เสียงเรียกร้องจากคุณผู้อ่านยังคงถามไถ่เข้ามาเป็นระยะๆ บนหน้า Fan Page ของ
Headlightmag.com ทาง Facebook ว่าผมจะทำบทความ Full Review เจ้า
Chevrolet Colorado เครื่องยนต์ใหม่ หรือเปล่า?

ตามปกติแล้ว กฎในการทำบทความ Full Review ของผม ใน Headlightmag
นั้นมีอยู่ว่า “หากรถยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวออกมา เป็นเพียงแค่การปรับโฉมภายนอก
และภายใน เพียงเล็กน้อย ตามที่เรียกกันว่า Minorchange / Facelift / LCI
หรืออะไรก็ตาม ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์ และ/หรือ ระบบส่งกำลัง
เราจะไม่ทำบทความรีวิว รถยนต์รุ่นนั้น ซ้ำอีก โดยไม่จำเป็น เพราะนั่นเป็นการ
เสียเวลา 5 วัน 4 คืน หรือ 4 วัน 3 คืน ในการทดลองไปโดยเปล่าประโยชน์
จับเวลาไปอย่างไร ก็จะได้ผลลัพธ์ที่พอๆ กับของเดิม จะให้ต้องมานั่งทำซ้ำ
กันอีกรอบ ก็ทำให้เราเองก็เสียโอกาสในการทำบทความของรถยนต์รุ่นอื่นๆ
ที่อยู่ในแผนตามไปด้วย

แต่คราวนี้ ดูเหมือนว่า ผมคงต้องจำยอมทำบทความนี้ออกมาจนได้ในที่สุด…

ถูกต้องครับ เพราะ Colorado ใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเครื่องยนต์
และระบบส่งกำลังกันใหม่ คราวนี้ GM ซุ่มปรับปรุงยกระดับสมรรถนะของ
ขุมพลังตระกูล Duramax ให้แรงขึ้นกว่าเดิม แถมยังยกเปลี่ยนเกียร์ธรรมดา
จาก 5 เป็น 6 จังหวะ อีกด้วย

แถมสมรรถนะที่เพิ่มมาคราวนี้ สำแดงฤทธิ์ได้ น่าพึงพอใจขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งรุ่น 2,800 ซีซี เกียร์อัตโนมัติ ที่ผมต้องถามเลยว่า แรงขนาดนี้เลยเหรอ?

แน่ละสิ รถกระบะบ้านๆ บ้าอะไรวะ ล้อฟรีทิ้งได้ง่ายดาย แทบทุกครั้งที่เหยียบคันเร่ง
จนจมมิดติดพื้นรถ แรงบิดสูงระดับ 500 นิวตันเมตร จะหมุนล้อคู่หลัง จนฟรีทิ้งเล็กๆ
สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ร่วมสัญจร มาข้างๆ ต่างพากัน ตีตัวออกห่าง คงจะกลัว
ว่า ถ้าเกิดเราทำอะไรบ้าๆ พลาดท่าขึ้นมา ตัวเขาอาจโดน ร่างแห และ หางเลขด้วย

แหม มันก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ผมไม่กล้าเล่นอะไรแผลง บนถนนในเวลาที่
ผู้คนรถราพลุกพล่านแน่ๆ มันไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะทำเลย เพียงแต่ว่า ผมก็อาจ
เผลอเหยียบคันเร่งลงไปลึก เพราะความเคยชินว่า รถกระบะเกียร์อัตโนมัตินั้น
บางครั้ง ต้องเหยียบลึกนิดนึง เพื่อจะส่งให้รถพุ่งไปข้างหน้าไวๆ ที่ไหนได้…
ล้อหลังฟรีทิ้งเสียดื้อๆ!

ความแรงขนาดนี้ แถมตัวเลขที่เราจับเวลากันออกมาได้  ทำให้เกิดข้อสรุป
ว่าคราวนี้ ถือเป็นการ Upgrade ตัวรถ จนข้อมูลในรีวิวเดิมใน Full Review
ของเรา ไม่ Update จนต้องตัดสินใจ ทำบทความ Full Review รถกระบะ
รุ่นนี้กันอีกครั้ง หลังจากใช้ชีวิตอยู่กับ 5 พี่น้อง Colorado และ Trailblazer
รวมแล้ว นานถึง 25 วัน 20 คืน (นับรวมวันที่ใช้ในการรับและส่งคืนรถด้วย)

หลายๆคน คงสงสัยว่า ทำไม จู่ๆ มาเปลี่ยนเครื่องยนต์กันในช่วงนี้ ช่วงที่
ตลาดรถกระบะ ค่อนข้างเงียบเหงา ทำยอดขายกันไปได้เรื่อยๆ เท่าที่ยัง
พอมีลูกค้าซึ่งจำเป็นต้องใช้รถ พากันมาอุดหนุนไปเรื่อยๆ ไม่หวือหวา

เหตุผล ส่วนหนึ่ง น่าจะมาจากกฎหมายและข้อบังคับด้านมาตรฐานมลพิษ
ซึ่งกำหนดให้ รถยนต์รุ่นใหม่ ที่เปิดตัวออกสู่ตลาดในประเทศไทย ตั้งแต่
วันที่ 1 มกราคม 2014 เป็นต้นมา จะต้องผ่านมาตรฐานไอเสีย ในระดับ
Euro – IV (4) ซึ่งอ้างอิงจากมาตรฐานมลพิษที่ประกาศใช้โดยกลุ่ม
สหภาพยุโรป (EU) ไม่เช่นนั้น จะทำตลาดไม่ได้

อีกทั้ง GM Thailand เอง ก้เปิดตัว Chevrolet Colorado ใหม่ ใน
บ้านเรา มาตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2011 (ช่วงเดียวกับ มหาอุทกภัยครั้ง
ใหญ่ ในพื้นที่รายลุ่มของประเทศไทยพอดี) ถ้านับถึงวันที่ รุ่นขุมพลังใหม่
เปิดตัว ก็ปาเข้าไป 2 ปีพอดีๆ….

(นี่เราผ่านพ้นวันน้ำท่วมหนักมา 2 ปีแล้วเหรอเนี่ย!!)

