เราเคยสังเกตประชากรอินเตอร์เมืองไทยบางคนมักจะคิดว่าบริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่มักจะทำกำไรมหาศาลต่อคันแน่นอน
และพยายามเรียกร้องให้อัดออพชั่นสารพัดนึกเสียดี ๆ แต่ความจริงที่เป็นคู่ขนานกันรถหลาย ๆ รุ่นก็ไม่ได้ทำกำไรมากมาย
ขนาดนั้น หนำซ้ำยังจะเป็นภาระแก่บริษัทอีกด้วย หากบริษัทไหนที่ไม่มีการวางแผนกลยุทธ์ระยะยาวรถรุ่นขาดทุนบางรุ่น
อาจจะต้องมลายหายจากโลกนี้แน่ ๆ

วันนี้ เราจะมาเฉลยความจริงของรถยนต์รุ่นขาดทุนในยุโรปเป็นครั้งแรกที่รับรองว่าคุณผู้อ่านน่าจะอึ้งกิมกี่กันไม่น้อย

alt

Sanford C Bernstein สำนักวิเคราะห์และวิจัยข้อมูลอุตสาหกรรมยานยนต์ได้เปิดเผยข้อมูลการขาดทุนของบริษัทรุ่นใน
แต่ละรุ่นเป็นครั้งแรกซึ่งเริ่มเก็บข้อมูลของรถยนต์ตั้งแต่รุ่นปี 1997 เป็นต้นมา

โครงการรถยนต์ที่ทำให้บริษัทรถขาดทุน 10 อันดับมีดังต่อไปนี้

รุ่นรถ ปี ขาดทุนประมาณการ

Smart Fortwo 1997-2006 5.0 พันล้านดอลลาร์

Fiat Stilo 2001-2009 3.0 พันล้านดอลลาร์

VW Phaeton 2001-2012 2.9 พันล้านดอลลาร์

Peugeot 1007 2004-2009 2.8 พันล้านดอลลาร์

Mercedes A-Class 1997-2004 2.5 พันล้านดอลลาร์

Bugatti Veyron 2005-2013 2.5 พันล้านดอลลาร์

Jaguar X-Type 2001-2009 2.5 พันล้านดอลลาร์

Renault Laguna 2006-2012 2.2 พันล้านดอลลาร์

Audi A2 2000-2005 1.9 พันล้านดอลลาร์

Renault Vel Satis 2001-2009 1.7 พันล้านดอลลาร์

รถยนต์ที่ขาดทุนต่อคัน 10 ลำดับ
รุ่นรถ รุ่นปี ขาดทุนต่อคัน
Bugatti Veyron 2005-2013 $6,700,500

VW Phaeton 2001-2012 $40,800

Renault Vel Satis 2001-2009 $27,200

Peugeot 1007 2004-2009 $22,300

Audi A2 2000-2005 $11,000

Jaguar X-Type 2001-2009 $6800

Smart Fortwo 1997-2006 $6500

Renault Laguna 2006-2012 $5150

Fiat Stilo 2001-2009 $4000

Mercedes A-Class 1997-2004 $2100

อันดับแรก Smart Fortwo รุ่นแรกที่ประสบภาวะขาดทุนก็เพราะ Daimler AG อุตส่าห์ลงทุนงานด้านวิศวกรรมใหม่
ทั้งหมดสำหรับรถขนาดจิ๋วขับเคลื่อนล้อหลังคันนี้ตั้งแต่พื้นตัวถังและเครื่องยนต์ 3 สูบรุ่นใหม่ ขณะเดียวกับ Daimler AG
ก็ล้มเหลวกับ A-Class รุ่นแรกไม่น้อยเลยเพราะพวกเขาต้องพัฒนาพื้นตัวถังแบบ 3 ชั้นแซนด์วิชที่ตอนนั้นเคลมว่าจะสร้าง
มาตรฐานความปลอดภัยสูงสำหรับรถขนาดเล็กและนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ A-Class รุ่นใหม่ใช้พื้นตัวถังแบบปกติเหมือน
ชาวบ้านนั่นเอง

และที่ล้มเหลวไม่แพ้กันคืออดีตสุดยอดขายรถอลูมิเนียม Audi A2 ที่สมัยนั้นมีต้นทุนการพัฒนาสูงมากเพราะวัสดุตัวถัง
อลูมิเนียมไม่ได้ถูกลงเหมือนปัจจุบัน อีกทั้ง Audi ดำเนินแผนธุรกิจผิดพลาดที่ส่งรถเล็กผิดเวลา หนำซ้ำยังตั้งราคาสูงโด่ง
เพื่อแลกกับความไฮเทค แต่เศรษฐีสมัยนั้นพากันส่ายหน้าถึงความไม่คุ้มค่าอย่างรุนแรง

และสุดยอดของรถยนต์ที่ขาดทุนอย่างรุนแรงที่สุดในประวัติคือ Bugatti Veyron รุ่นปี 2005-2013 ที่ขาดทุนต่อคันถึง
6,700,500 ดอลลาร์หรือขาดทุนถึง 209,560,000 ล้านบาท!!!!

ดังนั้น ความเชื่อที่ว่าบริษัทรถทำกำไรได้กับรถทุกรุ่นนั้นไม่จริงเสมอไป

ที่มา : http://www.caradvice.com.au/253719/europes-biggest-loss-making-cars-revealed/