย่อย 2 ระดับการตกแต่ง คือรุ่น Classic จะใช้ล้ออัลลอย 16 นิ้ว
ส่วนรุ่น Ambiente คันที่เห็นอยู่นี้ จะดูดีมีชาติตระกูลยิ่งขึ้นด้วยล้ออัลลอย 18 นิ้ว

การเปิดประตูใช้รีโมทคอนโทรลพร้อมลูกกุญแจ พับเก็บได้เหมือนมีดพับของสวิส มาพร้อมระบบสัญญาณ
กันขโมย Immobilizer ในตัว การติดเครื่องยนต์ ก็ยังต้องใช้กุญแจไปบิดในช่องเสียบ ที่คอพวงมาลัยฝั่งขวา
ตามเดิม หน้าตา ก็เหมือนกับรีโมทกุญแจสหกรณ์ ที่พบได้ใน VW Audi Skoda และ Seat คันอื่นๆ นั่นละ

รีโมทนี้ ถ้ากดปุ่มปลดล็อก 1 ครั้่ง จะปลดล็อกเฉพาะประตูฝั่งคนขับ แต่ถ้ากดซ้ำอีกครั้ง ประตูฝั่งผู้โดยสารจะถูก
ปลดล็อกตามมา ส่วนฝากระโปรงหลัง กดปุ่มตรงกลาง แช่ไว้ 2-3 วินาที ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลังจึงจะ
ปลดล็อก แล้วค่อยเดินไปยกฝาหลังให้เปิดขึ้น

และในยามค่ำคืน คุณจะพบว่า Superb มีการติดตั้ง ไฟส่องสว่างใต้กระจกมองข้างมาให้ เพื่อให้เห็นพื้นที่ยืน
รอบตัวรถ ก่อนขะก้าวขึ้นไปนั่ง ช่วยให้คุณพอจะก้มลงหาของที่ทำตกหล่นอยู่บนพื้นได้สะดวกขึ้น แถมยังมี
ไฟส่องสว่าง ที่ด้านล่างของบานประตูเหมือนรถยนต์ระดับหรูสมัยก่อนหลายๆรุ่นอีกด้วย

ทันทีที่เปิดประตูคู่หน้าออกมา ถึงแม้คุณอาจจะพบว่า มันก็ควรจะดูดีสมฐานะของรถยนต์รุ่นแพงสุดในตระกูล
แต่ ถ้าย้อนกลับไปดู Skoda รุ่นเก่าๆ ในอดีตแล้วผมกล้าพูดได้เลยว่า นี่คือ Skoda ที่ หรูที่สุด เท่าที่พวกเขาเคย
ทำออกมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บรรยากาศ และกลิ่นอาย ความเป็น Volkswagen รุ่นแพงๆ เจือปนอยู่
ในระดับเข้มข้นมากๆ จนสังเกตได้ทั้งด้วยตา ดมได้ด้วยกลิ่น และสัมผัสได้จากมือของคุณ

การเข้าออกจากเบาะคู่หน้า ไม่มีปัญหา ช่องทางเข้า มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ระดับพื้นรถ และการเข้าออกทุกอย่าง
ยังไม่มีอะไรให้ต้องตำหนิ แผงประตูคู่หน้า มีพื้นที่วางแขนที่ทำออกมา สอดรับกับสรีระ และการวางแขนอย่าง
ลงตัว ไม่ต้องหวือหวา ไม่ต้องเล่นเส้นสายให้เลอะเทอะ Simply แบบที่พวกเขาเคยเป็นมานี่แหละ ดีแล้ว
ช่องใส่ของที่แผงประตูด้านข้าง มีขนาดแค่พอวางของได้ แต่ยังไม่ถึงกับใส่ขวดน้ำลงไปได้ในแนวตั้ง ส่วน
เสียงปิดประตูนั้น สมกับเป็นรถยนต์รุ่นใหญ่ชั้นดี ยางขอบประตู มี 3 ชั้น คือ ที่บานประตู ทำออกมา 2 ชั้น
และที่กรอบประตู อีก 1 ชั้น เก็บเสียงรบกวนได้ค่อนข้างดี

เบาะนั่งคู่หน้า หุ้มด้วยหนัง ตัดกับ ผ้าหนังกลับสังเคราะห์ Alcantara ชวนให้ผมนึกถึงบรรยากาศที่ผมชื่นชอบใน
Mercedes-Benz ML280 CDI คันนั้นขึ้นมาแทบจะในทันที เบาะหน้าทั้ง 2 ฝั่ง สามารถปรับตำแหน่งได้ด้วย สวิชต์
ไฟฟ้า ทั้งปรับเอนนอน หรือ ปรับเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง แถมยังมี สวิชต์ ปรับที่ดันหลัง ให้สูง หรือต่ำลง และ
ดันมากขึ้น หรือดันน้อยลง ได้ครบถ้วน กำลังดี ลดความเมื่อยล้าในการเดินทางไกลลงได้พอสมควร อย่างไรก็ดี
บริเวณที่ซัพพอร์ตไหล่นั้น อาจจะยังน่าจะทำปีกข้างให้ห่อเข้ามาอีกนิด เพื่อรองรับสรีระของผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร
ได้มากกว่าที่เป็นอยู่นี้อีกนิด ส่วนเบาะคนขับ จะมีหน่วยความจำตำแหน่งเบาะนั่ง ให้บันทึกไว้ 3 ตำแหน่ง

เบาะรองนั่ง สั้นไปนิดเดียว ถ้าออกแบบให้ยื่นออกมากว่านี้อีกนิด จะรองรับส่วนน่อง และขาพับได้พอดี ซึ่งเป็น
สิ่งที่รถยนต์รดับหรูขนาดนี้ ควรจะมีมาให้ได้แล้ว พื้รนที่เหนือศีรษะ โล่งสบายดี ไม่มีปัญหา ต่อให้คุณจะตัวสูง
แค่ไหนก็คตาม เพราะเบาะคนขับที่คุณเห็นอยู่ในรูปนี้ คือตำแหน่งต่ำสุดที่ผมปรับเอาไว้ ตามนิสัยการขับรถของผม
นั่นหมายความว่า ถ้าใครปรับเบาะลงต่ำขนาดนี้ จะพบว่า มีพื้นที่เหนือศีรษะเหลือพอสมควรแน่นอน

บานประตูคู่หลัง มีความยาวกว่ารถยนต์ Sedan พิกัด D-Segment ทั่วไปนิดหน่อย กระจกหน้าต่างทั้ง 2 ฝั่ง มีสวิชต์
สั่งเลื่อนขึ้น – ลง แบบ One Touch มาให้ พร้อมทั้งยังมีม่านบังแดด ซ่อนเอาไว้ ให้ยกขึ้นใช้งาน มีการออกแบบ
มือจับสำหรับม่าน ให้มีขนาดใหญ่กว่ารถทั่วไปเล็กน้อย แถมด้านบนของแผงประตูข้าง ยังออกแบบหลุมให้
มือจับดังกล่าว วางทาบลงไปได้พอดีๆ แสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อย อย่างชัดเจน

แผงประตูด้านข้าง วางแขนได้พอดี มีลำโพงฝังมาให้ และประดับด้วยลายอะลูมีเนียมสีเงิน เหมือนแผงประตู
คู่หน้า ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า Superb มี หน้าจอดิจิตอล แสดงนาฬิกา และอุณหภูมิให้ รวมทั้งมีช่องแอร์สำหรับ
ผู้โดยสารแถวหลัง ที่เสาหลังคาคู่กลาง B-Pillar แบบเดียวกับ Volvo หลายๆรุ่น แต่ไม่สามารถปรับอุณหภูมิจาก
แผงหน้าจอด้านหลังของคอนโซลกลางได้โดยตรง 

เบาะนั่งด้านหลัง นั่งสบายใช้ได้ในระดับหนึ่ง การรองรับพื้นที่แผ่นหลังของผู้โดยสาร ทำได้กำลังดี ไม่นุ่มหรือ
ไม่แข็งเกินไป เพียงแต่ว่า พนักศีรษะนั้น ค่อนข้างจะดันต้นคอพอสมควรเลยทีเดียว สำหรับคนที่ชอบให้พนักพิง
ดันศีรษะ อาจจะชอบ แต่สำหรับผม ผมว่า ดันเยอะไปนิดนึง ที่วางแขนแบบพับเก็บได้ สามารถวางแขนได้อย่าง
พอดีๆ และเป็นฝาปิดกล่องเก็บของส่วนตัวได้ในตัว แถมมี ช่องวางแก้วน้่ำ 2 ตำแหน่ง ที่ออกจะใช้งานยากสักนิด
ตอนที่จะดึงออกมาใช้หนะ ไม่เท่าไหร่ แค่กดลงไป ก็เด้งออกมา แต่ตอนพับเก็บเนี่ย ลำบากนิดนึง พื้นที่เหนือ
ศีรษะ ไม่มีปัญหา สำหรับคนที่ตัวสูง ไม่เกิน 180 – 185 เซ็นติเมตร แต่ถ้าเกินกว่านั้น ควรมาลองนั่งก่อน เพื่อให้
ชัวร์ว่าหัวของคุณไม่ติดเพดาน

เบาะรองนั่งด้านหลัง สั้นไปหน่อยสำหรับรถยนต์ระดับผู้บริหารแบบนี้ เป็นปัญหาเดียวกับเบาะนั่งคู่หน้า ผมมองว่า
อยากเห็นเบาะรองนั่งที่ยาวกว่านี้ ทำออกมาให้สมดุลย์ กับพื้นที่วางขา ที่ยาวมหากาฬจนกลายเป็นจุดขายของรถคันนี้
ไปเลย เนื่องจากว่า พื้นที่ความยาวห้องโดยสารนั้น Skoda เคยเคลมว่า Superb ใหม่ มีพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสาร
ด้านหลัง เยอะกว่า mercedes-Benz S-Class รุ่นปัจจุบัน ทั้ง ฐานล้อสั้น และฐานล้อยาว เสียอีกแหนะ! เอางี้เลยเหรอ?

นอกจากนี้ เบาะนั่งด้านหลัง ยังสามารถแยกพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง
แต่ยังไม่ถึงขั้นต่อยอดให้ราบเป็นแนวเดียวกับพื้นห้องสัมภาระไปเลย ได้อย่างมากสุดก็แค่มีแนวเอียงรับให้แค่นั้น

ดูจากรูปลักษณ์ของรถแล้ว คุณก็คงคิดว่า นี่มันก็แค่ รถยนต์ Sedan จากยุโรปคันหนึ่ง แต่ Superb มีบางสิ่งที่ผิดไป
จากรถยนต์นั่งธรรมดาทั่วไป….และคุณจะเริ่มเห็นความแตกต่างนี้ ต่อเมื่อ คุณคิดจะเดินมาเปิดฝากระโปรงหลัง….