ดังนั้น ถ้าไม่มีการกระตุ้นตลาดกันบ้างเลย GM ก็คงต้องนอนกอดตำแหน่ง
ยอดขายรถกระบะ ในลำดับรั้งท้ายตารางกันไปอย่างนี้ตลอดศก จะนำอยู่
ก็แต่เพียง Tata Xenon สุดยอดรถกระบะจอม Defect มหากาฬจาก
แดนภารตะ แค่นั้น !!

รายละเอียดรูปลักษณ์ภายนอก แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย เพียงแต่ว่า
Colorado รุ่นปี 2014 นั้น จะมี สัญลักษณ์ DURAMAX ตัวนน มาแปะเพิ่มที่
บริเวณประตูคู่หน้า

นอกจากนี้ ยังมีสีตัวถังใหม่เพิ่มเข้ามา นั่นคือสี Orange Rock และ แค่นั้น!

รุ่นที่เรานำมาทดลองขับกันในครั้งนี้ มีเพียง 3 คัน ได้แก่

C-Cab 4 ประตู 2.8 L 6AT 4×4 Z71 LTZ ตัวท็อป สีน้ำตาล Auburn Brown
X-Cab Flex Cab 2.8 L 6MT 4×4 Z71 LTZ สีส้ม Orange Rock
และ C-Cab 4 ประตู 2.5 L 6MT 4×4 Z71 LT สีส้ม Orange Rock

เหตุผลที่เลือกมาแค่ 3 รุ่น เพราะ Colorado ใหม่ ถูกลดทางเลือกรุ่นย่อยลงจาก
26 รุ่น เหลือเพียง 13 รุ่น ให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า การทำตลาด
การผลิต และการสต็อกสินค้าคงคลัง อีกทั้งใน Fleet ของรถทดลองขับ Demo
คราวนี้ มีแต่รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ 4×4 ล้วนๆ เพราะ จะถูกนำไปใช้ทำกิจกรรม
การตลาด เช่นจัดทดสอบ Group Test ให้กับกลุ่มสื่อมวลชน ทั้งชาวไทย และ
ชาวต่างชาติ ฯลฯ เป็นต้น จึงไม่มีรุ่น 4×2 ขับเคลื่อน 2 ล้อมาให้เราลองกัน
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะปกติ การทดลองรถกระบะของเรา ก็ใช้ตัวเลข
จากการขับขี่จริง ซึ่งใช้ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง กันอยู่แล้ว

เมื่อเปิดประตูเข้ามาดูภายในห้องโดยสาร จะพบว่า ภายในของรุ่น 2.5 ลิตร
ทั้งหมด จะใช้โทนสี Dark Ash Grey และหุ้มเบาะด้วยผ้า TRUSS ขณะที่รุ่น
X-Cab 2.8 L 6MT 4×4 LTZ จะตกแต่งด้วยสีเบจ SHALE ใช้ผ้า TRUSS
แบบเดียวกัน ถ้าเป็นรุ่นต่ำกว่านี้อาจจะมีผ้าลาย Geo และลาย Struct ให้
เลือกตามแต่ละรุ่นย่อยลดหลั่นลงไป

เบาะคู่หน้า ใช้ร่วมกันระหว่าง Colorado และ Trailblazer ดังนั้นหากเป็น
เบาะผ้า สัมผัสในการโดยสารจะอยู่ในเกณฑ์ดีมากๆ ผ่อนคลาย นั่งสบาย
และไม่ค่อยเมื่อย แม้จะเดินทางไกล ยกเว้นเบาะนั่งในรุ่น C-Cab 2.8 L
6AT 4×4 Z71 LTZ (คันสีน้ำตาล) ยังคงใช้หนังสีครีมออกขาว หุ้มเบาะ
ตามเดิม ซึ่งอาจจะไม่ได้ให้ความสบายในการนั่งโดยสารทางไกลได้ดี
เท่ากับเบาะนั่ง ของทั้งรุ่น X-Cab 2.8 L 6MT 4×4 Z71 LTZ (คันสีส้ม)
และ C-Cab 2.5 L 6MT 4×4 Z71 LTZ (คันสีส้ม)

เบาะหลังตั้งชันไปนิดนึง แม้จะมีมุมเอนมากขึ้นเมื่อเทียบกับบรรดา
รถกระบะรุ่นเก่าๆ แต่ก็ยังไม่มากพอเมื่อเทียบกับ Mitsubishi Triton
หรือ Mazda BT-50 PRO / Ford Ranger แถมพนักพิงหลังค่อนข้าง
เว้าลึกลงไป เหมือนบังคับให้ผู้โดยสารด้านหลัง ต้องนั่งแบบกึ่งๆ
หลังค่อม นั่งเดินทางในระยะใกล้ๆ สบายอยู่ แต่ถ้าเดินทางไกลๆ
ต้องมีช่วงพักลงมายืดเส้นยืดสายแน่ๆ ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะ และ
พื้นที่วางขา จัดว่า ยังมีพื้นที่เหลือพอ ตามสไล์รถกระบะยุค iPhone

แต่สิ่งที่ผมอยากเห็นการปรับปรุงแก้ไขนั้น อยู่ที่ เข็มขัดนิรภัยปรับระดับ
สูง – ต่ำได้ เพราะแม้จะมีมาให้ในทุกคันที่เราทดลองขับ ทว่า มันใช้งาน
ได้แค่ฝั่งผู้โดยสารด้านซ้ายเท่านั้น ฝั่งขวา กลับไม่สามารถดึงลงมาได้
แม้ว่าจะออกแรง บีบ และดึงมากขนาดไหนก็ตาม เหมือนเฟืองอะไร
สักอย่าง ไปติดขัดเอาไว้ หลังจากผ่านการกระแทกกระเทือน ในทริป
ลุยป่าลุยทุ่งที่ไหนมาก่อน เรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องที่ผมให้ความสำคัญ และ
อยากฝากให้ทาง GM Thailand ปรับปรุงจุดนี้ด้วยครับ

ภาพรวมภายในห้องโดยสาร ขนาดของกระบะหลัง สรุปได้ว่า เหมือนเดิม
ทีมงานของ GM ไม่ได้ไปยุ่งวุ่นวาย เพื่อเปลี่ยนแปลงมันทั้งสิ้น ถ้าอยากร้
รายละเอียดเพิมเติม ว่าผมคิดเห็นอย่างไรกับภายในตัวรถ คุณสามารถคลิก
เข้าไปอ่านได้ในบทความ Full Review : Chevrolet Colorado MY
2012 – 2013 ได้ ตามลิงก์ ด้านล่างท้ายสุดของบทความนี้

แผงหน้าปัดยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่จะมีการตกแต่งที่ต่างกันไปในแต่ละ
รุ่นย่อย มองขึ้นไปด้านบน แผงบังแดด ของทุกรุ่น จะต่างจาก Trailblazer
เพราะ มีมาให้เฉพาะฝั่งผู้โดยสารด้านซ้ายเท่านั้น และไม่มีไฟแต่งหน้า
มาให้ ต้องอาศัยแสงสว่างจากไฟอ่านแผนที่ ซึ่งแม้จะมีมาให้เหมือนกัน
ครบทุกรุ่น แต่หน้าตาของมันแอบต่างกันเล็กน้อย เนื่องจากรุ่น 2.5 LT
4×4 ไม่มีช่องเก็บแว่นกันแดดมาให้

ถ้ามองให้ดีๆ จะเห็นไมโครโฟน รับเสียงของระบบเชื่อมต่อ Bluetooth
ติดตั้งไว้ บนเพดานฝั่งผู้ขับขี่ เป็นอีกอุปกรณ์ที่เพิ่มเข้ามาจากเดิม

อีกความเปลี่ยนแปลง สำคัญ นั่นคือ ชุดมาตรวัด ถึงจะยังเป็นแบบ 2 วงกลม
รุ่น LTZ เรียงตัวเลขตามแนวโค้งของหน้าปัด ส่วนรุ่น LT เรียงตัวเลขแบบ
ปกติ อ่านง่ายกว่า แต่ชุดมาตรวัด Multi Information Display ตรงกลาง ให้
เป็นแบบ Eco Index แสดงข้อมูล Trip Meter ทั้ง 2 แบบ รวมอัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิง และข้อมูลอื่นๆมากขึ้น แถมยังมีการโชว์รูปใบไม้ขึ้นบนหน้าจอ
ถ้าคุณเลือกขับแบบประหยัดๆ เปลี่ยนเกียร์ตามที่ Shift Indicator เตือนไว้
มุมล่างขวาของจอ MID (เฉพาะรุ่นเกียร์ธรรมดาเท่านั้น) และมีสถิติการใช้
น้ำมันช่วง 50 กิโลเมตร มาให้ดูเล่นกันอีกด้วย

ด้านความบันเทิง GM เอาใจลูกค้ารุ่นท็อป 2.8 L 6AT 4×4 Z71 LTZ เป็นพิเศษ
ด้วยการติดตั้ง เครื่องเสียง Infotainment พร้อมระบบ MyLink ประกอบด้วยวิทยุ
AM/FM พร้อมเครื่องเบ่น CD/DVD/MP3 1 แผ่น ลำโพง 6 ชิ้น พร้อมหน้าจอ
Touch Screen 6.5 นิ้ว แสดงภาพอัลบั้ม Video กล้องมองหลังเพื่อกะระยะขณะ
ถอยจอด เชื่อมต่อโทรศัพท์ และเครื่องเล่นเพลงผ่าน Bluetooth และช่อง USB
รวมทั้งมีระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System มาให้เพียงแค่
รุ่นเดียวเท่านั้น

คุณภาพเสียง ถือว่า OK สอบผ่าน ใช้ได้ แต่หน้าจอยัง Lag อยู่ กดแต่ละครั้ง
แทบจะจิ้มกันจนทะลุจอไปเลย ถึงจะยอมทำงานให้อย่างเสียมิได้

ส่วนรุ่นอื่นๆที่เหลือ หากเป็นรุ่น 2.8 L 6MT 4×4 Z71 LTZ จะติดตั้งชุด
เครื่องเสียง MyLink ชุดเดียวกันกับ Sonic 1.6 L มีทั้งวิทยุ AM/FM หน้าจอ
TouchScreen เชื่อมต่อ Smart Phone และ USB เพื่อชมภาพและ Video
ระบบ Straming ได้ แถมยังเชื่อมต่อกับ Internet Radio ได้ เหมือนใน
Sonic 1.6 ทุกประการ คุณภาพเสียง ถือว่าดีใช้ได้เป็นอันดับต้นๆในกลุ่ม
รถกระบะที่ขายในบ้านเราตอนนี้ เพียงแต่ไม่มีเครื่องเล่น CD มาให้
ทั้งที่จริงๆแล้ว น่าจะมี

ถ้าใครอยากได้เครื่องเล่น CD อาจต้องมองลงไปยังรุ่น 2.5 ลิตร ทุกรุ่น
ชุดเครื่องเสียงจะยังคงเป็นวิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD / MP3
1 แผ่น หน้าจอออกแบบสอดรับกับแผงหน้าปัด จนดูสวยงามลงตัว

ข้อดีก็คือ คุณจะยังได้คุณภาพเสียงที่อยู่ในเกณฑ์ดี ฟังแล้วไม่มีอะไร
ขัดจิต แต่ข้อเสียก็คือ ช่อง USB ที่มีมาให้นั้น ดันเป็นแบบ Mini USB
สำหรับเสียบกับเครื่องเล่นเพลงจำพวก iPod ทั้งที่ในความจริงแล้ว
ลูกค้าส่วนใหญ่จะใช้ USB แบบมาตรฐานมากกว่า

********** รายละเอียดด้านวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

การเปลี่ยนแปลงสำคัญของ Colorado ในครั้งนี้ อยู่ที่การนำเครื่องยนต์เดิมมา
ปรับปรุงใหม่ ให้มีพละกำลังแรงขึ้น Nicola Menarini ผู้อำนวยการฝ่าย
วิศวกรรม GM Powertrain Global กล่าวว่า

“จริงอยู่ว่า เครื่องยนต์ Duramax รุ่นปี 2014 ถูกยกระดับให้มีพละกำลังมหาศาล
อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งที่ใช้โครงสร้างขนาดเล็กและมีประสิทธิภาพสูง
แต่เมื่อเราทำการพัฒนา ขุมพลัง Duramax Gen 2 นี้ พละกำลังและแรงบิดกลับ
ไม่ใช่เป้าหมายหลักของเรา”

“กุญแจสำคัญอยู่ที่ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ ยิ่งมีประสิทธิภาพมากเท่าไร
ยิ่งมีพละกำลังมากเท่านั้น ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น หมายถึงความประหยัดและ
ปล่อยมลพิษไอเสียต่ำลง”

ดังนั้น แทนที่จะขยายความจุเครื่องยนต์ ทีมวิศวกรของ GM ก็เลย เลือกใช้
เทคโนโลยีขั้นสูงในการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์บนความจุเท่าเดิมคือ
2,500 และ 2,800 ซีซี

รายละเอียดการปรับปรุงมีดังนี้…

1. ฝาสูบ – ปรับปรุงและขยายขนาดช่องทางหมุนเวียนไอเสียและช่องทางน้ำผ่าน
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนและลดความร้อนสะสม ปรับช่องทาง
ให้น้ำมันเครื่อง ไหลเข้าไปหล่อลื่นชิ้นส่วนภายในฝาสูบได้ดีขึ้น น้ำหนักของ
ฝาสูบ เบากว่าเดิม

2. เสื้อสูบ – ปรับปรุงและออกแบบผนังน้ำหล่อเย็นและระบบหมุนเวียนน้ำหล่อเย็น
ภายในเสื้อสูบใหม่ ช่วยเพิ่มระบายความร้อน และลดน้ำหนักโดยรวมของเสื้อสูบ
ให้น้อยลง


3. ชุดเพลาถ่วงดุลเพลาข้อเหวี่ยง – ลดการสั่นสะเทือนและเสียงที่เกิดขึ้นจากการ
เคลื่อนที่ของเพลาข้อเหวี่ยงและก้านสูบขณะเครื่องยนต์ทำงาน ปรับปรุงชิ้นส่วน
และขั้นตอนในการประกอบใหม่ เพื่อลดการสั่นสะเทือนและเสียงเครื่องยนต์ลง

4. ระบบ Common-Rail ใหม่ – ปั้มเชื้อเพลิง เพิ่มแรงดันจากเดิม 1,600 เป็น
2,000 บาร์ เพื่อให้การฉีดเชื้อเพลิงเป็นละอองฝอยเข้าสู่เครื่องยนต์ตามการ
คำนวณของกล่องสมองกล ECU แม่นยำขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้

5. Turbocharger แบบแปรผันครีบ ในรุ่น 2,800 ซีซี ถูกปรับปรุงใหม่ เพิ่มระบบ
หล่อเย็นด้วยน้ำที่โข่ง Turbo ลดความร้อนขณะเครื่องยนต์ทำงานหนักและ
ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์และตัวลูก Turbo เอง

6. ท่อร่วมไอดี ได้รับการออกแบบภายในใหม่ ให้เบาขึ้น และปรับระบบ
กระจายหมุนเวียนไอเสีย ลดปริมาณไอเสียสู่สิ่งแวดล้อมโดยทำงาน
ร่วมกับระบบวาล์วหมุนเวียนไอเสีย

7. ระบบวาล์วหมุนเวียนไอเสียควบคุมด้วยไฟฟ้า และระบบหล่อเย็นเพื่อการ
หมุนเวียนไอเสีย ช่วยลดมลพิษไอเสีย (ไนตรัสออกไซด์) ด้วยการปรับลด
อุณหภูมิที่จุดสูงสุด และลดส่วนเกินของออกซิเจนภายในห้องเผาไหม้
อีกทั้งยังใช้ระบบวาล์วหมุนเวียนไอเสียควบคุมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อม
ขยายขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพตัวระบบหล่อเย็นไอเสียก่อนหมุนวน
เข้าห้องเผาไหม้ ให้มีความแม่นยำสูงขึ้น

8. กล่องสมองกล ECU – ออกแบบและพัฒนาซอฟท์แวร์และฮาร์ดแวร์ใหม่ทั้งหมด
โดยทีมงานวิศวกรของ GM เพิ่มความเร็วในการตอบสนอง มีความแม่นยำและ
ละเอียดในการประมวลผลและสั่งงานสูงขึ้น

เครื่องยนต์ DURAMAX Generation ที่ 2 สำหรับ Colorado ในเมืองไทย จะมีให้เลือก 2 ขนาด
ทั้งขุมพลังรหัสใหม่ XLDE28 บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,776 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
94 x 100 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยชุดรางหัวฉีด Common Rail
ของ Bosch ระบบอัดอากาศ Turbocharger จะเป็นแบบ “มีครีบแปรผัน” และมี Intercooler
ช่วยลดความร้อนของไอดี ก่อนส่งเข้าสู่ห้องเผาไหม้

กำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นจากเดิม 180 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที พุ่งพรวดเป็น 200 แรงม้า (PS) ที่
3,600 รอบ/นาที แต่แรงบิดสูงสุด มี 2 ระดับ หากเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ แรงบิดสูงสุดจะ
สูงเท่าเดิมคือ 440 นิวตันเมตร (44.9 กก.-ม.) ที่ 2,000 รอบ/นาที แต่ถ้าคิดว่าตัวเลขนี้ แรงพอแล้ว
บอกได้เลยว่ายังครับ เพราะแรงบิดสูงสุดของรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ถูกยกระดับเพิ่มสูงขึ้น
จากเดิม 470 นิวตันเมตร (47.9 กก.-ม.) คราวนี้ ทะลุขึ้นไปถึง 500 นิวตันเมตร (50.9 กก.-ม. ที่
2,000 รอบ/นาที เท่ากับรุ่นเดิม มีให้เลือกทั้งรุ่น ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง และขับเคลื่อน 4 ล้อ ครบ
ทั้งตัวถัง C-Cab 4 ประตู หรือ X-Cab

ส่วนรุ่น 2.5 ลิตร จะใช้เครื่องยนต์รหัสใหม่ XLDE25 บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,449 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 92 x 94 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ
รางหัวฉีด Common Rail จาก Bosch อัดอากาศด้วย Turbocharger แบบไม่มีครีบแปรผัน พ่วง
ด้วย Intercooler

กำลังสูงสุด เพิ่มขึ้นจาก 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,800 รอบ/นาที เป็น 163 แรงม้า (PS) ที่ 3,600
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด เพิ่มขึ้นจาก 350 นิวตันเมตร (35.7 กก.-ม.) เป็น 380 นิวตันเมตร
(38.8 กก.-ม.) ที่ 2,000 รอบ/นาที เท่าเดิม

เครื่องยนต์ 2,500 ซีซี ใหม่ ยังคงมีให้เลือกเฉพาะ เกียร์ธรรมดา เท่านั้น ไม่มีเกียร์อัตโนมัติ
ให้เลือกเลย ติดตั้งในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง เป็นหลัก และคราวนี้ มีรุ่น ขับเคลื่อน 4 ล้อ
4×4 มาให้ ทั้งตัวถัง C-Cab 4 ประตู และ X-Cab แบบบานแค็บเปิดได้ รวม 2 รุ่นย่อย

ด้านระบบส่งกำลัง มีการปรับปรุงเฉพาะเกียร์ธรรมดา ที่เปลี่ยนจากเดิม 5 จังหวะ
มาเป็น เกียร์ลูกใหม่ 6 จังหวะ ที่ถูกปรับแต่งอัตราทดเกียร์ใหม่จากเดิมเล็กน้อย

หากเป็นรุ่น 2.8 LTZ จะมีการประดับแถบโครเมียม ไว้ที่ หัวเกียร์ แต่ถ้าเป็นรุ่น
2.5 LT ก็จะใช้แถบสีเงินประดับแทน

อัตราทดเกียร์มีดังนี้

เกียร์ 1 ………………………..4.02
เกียร์ 2 ………………………..2.21
เกียร์ 3 ………………………..1.46
เกียร์ 4 ………………………..1.00
เกียร์ 5 ………………………..0.76
เกียร์ 6 ………………………..0.59
เกียร์ถอยหลัง ………………..3.63
อัตราทดเฟืองท้าย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
รุ่น 2.5 ลิตร อยู่ที่ 4.100 และ รุ่น 2.8 ลิตรอยู่ที่ 3.727 : 1

ส่วนเกียร์อัตโนมัติ จะยังคงเป็นแบบ 6 จังหวะ ตามเดิม โดยถูกสงวนเอาไว้สำหรับ
รุ่น C-Cab 4 ประตู 2.8 L 6AT LTZ ทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ เท่านั้น

อัตราทดเกียร์ ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีดังนี้

เกียร์ 1 ………………………..4.065
เกียร์ 2 ………………………..2.371
เกียร์ 3 ………………………..1.551
เกียร์ 4 ………………………..1.157
เกียร์ 5 ………………………..0.853
เกียร์ 6 ………………………..0.674
เกียร์ถอยหลัง ………………..3.200
อัตราทดเฟืองท้าย ……………3.420

Colorado ทั้ง 3 คันที่เรานำมาทดลองขับ ติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งผู้ขับขี่
สามารถเลือกเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนได้จาก สวิตช์มือหมุนบริเวณ ใกล้คันเกียร์
หากจะเปลี่ยนจากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ความเร็วสูง (2H) เป็น ขับเคลื่อน 4 ล้อ
ความเร็วสูง (4H) คุณสามารถหมุนสวิชต์ ได้ทันที โดยไม่ต้องจอดนิ่ง แต่ถ้าคิด
จะเปลี่ยนไปใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ความเร็วต่ำ (4L) เพื่อปีนป่ายเส้นทาง
ทุระกันดาน ต้องหยุดรถ และเข้าเกียร์ว่าง ตั้งล้อตรง ก่อนจะเปลี่ยนไปใช้
โหมด 4L รวมทั้ง ปลดกลับไปใช้ระบบขับเคลื่อนก่อนหน้านั้น ด้วย

การเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ในคราวนี้จะทำให้ตัวเลขสมรรถนะของ 3 ศรีพี่น้อง
ดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน เายังคงทำการทดลองจับเวลาตามมาตรฐานดั้งเดิม นั่นคือ
ใช้เวลากลางคืน เปิดแอร์ นั่ง 2 คน เปิดไฟหน้า และผลลัพธ์ที่ได้ มีดังนี้

ทุกท่านครับ..ผมมีความยินดีจะแจ้งให้ทราบว่า เจ้าตัวท็อปของ Colorado
ได้กลายเป็น รถกระบะที่ทำตัวเลขอัตราเร่งดีที่สุดเท่าที่เราเคยจับเวลากันมา
ชนิดที่ว่า C-Segment หลายๆคัน ก็ถึงกับหนีไม่ออก!

ดูเวลาสิครับ รุ่น C-Cab 2.8 L 6AT 4×4 Z71 LTZ ทำตัวเลขได้ต่ำกว่า
10 วินาทีได้นี่ ต้องเรียกว่าไม่ธรรมดาแล้ว เร็วกว่าคู่แข่งทุกคัน ไม่ว่าจะเป็น
Ranger / BT-50 PRO หรือแม้แต่ D-Max 3.0 VGS 4×2 แถมช่วง
เร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง นี่ ไวจนทำเอารถเก๋งบ้านๆ หลายๆ
รุ่นถึงกับสายหน้าถอดใจ “กรูยอมแพ้มึงก็ได้วะ เจ้าโคด่วย!”

ส่วนรุ่น 2,800 ซีซี เกียร์ธรรมดา อาจเสียเวลาในการเปลี่ยนเกียร์ไปบ้าง
จึงทำให้เวลาช้ากว่ารุ่นเกียร์อัตโนมัติ ที่ใช้เวลาในการเปลี่ยนเกียร์น้อยกว่า
ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเหยียบคลัชต์ แล้ว Shift คันเกียร์ ซึ่งนั่นก็กิน
เวลาเข้าไปเกือบๆ 1 วินาที อยู่ดี ส่วนช่วงเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ทำได้ 7.70 วินาที ก็ถือว่า ไวพอๆกันกับ เกียร์อัตโนมัติ ถึงจะด้อย
กว่ากันราวๆ 0.1 วินาที โดยประมาณ ก็ตาม

แต่รุ่น C-Cab 2.5 L 6MT 4×4 Z71 LT นั้น ถ้าเทียบกันตรงรุ่นกับรุ่นเดิม
ซึ่งใช้เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ จะพบว่า ตัวเลขอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ออกมาได้เท่าๆกัน พอดีๆ คือ 12.88 วินาที โดยมิได้ตั้งใจ แต่พอ
เป็นเกมวัดอัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะพบว่า การใช้เกียร์
ธรรมดา 6 จังหวะ ที่เรียงอัตราทดกันให้เหมาะสม จะช่วยทำเวลาดีขึ้นได้ถึง
1 วินาที! นั่นหมายถึงความปลอดภัยในขณะเร่งแซงรถสิบล้อ หรือรถพ่วง บน
ถนนแบบสวนกันสองเลน ได้ไวขึ้นอีกถึง 1 วินาที

ต้องหมายเหตุกันไว้ตรงนี้ ในรุ่นเกียร์ธรรมดาทุกคันนั้น การจับเวลาอัตราเร่ง
0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผมปิดระบบ Traction Controlและ เลี้ยงรอบ
เครื่องยนต์ ไว้แถวๆ 2,700 รอบ/นาที ก่อนค่อยๆถอนเท้าซ้ายออกจากแป้น
คลัตช์ ยังเลี้ยงไว้อยู่เสี้ยววินาที แม้ในขณะที่เท้าขวา จะกดคันเร่งสวนไปแล้ว
ก็ตามแต่ต้องอาศัยจังหวะดีๆ ต้องไม่ให้ล้อคู่หลังหมุนฟรีทิ้งนานไปจนทำให้
เวลาออกมาล่าช้าเกินกว่าที่ควรเป็น เพราะเท่ากับว่าต้องคาเกียร์ 1 ไว้นานขึ้น
อีกราวๆ เกือบๆ 1 วินาที

นอกจากนี้ ความเร็วสูงสุดแต่ละเกียร์ ของทั้ง 2 รุ่น แทบไม่ต่างไปจากรุ่นเดิม
มากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเซ็ตอัตราทดเกียร์ ที่ใกล้เคียงกับเกียร์ลูกเดิม
นอกจากนี้ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ทีมวิศวกรของ GM จึงล็อกความเร็ว
สูงสุด บนมาตรวัดของ Colorado และ Trailblazer ทุกรุ่นไว้ที่ 184 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ตามเดิม ซึ่งผมมองว่า ถูกต้อง เหมาะสมแล้ว

ย้ำกันเช่นเคยครับว่า  เราไม่แนะนำและไม่สนับสนุนให้คุณไปทำการทดลอง
ความเร็วสูงสุดแบบนี้กันเอาเอง ให้เสี่ยงอันตรายกับตัวคุณและผู้ร่วมสัญจร
คนอื่นๆ เพราะเราใช้เวลาช่วงดึกมากๆ ทดลองทำออกมาเพื่อเป็นข้อมูลเชิง
วิชาการ เพื่อการศึกษาของผู้สนใจด้านวิศวกรรมยานยนต์ เราไม่รับผิดชอบ
หากเกิดอุบัติเหตุใดๆขึ้น จากการดูคลิปแล้วไปทำตามทั้งสิ้น

ในการขับขี่จริง รุ่นท็อป C-Cab 2.8 6AT 4×4 Z71 LTZ คันสีน้ำตาล หรือ
2,800 ซีซี เกียร์อัตโนมัติ เป็นรุ่นที่สร้างความ “ลั่นล้า” ให้กับผมในขณะขับขี่
ไปตามถนนหนทางในกรุงเทพมหานคร อย่างมากๆ!

รถกระบะเกียร์อัตโนมัติบ้าอะไรวะ! เหยียบคันเร่งจมมิดติดเหล็กรถเมื่อไหร่ ล้อ
คู่หลังฟรีทิ้งได้ตลอด ทั้งที่เปิด ระบบ TCS Traction Control ให้ทำงานไว้
ไม่เคยกดปิด ก็ยังฟรีทิ้งเรี่ยราดอย่างสนุกสนานสำราญใจข้าพเจ้าเป็นยิ่งนัก!

ไม่ว่าคุณจะออกตัวจากไฟแดง เลี้ยวกลับรถแบบฉุกละหุก หรือพยามเร่งแซง
รถคันข้างหน้า ที่ทำตัวเป็นหอยทากโดนล่ามโซ่ ทั้งที่กำลังใช้ความเร็วอยู่ราวๆ
50 – 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ล้อคู่หลังก็พร้อมจะหมุนฟรี Spin กำลังดี สร้างเสียง
เอี๊ยดอ๊าด..ซึ่งก็ดังพอจะทำให้บรรดา มอเตอร์ไซค์ และแม้แต่ Toyota Vigo
ที่มาจอดรอ ณ สี่แยกไฟแดงเดียวกัน ต่างพร้อมใจ หลบซ้าย หรือไม่ก็ชะลอรถ
ไปเลย ปล่อยให้ ไอ้รถกระบะบ้าพลังคันนี้ มันล้อหมุนฟรี ออกตัว เพียงแค่
เหยียบคันเร่ง 70 – 80% หรือไม่ก็เหยียบจมมิด  แค่นั้น!!

ขอย้ำว่า ไม่ได้ขับขี่แบบ Aggressive แต่อย่างใด ขับแบบชาวบ้านปกติ นี่ละ
แต่แค่บางครั้ง รำคาญรถคันข้างหน้า ที่ขับช้าแช่ขวา จนต้องจำใจแซงซ้ายขึ้นไป
อยู่ข้างหน้า ซึ่งมีพื้นที่ว่าง โล่ง และทิ้งช่วงจากรถคันข้างหน้าอีกไกล พอกดคันเร่ง
กดคันเร่งจมมิดเล่นๆ สัก 1 ที เท่านั้นแหละครับ เจ้าตัวท็อปของเรา ก็ล้อฟรี
พุ่งปรู๊ด จนผมต้องรีบถอนคันเร่ง แทบจะทันทีที่ล้อหลังฟรีทิ้งเสร็จ เพื่อ
ไม่ให้เกิดอันตรายกับผู้ร่วมสัญจรคนอื่นๆ

ที่สำคัญ แม้ว่าเจ้าตัวท็อป จะมี Traction Control ติดตั้งมาให้ แต่เอาเข้าจริง
มันก็ทำตัวราวกับว่า ไม่มีระบบนี้อยู่เลย ล้อก็ยังคงฟรีทิ้งสนุกสนานง่ายๆ

แรงบิดสูงสุดที่มากมายมหาศาลถึง 500 นิวตันเมตร พร้อมจะพาคุณพุ่งโผน
โจนทะยานไปข้างหน้า อย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะถึงช่วง 4,000 รอบ/นาที
ซึ่งเป็นช่วงที่เรี่ยวแรงในรอบปลายๆ เริ่มหมดลงไปบ้างแล้ว ไม่จำเป็นต้อง
ลากไปถึง 4,500 รอบ/นาที อันเป็นเขตแดน Red Line หรอกครับ ช่วงนั้น
แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงอะไรเพิ่มเติมแล้วละ

ขณะที่รุ่น 2,800 ซีซี เกียร์ธรรมดา ให้บุคลิกของอัตราเร่ง เหมือนรุ่นก่อน แต่
สัมผัสได้ว่า ม้าที่เพิ่มขึ้นมา 20 ตัว ทำงานอย่างเห็นประสิทธิผลจริงๆ ในช่วง
ออกตัว และช่วงรอบกลางๆ ในแต่ละเกียร์ ถึงเกียร์ 1 ยังอาจไม่เห็นผล แต่พอ
เข้าเกียร์ 2 แล้วคันเร่งเต็มตีน ถ้าพื้นถนนขึ้นเงามันแผล็บ ล้อหลังจะหมุนฟรีอีก
ก่อนที่ระบบ Traction Control จะเข้ามาควบคุมเพื่อลดอาการฟรีทิ้งออกไป

แต่รุ่น 2,500 ซีซี นั้น ถึงแม้จะมีความกระฉับกระเฉงจากพละกำลังที่เพิ่มขึ้น
จนสัมผัสได้ แต่การเรียงอัตราทดเกียร์แบบที่เป็นอยู่นั้น เอื้ออำนวยต่อการ
ขับขี่แบบประหยัด โดยเน้นทดรอบเครื่องยนต์ให้ต่ำที่สุด เท่าที่จะทำได้
นั่นหมายความว่า หากคุณต้องการจะทำเวลา และต้องการอัตราเร่งแบบ
ด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋า คุณอาจจะพบความไม่ได้ดังใจ ที่ถ่ายทอดมาจากเจ้า
Colorado 2,500 ซีซี รุ่นเดิม นั่นคือ ในบางช่วงที่เร่งแซง เข้าเกียร์ 3
กำลังลากอัตราเร่งกวาดขึ้นไป พอคุณกำลังจะแซงรถคันข้างหน้าได้
อ้าว รอบเครื่องหมดแล้ว ต้องเปลี่ยนเกียร์ 4 ขึ้นช่วย แล้วก็ต้องลากรอบ
กลับขึ้นไปใหม่ ในขณะที่ รถคันที่แล่นอยู่ฝั่งซ้าย ซึ่งคุณกำลังจะแซง
ก็ไต่ความเร็วขึ้นไปต่อเนื่อง จนบางที ยังแซงไม่ได้ง่ายๆ ด้วยจังหวะ
ของการจราจร พอเรียกแรงบิด ออกมาได้ที่ อ้าว รอบเครื่องหมดอีกละ!
ต้องเปลี่ยนเป็นเกยร์ 5 แล้วลากรอบกลับขึ้นไปใหม่

ถ้าเจอปัญหาแบบนี้ ผมบอกเลยครับว่า Colorado เกียร์ธรรมดา ทุกรุ่น
ถ้าอยากจะเร่งแซง และได้กำลังเหมาะสม ไม่ต้องหัวเสียจากการลากรอบ
เครื่องยนต์ เกินความจำเป็นแบบนี้ ให้เหยียบมาถึงแค่แถวๆ 3,700 ถึง
3,800 รอบ/นาที ก็พอแล้วครับ ไม่ต้องลากไปจนสุดขีดเข้า Red Line
ที่ 4,400 รอบ/นาที เลย มันไม่จำเป็น เพราะแรงบิดที่มีให้ จะถูกเ้รียก
ออกมาหมด ที่รอบเครื่องยนต์ ระดับ 3,700 รอบ/นาที นั่นแหละ!

ที่สำคัญ เสียงเครื่องยนต์ และการสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์ ที่เล็ดรอดเข้ามาสู่
ภายในห้องโดยสาร ลดน้อยถอยลงอย่างเห็นได้ชัด เสียงเครื่องยนต์ขณะจอด
เดินเบา เงียบขึ้นกว่าเครื่องยนต์ 2,800 ซีซี รุ่นเดิมชัดเจน ขณะใช้ความเร็วแถวๆ
100 กิโลเมตร/ชั่วโมง คุณแทบไม่ต้องเร่งเสียงพูดคุยกันเลย แต่ต้องทำใจว่า ยังไงๆ
เสียงกระแสลมจากซุ้มล้อหลัง ก็ยังดังเล็ดรอดเข้ามาให้ได้ยินอยู่ดี แน่ละ ปกติแล้ว
คุณเคยเห็นผู้ผลิตรถยนต์รายใด ติดตั้งวัสดุซับเสียง แบบเต็มพื้นที่ มาให้บริเวณ
ซุ้มล้อหลังของรถกระบะกันบ้างละ? อย่างไรก็ตาม เสียงก็ยังดังแบบรถกระบะอยู่ดี

ส่วนการตอบสนองของพวงมาลัย ระบบกันสะเทือน และระบบเบรก ยังต้องถือว่า
“เหมือนเดิม” และ “ไม่ต่างจากเดิมมากนัก”

ระบบบังคับเลี้ยว เป็น พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ช่วย
ผ่อนแรงแบบไฮโดรลิค ทุกรุ่นย่อยมีการปรับเซ็ตค่าต่างๆ รวมทั้งอัตราทดเฟือง
พวงมาลัย ในระดับใกล้เคียงกัน ดังนั้น การตอบสนองของพวงมาลัยในรถทุกรุ่น
ทุกคันที่ จึงออกมา เหมือนกัน และสามารถใช้อ้างอิงได้ในทุกรุ่น

ภาพรวม พวงมาลัยยังคงหนัก และหนืด ต้องออกแรงในการหมุนเยอะ ราวกับ
ไม่มีระบบเพาเวอร์มาช่วย แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ ระยะฟรี มีพอสมควร
On Center Feeling ถือว่า พอใช้ได้

หากเป็นตัวถัง C-Cab 4 ประตูนั้น จะสัมผัสได้ว่า รุ่น 2.8 LTZ ตัวท็อป พวงมาลัย
จะนิ่ง ไม่วอกแวก และให้การตอบสนองที่แม่นยเพิ่มขึ้นจากรุ่น X-Cab 2.8 LTZ
เกียร์ธรรมดา คันสีส้ม อย่างชัดเจน ยิ่งถ้าเป็นรุ่น C-Cab 2.5 L 6MT 4×4 Z71
LT คันสีส้ม ซึ่งดูเหมือนว่า ผ่านการใช้งานมาไม่มากเท่า รุ่น 2.8 L ยิ่งสัมผัสได้ชัด
ว่าระบบแร็คพวงมาลัย ยังคงแน่น ตึงมือ และมั่นใจได้มากกว่าคันอื่นๆ จนถึงขั้นที่
ทำให้ผม กล้าปล่อยมือจากพวงมาลัย ราวๆ 3-5 วินาที ทั้งที่ใช้ความเร็วสูงสุด คือ
184 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้อย่างสบายๆ

แต่ในรุ่น X-Cab 2.8 L 6MT 4×4 Z71 LTZ คันสีส้ม ผมแอบประสาทกินกับ
การตอบสนองของพวงมาลัย ที่วอกแวก นึกจะตึงมือ ก็ตึง นึกจะเบาก็เบา ต้อง
คอยประคองพวงมาลัยซ้ายๆ ขวาๆ ไว้ตลอดเวลา และในบางครั้ง ก็เกิดอาการ
Lost contact กับพื้นถนนบ้าง เมื่อเจอพื้นถนนในลักษณะลอนคลื่นฉับพลัน
คาดว่าน่าจะเป็นปัญหาเฉพาะคัน อันเกิดจากการเข้าร่วมทริปสื่อมวลชนต่างๆ
มามาก จนชิ้นส่วนพวกบุชยาง ข้อต่อต่างๆ อาจเกิดการคลายตัวไปบ้าง ซึ่งก็
เป็นไปตามปกติ ของรถที่ผ่านการใช้งานมาเยอะ

ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น ด้านหลัง เป็นแหนบ ยังคงถูก
ปรับเซ็ตให้แตกต่างกันไปตามรูปแบบตัวถัง แต่ยังต้องยึดหลัก ด้านหน้านุ่ม
ด้านหลังแข็ง เพื่อรองรับการบรรทุกไว้  ถ้าเรียงลำดับความแข็งของระบบ
กันสะเทือนด้านหลัง จากมาก ไปหาน้อย ก็จะเป็นดังนี้

X-Cab ———> C-Cab —-> Trailblazer  (โปรดสังเกตระยะห่างลูกศร)

ในภาพรวม ช่วงล่างของ Colorado ยังคงเอาใจคนชอบเล่นโค้งยาวๆ พื้นแห้งๆ
ได้ดีเหมือนรุ่นเดิม นุ่มกว่าและซับแรงสะเทือนได้ดีกว่า Ford Ranger ใหม่อยู่
นิดหน่อย แต่ยังไม่เทียบเท่า Mazda BT-50 PRO แถมยังมีการสะเทือนให้เกิด
ความเหนื่อยล้าในการขับขี่หลงเหลืออยู่บ้าง เมื่อเทียบจากรถกระบะทั่วๆไปที่
ผ่านมือผมมา แต่ต้องขึ้นอยู่กับการใช้งาน มีอาการโยนในแนวดิ่งเมื่อเจอช่วง
คอสะพานสูงๆ บ้าง แต่อยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ แต่รุ่น X-Cab ด้วยช่วงล่างที่
เซ็ตด้านหลังมาแข็งกว่าเพื่อน จึงอาจมีอาการ Rebound น้อยกว่า ทว่า การ
สะเทือน หรือเด้ง ก็ต้องเยอะกว่าเพื่อนตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ระบบห้ามล้อ เหมือนเดิม เป็นแบบหน้าดิสก์ แบบมีรูระบายความร้อน ส่วนคู่หลัง
ยังคงเป็น ดรัมเบรก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่รุ่น C-Cab 2.5 L 6MT 4×2 LT จะ
ติดตั้ง ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบ
กระจายแรงเบรก EBD (Electronics Brake Force Distribution) ระบบ
เพิ่มแรงเบรกฉุกเฉิน  PBA (Panic Brake Assist) โดยระบบจะตรวจจับจาก
น้ำหนักการกดเท้าลงที่แป้นเบรกและจะสั่งการให้ระบบ ABS ทำงานเร็วขึ้น ช่วย
ลดระยะในการหยุดรถให้สั้นลงเมื่อเปรียบเทียบรถที่มี ABS แต่ไม่มี PBA รวมทั้ง
ระบบเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกในภาวะฉุกเฉิน HBA (Hydraulic Brake Assist)
ทำงานเมื่อผู้ขับขี่เหยียบ แป้นเบรกอย่างรุนแรงขณะเบรกกะทันหัน และในรุ่น LTZ
ทุกคัน จะติดตั้งระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP (Electronic Stability
Program) ทำงานร่วมกับ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกรถ TCS (Traction
Control System) และระบบ สร้างสมดุลขณะเบรกในโค้ง CBC (Cornering
Brake Control) มาให้เช่นเคย

การตอบสนองของระบบเบรกนั้น แม้ว่าจะยังคงหนักแน่นมั่นใจได้เหมือนเดิม แต่
คุณอาจต้องเหยียบเบรกลึกกว่ารุ่นก่อนอยู่นิดหน่อย เพราะในช่วง 30% แรกที่คุณเริ่ม
เหยียบเบรกลงไป แทบจะไม่ช่วยให้เกิดการหน่วงรถมากมายเท่าที่ควร ต้องเหยียบ
ลงไปลึกกว่าเดิมอีก ถึงระดับราวๆ 40% ของระยะเหยียบทั้งหมด รถจึงจะเริ่มหน่วง
ความเร็วลงมาให้ ชัดเจนขึ้น และนั่นอาจทำให้คุณต้อง เผื่อระยะเบรกไว้สักหน่อย

ถือว่า เบรกยังคงมั่นใจกว่าเดิม แต่ต้องเหยียบเพิ่มจากเดิมอีกหน่อย รุ่น Top C-Cab
2.8 L 6AT 4×4 Z71 LTZ คันสีน้ำตาล นั้น มีระยะเหยียบแป้นเบรกที่ใกล้เคียงกัน
กับ Colorado รุ่นก่อนเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ และยังคงให้ความนุ่มนวล ผสมกันกับ
ความหนักแน่นเหมือนเดิม กระนั้น ถ้าจะต้องเหยียบเบรกราวