ก่อนที่จะอ่านยาวลงไปด้านล่าง ขอบอกท่านผู้อ่านไว้ก่อนว่า This is not a news column
เพราะผมเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะเขียนให้มันแหกคอกออกไปจากข่าวปกติ เพราะรู้ว่า
ยังไงๆแฟนๆ ชาว Honda ก็รอการปรากฏตัวของมันมานานมากแล้ว

หลังจากที่มีรูปออกสื่อ ทั้งรูปสปาย และตัว Concept ที่โชว์มานานนับปี ในที่สุดเราก็จะ
นับถอยหลังสู่การเปิดตัว Honda ขับหน้าที่มีกรงเล็บทรงพลังร้ายกาจที่สุดในรอบหลายปี
ที่ผ่านมา ในงาน Geneva Motorshow ครั้งที่ 85 นี้ ทาง Honda จะได้ฤกษ์เปิดผ้าคลุม
รถตัวแสบของค่ายอย่าง Civic Type-R ที่โปรโมทมานาน…นานจนแอบสงสัยว่าเมื่อไหร่
จะมาจริงๆเสียที อารมณ์คล้ายๆการรอรถบางค่ายที่กว่าจะเปิดตัวก็เอามาวิ่งปิดท้ายเปิดหน้า
ปิดจมูกเปิดปากลากวิ่งจนนักเลงรถแทบจะกราบเท้าบอกพี่..เลิกยั่วผมได้แล้วแล้วพี่ผม
เห็นหมดแล้วยิ่งกว่าฉีกซองมันฝรั่งเลย์เสียอีกนะพี่

Honda Civic Type-R ตัวใหม่นี้ เป็นรถตระกูล R รุ่นแรกของ Honda ที่มีการเผยโฉมตั้งแต่
บอดี้ FN2 ที่ยุโรปในปี 2009 ท่ามกลางวิกฤติการเงินและปัญหาต่างๆที่รุมเร้าเข้ามา บางคน
รู้สึกได้ว่ามนต์ขลังของ Hot Hatch และรถสปอร์ตทางเลือกจากฝั่งญี่ปุ่นได้เริ่มส่อเค้าอ่อนแรง
ลงมาก Honda ซึ่งปกติจะมีตัวแสบอย่าง Civic Type R และ Integra Type R คอยเป็นยาใจ
ให้ชาว VTEC ได้มีรถขับหน้าราคาถูก (ถูกสำหรับผู้อ่านบางท่านแต่แพงมากสำหรับผู้เขียน)
เอาไว้โมดิฟายซิ่งวิ่งไล่กัดรถสปอร์ตรุ่นใหญ่ กลับทยอยตายไปเพราะทนพิษบาดแผลจากการ
อกหักไม่ไหว..อกหัก เพราะผู้บริโภคในวันนี้หันไปหารถเล็กที่ประหยัดน้ำมันอย่าง Jazz หรือไม่ก็
เป็น Cross-over หรือ SUV ไปเลย Civic Type R ปี 2007 จึงต้องถูกพัฒนาอย่างจำกัดด้วย
การนำเอา Civic FD มาทำ ในขณะที่ฝั่งยุโรปก็เอาบอดี้ 3 ประตูมาทำ จากนั้นก็ส่งกลับมาขาย
ที่ญี่ปุ่น ที่ซึ่งมันเองก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เพราะตัวถังป้อมๆของมันกลับหนักกว่า
ตัว FD2R ซีดาน 60 ก.ก. แต่เครื่องยนต์กลับมีแรงม้าน้อยกว่า (201 vs 225PS)