เพราะว่า ฝาประตูห้องเก็บสัมภาระของ Superb ใหม่ ถูกออกแบบในลักษณะที่เรียกว่า Twin Doors ซึ่งจะทำให้
สามารถเปิดใช้งานได้ ทั้งแค่เฉพาะพื้นที่ในส่วนฝาประตูห้องเก็บของแบบปกติ อย่างที่เห็นอยู่ในภาพข้างบนนี้…

หรือ สามารถเปิดยกขึ้นไปได้แบบรถยนต์ท้ายลาด Fastback / Liftback ในสมัยก่อน กันได้แบบในภาพข้างล่างนี้

เคล็ดลับอยู่ที่การออกแบบระบบกลไกไฟฟ้าและตัวบานประตูขนาดใหญ่ ให้สามารถติดตั้งซ้อนกันได้ ซึ่งไม่ใช่
เรื่องง่ายนัก แต่ทีมวิศวกร ที่ Mlada Bolslav เขาก็ทำออกมาให้คุณใช้งานได้สะดวกๆ วิธีเปิดฝากระโปรงหลังนั้น
มี 2 วิธี ถ้าคุณต้องการแค่ยัดข้าวของเข้าไปท้ายรถ ก็แค่เอื้อมมือล้วงลงไป ที่ฝากระโปรงหลัง ใต้ป้ายชื่อรุ่น Superb
นั่นละ ตำแหน่งนั้นเลย จะมีสวิชต์ไฟฟ้าอยู่ กดเยข้าไป แค่นั้น ฝากระโปรงหลังก็จะยกขึ้นเฉพาะส่วนที่เป็นชิ้น
ตัวถังเหล็ก…

แต่ถ้าต้องการเปิดยกขึ้นทั้งบาน รวมทั้งกระจกบังลมหลังด้วยนั้น ให้คุณ ล้วงมือสอดเข้าไปในตำแหน่งขวามือ
จากสวิชต์กดปลดล็อกฝากระโปรงหลัง ตัวแรก ไปอีกเล็กน้อย จะพบสวิชต์อีกชุดหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ปลดล็อกชุด
บานฝาหลังทั้งหมด กดเข้าไป รอจนกว่า ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ด้านบนกระจกบังลมหลัง จะกระพริบ
แสดงว่า เรียบร้อย ให้ย้อนกลับมา ล้วงมือสอดเข้าไป กดปุ่มปลดล็อกฝากระโปรงหลัง ที่ตำแหน่งตรงกลาง ใต้
คำว่า Superb เพียงแค่นั้น ฝากระโปรงหลัง รวมทั้งกระจกบังลมหลัง จะยกขึ้นได้ง่าย ทั้งบาน แบบเดียวกับ
รถยนต์ Liftback เลยทีเดียว!

เหตุผลที่ต้องทำฝากระโปรงหลังแบบนี้ ก็เพราะว่า จะได้สะดวกต่อการใส่ข้าวของที่มีความกว้าง มากกว่าช่องทาง
ปกติ แบบเดิมๆทั่วไปจะทำได้ง่ายนัก เช่นถุงกอล์ฟ กระเป๋าเดินทางขนาดยักษ์ ฯลฯ ลงไปในห้องเก็บสัมภาระ
ด้านท้ายมีความจุเพิ่มขึ้นจากรถรุ่นเดิม อีก 85 ลิตร เป็น 565 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน ได้สะดวกสบายขึ้น
ซึ่งแน่นอนว่า ขนาดของพื้นที่เก็บของด้านหลังใหญ่โตมาก ขนาดที่ ตาหน่อย เว็บ MXphone.com ของพวกเรา
ยังลงไปนั่งขัดสมาธิแบบนี้ได้เลย!!

บอกกันก่อนว่า แม้หลายคน อาจจะคิดว่าเคยเห็นบานประตูแบบนี้มาแล้วใน Daihatsu Applause รุ่นปี 1989 – 1999
(ที่เคยถูกส่งเข้ามาขายในบ้านเราช่วงปี 1993 – 1995) แต่ ยืนยันว่า ไม่เหมือนกัน เพราะบานประตูของ Applause
เป็นแบบยกขึ้นไปจนสุด ได้เพียงชิ้นเดียว เพียงแต่ว่า บั้นท้ายมาในสไตล์ Sedan ทั่วไป ไม่ใช่รถท้ายลาด แต่สำหรับ
Superb นั้น เป็นรถยนต์ Sedan ที่ถูกออกแบบให้ฝากระโปรงหลัง เปิดได้ 2 จังหวะ แบบนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นการพัฒนา

แล้วเราจะได้เห็นบานประตูหลังแบบนี้ ในรถยนต์คันอื่นจากกลุ่ม Volkswagen / Audi / Seat และคู่แข่งหรือไม่?
Eckhard Scholz กรรมการบริหารของ Skoda ผู้ซึ่งรับผิดชอบดูแลงานด้าน Technical development กล่าวไว้ในงาน
เปิดตัว ที่ Geneva Motor Show 2008 ว่า “เราไม่คิด และไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ระบบ Twindoor เป็นจุดขาย
ที่โดดเด่นและแตกต่างของ Superb ใหม่ ดังนั้น เราจะไม่ยอมให้ระบบของเรา ถูกนำไปใช้กับรถยนต์รุ่นอื่นๆ
ในเครือของเรา หรือแม้กระทั่งคู่แข่งของเราอย่างแน่นอน”

ลุงเค้ายืนยันเป็นมั่นเหมาะ และอย่างแข็งกร้าวขนาดนี้ ก็คงต้องเป็นไปตามนั้นแหละครับ

เมื่อยกพื้นปูห้องเก็บของขึ้นมา จะพบว่า มียางอะไหล่ พร้อมโฟมที่ออกแบบเป็นช่องใส่เครื่องมือประจำรถ
ติดตั้งมาให้เรียบร้อย เสร็จสรรพ ยางอะไหล่ เป็นแบบมาตรฐานของ Skoda แต่ทำหน้าที่แค่เป็นยางอะไหล่
อย่างแท้จริง ไม่มีล้ออัลลอยแต่อย่างใด

เอาละ ได้เวลาขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับกันแล้ว การติดเครื่องยนต์ ยังคงต้องใช้วิธีการเสียบรีโมทกุญแจ
เข้าไปที่ช่องเสียบ บริเวณคอพวงมาลัย แล้วบิดไปทางขวา เพื่อติดเครื่องยนต์ เหมือนรถยนต์ทั่วๆไป ซึ่งผมว่า
น่าจะมีระบบ Push Start มาให้ได้แล้ว สำหรับรถยนต์ราคาระดับนี้

แผงหน้าปัด มาในสไตล์ ที่เห็นแล้ว ชวนให้นึกถึง แผงหน้าปัดของ Volkswagen Passat รุ่นปัจจุบัน ที่ใกล้จะตกรุ่น
และยังไม่มีเข้ามาขายในบ้านเราอย่างเป็นทางการ (แต่มีใครก็ไม่รู้สั่งเข้ามาวิ่งเล่นใช้งานให้ผมบังเอิญไปพบเห็นอยู่)
การจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ทำได้เรียบร้อย เรียบง่าย สะอาดตา ไม่รก ไม่เลอะเทอะ วางเลย์เอาท์ กันแบบพื้นฐาน เพียงแต่
สวิชต์ เครื่องปรับอากาศ จะอยู่เตี้ยไปสักหน่อยก็เท่านั้นเอง และ…Superb ก็เป็นรถยุโรปอีกรุ่นหนึ่ง ที่แม้จะย้ายฝั่ง
พวงมาลัยมาให้เป็นด้านขวาแล้ว ทว่า ยังไม่ย้ายคันเบรกมือให้มาใกล้คนขับด้วย แต่ประการใด

Superb คันนี้ ตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยสีดำ เป็นหลัก และประดับตกแต่ง Trim ด้วย ลายสีเงิน และโครเมียม
ทำให้รถดูมีระดับขึ้นมากว่ารถรุ่นปกติของ Skoda พอสมควรเลยทีเดียว มองขึ้นไปด้านบน เพดาน และเสาหลังคา
บุด้วยผ้า ทำให้ดูมีระดับ และใช้โทรสีสว่าง ทำให้ผ่อนคลายมากขึ้น แผงบังแดด มีกระจกแต่งหน้า พร้อมไฟส่องสว่าง
มาให้ทั้ง 2 ฝั่ง มีช่องเก็บแว่นตา และไฟอ่านแผนที่ด้านหน้ามาให้ 2 ฝั่ง ตามธรรมเนียมของรถยนต์สมัยนี้  

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน อันที่จริง พวกเขา เล่นยกพวงมาลัยของ Yeti มาทั้งดุ้น แล้วดัดแปลงให้มีช่องสำหรับติดตั้ง
ชุดสวิชต์ ระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control และสวิชต์ ชุดควบคุมเครื่องเสียง รวมทั้งรับหรือวางสายโทรศัพท์
มาให้ การปรับตำแหน่ง ทำได้ ทั้งปรับระดับสูง – ต่ำ และระยะใกล้ -ไกล ด้วยก้านโยก ใต้คอพวงมาลัย ยังเป็นระบบ
อัตโนมือ มิใช่อัตโนมัติด้วยไฟฟ้าแต่อย่างใด ซึ่งจะว่าไป ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว

กระจกหน้าต่างเป็นเปิด – ปิด ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ทั้ง 4 บาน และเป็นแบบ One Touch ทั้งหมด ไม่ว่าจะเลื่อนขึ้น หรือ ลง
กระจกมองข้าง ปรับด้วยสวิชต์ไฟฟ้า และพับได้ด้วยการกดสวิชต์วงกลมลงมา นั่นละครับ เหมือนๆกับที่คุณคุ้นเคยใน
Volkswagen หรือ Audi หลายๆรุ่น ด้านข้างพวงมาลัย ฝั่งขวา ใต้ช่องแอร์ มีสวิชต์ ปรับความสว่างของชุดมาตรวัดมาให้
สวิชต์ ปลดหรือสั่งล็อกประตู อยู่ติดกับมือจับเปิดประตูฝั่งคนขับ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมกับรถสมัยใหม่

ก้านสวิชต์ไฟเลี้ยว และไฟสูง อยู่ฝั่งซ้าย ส่วน ก้านสวิชต์ใบปัดน้ำฝน มีระบบ Rain Sensor มาให้ ตั้งสวิชต์เอาไว้ที่โหมดนี้
ใบปัดน้ำฝนคู่หน้า จะทำงานเองทันทีที่ฝนตก และเพิ่ม หรือลดระดับความเร็วในการทำงาน ตามปริมาณน้ำฝนที่เซ็นเซอร์
ตรวจวัดได้เอง

ทันทีที่บิดสวิชต์กุญแจติดเครื่องยนต์ เข็มวัดความเร็วและวัดรอบ จะกวาดไปยังฝั่งขวาสุด 1 ครั้ง แบบเดียวกับ Volkswagen
รุ่นใหม่ๆคันอื่นๆ ไปจนถึง Subaru และ Isuzu D-Max ไฟสัญญาณเตือนต่างๆ จะติดขึ้นมาเพื่อเป็นการตรวจเช็คระบบ
ว่าพร้อมอยู่ในสภาพทำงานหรือไม่ ถ้าพร้อม ก็จะดับลงไปในภายหลัง แต่ถ้าไม่ มันก็จะติดสว่างโล่แบบนั้น

ชุดมาตรวัดของ Superb นั้น ออกแบบเป็น 2 ช่อง เบ้าลึก ล้อมกรอบวงกลมด้วยโครเมียม บอกรายละเอียดค่อนข้างดี มี
ไฟเตือนเท่าที่จำเป็น มีเข็มวัดอุณหภูมิความร้อนในระบบหล่อเย็นด้วย อย่างไรก็ตาม ตัวอักษรที่เรียงกันในลักษณะ
ขนานไปกับวงกลมแบบนี้ ทำให้การอ่านค่าตัวเลข ขณะขับรถใช้ความเร็วสูง ค่อนข้างยากลำบาก ถึงแม้มีการปรับขนาด
Font ตัวเลข ให้สูง และแยกกันกับตัวเลขอื่นๆ ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วก็ตาม หากอ่านเฉพาะมาตรวัดรอบยังไม่ค่อย
เจอปัญหา แต่ถ้าต้องอ่านมาตรวัดความเร็วด้วยแล้ว ต้องเพ่งอยู่ดี ยิ่งหลังความเร็ว 180 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ขีดวัดระดับ
ความเร็ว จะไม่ได้แบ่งเป็น 5 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่จะแบ่งทีละ 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง เรื่อยไปจนสุดตัวเลข 270 กันเลย
ในช่วงทำท็อปสปีด ถือว่า อ่านลำบากมาก อยากให้ปรับปรุงแก้ไขจุดนี้ด้วย

Superb ทุกคัน มีจอ Multi Information ตรงกลาง ซึ่งทำหน้าที่ได้มากมายหลายหลาก ไม่ใช่แค่บอกอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
อุณหภูมิ เข็มทิศ ความเร็วรถยนต์เป็นตัวเลขดิจิตอล ระยะทางที่น้ำมันในถังยังพอให้แล่นต่อไปได้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
แบบ Real-Time รวมทั้ง Trip Meter สำหรับให้ผู้ขับขี่ จับระยะทางเอาเอง อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง ตั้งความเร็วให้รถแจ้งเตือน
ว่าอย่าขับเร็ว เกินระดับที่ตั้งไว้ อุณหภูมิภายนอกรถ ตำแหน่งเกียร์ นาฬิกา กับระบบเตือนความดันลมยาง Tyre Monitoring
ซึ่งก็ถือว่าเยอะมากแล้ว

ยังไม่พอครับ จอ MFI นี้ยังเป็นได้ทั้ง หน้าปัดชุดเครื่องเสียง เปลี่ยนช่องวิทยุ เปลี่ยนเพลงที่ฟัง หน้าจอโทรศัพท์ Hands Free
ตั้งค่าอุปกรณ์ระบบไฟฟ้า และไฟส่องสว่างในรถ Lightning Assist ได้ตามรูปแบบต่างๆ ตั้งค่า การเปิด – ปิด ทำงานของกระจก
หน้าต่าง และแจ้งเตือนกำหนดนำรถเข้าเช็คระยะที่ศูนย์บริการ นอกจากนี้ ยังเลือกเปลี่ยนหน่วยการวัดอุณหภูมิองศาเซลเซีรยส 
หรือฟาเรนไฮต์และ เปลี่ยนหน่วยวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจาก กิโลเมตร/ลิตร เป็น ลิตร/ 100 กิโลเมตร ได้หมด

สรุปว่า ลูกเล่นหน้าจอตัวนี้ เยอะมาก!

สวิชต์ไฟฉุกเฉิน แม้จะติดตั้งในตำแหน่งที่ถูกต้องก็จริง แต่นั่นก็ทำให้ แนวเส้นสีเงินของ Trim ที่ตกแต่งประดับแผงหน้าปัด
ขาดช่วงขาดตอนไป และ ถ้ามีการถอดเปลี่ยนชุดเครื่องเสียงกัน ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะโอกาสที่จะประกอบกับเข้าไปได้
แต่ไม่สนิทแนบอย่างเดิม ก็อาจเป็นไปได้อยู่

ด้านอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงเริงรมณ์ Superb คันนี้ ติดตั้งชุดเครื่องเสียง รุ่น Columbus ฟังดูชื่อแล้ว ชวนให้นึกเคลิ้มไปว่า
เรานี่หนอ ช่างไม่ต่างจาก Christopher Columbus กันเลยทีเดียว ทั้งที่ความจริงแล้ว มันก็คือชุดเครื่องเสียงแบบเดียวกับที่
คุณจะพบได้ใน Golf GTi Scirocco และรวมเลยเถิดไปถึง All New Beetle ใหม่ ที่เพิ่งคลอดออกมา เมื่อเดือนที่แล้วหมาดๆ
นั่นเอง! ก็เทียบได้กับเครื่องเสียงรุ่น RCD-510 นั่นเอง

เหตุที่ Skoda เขาตั้งชื่อว่า Columbus เพราะว่า นอกจากจะมีทั้ง วิทยุ AM / FM พร้อมเครื่องเล่น CD / MP3 6 แผ่นแบบ Built-in
มีช่องเสียบ AUX แยกต่างหาก สำหรับการเสียบเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นเพลง เช่น iPod หรือ เครื่องเล่น MP3 แถมยังสามารถเสียบ
SD Card ได้แล้ว ยังมีระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System ซึ่งใช้แผ่นแผนที่ DVD ควบคู่กัน มาให้ด้วย แถมยัง
มีลำโพงมาให้ มากถึง 10 ชิ้นอีกด้วย

คุณภาพเสียง ยังคงคุณงามความดี ไม่ต่างจากที่เคยได้พบเจอมาใน Golf GTi เลย แทบไม่ต้องไปคิดเปลี่ยน Front ชุดเครื่องเสียง
ให้เสียเงินเล่น เพียงแต่ยังมีบางบุคลิกเสียง ยังมาในแนวเดียวกับเครื่องเสียงของรถยุโรปส่วนใหญ่คือ เสียงเปียโน จะไม่ใส ยังติด
เสียงแนวแข็งๆ ไม่ละมุนมากนัก แต่ภาพรวม ถือว่าทำได้น่าประทับใจมากๆ เหมือนได้กลับมาพบเจอเพื่อนเก่ากันเลยทีเดียว เพราะ
เมื่อครั้งที่ผมเขียนรีวิว Golf GTi ไปนั้น ผมพุดถึงชุดเครื่องเสียงตัวนี้เอาไว้ว่า “เป็นเครื่องเสียงติดรถยนต์ากโรงงาน ที่ผมชอบที่สุด
ชุดหนึ่ง เป็นรองก็แค่ Mark Levinson ใน Lexus LS460L บรรดาตระกูล Volvo รุ่นที่ติดตั้งระบบ Premium Sound System และ
ดูเหมือนจะแค่นั้น!”

วันนี้ ผมก็จะยังยืนยันความเห็นเดิมครับ แม้ว่ามันจะถูกนำมาติดตั้งใน Superb ซึ่งมีห้องโดยสารใหญ่กว่าก็ตาม

ปัญหาสำหรับรถคันที่เราทดลองขับนี้ มีอยู่นิดหน่อย พอติดเครื่องยนต์ เปิดเครื่องเสียงปุ๊บ “ชิบหายยยย ภาษาเยอรมัน!!”
ปกติ รถยนต์เวอร์ชันส่งออก เขามักมาพร้อมเมนูภาษาอังกฤษ หรือไม่ก็ต้องมี Mode เลือกภาษามาให้ แต่นี่ ผมหาไม่เจอ
ถ้าเป็นภาษาฝรั่งเศส หรือญี่ปุ่น ข้าพเจ้ายังพอดำน้ำบุ๋งๆ ถูๆ ไถๆ ตามประสาคนที่เคยเรียนเอาไว้ให้พอกระดิกหูอยู่บ้าง
แต่พอเป็นภาษา Deutche มา เล่นเอาผม ยกมือไหว้ สวัสดี ข้าน้อยขอกราบลาแทบไม่ทัน จบข่าวกรมประชาสัมพันธ์กัน
เลยทีเดียว!

คุณโตกับคุณตี้ บอกว่า สำหรับรถคันนี้ เขากำลังสั่ง CD Upgrade ระบบมาอยู่ ส่วนระบบนำทางนั้น คุณพี่อัครินทร์ อดีต
นักข่าว นสพ.ผู้จัดการ (ซึ่งตอนนี้ ย้ายไปอยู่ที่ใหม่แล้วละครับ แต่ขออภัยจริงๆ คือจำไม่ได้ว่า ที่ใหม่ที่พี่เขาไปทำงานด้วย
คือที่ไหน) ยืนยันว่า ถ้ามีแผ่นแผนที่ประเทศไทย ก็สามารถเสียบเข้าไปใช้งานได้ มันก็จะแสดงแผนที่ขึ้นมา พร้อมกับ
ภาษาประหลาดๆ ของมันนิดหน่อย..ข้อนี้ ผมไม่ขอยินยันนะครับ ฟังเขาเล่ามาอีกที คุณผู้อ่านที่ถอยรถรุ่นนี้ไปใช้แล้ว
มาช่วยอัพเดทให้เราได้ทราบกันก็จะขอบคุณมากๆครับ

เครื่องปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ Climatronics จาก Volkswagen แยกฝั่งซ้าย-ขวา (หรือแอร์ออโต้ฯ นั่นเอง) แม้ว่า
ชุดสวิชต์จะมีหน้าตา เหมือนกับใน Golf GTi เป๊ะๆ แต่การเลือกใช้โทนสี เพื่อให้เรืองแสงในยามค่ำคืนนั้น ต่างกัน
Golf GTi ใช้สีเหลืองอำพัน แต่ Skoda ทุกคัน ทุกรุ่น ที่ติดตั้งระบบ Climatronic จะใช้โทนสีเขียวอ่อนๆ และแสดงผล
การทำงาน บนหน้าจอมอนิเตอร์ของชุดเครื่องเสียงให้อีกด้วย เพื่อช่วยลดการละสายตาของผู้ขับขี่ จากถนน ลงมาหา
ตำแหน่งสวิชต์แอร์ ซึ่งติดตั้งอยู่ซะต่ำเตี้ยเรี่ยคอนโซลไปสักหน่อย อย่างไรก็ตาม แอร์ของ Superb นั้น เย็นเร็วใช้ได้
สำหรับสภาพอากาศร้อนพิกลๆ มาพร้อมฝนแบบแปลกๆ อย่างบ้านเรา ถัดลงไป เป็นช่องเขี่ยบุหรี่ พร้อมช่องจุดบุหรี่
แบบมีฝาเลื่อนเปิด – ปิด ตกแต่งมาดี

ลิ้นชักเก็บของ บนแผงหน้าปัดฝั่งซ้าย มีขนาดใหญ่พอประมาณ วางคู่มือประจำรถพร้อมซองใส่เอกสารประกันภัย
ได้แบบพอดีๆ และพอมีพื้นที่เหลือให้วางข้าวของอื่นๆได้อีกนิดหน่อย มีสวิชต์ สั่งเปิด – ปิด การทำงานของ ถุงลม
นิรภัยสำหรับผู้โดยสารฝั่งซ้าย ด้านหน้า มาให้จากโรงงาน และม่ีตาข่ายใส่ของมาให้ด้านข้างแบบเดียวกับ BMW

ด้านข้างคนขับ และผู้โดยสารตอนหน้า มีกล่องเก็บของ ขนาดพอประมาณ พร้อมช่องเสียบ AUX มาให้เชื่อมต่อ
กับเครื่องเล่นเพลง MP3 หรือ iPod แถมยังมีไฟส่องสว่างยามค่ำคืนสีขาวนวลอีกด้วย ฝาปิดกล่องเป็นแบบปิดไว้
ชั่วคราว และเป็นที่วางแขน ปรับระดับยกขึ้น สูง – ต่ำได้ ในตัว อีกทั้งยังเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลังได้อีกด้วย และ
มีช่องวางแก้วน้ำมาให้ 2 ตำแหน่ง พร้อมแผ่นยางกันลื่นจากโรงงาน

เหนือสิ่งอื่นใด Skoda Superb เวอร์ชันไทย ในรุ่นท็อป ถุกติดตั้งระบบ  Parking Assistant หรือระบบช่วยหมุน
พวงมาลัย พร้อมกะระยะเอง ขณะถอยหลังเข้าจอด นับเป็นรถยนต์รุ่นแรกในเมืองไทย ซึ่งมีระดับราคาต่ำกว่า
2 ล้านบาท แล้วมีระบบพิสดารแบบนี้ มาให้จากโรงงาน!

วิธีใช้งานก็คือ หากต้องการจะเข้าจอดในช่องจอดแบบยาวต่อเนื่องกัน หรือ pararell parking เมื่อขับเจอเป้าหมาย
ช่องจอดข้างหน้าแล้ว ให้ชะลอรถ เหยียบเบรก แล้วกดปุ่ม เปิดระบบที่ว่านี้ เป็นปุ่มรูปตัว P กับรุปพวงมาลัย ใน
ปุ่มเดียวกัน ติดตั้งอยู่ข้างคันเกียร์ (ซึ่งควรอยู่ในตำแหน่ง D)

จากนั้น ค่อยๆ ปล่อยเท้าออกจากแป้นเบรก ปล่อยๆให้รถไหลขึ้นไปข้างหน้าช้าๆ เพื่อให้ระบบเซ็นเซอร์ สแกน
ความยาวของช่องจอด โดยผู้ขับขี่จะดูการทำงานได้จากหน้าจอ Multi Informtaion Display ถ้าหน้าจอ ขึ้นช่องว่าง
พร้อมกับลูกศร โค้งชี้ให้ถอยหลังเข้าจอดเมื่อไหร่ หยุดรถ เปลี่ยนเกียร์ถอยหลัง (R) แล้วก็ค่อยๆ ถอนเท้าออกจาก
แป้นเบรก “แต่ยังต้องประคองแป้นเบรกเอาไว้ เพื่อสั่งเบรกรถจนเสร็จสิ้นขั้นตอน”

เมื่อทันทีที่รถเคลื่อนถอยหลัง พวงมาลัย ก็จะเริ่มทำหน้าที่ หมุนเลี้ยวของมันเอง คุณผู้อ่านก็แค่ค่อยๆ เหยียบและ
เลี้ยงแป้นเบรกเอาไว้ เหมือนกับถอยรถเข้าจอดแบบปกติ โดยระบบ Parking Sensors ที่มีมาให้กับรถ ก็จะร้องเตือน
เมื่อระยะห่างจากกันชนหลัง น้อยลงจนเริ่มประชิดกับรถคันข้างหลังมากพอแล้ว คุณก็เหยียบเบรก เพื่อหยุดรถ
แล้วค่อยเปลี่ยนเกียร์ถอยหลังมาเป็นเกียร์ D เพื่อให้รถ ขยับตัวของมันให้พอดีกับช่องจอด เมื่อเรียบร้อยตามที่คุณ
ต้องการแล้ว ก็เหยียบเบรก ปลดเข้าเกียร์ P (Parking) เพื่อจอด แค่นั้นเอง ระบบก็จะยกเลิกการทำงานไป เมื่อทุก
ขั้นตอนเสร็จสมบูรณ์

ระบบนี้ อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ สำหรับรถยนต์บางรุ่นที่ขายกันอยู่ในต่างประเทศเช่น Toyota Prius เวอร์ชันญี่ปุ่น
มีให้เลือกแค่เป็น อุปกรณ์เพิ่มเติม แต่สำหรับเมืองไทย ต้องถือว่า เข้าใจหาจุดเด่นมาสร้างความแตกต่างได้
และกลายเป็นจุดขายอันโดดเด่นเด้งดึ๋งของ Superb เวอร์ชันไทย ไปโดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม ในการใช้งานจริง บอกเลยว่า ผมไม่แน่ใจนัก ว่ามันจะทำงานได้ดีในสภาพการจอดรถ แบบคนไทย
โดยเฉพาะในเขตตัวเมือง ซึ่งมีการจราจรหนาแน่น คุณจำเป็นต้องเคลื่อนรถไปช้าๆ ค่อยๆให้ เซ็นเซอร์ มันกะระยะ
จนได้ระดับที่เหมาะสม ในระหว่างที่คุณอาจโดน Taxi หรือ ตุ๊กๆ บีบแตรไล่ด่าอยู่ข้างหลัง อีกทั้งช่องจอดนั้น ควรจะ
เผื่อระยะห่างจากรถคันข้างหน้า และรถคันข้างหลัง ซึ่งจอดอยู่ก่อนหน้าคุณ มากพอสมควร เผื่อความผิดพลาด หาก
คุณพลั้งเผลอ ลืมนึกไปว่า ต้องเหยียบเบรกให้รถหยุดด้วยตัวคุณเอง อีกทั้งตัวเซ็นเซอร์เอง ก็ยังถือว่า ทำงานได้ ไม่ไว
เท่าที่ควร บางครั้ง มีช่องจอดรออยู่แล้ว เซ็นเวอร์ ก็ยังทำงานแบบง่วงๆ ซื่อบื้อๆ บางทีก็ไม่ทำงานกันดื้อๆ ชวนให้ต้อง
หงุดหงิดจนด่าทอไปก็มี สรุปว่า ใช้งานได้จริง แต่อย่าคาดหวังอะไรกับมันมากนัก ว่าจะทำงานสมบูรณ์ 100 เปอร์เซนต์

ทัศนวิสัยด้านหน้า มองเห็นเส้นทางข้างหน้ารถได้ชัดเจนดี และเห็นฝากระโปรงหน้ารถด้วย ช่วยให้ผู้ขับขี่รุ่นเก่าๆ
ที่ยังคุ้นเคยกับการมองเห็นพื้นที่ส่วนหน้าของรถ เลิกบ่นกันได้อีกต่อไป 

เสาหลังคาด้านหน้าฝั่งขวา A-Pillar อาจมีการบดบังรถที่แล่นสวนมาบนโค้งขวา ของถนนแบบสวนกันเลนเดียว
กระจกมองข้าง มีระบบไล่ฝ้าให้ใช้งานด้วย มองเห็นรถคันข้างหลังชัดเจนดี ไม่หลอกตา แบ่งซีขวา ให้หักเห
ออกไปเล็กน้อย เพื่อให้มองเห็นรถในเลนถัดออกไปอีก

เสาหลังคา A-Pillar ฝั่งซ้าย อาจมีการบดบังรถที่แล่นสวนทางมา ขณะที่คุณกำลังกลับรถเลี้ยวกลับอยู่บ้าง ในบาง
รูปแบบเกาะกลางถนน ถ้าเป็นพื้นที่เปิดดล่ง เช่นการกลับรถ บนถนนศรีนครินทร์ นั่นจะไม่มีปัญหาอะไร แต่
ถ้าเลี้ยวกลับรถ บนถนนพหลโยธิน ช่วงที่มีเสารถไฟฟ้าอยู่ด้วยละก็ อาจมีบางมุมที่บดบังไปบ้างเหมือนกัน
ส่วนกระจกมองข้าง ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ไม่ได้หลอกตาเท่าใดนัก

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลังรถนั้น ต้องทำใจกันไว้เลยว่าจะมองเห็นได้แค่ในระดับหนั่งเท่านั้น เนื่องจากความหนาของ
เสาหลังคาคู่หลัง D-Pillar กับพื้นที่กระจกบังลมหลัง ซึ่งมีน้อย ผสมรวมกันออกมาเป็นอย่างที่เห็น อาจต้องใช้ความ
ระมัดระวังอยู่บ้างขณะเปลี่ยนเลน หรือขับเข้าช่องทางคู่ขนาน บนถนนสายหลักเส้นต่างๆ

********** รายละเอียดด้านวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ในต่างประเทศ Superb ใหม่ จะมีทางเลือกเครื่องยนต์ให้มากถึง 7 แบบ ด้วยกัน โดยแบ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 แบบ
เริ่มจาก 1.4 TSI 125 แรงม้า (PS)  ตามด้วย 1.8 TSI (แบบเดียวกับบ้านเรา) รุ่น 2.0 TSI บล็อกเดียวกับ Golf GTi แต่เป็น
เวอร์ชัน 200 แรงม้า (PS) เหมือน Scirocco และแรงสุดกับขุมพลัง 3.6 FSI 259 แรงม้า (PS) ส่วนเครื่องยนต์ Diesel แบบ
Common Rail Turbocharger Direct Injection พร้อมระบบฟอกไอเสีย DPF (Diesel particular Filter) จะมีให้เลือกทั้งรุ่น
1.6 TDI 104.7 แรงม้า (PS) กับ 2.0 TDI ที่มีทั้งขนาด 140 แรงม้า (PS) และ 170  แรงม้า (PS)

แต่ในช่วงแรกที่ จะทำตลาดในเมืองไทย Superb จะมีเพียงเครื่องยนต์เดียวให้เลือกใช้กันก่อน เป็นรุ่น 1.8 TSI บล็อก
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 82.5 x 84.2 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.6 : 1 มีหน้าตา
ฝาครอบเครื่อง เหมือนๆกับ ใน Golf GTi และ Scirocco ไม่ผิดเพี้ยน! ถ้าพูดกันตรงๆ มันก็คือ เครื่องยนต์ตัวเดียวกันที่คุณ
จะพบได้ ในใต้ฝากระโปรงหน้าของ Audi A4 ใหม่ เวอร์ชันที่ขายในเมืองไทย ณ วันนี้ เป๊ะเลยนั่นแหละ!

เครื่องยนต์บล้อกนี้ ออกสู่ตลาดโลกมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2006 แล้ว มีระบบอัดอากาศ Turbocharger มาพร้อมกับ
Intercooler ซึ่งขอยืนยันว่า “มี” นะครับ เพียงแต่ มาในรูปแบบเดียวกับ Audi และ Volkswagen หลายๆรุ่น คือเป็นแบบ
บางๆ Sandwich Intercooler สอดเสียบไว้ กับ รังผึ้งหม้อน้ำ ติดตั้งชิดกันมาก ต้องถอดเปลือกกันชนหน้า และกระจังหน้า
ออกมาบำรุงรักษากัน ถึงจะเห็นว่า มันมีติดตั้งอยู่จริงๆ

พละกำลังสูงสุด 160 แรงม้า (BHP) หรือ 118 กิโลวัตต์ ที่ 5,500 – 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร
หรือ 25.47 กก.-ม. ที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,800 – 4,500 รอบ/นาที
น้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ คือ เบนซิน 95 และยัง
รองรับ แก็สโซฮอลล์ E10 ได้ รวมทั้งผ่านมาตรฐานมลพิษระดับ Euro-IV มาแล้ว

Superb 1.8 TSI สำหรับเมืองไทย จะใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า เชื่อมเข้ากับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ Dual Clutch
DSG รุ่น DQ200-7F ลูกเดียวกันกับใน Skoda Yeti และ fabia 1.2 ลิตร เวอร์ชันไทยเลยนั่นแหละครับ! มาให้เป็น
อุปกรณ์มาตรฐาน อย่างที่บอกไปแล้วในรีวิว ของ Yetio ก็คือ เกียร์ลูกนี้เริ่มออกสู่ตลาดมาตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2007
โดยนำมาใช้เป็นครั้งแรกกับ Volkswagen Golf และ Golf PLUS เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2008 เราเคยพูดถึงจุดเด่น
ของเกียร์ลูกนี้กันไปแล้ว ในรีวิว Skoda Yeti อีกทั้งประสบการณ์จากใน Golf GTi และ Scirocco ก็ยังช่วยยืนยัน
ให้เราจำได้ ถึงความราบรื่นในการทำงาน เปลี่ยนเกียร์ไม่กระตุก อีกทั้งยังเรียกกำลังออกมาใช้งานได้ดีมากๆ
(เปิดดูได้ในรีวิว ของรถยนต์ทั่ง 3 รุ่นนี้ ในส่วนของ REVIEWS By J!MMY ใน Headlightmag.com)

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จงอย่าแปลกใจ ที่อัตราทดของเกียร์ลูกนี้ จะไม่แตกต่างจาก ใน Yeti 1.2 ลิตร แบบยกกันมาทั้งยวง

เกียร์ 1                3.76
เกียร์ 2                2.27
เกียร์ 3                1.53
เกียร์ 4                1.12
เกียร์ 5                1.18
เกียร์ 6                0.95
เกียร์ 7                0.80
เกียร์ R                4.17
อัตราทดเฟืองท้าย   4.438 / 3.227 / 4.176

ตัวเลขสมรรถนะที่ทางโรงงานระบุมาให้ ก็คือ อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 8.5 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่
220 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ ถ้าเราอยากรุ้ว่าตัวเลขที่ Superb 1.8 TSI คันนี้ จะถามได้ ภายใต้สภาพอากาศและน้ำมันแบบ
เมืองไทยนั้น มีทางเดียวคือ เราต้องทดลองจับเวลากันเอง แน่นอนครับ เราใช้มาตรฐานเดิม นั่นคือใช้เวลากลางคืน เปิดแอร์
นั่ง 2 คน ผมกับ กล้วย BnN น้ำหนักตัวคนขับ 95 กิโลกรัม น้ำหนักของกล้วย 49 กิโลกรัม เปิดไฟหน้า ตัวเลขที่ได้ มีดังต่อไปนี้….

จากตัวเลขที่เราจับเวลามาได้ เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ในพิกัดเดียวกัน รุ่นอื่นๆ จะพบความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เห็นตัวเลขแล้ว
เป็นไงครับ ใคตรจะคิดละว่า เครื่องยนต์แค่ 1.8 ลิตร พอพ่วง Turbocharger เข้าไป แถมด้วยเกียร์ DSG 7 จังหวะ เล่นเอารถที่หนัก
1,523 กิโลกรัม พุ่งพรวด ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ดีที่สุดในกลุ่ม รถยนต์ขนาดกลาง D-Segment เครื่องยนต์ ไม่เกิน
2,500 ซีซี และเป็นเครื่องยนต์เบนซินเพียวๆ ไปเรียบร้อยแล้ว และต่อให้นับรวม Toyota Camry Hybrid เข้าไปด้วย Superb ก็ยัง
ถือว่า ทำตัวเลขในหมวดนี้ ออกมาเป็นที่ 2 ในกลุ่มเดิมอยู่ดี

ส่วนอัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น Superb 1.8 TSI แม้จะเอาชนะ รถยนต์ D-Segment เครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 ซีซี
ได้ทุกคันในตลาด แต่ก้ไม่อาจเอาชนะ รุ่นเครื่องยนต์ 2,400 ซีซี ได้ ซึ่งก็คงไม่น่าแปลกใจนัก และตัวเลขที่ทำออกมาได้นี้ ก็ถือว่า
ดีเกินกว่าคาดหมายไปมากแล้ว และถ้าสังเกตดีๆ ความเร็วสูงสุด 214 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้น ไปเกิดขึ้นที่เกียร์ 6 และมีรถยนต์เพียง
รุ่นเดียวในกลุ่มนี้ ที่เอาชนะ Superb ในหัวข้อนี้ไป ก็คือ Honda Accord 2,400 ซีซี ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเก่า Generation ที่ 7 หรือรุ่น
ล่าสุด Gereration ที่ 8 ซึ่งทำตัวเลขบนมาตรวัดได้สูงกว่ากันนิดหน่อย แต่ความเร็วสูงสุดของรถยนต์ในกลุ่มนี้ ก็ไม่ได้แตกต่าง
อะไรกับรถยนต์ในกลุ่มพิกัดเดียวกันมากมายนัก อยู่ในช่วง 200 – 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ถือว่าเยอะมากพอแล้ว สำหรับถนน
ในเมืองไทย

นิสัยของเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร Turbo บล็อกนี้ จะคล้ายคลึงกับ บุคลิกของ Golf GTi เพียงแต่ว่า ไม่โหดเท่า ไม่ถึงกับร้อนแรงเท่า
คือจะมีพละกำลังมาให้เรียกใช้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่รอบต่ำๆ 1,800 รอบ/นาที จนถึงประมาณ 5,000 รอบ/นาที พอหลังจากนั้น
ก็เริ่มทำความเร็วได้ช้าลงไปสักหน่อย แม้ไม่ถึงกับเหี่ยวปลายอย่างหนัก แต่ก็ไม่ถึงกับไหลลื่นปรู๊ดมากมายนัก ฟังดูเหมือนว่า
ไม่มีอะไรเด่นเท่าไหร่

แต่พอลองขับจริงๆ คุณจะพบเลยว่า แม้แรงดึงจากจุดหยุดนิ่งจะไม่ถึงกับดึงแผ่นหลังของคุณให้ติดพนักพิงเบาะอย่างรุนแรง
ทว่า คุณจะสัมผัสได้ว่า รถมันมีเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะทะยานไปข้างหน้า ใช้คำว่าทะยานดีแล้ว เพราะมันยังไม่ถึงขนาดพุ่งปรู๊ดๆ
แบบที่ Golf GTi หรือ Scirocco เป็นมา ในจังหวะเร่งแซง แค่เหยียบคันเร่งไฟฟ้าลงไป การตอบสนองที่เกิดขึ้น จะฉับไว และ
ทันท่วงทีเหมือน 2 พี่น้องที่เอ่ยนามมาข้างต้น แหงละ เครื่องยนต์ แค่ 1,800 ซีซี พ่วง Turbo ลากรถที่มีน้ำหนัก 1.5 ตัน ด้วย
สมรรถนะที่มีอยู่นี้ ผมถือว่า เพียงพอแล้ว แพถมยังมีช่วงแรงบิดที่กว้างมาก มาเป็น Flat Torque อัตราเร่งแซงมีไว้พร้อมเสมอ
ในยามที่คุณต้องการ เหยียบแค่ครึ่งคันเร่ง หรือ 3 ใน 4 โดยไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ รถก็จะตอบสนองอย่างว่องไว ไม่อืดเลย
สรุปว่า ใครที่ห่วงเรื่องอัตราเร่ง ว่าจะอืดหรือไม่นั้น หายห่วงไปได้เลย มันไม่อืดครับ ทะยานไปอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว แต่
ไม่ถึงกับพุ่งปรู๊ดเป็นธนูอาบยาพิษที่หมายปลิดชีพสังหารนั่นหรอก เอาเป็นว่า มันเป็นรอง Camry Hybrid แค่นิดหน่อยเท่านั้น
ที่เหลือ ชนะชาวบ้านเขาหมด โดยเฉพาะ ถ้าเป็น Accord ก็ ทำใจได้เลยครับ หากไม่ใช่เครื่องนยนต์ V6 3.5 ลิตรแล้วละก็ โดน
Superb แซงไปแบบเชือดนิ่มๆแหงๆ

พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS (Electronics Power steering) มีการ
ปรับตั้งอัตราทดเฟืองพวงมาลัย มาในแนวสปอร์ต ใกล้เคียง Golf GTi และ Scirocco มาก แต่อาจมีความต่างที่ระยะฟรี
ของพวงมาลัยที่มากกว่า ทั้ง 2 คันนิดนึง การปรับตั้งพวงมาลัยมาในลักษณะนี้ ทำให้ Superb กลายเป็นรถที่คล่องแคล่ว
บังคับเลี้ยวได้ กระฉับกระเฉง ในแบบที่ผิดไปจากรถยนต์ Saloon D-Segment ทั่วไปนิดหน่อย น้ำหนักในการหมุน
กำลังดี ไม่ต้องออกแรงมากหรือน้อยเกินไป แม่นยำในระดับที่กำลังดี ไม่น้อยไป และไม่ไวเกินไป ผมมองว่า เซ็ตมา
แบบนี้ ลงตัวแล้ว ไม่ต้องไปแก้ไขอะไรอีกแล้ว

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต พร้อมปีกนกสามเหลี่ยมด้านล่าง และเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลัง
เป็นแบบ 4 Link Multi-Element axle พร้อมแกนยึดตามแนวขวาง และแนวยาว มาพร้อมเหล็กกันโคลงหลัง ซึ่งอันที่จริง
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ควรจะจัดมันเอาไว้ในหมวดช่วงล่างหลังแบบไหนกันดี จะเป็น แม็คเฟอร์สัน ก็เรียกไม่เต็มปาก
จะเป็น Multi-Link ก็ยังไม่ใช่อีก เรียกมันว่า “จับฉ่าย Link” ไปเลยซะดีไหมเนี่ย? ไม่รู้ว่า พวกทีมการตลาด Skoda ใน
เมืองนอกจะต้องตั้งชื่อให้มันเข้าใจยากๆ ไปทำไมกัน

บุคลิกของช่วงล่างรถรุ่นนี้ ถูกเซ็ตมาในแนวกึ่งนุ่ม กึ่งสปอร์ต และแน่น ก็จริง แต่ในช่วงความเร็วต่ำ ขณะขับใช้งานตาม
ตรอกซอกซอย คุณอาจพบเจอความสะเทือน ตึงตังบ้างนิดหน่อย อันมีส่วนมาจาก ล้อ 18 นิ้ว ที่ติดมากับรถคันที่เรานำมา
ลองขับ อยู่บ้าง การผ่านลูกระนาดแต่ละเนิน ยังสัมผัสได้ถึงพื้นผิวถนนที่ส่งเข้ามาจากล้อ ผ่านขึ้นมาถึงพวงมาลัย การซับ
แรงสะเทือนในช่วงความเร็วต่ำๆ  ยังค่อนข้างแข็งกว่า รถยนต์ Saloon ระดับนี้ทั่วไปควรเป็น

แต่พอเข้าสู่ช่วงเดินทางไกล ด้วยความเร็วปกติ ตั้งแต่ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง เรื่อยไปจนถึง 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง บอกเลยว่า
ช่วงล่างของ Superb นั้น ทำงานได้ดีมาก การทรงตัวขณะเข้าโค้งนั้น ก็ทำได้ดี ตัวรถเอียงออกด้านข้างไม่มากไม่น้อยเกินไป
ยิ่งถ้าคุณต้องการเล่นกับโค้งที่อยู่ข้างหน้าด้วยแล้ว ถ้าใช้ความเร็วที่เหมาะสม ไม่มาก ไม่เร็วเกินไปกว่าที่คุณเคยใช้กับรถคันอื่นๆ
คุณก็สามารพ พา Superb เข้าไปในโค้งได้ทันที โดยที่แทบจะไม่ต้องแตะเบรกชะลอรถลงมาก่อนเข้าโค้งด้วยซ้ำ มันเป็นรถที่
แอบจะสนุกกับโค้งอยู่พอสมควร ซึ่งออกจะเป็นเรื่องผิดความคาดหมายของผมไปอีกเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม พอใช้ความเร็วเกิน 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป จนถึงความเร็วสูงสุด 214 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัวรถก็จะมีอาการ
ไปตามสภาพพื้นผิวถนนที่มันแล่นอยู่บ้าง ถ้าพื้นผิวเรียบสนิท แน่นอน รถก็จะพุ่งไปอย่างนิ่ง แต่ถ้าพื้นผิวถนนเป็นปูนซีเมนต์
หรือยางมะตอยที่มีลอนคลื่นหน่อยๆ รถก็จะสะท้อนพื้นผิวขึ้นมาให้รับรู้เหมือนกัน

การที่ระบบกันสะเทือนหลัง มีคานซึ่งทำหน้าที่คล้าย Sub-Frame รูปตัว X ยาวๆ วางในแนวขวาง และยึดชุดปีกนกเอาไว้
ทำให้ การควบคุมอาการไหวซ้าย – ขวา เมื่อต้องลงจากคอสะพาน หรือ ในการเข้าโค้ง ยาวๆ ซึ่งมีพื้นผิวถนนไม่เรียบนัก อาจ
เป็นพื้นปูนซีเมนต์ หรือยางมะตอยที่เป็นลอนคลื่น ทำได้ดีมากๆ และถ้าจะบอกว่า ดีที่สุดในกลุ่ม D-Segment ระดับราคาไม่เกิน
2 ล้านบาท ก็คงพูดได้ค่อนข้างเต็มปาก หากมองแค่เรื่องการทรงตัวและการเกาะถนนในย่านความเร็วเดินทาง และความเร็วสูง
เพียงแต่ ในช่วงความเร็วต่ำ คลานในเมือง อาจจะตึงตังอยู่บ้าง แต่ภาพรวม ถือว่า ตอบสนองได้ดีกว่าและเกาะถนนได้ดีกว่า
ช่วงล่างแนวนุ่มๆ แน่นๆ ของ Nissan Teana ไปจนถึง Honda Accord กับ Toyota Camry ด้วย ผมเริ่มมองว่า แทนที่
ทีมวิศวกร Nissan ซึ่งกำลังทำรถยนต์ Teana รุ่นต่อไป จะเอา Mercedes-Benz E-Class เป็นเป้าหมายในการพัฒนา ผมว่า
เปลี่ยนมาใช้ Skoda Superb และ BMW 5-Series ใหม่เป็น Benchmark แทน จะดีกว่าไหม?

เพราะเมื่อทั้งระบบบังคับเลี้ยว และระบบกันสะเทือน อย่างนี้ มาทำงานด้วยกันในรถรุ่นนี้ ทั้งคู่ต่างช่วยกันทำงาน จนทำให้
Superb กลายเป็นรถยนต์หน้าตาแก่ๆ แต่กลับคล่องตัวมาก มุดได้สนุกสนานกว่าที่คิดไว้เยอะ จนผมแทบจะมองว่า มันคือ
Golf GTi ในเวอร์ชันที่ยาวกว่า และนุ่มกว่ากันนิดหน่อยจริงๆ เป็นคุณลุงที่ เปรี้ยวใช้ได้เลยทีเดียว

ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ เสริมด้วยระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกระทันหัน ABS (Anti-Lock Braking System)
ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronics Brake-Force Distribution) ระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน HBA (Hydraulic
Brake Assist) ระบบป้องกันการลื่นไถล ESP (Electronic Stability Programme) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Anti-Slip
Regulation Traction Control) ตัดการทำงานของเครื่องยนต์ เมื่อล้อหมุนฟรีเกินเหตุ ทำงานร่วมกับระบบ MSR ซึ่งจะช่วย
ทำงานลดแรงบิดเครื่องยนต์เหมือนกัน แต่จะทำงานเมื่อ ต้องเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ บนถนนที่เปียกลื่น เพื่อป้องกันล้อหมุนฟรี
และระบบ Hill Control ช่วยล็อกล้อเอาไว้ 3 วินาที ขณะจอดอยู่บนทางชัน แล้วต้องถอนเท้าออกจากเบรก เพื่อไม่ให้รถไหล

การทำงานของเบรกนั้น ตอบสนองได้ดี แป้นเบรกมาในแนวเดียวกับรถยุโรปทั่วไป ที่อาจจะต้องเหยียบลงไปเกือบครึ่งนึง
จึงจะสัมผัสได้ว่าเบรกทำงาน การหน่วงความเร็วลงมา จากย่านความเร็วสูงทำได้ดี อีกทั้งขณะขับคลานในเมือง ก็ไม่มี
รายการเบรกหัวทิ่มหัวตำ ให้น่ารำคาญใจอย่างที่เราเคยเจอมาใน Golf GTi ภาพรวมของระบบห้ามล้อนั้น ถือว่าหายห่วง
เอาอยู่ และไว้ใจได้ค่อนข้างดี

ด้านความปลอดภัย โครงสร้างตัวถังของ Superb ถุกออกแบบและปรับปรุงให้รองรับและกระจายแรงปะทะ ไปทั่วทั้งคัน
ที่ดีขึ้นกว่ารถรุ่นเดิม มีการนำเหล็กเกรด High-Tensile มาใช้ในการออกแบบพื้นที่ส่วนซึ่งต้องเผชิญหน้ากับแรงปะทะ
มากๆ อย่าง คานกันชนหน้า เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar และเสาหลังคากลาง B-Pillar รวมทั้งแนวโครงสร้างหลังคา และ
คานนิรภัยเสริมในประตูทั้ง 4 บาน ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้าง จากการบิดตัว และแรงสั่นสะเทือน
นอกจากนี้ การนำเหล็กและวัสดุน้ำหนักเบากว่ารุ่นเดิมมาใช้ในรถรุ่นใหม่เยอะขึ้น ทำให้ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากเดิม
ของ Superb ใหม่ จึงมาจาก อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารที่ติดตั้งเพิ่มเข้าไปเป็นหลัก หาได้
เกี่ยวข้องกับโครงสร้างตัวถังไม่

เมื่อเกิดอุบัติเหตุ เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ (Pre-tensioner & Load Limiter) จะรั้งตัวผู้ขับขี่
ไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม ถุงลมนิรภัยของทั้ง 2 รุ่นย่อย มีมาให้ครบทั้ง ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร แต่ในรุ่น Ambiente จะเพิ่ม
ถุงลมนิรภัยด้านข้างเบาะนั่งคู่หน้าทั้ง 2 ฝั่ง ม่านลมนิรภัยสำหรับปกป้องสีรษะของผู้โดยสารทั้งคู่หน้าและด้านหลัง จากการ
ชนด้านข้าง แถมด้วยถุงลมนิรภัยสำหรับหัวเข่า Knee Airbag ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า

อีกทั้งในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ จะมีระบบ Fuel Cut-out ตัดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปในเครื่องยนต์ เพื่อให้เครื่องยนต์ดับ
และทำให้โอกาสเกิดเพลิงไหม้ ลดน้อยลงไปได้ และนั่นเป็นส่วนหนั่ง ที่ทำให้ทาง Euro NCAP หน่วยงานอิสระเพื่อการ
ทดสอบการชนของรถยนต์ทุกรุ่นทุกยี่ห้อที่เข้าไปจำหน่ายในสหภาพยุโรป รายงานไว้เมื่อ 28 พฤษภาคม 2008 ว่า Superb
ผ่านมาตรฐานการทดสอบของพวกเขาไว้ ในระดับ 5 ดาว อันเป็นระดับสูงสุด

รายละเอียดเพิ่มเติมของการทดสอบดังกล่าว หาอ่านกันได้ที่นี่ www.euroncap.com/tests/Skoda_Superb_2008/325.aspx

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

เรายังคงทดลองวัดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ด้วยวิธีการดั้งเดิม คือนำรถไปเติมน้ำมัน Caltex Techron 95 ที่
สถานีบริการน้ำมัน Caltex ถนนพหลโยธิน (ฝั่งตรงข้ามกับ โชว์รูม เบนซ์ราชครู) เนื่องจากรถยนต์ประเภทนี้
ลูกค้าที่จะซื้อไปใช้ส่วนใหญ่ น่าจะอยากรู้เพียงแค่ตัวเลขความประหยัดน้ำมันแบบคร่าวๆ ไม่ได้ซีเรียสมาก
เหมือนรถยนต์ประเภท ECO Car เราจึงไม่เขย่ารถเพื่ออัดกรอกน้ำมันลงไปให้เต็มแน่น เหมือนรถยนต์ปกติ
ทั่วไปที่ใช้เครื่องยนต์พิกัดเดียวกันนี้ แต่จะเติมน้ำมันแค่หัวจ่ายตัด แล้วพอในทันที อีกทั้งเรายังคงใช้น้ำมัน
เบนซิน 95 เป็นมาตรฐานในการทดลอง ตัวเลขที่จะเกิดขึ้น จึงเป็นตัวเลขจ่ำการเติมน้ำมันเบนซิน 95 สำหรับ
น้ำมันแก็สโซฮอล์ 95 นั้น Superb เติมได้นะครับ แต่แค่ระดับ E10 เท่านั้น

เติมน้ำมันเสร็จแล้ว เราเซ็ต 0 บน Trip Meter ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ เบอร์ 1 แล้วออกรถจากปั้ม ก่อนจะเลี้ยว
วกกลับมาเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะจนมาถึงด่านเก็บเงินค่าผ่านทางด่วน พระราม 6 เราขึ้นทางด่วน ขับยาวๆ ไป
จนถึงปลายสุดทางด่วนอุดรรัถยา (เส้นเชียงราก) เลี้ยวกลับ มาขึ้นทางด่วนสายเดิม ขับย้อนกลับมาทางเดิม
รักษาความเร็วที่ระดับ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน ตามมาตรฐานเดิมของเรา

เมื่อถึงทางลงอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้ายเข้าถนนพหลโยธิน มาเลี้ยวกลับอีกครั้ง หน้าโชว์รูมเบนซ์
ราชครู เลี้ยวซ้ายเข้าปั้ม Caltex แห่งเดิม เพื่อกลับไปเติมน้ำมันเบนซิน 95 ที่หัวจ่ายเดิม เติมแค่หัวจ่ายตัด
เหมือนกันเปี๊ยบ

เอาละ ทีนี้มาดูตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ Superb ทำได้ กันดีกว่า
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมดจากมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 91.4 กิโลเมตร

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 5.98 ลิตร

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 15.28  กิโลเมตร/ลิตร

เฮ้ยๆๆๆ เดี๋ยวก่อนๆๆ นี่มันประหยัดเท่ากับ ทั้ง Honda Civic FD 1.8 ลิตร กับ Golf GTi Mk-VI เลยนะ!!!!

กลายเป็นว่า Superb ใหม่ ครองตำแหน่งรถยนต์นั่ง D-Segment ที่ประหยัดสุดในกลุ่ม ที่เราเคยทำการทดลองไปเรียบร้อย
แต่เราคงต้อง นับกันเฉพาะรถที่ยังทำตลาดกันอยู่ในปี 2010 – 2011 นี้เท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ Hyundai Sonata 2.4 ลิตร
โผล่มาด้วยอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 15.7 กิ โลเมตร/ลิตร ซึ่งผมก็ยังแปลกใจจนถึงทุกวันนี้ว่า โผล่มาได้อย่างไรกันหว่า แต่
ในเมื่อ Sonata รุ่นเดิมนั้น เลิกทำตลาดไปนานแล้ว ตำแหน่งแชมป์ในตอนนี้ จึงตกเป็นของ Superb ไปสบายๆ อย่างไม่มี
ใครเทียบได้ง่ายนัก

********** สรุป **********
แรงน้องๆ Golf GTi ประหยัด 15.2 กม./ลิตร ใหญ่โตนั่งสบาย ถอยจอดเองได้ ในราคาเริ่มต้นแค่ 1.79 ล้านบาท!!!

ค่ำวันหนึ่ง ขณะที่ผมเพิ่งอิ่มท้องจากมื้อเย็น กำลังเดินออกมาจาก Foodland มีคุณลุงคนหนึ่ง กำลังยืนด้อมๆ
มองๆ เจ้า Superb คันนี้ ซึ่งจอดอยุ่หน้าทางเข้าของตัวอาคาร Supermarket พอดี เมื่อเดินเข้าไปใกล้ สายตา
ของคุณลุง ก็ละวางจากรถ ขึ้นมามองหน้าผม ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม และผมก็คงจำเป็น
ต้องช่วยให้ลุงหายสงสัยเสียแล้ว

“เปิดดูได้นะครับ”

ยิ้มให้ 1 ครั้ง เพื่อบอกเจตนา รีโมทกุญแจสั่งปลดล็อกประตูรถคันนั้น คุณลุงพยักหน้าให้ผมหนึ่งที ผมเดิน
เข้าไปเปิดประตู รถซีดานคันใหญ่คันนี้ ให้คุณลุงได้ดูใกล้ๆ…..

“นี่รถอะไรหรือ?”
“Skoda ครับ”
“อ๋อ….เอ้อ รถดีนะเนี่ย”
“ครับ”
“ตอนนี้ใครเอาเข้ามาขาย ยนตรกิจหรือเปล่า?”
“เป็นอีกกลุ่มย่อยหนะครับ”
“อ๋อ กลุ่มลีนุตพงษ์เหมือนเดิมใช่ไหม กลุ่มที่ใช้เงินคืนนึงๆ เป็นแสนๆบาทนั่นหนะเหรอ”

(กึ๋ย! เรื่องราวในอดีตยังคงตามมาหลอกหลอนกันถึงวันนี้เลยนะเนี่ย….!?)

