เทรนด์การใช้รถยนต์ไร้พลังงานฟอสซิลเริ่มน่าจับตามองมานานมากแล้วในสมัยที่ผู้เกี่ยวข้องหรือผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานโลกได้ทำนายไว้ว่าสักวันหนึ่งวัตถุดิบฟอสซิลใต้พื้นดินเริ่มร่อยหรอลงจนมีวันสูญสลายได้ หากมนุษย์ใช้น้ำมันกันตะบี้ตะบันโดยไม่มีทางออกให้กับโลกนี้เลย

การผลักดันให้มนุษย์ต้องใช้รถยนต์ที่ลดใช้พลังงานจากพลังงานฟอสซิลทั้งหลายควรเป็นหน้าที่ของหน่วยงานหรือผู้อำนานในประเทศนั้น ๆ ร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก ถ้าจะให้ดีควรเป็นผู้ผลิตในประเทศนั้น ๆ เพื่อกำหนดนโยบายร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์น่าจะทำให้ความเปลี่ยนแปลงจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปกลายเป็นรถยนต์ไร้เครื่องสันดาปเป็นไปด้วยความราบรื่น

แต่กลายเป็นว่าผู้ผลิตรถยนต์ต่างหากที่เร่งผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง แทนที่จะเป็นระดับผู้นำประเทศ เข้าใจว่าผู้ผลิตรถยนต์คือต้นสายของความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีตัวจริงและพร้อมที่จะพัฒนารถยนต์แบบไร้เครื่องยนต์สันดาปภายในตามความต้องการของผู้บริโภคได้

ไมว่าใครจะผลักดันหรือผลักเข้ากระตุ้นให้มนุษย์ริเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมให้ไปใช้รถไฟฟ้าก็ผลเป็นผลดีกับโลกเราทั้งนั้น

รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเริ่มเล็งเห็นแล้วว่าประเทศของตนจะมัวแต่พึ่งพาน้ำมันอีกแค่ 10-20 ปีแล้วล่ะก็รับรองว่าคงไม่มีประเทศไหนยอมให้น้ำมันกันแน่นอนจึงไม่น่าแปลกใจว่าพวกเขาถึงเตรียมจัดงบประมาณเพื่อสนับสนุนให้ประชากรอเมริกันหันมาใช้รถไฟฟ้ากันถ้วนหน้า

คณะกรรมการวุฒิสภาที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและแหล่งธรรมชาติวางแผนของบสนับสนุนผลักดันให้รถไฟฟ้าโลดแล่นเต็มถนนอเมริกันถึง 3.6 พันล้านบาท มีระยะเวลาการใช้งบนี้ภายใน 10 ปีเพื่อสนับสนุนการวิจัย, สนับสนุนการลดเว้นค่าใช้จ่ายรถไฟฟ้า, สนับสนุนการวางโครงสร้างสถานี้ชาร์จประจุไฟฟ้า โดยตั้งเป้าหมายสูงสุดว่าภายในปี 2030 จะต้องมีรถไฟฟ้าออกมาวิ่งเต็มถนนอเมริกันถึง 50% กันเลยทีเดียว

ความฝันนี้จะเป็นจริงหรือไม่ก็ต้องรอให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามาอนุมัติเห็นชอบด้วยเช่นกัน ความฝันนี้จึงจะเป็นจริงครับ