แล้วหลังจากนั้นไม่นาน Honda ก็ไม่มีคำว่า Type-R ในตลาดระดับชนชั้นกลางมาให้เห็นอีก
มีเพียงแค่รุ่น Si ที่จับเครื่อง K24 มาปรับจูนเรียกม้าแล้วขายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแม้จะแรง
แต่ก็ไม่ดุดันพอจะเทียบชั้นกับ R แท้ๆ ได้ ดังนั้น Hot Hatch ฝั่งยุโรปจึงโตวันโตคืน รุกเข้า
ฉกเงินในกระเป๋าวัยแรงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Ford, Volkswagen Group, หรือ Renault
แม้แต่ BMW หรือ Mercedes-Benz ก็ขี่ยานไส้กรอกมือขวาถือหอกมือซ้ายถือเบียร์เข้าสู้ด้วย

แต่วันนี้ สาวก VTEC จะสามารถลุกขึ้นยืนกอดอกก่อนมองไปที่รถเหล่านั้น ก่อนยื่นมือขวา
กวักมือเชื้อเชิญ..มาสิท่าน วันนี้เรามีศัสตราวุธไว้ต่อกรกับท่านแล้ว Civic Type R กลับมา
ของจริงยิ่งกว่าแกนดาล์ฟขี่ม้าขาวมาปรากฏบนยอดเนินเสียอีก แต่ก็อย่างที่เห็นในภาพ
ด้านบนนี้ว่าจากตัว Concept ที่โชว์มาก่อนหน้านี้ กับเวอร์ชั่นขายจริง มีความเปลี่ยนแปลง
ไปพอสมควร ให้สังเกตที่กันชนหน้า กับรูปแบบของไฟท้ายซึ่งน่าเสียดายที่ไฟแบบผนวกตัว
เข้ากับสปอยเลอร์อันแสนเก๋ในตัว Concept กลายเป็นไฟเหมือน Civic Hatchback
ตัวธรรมดาไป

เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร VTEC TURBO ซึ่งไม่ใช่เครื่อง 4 สูบเทอร์โบตัวแรกของ Honda หรอกครับ
เห็นบางที่เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น อาจจะถูก แต่ถ้าคุณนับ Acura เป็น Honda ประเภทนึง
คุณก็ควรรู้จัก Acura RDX เครื่อง K23A1 2.3 ลิตร VTEC Turbo 240 แรงม้ามาก่อน (หัวฉีด
RDX มือสองนี่พวกช่างทำเครื่องจะรู้จักดีทีเดียวแหละ) แต่เครื่องของ Civic Type R 2015 นี้
ต่างกันลิบลิบในเรื่องพลัง หลังจากที่ปล่อยข่าวมาหลายแบบไม่ว่าจะเป็น 330 แรงม้า 300
แรงม้า 280 แรงม้า ท้ายสุด วันนี้ Honda Europe ยืนยันมาแล้วว่าตัวเลขที่แท้จริงคือ
310 PS (305HP) ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 400Nm มาตั้งแต่ 2,500 รอบต่อนาที
มันคือรถแปะป้าย Type R ที่มีแรงเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Honda เลยทีเดียว
พวกเขาเคลมว่า Type R สามารถเร่งาก 0-100 ก.ม./ช.ม. ได้ภายในเวลา 5.7 วินาที และพุ่ง
อย่างลื่นไหลต่อไปจนถึงความเร็วสูงสุด 270 ก.ม./ช.ม.

มันเป็นตัวเลขที่บางคนอาจสงสัยว่าทำไมสูงจัง? WRX STi 300-305 แรงม้านี่กว่าจะเข็นได้
260 นี่ก็นานอยู่ นี่คือพิษสงของการเป็นรถขับหน้าที่จากเครื่องมาเกียร์ แล้วก็เพลาแล้วก็ล้อ
ไม่ต้องเสียแรงไปกับชุดเพลาหลายเส้นแบบรถขับสี่ไงครับ แต่ก็แลกมาซึ่งข้อเสีย คือการ
เอาพลังมหาศาลนั้นลงสู่พื้นด้วย 2 ล้อหน้า แถมเวลาออกตัวน้ำหนักรถยังถูกถ่ายไปด้าน
หลังรถอีก ลองไม่มี Traction Control และไม่ใส่ยาง Semi-slick สิครับ 400Nm ลงล้อหน้านี่
กว่าจะรอยางจับพื้นถนนได้ รถขับสี่ดีดตัวนำขึ้นไปก่อนแล้วในตีนต้น Honda ก็รู้ดีจึงได้ให้
ขนาดล้อยางติดรถมาค่อนข้างโต คือ 235/35 กับแม็กขอบ 19 นิ้วที่สร้างมาเป็นพิเศษให้กับ
รถรุ่นนี้โดยเฉพาะ

