ข่าวคราวเกี่ยวกับการขายกิจการของ Saab อาจทำให้ผู้อ่านและชาวไทยหลายท่านสับสนอย่างมาก ผมขอสรุปคร่าว ๆ ว่าหลังจาก Saab ถูกซื้อกิจการโดย Spyker ไปแล้วช่วงกุมภาพันธ์ 2010 ช่วงแรกก็ดูมีท่าทีว่าจะไปได้สวยตามสัญชาตญาณของผู้ผลิตรถสปอร์ตรายเล็กที่ต้องการความยิ่งใหญ่ในโลกยนตรกรรม แต่ความเป็นนักสร้างรถยนต์ในสายเลือดก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นนักลงทุนหรือผู้บริหารที่ดีได้ จึงทำให้ Saab ตกที่นั่งลำบากเพราะไม่มีเงินสดจ่ายซัพพลายเออร์ช่วงต้นปี 2011

 

 

เมื่อเดือนที่แล้วก็มีการตกลงซื้อขายหุ้นกิจการ Saab จำนวนหนึ่งไปสู่ Mr. Vladimir Antonov นักลงทุนชาวรัสเซียที่แอบมีหุ้นกิจการ Spyker ส่วนหนึ่งไว้ด้วย ความเดิมกล่าวไว้ว่า Mr. Vladimir Antonov จะต้องขายหุ้น Spyker ที่ตนเองถืออยู่ก่อนที่จะครอบครอง Saab เพื่อความโปร่งใสในด้านการเงิน

แต่ข่าวล่าสุดวันนี้ Saab กลับเสนอขายหุ้นกิจการ 30% ให้กับ Hawtai Motor Group ม้ามืดที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เรื่องของเรื่องคือ Spyker ทำสัญญาตกลงกับ Hawtai Motor Group และ Saab Automobile AB เพื่อร่วมพันธกิจกลยุทธ์ร่วม (Allicance) ตั้งแต่โรงงานผลิต, เทคโนโลยี, การกระจายสินค้าในประเทศจีน

การตกลงแลกเปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจครั้งนี้ ดูเหมือน Spyker จะ “ร้อนเงิน” ผิดวิสัยจนรีบขายหุ้นกิจการ Saab มากถึง 29.9% ให้กับ Hawtai Motor Group มูลค่า 120 ล้านยูโร และ Hawtai ครอบครองจำนวนหุ้น 24.6 ล้านหุ้นของ Saab อีกด้วย

ดูเหมือน Mr.Victor Muller ผู้บริหาร Spyker ไม่บอกกล่าวอะไรมากนักกับการขายหุ้นครั้งนี้ เขาบอกได้แค่เพียงต้องการรักษาแบรนด์ Saab อันมีประวัติยาวนานและ Hawtai Motor ก็เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีดีเซลและมีกำลังการผลิตมากมาย

ฝ่าย Hawtai Motor Group ก็เพิ่งเป็นบริษัทกำเนิดใหม่ในปี 2000 ผลิตรถยนต์ 3.5 แสนคันต่อปี ผลิตเครื่องดีเซลไอเสียสะอาด 3 แสนเครื่องต่อปี และผลิตเกียร์อัตโนมัติ 4 แสนลูกต่อปี มีฐาน R&D ในเมืองปักกิ่ง ในอนาคตวาดฝันจะผลิตรถยนต์ปีละ 1 ล้านคัน เครื่องยนต์ 1 ล้านเครื่องและเกียร์ 1 ล้านลูกภายในปี 2015

งานนี้อนาคต Saab น่าเป็นห่วงหนักยิ่งกว่าเดิมอีก