ตั้งแต่เกิดมา จำความได้ เติบใหญ่กลายร่างจนถึงทุกวันนี้ คุณจำได้ไหมว่า  มีรถยนต์
รุ่นใดบ้าง ที่เปิดตัวในบ้านเราแล้ว กระแสการพูดถึง แทบจะเงียบสนิทเป็นเป่าสาก
จนกลายเป็น รถยนต์ที่ถูกลืม?

เมื่อผมนั่งดูรายชื่อที่ ตาแพน Commander CHENG! ของเรา ไปสรรหามา ก็พบความจริง
ที่น่าส่ายหัว ว่า รถยนต์กลุ่มนี้ มีเยอะมาก จนเราสามารถรวบรวมมาเขียนเป็นบทความชื่อ
“50 รถดับ ในเมืองไทย” ประกบคู่ บทความ ” 50 รถดังในเมืองไทย ทั้งภาค 1 และ 2″ ที่
เรานำเสนอกันไปเมื่อปีก่อนๆ ได้เลย

ไม่เชื่อ ลองอ่านชื่อรุ่นข้างล่างนี้ดู ใครจะรู้บ้างว่า รถเหล่านี้ ก็เคยถูกสั่งมาขายในบ้านเราด้วย!

BMW 1-Series รุ่นแรก 2006 , Daihatsu Applause , Honda Stream , Honda
Legend V6 3.5 L 1997 , Honda Integra DC2, ปี 1993 – 1997 , Honda Vigor
ปี 1995 , Mazda 626 ปี 1997 รุ่นสุดท้าย 200 คัน , Opel Omega , Opel Vectra ,  
Toyota Crown ตั้งแต่ รุ่นปี 1993 จนถึง 1999 ที่ถูกสั่งนำเข้ามาขายแบบเงียบๆ ล่าสุด
ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ก็เห็นมีแต่ Mitsubishi Lancer EX และ Nissan Pulsar ที่ควงแขนกัน
เข้ามาขออาศัย อยู่ร่วมบัญชีรายชื่อกับเขาด้วยอย่างไม่เต็มใจนัก

แต่หลังจากวันนี้ไป วงการรถยนต์ในเมืองไทย อาจต้องนำ เจ้า “ปลาปั๊กเป้าติดล้อ”
คันนี้ นับรวมเข้าไปในทำเนียบ ของบรรดา “รถยนต์ที่ถูกเมินตั้งแต่ช่วงเปิดตัว”
กันอีกสักรุ่นแล้วละ!

เพราะตามปกติแล้ว นับตั้งแต่ General Motors หรือ GM ยักษ์ผลิตรถยนต์อันดับ 1
ในบรรดา Big Three ของสหรัฐอเมริกา กลับเข้ามาทำตลาดรถยนต์ในเมืองไทยกัน
อีกครั้ง เมื่อ เดือนมกราคม 2000 ทุกครั้งที่พวกเขาเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ในบ้านเรา
ก็มักสร้างความฮือฮา ในรูปแบบต่างๆ จนหลายคนจดจำกันได้อย่างดี

ไม่ว่าจะเป็น การเนรมิต เขาบาล ที่ชลบุรี ให้กลายเป็น Colorado Resort เมื่อปี
2004 ปิดสนามบินเพชรบูรณ์ เปิดตัว Colorado Common Rail เมื่อปี 2005
จัดทริป เปิดตัว Aveo สำหรับชีวิตที่เร่งรีบ (เหรอ?) ช่วงปี 2006 ตามด้วย Cruze
ในปี 2010 และล่าสุด เนรมิต BiTEC ให้กลายเป็นเวทีสุดอลังการ เพื่อเปิดตัวรถกระบะ
Colorado ปี 2011 แต่ละครั้ง ที่เปิดตัว ก็มีกระแสตอบรับจากลูกค้า และสื่อมวลชน
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย จนเริ่มจะกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์กระแสหลัก
เข้าไปทุกที

ทว่า ในกรณีของ Spin ผลผลิตคันใหม่ล่าสุดของพวกเขา สถานการณ์ที่เกิดขึ้น
มันช่างแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แม้ GM จะบอกว่า นี่คือการกลับมาสู่ตลาด
กลุ่มรถยนต์ Minivan ครั้งแรกในรอบหลายปี นับตั้งแต่ยุติการประกอบ Zafira
ภายใต้สารพัดแบรนด์ในเครือ ทั้ง Chevrolet Opel Holden Vauxhall และ
รวมถึงพะแบรนด์ Subaru ส่งไปขายญี่ปุ่นอยู่ช่วงหนึ่งด้วยซ้ำ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า Zafira เป็น Compact Minivan / C-Segment Minivan 
ที่ช่วยให้ GM สามารถสร้างการจดจำแบรน์ Chevrolet ในเมืองไทย ได้สำเร็จ
อีกครั้ง ในรอบหลายสิบปีก่อนหน้านั้น ผู้คนจำได้ถึงความอเนกประสงค์จากเบาะนั่ง
แบบ FLEX 7 ที่ปรับเบาะได้ หลายสิบแบบ จนจำไม่หวาดไหว การที่รถทั้งคัน
ถูกออกแบบและพัฒนาโดยแม่งานใหญ่ในกลุ่ม อย่าง Adam Opel AG. ที่เมือง
Russenheim เยอรมันี ยิ่งช่วยการันตีความไว้ใจได้ของรถให้เพิ่มมากขึ้น ก่อนที่
จะถึงคิวของ บรรดา ผลผลิตจากฝั่ง GM Korea และ GM/Isuzu ในเวลาต่อมา

แต่กระแสของ Spin ในบ้านเราเวลานี้ ถือได้ว่า “เงียบสนิทเป็นป่าช้าวัดหนองยายปริก!”
ต่อให้จัดงานเปิดตัวกันชนิดที่ให้นักข่าวไปลองเล่นกระดานโต้คลื่นเทียม สนุกสนาน
แต่พอวันรุ่งขึ้น ข่าวที่ออกมา ก็มีแค่ ข่าวประชาสัมพันธ์ที่ GM จัดเตรียมไว้ให้ งานนี้
สื่อบางสำนัก ก็เอาข่าวลงให้ และแค่นั้น หลังจากวันเปิดตัวเป็นต้นมา ก็แทบไม่มีใคร
พูดถึงรถคันนี้กันอีกเลย อาจจะมีคุณผู้อ่านของเรา ถามไถ่กันมา ไม่เกิน 4-5 คนใน
ระยะเวลาที่ห่างกันเป็นเดือนๆ เท่านั้น ว่ายังอยากอ่าน Full Review ของรถรุ่นนี้จาก
J!MMY กันอยู่

หรือจะเป็นเพราะว่า ช่วงที่ผ่านมา GM / Chevrolet ในบ้านเรา เจอกระแสวุ่นวายจาก
ความไม่พอใจของผู้บริโภค ในหลายๆกรณี ตั้งแต่เรื่องที่ โชว์รูมรายใหญ่ใน กรุงเทพฯ
นำ SUV รุ่น Trailblazder ที่เคยมีปัญหาเครื่องดับกลางอากาศจากลูกค้ารายเดิมจนต้อง
รับซื้อคืนมา นำกลับมาวนขายให้ลูกค้ารายใหม่ ที่ไม่รู้เรื่อง จนเกิดเหตุการณ์เดียวกัน
ซ้ำรอย พอลูกค้าเช็คไปเจอว่า รถคันนี้เคยมีเจ้าของอยู่แล้ว และเป็นเรื่องใน Pantip.com
มาก่อน ก็ปรี๊ดแตก แฉออกสื่อกันวุ่นวาย ป่านนี้ไม่รู้ว่าจบลงอย่างไร?

หรือ กรณีล่าสุดที่มีลูกค้า ผู้มีปัญหา ของ ทั้ง Cruze และ Captiva จาก 70 คัน เหลือ
25 คันในตอนนี้ รวมตัวไปเรียกร้อง ที่ ช่อง 3 ตามต่อด้วย สคบ. เมื่อไม่กี่วันก่อน เพราะ
ตกลงกันไม่ได้ ในเรื่อง เกียร์มีปัญหา และเครื่องดับกลางอากาศ ที่ยังไม่มีข้อสรุปในเวลานี้

ถือเป็น 2 เคส ใหญ่ๆ ซึ่งทำให้หลายคนเริ่มมอง Chevrolet ในทางที่เลวร้ายใกล้เคียง
กับ Ford เข้าไปทุกที

ไม่แปลกหรอกครับ ที่ลูกค้าผู้ไม่ทราบเรื่องมาก่อน จะหวั่นใจ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผม
ยังเจออยู่คือ ในแต่ละสัปดาห์ ก็ยังคงมีคำถาม เรื่องจะซื้อ Cruze , Captiva , Trailblzaer
และ Colorado ดีหรือไม่ เข้ามาเรื่อยๆ เฉลี่ย หลายคำถามต่อสัปดาห์

แต่กลับไม่มีคำถามถึง Spin มาเลย นาน น้าน นาน นานๆ จะมีโผล่มาสักครั้ง แค่ว่า ผมจะ
ทำรีวิว ของ Spin หรือไม่ จนผมเอะใจว่า รถมันต้องมีอะไรที่ไม่ถูกใจผู้บริโภคสักอย่าง

และด้วยความเชื่อ ที่ว่า ไม่มีรถยนต์รุ่นใดในโลก ที่ดีครบทุกด้าน และแย่สุดกู่กันทุกด้าน
อย่างน้อย มันต้องเหลือคุณงามความดีไว้ให้เรายังระลึกถึงมันบ้าง ผมจึงตัดสินใจยอม
ทำรีวิว ของ Spin เพื่อให้ทั้งตัวผมเอง และคุณผู้อ่าน ได้ค้นเจอกันเสียทีว่าปัญหาที่แท้จริง
ของ Spin คืออะไรกันแน่?

แต่ก่อนที่เราจะเริ่มต้นหาคำตอบกัน ผมเชื่อว่า หลายคนคงสงสัยไม่น้อยว่า ทำไม GM
ถึงตั้งชื่อรถยนต์รุ่นนี้ว่า SPIN ทั้งที่จริงๆแล้ว คำนี้ มันถูกแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า..”หมุน”!

เปล่าเลย ชื่อรุ่น Spin มันไม่ได้ไปเกี่ยวพันกับความว่า หมุน แต่อย่างใดๆ ทั้งสิ้น เพราะ
ความจริงแล้ว มันเป็นแค่การนำคำ 3 คำ มาผสมกัน ต่างหาก GM ให้คำอธิบายว่า ชื่อรุ่น
Spin นั้น มาจากคำ 3 คำ ที่ว่า  “Seven People In” หรือ ถ้าแปลกันแบบ ตรงเป๊งชนิด
ขวานผ่าซากหัวแบะเป็นแตงโมผ่าครึ่ง ก็ได้ความว่า  “7 คนอยู่ในนั้น”!

พระเจ้าช่วยกล้วยตานีปลายหวีเหี่ยว! นี่สาบานแล้วใช่ป่าว ว่าชื่อนี้ ผ่านกระบวนการทาง
ความคิด มาอย่างดีเลิศประเสริฐศรี ขนาดนี้!! โอย ไม่นึกมาก่อนว่า ชื่อแบบนี้จะถูกนำมา
ตั้งชื่อรุ่นรถยนต์กันได้อย่างหน้าชื่นตาบานแบบนี้

ชักเริ่มอยากรู้ละ ว่าต้นกำเนิดของรถคันนี้ เป็นมาอย่างไร?

ง่ายๆครับ ไม่มีอะไรซับซ้อน GM เริ่มมองเห็นความต้องการ รถยนต์ Minivan 7 ที่นั่ง
ขนาดเล็ก B-Segment Sub-Compact Minivan ราคาประหยัด เริ่มเติบโตขึ้นใน Brazil
เขต South America และ ใน Indonesia ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนพวกเขามองว่า หาก
ไม่ใส่ใจต่อไป คงไม่ได้อีกแล้วละ เพราะขนาดคู่แข่งฝั่งญี่ปุ่น ที่เดิมไม่เคยคิดจะมอง
เหลียวแลตลาดนี้ มาก่อนในช่วง 20 ปีที่แล้ว ต่างก็เร่งพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ เข้าไป
แย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดกันทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็น Toyota Avanza , Nissan Livina Geniss , Suzuki Ertiga แม้แต่ Mazda
ยังต้องจับมือกับ Suzuki ขอ Ertiga มาขายใน Indonesia ด้วยชื่อ Mazda VX-1 เลย
ด้วยซ้ำ นี่ยังไม่นับ Honda ที่กำลังจะเปิดตัว B-Segment Sub-Compact Minivan บน
พื้นฐานจาก Honda Brio ในช่วงเดือนมีนาคม 2014 ด้วยนะ เห็นไหมครับ ตลาด
กลุ่มนี้ มันหอมหวานเย้ายวนผ้ผลิตรถยนต์ Mainstream ทั้งหลาย กันขนาดไหน

GM ศึกษาตลาดนี้มาจนถึง ปี 2007 จึงได้มอบหมายให้ General Motors do Brasil
(GM Brazil) ซึ่งถือเป็นหน่วยงาน GM นอกสหรัฐอเมริกา ที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก
และใหญ่สุดในทวีปอเมริกาใต้ ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1925 เป็นแม่งานในโครงการพัฒนา Spin
ขึ้นมา เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั้ง 2 ซีกโลก

ทำไมต้องเป็น Brazil อีกแล้ว? คราวก่อน Chevrolet Colorado ก็พัฒนาร่วมกับทาง 
Brazil มาตอนนี้ Spin ก็กลายเป็นผลงานจาก Brazil รุ่นที่ 2 ซึ่งทำตลาดในไทย จนได้

ก็เพราะว่า ตลาด Brazil มันสำคัญสำหรับ GM เพราะยอดขายเติบโตต่อเนื่องมาตลอดช่วง
หลายปีที่ผ่านมาหนะสิ แม้ว่าจะมีช่วงเวลาที่ตัวเลขลดลงบ้างก็ตาม แต่สถานการณ์ล่าสุด
ของ GM ใน Brazil ก็คือ พวกเขาตีตื้นขึ้นมาอยู่ในอันดับ 2 ของตลาด Brazil ได้สำเร็จ
หลังจากที่รั้งอันดับ 3 มาตลอด 10 ปีก่อนหน้านี้!

จากตัวเลขของสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของบราซิล หรือ Brazilian Motor Vehicles
Manufacturers Association ระบุว่า ในเดือนพฤษภาคม 2013 ที่ผ่านมา GM ขายรถ
ใน Brazil ได้ถึง 45,826 คัน ตามติด Fiat ซึ่งอยู่ในอันดับ 1 ด้วยตัวเลขไม่ห่างกันเลย คือ
45,865 คัน ขณะที่ Volkswagen ตามมาเป็นอันดับ 3 ด้วยตัวเลข 45,664 คัน และ 
Ford อยู่ในอันดับ 4 ด้วยยอดขาย ที่ถูกทิ้งห่าง อยู่ที่ 19,474 คัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อวัดตัวเลขยอดขาย จากช่วงต้นปี ถึง พฤษภาคม 2013 GM ขายรถยนต์
ไปได้ 196,463 คัน ลดลงจากเดิม 210,817 คัน เมื่อเปรียบเทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
(มกราคม – พฤษภาคม 2012) ขณะที่ในปี 2013 คู่แข่งอันดับ 1 อย่าง Fiat ทำตัวเลขได้
224,163 คัน ตามด้วย Volkswagen อันดับ 2 อยู่ที่  223,323 คัน

เห็นปริมาณตัวเลขยอดขายรถยนต์ใน Brazil แล้ว ตกใจใช่ไหมละครับ? นั่นแค่ ช่วง
ต้นปี – พฤษภาคม เท่านั้นนะครับ เปรียบเทียบช่วงเดียวกัน 2 ปี ให้เห็นเลย ทีนี้ เห็น
ความสำคัญของตลาด Brazil ที่มีต่อ GM แล้วใช่ไหมครับ?