ระบบส่งกำลัง ณ วินาทีนี้จะมีเพียงแบบเดียวคือเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ยังไม่มีข่าวว่า
จะทำเกียร์คลัตช์คู่ออกมา ยิ่งเป็น CVT นี่ยิ่งไม่น่าจะเกิด…ไม่เกิดแหละดีแล้ว

ในวันนี้คงยังไม่มีคนไทยคนไหนได้ขับ Type R 2015 แต่ถ้าให้ลองคาดการณ์ดู ลักษณะ
การออกตัวน่าจะคล้ายกับ VW Golf GTi ซึ่งเป็นรถขับหน้าเหมือนกัน หากสามารถตั้งโปรแกรม
Traction Control ให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุด Type R ก็มีสิทธิ์ออกตัวด้วยแรงจีที่สูง
ได้เหมือนกับรถขับหน้าของ VW Group หลายรุ่นซึ่ง Traction Control สามารถจัดการหา
จุดที่หน้ายางมีความเกาะถนนดีที่สุดแล้วสั่งให้รถพุ่งตรงไปได้ไม่สะเปะสะปะ ผมมองว่า
มันเป็นสิ่งที่วิทยาการคอมพิวเตอร์ปัจจุบันสามารถทำได้แล้ว ไม่ใช่ Anti-Skid ที่กวนประสาท
และเฉื่อยเฉิ่มแบบ 20 ปีก่อน

ในเรื่องของช่วงล่างและระบบเบรก แน่นอนว่า Honda ศึกษาคู่แข่งของตัวเองมาดีพอสมควร
จึงไม่ลังเลที่จะให้เบรกของ BREMBO สี่ล้อขนาดใหญ่เท่าจานข้าวทศกัณฑ์มาเป็นอุปกรณ์
มาตรฐาน ช่วงล่างเป็นแบบ Adaptive Damper System ที่สามารถปรับความแข็งหนืดของ
โช้คอัพ 4 กระบอกได้อย่างอิสระขึ้นอยู่กับสภาวะการขับขี่และการทิ้งโค้ง ช่วงล่างหน้าได้รับ
การปรับปรุงให้เป็นแบบ Dual Axis ที่จัดมุมมาเพื่อช่วยลดอาการ Torque Steer (หน้าสะบัด
เวลากดคันเร่งเต็ม) ลงจากเดิม 50% เมื่อเทียบกับช่วงล่างของ Civic รุ่นธรรมดา ช่วงล่างหลัง
เป็นคานบิดทอร์ชั่นบีมรูปตัว H ซึ่งวัสดุที่มาทำตัวคานนั้นจะแข็งแรงกว่า Civic รุ่นปกติ 180%
รองรับการทิ้งตัวรถเช็ด Apex แล้วทำ Rear-wheel hopping ได้อย่างสบาย..แต่ถ้าคว่ำเลย
ก็อีกเรื่องนะ

ระบบบังคับเลี้ยวเป็นพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า Dual Pinion ซึ่งได้รับการปรับเซ็ตให้
มีความไวและความหน่วงมือมากกว่ารุ่นปกติ พร้อมทั้งพยายามไม่กรองเอาสภาพผิวถนน
ออกไปจากชุดพวงมาลัย เพราะในขณะที่รถบ้านนั้นพวงมาลัยยิ่งออกอาการ ชาวบ้านจะยิ่ง
รำคาญ แต่สำหรับรถซิ่ง..ฟีลคือทุกสิ่ง และบางครั้งการขับในโค้งนั้นหากตัวรถเสียการยึดเกาะ
ที่ล้อหน้านั้น พวงมาลัยจะเตือนคนขับได้ก่อนที่จะรู้สึกจากเสียงยางหรือตัวรถเสียอีก

