คุณยังจำ Chevrolet Aveo กันได้ไหมครับ?

Sub-Compact Sedan ขนาดเล็ก ที่เปิดตัวในบ้านเรา เมื่อเดือนสิงหาคม 2006 ด้วยเครื่องยนต์
1.4 ลิตร ซึ่งถูกลูกค้าตำหนิว่า มันช่างอืดอาดยืดยาด แถมกินน้ำมันกว่าคู่แข่งเขา ทำให้ยอดขาย
ไม่ค่อยดีตามไปด้วย

ยิ่งภาพยนตร์โฆษณา ออกมาบอกว่า GM ได้ทำการวิจัย ความต้องการของวัยรุ่นเมืองไทย
เป็นอย่างดี ทั้งผม และ Commander CHENG ต่าง งุนงงมาก ว่า พี่เขาไปสำรวจวัยรุ่นกัน
แถวไหนมาวะ รถมันถึงออกมาเป็นแบบเนี้ย?

General Motors Thailand (GM Th)  ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี กว่าจะดิ้นรน โน้มน้าวให้ฝรั่งมังค่า
ในยุคก่อนหน้านี้ เซ็นอนุมัติสั่งให้นำเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร จาก Optra มาวางลงใน ร่างของ
เจ้าเปี๊ยก กันเสียที เพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้าวัยรุ่นอีกครั้ง

เพื่อเป็นการตีฆ้องร้องป่าวเพื่อบอกผู้บริโภคว่า ความแรงในระดับที่พวกเขารอคอยนั้น มัน
มาถึงเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเลยบอกให้ Leo-Burnett เอเจนซ๊โฆษณาคู่บุญ ในยุคนั้น เร่งทำ
ภาพยนตร์โฆษณา ออกมา โดยใช้สโลแกนว่า “สำหรับชีวิตที่เร่งรีบ”

และแน่นอนว่า มันก็ไม่ได้ถึงกับช่วยให้ยอดขายดีขึ้นได้มากนัก จนต้องเอาไปติดตั้งระบบ
ก๊าซ CNG นั่นแหล ถึงพอจะเรียกความสนใจกลับคืนมาได้ แต่ญาติผู้ใหญ่ฝั่งคุณพ่อของผม
อุดหนุนไปคันนึง ใช้แล้วไม่สบอารมณ์ทั้งตัวรถ และศูนย์บริการอย่างแรง…..

ก็แน่ละ ญาติผมคนนั้นเขารีบซื้อ เพราะจำเป็นต้องรีบใช้รถ…
สมกับสโลแกน “สำหรับชีวิตที่เร่งรีบ” ไง!

21 กันยายน 2013  
สถานีบริการน้ำมัน Caltex พหลโยธิน เยื้องกับซอยอารีย์

ทันทีที่ Joke V10ThLnD สมาชิก The Coup Team ของเรา เห็นผม เลี้ยวเข้าปั้ม มาพร้อม
Sonic 1.6 ลิตร คันสีเงิน…เจ้าตัว เดินเข้ามาหา ชี้ไปที่รถ…แล้วก็ทำหน้าตาทะเล้นจริงจัง
ก่อนจะร้องออกมาว่า…

“สำหรับชีวิตที่เร่งรีบ…ภาค 2”!!

เอออ จริงของมันวุ้ย!
ผมไม่แปลกใจเลย ที่โจ๊ก จะตั้งฉายาให้ Sonic 1.6 ลิตร แบบนี้!

ก็ลองย้อนประวัติศาสตร์ ไปยังย่อหน้าแรกข้างบนนี้ดูสิครับ Aveo เปิดตัวด้วยขุมพลัง 1.4 ลิตร
เราต้องรอกันจนเหงือกบาน ก่อนที่ เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ตามออกมา ในวันที่เรียกได้ว่า สายเกินไป

Sonic เอง ก็ดูเหมือนจะเจริญรอยตาม Aveo อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่า Sonic ได้รับความนิยม
เพิ่มขึ้นเยอะกว่า Aveo ในช่วงขวบปีแรก อีกทั้งขุมพลัง 1.6 ลิตร ยังถูกปล่อยออกสู่ตลาด เร็วกว่า
สมัย Aveo ก็เท่านั้นเอง คือ เพียง 1 ปี หลังการเปิดตัว ของ Sonic 1.4 ลิตร

แถมยังปล่อยออกมา ด้วยเหตุผลที่ต่างไปจากสมัย Aveo เสียด้วย

หลายคนคงสงสัยว่า ทำไม GM ไม่ปล่อย Sonic 1.6 ลิตร ออกมาพร้อมกันกับรุ่น 1.4 ลิตรกัน
ไปเลยตั้งแต่ตอนแรก?

เหตุผลที่อธิบายได้ง่ายๆก็คือ ในปี 2011 ที่ผ่านมา รัฐบาลไทย ออกโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
คืนเงินภาษีให้กับประชาชน ที่ใช้สิทธิ์ “ซื้อรถคันแรก” ไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งรถยนต์ที่จะ
เข้าข่ายได้รับสิทธิ์นี้ จะต้องเป็นรถกระบะ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือ รถยนต์นั่งที่มีขนาด
เครื่องยนต์ ไม่เกิน 1,500 ซีซี

เมื่อรัฐบาล ประกาศโครงการนี้ออกมา ถ้าคุณยังจำได้ Ford ออกมาโวยก่อนเพื่อนเลย เพราะว่า
Fiesta 1.4 และ 1.6 ลิตร คือ 2 รุ่น ที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ แน่ละครับ ในตอนนั้น Ford ตั้งใจจะ
ขาย รุ่น 1.6 ลิตร มากกว่า 1.4 ลิตร ที่อืดกว่า และกินน้ำมันกว่าอยู่แล้ว

GM มองเห็นกรณีของ Ford Fiesta ก็เลยหวั่นใจ ว่าถ้าเป็นเช่นนี้ การนำรุ่นเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร
ออกมาขายกันก่อน น่าจะเอาใจลูกค้าที่อยากใช้สิทธิ์โครงการรถคันแรก กันไปก่อน จะดีกว่า
หลังจากนั้น ทิ้งช่วงไปสัก 1 ปี ค่อยส่งรุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ตามออกมา

อย่างไรก็ตาม คำถามจากคุณผู้อ่านส่วนใหญ่ก็คือ แล้ว รุ่น 1.6 ลิตร มันแตกต่างจากรุ่น 1.4 ลิตร
มากน้อยแค่ไหน? แรงขึ้นไหม? แล้วกินน้ำมันกว่าเดิมหรือเปล่า?