การพัฒนา Spin เริ่มต้น เมื่อปี 2007 ภายใต้รหัสโครงการ PM7 โดยมี GM Brazil รับบทเป็น
แม่งานหลัก ส่วน GM Korea และ GM SEA (South East Asia) มีส่วนร่วมในรถรุ่นนี้ด้วย
ตามแต่ละชั้นตอนที่จำเป็น ทีมวิศวกรจาก GM SEA ได้ให้ข้อมูลทั้งในด้านสภาพตลาดและ
มาตรฐานของรถยนต์ในกลุ่ม B-Segment Minivan เซกเมนท์นี้ รวมถึงมอบข้อคิดเห็นจาก
การประเมินผล และให้การสนับสนุนด้านการออกแบบชิ้นส่วนร่วมกับผู้ผลิตชิ้นส่วน และทาง
โรงงาน รวมทั้งยังให้ข้อมูลด้านความต้องการใช้งานรถยนต์ในภูมิภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นการปรับ
เปลี่ยนเบาะที่นั่ง ซึ่งต้องยืดหยุ่น การจัดวางตำแหน่งผู้ขับขี่ (สำหรับเวอร์ชั่นพวงมาลัยซ้าย
และพวงมาลัยขวา) ความสะดวกสบายของผู้โดยสาร และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง

GM อ้างว่า มีการจัดกิจกรรมพิเศษเพื่อรวมรวมความคิดเห็นจากลูกค้าทั่วโลก รวมถึงในกลุ่ม
ASEAN เพื่อให้ทีมผู้พัฒนาได้รับข้อมูลที่มีความสำคัญ อาทิการรับรู้ของลูกค้าและเงื่อนไข
เฉพาะ ของแต่ละประเทศก่อนที่จะไปปับปรุง Spin เวอร์ชันขายจริงให้เหมาะกับทุกภูมิภาค

ส่วนขั้นตอนการทดสอบสมรรถนะ เกิดขึ้นใน 4 ทวีป รวมถึงใน ASEAN โดยเน้นในด้าน
การลดเสียงรบกวน แรงสั่นสะเทือน และความกระด้าง (NVH) พร้อมกับทดสอบความ
สะดวกสบาย การขับขี่และการควบคุม รวมถึงสมรรถนะเครื่องยนต์บนถนนทั่วภูมิภาคนี้
ก่อนที่เวอร์ชันจำหน่ายจริง คันแรกจะคลอดจากโรงงาน GM Brazil ที่เมือง Sao  
Caetano do Sul ชานเมือง Sao Paolo ในช่วงกลางปี 2012

สำหรับตลาด ASEAN เป็นอีกกลุ่มเป้าหมายที่ GM คิดจะชิมลางตลาดรถยนต์อเนกประสงค์
7 ที่นั่งขนาดเล็ก พวกเขาเลือกที่จะส่ง Spin ไปผลิตขายใน Indonesia

เหตุผล? ไม่มีอะไรน่าสงสัยอีกนั่นแหละ ก็เพราะประเทศนี้ กลายเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่อันดับต้นๆ
ของ ASEAN ลำพังแค่ GM เอง มีอัตราการเจริญเติบโตในปี 2012 เพิ่มขึ้นจากปี 2011 ถึง
ร้อยละ 17 แถมตลาดกลุ่มใหญ่ ยังคงเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง เครื่องยนต์ไม่เกิน
1,600 ซีซี ซึ่ง ที่ผ่านมา GM ยังไม่มีรถยนต์สำหรับบุกตลาดกลุ่มนี้อย่างจริงจัง เท่านั้นเอง

และถ้าย้อนประวัติศาสตร์ไปในอดีต GM ถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกในประเทศ Indonesia
พวกเขาก่อตั้ง GM Java (ชวา) เมื่อปี 1927 ก่อนเปลี่ยนเป็น GM Indonesia ในปัจจุบัน

งานนี้ GM ก็เลยถึงขั้นลงทุนกว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราวๆ 4,430 ล้านบาท เพื่อ
สร้าง โรงงาน (หรือที่พวกเขาชอบเรียกมันว่า “ศูนย์การผลิต”) GM ที่ Bekasi ตั้งอยู่ทาง
ตะวันออกของกรุง Jakarta แค่เพียง 16 กิโลเมตร

นึกถึง โรงงานประกอบรถยนต์ ที่ตั้งอยู่ แถว บางนา-ตราด ห่างจากสี่แยกบางนาไปราวๆ
16 กิโลเมตร นั่นละครับ จาก บางนา ไปถึง แถวๆ ทางเข้าสนามบินสุวรรณภูมินั่นแหละ
พอนึกภาพออกใช่ไหม….เฮ้ๆๆ อย่านึกไปถึงโรงงาน Nissan ที่ กม.21 สิครับคุณผู้อ่าน!!

โรงงาน แห่งนี้ มีพนักงานทั้งหมด 700 คน ทำงานร่วมกับ ซัพพลายเออร์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนใน
Indonesia ถึง 43 บริษัท พวกเขาตั้งใจจะผลิต Spin ออกมาให้ได้ปีละ 40,000 คัน
โดย 80% ของ ยอดผลิตทั้งหมด จะป้อนออกสู่ตลาดในแดนอิเหนาเอง ที่เหลืออีกราวๆ
20% จะส่งออกมายัง ประเทศฟิลิปปินส์ และไทย…

นั่นคือแผนทั้งหมดที่พวกเขาวางไว้ แต่จะทำได้จริงแค่ไหน…ยังไม่รู้

การเผยโฉม Spin ครั้งแรกในโลก เริ่มขึ้นจากการเผยภาพถ่ายครึ่งคันรถ เรียกน้ำย่อยโดย CEO
ของ GM อย่าง Dan Akerson ในการประชุมประจำปีที่ Detroit เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน
2012 (รูปด้านบนของบทความนี้)

จากนั้น เว้นว่างไปพักใหญ่ ภาพถ่ายคันจริง พร้อมการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ก็เกิดขึ้นเมื่อ
วันที่ 4 กรกฎาคม 2012 โดยเริ่มออกสู่ตลาดจริง พร้อมๆกันทั้งใน Brazil และ Indonesia
อันเป็น 2 ประเทศหลัก ที่จะเป็นฐานการผลิต Spin ส่งออกสู่ตลาดทั่วโลก

GM Thailand สั่งนำเข้า Spin มาอวดโฉมในบ้านเรา กลางงาน Motor Expo ปลายเดือน
พฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม 2012 ก่อนจะเริ่ม เปิดตัวเวอร์ชันจำหน่ายจริง เมื่อวันที่
12 มีนาคม 2013 จากนั้น จึงค่อยพาเข้าร่วมงาน Bangkok International Motor 
Show ปลายเดือนมีนาคม เดียวกันนั้นเอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเปิดตัวแล้ว GM ยังไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ให้กับลูกค้าได้ทันที เพราะ
ต้องรอให้รถล็อตแรก มาถึงประเทศไทย ช่วงปายเดือนมิถุนายน – ต้นเดือนกรกฎาคม 2013
ที่ผ่านมากันเสียก่อน แผยการทำตลาดจึงต้นเริ่มขึ้น ทั้งการปล่อยภาพยนตร์โฆษณา แบบ
เรียบง่าย รวมทั้งชิ้นงานโฆษณาบนสื่อสิ่งพิมพ์ นิดๆหน่อย

Spin มีความยาว 4,360 มิลลิเมตร กว้าง 1,735 มิลลิเมตร สูง 1,664 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ
2,620 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า (Front Track) 1,503 มิลลิเมตร ความกว้างช่วง
ล้อหลัง (Rear Track) 1,509 มิลลิเมตร ระยะห่างจากพื้นถนน ถึงพื้นใต้ท้องรถ (Ground
Clearance) 157 มิลลิเมตร น้ำหนักรถเปล่า 1,277 กิโลกรัม

เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง อย่าง Suzuki Ertiga ซึ่งมีตัวถังยาว 4,265 มิลลิเมตร กว้าง 1,695
มิลลิเมตร สูง 1,685 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาวถึง 2,740 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า
(Front Tread) 1,480 มิลลิเมตร ส่วนความกว้างของช่วงล้อคู่หลัง (Rear Tread) อยู่ที่ 1,490
มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถนนจนถึงพื้นใต้ท้องรถ 185 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวเปล่า มีตั้งแต่
1,160 – 1,180 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมันนั้น แค่ 45 ลิตร กันแล้ว

จะพบว่า Spin มีความยาวมากกว่า Ertiga 95 มิลลิเมตร กว้างกว่า 40 มิลลิเมตร เตี้ยกว่า Ertiga
21 มิลลิเมตร แต่มีระยะฐานล้อ สั้นกว่า Ertiga ถึง 120 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อทั้งหน้า
และหลัง มากกว่า Ertiga  23 และ 19 มิลลิเมตร แถมระยะ Ground Clearance ของ Spin
ยังเตี้ยกว่า Ertiga 28 มิลลิเมตร แต่น้ำหนักรถเปล่านั้น เทียบรุ่นท็อปด้วยกัน Spin จะหนักกว่า
Ertiga ถึง 97 กิโลกรัม!

และถ้าเปรียบเทียบกับ Toyota Avanza ใหม่ ซึ่งมีตัวถัง ยาว 4,140 มิลลิเมตร กว้าง 1,660
มิลลิเมตร สูง 1,695 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,655 มิลลิเมตร เพียงแค่นี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า
Spin จะยาวกว่าถึง 220 มิลลิเมตร กว้างกว่าถึง 75 มิลลิเมตร เตี้ยกว่า 31 มิลลิเมตร แต่มี
ระยะฐานล้อสั้นกว่า Avanza 35 มิลลิเมตร

เท่ากับว่า Spin จะเตี้ยกว่าเพื่อน และมีระยะฐานล้อสั้นกว่าทั้ง Ertiga และ Avanza

Spin ถูกสร้างขึ้น บนพื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรม ร่วมกันกับ ตระกูลรถยนต์ขนาดเล็ก
กลุ่ม B-Segment Sub-Compact รุ่นใหม่ อย่าง Chevrolet Sonic ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจ
ถ้าหากจะเห็นชิ้นส่วนมากมาย จาก Sonic มารวมไว้ใน Spin ด้วย

Mr.Matt Noon ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกของ GM Brazil เล่าว่า ทิศทาง
หลักๆ ในการออกแบบ Spin คือการสร้างรถยนต์ Minivan ที่ดูบึกบึน และทันสมัย มีสัดส่วน
โค้งเว้าต่างๆ ชัดเจน โดยเฉพาะการเน้นช่วงสันไหล่ด้านข้างตัวรถที่สูงทำให้ตัวรถดูใหญ่
กว่าที่เป็น เพิ่มเส้นสายมัดกล้ามเหนือซุ้มล้อทั้ง 4 ช่วยให้รถลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์
อีกทั้งยังใช้แผ่นเหล็กที่หนาขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพ ความปลอดภัย และความแข็งแกร่ง
ของตัวรถ  ทำให้ Spin ดูมีบุคลิก และภาพลักษณ์ อันเป็นเอกลักษณ์…

(น่าเสียดายที่ GM ไม่ได้บอกว่า เหล็กที่หนาขึ้นนั้น เป็นเหล็กแบบใด หรือจะเป็น
เหล็กแบบ High Tensile Steel หรือเปล่า? ไม่มีข้อมูลเปิดเผยออกมาในประเด็นนี้)

กระจังหน้า ยังคงเป็นแบบ 2 ชั้น เอกลักษณ์ปัจจุบันของ Chevrolet ทุกรุ่น ที่ทำตลาด
อยู่ทั่วโลก (ยกเว้น รถสปอร์ต รุ่น Camaro และ Corvette) 

เวอร์ชันไทย ของ Spin จะมีให้เลือกเพียงรุ่นย่อยเดียวเท่านั้น คือ 1.5 LTZ ตกแต่ง
ภายนอกด้วยไฟตัดหมอกหน้า ไฟตัดหมอกหลัง และไฟเบรกดวงที่ 3 มาตรฐาน เหนือ
กระจกบังลมหลัง ชุดไฟหน้าแบบ Halogen ตามปกติ กรอบกระจกมองข้างสีเดียวกับ
ตัวรถ แต่ไม่มีไฟเลี้ยวติดตั้งมาให้ มีรางหลังคา ไว้รองรับการติดตั้งชุดแร็คหลังคา เพื่อ
การแบกสัมภาระขนาดใหญ่ เช่น กระดาน Windsurf จักรยาน Mountain Bike หรือ
สัมภาระอื่นใดมากกว่านี้ ส่วนล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว x 6.0 J สวมเข้ากับยาง OEM
จากมาเลเซีย ยี่ห้อ GT Radial รุ่น Champio Eco ขนาด 195/65 R15 ซึ่งเป็น
ยางที่ผมถือว่า ทำตัวได้ดีมาก ในช่วงระยะทางไม่เกิน 10,000 กิโลเมตรแรก เพราะ
จากที่เคยเจอมาแล้วใน Proton Preve มันเป็นยางติดรถที่ดีมากๆ โดยเฉพาะเมื่อ
คุณต้องเข้าโค้งหนักๆ หรือต้องลุยแอ่งน้ำด้วยความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง

แต่สิ่งที่ด้อยกว่าคู่แข่ง อย่างไม่ควรเป็นก็คือ ปนี้ 2013 จนป่านนี้แล้ว Spin ยังใช้
มือเปิดประตูจากภายนอก แบบงัดขึ้น เหมือนเช่นรถยนต์ในยุคทศวรรษ 1980
กันอยู่เลย ทั้งที่คู่แข่ง เขาทำมือจับแบบ Grip Type ดึงเข้าหาตัวกันหมดแล้ว

กุญแจเป็นแบบมีรีโมทคอนโทรล สั่งล็อก และปลดล็อกบานประตูทั้ง 4 บาน ค่าจากโรงงาน
จะถูกปรับตั้งมาให้ ปลดล็อกได้เฉพาะฝั่งคนขับก่อน และต้องกดปุ่มปลดล้อกซ้ำลงไปอีกที
เพื่อจะเปิดประตู อีก 3 บานที่เหลือได้ คุณสามารถเข้าไปปรับตั้งได้เองจากในชุดเครื่องเสียง
ติดรถ แต่การติดเครื่องยนต์ ก็ยังคงต้องกดปุ่มบนรีโมท ให้ดอกกุญแจที่พับเก็บอยู่ กางออกผึง!
เพื่อจะเสียบรูกุญแจที่คอพวงมาลัย บิดหมุนแบบเดียวกับรถยนต์ยุคก่อนๆ ที่สำคัญคือ ไม่มี
สวิชต์ เปิดฝาประตูห้องเก็บของด้านหลังมาให้ แต่จะว่าไปแล้วคู่แข่งในระดับเดียวกันนี้ ก็
ไม่มีค่ายไหนติดตั้งมาให้เลยนี่หว่า?

การก้าวเข้า-ออก จากบานประตูคู่หน้า ทำได้สะดวกดี เพียงแต่อาจต้องระวังศีรษะ ที่อาจจะ
ไปโขกกับเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ได้ง่ายๆ ถ้าเบาะนั่งถูกปรับเลื่อนมาทางด้านหน้าอยู่
มากเกินไป เมื่อเปิดประตูแล้วจะพบว่า บานประตูโน้มมาทางด้านหน้า แบบเดียวกันกับ
Honda Freed เพื่อความรู้สึกให้ผู้ขับขี่ว่า รถเข้า ออก ได้สบาย

แผงประตูด้านข้าง ใช้พลาสติกแบบเดียวกับที่พบได้ในรถยนต์นั่งทั่วโลกตลอด 5 ปีมานี้
แผงด้านข้างบุด้วยผ้าสักกะหลาด มือเปิดประตู เคลือบโครเมียม มาแปลก ออกแบบเป็น
2 จังหวะ คือดึงเพื่อประตู และกดเข้าไป เพื่อล็อกรถ ไม่ให้คนเปิดเข้ามาจากากภายนอกได้
เมื่อเปิดประตู ลงจากรถ คุณต้องดึงมือจับ 2 จังหวะ แบบรถยุโรปกลุ่มพรีเมียม พวก BMW

ตำแหน่งวางแขน ออกแบบมาได้ดี วางแขนได้สบาย ไม่ต้องแก้ไขอะไรอีก ด้านล่าง มี
ช่องวางขวดน้ำ และเอกสารจิปาถะ ขนาดใหญ่ พร้อมลำโพงคู่หน้า

Mr. Dagoberto Tribia ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบภายในห้องโดยสารของ GM Brazil
เล่าว่า การพัฒนาห้องโดยสารของ Spin อยู่บนพื้นฐานแนวคิดที่ว่า จะทำอย่างไรให้
Minivan 7 ที่นั่ง มีความสะดวกสบายและยืดหยุ่นสำหรับผู้โดยสารทุกคน โดยที่ตัวรถ
ยังคงมีขนาดกำลังพอเหมาะ

ดังนั้น เบาะนั่งทั้ง 7 ตำแหน่งของ Spin จึงถูกจัดวางแบบ Theatre Seat หรือเบาะนั่ง
แบบโรงภาพยนตร์ เพื่อให้ผู้โดยสารทุกคนมองเห็นทัศนียภาพรอบด้านอย่างชัดเจน
ยิ่งขึ้นและเพิ่มความรู้สึกโอ่โถง เบาะที่นั่งของสปินสามารถปรับได้ 23 รูปแบบและ
มีช่องเก็บของทั้งหมดมากถึง 32 ช่อง
 
เหรอ?

ผมกลับไม่คิดเช่นนั้น ตำแหน่งเบาะนั่ง มันถูกรูปแบบของตัวรถบังคับมาให้ต้องติดตั้ง
เบาะนั่งกันแบบนี้อยู่แล้ว แต่ปัญหาหนะ มันอยู่ที่ ตัวเบาะนั่ง และโครงสร้างภายใน
ของมันต่างหากละ!

เริ่มจากเบาะคู่หน้ากันก่อน ผมขอบอกได้เลยว่า ถ้าไม่นับ Tata Xenon แล้ว เบาะนั่งคู่หน้า
ของ Spin ถือว่า เป็นเบาะนั่งที่ “แย่ และห่วยแตกที่สุด ตั้งแต่ผมเคยทำรีวิวรถยนต์ กันมา
เลยทีเดียว!”

พนักศีรษะ แข็ง และปรับมุมองศาไว้ให้งุ้มต่ำ จนขอบด้านบน กลายเป็นจุดปะทะกับศีรษะ
ของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า การวางหัว ไม่สบายเอาเสียเลย ต่อให้มีพื้นที่ด้านบน
เหนือศีรษะ โปร่งขนาดไหน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่านั่งสบายเลย

พนักพิงหลัง เป็นต้นเหตุสำคัญ การออกแบบให้มีฟองน้ำดันแผ่นหลัง ในลักษณะที่
แปลกไปจากรถยนต์ปกติทั่วไป โครงสร้างด้านข้าง ที่ออกแบบให้คล้ายเป็นเบาะนั่ง
แบบ Bucket Seat นิดๆ เพื่อรั้งตัวผู้ขับขี่ไว้ มันกลับบีบด้านข้างคนขับไปหน่อย
(ถ้าคุณเป็นคนอ้วน) และต่อให้คุณไม่อ้วน การรองรับแผ่นหลังก็ออกแบบไม่ดีเลย
ไม่ซัพพอร์ตบริเวณหัวไหล่ แถมยังดันช่วงกลางแผ่นหลังมากเกินไป ส่วนบริเวณ
สะโพก ก็ถูกออกแบให้ดันเข้ามาอีก ทั้งที่จริงๆแล้ว การโค้งเว้า มันควรจะต้อง
สอดรับกับสรีระผู้คนหลากหลายมากกว่านี้ มันเป็นฝันร้ายของคุณพ่อบ้านแม่บ้าน
ที่ต้องขับรถคันนี้ กันชัดๆ

ตำแหน่งที่นั่งผู้ขับขี่ที่ GM จงใจออกแบบมาให้ค่อนข้างสูงเพื่อช่วยเพิ่มทัศนวิสัยให้ดีขึ้น
หนะ ใช่ เห็นด้วย แต่มันไม่จำเป็นที่จะต้องสูงมากแบบนี้ เวลาจอดเทียบกับรถคันข้างๆ
เห็นได้ชัดเจนเลยว่า มันแอบสูงกว่า Avanza นิดนึงด้วยซ้ำ แม้จะอยู่ในระดับใกล้เคียง
พอกันกับคู่แข่งในกลุ่มนี้ ก็ตาม จะดีกว่านี้ ถ้ามีก้านโยกปรับระดับความสูง – ต่ำของเบาะ
คนขับ มาให้ เพราะแม้จะมีมือหมุนให้คุณสามารถปรับมุมองศาของเบาะรองนั่งฝั่งผู้ขับ
ได้ มาให้ก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก เมื่อใช้งานจริง

ไม่ใช่แค่ผมหรอกครับ แต่แทบทุกคน ตั้งแต่ ตาแพน Commander CHENG ไปจนถึง
น้องในกลุ่ม The Coup Team ของเรา แม้แต่ คุณพ่อ ของผม วัย 67 ปี ยังพูดตรงกันว่า
เบาะนั่ง ไม่สบายเอาเสียเลย นั่นหมายความว่า GM ต้องเปลี่ยนเบาะนั่งคู่หน้าใหม่
แบบยกชุดได้แล้ว!

การเข้า – ออกจากบานประตู่คู่หลังนั้น ในจังหวะขึ้น ไม่มีปัญหา ตำแหน่งเบาะแถวกลาง
อาจสูงขึ้นจากเบาะคู่หน้า ถ้าเป็นคนตัวเตี้ย อาจต้องปีนขึ้นไปนั่งกันเล็กน้อย ไม่เยอะ

แต่ถ้าคิดจะลงจากรถ การออกแบบให้เบาะนั่งแถวกลาง ติดตั้งในตำแหน่งปัจจุบัน ไม่ค่อย
เอื้ออำนวยให้การเหวี่ยงขา ออกจากพื้นรถ ไปยังด้านนอกตัวรถ ทำได้สะดวกนัก เพราะติด
เสาหลังคาคู่กลาง B-Pillar ไปเต็มๆ และนั่น อาจเกิดรอยสกปรกจากหัวรองเท้า ที่บริเวณ
พลาสติกบุผนังเสาหลังคากลางได้ง่ายกว่ารถอื่นๆ ปัญหานี้ จะว่าไปแล้ว ก็คล้ายคลึงกับ
คู่แข่งคันอื่น ในตลาดเช่นเดียวกัน  แต่จะไม่มากเท่ากับที่พบใน Spin

แผงประตูด้านข้าง มีพื้นที่วางแขน ออกแบบมาใช้งานได้ดี และมีช่องใส่ของจุกจิก กับ
ขวดน้ำขนาดเล็ก 7 บาท มาให้ เช่นเดียวกันกับแผงประตคู่หน้า แต่กระจกหน้าต่าง เป็น
สวิชต์ไฟฟ้า เลื่อนลงได้ไม่สุดขอบแผงประตู บุด้วยพลาสติก และผ้าเบาะเหมือนกัน

เบาะนั่งแถว 2 ให้สัมผัสที่มาในแนวทางเดียวกันกับ เบาะหลังของ Chevrolet Aveo คือ
มีเบาะรองนั่งที่ใส่ฟองน้ำแบบนุ่มมาให้ แต่ดันปาดมุมเบาะออก เพื่อให้ก้าวเข้า – ออกจากรถ
ได้สบายขึ้น แต่ถ้าต้องเดินทางไกล มุมเบาะที่ปาดออก อาจซัพพอร์ต ต้นขา ได้ไม่ดีพอ

ความยาวของเบาะรองนั่ง สำหรับคนที่ช่วงต้นขาสั้น ถือว่า สบายพอดีๆ แต่ถ้าเป็นคนที่มี
ต้นขายาว ผมว่า อาจจะสั้นไปนิดนึง กระนั้น พื้นที่วางขา ที่อาจดูเหมือนเล็กและแคบ
เอาเข้าจริง ก็สามารถวางขาได้ โดยที่หัวเข่าไม่ไปติดชิดกับด้านหลังของพนักพิงเบาะ
คู่หน้าแต่อย่างใด แต่ พื้นที่ ก็เหลือไม่เยอะนัก

พนักพิงหลัง แม้จะกดดูด้วยมือแล้วพบว่าใช้ฟองน้ำค่อนข้างนุ่ม แต่พอขึ้นไปนั่งจริงๆ
พนักพิงค่อนข้างแข็งและไม่ซัพพอร์ตปีกข้างของผู้โดยสารมากนัก ถ้านั่งนานๆ มีเมื่อย
ช่วงแผ่นหลังแน่ๆ ส่วนพนักศีรษะ รูปตัว L คว่ำ ต้องยกขึ้นใช้งาน จนสุด จึงจะรองรับ
ศีรษะแบบพอได้ ค่อนข้างแข็งกว่าพนักพิงหลังเสียอีก ถือว่า นั่งไม่สบายเลยเมื่อเทียบ
กับคู่แข่งในตลาดคันอื่นๆ

ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะ ไม่ต้องกังวล เพราะสำหรับคนตัวสูง 171 เซ็นติเมตร อย่างผม
ยังมีพื้นที่ด้านบนเหลืออีก 1 ฝ่ามือ ในแนวนอน ซึ่งถือว่า เยอะใช้ได้แล้ว

เบาะแถวกลาง ไม่มีพนักวางแขนพับเก็บได้มาให้เลย เข็มขัดนิรภัย เป็นแบบ ELR 3 จุด
ทั้งฝั่งซ้าย และ ขวา ส่วนตรงกลาง เป็นแบบ ELR 2 จุด คาดเอวอย่างเดียว

ที่สำคัญ เบาะแถวกลาง ไม่สามารถเลื่อนขึ้นหน้า หรือถอยหลังได้ อย่างที่ Avanza และ
Ertiga เขาทำได้ เพราะเบาะนั่ง ถูกยึดตำแหน่งไว้กับพื้นรถค่อนข้างตายตัว

การเข้า – ออก จากเบาะแถว 3 คุณต้อง ทำตาม 2 ขั้นตอน คือ ดึงคันโยกพับพนักพิง
บริเวณด้านข้างพนักพิงช่วงบั้นเอว (Hip point) ออกแรงหมุนทวนเข็มนาฬิกา แล้ว
พับพนักพิงลงมา จากนั้น ดึงคันโยก บริเวณฐานเบาะรองนั่ง หมุนทวนเข็มนาฬิกา
เช่นกัน จุดยึดเบาะจะคลายล็อก คุณก็โน้มชุดเบาะไปทางด้านหน้า เพียงเท่านี้ ก็
สามารรถ เข้า – ออก จากเบาะแถวหลังสุดได้แล้ว

ถ้าต้องการพับเบาะแถวกลาง เพื่อวางสิ่งของ ใต้เบาะรองนั่งแถวกลาง ทั้ง 2 ฝั่ง จะมี
เชือก Elastic พร้อมขอเกี่ยว ให้ดึงขึ้นไปยึดไว้กับเสาพนักศีรษะของเบาะคู่หน้า
เพื่อยึดเบาะแถวกลางไว้ ไม่ให้หล่นลงมาล็อกยังตำแหน่งเดิม จนกว่าจะเลิกใช้งาน

เท่าที่ผมลองเข้า – ออก ไปนั่งบนเบาะแถว 3 บอกเลยว่า อึดอัดมากครับ บานประตู
ของ Ertiga และ Avanza ใหญ่โต พอให้ผมปีน ขึ้น – ลง ได้ง่ายกว่ากันนิดหน่อย
มันเหมาะสำหรับให้ผู้โดยสารตัวเล็ก ประมาณพวก Smurf เท่านั้น จริงๆ

ส่วนพื้นที่เบาะนั่ง แถว 3 นั้น ไม่ถึงกับเลวร้าย แต่ก็ไม่ได้ดีเด่นมากนัก พนักศีรษะ
รูปตัว L คว่ำ ถอดสลับกับเบาะแถวกลางกันได้เลย ยกชุดกันมาชัดๆ ต้องยกขึ้นไป
ในตำแหน่งสูงสุดเท่านั้น ถึงจะรองรับศีรษะได้พอดี แถมมันยังแข็งเหมือนกัน
อีกต่างหาก ไม่สบายหัวเอาเสียเลย ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะ ถ้านั่งหลังชิดกับเบาะ
คนตัวสูง 171 เซ็นติเมตรอย่างผม จะเหลือพื้นที่ด้านบน แค่เส้นผมเฉี่ยวเพดาน
ในแบบที่ ยังดีกว่า Nissan Almera หรือ Mercedes-Benz CLA อยู่กระจึ๋งเดียว!