นอกจากนี้แล้ว หากมองทางซ้ายของหน้าปัด จะมีปุ่ม +R ให้เลือก ซึ่งจะว่าไปแล้วมัน
ก็ทำหน้าที่คล้ายๆปุ่ม M ของ BMW นั่นเอง โดยหากผู้ขับกดปุ่มนี้ลงไป สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ

1. คันเร่งจะ Alert ขึ้นกว่าปกติ
2. ECU จะปรับองศาจุดระเบิดและการจ่ายน้ำมันเพื่อเรียงพลังสูงสุด
3. พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าจะหน่วงมือขึ้นและลดการพยายามชดเชยน้ำหนักลง
4. โช้คอัพแต่ละตัวจะถูกปรับให้แข็งขึ้นกว่าปกติ 30%

ดังนั้นหากพิจารณาจากหน่วยก้านโดยรวมของรถ Civic Type R ตัวใหม่นั้นน่าจะสามารถ
ต่อกรกับคู่แข่งได้อย่างสบาย เพราะอย่าง Renault นั้นแม้จะเซ็ตรถมาได้ดี แต่การรับรู้
ของตลาดกับตัวแบรนด์และ After-market support (ของแต่งที่คาดว่าจะมีออกมา) ยังไม่ถือ
ว่าดีเท่า Honda ส่วน Volkswagen นั้น มี Golf GTi Performance Pack ซึ่งมีพลังน้อยกว่า
หรือถ้าไม่เช่นนั้นก็จะต้องเล่น Golf R ที่เป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อไป ในขณะที่ Ford นั้นน่าจะเป็น
คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดเพราะพกพลังมามาก และมีแชสซีส์ที่สร้างมารองรับความมันส์
หลากหลายรูปแบบ มันมีแม้กระทั่ง “Drift Mode” ด้วยซ้ำ

มองจากมุมของคนเล่นรถ ตัวเลขแรงม้าและเบื้องหลังของการพัฒนาอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้
Type R 2015 มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างที่ยังสงสัยอยู่ว่าลูกค้า
กลุ่มเป้าหมายของ Type R นั้นจะมีความเห็นอย่างไร

ข้อแรก แม้ว่าเครื่อง 2.0 ลิตรเทอร์โบตัวนี้จะมีความแรงเป็นอันดับหนึ่งในบรรดา H ตัวแดงๆ
ทั้งหลาย แต่มันก็กลายเป็นเครื่องที่โดนกฎหมายมลภาวะเบี่ยงเบนลักษณะนิสัยให้เป็นไป
ตามกระแสหลัก แต่ก่อนนั้น การได้ขยี้คันเร่งในเครื่อง B16, B18 ฝาแดง หรือเครื่อง K20A
จะนำพาผู้ขับไปพบกับเสียงเครื่องที่บาดใจสุดๆกับรอบเครื่องที่ลากได้ถึง 8,000 หรืออาจจะ
มากกว่านั้นเสียอีกแล้วแต่รุ่น คุณลักษณะที่ดีของเครื่อง NA รอบจัด บวกกับรถเบาๆและ
เกียร์ทดจัดคือความสนุกสนานในการขับบนสนามแข่ง เครื่องยนต์คาดเดาได้ง่าย พลังแรงบิด
ไม่สูงมาก ทำให้ไม่ต้องใช้ล้อและยางขนาดใหญ่มากๆเพื่อรองรับการถ่ายพลังลงพื้น
ในขณะที่รถเทอร์โบขับหน้าจากยุโรปจะมีพลังมามากแล้วใช้เกียร์เจ๋งๆหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์
ควบคุมให้รถไปได้ไว Honda นั้นแทบไม่ต้องมีอะไรมากไปกว่า ABS และการกะจังหวะคันเร่ง
ที่ดี มันคือรถประเภทที่ให้คนขับรถผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจทำ สำหรับบางคนการขับขี่
ที่ท้าทายแบบนี้เรียกรอยยิ้มได้มากกว่าการทำเวลารอบแทร็คได้เร็วที่สุด

