การประกาศผลรางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมสากลหรือ International Engine Of The Year 2009 จัดโดยนิตยสารเทคโนโลยีเครื่องยนต์สากล (Engine Technology International) โดยองค์กร UKIP ผู้จัดกิจกรรมและสื่อเผยแพร่วิชาการเกี่ยวกับเทคโนโลยียานยนต์ทั้งยุคปัจจุบันและอนาคต

จุดมุ่งหมายของงานพุ่งเป้าหมายให้บริษัทรถยนต์ทุกบริษัทตระหนักถึงการผลิตรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าแก่ผู้บริโภคตอบสนองความต้องการของตลาดได้คุ้มค่าโดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่กระแสการลดใช้พลังงานและลดมลพิษยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นไปอีก ดังนั้นคณะกรรมการจึงต้องให้ความสำคัญมากด้วยเช่นกัน

คณะกรรมการ 65 ท่านจาก 32 ประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา,สหราชอาณาจักร,ญี่ปุ่น,อินเดีย,เกาหลี เป็นต้นล้วนมีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเครื่องกลมากจะต้องขับรถยนต์ทุกคันที่บริษัทรถยนต์ส่งเข้าประกวดเพื่อให้คะแนนในแต่ละด้านดังนี้ การตอบสนองการขับขี่,สมรรถนะ,ความประหยัด,ความประณีต และเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเพียงใด

รางวัลเครื่องยนต์แบ่งออกเป็น 12 ประเภทดังนี้
 

รางวัลเครื่องยนต์สากลประจำปี 2009
Volkswagen 1.4 Litre TSI Twincharger (ติดคั้งในรุ่น Volkswagen Golf,Eos,Tiguan,Jetta,Touran,Tiguan และ Seat Ibiza Cupra)

 

 

นี่คือรางวัลใหญ่ที่สุดหากผู้ผลิตรถยนต์รายใดสามารถครองตำแหน่งนี้ได้แสดงว่าตอบโจทย์ของยุคปัจจุบันได้สมบูรณ์แบบแทบทุกด้าน สำหรับปีนี้ Volkswagen คว้ารางวัลนี้ไปครองด้วยเครื่องยนต์ทรงประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่เคยผลิตมากคือเครื่องเบนซิน 1.4 ลิตร TSI Twincharger เขี่ยเครื่องยนต์ของ BMW ที่คว้ารางวัลนี้มา 4 ปีซ้อนทันที

คณะกรรมการลงมติเอกฉันท์ให้354 คะแนนด้วยนวตกรรม TSI Twincharger ทำให้รีดพละกำลังมหาศาลบนความจุกระบอกสูบแค่ 1,400 ซีซีเท่านั้น นี่คือชัยชนะของความพยายามพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายในด้วยการลดขนาดเครื่องยนต์และใส่เทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพสูงสุดแต่ประหยัดน้ำมันและลดมลพิษ ความพยายามเหล่านี้ดูพากเพียรมากกว่าพัฒนาเครื่องยนต์ไฮบริดและรถไฟฟ้าเสียอีก

ความรู้สึกของคณะกรรมการที่มาจากเอเชีย,อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ต่างทึ่งในความสามารถของเครื่องยนต์ตัวนี้จนต้องเอ่ยปากเสียงเดียวกันว่า “รางวัลนี้ติดสินกันง่ายมาก” เพราะเทคโนโลยี TSI นั้นมันยอดเยี่ยมถึงขั้นบางคนเอ่ยปากว่าเครื่อง 1.4 ลิตร TSI รหัส EA411 นี้ทำให้เครื่อง 2.0 TFSI ในค่ายนี้ดูตกยุคไปเลยทีเดียว

ผู้อ่านชาวไทยคงยังไม่รู้พิษสงของเครื่องบล๊อกนี้ผมจึงบอกรายละเอียดพอสังเขปนะครับ เครื่องยนต์นี้เป็นบล๊อก 4 สูบที่ผสานกำลังเทอร์โบชาร์จเจอร์ และซูเปอร์ชาร์จเจอร์ให้กำลังถึง 178 แรงม้า เมื่อคิดเป็นค่าเฉลี่ยแรงม้าต่อ 1 ลิตรประมาณ 127.1 แรงม้า แรงบิดมหาศาลที่ 240 นิวตันเมตรแต่ใช้รอบต่ำมากแค่ 1,500 รอบ/นาทีเท่านั้น แน่นอนว่าเครื่องตัวนี้ให้ความรู้สึกสปอร์ตอย่างเต็มที่

แต่พละกำลังอย่างเดียวคงไม่ใช่โจทย์ตัดสินรางวัลนี้ ความประหยัดน้ำมันและการลดมลภาวะคือโจทย์ข้อสุดท้ายสำคัญมาก ผลปรากฏว่าทำได้ยอดเยี่ยมเสียด้วยต้องขอบคุณเกียร์ DSG ทำให้ปล่อยค่าคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 144 กรัม/กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันหากวางในรุ่น GOLF จะประหยัดมากถึง 19.34 กิโลเมตร/ลิตร

ตารางคะแนน

1. Volkswagen 1.4-litre TSI Twincharger (VW Golf, Golf Variant, Scirocco, Eos, Jetta, Touran, Tiguan, Seat Ibiza Cupra)     354
2. BMW 3-litre DI Twin Turbo (135, 335, X6, Z4, 730)     350
3. Audi 2-litre TFSI (Audi A4, A5, Q5, VW Scirocco, Golf GTI)     220
4. Mercedes-Benz Diesel 2.1-litre (BlueEfficiency C-Class, BlueEfficiency E-Class) 203
5. BMW 4-litre V8 (M3)     203
6. Mercedes-AMG 6.2-litre (CLK, S, SL, CL, CLS, ML)     114
7. BMW-PSA 1.6-litre Turbo (Mini Cooper S, Clubman, Peugeot 207 308, Mini John Cooper Works)     107
8. Toyota 1-litre (Aygo, IQ, Yaris/Vitz, Citroën C1, Peugeot 107, Subaru Justy)     74


รางวัลเครื่องยนต์ใหม่ยอดเยี่ยม
Porsche 3.8-litre flat six (ติดตั้งในรุ่น 911 Carrera S)

คุณงามความดีของเครื่องยนต์ 6 สูบนอน 3.8 ลิตร 385 แรงม้าไม่ใช่เพียงแค่รีดพละกำลังมหาศาลโดยระบบหายใจเอาอากาศด้วยตนเองไร้เทอร์โบ (Naturally Aspirated) ได้อย่างยอดเยี่ยมเท่านั้น นายมาร์ค ดูเนอลูส (Marc Noordeloos) สื่อมวลชนจากนิตยสาร Automobile Magazine ลงมติดว่ายังมีความประหยัดน้ำมันอีกด้วย รวมทั้งการไต่ความเร็วที่สบายกว่าเดิมแทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือเครื่องไร้เทอร์โบ

ความโดดเด่นอยู่ที่การเพิ่มขนาดกระบอกสูบอีก 200 ซีซีเพิ่มพละกำลังได้อีก 30 แรงม้าแต่ลดค่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 15% มีเคล็ดลับเพิ่มเติมอะไรอีก?

Porsche เลือกการจ่ายเชื้อเพลิงแบบฉีดเชื้อเพลิงตรงหรือ Direct Fuel Injection (DFI) ที่นำเทคโนโลยีมาจากเครื่องยนต์ใน Cayenne V-Engine ทำให้การตอบสนองลิ้นปีกผีเสื้อแม่นยำ หมายความว่าอัตราสิ้นเปลืองลดลงอย่างเห็นได้ชัดใช้พลังงานได้คุ้มค่ากว่า

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าเชยชมคือระบบเกียร์ PDK (Porsche Doppelkupplungsgetriebe) คลัตช์คู่ 7 สปีดทำให้การขับขี่สะดวกสบายเหมือนเกียร์อัตโนมัติแต่เร้าใจเหมือนเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์รถแข่ง

ตารางคะแนน

1. Porsche 3.8-litre flat six DI (911)      144
       
2. BMW diesel 3-litre (330d, 730d, 530d, X3, X5)     122
       
3. BMW 4.4-litre DI Turbo (750i, X6)     120
       
4. Jaguar 5-litre V8 Supercharged (XF, XK)     112
       
5. Mercedes-Benz diesel 2.1-litre (BlueEfficiency C-Class, BlueEfficiency E-Class)     107
       
6. Audi 2-litre four-cylinder TFSI (Audi A4, A5, Q7, VW Scirocco, Golf GTI)     107


เครื่องยนต์สีเขียวประจำปี
Volkswagen 1.4 Litre TSI Twincharger (ติดคั้งในรุ่น Volkswagen Golf,Eos,Tiguan,Jetta,Touran,Tiguan และ Seat Ibiza Cupra)

เครื่องยนต์นี้ถือเป็นเกียรติประวัติให้แก่ Volkswagen Group อย่างมากที่ได้รับรางวัลนี้ที่เอาชนะเครื่องยนต์ไฮบริดและเครื่องยนต์ดีเซลในหมวดนี้ได้ทั้ง ๆ ที่เครื่องตนเองเป็นเบนซินสันดาปภายใน  จึงไม่แปลกใจว่าเทรนด์การพัฒนาเครื่องยนต์เบนซินสันดาปภายในขณะนี้จะต้องลดขนาดความจุกระบอกสูบแต่ผนวกเทคโนโลยีที่รีดกำลังได้สุด ๆ เสมือนเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่ามาก

งานวิศวกรรมที่โดดเด่นคือการผนวกเทอร์โบชาร์จและซูเปอร์ชาร์จในเครื่องยนต์ 1.4 ลิตรฉีดเชื้อเพลิงตรง กำลังอัดแรงดันสูง 10 ต่อ 1 ข้อดีของซูเปอร์ชาร์จตัวนี้คือช่วยเพิ่มอัตราความประหยัดแต่ยังมีเรี่ยวแรงการใช้งานในรอบไม่เกิน 2,400 รอบ/นาที

ไฮไลต์เด็ดที่ทำให้ได้รับรางวัลอยู่ที่การลดค่าคาร์บอนไดออกไซด์เหลือแค่ 144 กรัม/กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองสูงสุด 19.34 กิโลเมตร/ลิตรเท่านั้น ชนะเฉือน Honda Hybrid 1.3 IMA ด้วยข้อด้อยเรื่องพละกำลังที่ด้อยกว่ามากแม้จะประหยัดและค่าไอเสียสะอาดกว่าก็ตาม เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้เครื่อง TSI จึงชนะไป

จึงไม่แปลกใจที่ผู้สื่อข่าวยานยนต์อิสระจากนิวซีแลนด์นามว่า ไบรอัน โคแวน (Brian Cowan)ถึงกับเอ่ยปากชมว่า Volkswagen ทำเครื่องยนต์ทั้งแรงและประหยัดไปได้ยังไงกัน?

ตารางคะแนน
1. Volkswagen 1.4-litre TSI Twincharger (VW Golf, Golf Variant, Scirocco, Eos, Jetta, Touran, Tiguan, Seat Ibiza Cupra)      205
       
2. Honda Hybrid 1.3-litre (Insight Civic)     203
       
3. BMW Diesel 2-litre Twin Turbo (123d)     147
       
4. BMW Diesel 3-litre Twin Turbo (335d, 535d, 635d, X3, X5, X6)     133
       
5. Mercedes-Benz Diesel 2.1-litre (BlueEfficiency E-Class, BlueEfficiency C-Class)     115
       
6. Ford Hybrid 2.5-litre (Ford Fusion Hybrid, Mercury Milan)     82


เครื่องยนต์สมรรถสูงประจำปี
Mercedes-AMG 6.2-litre (วางในรุ่น CLK, S, SL, CL, CLS, ML)

เครื่องยนต์ที่อยู่เหนือข้อจำกัดต่างทางด้านวิศวกรรมจะดูน่าสนใจมากประดุจดั่งเครื่อง V8 6.2 ลิตรเครื่องนี้ให้พละกำลังเสมือนสัตว์ผู้หิวกระหายไล่ล่าด้วยความเร็วสูง

นี่คือเครื่องยนต์ V8 ไร้ระบบอัดอากาศใด ๆ ที่ดีและแรงที่สุดในระดับเดียวกันให้พละกำลังถึง 525 แรงม้า แรงบิดมหาศาล 630 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงเพียงแค่ 4.6 วินาทีเท่านั้น

ความน่าแปลกใจอยู่ตรงที่ AMG เลือกใช้ช่างเทคนิคประกอบเครื่องยนต์ 1 คนต่อเครื่องเท่านั้นเพื่อให้ได้เครื่องยนต์ที่สมบูรณ์แบบทรงคุณค่า

ความโดดเด่นของเครื่องนี้สามารถลอกรอบแตะเส้นสีแดงได้สูงสุด 7,200 รอบ/นาทีเคล็ดลับอยู่ที่เครื่องน้ำหนักเบา,เคลือบผนังฝาสูบด้วย LDS ,จัดสรรวาล์วไอดีและไอเสียให้สัมพันธ์กับความเร็วรอบอย่างอิสระ

ความแรงของเครื่องบลีอกนี้ถึงขนาดทำให้ 1 ในคณะกรรมการตัดสินใจปวดเคล็ดที่ลำคอได้

ตารางคะแนน

1. Mercedes-AMG 6.2-litre (CLK, S, SL, CL, CLS, ML)      109
       
2. BMW 5-litre V10 (M5, M6)     90
       
3. Jaguar 5-litre V8 Supercharged (XF, XK)     90
       
4. Porsche 3.8-litre flat six (GT3)     78
       
5. BMW 4-litre V8 (M3)     78
       
6. Ferrari 6-litre V12 (599 GTB)     77
     



เครื่องยนต์ขนาดต่ำกว่า 1 ลิตรประจำปี
Toyota 1-litre three-cylinder (ติดตั้งใน Toyota Aygo, IQ, Yaris/Vitz, Citroën C1, Peugeot 107, Subaru Justy)

รางวัลนี้แทบจะผูกขาดโดย Toyota ไปเสียแล้วเมื่อพวกเขาทำเครื่องยนต์ 3 สูบ 1 ลิตรออกมาได้ยอดเยี่ยมมากแม้ว่าปีที่แล้วจะชนะคู่แข่งอันดับ 2 ไปเพียงแค่ 9 คะแนนเท่านั้นแต่ปีนี้ชนะคู่แข่งก็คือเครื่องดีเซล 799 ซีซี Smart Fortwo มากกว่า 100 คะแนน

คณะกรรมการหลายท่านยกย่องเครื่องตัวนี้ว่าให้กำลังและแรงดึงที่ดีสำหรับการขับในเมือง ขณะที่อัตราสิ้นเปลืองและค่าไอเสียต่ำอย่างเหลือเชื่อ

น้ำหนักเครื่องที่เบามหัศจรรย์แค่ 67 กิโลกรัม นับว่าเบาเป็นลำดับต้น ๆ ของวงการด้วยเคล็ดลับการขึ้นโครงเครื่องยนต์ด้วยอลูมิเนียม,ลดขนาดลูกสูบให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้,โครงลิ้นปีกผีเสื้อและท่อส่งจ่ายน้ำมันทำจากเรซิน

ผลก็คืออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่น่าประทับใจมากแค่ 26.35 กิโลเมตร/ลิตร ค่าไอเสียคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำแค่ 109 กรัม/กิโลเมตร แต่ไม่ประหยัดความแรงเมื่อใช้ในเมือง

ตารางคะแนน

1. Toyota 1-litre three-cylinder (Aygo, IQ, Yaris/Vitz, Citroën C1, Peugeot 107, Subaru Justy)      318
       
2. Smart Diesel 799cc (Smart Fortwo)     216
       
3. Mitsubishi 999cc turbo (Smart Fortwo)     214
       
4. Opel 1-litre three-cylinder twinport (Opel Agila, Corsa,
Suzuki Splash)     149
       
5. Mitsubishi 999cc three-cylinder (Smart Fortwo)     82
       
6. Kia 1-litre four-cylinder (Picanto)     73


เครื่องยนต์ 1 – 1.4 ลิตรประจำปี
Volkswagen 1.4-litre TSI Twincharger (Golf, Golf Variant,
Scirocco, Eos, Jetta, Touran, Tiguan, Seat Ibiza Cupra)

 

เครื่องยนต์ตัวเก่ง 1.4 ลิตร TSI Twincharger ของค่าย Volkswagen ได้รับรางวัลอีกแล้วครับ สำหรับเหตุผลรางวัลในหมวดนี้คือการยกย่องนวตกรรมของพวกเขาที่สามารถลดขนาดเครื่องยนต์ลงได้ความประหยัดเพิ่มขึ้นแต่ประสิทธิภาพเทียบชั้นกับรถขนาดใหญ่ได้

การใช้เทอร์โบชาร์จและซูเปอร์ชาร์จช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนทั้งรอบความเร็วต่ำสมรรถดี ขณะที่การไต่ความเร็วทำได้ไม่แพ้เครื่องยนต์ 2 ลิตรไร้ระบบอัดอากาศใด ๆ อีกด้วย หากใช้ชาร์จเจอร์แค่อย่างใดอย่างหนึ่งไม่อาจทำให้เครื่องนี้ประสบความสำเร็จตามความมุ่งหมายได้

เรื่องของความแรงก็แค่ส่วนหนึ่งแต่อัตราสิ้นเปลือง 19.34 กิโลเมตรต่อลิตร เมื่อเทียบกับเครื่อง 2.0 TFSI (ติดตั้งเทอร์โบอย่างเดียว)ที่ให้พละกำลังไม่ต่างกันแต่สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่าที่ 11.3 กิโลเมตรต่อลิตร

ตารางคะแนน
1. Volkswagen 1.4-litre TSI Twincharger (Golf, Golf Variant,
Scirocco, Eos, Jetta, Touran, Tiguan, Seat Ibiza Cupra)    293
       
2. Volkswagen 1.4-litre TSI Turbo (Golf, Golf Plus, Golf Variant,
Scirocco, Eos, Jetta, Passat, Skoda Octavia, Audi A3,
Seat Leon, Altea, Škoda Superb)    154
       
3. Fiat 1.4-litre Turbo (Fiat Abarth 500, Abarth Grande Punto,
Linea, Bravo, Lancia Delta, Alfa Romeo Mito)     147
       
4. Honda Hybrid 1.3-litre (Insight, Civic)     136
       
5. BMW-PSA 1.4-litre stop/start (Mini One, One Clubman)    83
       
6. Fiat-GM Diesel 1.3-litre (Ford Ka, Fiat 500, Panda, Grande
Punto, Qubo, Linea, Doblo. Musa, Lancia Ypsilon, Opel Agila/Suzuki Splash, Opel Meriva, Tigra, Combo, Corsa, Astra, Suzuki Ignis)     75
 

 

 


รางวัลเครื่องยนต์ 1.4 – 1.8 ลิตรประจำปี
BMW-PSA 1.6-litre Turbo (ติดตั้งใน Mini Cooper S, Clubman, Peugeot 207, 308)

 

 

เครื่องยนต์สองประสานอันเกิดจากความร่วมมือระหว่างกลุ่ม BMW ที่มีแบรนด์ BMW และ Mini ครอบครองและกลุ่ม PSA ที่มีแบรนด์ Peugeot และ Citroen ครอบครองพัฒนาเครื่องยนต์บล๊อกใหม่ 1.6 ลิตร ทดแทนเครื่องรุ่นเก่าที่เริ่มล้าสมัยสู้คู่แข่งไม่ได้อีกทั้งช่วยลดต้นทุนการพัฒนาเครื่องใหม่ได้มาก

หากเครื่องนี้ได้รับรางวัลนี้คงไม่แปลกใจเท่ากับการชนะเครื่องยนต์ไฮบริดของ Prius ใหม่ทั้ง ๆ ที่ Toyota พยายามพัฒนาเครื่องรุ่นใหม่ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ประหยัดมากขึ้นแต่ทำไมไม่ชนะในหมวดนี้
ก็เพราะความยอดเยี่ยมของการเรียกพละกำลังสำหรับการขับขี่แบบสปอร์ต จนไปถึงการขับขี่ในเมืองที่แสนจะสบาย เพิ่มอัตราสิ้นเปลืองและลดค่าไอเสียลงได้มากด้วยเทคโนโลยี start-stop

คณะกรรมการส่วนใหญ่ลงมติว่าเครื่องนี้สร้างสมดุลการขับขี่ความเร็วสูงได้ดีมาก และยังประหยัดน้ำมันอีกต่างหาก แม้ว่าถ้าเทียบกับเครื่องซูเปอร์ชาร์จของ MINI Cooper S รุ่นก่อนสมรรถนะจะด้อยกว่า แต่เมื่อเทียบกับอัตราสิ้นเปลืองแล้วเครื่องใหม่ชนะขาด

เคล็ดลับความสำเร็จนี้คือการใช้วัสดุอัลลอยน้ำหนักเบา ฉีดเชื้อเพลิงตรงพร้อมเทอร์โบชาร์จคู่ แขนกระเดื่องวาล์วออกแบบให้ลดการเสียดสีน้อยที่สุด

หลายคนอาจยังไม่เห็นภาพว่ายอดเยี่ยมอย่างไร ดูแค่แรงบิดมีมากถึง 260 นิวตันเมตรที่เรียกสมรรถนะจัดจ้านรอบต่ำแค่ 1,500 รอบ/นาทีลากจนไปถึง 5,000 รอบ/นาที แต่อัตราสิ้นเปลืองแค่ 17.38 กิโลเมตร/ลิตรเท่านั้นในรุ่นที่ไม่มีระบบ Start-Stop

เครื่องยนต์บล๊อกนี้ทำยอดขายรวมกว่า 150,000 เครื่องนับตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นไป ปีหน้าเครื่องยนต์นี้จะถูกวางใน BMW,Peugeot,Citroen รุ่นใหม่ ๆ รวมถึง Mini Cross รถเอสยูวีครอสโอเวอร์รุ่นใหม่

ตารางคะแนน
1. BMW-PSA 1.6-litre Turbo (Mini Cooper S, Clubman,
Peugeot 207, 308)     253
       
2. Toyota Hybrid 1.8-litre (Prius)     198
       
3. Audi 1.8-litre TFSI (Audi A4, A3, A5, TT, Seat León, Altea,
Toledo, Skoda Octavia, Superb, VW Passat)     184
       
4. Mercedes-Benz 1.8-litre turbo (BlueEfficiency E-Class)     135
       
5. Opel 1.6-litre turbo (Corsa, Astra, Insignia)     59
       
6. Fiat Diesel 1.6-litre JTD (Alfa Romeo Mito, Fiat Bravo,
Lancia Delta)     56


รางวัลเครื่องยนต์ 1.8-2.0 ลิตรประจำปี
Audi 2-litre TFSI (ติดตั้งใน Audi A4, A5, Q5, VW Scirocco, Golf GTI)

 

คุณงามความดีของเครื่องบล๊อกนี้คือเพลาลูกเบี้ยวจะแปรผันเมื่อเพลาข้อเหวี่ยงหมุนตัวที่ 60 องศาผนวกกับระบบยกระยะวาล์วแปรผันฝั่งวาล์วไอเสีย ทำให้ได้แรงบิดโดยรวม 350 นิวตันเมตรที่รอบต่ำแค่ 1,500 รอบ/นาที นี่คือจุดหนึ่งที่คณะกรรมการยอมรับให้คะแนนมาก

การจ่ายเชื้อเพลิงเป็นแบบฉีดตรงความดันสูง 150 บาร์ผนวกกับเทอร์โบชาร์จและอินเตอร์คูลเลอร์ที่น้ำหนักเบาแต่มีประสิทธิภาพสูงสุด

นอกจากพลังที่แรงแล้วความเงียบและนุ่มนวลเป็นจุดเด่นของเครื่องบล๊อกนี้ด้วยการออกแบบบาลานซ์ชาร์ฟคู่รวมทั้งอัตราสิ้นเปลืองที่ 14.7 กิโลเมตร/ลิตร

ตารางคะแนน

1. Audi 2-litre TFSI (Audi A4, A5, Q5, VW Scirocco, Golf GTI)
    220
       
2. BMW Diesel 2-litre Twin Turbo (123d)     190
       
3. Audi 2-litre four-cylinder TFSI (Audi A6, A3, TT, VW Tiguan,
Eos, Jetta, Tiguan, Škoda Octavia, Seat Altea, León, Exeo)
    98
       
4. Mercedes-Benz 1.8-litre BlueEfficiency (E-Class)     96
       
5. Honda 2-litre four-cylinder (S2000)     92
       
6. Subaru Diesel 2-litre (Impreza, Outlook, Forester)     91


รางวัลเครื่องยนต์ 2 – 2.5 ลิตร
Mercedes-Benz Diesel 2.1-litre (ติดตั้งใน BlueEfficiency E-Class,BlueEfficiency C-Class)

 

รางวัลนี้ชิงดำชิงแดงกับเครื่องยนต์ 5 สูบ 2.5 ลิตรเทอร์โบของ Audi ที่ติดตั้งใน TT-RS พอสมควรแต่คณะกรรมการเลือกให้ Mercedes-Benz เป็นผู้ชนะไปเพราะเครื่องให้แรงม้าและสมรรถดีกว่า ประหยัดและมลพิษก็ต่ำกว่าเช่นกัน

เครื่องยนต์ดีเซลที่ชนะปีนี้มีให้เลือกตั้งแต่ 134 , 168 และ 201 แรงม้า หัวฉีดคอมมอนเรลเจเนเรชั่นที่ 4 จากเพียซโซ่แรงดัน 400 บาร์

จุดเด่นที่ได้รางวัลนี้คือเทอร์โบชาร์จแบบ 2 สเตจที่เล็กลงแต่กำลังอัดสูงด้วยรอบหมุนอากาศที่ 215,000 รอบต่อนาทีพร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ขนาดใหญ่กว่าเดิม

ตารางคะแนน
1. Mercedes-Benz Diesel 2.1-litre (BlueEfficiency E-Class,
BlueEfficiency C-Class)     225
       
2. Audi 2.5-litre five-cylinder Turbo (Audi TT RS)     180
       
3. Subaru 2.5-litre flat-four Turbo (Forester, Impreza, Legacy)
    144
       
4. Peugeot-Citroën-Ford Diesel 2.2-litre (Citroën C5, C6, C8, Peugeot 407, 607, 807, Citroën C-Crosser, Land Rover Freelander, Mitsubishi Outlander, Peugeot 4007, Ford Mondeo, S-Max, Galaxy, Jaguar X-Type)     131
       
5. BMW 2.5-litre DI six-cylinder (Z4)     121
       
6. Honda 2.4-litre four-cylinder (Element, CR-V, Edix, Elysion,
Odyssey, Accord/Acura TSX, Accord USA)     84


รางวัลเครื่องยนต์ 2.5 -3 ลิตรประจำปี
BMW 3-litre DI Twin Turbo (135, 335, X6, Z4, 730)

 

เครื่องยนต์บล๊อกนี้เป็น 6 สูบแถวเรียง ติดตั้งเทอร์โบคู่ฝั่งละ 3 สูบทำให้รีดกำลังตีนต้นได้ดี ความเร็วปลายก็ทำได้ดีมากด้วยกำลังสูงสุด 302 แรงม้าที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิด 400 นิวตันเมตร หากติดตั้งใน Z4 ความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงรวดเร็วถึง 5 วินาที

เคล็ดลับที่ทำให้ได้รางวัลนี้คือเทอร์โบชาร์จที่ใช้วัสดุเหล็กพิเศษทนความร้อนสูงถึง 1,050 องศาเซลเซียสโดยไม่จำเป็นต้องระบายความร้อนเท่ากับว่าลดใช้เชื้อเพลิงเพื่อทำหน้าที่ระบายความร้อน ผนวกกับระบบฉีดเชื้อเพลิงตรงแรงดันสูงทำให้ประหยัดน้ำมันขึ้นไปอีก

อัตราสิ้นเปลืองเครื่องนี้หากติดตั้งในรุ่น Z4 sDrive35i ทำได้ 12.7 กิโลเมตร/ลิตร ทดสอบตามมาตรฐานยุโรป หากจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7 สปีดจะยิ่งประหยัดขึ้นไปอีกที่ 13.34 กิโลเมตร/ลิตร

ตารางคะแนน

1. BMW 3-litre DI Twin Turbo (135, 335, X6, Z4, 730)      345
       
2. BMW Diesel 3-litre Twin Turbo (335d, 535d, 635d, X3, X5, X6)     250
       
3. Audi 3-litre DI Supercharged (S4)     125
       
4. Porsche 2.9-litre flat-six DI (Boxster, Cayman)     103
       
5. Audi/VW Diesel 3-litre V6 (A4, A5, A6, A6 allroad, A8, Q7, VW Touareg, Phaeton, Porsche Cayenne)     88
       
6. Jaguar/Ford/PSA Diesel 3-litre (XF)     83



รางวัลเครื่องยนต์ 3-4 ลิตรประจำปี
BMW 4-litre V8 (ติดตั้งในรุ่น M3)

 

เครื่องยนต์บล๊อกนี้ทิ้งขาดคู่แข่งมากกว่า 150 คะแนนด้วยจุดเด่นของมันมากมายเหลือเกินจึงไม่แปลกใจนักที่จะทำได้ ขนาดกรรมการท่านหนึ่งลงความเห็นว่าเครื่องยนต์นี้ทำให้คุณยิ้มได้เมื่อคุณเร่งความเร็วสูง

จุดเด่นของมันคือเครื่อง V8 ที่น้ำหนักเบากว่าเครื่อง 6 สูบแถวเรียง 2 กิโลกรัมแต่ไม่เบาพละกำลังแน่นอน คุณสามารถลากรอบเครื่องไปได้ถึง 8,250 รอบ/นาที แต่ความแรงระดับนี้กับความประหยัดที่สมเหตุสมผลกลับไปด้วยกันได้ด้วยเทอร์โบคู่นั่นเอง

เครื่องยนต์ถูกออกแบบให้ลิ้นปีกผีเสื้ออิสระกันในแต่ละลูกสูบและติดตั้ง Stepper Motor ในแต่ละแถวของลูกสูบอีกด้วยทำให้เรียกสมรรถนะที่ความเร็วต่ำจนถึงฉุดกระชากไปยังความเร็วสูงได้ทันทีจากพละกำลัง 414 แรงม้า ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงแค่ 4.2 วินาที

ตารางคะแนน
1. BMW 4-litre V8 (M3)      319
       
2. Porsche 3.8-litre flat six DI (911)     156
       
3. Porsche 3.8-litre flat six (GT3)     148
       
4. Nissan 3.8-litre Twin Turbo (GT-R)     130
       
5. Porsche 3.4-litre flat-six (Boxster, Cayman S)     83
       
6. Toyota Hybrid 3.5-litre V6 (Lexus GS450h, RX, Toyota Crown)     70



รางวัลเครื่องยนต์มากกว่า 4 ลิตรประจำปี
Mercedes-AMG 6.2-litre (ติดตั้งใน CLK, S, SL, CL, CLS, ML)

เครื่องยนต์ความจุสูง ๆ เริ่มผูกขาดโดย BMW และ Mercedes-Benz เข้าทุกทีเพราะความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 แบรนด์นั้นมีประสบการณ์สูงพอสมควรแต่ใช่ว่าผู้ผลิตรายอื่น ๆ จะไม่สามารถเอาชนะได้หากสร้างสรรค์งานวิศวกรรมเป็นที่ยอมรับได้รางวัลจะตามมาเอง

AMG บริษัทลูกในเครือพัฒนาเครื่องยนต์ตัวนี้ให้มีสมรรถนะที่โดดเด่นมาก ๆ แบบไม่มีใครเทียบ แม้เราจะติดอยู่ในการจราจรติดขัดแต่หากคุณปลีกวิเวกไปยังไฮเวย์แล้วล่ะก็ความน่ากลัวอยู่ตรงที่ความแรงแบบสุด  ๆ ที่ลากรอบจนถึง 7,000 รอบ/นาทีได้

เทคโนโลยีสุดยอดสารพัดชนิดที่ประเคนใส่เครื่องบล๊อกนี้ได้แก่ ระบบแคมชาฟท์แปรผันได้,ลูกสูบลดแรงเสียดสีที่เคลือบ TWAS เป็นต้น และยังปรับจูนสุ้มเสียงให้ฟังเร้าใจอีกด้วย

การประกอบเครื่องยนต์ตัวนี้ยังรักษาจุดเด่นของ AMG ไว้คือให้ช่างเทคนิค 1 คนต่อการประกอบ 1 เครื่องเท่านั้นเพื่อให้ผลงานดีที่สุดจริง ๆ

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงดูน่าสนใจทีเดียวในรุ่น C63 AMG ทำได้ 8.9 กิโลเมตร/ลิตร ปล่อยค่าคาร์บอนไดออกไซด์ 319 กรัม/กิโลเมตร

ตารางคะแนน

1. Mercedes-AMG 6.2-litre (CLK, S, SL, CL, CLS, ML)      162
       
2. BMW 5-litre V10 (M5, M6)     133
       
3. Jaguar 5-litre V8 Supercharged (XF, XK)     120
       
4. BMW 4.4-litre DI Turbo (750i, X6)     114
       
5. Cadillac 6.2-litre V8 Supercharged (CTS-V)     70
       
6. Lexus Hybrid 5-litre V8 (LS600h)     62