พนักพิงเบาะแถว 3 ค่อยนุ่มกว่าพนักพิงเบาะแถวกลาง อยู่นิดนึง ไม่มากนัก รองรับ
แผ่นหลังได้พอสบาย เบาะรองนั่งแถว 3 มีฟองน้ำ นุ่มพอกันกับเบาะแถว 2 แต่ด้วย
พื้นที่อันจำกัด แถมพื้นรถก็ยังต้องออกแบบให้สูง เพื่อรองรับการติดตั้งช่วงล่างหลัง
ทำให้ผู้โดยสาร แถว 3 หลีกหนีจากท่านั่งแบบ ชันขา ไม่พ้น หน้าแข้ง จะติดกับ
พนักพิงเบาะแถวกลาง อยากเลี่ยงไม่ได้

ผนังด้านข้าง ออกแบบมาเป็นพื้นที่วางแขน พร้อมช่องวางแก้ว จุดนี้ ถือว่าออกแบบ
มาได้ดี ใช้งานได้จริง ไม่มีปัญหาอะไรนัก

ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง เปิดออกได้ ทางเดียว คือ สวิชต์กลอนไฟฟ้า ที่ซ่อนอยู่
ระหว่าง ไฟส่องป้ายทะเบรยนด้านหลัง เมื่อเปิดยกขึ้นมา จะพบว่า มีช็อกอัพไฮโดรลิก
ค้ำยัน 2 ต้น กระจกบังลมหลัง มีไล่ฝ้าหลัง และใบปัดน้ำฝนด้านหลังพร้อมที่ฉีดน้ำล้าง
กระจกมาให้ แผงด้านใน บุด้วยชิ้นส่วนพลาสติกแค่บริเวณผนังด้านใน แบบไม่เต็ม
พื้นที่บานประตู ขนาดของช่องทางเข้า ใหญ่กว่ารถยนต์ Hatchback ขนาดเล็กทั่วไป
นิดหน่อยเท่านั้น

ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง เมื่อใช้งานเบาะ 7 ที่นั่งตามปกติ มีขนาด ความจุ 162 ลิตร
เมื่อพับเบาะแถว 3 ลงมา จะเพิ่มความจุเป็น 710 ลิตร แต่ถ้าพับเบาะแถวกลางทั้งหมด
ตามไปด้วย พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง จะเพิ่มเป็น 1,608 ลิตร แต่ข้อเสียคือ มันกลับ
ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นลักษณะ Flat Floor Cargo หรือพื้นราบเรียบต่อเนื่อง
ตั้งแต่พื้นห้องเก็บของ ยันเบาะแถวกลาง

การพับเบาะแถว 3 ก็ยังคงเป็นปัญหา เหมือนเช่นรถยนต์รุ่นอื่นๆ ในกลุ่มนี้ เพราะ
เบาะแถวหลังสุด ไม่สามารถแยกชิ้น ซ้าย – ขวาได้ ต่อให้พนักพิงเบาะของ Avanza
จะแบ่งพับได้ 2 ฝั่ง แต่สุดท้ายก็ยังต้องขึ้นอยู่กับเบาะรองนั่ง ที่ยังยึดเป็นชิ้นเดียวกัน
อยู่ดี ดังนั้น เบาะแถว 3 ของ Spin เอง ก็มีชะตากรรม ไม่ต่างกันเลย คือ ต้องพับลงมา
ทั้งชิ้น แล้วก็ยกหงายขึ้นได้ ด้วยเชือกปลกล็อกฝั่งขวาของฐานรองเบาะ มันอาจจะ
พอขนของได้ ถ้าผู้โดยสารไม่เกิน 5 คน แต่ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ลองศึกษา เบาะ
ของคู่แข่งรุ่นใหม่ๆ ให้ดีกว่านี้สักหน่อย แล้วปรับปรุงให้สามารถวางของได้แบบ
Flat Floor จะช่วยเพิ่มคุณค่า ในการใช้งานให้ลูกค้าได้มากกว่านี้

เมื่อเปิดพื้นห้องเก็บของด้านล่าง จะเจอยางอะไหล่ เป็นประทะล้อเหล็ก ขนาดเท่า
ยางติดรถ มาพร้อมแม่แรง และเครื่องมือประจำรถ เป็นมาตรฐาน

แผงหน้าปัด ยังคงออกแบบในแนวทาง Dual Cockpit แบบเดียวกับ Chevrolet รุ่นใหม่ๆ
ทั้ง Cruze Sonic ไปจนถึง Camaro ตกแต่งด้วยสี Two-tone คือน้ำตาลเข้ม ตัดกับสีเบจ
อ่อนๆ อันที่จริง ก็ดูสวยงามดีอยู่

พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน ยูรีเทน แทบจะยกเอาพวงมาลัยของ Sonic มาใส่ไว้เลยทีเดียว
ดังนั้น มันจึงเป็นพวงมาลัยที่ออกแบบมาค่อนข้างดี อาจต้องปรับปรุงนิดเดียว ตรงที่
แตรกดยาก ต้องใช้วิธี เคาะลงไป เพื่อไม่ให้มันไปก่อความรำคาญให้ชาวบ้าน ขณะที่
คุณกำลังจะด่ารถคันข้างหน้าว่าขับช้างุ่นง่านเหลือเกิน ก้านพวงมาลัยประดับด้วยวัสดุ
สีเงิน แต่ไม่มีสวิชต์ควบคุมชุดเครื่องเสียงมาให้ ซึ่งนั่นก็ไม่จำเป็นนัก เพราะตำแหน่ง
ติดตั้งชุดเครื่องเสียงของ Spin แม้จะยังไม่ดีเท่า Sonic แต่ก็อยู่ในตำแหน่งเหมาะสม
พอที่จะคุณเหยียดแขนซ้ายออกจนสุดมือ แล้วควบคุมการใช้งานด้วยปลายนิ้วได้

สวิชต์ไฟหน้า ติดตั้งอยู่ฝั่งขวา ใต้ช่องแอร์ ยกชุดใช้ร่วมกันได้กับ Chevrolet ทุกรุ่น
ตั้งแต่ Sonic ยัน Colorado มีสวิชต์เปิด – ปิดไฟตัดหมอกหน้าและหลังมาให้ และ
สวิชต์เลื่อนหมุนแนวตั้งที่อยู่ติดกัน มีไว้เพื่อเลื่อนปรับความสว่างของชุดมาตรวัด

กระนั้น ภายในห้องโดยสารของ Spin ยังแอบหลงเหลือ มรดกตกทอดของลักษณะการ
ติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก จากรถยนต์ในยุคทศวรรษ 1980 – 1990 มาให้เราได้
สัมผัสกัน ในยุคสหัสวรรษใหม่ อย่างคาดไม่ถึง…

สิ่งที่เห็นได้ชัดประการหนึ่งคือ ช่องแอร์ สารภาพว่า ครั้งแรกที่ขึ้นมานั่งบนรถ ผมพยายาม
หาทางปรับทิศทางลมจากช่องแอร์ แล้วต้องมาพบว่า สวิชต์ เลื่อนครีบข้างในไปซ้าย – ขวา
ก็คือสวิชต์แบบหมุนเลื่อน ด้านใต้ช่องแอร์นั่นแหละ ทั้งที่รถทั่วไป เขาใช้สวิชต์แบบนั้น
ในการเลื่อน เปิด-ปิด หน้ากากช่องแอร์แทน แต่ใน Spin ถ้าต้องการจะปิดช่องแอร์ แค่
แตะแถบที่ทำเอาไว้บนช่องแอร์ แล้วเลื่อนลงมา ปิดหน้ากากแอร์จนมิดสนิท เหมือนกับ
ช่องแอร์ของ Volkswagen Passat ปี 1998 กับ Toyota Corona ST150 ปี
1985 – 1988 แถมช่องแอร์ตรงกลาง ก็มีขนาดเล็กไปสักหน่อย คงคิดว่า ผู้โดยสาร
แถวกลางและหลัง มีช่องแอร์ของตนเองก็พอแล้วมั้ง แม้ผมจะมองว่า พอใช้ได้ แต่สำหรับ
บางครอบครัวที่ขี้ร้อน ช่องแอร์กลาง อาจมีขนาดเล็กเกินไปสำหรับพวกเขา

ต่อมา แผงบังแดดบนเพดาน มีกระจกแต่งหน้ามาให้เฉพาะฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย และ
แน่นอน ไม่มีไฟแต่งหน้ามาให้ ผู้โดยสารแถวหน้าและกลาง ต้องพึ่งไฟส่องสว่างที่
ติดตั้งอยู่เหนือกระจกมองหลัง มีแค่สวิชต์ชิ้นเดียว ไฟดวงเดียว ไม่มีแยกออกมาว่า
เป็นไฟส่องอ่านแผนที่ ใดๆทั้งสิ้น ดวงก็เล็กกระจิ๊กริด ยกมาจาก Sonic อีกนั่นแหละ
ไม่รู้ว่าจะงกกันไปไหน กะอีแค่ไฟอ่านแผนที่เนี่ย?

ที่น่าตำหนิมากที่สุดคือ แม้ว่ากระจกหน้าต่างทั้ง 4 บานจะเลื่อนขึ้น – ลงได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า
แต่ฝั่งคนขับ กลับไม่มีสวิชต์แบบ One-Touch (กดหรือยกขึ้นจังหวะเดียว กระจกหน้าต่าง
ฝั่งคนขับ จะเลื่อน ขึ้น หรือ ลง ให้จนสุดเอง) มาให้เลย ทั้งขาขึ้นและขาลง และแน่นอน
ว่าไม่มีระบบ ดีดกลับเมื่อมีสิ่งกีดขวาง Jam Protection มาให้ ทั้งที่ รุ่น 1.5 LTZ ถือว่าเป็น
รุ่นซึ่งมีราคาแพงสุด และมีเครื่องยนต์แรงสุดในกลุ่มเบนซิน ที่ทำตลาดทั่วโลก ของ Spin
นี่คือจุดเสียเปรียบคู่แข่ง เพราะเท่ากับว่า Spin กลายเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เพียง
แบบเดียวในตลาดเมืองไทยตอนนี้ ที่จะไม่มีสวิชต์หน้าต่างไฟฟ้า One-Touch ฝั่งคนขับ
มาให้เลย ทั้งขาขึ้น และขาลง

แย่นะครับ ของแค่นี้ จะงกไปไหน? ราคาก็แพงกว่าชาวบ้าน ควรจะใส่อุปกรณ์แค่นี้มาให้
ได้แล้ว อย่าเอาเปรียบลูกค้ากันเลย!

แถมสวิชต์ปรับกระจกมองข้าง ก็ช่างอยู่ห่างไกลจากมือผู้ขับเหลือเกิน คือเล่นติดตั้งกันอยู่
ที่มุมเสาประตูฝั่งขวากันเลย กลายเป็นว่า เมื่อปรับสวิชต์ปุ๊บ ก็ต้องถอยตัวกลับมานั่งใน
ตำแหน่งขับของตนอีกตรั้ง เพื่อเช็คว่า ปรับได้ตามตำแหน่งที่ต้องการหรือไม่ หากยังไม่
ลงตัว ก็ต้อง โน้มตัวไปข้างหน้า ปรับกันต่ออีก ไม่สะดวกต่อการใช้งานเอาเสียเลย

มาตรวัดความเร็วเป็นแบบ Digital ส่วนมาตรวัดรอบเครื่องยนต์แบบเข็มอนาล็อก ตกแต่ง
ด้วยสีเงินและโครเมียม Font ตัวเลขและตัวอักษร เป็นแบบพิเศษ ใช้โทนสีฟ้า Ice Blue
แทบจะเรียกได้ว่า ยกมาตรวัดของ Sonic มาใส่ใน Spin กันเป๊ะๆ มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้
มาตรวัดของทั้ง 2 รุ่นไม่เหมือนกัน ก็คือ Font ตัวอักษร และลาย Graphic ด้านหลังของ
มาตรวัดรอบ เพราะใน Spin มันถูกออกแบบขึ้นใหม่ เพื่อจงใจสร้างความแตกต่างจาก
มาตรวัดของ Sonic อย่างชัดเจน

ส่วนหน้าจอด้านบนฝั่งมุมขวามือ บอกข้อมูลเท่าที่จำเป็นขณะขับขี่ ทั้งความเร็วรถ ระดับ
น้ำมันเชื้อเพลิง และตำแหน่งเกียร์ ตลอดจนข้อมูลสำคัญอื่นๆ ทั้งอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
เฉลี่ย ระยะทางที่รถแล่นไปได้ด้วยน้ำมันในถังที่เหลืออยู่ เวลาเฉลี่ยในการเดินทาง ตั้งแต่
ติดเครื่องยนต์ และไฟเตือนระบบอุปกรณ์ต่างๆในรถ หน้าจอมุมขวาล่าง บอกแค่ ระยะทาง
ที่รถแล่นมาทั้งหมด Odometer กับ Trip Meter สำหรับผู้ขับขี่กดตั้งวัดระยะทาง ซึ่งมี
มาให้เพียง Trip A อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มี Trip B

การควบคุม งุนงงเล็กน้อย ถ้าจะเลื่อนดูข้อมูล จอขวาบนหรือจอขวาล่าง ให้กดปุ่ม Menu
บนก้านไฟเลี้ยว ฝั่งขวาของคอพวงมาลัย กดปุ่มบนหัวก้านสวิชต์ เพื่อเลือกข้อมูล หมุน
ก้านสวิชต์ เพื่อเลื่อนเมนู เลือกอ่าน และเลือกปรับไปด้วย แต่ถ้าจะเว็ต Trip Meter คุณ
ต้องเลื่อนหน้าจอไปที่ Trip Meter ให้ได้เสียก่อน แล้วจึงกดปุ่มสีดำ ที่ยื่นออกมาจาก
มารตรวัดรอบ…โอ้ยย งุนงงนะเนี่ย!!

ช่องใส่ของ ฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย Glove Compartment มาแปลก ทำตัวเป็นเครื่องซักผ้า
แบบฝาบน คือ เปิดฝายกขึ้น แล้วให้คุณ ล้วงมือลงไปหยิบเอกสารประจำรถ หรือสิ่งของ
จุกจิกที่ต้องการ เอาขึ้นมา ดีแต่ว่า ตัวกล่อง ติดตั้งแบบเอียงเข้าหาผู้โดยสารนะ ถ้าเป็น
แบบ BMW X6 ที่ต้องให้เราล้วงมือลงไปลึกแบบนั้น ผมคงค่อนแคะหนักกว่านี้แน่ๆ

ด้านบน เหนือช่องแอร์กลาง เป็นช่องวางของ ที่ผมขอเรียกมันว่า ช่องวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ออกแบบมาดีครับ โอกาสที่ พระเครื่องที่เคารพบูชา จะเคลื่อนองค์ไปมา ไม่ง่ายนัก

ชุดเครื่องเสียง หน้าตาคุ้นเคยมาแล้ว เพราะมันคือวิทยุ ชุดเดียวกับที่มีติดตั้งอยู่แล้วใน
Sonic 1.4 LT รุ่นมาตรฐานในบ้านเรานั่นเอง เป็นวิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD/
MP3 แบบ 1 แผ่น ที่มีหน้าตาอนุรักษ์นิยม เหมือนชุดเครื่องเสียงของรถยนต์ยุค 1990
ดู Conservative แต่ผมชอบเพราะมันใช้งานง่าย สะดวกพอประมาณ และสามารถใช้
ปรับฟังก์ชันระบบไฟฟ้า อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆในรถได้นิดหน่อย เหมือน
ใน Sonic 1.4 LT เป๊ะ อีกทั้งยังมีช่องเสียบ USB กับ หัวต่อ AUX ขนาดเล็ก ติดตั้งไว้
ถัดจากคันเกียร์ ลงมานิดเดียว พร้อมฝาปิดมาให้ แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ มีระบบเชื่อม
ต่อกับ Bluetooth มาให้ และมีลำโพงมาให้แค่ 4 ชิ้น

คุณภาพเสียง กลับอยู่ในเกณฑ์ดี แน่นอนว่า ดีกว่าชุดเครื่องเสียงของ Avanza แถม
ตีคู่สูสีกับชุดเครื่องเสียงแบบมาตรฐานของ Ertiga แถมจะมีเสียงใส และการแยก
รายละเอียดเสียงดีกว่ากันนิดเดียวด้วยซ้ำ

ถัดลงมา ฝั่งซ้ายเป็นสวิชต์ล็อก – ปลดล็อกบานประตูทั้ง 4 ฝั่งขวา เป็นสวิชต์ เพื่อ
เปิด – ปิด เครื่องปรับอากาศแถวหลัง มองต่ำลงไปกว่านั้น คือ เครื่องปรับอากาศ
ที่มีหน้าตาของสวิชต์ แบบด่านเจดีย์สามองค์ ยกชุดมาจาก Sonic 1.4 LT อีกนั่นละ
เพียงแต่ว่า สวิชต์ฝั่งขวา ไม่ได้มีไว้ปรับทิศทางลม แต่มีไว้แค่ เพื่อให้คุณเลือกว่า
จะรับอากาศข้างนอกเข้ามา หรือปิด Flap ปิดรับอากาศข้างนอกกันไปเลย ต่ำลงไป
เป็นช่องวางของอเนกประสงค์ ใส่โทรศัพท์มือถือ พร้อมกระเป๋าสตางค์ได้สบายๆ

ข้างลำตัวผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า กลับไม่มีที่วางแขนมาให้เลย ซึ่งถ้ามีมาให้
จะดีมาก เพราะที่เห็นอยู่นี้ มีเพียงช่องวางโทรศัพท์มือถือ ขนาดใญ่พอจะใส่เครื่อง
Blackberry ได้ มีช่องวางแก้วน้ำ รวม 3 ตำแหน่ง คือ ผู้โดยสารด้านหน้า 2 ตำแหน่ง
และด้านหลัง อีกแค่ ตำแหน่งเดียว ติดตั้งข้างตำแหน่งของก้านเบรกมือ และปลั๊ก
ขนาด 12 Volt สำหรับเสียบชาร์จไฟได้

ส่วนเครื่องปรับอากาศ สำหรับผู้โดยสารแถว 2 และ 3 นั้น มามุขง่ายมากครับ คือ
ทำสวิชต์ เปิด ปิด ความแรงพัดลมไว้ และมีช่องแอร์ แบบ รถเมล์ ปรับอากาศของ
ขสมก. มาให้ รวม 4 ตำแหน่ง ก็ถือว่า พอใช้งานได้ เย็นปานกลาง ไม่น่าเกลียด

เพดานเหนือผู้โดยสารด้านหลังสุด ยังมีไฟส่องสว่างมาให้แบบไม่เต็มใจอีก
1 ตำแหน่ง ส่วนมือจับยึดเหนี่ยวทางใจ (ศาสดา) มีมาให้ครบ ยกเว้นฝั่งคนขับ

ทัศนวิสัยด้านหน้า โปร่งตา เหมาะกับนักขับรถยนต์ยุคเก่าที่ยังคุ้นเคยกับการมองเห็น
ฝากระโปรงหน้า ขณะขับรถ GM Brazil เขาออกแบบมาเอาใจลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ
เลยทีเดียว  การวางตำแหน่งเบาะนั่งให้สูง มีส่วนช่วยให้การมองเห็น และกะเก็ง
สถานการณ์เฉพาะหน้า ทำได้ดีขึ้น ส่วนขอบหลังคาด้านบน ก็ทำให้พื้นที่ของกระจก
บังลมหน้า ไม่สูงจนเกินไปนัก มาตรวัดมีขนาดการแสดงผลที่เหมาะสมแล้ว

มองไปทางด้านขวา เสาหลังคาด้านหน้า A-Pillar ฝั่งขวา แอบมีการบดบังรถที่แล่นสวนมา
บนทางโค้งขวา จากถนนสวนกันสองเลน ได้บ้าง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก เพราะลองดู
โคนเสาหลังคาสิครับ หน้าเตอะขนาดนั้น อาจมีบดบังบ้าง แต่ก็ยังถือว่า ไม่น่าเกลียดนัก

กระจกมองข้าง มีขนาดเหมาะสม แต่อย่างที่บอกละครับ การปรับตำแหน่ง มันยากเพราะ
GM ออกแบบมาให้ปรับกระจกระหว่าง จอดรถเพิ่งติดเครื่องยนต์ใหม่ๆ ต้องเอื้อมตัว
ขึ้นไปปรับสวิชต์กระจกมองข้างกันแบบนั้น ไม่สบายเลย

มองมาทางซ้ายมือ เสาหลังคาด้านหน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย ก็มีโคนเสาที่ใหญ่เบ้อเร่อเบ้อร่า
แต่กลับบดบังรถที่แล่นสวนมา ขณะคุณกำลังเลี้ยวกลับรถ ไม่มากอย่างที่คิดเลย ถือเป็น
เรื่องที่ดี  ส่วนกระจกมองข้าง มีขนาดให่ญ่มองเห็นทุกอย่างชัดเจนใช้ได้

ส่วนเสาหลังคาคู่หลัง ทั้ง C-Pillar และ D-Pillar มีทัศนวิสัยที่พอจะปลอดโปร่ง ถ้าหาก
คุณไม่ได้ยกพนักศีรษะ เบาะแถว 2 หรือ 3 อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ ยกขึ้นมันทั้ง 2 แถว
กันเลย ภาพรวม ทัศนวิสัย ถือว่า ใช้ได้ ไม่ได้แย่มากมายอย่างที่คิดไว้แต่แรก

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ในตลาด Brazil Chevrolet Spin จะวางเครื่องยนต์ซึ่งดูจะโบราณกว่าบ้านเราอยู่สักหน่อย
เป็นขุมพลังแบบ Econo Flex  4 สูบ SOHC 8 วาล์ว 1.8 ลิตร กำลังอัด 10.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิง
ด้วยหัวฉีด MPFI (Multi-Point Fuel InjectionX ที่ถูกปรับแต่งมาเพื่อรองรับการใช้เชื้อเพลิง
Ethanol ในสัดส่วน 100% ถ้าเติมน้ำมันเบนซินปกติ จะได้กำลังสูงสุด 106 แรงม้า (PS) ที่
6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 16.4 กก.-ม.ที่ 3,200 รอบ/นาที แต่ถ้าเติมน้ำมัน แก็สโซฮอลล์
หรือ Ethanol เข้าไป จะแรงเพิ่มขึ้นเป็น 108 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดเพิ่มเป็น 17.1 กก.-ม.
ที่รอบเครื่องยนต์เท่าเดิม ขับเคลื่อนล้อหน้า ได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 6 จังหวะ

ส่วนตลาด Indonesia จะมีเครื่องยนต์ให้เลือก ทั้งหมด 3 แบบ นอกจาก เครื่องยนต์ขนาด
1,485 ซีซี แล้ว ยังมีขุมพลังเบนซิน 4 สูบ 1,229 ซีซี 16 วาล์ว หัวฉีด MPFI 86 แรงม้า (PS)
ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 115 นิวตันเมตร (11.71 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที และ
Diesel 4 สูบ 1,248 ซีซี 16 วาล์ว Common-Rail พ่วง Turbo 75 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/
นาที แรงบิดสูงสุด 190 นิวตันเมตร (19.36 กก.-ม.) ที่ 1,750 รอบ/นาที ทั้งคู่มีเฉพาะเกียร์
ธรรมดา 5 จังหวะ เท่านั้น

แต่เวอร์ชันไทย จะวางเครื่องยนต์หลัก S-TEC III เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,485 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 74.71 x 84.70 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.2 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด
MPFI (Multi-Point Fuel Injection) พร้อมระบบแปรผันวาล์ว ที่หัวแคมชาฟท์ ทั้งฝั่งไอดี
และไอเสีย DCVC (Double Continuous Variable Camphasing) ให้กำลังสูงสุด
107 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 148 นิวตันเมตร (15.08 กก.-ม.)
ที่ 3,800 รอบ/นาที (รูปข้างบนนี้)

ถ่ายทอดกลำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ของ GM รุ่น 6T30
ชุดเดียวกันกับใน Chevrolet SONIC ทั้ง 1.4 และ 1.6 ลิตร มีปุ่ม บวก-ลบ ติดไว้ที่ข้าง
คันเกียร์เหมือน Ford Focus ใหม่ แต่ถ้าคิดจะใช้โหมด บวก – ลบ คุณต้องผลักคันเกียร์ไป 
ที่ตำแหน่ง M กันก่อน ไม่ก่อให้เกิดความมันส์ในอารมณ์เหมือนตอนกระดิก คันเกียร์เองเสียเลย
ถ้าสามารถปรับปรุงข้อด้อยนี้ได้ ก็จะเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มแป้นเปลี่ยน
ตำแหน่งเกียร์หลังพวงมาลัย Paddle Shift  มาให้ อย่างที่ผมเคยคาดหวังไว้ใน Sonic ก็แหงละ
รถคนละประเภท Minivan เน้นพาครอบครัวท่องเที่ยว เอาแป้น Paddle Shift ไปทำไมละ?
อัตราทดเกียร์ เหมือนกับ Sonic 1.4 ลิตร ไม่มีผิด ดังนี้

เกียร์ 1 ………………………..4.449
เกียร์ 2 ………………………..2.908
เกียร์ 3 ………………………..1.893
เกียร์ 4 ………………………..1.446
เกียร์ 5 ………………………..1.000
เกียร์ 6 ………………………..0.742
เกียร์ถอยหลัง…………………..2.871
อัตราทดเฟืองท้าย……………..4.110

สมรรถนะจะเป็นอย่างไรนั้น เราทำการทดลองจับอัตราเร่ง กันในช่วงกลางคืน โดย
ยึดมาตรฐานเดิม คือ เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า และนั่ง 2 คน (ผู้ขับขี่ กับคนจับเวลา) และ
ผลลัพธ์ที่ได้ออกมา เมื่อเทียบกับคู่แข่ง มีดังนี้

เป็นไงครับ ตัวเลขที่ออกมา แอบพลิกความคาดหมายใช่ไหมละ!?

ถ้าคุณกลัวว่ามันจะอืด เลิกกลัวได้เลยครับ ผมยืนยันให้ว่า Spin ไม่ได้อืด แต่ต้อง
ขึ้นอยู่กับว่า คุณจับเวลา ในช่วงไหนของวัน และสภาพกระแสลมที่มาปะทะข้าง
ลำตัวของรถ มีมากหรือไม่ รวมทั้งน้ำหนักบรรทุก มีอยู่เท่าไหร่ เพราะมิเช่นนั้น
โอกาสจะเห็นตัวเลขจากจุดหยุดนิ่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แถวๆ 13.10 วินาที
กับช่วงเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 11.5 วินาที มีสูงเลยทีเดียว

แต่ในวันที่เราทดลองนั้น จังหวะประเหมาะเคราะห์ดีมาก ที่ ไม่มีกระแสลมมา
ปะทะด้านข้างเลย แถมท้องฟ้ายามดึกดื่น ก็ยังเป็นใจ ไม่ส่งฝนฟ้าลงมากระหน่ำ
อีกทั้ง ปริมาณการจราจรก็เบาบางอีกต่างหาก ช่างเป็นค่ำคืนที่เหมาะแก่การจับ
อัตราเร่งเป็นอย่างยิ่ง และนั่นคือที่มาว่า ทำไมตัวเลข ถึงออกมาดูดีจังเลย

ตัวเลขที่ออกมานั้น ทำให้เราในกลุ่ม The Coup Team ถึงกับอึ้งว่า เฮ้ย! นี่มันแรง
ในระดับเท่าๆกับ Toyota Vios รุ่นปี 2002 เลยนะ ด้อยกว่ากันนิดเดียวจริงๆ และ
ถือว่าเป็นตัวเลขที่พอกันกับมาตรฐานอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ของเหล่า
B-Segment Sub-Compact Sedan & Hatchback กันด้วยซ้ำ แถม Spin ยัง
เร็วกว่า แรงกว่า Chevrolet Sonic 1.4 ลิตร พี่น้องร่วมค่ายอีกต่างหาก จนเราสงสัย
ว่า ทำไม GM ถึงไม่ยอมเอาเครื่องยนต์ 1,500 ซีซี บล็อกนี้ มาวางใน Spin กันเสีย
ตั้งแต่แรก?? มีของดี เก็บไว้เพาะถั่วงอกขายกันหรือไง ถึงเพิ่งมาปล่อยเอาป่านนี้?

ดูตัวเลขสิครับ จริงอยู่ว่า Suzuki Ertiga เกียร์ธรรมดา ยังคงเป็นจ่าฝูงในกลุ่มอยู่ดี
แต่ถ้าตัดหมอนั่น ออกไป เทียบกันเฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ล้วนๆ เพียวๆ งานนี้ Spin
มีภาษีดีกว่าเพื่อน ขณะที่ตัวเลขอัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็เร็วกว่า
คู่แข่ง ราวๆ 0.2 – 0.3 วินาที เหตุผลสำคัญก็คือ การติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ  6 จังหวะ
เป็นรายแรกของกลุ่ม B-Segment Sub-Compact Minivan ดังนั้น การเรียก
แรงบิดในช่วงออกตัวจึงทำได้ต่อเนื่องกว่า เมื่อเปลี่ยนเกียร์แล้ว ลดช่วงรอบเครื่องยนต์
ตก เพื่อรอไต่รอบกันใหม่ในแต่ละเกียร์ ลงไปได้ดีขึ้นมาก และนั่นจึงทำให้อัตราเร่งของ
Spin ออกมาดีกว่าเพื่อนอย่างที่เห็น ยกเว้นช่วงเข้าสู่เกียร์ 4 ที่ ความเร็วหลังจาก
130 กิโลเมตร/ชั่วโมงไปแล้ว เรี่ยวแรงหายหมด ลากรอบกัน ไปจนกว่าจะถึงช่วง
Top Speed

อันที่จริง ความเร็วสูงสุด ของ Spin อยู่ในระดับปานกลาง แต่ก็ดีกว่า Avanza
รวมทั้ง Honda Freed แม้จะยังเป็นรอง Ertiga อยู่เป็นธรรมดา ถูกกล่อง ECU
ล็อกเอาไว้ ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่า ควรล็อกเพราะ รถยนต์ประเภทนี้ ไม่เหมาะจะ
ใช้ความเร็วสูงเกินกว่า 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่แล้ว โดยธรรมชาติของมัน

อีกทั้ง เราเอง ก็คงต้องย้ำเตือนคุณผู้อ่านกันเอาไว้ตรงนี้เช่นเคยว่า เราไม่ขอ
ส่งเสริมหรือสนับสนุนให้คุณ ไปทดลองความเร็วสูงสุดด้วยตัวคุณเอง เพราะ
นอกจากจะผิดกฎหมาย พรบ.จราจรทางบก แล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อ
ตัวคุณเอง และเพื่อนร่วมทางได้ เราทำตัวเลขมาให้ดูเพื่อจะให้เป็นข้อมูลให้
คุณและผู้ที่สนใจศึกษาในด้านวิศวกรรมยานยนต์ได้มีข้อมูลกันไว้เท่านั้น

ในการขับขี่จริง บอกได้เลยว่า อัตราเร่งที่มีมาให้ “เพียงพอ” สำหรับคนส่วนใหญ่
ที่ขับรถเรื่อยๆ หรือจะขับเร็วกว่าปกติพอสมควร ถ้าคิดจะเร่งแซง บางทีแค่เหยียบ
ลงไปครึ่งคันเร่ง ก็เพียงพอแล้วสำหรับการแซงรถบรรทุกเทรลเลอร์ อาจเจออาการ
วูบขณะแซงผ่านรถใหญ่นิดนึง แต่ก็ยังน้อยกว่า คู่แข่งในตลาดทั้งหมด

แต่ถ้าต้องการเร่งแซงอยากรวดเร็ว ให้เหยียบคันเร่งจมมิด Torque Converter 
จะช่วยเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำได้ทันอกทันใจ กว่าการที่คุณจะเปลี่ยนเกียร์เข้าโหมด M
เพื่อเล่นกับสวิชต์ บวก-ลบ ข้างคันเกียร์ ซึ่งมีขนาดเล็กเท่ากับสวิชต์ลิฟต์ใน ตึกรสา
สำนักงานใหญ่ Chevrolet Thailand ซะอีก แล้วถ้าคุณจะเล่นเกียร์ M เมื่อใด
ระลึกไว้ด้วยว่า เมื่อลากรอบขึ้นไปจนสุดแล้ว เกียร์จะไม่ตัดรอบเปลี่ยนเกียร์ขึ้นให้คุณ
แต่ผู้ขับขี่ ต้องกดเปลี่ยนเกียร์ขึ้นด้วยตัวเอง มิเช่นนั้น รอบเครื่องยนต์ก็จะถูกลากจน
ร้องครางลั่น แถวๆ 6,500 รอบ/นาที ชวนให้เวทนาแก่สาธุชนผู้ได้สดับรับฟังเสียง
เครื่องยนต์มากๆ เพราะฟังดูแล้วเหนื่อยแทนเครื่องยนต์มันเลยจริงๆ!