“เป็นกลุ่มลูกหลานในตระกูล ที่ยังตั้งใจจะทำตลาดอยู่หนะครับ เขาอยากจะแก้ไขชื่อเสียงแย่ๆ
ในสมัยก่อนให้ดีขึ้นหนะครับ”

“เนี่ย ตอนนี้ผมเองก็ใช้ Peugeot 406 ตัวแรกอยู่เนี่ย รถดีเลยทีเดียว”

พักเดียวหลังจากนั้น คุณลุงก็ลาจากไป ผมพาเจ้า Superb คันนี้ เคลื่อนตัวออกจาก Foodland หันไปมอง
406 สีทองคันนั้น ตัวรถสภาพดีมากๆ จนแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เชื่อว่าคุณลุงก็คงพยายาม
รักษาสภาพของรถเอาไว้อย่างดีแน่ๆ

นั่นเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่ผมพบเจอ ตลอดเวลานานถึง 6 วัน 5 คืน ที่ Skoda Superb คันนี้ มาอยู่ในการดูแลของผม
มีผู้คนจำนวนไม่น้อย ชำเลืองมองรถคันนี้ ขณะแล่นไปบนถนนสายเดียวกันกับพวกเขา บางคนก็มองด้วยสายตา
แปลกๆ เหมือนไม่เคยเห็นรถยนต์ มี 4 ล้อ มาก่อน (แหงละ รถรุ่นนี้เพิ่งเปิดตัวในเมืองไทยไปหมาดๆนี่) บ้างก็
ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด และบ้างก็เดินเข้ามาถามกันดื้อๆเลยก็มี

แสดงให้เห็นแล้วว่า คนไทยจำนวนไม่น้อย ยังพร้อมจะเห็นการกลับมาของรถยนต์ยี่ห้อแปลกๆ ที่พวกเขาอาจจะ
คุ้นเคย หรือไม่คุ้นเลย มาโลดแล่นบนถนนบ้านเรากันอีกครั้ง การที่แบรนด์รถยนต์บางราย เคยหายไปจากเมืองไทย
ก็มิได้หมายความว่า มันจะหมดโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก Hyundai ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ทำให้เราได้เห็นว่า แบรนด์
ที่เคยล้มหายตายจากไปนั้น ถ้าตัวแบรนด์นั้นเอง ยังมีศักยภาพเพียงพอ หรือมีภาพลบในใจผู้บริโภคทั่วไปอยู่ แต่ไม่
มากนัก รวมทั้ง คนที่คิดจะปลุกปล้ำเพื่อปั้นแบรนด์กลับมาใหม่นั้น ต้องรักจริง และทุ่มเทกันทั้งเงินทุนและแรงกาย
แรงใจ อย่างเต็มที่ หากคิดจะให้กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง ขอเพียงแต่ผู้จำหน่ายในบ้านเรา ยืนยันว่า คราวนี้
มาปักหลักระยะยาว ไม่หนีหายไปเสียก่อนเหมือนอดีตที่เคยเป็นมา อีกทั้งราคาอะไหล่ต้องเป็นมิตร และไม่คิดจะ
ค้ายขายเอากำไรจนเกินควร มีช่างซ่อมเก่งๆ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เท่านี้ คนไทยจำนวนไม่น้อย แม้จะไม่ใช่กระแสหลัก 
แต่ผมเชื่อว่า น่าจะพร้อมเปิดใจยอมรับ กับการมาถึงของรถยนต์เหล่านี้

Skoda ถือเป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่เข้าข่ายดังกล่าว เพราะวันนี้ พวกเขา กลับมาขอแจ้งเกิดใหม่อีกครั้งในเมืองไทย
เรียบร้อยแล้ว….มาแบบเรียบง่าย Simply และไม่ให้สุ้มให้เสียงอะไรนัก กลับมาพร้อมรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่เริ่มทะยอย
เข้ามาทำตลาดกันบ้างแล้วเช่น Octavia (ที่ตอนนี้ เงียบไปก่อน) Fabia ใหม่ (พอมียอดขายไปได้เรื่อยๆ) รวมทั้ง
Yeti ที่เราเพิ่งทำรีวิวกันเสร็จเรียบร้อยไปแล้วก่อนหน้านี้ และล่าสุดกับ Superb ซีดานขนาดใหญ่สุดในตระกูล

ถ้าให้มองกันที่ตัวรถ Superb ถือว่า มีดีพอตัวเลยทีเดียว ทั้งในด้านสมรรถนะ ที่ ถือว่า สมตัว แรงกำลังดี ไม่อืดอาด แถมพก
ด้วยความประหยัดน้ำมันชนิดคาดไม่ถึงมาให้ได้เห็นกันอีกด้วย เป็นรถยนต์หน้าตาแก่ๆ แต่ขับสนุกเอาเรื่อง ช่วงล่างแข็ง
ไปนิดในความเร็วต่ำ แต่เฟิรมและมั่นใจได้ในย่านความเร็วสูง มาพร้อมความ
หรูหราเกินคาด ของเล่นที่ติดตั้งมาให้ และวัสดุที่ใช้ในภาพรวมนั้น ชวนให้เกิดคำถามว่า ทุกวันนี้รถยนต์ Premium Brnad
หลายๆค่าย ตั้งค่าตัวรถยนต์ขนาดกลางของตนเอาไว้ แพงเพื่อเอากำไรมากเกินจริงไปหรือเปล่า เพราะสิ่งที่คุณจะได้เห็น
ใน Superb ทั้งหมดนี้ ลองเอาไปแปะตรา Mercedes-Benz หรือ BMW สิครับ ค่าตัวก็จะถูกขยับไปเพิ่มขึ้น จนแตะระดับ
4 ล้านบาท ไปได้ง่ายๆเลยเถอะ! ใครจะไปนึกละว่า คุณจะหาซื้อได้ในราคาแค่นี้…

แต่ข้อด้อย ก็ยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น เบาะรองนั่งทั้งด้านหน้า และเบาะหลัง ที่สั้นเกินไป รถยนต์ระดับนี้ ควรมีเบาะหลังที่
นั่งได้สบายกว่านี้ พนักพิงหลัง ควรจะซัพพอร์ตบริเวณไหล่มากกว่าที่เป็นอยู่ ยังทำได้ไม่ดีพอ การประกอบในบางจุด
ยังมีวัสดุที่พอให้สัมผัสได้ว่า ราคาถูก อยู่บ้าง แม้จะไม่มากนัก และอยุ่ในจุดที่ ถ้าไม่สังเกตจริงๆ จะไม่เห็น เช่น ด้านใต้
ของแผงหน้าปัด ระบบ Parking Assistant ที่เป็นเพียงแค่ของเล่นเอาไว้ช่วยฝึกการบังคับรถเข้าจอด สำหรับพวกมือใหม่
หัดขับ มากกว่าจะใช้งานได้จริงจัง พละกำลังของเครื่องยนต์ แม้จะมีมากเมือ่เทียบกับขนาดของมัน แรงเพียงพอ จน
เหลือเฟือ และตอบสนองดีแล้วก็จริง แต่ถ้าได้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร TSI จาก Golf GTi และ Scirocco มาด้วย ก็จะยิ่งเพิ่ม
ความน่าเป็นเจ้าของมากยิ่งขึ้นไปอีก เช่นเดียวกัน ถ้าทีมวิศวกร skoda สามารถต่อสู้ได้ อยากให้นำเอาช็อกอัพไฟฟ้า ปรับ
ระดับความแข็งหนืดได้ ใน Golf GTi มาใช้กับ Superb เพื่อเป็นอีกจุดขายหนึ่ง ก็น่าจะช่วยตอบโจทย์ คนที่อยากได้ทั้ง
ความนุ่มนวล และความกระด้าง ในช่วงจังหวะเวลาชีวิตที่แตกต่างกัน ตามอารมณ์ ท้ายสุด ก็เห็นจะเป็นเรื่องความน่า
เป็นห่วงในเรื่องบริการหลังการขาย กับจำนวนศูนย์บริการ ซึ่งทุกวันนี้ต้องยอมรับกันตรงๆว่า ยังน้อยอยู่

สารภาพว่า ผมนึกข้อเสียออกได้เพียงเท่านี้จริงๆ และแต่ละข้อ ก็ไม่ได้ถึงกับซีเรียสมากนัก ในมุมมองของผม

ถ้าเปรียบเป็นคน Superb น่าจะเป็น ชายวัย 40 – 45 ปี มีหน้าที่การงานใหญ่โต เป็นหมอ อาจารย์มหาวิทยาลัย หรือ คณะบดี
ที่มีเหตุมีผล เลือกอย่างระมัดระวัง แต่ก็กล้าที่จะเสี่ยงลองผิดลองถูกอยู่ เป็นคนประณีต แอบเจ้าระเบียบ หัวอนุรักษ์นิยม แต่
มีแนวคิดสมัยใหม่ ที่บางครั้งก็ขัดแย้งกันอย่างลงตัว อารมณ์ดี แถมมีอารมณ์ขันกำลังเหมาะ และ Enjoy Life พอประมาณ
เป็นคนประหยัด มัธยัสถ์ แต่ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ที่สำคัญ เป็นคนตรงไปตรงมา ชอบก็บอกชอบ ไม่ชอบ ก็อาจจะมีด่าเหน็บ
ให้เจ็บแสบถึงทรวงอก ทว่า ก็ไม่เกรี้ยวกราดจนฟังแล้วอกอีแป้นจะแตกแต่อย่างใด เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งมีความเป็นตัวของตัวเอง
แต่มีความ Friendly น่าคบหามากพอสมควร

ยิ่งในตอนนี้ ข่าวดีก็คือ ตอนนี้ Skoda จะยังคงยืนหยัดราคาเดิม เหมือนใน Motor Show เอาไว้ สำหรับ Superb นั่นทำให้
ใครก็ตามที่คิดจะซื้อรถยนต์ระดับ D-Segment คงเตรียมคิดหนักกันได้ ว่าจะเลือกคันไหนดี เพราะตัวเลือก 3 รุ่นหลัก กับ
2 ทางเลือกใหม่ แม้ว่า จะเลือกรุ่นไหน ก็ไม่เลวร้ายเลยสักคัน กระนั้น แต่ละรุ่น ต่างก็มีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันไป

Toyota Camry : เจ้าตลาด ดีในเรื่องความไว้ใจได้ของแบรนด์ ศูนย์บริการเพียบ ดีไซน์ลงตัว ขายต่อราคาดีกว่าชาวบ้าน
แต่ด้อยกว่า Toyota รุ่นอื่นๆ ถ้าเทียบเปอร์เซนต์ของราคาที่ตกต่ำลงมาในตลาดมือสอง เครื่องแรงใช้ได้ ประหยัดน้ำมัน
ยิ่งถ้าเป็นรุ่น Hybrid ก็ประหยัดขึ้นอีกหน่อย แถมได้อัตราเร่งดีสุดในกลุ่ม เบาะนั่งสบายกว่าที่คิด แต่ อย่าคาดหวังจาก
พวงมาลัย และช่วงล่างมากนัก เพราะไม่ถึงกับเกาะถนนดีเด่อะไรเมื่อเทียบกับคันอื่นๆ อีกทั้งระบบไฟฟ้า ก็เต็มคันรถ
ในช่วง 5 ปีแรก ไม่น่าห่วง แต่ระยะยาว ไม่แน่ใจ

Honda Accord : เด่นที่การบังคับเลี้ยวของพวงมาลัย และช่วงล่างที่มาในแนวแข็งนิดนึง เอาใจคนชอบขับรถ (แต่ก็
นุ่มกว่ารุ่นเดิม ในทางขรุขระนิดหน่อย) เครื่องยนต์ ไม่แรงเท่าชาวบ้าน แต่ก็กินน้ำมันไม่หนี Camry 2.4 ตำแหน่ง
นั่งขับ ถูกสรีระที่สุด แต่เบาะก็แข็งที่สุด ปุ่มบนคอนโซลจะเยอะไปไหนกัน? ศูนย์บริการ ดีๆ เริ่มน้อยลง พวก
ซ่อมไม่เป็น ก่อปัญหา เริ่มเพิ่มขึ้น

Nissan Teana : ดีกว่า ทั้ง 2 คันข้างบน ในเรื่อง การออกแบบและวัสดุของห้องโดยสาร ที่นั่งสบาย ผ่อนคลาย สุดๆ
เครื่องยนต์ แรง ได้ CVT ช่วย พอให้ประหยัดน้ำมันกว่ารุ่นเดิม แต่ยังไม่ประหยัดเท่าชาวบ้านชาวช่องเขาเท่าไหร่
ชาวงล่างนุ่มสบายสุด แต่แอบมีตึงตังนิดเดียวในบางรุปแบบผิวถนน คุณภาพวัสดุและชิ้นส่วน ดีกว่าเจ้าตลาดทั้ง 2
ศูนย์บริการ ดีปานกลาง ราคาอะไหล่ ถูกบ้าง แพงบ้าง แล้วแต่ชิ้น

Hyundai Sonata ใหม่ เด่นทีรูปลักษณ์ และหลังคา Panoramic Glass Roof  เครื่องแรงพอใช้ได้ ความประหยัดน้ำมัน
ติดอยู่ในกลุ่มผองเพื่อน ดีกว่า Teana พอๆกันกับ Camry และ Accord พวงมาลัยไฟฟ้า ยังต้องปรับปรุงความต่อเนื่อง
ช่วงล่าง มาในแนวนุ่ม แต่ควรเปลี่ยนยางใหม่ให้ดีกว่านี้ ไม่งั้น แอบมีอาการร่อนเล็กๆ ให้เห็นในย่านความเร็วสูง
(ถ้าเปลี่ยนยาง อาการจะหายชัวร์) ศูนย์บริการ น้อย แต่ค่อนข้างดี และยังไม่ได้ยินเสียงบ่น ราคาพอกับ Superb

แต่หากตัดสินใจได้แล้วว่าจะตกร่องปล่องชิ้นกับ Superb เนี่ยแหละ ควรจะเลือกรุ่นย่อยรุ่นไหนดี ระหว่างรุ่น Classic ราคา
1,795,000 บาท  หรือรุ่นท็อป Ambiente 1,980,000 บาท ? (เห็นไหม ราคาเดิม เหมือนใน Motor Show เลย)

มันขึ้นอยู่กับว่า ในฐานะลูกค้า คุณจะมองว่า ถุงลมนิรภัยด้านข้าง (รวมทั้งม่านลมนิรภัย 2 ฝั่ง) และถุงลมนิรภัยสำหรับหัวเข่า
Knee Airbag ทั้งฝั่งผู้โดยสาร และผู้ขับขี่ ระบบช่วยหมุนพวงมาลัย และกำหนดพิกัดถอยเข้าจอด Parking Assist ชุดเครื่องเสียง
พร้อมระบบนำทาง GPS Navigation System แบบ Columbus ระบบ MDI (Mobile Device Interface) เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ
ระบบโทรศัพท์ GSM พร้อม Bluetooth กระจกมองหลังพร้อมระบบตัดแสงอัตโนมัติ ล้ออัลลอย 18 นิ้ว แผงบังแดดที่ประตูหลัง
และกระจกบังลมหลัง แป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift พร้อมพวงมาลัยทรง 3 ก้าน แบบ Multi Function ทั้งหมดนี้ มันจำเป็น
ต่อการดำรงชีวิตของคุณมากน้อยแค่ไหน?

ถ้ามันไม่จำเป็นนัก คุณจ่ายเงินแค่ 1,795,000 บาท แล้วขับรุ่น Classic พร้อมล้ออัลลอย 16 นิ้ว  กับพวงมาลัย 4 ก้านหุ้มหนัง
มีถุงลมนิรภัยมาให้คู่หน้า ออกจากโชว์รูมไปก็ได้ แต่ในเมื่อจะซื้อรถยนต์ระดับนี้แล้วทั้งที การได้อุปกรณ์ครบๆ ตั้งแต่แรก
จากการลงทุนกับรุ่น Ambiente ผมมองว่า มันน่าจะดีกว่าในระยะยาว เว้นเสียแต่ว่า คุณแน่ใจตัวเองแล้ว ว่าไม่ค่อยได้ใช้
อุปกรณ์ในย่อหน้าข้างบนที่ผมเขียนมาให้ดูทั้งหมดนี้จริงๆ

แต่อีกสิ่งที่ผมเชื่อว่า คุณน่าจะยังกังขาในใจ และเป็นประเด็นใหญ่ ที่ทำให้หลายคน ยังไม่กล้าเริ่มต้นกับแบรนด์ Skoda
ในตอนนี้ คือการบริการหลังการขาย ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่า ปริมาณศูนย์บริการยังไม่เยอะ อีกทั้งยังมีผู้คนจำนวนมาก
ติดภาพลักษณ์เก่าๆ ที่กลุ่มยนตรกิจเดิม เคยทำเอาไว้ ซึ่งนั่นคืออดีตที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้

การเปิดโชว์รูม และศูนย์บริการแห่งใหม่ ย่านรามคำแหง ที่จะมีขึ้่นในเร็วๆนี้ นั่นคงพอช่วยลดปัญหาไปได้นิดหน่อย เพราะ
การจะตั้งโชว์รูมกันใหม่ เปิดศูนย์บริการแห่งใหม่ ทั้งที่ยอดขายยังน้อยอยู่อย่างนี้ เป็นการลงทุนที่สูงระดับ 20 – 50 ล้านบาท
ต่อ 1 โชว์รูม (ขอย้ำ แค่โชว์รูมเดียวนะ) และนั่นก็เสี่ยงมากๆ ต้องค่อยๆทำ ค่อยๆ เปิด ตามปริมาณรถที่ขายออกไป มันควรจะ
สมดุลย์กัน ไม่ใช่เปิดศูนย์ฯ มา 10 ที่รวด แต่รถขายไม่ออกเลย แบบนั้นก็เจ๊งสิครับคุณผู้อ่าน ช่างซ่อมที่ไหนจะอยู่ได้ละ?

แต่ขณะเดียวกัน ทีมคุณโต กับคุณตี้เอง ก็เลยพยายามลงมือค่อยๆ ปรับปรุง ในสิ่งที่สามารถแก้ไขได้เลย เช่นเรื่องของราคาอะไหล่
ในการเข้ารับบริการหลังการขาย ซึ่งจะเริ่มเข้าศูนย์ฯ ครั้งแรก เช็คระยะ และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่ 15,000 กิโลเมตร ค่าใช้จ่าย
ที่แพงเกินเหตุ ถูกหั่นออกไป จนตอนนี้ ผมกล้าพูดได้ว่า คุณจะจ่ายเงินในระดับราคาใกล้เคียงกับการนำ Honda Accord หรือ
Nissan Teana เข้าศูนย์บริการครั้งแรก เลยด้วยซ้ำ !! และนั่นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของการปรับปรุงหลายสิ่งอย่างที่คาดว่า จะต้อง
ตามมาในระยะหลายปีหลังจากนี้

——————————————————————-

ทั้งหมดที่คุณได้อ่าน ตั้งแต่ต้นมาจนถึงบรรทัดนี้ มันเต็มไปด้วยสิ่งที่หลายๆคน อาจมองว่า “เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่เชื่อ”
อัดแน่นอยู่เต็มบทความไปหมด ตั้งแต่คุณภาพการประกอบ สมรรถนะการขับขี่ ความประหยัดน้ำมัน ไปจนถึงความ
พยายามในการปรับปรุงบริการหลังการขาย แถมด้วยราคาค่าตัว ที่ถูกมาก เมื่อมองว่า คุณจ่ายแค่ 1.7 – 1.9 ล้านบาท
เพื่อแลกมาด้วย รถยนต์ ซึ่งควรจะมีค่าตัวสูงถึง 4 ล้านบาทกลางๆ หากเป็น Premium Brand เจ้าอื่นๆ จากยุโรปด้วยกัน

ผมไม่อยากจะเชื่อด้วยเหมือนกันว่าวันนี้ Skoda มาไกลจนกำลังจะก้าวสู่การต่อสู้ในสังเวียนระดับสากลอย่างเต็มตัว
ได้เต็มหมัดเต็มเกียรติยศอีกครั้งเสียที ผมได้แต่หวังว่า ฝรั่งมังค่า ใน Volkswagen AG และ Audi AG คงไม่หมั่นไส้
ดาวรุ่งอายุ 100 กว่าปีเศษ จาก สาธารณรัฐเชค ที่พึ่งจะมาจรัสแสง เปล่งประกายกันในตอนนี้ จนเกิดอยากต้อยถ่วง
เตะถีบ สะกัดดาวรุ่ง เราอยากเห็นการเติบโตของ แบรนด์ Skoda ในระดับโลก กันต่อไปนับจากนี้

เพราะ Skoda  เป็นแบรนด์ที่ผมมองเห็นแล้วว่า นี่แหละ คือสิ่งที่ผู้บริโภคมองหาจากรถยนต์ 1 คัน และเราได้แต่หวังว่า
ทีมของ คุณโต กับคุณตี้ จะช่วยกันรดน้่ำ พรวนดิน ให้ต้นไม้สีเขียวต้นนี้ เติบโต งอกงามขึ้นมาในใจของลูกค้าชาวไทย
ให้ได้มากกว่านี้ สักวันหนึ่ง เอาแค่ต้นเดียวพอ ยังไม่ต้องคิดถึงระดับขยายต้นไม้ออกไปเป็นไร่ๆ

สำหรับคุณผู้อ่านทั้งหลาย ผมไม่ขอให้คุณต้องมาเชื่อในสิ่งที่ผมเขียน แต่สิ่งที่ผมอยากเห็นก็คือ เมื่ออ่านบทความนี้จบ
ความสงสัยใคร่รู้ เต็มดวงตาทั้งสองข้าง จนต้องไปติดต่อขอทดลองขับกันที่โชว์รูมตรงสุขุมวิท 62 (ใต้สถานีรถไฟฟ้า
BTS พอดี)

เพียงเพื่อที่คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์แบบที่ผมเจอมาแล้ว
ประสบการณ์ที่ทำให้ผม กลายเป็นอีกคนหนึ่ง ที่กล้าพูดออกมาว่า…

“เนี่ยแหละ Skoda ไม่เชื่อใช่ไหมละ?”

It’s Skoda…HONEST!!

————————————///——————————-

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks
คุณสุวิชชา ลีนุตพงษ์ และคุณกิติพัฒน์ เฉลยทรัพย์
บริษัท ยูโรเปียนออโตโมบิลล์ จำกัด
MTM Thailand (www.mtm-thailand.com)
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

——————————————————————

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพวาด คอมพิวเตอร์กราฟฟิค เป็นของ
Skoda Auto สาธารณรัฐเชค ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใด
หรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
20 พฤษภาคม 2011

Copyright (c) 2011 Text and Pictures
All of Computer Graphic pictures & illustration
is use by permission of  Skoda Auto
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
May 20th,2011

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่

Test drive Video Clip by J!MMY & Commander CHENG , Click Here!