และในปี 2015 Civic Type R ที่เคยมีเสน่ห์แบบ NA รอบจัดอย่างนั้นก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็น
พลังมหาศาลภายใต้เรดไลน์ที่ 7,000 มันจะมีสิ่งใดให้ต่างจากคู่แข่ง..เราคงต้องรอดูว่า
วิศวกร Honda จะสามารถใช้ Software แก้ข้อจำกัดทางด้าน Hardware ได้ดีเพียงใด

ข้อที่สองคือข้อจำกัดด้านต้นทุนกับช่วงล่างหลัง แม้ผมจะบอกเสมอว่าการเอาช่วงล่างหลัง
แบบทอร์ชั่นบีมมาใช้กับรถขับหน้านั้นไม่ใช่เรื่องที่เราถึงขนาดต้องปิดถนนประท้วง แต่ก็ปฏิเสธ
ไม่ได้ว่าด้วยความที่คานมันต่อกันจากซ้ายถึงขวา อะไรก็ตามที่กระแทกล้อหลังซ้าย ก็มีสิทธิ์
ที่จะส่งแรงไปถึงด้านขวาเช่นกัน ยิ่งถ้าถนนซ้ายเรียบ ถนนขวาขรุขระแบบนี้ อาการหลังโคลง
ไปตามสภาพถนนเป็นเรื่องที่ต้องพบต้องเจออย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่คือจุดหนึ่งที่ Civic Type R
FN2 เคยโดนนักทดสอบจากยุโรปและญี่ปุ่นตำหนิมาก่อน และพวกนั้นก็คงไม่สบอารมณ์นัก
ที่รุ่นใหม่ก็ยังดำเนินรอยตามรุ่นเดิม แต่ครั้นจะเอ่ยปากสาปแช่งออกไป ก็พบว่ารถ Hot Hatch
ยุโรปอย่าง Renault Megane RS กับ Vauxhall Astra OPC ก็ใช้ช่วงล่างแบบเดียวกันนั่นล่ะ
ส่วน VW นั้น ถ้าเป็น Golf ธรรมดาจะใช้ช่วงล่างทอร์ชั่นบีมในขณะที่รุ่นแรงๆจะใช้แบบอิสระ

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ว่าช่วงล่างหลังจะเป็นอย่างนี้ ผมเชื่อว่าพละกำลังของมันและความ
เป็น Honda ก็ยังมีสิทธิ์ช่วยส่งให้มันเป็นรถที่ได้รับความนิยม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า “ขายให้ใคร”
และ “ตั้งราคาไว้เท่าไหร่” ซึ่งถ้าหาก Honda สามารถใช้แผนการ “แรงม้าต่อยูโร,บาท,ดอลลาร์”
เข้ามาเป็นตัวช่วย ก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจได้เหมือนกัน

สำหรับตลาดประเทศไทยนั้น หากใครก็ตามไปถาม Honda ก็คงไม่ได้คำตอบประเภท
“โอ๊ยมาแน่” อะไรทำนองนี้ แต่ต้องดูราคาต้นทุนจากหน้าโรงงาน และดูว่าเครื่องยนต์ 2.0
เทอร์โบทำอัตราการปล่อยมลภาวะได้ดีเพียงใด หากดีพอกันกับ VW Golf GTi ก็อาจมีสิทธิ์
รับภาษีสรรพสามิตในอัตรา 30-35% ซึ่งฟังดูน่าสน แต่จะมีกี่คนที่ยอมจ่ายเงินเกิน 2 ล้าน
เพื่อ Honda นอกจากคนที่รัก Honda อยู่เต็มหัวใจและมีไฟอยู่เต็มหัวแม่เท้า?

Pan Paitoonpong