แต่อัตราเร่งที่ขุมพลังบล็อกนี้พยายามตอบสนองให้ มันก็ใช้ได้ เร่งดีกว่าที่คิด
และช่วยให้คุณผ่านพ้นจากรถขับงี่เง่าบนท้องถนนได้อย่างง่ายดายกว่าที่คาด
เว้นเสียแต่ว่า รถที่มากวนบาทาคุณนั้น เขาจะแรงกว่าคุณมาก ถ้าเจอเช่นนั้น
หลบเลนซ้ายให้เขาแซงขึ้นไปเถอะ อย่าไปต่อกรด้วย ไล่ตามอย่างไร ก็ยาก
ที่จะตามทัน เว้นเสียแต่ว่า เขาจะยกคันเร่งถอน ปล่อยให้คุณแซงไปเอง

เสียงรบกวนจากกระแสลมด้านข้าง จะดังขึ้น เมื่อใช้ความเร็วระดับ 100
กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ส่วนใหญ่ เป็นเสียงที่มาจากยาง ขณะสัมผัสกับ
พื้นถนน มากกว่าจะเป็นเสียงกระแสลมที่ไหลผ่านด้านข้างตัวรถ ซึ่งคุณ
จะได้ยินจากบริเวณ เสาหลังคากลาง B-Pillar ชัดเจนกว่าส่วนอื่นๆ ถือว่า
การเก็บเสียง ทำได้ดีในระดับสมราคา แต่จะดีกว่านี้ ถ้าจะเงียบกว่านี้ได้อีก
เพราะมันดังขนาดที่คุณต้องเร่งเสียงคุย และเพิ่มเสียงของวิทยุให้ดังขึ้น
เลยทีเดียว!

พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบ ไฮโดรลิก รัศมี
วงเลี้ยว อยู่ที่ 5.4 เมตร ให้ประสบการณ์ที่ชวนให้ผมระลึกชาติได้เลยว่า เราต่าง
เคยพานพบประสบเจอกันมาแล้วใน Chevrolt Sonic นั่นเอง!

ในช่วงความเร็วต่ำ พวงมาลัยจะมีน้ำหนักค่อนข้างมากกว่าคู่แข่งคันอื่นๆในตลาด
กลุ่มเดียวกันอยู่สักหน่อย สำหรับผม ถือว่าน้ำหนักกำลังดี ไม่เบา ไม่วอกแวกไป
แต่สำหรับคุณสุภาพสตรี ผมมองว่ามันหนักและหนืดไปหน่อย เพราะคุณอาจต้อง
ออกแรงหมุนพวงมาลัย ขณะถอยรถเข้าจอด มากกว่า Ertiga และ Avanza
อย่างชัดเจน กระนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับรถยนต์คันอื่นๆ ที่ผมเคยขับมาแล้ว ระดับ
น้ำหนักและความหนืดของมัน จะยังเบากว่า Chevrolet Optra อยู่นิดนึง

นั่นจึงทำให้ต้องออกแรงหมุนพวงมาลัยเพิ่มจากรถยนต์ทั่วไปชัดเจน โดยเฉพาะ
ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนเลน ขณะที่การจราจรติดขัด และต้องการเบี่ยงออกเลนซ้าย
ซึ่งแล่นได้โล่งสบายกว่าเห็นๆ คุณต้องออกแรงหมุนพวงมาลัยของ Spin มาก
เกินกว่าที่คุณจะต้องทำกับพวงมาลัยของคู่แข่งที่เหลือทุกคัน จนทำให้คุณอาจ
คิดไปว่า ความคล่องแคล่ว ขณะมุดลัดเลาะไปตามสภาพการจราจรในเมือง อาจ
สูญหายตกหล่นไปบ้าง

แต่ในช่วงความเร็วเดินทาง หรือความเร็วสูงนั้น ชัดเจนเลยครับว่า พวงมาลัยของ
Spin นิ่งกว่า เซ็ตอัตราทดมาไม่ไวเท่า และมีน้ำหนักดีกว่า พวงมาลัยของ Ertiga
ความแม่นยำในการเลี้ยว อยู่ในระดับปานกลาง แต่ถือว่า เหมาะสมกับรูปแบบของ
ตัวรถ  เพราะ รถยนต์ประเภทนี้ ไม่ได้ต้องการพวงมาลัยที่ไวแบบรถแข่ง หรือว่า
พวงมาลัยที่หน่วงๆ ช้าๆ หนืด ๆ ซื่อบื้อ แบบพวงมาลัยรถเมล์ ขสมก.ยุคโบราณ
ดึกดำบรรพ์ แต่มันควรจะเป็นพวงมาลัยที่มีน้ำหนักไม่หนืด ไม่เบาจนเกินไป

จนผมพูดได้เต็มปากว่า นี่คือพวงมาลัยที่ดีที่สุด ของรถยนต์ กลุ่ม Compact
Minivan 7 ที่นั่ง ที่ผลิตจาก Indonesia แต่มันจะดีกว่านี้ได้อีก ถ้าจะช่วย
ลดความหนืดในช่วงความเร็วต่ำ ลงมาอีกนิดเดียวเท่านั้น อย่าลดเยอะ ปล่อย
ให้ระบบผ่อนแรง ทำงานเพิ่มขึ้นในช่วงความเร็วต่ำอีกนิดเดียว เพียงเท่านี้
พวงมาลัยของ Spin จะลงตัวอย่างสมบูรณ์กับรูปแบบตัวรถ ยิ่งกว่านี้ได้อีก

แต่อาจต้องหมายเหตุสักนิดว่า รถคันนี้ ผมยังไม่กล้าปล่อยมือจากพวงมาลัย เพราะ
ในช่วงความเร็วสูง ตัวรถจะพยายามแล่นแหวกผ่านอากาศ เมื่อมีกระแสลมมาปะทะ
ด้านข้างลำตัวรถ ก็อาจเกิดอาการ วอกแวกไปมา อยู่บ้าง แต่ถือว่า ปรากฎอาการ
น้อยกว่า ทั้ง Ertiga และ Avanza อยู่พอสมควร

ระบบกันสะเทือนหน้า แบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลัง เป็นแบบ ทอร์ชันบีม
มีเหล็กกันโคลงเสริมมาให้ทั้งด้านหน้าและหลัง เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ที่ Spin
ทำผลงานออกมาได้ดีกว่าคู่แข่งทุกคันในตลาด

การขับขี่ในช่วงความเร็วต่ำ ขณะผ่านลูกระนาดตามตรอกซอกซอยต่างๆ เป็นไป
อย่างหนักแน่น แต่สัมผัสได้ว่ามีการดูดซับแรงสะเทือนไว้อย่างดี เพียงแต่ว่า
ช็อกอัพคู่หน้า มีอาการคล้ายกับช็อกอัพของ Honda Brio คือ มีระยะยุบตัว
สั้นไปหน่อย ทำให้เกิดอาการกระชากตัวลงมา เมื่อลองขับผ่านเนินสะดุด
เหล่านี้ ด้วยความเร็ว 20 – 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง

นอกจากนี้ บนพื้นผิวขรุขระ หลุมบ่อเยอะ คุณอาจพบอาการสะเทือนที่ยัง
หลงเหลือเล็ดรอดขึ้นมาให้ได้สัมผัสกันบ้างเล็กน้อย ยิ่งถ้าเป็นพื้นผิวแบบ
ไม่เรียบ เล็กๆ ต่อเนื่องกันไป จะพบความสะเทือนขึ้นมาพอสมควรทีเดียว
แม้จะไม่ถึงกับตึงตัง แต่ก็แอบทำให้ผู้สงอายุบ่นได้นิดนึง

กระนั้น ช่วงล่างของ Spin จะทำหน้าที่ได้ดีในช่วงความเร็วเดินทาง และ
ความเร็วสูงมากๆ แม้จะมีอาการวอกแวก จากระแสลมมาปะทะด้านข้าง
อยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าน้อยกว่าคู่แข่งทุกคันในตลาด และถ้าในช่วงที่ไม่เจอกับ
กระแสลมปะทะเลย คุณจะพบว่า Spin ตอบสนองได้นิ่ง ระดับใช้ได้เลย
ดีที่สุดในกลุ่ม B-Segment Minivan ด้วยกัน

ส่วนการเข้าโค้งนั้น  ผมสัมผัสได้ว่า จุดศนย์ถ่วงของรถ ไม่น่าจะสูงอย่างที่
หลายคนประเมินไว้ เพียงแต่ว่า ตำแหน่งเบาะนั่งที่สูงไป ทำให้หลายคน
แอบหวาดเสียวว่าจะตกจากเบาะ ขณะเข้าโค้งรูปเคียว บนทางด่วน เหนือ
ย่านรถไฟมักกะสัน ด้วยความเร็ว 93 กิโลเมตร/ชั่วโมง (Limit ของรถคันนี้
ในโค้งดังกล่าว จะอยู่ที่ 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง เกินกว่านี้ หลุดโค้งแหงๆ)  
ถ้าคุณทำความคุ้นเคยกับรถสักพัก ก็จะรู้ว่า Spin มันพอเล่นโค้งยาวๆ ได้ดี
กว่าที่คาด ต่อให้คุณพามัน เข้าโค้งขวายาวๆ ช่วงเลยจากเมืองทองธานีไป
ยังศรีสมาน ด้วยความเร็ว 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง รถก็ยังนิ่ง และไม่ออก
อาการน่ากลัวให้คุณเห็นเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นใน Toyota Avanza เลย
แม้แต่น้อย!

ระบบห้ามล้อด้านหน้า เป็นดิสก์เบรกแบบมีรูระบายความร้อน ส่วนด้านหลังยังคง
เป็นดรัมเบรก เสริมด้วยระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกระทันหัน ABS (Anti-Lock
Braking System)

แป้นเบรกมาในสไตล์หนักแน่นแต่นุ่มนวลดี ทว่า ยังไม่ Linear เท่าที่ควร เหยียบเบรก
ในช่วงแรกๆ แป้นเบรกจะต้านเท้าขึ้นมาก็จริงอยู่ กระนั้น รถก็จะยังไม่หน่วงความเร็ว
ลงมา จนต้องเหยียบลงไปราวๆ 30 – 40% ของระยะเหยียบนั่นแหละ ตัวรถจึงจะเริ่ม
หน่วงความเร็วลงมาชัดเจน แต่พอเพิ่มน้ำหนักลงไปเป็นครึ่งหนึ่ หรือเกินกว่านั้น จะ
กลายเป็นว่า รถมีอาการหน้าทิ่ม “จึ๊ก” ทันที  ในช่วงขับรถคลานๆไปตามสภาพการ
จราจรในเมืองได้ดี จะเบรกให้นุ่มก็ทำได้ หรือจะเบรกจึกๆ ก็พอได้ ส่วนการหน่วง
ความเร็ว จากรย่านความเร็วสูงนั้น แม้เกียร์จะช่วยหน่วงรถลงมาด้วย แต่จะดีกว่านี้
ถ้าเบรกจะตอบสนองได้ ต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มเหยียบลงไปบนแป้นเบรก มากกว่านี้

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

ในเมื่ออัตราเร่ง ทำได้ดีพอสมควร แล้วความประหยัดน้ำมันละ? ประเด็นนี้ มักจะถูก
เข้าใจในหมู่ลูกค้า Chevrolet ด้วยกันว่า รถยนต์แต่ละคันที่ GM ทำขายในเมืองไทย
อัตราสิ้นเปลืองในการใช้งานจริง มักออกมา ไม่ค่อยดีนัก อยู่ในระดับกลางๆ หรือไม่
ก็แย่กว่าเพื่อนฝูงเขาไปเลย

Spin จะยังคงสืบทอดเจตนารมณ์เดียวกับพี่ๆน้องๆร่วมตระกูลก่อนหน้านี้หรือเปล่า?

เพื่อให้หายสงสัย เราจึงยังคงทำการทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ตามมาตรฐาน
ดั้งเดิมของเรา คือ นำรถไปเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex
ริมถนนพหลโยธิน ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ ในช่วงกลางคืน

เราเติมน้ำมันด้วยวิธี ขย่มรถ เพราะ รถยนต์ในกลุ่มเครื่องยนต์ ไม่เกิน 2,000 ซีซี และ
กลุ่มรถกระบะ คือรถยนต์กลุ่มที่คุณผู้อ่านอยากรู้เรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ในระดับ
ซีเรียสกับตัวเลขมากกว่าปกติ เราจึงต้องเติมน้ำมันกันแบบเขย่ารถจนกว่าน้ำมันจะเอ่อ
ขึ้นมาถึงปากคอถังแบบนี้

สักขีพยาน ยังคงเป็นน้องโจ๊ก V10ThLnD สมาชิก กลุ่ม The Coup Team ของเรา
เหมือนเช่นรถยนต์รุ่นใหม่ๆในรอบเกือบ 2  ปีมานี้

เราเติมน้ำมันกันจนเต็มถังขนาดความจุ 50 ลิตร จนเอ่อขึ้นมาถึงปากคอถังแล้ว
เราก็เริ่มต้นการทดลองขับ คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ แค่สวิชต์
พัดลมเบอร์ 1 อุณหภูมิ เปิดแอร์ ในระดับความเย็นแบบ ปานกลาง

เราออกจากปั้ม Caltex เลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน หน้าปากซอยอารีย์สัมพันธ์
ไปเลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะไปออกปากซอยโรงเรียนเรวดี ถนนพระราม 6
จากนั้น เลี้ยวขวาขึ้นไปบนทางด่วนสายอุดรรัถยา ขับมุ่งหน้าตรงไปยัง ปลายสุด
ทางด่วน ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วน อีกรอบ รักษาความเร็ว ตาม
มาตรฐานเดิม คือแล่นไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดเครื่องปรับอากาศ เปิด
ไฟหน้ารถ และนั่ง 2 คน

เมื่อลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  เราเลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน ก่อนจะ
เลี้ยวกลับรถที่ใต้สถานี รถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้ว เลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน
Caltex อีกครั้ง เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ให้เต็มอีกครั้ง

พอหัวจ่ายตัด เราก็เริ่มเขย่ารถ เหมือนเช่นในช่วงเริ่มต้นทำการทดลอง เพื่ออัดกรอก
น้ำมันลงไปให้ได้เยอะมากที่สุด ให้น้ำมันเข้าไปอยู่ในถัง แทนที่อากาศในถัง ให้ได้
มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดความเสี่ยงจากตัวแปรเรื่องปริมาณน้ำมันที่เติม
เข้าไป เพราะอาจมีผลให้การทดลองผิดเพี้ยนไปไกลกว่าที่รถควรจะทำตัวเลขออกมา

อย่างไรก็ตาม Spin นั้น พวกเราออกแรงขย่มรถกันไม่ต้องมาก เพราะเติมลงไปแล้ว
น้ำมันจะไหลปรู๊ดลงไปอยู่ในถังค่อนข้างเร็ว เขย่าแค่สัก 5-10 ครั้ง ต่อการเติมน้ำมัน
แบบหยอดลงไปทีละหน่อย เมื่ถึงจุดที่เต็มแน่นจริงๆ น้ำมันจะเอ่อขึ้นมาเอง โดยที่
เราไม่ต้องไปขย่มมากให้เสียเหงื่อเปลืองแรง

เมื่อเติมน้ำมันกันจนเสร็จแล้ว ก็ได้เวลามาคำนวน หาตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยกันละ!

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด 94.0 กิโลเมตร

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.94 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 13.54 กิโลเมตร/ลิตร

ถือว่า ไม่เลวร้ายนัก อยู่ในระดับกลางๆ ไม่ดี ไม่ด้อย ไปกว่าคู่แข่งในกลุ่มเดียวกัน คันอื่นๆ

ถ้าเทียบตัวเลขกับคู่แข่งแล้ว จัดว่า อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของ Spin อยู่ในตำแหน่ง
“กลาง” ของตลาด ดูเหมือนว่าจะดีกว่าคู่แข่งเพียงรุ่นเดียว นั่นคือ Toyota Avanza
ที่ไม่ว่าจะเปลี่ยนรุ่นใหม่ เปลี่ยนตัวถังใหม่กันยังไง ก็ยังทำตัวเลขให้ดีเกินระดับ
13 กิโลเมตร/ลิตรขึ้นมา ไม่ได้สักที

แต่แน่นอนว่า ตัวเลขที่ออกมา ยังด้อยกว่า Suzuki Ertiga รุ่นเกียร์อัตโนมัติอยู่ 0.5
กิโลเมตร/ลิตร รวมทั้ง Honda Freed (0.6 กิโลเมตร/ลิตร) ซึ่งยังถือว่า พอรับได้
ส่วนรุ่นที่ประหยัดเกินหน้าเกินตาเพื่อนฝูงเขาไป ก็คือ Ertiga เกียร์ธรรมดา ที่
โผล่มาพร้อมกับตัวเลข 15.10 กิโลเมตร/ลิตร แม้แต่รุ่นเกียร์อัตโนมัติเอง ยังมอง
ค้อนขวับหางตาแทบจิกกันเลยทีเดียว!

แล้วถ้าถามว่า น้ำมัน 1 ถัง แล่นได้ไกลแค่ไหน?

คำตอบก็คือ หลังจากเติมน้ำมันจนหัวจ่ายตัดแล้ว คุณยังสามารถอัดกรอกน้ำมันลงไปได้อีก
ถึง 17 ลิตร เศษ และนั่นคือส่วนหนึ่งที่ทำให้ ผมสามารถแล่นได้ระยะทางถึง 499 หรือ
500 กิโลเมตร โดยที่เข็มน้ำมันเพิ่งจะหล่นลงมาจากระดับครึ่งถัง!! อย่างที่เห็นในภาพนี้

น่าจะยังแล่นได้อีกราวๆ 200 กิโลเมตร นะ

แถมให้อีกนิดนึง….สิ่งที่ผมเจอ ระหว่างการทดลองขับ

– มีมด 1 ตัว มันหลุดหลงเดินเล่นเข้าไปในชุดมาตรวัดได้ยังไงก็ไม่รู้ !!??
– มีอยู่วันหนึ่ง ขับรถเข้าโค้งอยู่ดีๆ พอกลับมาตั้งลำตรงๆ มาตรวัดน้ำมันไม่ทำงาน
   เข็มน้ำมันหายไปเรียบร้อยเกลี้ยงเลย…อยู่ในสภาพ งุนงงว่า อาจต้องเตรียม
   ทำใจ เติมน้ำมันทุก 350 กิโลเมตร เพื่อตัดปัญหาน้ำมันหมดกลางทาง
   ที่ไหนได้ ระหว่างถ่ายรูปรถ เย็นวันเสาร์ จู่ๆ มาตรวัดน้ำมันก็กลับมาทำงาน
   อีกครั้งหนึ่ง! ช่างหลอนอะไรได้ขนาดนี้?

********** สรุป **********
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่งานวิศวกรรมเลย แต่มันอยู่ที่การออกแบบเบาะนั่ง และราคา ต่างหาก!

หลังจากใช้ชีวิตกับ Spin มา 5 วัน 4 คืน ผมได้ค้นพบว่า ปัญหาที่แท้จริงของรถคันนี้
มันไม่ได้อยู่ที่ งานวิศวกรรม เลย ตรงกันข้าม นี่คือสิ่งที่ทำให้ Spin ยังหลงเหลือความ
น่าสนใจเอาไว้ในสายตาของลูกค้าได้บ้าง ในตอนนี้

เพราะเครื่องยนต์ 1,500 ซีซี เมื่อทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ลูกเดียวกับ Sonic
พบว่า มีเรี่ยวแรงดีเกินกว่าที่คิดไว้ จนชวนให้สงสัยว่า ทำไม GM ถึงไม่นำ ขุมพลังบล็อกนี้
มาวางใน Sonic เวอร์ชันไทย กันคั้งแต่แรก ปล่อยรุ่น 1,400 ซีซี ขายกันอยู่ได้ทำไมตั้งเป็นปี?

พวงมาลัย อาจจะหนืดไปสักหน่อยสำหรับคุณสุภาพสตรี แต่เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงแล้ว
ภาพรวมการตอบสนอง ทำได้ดีที่สุดในกลุ่ม B-Segment Minivan ทั้งหมด ไม่ไวเกินไป
ไม่เบาเกินไป ไม่ถึงกับคล่องแคล่วนัก แต่ก็หนืดกำลังดี (สำหรับผู้ชายไทยทั่วไป) น้ำหนัก
กำลังใช้ได้  ก็แน่ละ นี่มันคือ พวงมาลัยแบบ Sonic ที่ผมชื่นชอบเลยนี่หว่า!

ช่วงล่าง ดีกว่าที่คิด แม้จะมีการสั่นสะเทือนในช่วงที่ต้องลุยผ่านพื้นผิวขรุขระต่อเนื่อง
กัน แต่เมื่อขับผ่านลูกระนาด เนินสะดุด และใช้ความเร็วสูงๆ นี่คือช่วงล่างที่มั่นใจได้
มากที่สุด ในบรรดา คู่แข่งร่วมพิกัดทุกคันในตลาด!

แต่ปัญหาที่แท้จริงของ Spin หนะ มันมาจาก การออกแบบห้องโดยสาร โดยเฉพาะเบาะนั่ง
การติดตั้งอุปกรณ์มาขาดๆเกินๆ จนชวนให้นึกถึงรถเก๋งในยุค 1980 มากกว่าจะเป็นรถยนต์
รุ่นใหม่ ในยุค 2013

เพราะสิ่งที่ GM ควรจะนำไปปรับปรุงกับ Spin เป็นอย่างยิ่งนั้น มีด้วยกันหลายเรื่อง
และส่วนใหญ่ มันเกี่ยวข้องกับงานออกแบบภายในห้องโดยสาร แทบทั้งหมด….

1. ไปออกแบบเบาะคู่หน้า เบาะแถวกลาง และเบาะแถวที่ 3 มาใหม่ โดยเฉพาะส่วน
พนักพิงของเบาะคู่หน้า กับแถวกลาง รวมทั้ง พนักศีรษะที่แข็งเกินไป ปรับปรุงให้
เบาะแถวกลาง สามารถปรับได้อเนกประสงค์กว่าเดิม นี่เป็นประเด็นสำคัญที่ถือว่า
เป็นจุดชี้เป็นชี้ตาย สำหรับลูกค้าหลายคน ในการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์กันเลยละ

เพราะเบาะนั่งรุ่นปัจจุบัน มันนั่งไม่สบายอย่างรุนแรง ถือว่า แย่และห่วยแตกที่สุด
ในบรรดารถยนต์ที่ผมเคยทำรีวิวมาตลอด เกือบ 10 ปี (ถ้าไม่นับ Tata Xenon และ
พนักศีรษะเบาะคู่หน้า ของ Hyundai Tucson ที่ไม่รู้จะดันกบาลกันไปถึงไหน)

ไม่เพียงเท่านั้น ควรจะใส่คันโยก ปรับระดับสูงต่ำให้เบาะคนขับเพิ่มมาด้วย
จะได้สอดรับกับความต้องการของลูกค้า ที่มีสรีรร่าง แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

รวมทั้งปรับปรุงรูปแบบการพับเบาะ ให้เบาะแถวหลังสุด สามารถพับเก็บลงไป
กับพื้นรถ หรือแบ่งแยกเป็น 2 ชิ้น แขวนไว้ด้านข้าง ก็ยังดี เพื่อให้สามารถใช้
ประโยชน์จากพื้นห้องโดยสาร ต่อเนื่องถึงห้องเก็บของด้านหลัง ได้เต็มที่
ปราศจากสิ่งใดมากั้นขวาง

2. อุปกรณ์พื้นฐาน ที่จำเป็น อย่าง กระจกหน้าต่างไฟฟ้า One Touch ฝั่งคนขับ
จะงกกันไปทำไม? ติดตั้งมาให้ได้แล้ว! อย่าเขียมในเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้!

3. สวิชต์ ปรับกระจกมองข้างด้วยไฟฟ้า จะติดตั้งอยู่ไกลถึง ปัตตานี กันเลยหรือไง?
ย้ายมันเข้ามาไว้ให้ใกล้มือคนขับมากกว่านี้เสียทีเถอะ!

4. เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า เป็นแบบ Pre-Tensioner & Load Limiter ที่ทันสมัยมาก
แต่กลับไม่สามารถปรับระดับสูง – ต่ำได้เลย มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
มันชวนให้นึกถึง การออกแบบของรถยนต์ยุค 1980 เหลือเกิน

5. ปรับปรุงการตอบสนองของแป้นเบรก ให้ Linear ยิ่งขึ้นกว่านี้ เพิ่มการคอบสนอง
ในทันทีที่ผู้ขับขี่เริ่มใช้นิ้วเท้าแตะลงไปยังแป้นเบรก มันควรจะเริ่มหน่วงความเร็วรถ
ลงมาตั้งแต่เสี้ยววินาทีแรกที่เหยียบเบรกแล้ว ไม่ใช่ต้องปล่อยให้เหยียบลงไปถึง 40%
คาลิปเปอร์ จึงจะเริ่มทำงานให้ผ้าเบรก จับตัวกับจานเบรกได้เต็มที่

6. เพิ่ม Down Force บริเวณด้านหน้ารถอีกนิดนึง จะช่วยลดอาการวอกแวกจากกระแส
ลมมาปะทะด้านข้าง ในช่วงความเร็วตั้งแต่ 130 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ลดลงได้อีก
นิดหน่อย

7. ออกแบบคันเกียร์ใหม่ จัดการกับตำแหน่ง บวก ลบ บนคันเกียร์ ให้สะดวกต่อการ
ใช้งานมากขึ้นกว่านี้ จะเปลี่ยนเป็น Paddle Shift ก็ทำได้

8. ปรับราคาขายให้สามารถแข่งขันกับชาวบ้านเขาได้ดีกว่านี้

ประเด็นราคาขายถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ผมไม่แน่ใจว่า สันนิษฐานของผม จะตรงกับ
ความจริงที่เกิดขึ้นแค่ไหน อย่าลืมว่า ณ ช่วงเดือน กุมภาพันธ์ 2013 วันที่ Suzuki ปล่อย
Ertiga มาให้เราลองขับ ทำบทความ Full Review ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ทาง
Suzuki ประเมินราคาขายปลีกไว้ ที่ระดับ 7 แสนกว่าบาท

หลังจากนั้น เมื่อ GM เปิดราคาของ Spin ออกมาที่ 762,000 บาท Suzuki ก็สร้างเซอร์ไพรส์
ช็อกตลาด ด้วยการปล่อยราคา 554,000 – 689,000 บาท จนทำให้ราคาขายของ Spin ดูแพง
กว่า รุ่นท็อปของ Ertiga ถึง 73,000 บาท กลายเป็นว่า แพงเกินไปในสายตาลูกค้า และนั่น
ก็ทำให้พวกเขาเริ่มหันไปมองหาคู่แข่งคันอื่นอย่าง ง่ายดาย ปล่อยให้ Spin ถูกหมางเมิน
อย่างช่วยไม่ได้

แล้วถ้าคิดจะหันไปหาตัวเลือกอื่น ในตลาดกลุ่ม Compact Minivan 7 ที่นั่ง ละ?

เมื่อเดือนกรกฎาคม 2012 ช่วงที่ Full Review ของ Toyota Avanza เผยแพร่ออกไป
ผมบอกคุณผู้อ่านว่า ถ้าอยากได้รถยนต์ 7 ที่นั่ง ในระดับราคา ไม่เกิน 700,000 บาท
บวกลบ คำตอบก็คือ NO CHOICE

แต่มาบัดนี้ ตัวเลือกในตลาด โผล่ขึ้นมาให้เลือกกันอย่างไม่ทันตั้งตัว แม้ว่ารถยนต์
กลุ่มนี้ จะตอบโจทย์พื้นฐานการใช้งานของคุณ ได้เหมือนกัน แต่ลึกๆแล้ว มันยังมี
ความแตกต่างอยู่บ้าง ตามสมควร

ถ้าคุณเป็นคนขับรถไม่เร็ว และใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเป็นหลัก ไม่ค่อยได้ออกต่างจังหวัด
บ่อยนัก นานทีปีหน ถึงจะพาอาม่า และหม่าม้า ไปเที่ยวทะเลสักครั้งนึง หรืออยากหา
รถยนต์ 7 ที่นั่ง ราคาถูก ขับไปไหนมาไหนง่ายๆ คล่องๆ ทนๆ ไม่จุกจิก ไม่เรื่องมาก
สักคัน Toyota Avanza ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดี สำหรับลูกค้ากลุ่มนี้อยู่เหมือนเดิม
เพราะซื้อ…อันที่จริงก็ไม่ง่ายนะ ต้องจองกันก่อน ขายคล่อง..ก็พอได้ราคาอยู่บ้าง
แต่คงไม่เท่า Vios หรือ Corolla Altis กันหรอก ศนย์บริการ มีทั่วไทย หนะจริง
แต่ช่างที่วิเคราะห์ปัญหาเก่งๆ ก็ยังมีอยู่กระจุกหนึ่ง แถมตัวรถยังเป็นเทคโนโลยี
จากรุ่นเก่า ยกมาเกือบทั้งดุ้น แต่เปลี่ยนกระดองครอบเสียใหม่ ให้ไฉไลกว่าเดิม

ถ้าคุณมองหาภายในห้องโดยสารที่อเนกประสงค์ นั่งสบาย และไม่อึดอัดคับแคบ
ขนาดตัวถังต้องใหญ่และยาว ชอบความคล่องตัว และมั่นใจได้ ยิ่งกว่า Avanza
มองหา Suzuki Ertiga กันได้เลย เพราะนี่คือ ตัวเลือกที่ คุ้มค่ามากสุดในกลุ่มแล้ว
ค่าตัวก็ไม่แพงนัก ออพชันก็ใช้ได้ เบาะนั่งปรับได้อเนกประสงค์ แต่ราคาขายต่อ
อาจต้องทำใจนิดนึง ว่าคงด้อยกว่า Avanza นิดหน่อย ศูนย์บริการ กำลังจะครบ
100 แห่งทั่วไทยแล้ว แต่ช่างผู้ชำนาญ ปริมาณยังน้อยกว่า Toyota แน่ๆ กระนั้น
Ertiga ไม่ใช่รถที่ซ่อมยากเย็น ถ้าเคยซ่อม Swift มาก่อน ก็จะซ่อม Ertiga ได้เลย
เพราะชิ้นส่วนข้างใน ใช้ร่วมกันได้แยะอยู่ แถมประหยัดน้ำมันพอประมาณด้วย
ที่สำคัญ บทบู๊ จะโผล่มาทักทายคุณ หลัง 4,000 รอบ/นาที ขึ้นไป เหมือนกันหมด
ทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา หรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ ที่ยังต้องถามว่า ใช้กันอยู่อีกเหรอ?

ถ้าเรื่องงบไม่จำกัด อยากได้ประตูบานสไลด์ และบุคลิกที่ดูต่างไปจากบรรดา
Minivan รุ่นเล็กคันอื่นๆ มองไปที่ Honda Freed แต่ต้องทำใจกับการทรงตัวหลัง
80 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ถ้ารับได้ นี่คือ Minivan ที่เหมาะแก่การรับส่งแขกบ้าน
แขกเมือง ไปตามตรอกซอกซอย ในกรุงเทพฯ เป็นที่สุด! ชื่อชั้น Honda การันตี
เรื่องอะไหล่ เกิน 10 ปียังมีให้เปลี่ยนกันได้แน่

หรือถ้าอยากลองของแปลก ก็คงต้องหันไปดู Proton Exora Turbo ที่เน้นความแรง
แต่อย่าไปคาดหวังมากกับการตกแต่งภายใน และปริมาณศูนย์บริการ ซึ่งลดน้อยลง
ไปเรื่อยๆ ทุกเดือน ได้แต่หวังการเข้ามาลุยตลาดบ้านเราเองของ Proton Thailand
กันเสียที

———————

แต่ถ้าคุณมั่นใจว่าจะเลือก Spin กันจริงๆ และยอมรับได้กับค่าตัว 762,000 บาท ซึ่ง
ถือว่า แพงกว่าชาวบ้านชาวช่อง ทุกรุ่นในกลุ่ม B-Segment Minivan (ไม่รวม Freed)
ที่แพงทะลุขึ้นไปไกลกว่านั้น) สิ่งที่ผมอยากจะถามคุณให้มั่นใจกันก่อนเลยก็คือ

1. คุณรีบไหม?
ถ้ารีบ และรับได้กับเบาะนั่งอันแสนจะไม่สบายอย่างรุนแรง ก็ถอย Spin ออกมาได้
แต่ถ้าไม่รีบ รอให้ GM เขาปรับปรุงเบาะนั่งของ Spin เสียก่อน แล้วค่อยซื้อ ก็ได้
ไม่สายไปหรอก!

แม้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่ จิม ญาณทิพ(รส) ก็มีจิตสัมผัสได้ว่า…น่าจะไม่นานนัก….

2. คุณเคยมีประสบการณ์กับโชว์รูม และศูนย์บริการของ GM / Chevrolet มาก่อนแล้ว
ใช่ไหม?

ถ้าคำตอบของคุณคือ ใช่ คุณมี โชว์รูมที่คุ้นเคยกันดี และเขาก็ดูแลคุณในฐานะลูกค้า
ของ รถยนต์ Chevrolet อย่างดีมาก่อน การตัดสินใจ ก็จะไม่ใช่ปัญหาเลย และผม
จะยินดีแนะนำให้คุณ อุดหนุน Spin จากดีลเลอร์รายนั้นต่อไป

เพราะในความเป็นจริงคือ ลูกค้าจำนวนไม่น้อย เขาไม่ได้คิดเช่นนั้น…

พูดกันตามตรง เวลานี้ ถึงแม้ว่า ผมได้พูดคุยกับ ผู้คนใน GM Thailand มาบ้าง และ
ได้รู้ว่า พวกเขารู้แล้วว่าปัญหาด้านบริการหลังการขาย อันฉาวโฉ่ของพวกเขา มัน
อยู่ตรงไหน รวมทั้งพยายามตั้งหน่วยแก้ไขเร็ว พยามเข้าไปช่วยเหลือเคสลูกค้า
ที่มีปัญหาให้เร็วที่สุด และแก้ให้ตรงจุด รวมทั้งเริ่มมีมาตรการต่างๆนาๆ ในการ
แก้ปัญหาที่มันสั่งสมและหมักหมมมาช้านาน ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดี แม้เกือบจะ
สายเกินไปแล้วก็ตาม

ไม่เพียงเท่านั้น ผมเองยังรู้สึกสบายใจขึ้นอีกเปลาะหนึ่ง เมื่อรู้ว่า ฝรั่งอั้งม้อ ใน GM
เอง ตอนนี้ เริ่มเข้าใจปัญหาแล้ว และพวกเขาแสดงออกถึงความตั้งใจและกระตือรือล้น
ที่จะแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง….ผิดกับฝรั่งหรือญี่ปุ่นบางค่าย ที่ยังทำหูทวนลมกับปัญหา
บริการหลังการขายของบริษัทตนเอง

ดังนั้น เพื่อช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ผมว่า ผมมีทางออกของปัญหา แบบง่ายๆ
มาให้ลองดู เป้นอีกทางเลือกหนึ่ง จากสิ่งที่พวกคุณคิดกันได้ ในระดับที่ Policy
อันน่าเบื่อในองค์กรของ GM จะเอื้ออำนวยให้คุณทำเช่นนั้น…

จุดแรกที่ต้องแก้ไขหนะ ไม่ใช่อื่นไกล..ส่วนงาน Call Center หรือส่วน Front Desk
ที่จะต้องรับเรื่องร้องเรียนจากลูกค้า ของสำนักงานใหญ่ ที่ผ่านมา หลายครั้งที่ผมรับ
เคสจากลูกค้า Chevrolet พวกเขามักจะบ่นประเด็นนี้ให้ผมฟังก่อนเป็นเรื่องแรก
ส่วนใหญ่จะเจอปัญหาคล้ายกันว่า โทรไปร้องเรียน พนักงานไม่กระตือรือล้นใน
การช่วยเหลือลูกค้า พอติดต่อไปแล้ว เงียบหายไปนาน และอาจไม่ได้รับการติดต่อ
หรือประสานงานเพิ่มเติม จนต้องโทรไปย้ำเพิ่มเติม

ผมเข้าใจ และเห็นใจในความตึงเครียด จากการรับแรงกดดันรอบด้านของคนทำงาน
ในกลุ่มนี้ แต่สิ่งที่อยากให้ทุกคน ลองคิดดูง่ายๆ ก็คือ…ถ้าลูกค้าที่เกิดปัญหากับรถยนต์
ของเขา ดันเป็นแม่เรา พ่อเรา ลูกเรา ญาติพี่น้องเราละ? เราจะทำอย่างไร? ถ้าท่องหรือ
คิดประโยคข้างบนนี้ไว้ในใจ ทุกวัน สัก 1-2 สัปดาห์ เชื่อหรือไม่ว่า การเปลี่ยนแปลง
ในทัศนคติที่เกิดขึ้น จะส่งผลให้ทุกคนในทีม จะทำงานเพื่อช่วยเหลือลูกค้าได้ดีขึ้น
ราวกับปาฎิหารย์!

รายการต่อมา คือ การฝึกอบรมช่างซ่อมตามศูนย์บริการต่างๆ ให้บ่อยขึ้น และพยายาม
ให้ Incentive กับ ดีลเลอร์ ในการเลี้ยงดูช่างฝีมือและพนักงานที่ดีๆเหล่านี้ ให้อยู่กับ
พวกเขานานๆ ควรรักษา ถนอมน้ำใจกันไว้ ซึ่งกันและกันทั้ง 2 ฝ่าย ดูแลกันไปให้ดีๆ
จะได้ร่วมงานกันไปนานๆ ขึ้นเงินเดือน หรือมีเบี้ยเลี้ยงให้ ตามพฤติกรรม Attitude
และความขยันอย่างจริงจังยิ่งกว่าเดิมที่เคยมีมา อาจมีรางวัลพิเศษให้บ้างบางครั้ง
กระตุ้นกันเป็นระยะๆ

เจ้าของดีลเลอร์เอง ก็อย่าเห็นแก่เงินจนเกินไป รู้ว่าลงทุนไป 40 – 50 ล้านบาท เพื่อเปิด
โชว์รูมสักแห่ง ย่อมอยากได้ทุนคืน แต่การซื่อสัตย์จริงใจกับทั้งลูกค้า และผุ้ใต้บังคับบัญชา
อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้คุณ เก็บเกี่ยวรายได้และผลกำไรได้ยาวนานกว่า อยู่ได้ร่วมกัน
ทุกฝ่ายอย่างแท้จริง

จงซื่อสัตย์กับลูกค้า เปรียบเสมือนว่า เราส่งมอบรถยนต์ให้กับพ่อแม่ลุกหลานของเราเอง
อย่าได้ปล่อยให้มีเหตุการณ์ เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับ ลูกค้า Trailblazer ใน Pantip.com
อีกเป็นอันขาด และการลงโทษ ก็ควรจะต้องจริงจังกว่านี้ อย่าปกป้องกันไปกันมา อย่าโยน
ปัยหาไปมา แต่จงมาช่วยกัน ร่วมกันแก้ปัญหาอย่างจริงจังให้มันผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเถอะ

อันที่จริงบางดีลเลอร์ในต่างจังหวัด ก็พยายามจะดูแลลูกค้าให้ดีมากๆ ด้วย Attitude ดีๆ
ของเขา อย่างที่ผมเคยเจอ เจ้าของดีลเลอร์ รายดั้งเดิมในขอนแก่น เมื่อหลายปีมาแล้ว
ที่ผมเคยเจอ เมื่อครั้งไปร่วมทริป Colorado 2.5 Commonrail เธอน่ารักมาก และพยายาม
ดูแลลุกค้าอย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ทุกวันนี้ ผมไม่รู้ว่าปัจจุบัน จะเป็นอย่างไรบ้าง?

การเลือกใช้คำพูดกับลูกค้า ก็สำคัญ สิ่งที่ลูกค้าทุกคนอยากฟังคือ “ความจริง” อยากเห็น
ทุกคน ทุกฝ่าย ใน GM กล้า “พูดความจริง ตรงๆกับลูกค้า” ด้วยถ้อยคำที่ ตรงไปตรงมา
อย่างสุภาพ ไม่ทำให้ลูกค้าตื่นตระหนกตกใจ และต้องมาพร้อมกับ “Solution ในการ
แก้ไขปัญหาเสร็จสรรพ” ถ้า 2 สิ่งนี้ มาพร้อมกันให้ลูกค้าเห็น พวกเขาจะยิ้มสบายใจ
และส่วนใหญ่ จะไม่โวยวาย งอแง อะไรอีก

Policy ด้านการดูแลลูกค้า บางข้อ ควรจะต้องปรับปรุงแก้ไขกันได้แล้ว วิธีคิดบางอย่าง
ซึ่งเคยมีมาเป็น Guide Book ดูแลลูกค้า ที่พิมพ์มาแจกดีลเลอร์ หนะ ลืมๆ บางข้อไป
เสียบ้างก็ได้ แล้วเปลี่ยนมาลองใช้วิธีคิดที่ว่า…

 “ถ้ารถคันที่เราดูแลอยู่ เป็นรถของ พ่อ ของแม่เรา หรือของลูกเราละ?”

ลองเปลี่ยนวิธีคิด เพียงแค่นี้ ทุกสิ่งจะดีขึ้นได้ ในเวลาไม่นานเลย…

องค์กรที่มีขนาดใหญ่กว่าอย่าง DTAC เคยแก้ปัญหาด้านลูกค้าสัมพันธ์มาได้ แล้วทำไม
องค์กรที่มีขนาดไม่แพ้กัน อย่าง GM Thailand จะทำไม่ได้?? ลองดูสักตั้งไหมละ!?

เพราะสุดท้าย ไอ้คนที่จะได้รับประโยชน์หนะ มันไม่ใช่ผมหรอก..แต่เป็นลูกค้าของคุณ
พวกเขาจะกล้าซื้อ Chevy เพราะมั่นใจมากขึ้นกับการดูแลพวกเขาหลังการขาย ตัวเลข
ยอดขายรถก็เพิ่มขึ้น ทุกคนก็จะมีความสุขกันมากขึ้น ยิ่งกว่าทุกวันนี้ที่เป็น

นับจากนี้ ผมให้เวลา 1 ปีเต็ม ผมจะรอดูว่า บริการหลังการขายของ GM / Chevrolet
ในเมืองไทย จะดีขึ้นจากปัจจุบัน ไปได้มากน้อยแค่ไหน ผมจะนั่งเฝ้าดูกันอย่างนี้
ไม่หนีไปไหน ถ้าดีขึ้น ก็ถือว่า เป็นสิ่งที่ลูกค้าชาวไทยทุกคนควรได้รับ จาก GM
กันอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ดีขึ้น “…อาจเจอมาตรการขั้นต่อไป จาก J!MMY นี่แหละ….”

นึกไม่ออกใช่ไหม ว่าผมจะทำอะไร…จงนึกไม่ออก กันต่อไป!

You said “Find New Road”…
but now, I already guided you to your “New Road”.
so, from now on, It’s all up to you!

————————————///———————————–

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks

Mr. Laurent Berthet
Director of Communication , Southeast Asia

คุณพันธมาศ กรีกุล

ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์

คุณ Vijo Varghese

ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ : สื่อสารผลิตภัณฑ์
และทีม ฝ่ายประชาสัมพันธ์

บริษัท General Motors (Thailand) จำกัด

บริษัท Chevrolet Sales (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

—————————-

บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม
– รวมบทความรีวิว กลุ่ม รถยนต์ B-Segment Sub-Compact Minivan
   และ C-Segment Compact Minivan

—————————-


J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในไทย เป็นผลงานของ ผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพวาด Illustration เป็นลิขสิทธิ์ของ บริษัท General Motors Thailand
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
20 สิงหาคม 2013

Copyright (c) 2013 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
August 20th, 2013

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่! / Comments are Welcome! CLICK HERE