รูปลักษณ์ภายนอก บอกได้เลยว่า มีเพียงแค่ 2 สิ่งเท่านั้น ซึ่งจะทำให้คุณแยกแยะได้ว่านี่คือ
Sonic รุ่น 1.6 ลิตร นั่นคือ ล้ออัลลอย ขนาด 16″ x 6J พร้อมยางขนาด 205/55R16

อีกประการหนึ่ง นั่นคือ การสลับปรับเปลี่ยนรุ่นย่อยใหม่ นับจากรุ่นปี 2013 ซึ่งออกสู่ตลาดใน
ช่วงครึ่งหลังของ ปี 2013 เป็นต้นไป รุ่นย่อย LTZ จะถูกอัพเกรดไปใช้ขุมพลัง 1.6 ลิตร เพียง
แบบเดียวเท่านั้น เท่ากับว่า จะมีขายแค่รุ่น 1.6 LTZ ทั้ง Sedan กับ Hatchback โดยไม่มีรุ่น
1.4 LTZ อีกต่อไป

นอกจากรุ่น 1.6 ลิตร จะมีรุ่นย่อย LTZ ทั้ง Sedan กับ Hatchback แล้ว ยังมีรุ่น LT Sedan มา
ให้เป็นทางเลือกรองสำหรับคนที่ไม่ต้องการความหรูหรามากนัก แต่อยากได้เครื่องยนต์ที่
แรงขึ้นกว่าเดิมอีกสักหน่อย เครื่องยนต์ใหม่นี้ มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เท่านั้น

ส่วน สีตัวถังภายนอกนั้น มีสีใหม่เพิ่มเข้ามา คือสีส้ม Orange Rock รวมทั้งสีขาว White
Metallic สามารถเลือกสั่งซื้อได้ในทุกตัวถัง ทุกรุ่นย่อย แต่ถ้า คุณเห็น Sonic สีส้ม และมีล้อ
16 นิ้ว สวมอยู่ละก็ ชัวร์ยิ่งกว่าแช่แป้งว่า นี่คือรุ่น 1.6 ลิตรแน่ๆ

เพราะงานนี้ GM ไม่ได้สร้างความแตกต่างระหว่าง รุ่น 1.4 ลิตร LTZ เดิม และ 1.6 ลิตร LTZ
รุ่นใหม่ ให้คนทั่วไป เขาได้เห็นมากมายอย่างที่ควรเป็นเลย

เข้ามาดูภายในรถกันบ้าง ความแตกต่างระหว่าง รุ่น 1.6 LTZ ใหม่ และ 1.4 LTZ เดิม  มีเพียงแค่
เบาะนั่งทั้งด้านหน้าและหลัง ของรุ่น 1.6 LTZ จะหุ้มด้วยผ้าแบบ Breva โทนสีใหม่ ส้ม – ดำ แต่
ยกเว้น 1.6 LTZ คันใดก็ตาม ที่มีสีภายนอกเป็น Oceanic Blue และ Orange Rock ภายในจึงจะ
เป็นสี Titanium ตัดกับสีดำ เหมือนกับรุ่น 1.4LT , 1.6 LT รวมทั้ง 1.4 LTZ ที่ถูกยกเลิกการทำตลาด
เรียบร้อยแล้วในรุ่นปี 2013 นี้เอง)

ส่วนรายละเอียดต่างๆ จำพวก บานประตู แผงประตู ความสะดวกการเข้า – ออก โครงสร้าง
เบาะหน้า และหลัง สัมผัสจากการนั่ง ไปจนถึง รายละเอียดของห้องเก็บสัมภาระ และการ
พับเบาะหลัง แม้แต่ ชุดแผงหน้าปัด มาตรวัด เครื่องปรับอากาศ ช่องเก็บของต่างๆ ทั้งหมด
ข้างบนนี้ ผมขอไม่พูดถึงซ้ำ เพราะทุกอย่างมันก็ยังคงเหมือนกัน กับรุ่น 1.4 ลิตร ที่เราเคย
ทดลองขับไปก่อนหน้านี้ ยืนยันเลยว่า มันไม่แตกต่างไปจากที่คุณจะพบได้ใน บทความ
รีวิว Sonic 1.4 ลิตร ซึ่งสามารถคลิกอ่านได้ ณ ด้านล่าง ท้ายสุดของบทความนี้

แต่ความเปลี่ยนแปลงสำคัญ ที่เราจำเป็นต้องพูดถึง ก็คือ ชุดเครื่องเสียง แบบไม่มีเครื่องเล่น
CD/MP3 มาให้ แต่ มาพร้อมช่องเสียบ USB / AUX ที่ช่องใส่ของพร้อมฝาปิดด้านบน มี
จอมอนิเตอร์สี ความละเอียดสูง แบบ Tiouch Screen ขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบสื่อสาร
My LINK เชื่อมต่อกับ Bluetooth ของโทรศัพท์มือถือ และ Internet และมีลำโพง 4 ชิ้น
ซึ่งถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกในกลุ่มตลาดนี้ ที่มีการติดตั้งระบบดังกล่าวมาให้

ฟังก์ชั่นการใช้งานหลักมีอะไรบ้าง?

เปิดเครื่องด้วยการแตะปุ่มวงกลมตรงกลางแช่ยาว หน้าจอจะขึ้น Menu มา 5 รายการ ได้แก่

Audio – ชุดเครื่องเสียง เล่นเพลงได้จากทั้ง USB / AUX หรือเชื่อมต่อกับ โทรศัพท์ Smart
Phone ผ่าน Bluetooth เรียกฟังไฟล์ MP3 ได้  พร้อมวิทยุ AM/FM ที่บันทึกสถานีไว้ได้รวม
35 คลื่น

Pictures & movies – ไว้ดูภาพ หรือ ภาพยนตร์ ที่บันทึกไว้ใน โทรศัพท์ หรือ USB แต่ถ้า
รถกำลังเคลื่อนที่ หน้าจอจะพักการทำงาน ด้วยหตุผลด้านความปลอดภัยในการสัญจร
ก็ไม่ควรดูหนังไปด้วยขับรถไปด้วยอยู่แล้ว

Telephone – การใช้โทรศัพท์สามารถทำได้โดยเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับ MyLink
สมุดโทรศัพท์หรือรายชื่อผู้ติดต่อในสมาร์ทโฟนจะถูก บันทึกเข้าไปยังหน้าจอโดย
อัตโนมัติเพื่อแสดงผลบนหน้าจอ ผู้ใช้สามารถเลือกบุคคลที่จะติดต่อได้จากรายชื่อที่
บันทึกไว้ สัมผัสปุ่มโทรออกและเลือกการสนทนาผ่านทางลำโพงภายในตัวรถ และ
รับสายซ้อนได้

Smartphone Link – จุดเด่นของระบบ MyLink อยู่ที่การติดต่อ Internet ผ่านทางโทรศัพท์
มือถือ Smart Phone มี Application ฟังวิทยุ ผ่าน Internet  ในประเทศไทย มี 2 App ที่
ติดตั้งมาให้จากโรงงาน คือ TuneIn Internet Radio และ Stitcher Smart Radio สำหรับ
แอพพลิเคชั่น TuneIn ในเมืองไทยมีสถานีเพลงให้เลือกฟังมากกว่า 300 สถานีและอีก
70,000 สถานีทั่วโลก ส่วน Stitcher มีสถานีแบบ Podcast หลากหลายรูปแบบให้เลือกฟัง

การดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดได้
ทาง Google Playstore (สำหรับแอนดรอยด์) iTune (สำหรับ iOS) และ Windows Phone
Store ขณะที่แอพพลิเคชั่นในรถยนต์ได้รับการติดตั้งมาให้แล้วจากศูนย์การผลิต โดยลูกค้
าต้องดาวน์โหลด Application เข้าโทรศัพท์ Smart Phone ของคุณเองก่อนใช้งาน

Settings – ฟังก์ชั่น Settings เอื้อให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการใช้งานให้เข้ากับความต้องการ
ของตน ของแต่ละคน รวมถึงการปรับแต่งระบบเครื่องเสียง Bluetooth ความปลอดภัยของ
ตัวรถและความสะดวกสบาย แสงไฟและระบบต่างๆภายในรถ

หน้าจอ MyLink ได้รับการพัฒนามาเพื่อลูกค้าชาวไทย จึงมาพร้อมกับตัวหนังสือภาษาไทย
นั่นหมายความว่าแฟ้มภาษาไทยต่างๆ จะแสดงขึ้นเป็นภาษาไทยบนหน้าจอ

นอกจากนี้ยังสามารถทำงานเชื่อมกับระบบ Siri Eyes Free ได้ด้วย สำหรับใครที่มี iPhone 4S
และ iPhone 5 ก็จะเชื่อมต่อกับ Siri ได้ อีกทั้งยังมีระบบ Hands-free ด้วยโหมด Eyes Free ที่
ทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งาน iPhone โดยใช้เสียงสั่งการเพียงอย่างเดียว แต่หน้าจอแสดงผล
จะไม่สว่างขึ้นจึงลดความไขว้เขวขณะขับขี่ลงได้มาก  ผู้ใช้งานเพียงแค่เชื่อมต่อ iPhone
เข้ากับ MyLink ด้วย Bluetooth พร้อมเชื่อมกับระบบและกดสวิทช์เปิดการสั่งการด้วยเสียง
บนพวงมาลัยเพื่อเริ่มใช้งานสิริพร้อมโหมดอายส์ฟรี ก่อนกดสวิทช์เดียวกันเมื่อเสร็จสิ้น
การใช้งาน โดยผู้ใช้สามารถ
– โทรออกไปยังรายชื่อที่บันทึกในไอโฟน ด้วยการสั่งงานด้วยเสียง
– เล่นเพลงในไอจูนส์
– ฟังและเขียนข้อความไปยังหมายเลขรายชื่อที่บันทึกไว้
– เข้าถึงปฏิทินและเพิ่มการนัดหมาย

MyLink ไม่รองรับการบันทึกเพลงเข้าไปในเครื่องและหน้าจอแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีการ
ประเมินหน้าจอสี ขนาดตัวหนังสือ ตำแหน่งสวิทช์และจำนวนฟังก์ชั่นบนหน้าจออย่าง
เข้มข้นเพื่อให้ MyLink ใช้งานง่ายและมีความปลอดภัย

นอกจากนี้ ยังมี สวิชต์ควบคุมเครื่องเสียง และรับสาย-วางสายโทรศัพท์ บนก้านพวงมาลัย
ฝั่งขวามือ

คุณภาพเสียงที่ออกมา แม้ว่าจะอยู่ในกลุ่มต้นๆของตลาด คือเป็นรอง แค่ Honda City รุ่นปัจจุบัน
(2008 – 2013) แต่ผมยังมองว่า เสียงใส ยังคงไม่กระจ่าง ยังคงอู้อี้เล็กๆ ไม่อาจแยกรายละเอียด
เสียงของแต่ละเครื่องดนตรีออกมาได้อย่างชัดเจน ต่อให้ใช้ไฟล์เพลงคุณภาพสูงขนาด 320 kbp
หรือเป็นไฟล์ wma ก็แล้ว ปรับเสียงกลางลงต่ำกว่า ค่ากลาง หรือ 0 ก็แล้ว กลับไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น
มากมายเท่าไหร่

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ขุมพลังของ Sonic 1.6 ลิตร เป็นเครื่องยนต์รหัส Z16XFR บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1,598 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 79.0 x 81.5 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.8 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิง
ด้วยหัวฉีด MPFI (Multi-Point Sequential Fuel Injection) พร้อมระบบแปรผันวาล์ว ที่
หัวแคมชาฟท์ ทั้งฝั่งไอดี และไอเสีย Double CVC (Continuous Variable Control) และ
MAP (Manifold Absolute Pressure) ตัวควบคุมความร้อนแบบวัดความดันในท่อไอดี
รวมทั้ง ท่อร่วมไอเสียแบบขึ้นรูปลึก พร้อมชุดบำบัดมลพิษ Catalytic Converter ติดตั้ง
ในตัวเสร็จสรรพ

เครื่องยนต์รุ่นนี้ ถูกปรับจูนกล่อง ECU (Engine Control Unit) ประมวลผลยืดหยุ่นมากขึ้น
ในการปรับอัตราการไหลเวียนเชื้อเพลิง จังหวะการจุดระเบิด และจุดระเบิดล่วงหน้า รวมทั้งชิ้นส่วน
ภายใน ให้รองรับการเติมน้ำมันเบนซินได้สูงสุดจนถึงระดับ แก็สโซฮอลล์ E85 (เอทานอล 85%
เนื้อน้ำมัน 15%) นั่นหมายความว่า สามารถเติมได้ทั้งน้ำมันเบนซิน 95 แก็ศโซฮอลล์ 95 E10
แก็สโซฮอลล์ E20 และ E85

กำลังสูงสุด 115 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 155 นิวตันเมตร (15.8 กก.-ม.)
ที่ 4,000 รอบ/นาที

Sonic 1.6 ลิตร ถือเป็นรถยนต์ GM รุ่นที่ 3 ในเมืองไทย ที่รองรับน้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85
ต่อจาก Captiva เบนซิน และ Cruze 1.8 ลิตร

ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ของ GM รุ่น 6T30 เหมือนกับรุ่น 1.4 ลิตร ไม่มีผิด!
แม้จะมี ปุ่ม บวก-ลบ ติดตั้งที่ข้างคันเกียร์ เหมือน Ford Focus ใหม่ แต่มันก็ยังคงใช้งาน
ได้ไม่ทันใจ ไม่ทันท่วงที ถ้าคิดจะใช้โหมด บวก – ลบ คุณต้องผลักคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง
M กันก่อน ทั้งที่คู่แข่ง อย่าง Honda City กับ Jazz นั้น สามารถใช้แป้น Paddle Shift
เล่นเกียร์เองได้เลย แม้คันเกียร์อยู่ในตำแหน่ง D ก็ตาม ถ้าสามารถปรับปรุงข้อด้อยนี้ได้
และเพิ่มแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย Paddle Shift มาให้ ก็จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการ
ขับขี่ ได้ดีกว่านี้ ส่วน อัตราทดเกียร์ ยังคงเหมือนเดิม แต่มีการทดเฟืองท้ายไว้ต่างกัน ดังนี้

เกียร์ 1 ………………………..4.449
เกียร์ 2 ………………………..2.908
เกียร์ 3 ………………………..1.893
เกียร์ 4 ………………………..1.446
เกียร์ 5 ………………………..1.000
เกียร์ 6 ………………………..0.742
เกียร์ถอยหลัง…………………..2.871
อัตราทดเฟืองท้าย……………..4.110 <—- รุ่น 1.4 ลิตร
อัตราทดเฟืองท้าย……………..3.720 <—- รุ่น 1.6 ลิตร

สมรรถนะ จะเป็นอย่างไรนั้น เรายังคงทดลองจับเวลากันด้วยมาตรฐานเดิม นั่นคือ ใช้เวลา
กลางคืน หลัง 5 ทุ่ม ไปแล้ว ถนนที่เราใช้จะโล่งมาก ปลอดภัยพอ กระแสลมปะทะด้านข้าง
จะน้อยมากจนแทบไม่มีเลย ผมกับ น้อง โจีก V10ThLnD แห่ง The Coup Team นั่ง 2 คน
ยังคงจับเวลาและบันทึกตัวเลข ตามมาตรฐานเดิม คือ เปิดแอร์ สวิชต์พัดลมเบอร์ 1 และเปิด
ไฟหน้า ตัวเลขที่ได้ออกมา เมื่อเทียบกับคู่แข่งพิกัดเดียวกันในตลาดคันอื่นๆ มีดังนี้

จากตัวเลขในตารางจะเห็นได้ว่า อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่เครื่องยนต์ Z16XFR บล็อกนี้
ทำได้ มันก็ไม่ขี้เหร่เลย ถ้าเปรียบเทียบกับ Toyota Vios ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 1NZ-FE มานานกว่า 10 ปี
เพราะถ้าตัวเลขออกมาอยู่ในช่วง 12.5 วินาที ได้ ก็ถือว่า เร็วขึ้นกว่าเดิม ตั้ง 3 วินาที…ซึ่งนั่นถือว่า
เร็วแล้วนะครับ สำหรับรถยนต์ที่มีน้ำหนักตัวเปล่า 1,213 – 1,314 กิโลกรัม รวมน้ำหนักบรรทุกด้วย
ก็ปาเข้าไป 1,593 – 1,600 กิโลกรัม ขนาดนี้ แสดงว่า ตัวเครื่องยนต์ มันเอง ก็ทำหน้าที่ได้อย่างเต็ม
สุดความสามารถที่มีแล้ว เรี่ยวแรงที่มี ถือว่า ไม่น้อยหน้าชาวบ้านเขาเลย หากวัดจากกำลังของ
เครื่องยนต์เปล่าๆ เพียงอย่างเดียว

แต่สิ่งที่ผมยังไม่อาจยอมรับได้เท่าไหร่นัก คืออัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง กลับทำเวลา
ไม่ดีเลยเมื่อเทียบกับความจุกระบอกสูบที่มากกว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ อันที่จริงแล้ว การที่เกียร์ 3 ไป
หมดลงที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั่นแหละ คือเรื่องน่าเสียดาย เพราะสมองกลต้องเสียเวลา
ในการเปลี่ยนลงเกียร์ 4 และไต่รอบเครื่องยนต์ขึ้นมาใหม่ ในช่วง 110 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง และ
นั่น ก็ทำให้เสียเวลาไปหลายวินาที จนกลายเป็นเหตุทำให้ ตัวเลขอัตราเร่งแซง ออกมาช้ากว่าที่ควร
จะเป็น

แต่เรื่องแปลกมันก็มีอยู่นิดหน่อย แม้ว่า จากการจับเวลา ของเรามักพบว่า รถยนต์ตัวถัง Sedan นั้น
ส่วนใหญ่จะทำตัวเลขออกมาได้ดีกว่ารถยนต์ Hatchback เสมอ ถ้าใช้เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง
เดียวกัน และกรณีนี้ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ทว่า ตัวเลขอัตราเร่ง จากจุดหยุดนิ่ง ของรุ่น Hatchback
กลับทำเวลาได้ดีกว่า รุ่น Sedan อยู่ 0.1 วินาที แต่ในางกลับกัน  ตัวเลขในช่วงเร่งแซง ของตัวถัง
Hatchback กลับช้าอืดกว่า รุ่น Sedan ถึง 0.6 วินาที

ขณะเดียวกันความเร็วสูงสุดนั้น ในรุ่น Sedan ทำตัวเลข บนมาตรวัดได้สูงถึง 195 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ที่ 6,000 รอบ/นาที ขณะที่ ตัวเลขบนมาตรวัดของรุ่น Hatchback ทำได้ 186 กิโลเมตร/ชั่วโมง ณ
รอบเครื่องยนต์ เท่ากัน ส่วนตัวเลขจาก หน้าจอ GPS ระบุว่า ทำได้ 184 กิโลเมตร/ ชั่วโมง

ผมยังขอยึดนโยบายย้ำเตือนคุณผู้อ่านกันเอาไว้ตรงนี้เช่นเคยว่า เราไม่ส่งเสริมหรือสนับสนุน
ให้คุณไปทดลองความเร็วสูงสุดด้วยตัวคุณเอง เพราะนอกจากจะผิดกฎหมาย พรบ.จราจรทางบก
แล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวคุณเอง และเพื่อนร่วมทางได้ เราทำตัวเลขมาให้ดูเพื่อให้คุณ
และผู้ที่สนใจศึกษาในด้านวิศวกรรมยานยนต์ได้มีข้อมูลกันไว้เท่านั้น อย่าไปลองทำกันเองโดย
เด็ดขาด!

ในการขับขี่จริง อัตราเร่งที่มีมาให้คุณ ตั้งแต่ช่วงเกียร์ 1 เกียร์ 2 และต่อเนื่องถึงเกียร์ 3 นั้น ผมว่า
ไม่เลวร้ายเลย ถือว่า ช่วงออกตัว จนถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้น เทียบเท่าได้กับ คู่แข่งร่วมพิกัด
และแถมยังแรงกว่าชาวบ้านเขา บางคันอีกด้วยซ้ำ อัตราทดเกียร์ในช่วงแรก ถือว่าพอใช้ได้ทีเดียว
มันช่วยให้คุณสามารถออกตัวจากสี่แยกไฟแดงได้ฉับไว หรือถ้าคิดจะเร่งแซงรถคันข้างหน้า ที่
ขับช้า ในช่วงความเร็วแถวๆ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง แค่เหยียบคันเร่งลงไปจนจมมิด Kick Down
ให้ Toque Converter ทำงาน เกียร์จะถูกลากลงไปยังเกียร์ 2 ซึ่งช่วยดึงรถให้พุ่งไปข้างหน้าได้
ไวเกินกว่าที่ รถ Taxi ซึ่งพยายามจะจี้ตูดคุณ จะหายงงงวย ว่าทำไมมันพุ่งเร็วจัง เพราะว่า ใน
จังหวะเดียวกันนี้ Sonic 1.4 ลิตร มันต้องอืดกว่านี้

แต่พอช่วงเกียร์ 4 ขึ้นไป ผมเริ่มเห็นอาการ “ปลายเหี่ยว” เกิดขึ้น ยิ่งหลังพ้น 4,000 รอบ/นาที
อันเป็นรอบที่ แรงบิดสูงสุด มาถึงครบทั้งหมด ขึ้นไป ก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงอะไรให้ลุ้นต่อกันอีก
ยิ่งหลังพ้น 5,000 รอบ/นาที ขึ้นไป เครื่องยนต์ยิ่งครางดังขึ้นมาก แถมเกียร์ยังมีเสียงประหลาดๆ
“ว้ง ว้ง ว้ง ว้ง ว้ง” ในช่วงรอบสูงๆ ราวกับว่า มีอะไรบางอย่าง อยู่ในเฟืองเกียร์และมันไม่น่าจะ
สมดุลกัน ถึงได้ส่งเสียงออกมาดัง ทั้ง 2 คัน เสียงครางของทั้งเครื่องยนต์และเกียร์ ดังมากจน
ชวนให้รู้สึกผิดทุกครั้งที่เหยียบเต็มตีน กลัวไปฝืนให้เครื่องยนต์ ทำงานมากเกินไป เดี๋ยวเกิด
เครื่องยนต์ออกอาการน็อคหัวใจวายไปเสียก่อนละก็จะยุ่ง

ผมมองว่า ปัญหา มันเหลืออยู่ที่แค่ เกียร์อัตโนมัติ ลูกนี้แหละครับ การเซ็ตอัตราทดเกียร์ ในช่วง
เกียร์ 1 และ 2 ถือว่า ค่อนข้างทดมาจัดจ้านอยู่ แต่พอล่วงเข้าเกียร์ 3 หรือ 4 ไปแล้ว  ทุกอย่างก็
เหี่ยวเฉาหมด อย่าไปคาดหวัง หรือเค้นกำลังจากเครื่องยนต์ ในช่วงหลังจาก 4,000 รอบ
ขึ้นไปเลย ไม่มีประโยชน์

ที่แย่ไปกว่านั้น ถ้าคุณต้องการเร่งแซง จากช่วง 60 70 หรือ 80 กิโลเมตรชั่วโมง ให้ผ่านพ้นจาก
รถพ่วง 18 ล้อคันข้างหน้า การเปลี่ยนเกียร์ด้วยโหมด บวก/ลบ ไม่ได้ช่วยให้คุณเร่งแซงเร็วขึ้น
เอาเสียเลย การกระทืบคันเร่งลงไปจนจมมิดติดพื้นรถต่างหาก ที่จะพาคุณเร่งแซงออกจาก
สถานการณ์เลวร้ายได้ ถึงอย่างนั้น คุณก็ต้องรอการทำงานของสมองกลเกียร์ ที่แสนซื่อบื่อ
เถรตรง และทำตามแค่คำสั่ง Logic ที่ตนถูกโปรแกรม เอาไว้แล้วเท่านั้น ไม่ได้มีการเรียนรู้
บุคลิกการเหยียบคันเร่งของผู้ขับขี่ แล้วหัด คิด วิเคราะห์ แยกแยะ เลยแม้แต่น้อย

เพราะแม้ว่าผมจะทำอัตราเร่ง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ติดๆกัน แทนที่สมองกลของเกียร์
จะสั่งว่า เฮ้ย ตัดเปลี่ยนลงไปที่เกียร์ 3 เลยเถอะ ก็ยังอุตส่าห์ ตัดเปลี่ยนเกียร์ลงมาที่ 4 ก่อน
แล้วค่อยมีจังหวะคิดนิดนึง เมื่อมองว่ามันไม่พอ จึงจะค่อยยอมเปลี่ยนลงเกียร์ 3 ในเสี้ยววินาที
ถัดมา “ทุกครั้ง” นั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตัวเลขช่วงเร่งแซง ออกมาไม่ดีเท่าที่ควร

แต่กระนั้น ก็ต้องถือว่า ทำตัวเลขได้ดีกว่า Mazda 2 ละกันวะ!

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผมเหยียบเบรก ลดความเร็วลงมา ในบางครั้ง จังหวะที่เกียร์เปลี่ยนจาก
ตำแหน่ง 4 ลง เกียร์ 3 จะมีอาการกระชากอย่างรุนแรง 1 ครั้ง ดัง ตึง! ก่อนที่เกียร์จะเปลี่ยน
ลงมาให้เรียบร้อย ซึ่งเป็นอาการที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่ก็พบได้ในรถยนต์ทดลองขับ ทั้ง 2 คัน
เป็นเฉพาะในกรณีที่คุณหน่วงความเร็วลงมาค่อนข้างไวกว่าปกติสักหน่อย เช่นเหยียบเบรก
เพื่อเปลี่ยนเลนเตรียมเข้าสู่ช่องทางคู่ขนานเกือบจะกระทันหัน เป็นต้น

ผมได้แต่บอกกับ GM Thailand ว่า ช่วยเลือกเอา ว่าจะยกเกียร์ลูกนี้ ไปทิ้งเสียให้ไกลๆ 
ไม่เช่นนั้น ก็เฉดหัว ฝรั่งอั้งม้อ หรือคนไทยหน้าไหนก็ตาม ที่เซ็ตสมองกลเกียร์ชุดนี้ ให้มี
นิสัยแบบนี้ เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ดี ทำทั้ง 2 ข้อ แล้วช่วยหาตัววิศวกรที่
มีนิสัย ชอบขับรถ มาเซ็ตโปรแกรมสมองกลเกียร์ ให้มันฉลาดกว่านี้ และ เอาใจคนชอบ
ขับรถมากขึ้นกว่านี้สักทีเถอะ!

อุตส่าห์ทำรถยนต์ที่มีช่วงล่างเทพสุดในตลาด พวงมาลัยดีสุด เครื่องพอรับได้ แต่ดันไม่ยอม
แก้ไขปรับปรุงเรื่องเกียร์! แบบนี้ ก็ช่วยไม่ได้ละครับพี่น้อง!

ด้านระบบบังคับเลี้ยว ระบบกันสะเทือน ระบบห้ามล้อ โครงสร้างตัวถัง และอุปกรณ์ด้านความ
ปลอดภัย ผมขออนุญาตไม่พูดถึงซ้ำ อีกเช่นเดียวกัน เพราะไม่ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
ไปจาก รุ่น 1.4 ลิตร นั่นเท่ากับว่า Sonic จะยังครองความเป็น รถยนต์นั่งในกลุ่ม B-Segment ที่
ปรับเซ็ตช่วงล่าง และพวงมาลัย มาได้ดีที่สุด เอาใจคนชอบขับรถแบบหนักแน่น มากที่สุด ใน
เมืองไทย ช่วงปี 2012 – 2014 ถ้าอยากรู้ว่าดีอย่างไร กรุณา คลิกอ่านได้ที่บทความรีวิวของ Sonic
1.4 ลิตร ซึ่งอยู่ด้านล่างสุดท้าย ของบทความนี้

********** การทดลองหา อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

ในเมื่อเพิ่มทางเลือกเครื่องยนต์ใหม่แล้วทั้งที ก็ต้องลองกันให้รู้ไปเลยว่า ขุมพลัง 1.6 ลิตร
จะกินน้ำมันเพิมขึ้น หรือประหยัดกว่าเดิม มากน้อยแค่ไหน เราจึงทำการทดลองหาความ
ประหยัดน้ำมันกันตามมาตรฐานเดิม ด้วยการขับ Sonic 1.6 ลิตร ทั้ง 2 ตัวถัง ไปเติมน้ำมัน
เบนซิน 95 Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ริมถนนพหลโยธิน ใกล้สถานีรถไฟฟ้า
BTS อารีย์ ในช่วงกลางคืน

เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานดั้งเดิม ในเมื่อ รถรุ่นนี้ เป็นรถยนต์ ที่คุณผู้อ่านอยากรู้เรื่อง
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และซีเรียสกับตัวเลขมากพอกันกับกลุ่มรถยนต์นั่งผลิตในไทย
เครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 ซีซี และค่าตัวต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท หรือพิกัด B กับ C-Segment
ทุกคัน และรถกระบะทุกรุ่นทุกแบบ ดังนั้น เราจึงเติมน้ำมันกันแบบเขย่ารถ จนกระทั่ง
น้ำมันจะเอ่อขึ้นมาถึงปากคอถังแบบนี้

ผู้ร่วมทดลอง และสักขีพยาน ยังคงเป็นน้องโจ๊ก V10ThLnD หนุ่มแว่นเงียบๆ จอมกวน
แห่งกลุ่ม The Coup Team ของเรา ตามเคย

เมื่อเติมน้ำมันลงไปจนเต็มถังขนาด 46 ลิตร (ไม่รวมคอถัง อีกพอสมควร) แล้่ว เราก็เริ่มต้น
การทดลองขับ คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ แค่สวิชต์พัดลมเบอร์ 1 อุณหภูมิ
ปรับแบบปกติ  คือไม่เย็นไปกว่า 25 องศาเซลเซียส สวิชต์พัดลมเบอร์ 1 แต่ในเมื่อรถคันนี้
ไม่มีมาตรวัดอุณหภูมิ เราจึงเปิดแอร์ ในระดับความเย็น แบบ ปานกลาง

เราออกจากปั้ม Caltex เลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน หน้าปากซอยอารีย์สัมพันธ์ แล้วเลี้ยวซ้าย
เข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะไปออกปากซอยโรงเรียนเรวดี ถึงถนนพระราม 6 จากนั้น เลี้ยวขวาขึ้นไป
บนทางด่วนสายอุดรรัถยา ขับมุ่งหน้าตรงไปยัง ปลายสุดทางด่วน ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับ
มาขึ้นทางด่วน อีกรอบ รักษาความเร็ว ตามมาตรฐานเดิม คือแล่นไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เปิดเครื่องปรับอากาศ เปิดไฟหน้ารถ และนั่ง 2 คน

เมื่อลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  เราเลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับรถที่ใต้สถานี
รถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้ว เลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex อีกครั้ง เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95
Techron ให้เต็มอีกครั้ง

พอหัวจ่ายตัด เราก็เริ่มเขย่ารถ เหมือนเช่นในช่วงเริ่มต้นทำการทดลอง เพื่ออัดกรอกน้ำมันลงไป
ให้ได้เยอะมากที่สุด ให้น้ำมันเข้าไปอยู่ในถัง แทนที่อากาศในถัง ให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะเป็น
ไปได้ เพื่อลดความเสี่ยงในตัวแปรเรื่องปริมาณน้ำมันที่เติมเข้าไป ซึ่งอาจมีผลให้การทดลอง
ผิดเพี้ยนไปไกลกว่าที่รถควรจะทำตัวเลขออกมา

เอาละครับ ได้เวลามาดูตัวเลขผลลัพธ์กันแล้วละ

มาดูตัวเลขของรุ่น Hatchback 1.6 L 6AT กันก่อน
ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 93.1 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.90 ลิตร
คำนวนแล้ว ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉี่ย 13.49 กิโลเมตร/ลิตร

กินน้ำมันที่สุดในกลุ่ม B-Segment ตอนนี้แล้วเหรอเนี่ย? 

ส่วนตัวเลขของรุ่น Sedan 1.6 L 6AT นั้น กลับออกมาเท่ากับรุ่น 1.4 ลิตร เป๊ะ!!!
ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 93.4 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.79 ลิตร
คำนวนแล้ว ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉี่ย 13.75 กิโลเมตร/ลิตร !!

ถ้ายกตัวเลขอัตราสิ้นปลืองมาพูดกัน จากตารางนี้ ก็คงต้องพูดอย่างเต็มปากว่า Sonic ติดอยู่
ในกลุ่มรั้งท้าย ของตาราง ยังดีที่มี Ford Fiesta 1.4 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ ไปนอนรออยู่ในตำแหน่ง
บ๊วย ตั้งนานแล้ว แม้จะทำตัวเลขเกินเกณฑ์มาตรฐาน 12 กิโลเมตร/ลิตร อันเป็นค่าเฉลี่ยกลางๆ
จากรถยนต์แทบทุกรุ่นในตลาด กระนั้น เมื่อต้องใช้งานจริง Sonic 1.6 ลิตร สามารถแล่นไปได้
ระยะทาง ราวๆ 520 กิโลเมตร กว่าที่ไฟสัญญาณเตือนน้ำมันใกล้หมด จะสว่างขึ้นบนหนัาปัด

********** สรุป **********
ถึงจะยังขับดีที่สุดในกลุ่ม แต่เหลือแค่เกียร์ ที่ไม่ได้ดีดังหวัง

ผมเคยฃคาดหวังไว้ว่า การมาถึงของเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร จะช่วยให้ Sonic มีสมรรถนะดีขึ้น แรงขึ้น
ประหยัดน้ำมันขึ้น ซึ่งทั้งหมดนั้น น่าจะช่วยให้ ยอดขาย ภาพรวมดีขึ้น จนตีตื้นขึ้นไปใกล้กับ
บรรดาเจ้าตลาดประจำกลุ่มเขาเสียที

มาถึงวันนี้ แม้ Sonic จะยังยืนหยัดรักษาตำแหน่ง B-Segment Sedan และ Hatchback ที่มีพวงมาลัย
กับช่วงล่างเซ็ตมาดีที่สุดในกลุ่ม จนกลายเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่ Firm นิ่ง มั่นใจได้ ในช่วงความเร็ว
ต่างๆอันหลากหลาย แถมพกด้วยอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง ที่ฟัดเหวี่ยงกับทั้ง Toyota Vios และ Honda
City ได้ใกล้เคียงขึ้นกว่าเดิมก็จริง

แต่การใช้เกียร์อัตโนมัติ ลูกเดิมจากรุ่น 1.4 ลิตร มาประจำการ โดยไม่ได้ไปแตะต้องกับอัตราทดเกียร์
กันเลยนั้น กลับช่วยลดทอนศักยภาพที่เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร รุ่นนี้ จะสำแดงเดชออกมาได้ ลงไปเยอะ!

การเซ็ตอัตราทดเกียร์ ที่ไม่เหมาะสม ทำให้อัตราเร่งแซง อืดอาดจนจะติดกลุ่มรั้งท้ายตลาดอยู่แล้ว
แม้ว่าที่จริง ช่วงเกียร์ 3 มันก็ไม่เลวร้ายเลย ลากจาก 80 – 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั่นไม่เลวร้ายเลย
ถือว่าทำได้ดีแล้วด้วยซ้ำ เมื่อคิดเสียว่า เครื่องยนต์ และเกียร์ ต้องแบกภาระน้ำหนักตัวที่มาก
เกินชาวบ้านเขาไปถึงกว่า 1,200 กิโลกรัม ในรถเปล่า และ 1,600 กิโลกรัม เมื่อบรรทุกเต็มพิกัด

นั่นจึงเปลี่ยนข้อเสีย 1 ในไม่กี่ข้อ ที่ยังหลงเหลืออยู่ใน Sonic 1.6 ลิตรใหม่

ดังนั้น สิ่งที่ GM ควรนำไปปรับปรุง Sonic รุ่นต่อไป นับจากนี้ มีด้วยการ 4 ประการ

1. เอาเกียร์ลูกใหม่ จาก Cruze 1.8 ลิตร Minorchange ใส่แทนเข้าไป เซ็ตอัตราทดเกียร์ใหม่
และอัตราทดเฟืองท้ายใหม่ ตัวเลขสมรรถนะ และความประหยัดน้ำมัน น่าจะดีขึ้นกว่านี้ได้

ไม่เช่นนั้น เอาวิศวกรจอม Nerd คนที่เซ็ตเกียร์ลูกนี้ ไปกวาดพื้นโรงงานแทนซะ หาคนหนุ่ม
ที่ชอบขับรถ มาเซ็ตสมองกลเกียร์ ปรับอัตราทดเฟืองเสียใหม่ ให้สอดคล้องกันกว่านี้ จะดีกว่า

2. ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง เอาเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร Turbo จากเวอร์ชันอเมริกาเหนือ เข้ามาขาย
ในบ้านเราด้วยเถอะ แค่จำนวนจำกัด 300 คันก้ยังได้เลย! รถยนต์ที่เซ็ตตัวถัง พวงมาลัยและ
ช่วงล่าง ดีขนาดนี้ จำเป็นที่จะต้องมีเครื่องยนต์ แรงสอดคล้องกันไปทุกส่วนของตัวรถกว่านี้

3. งานออกแบบภายในห้องโดยสารนั้น ดีอยู่พอสมควรสำหรับรถยนต์ระดับราคานี้ แต่ถ้าช่วย
ปรับปรุง วัสดุภายในรถ ไม่ให้มันมีสัมผัส เหมือนพลาสติกราคาถูกนัก จะยิ่งช่วยเพิ่มคุณค่า
ความรื่นรมณ์ และความพึงพอใจให้ผู้ที่คิดจะซื้อหามาขับขี่เลยละ!

4. ปรับปรุง โชว์รูมและศูนย์บริการ 100 แห่งทั่วประเทศไทยในตอนนี้ ให้ดีๆ ดูแล ใส่ใจกับ
ลูกค้ามากกว่านี้ อย่างก อย่าขี้เหนียว จริงใจ และ ซื่อสัตย์ กับลูกค้า อย่างจริงจังและต่อเนื่อง
กว่านี้

บอกได้เลยว่า  แก้ไข 4 ข้อนี้ได้ Sonic ก็จะกลายเป็น B-Segment Sedan & Hatchback
ที่ดีที่สุดในตลาดได้ ไม่ยากเลย

ไปลองทำดูครับ!

————————-///————————-

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks

Mr. Laurent Berthet
Director of Communication , Southeast Asia

คุณพันธมาศ กรีกุล

ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์

คุณ Vijo Varghese

ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ : สื่อสารผลิตภัณฑ์
และทีม ฝ่ายประชาสัมพันธ์

บริษัท General Motors (Thailand) จำกัด

บริษัท Chevrolet Sales (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

—————————-

บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม
บทความทดลองขับ รถยนต์ Chevrolet Sonic 1.4 ลิตร
บทความทดลองขับ รถยนต์นั่ง กลุ่ม B-Segment 1.3 – 1.6 ลิตร

———————————-

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในไทย เป็นผลงานของ ผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
1 ตุลาคม 2013

Copyright (c) 2013 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
October 1st, 2013

แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! Click Here!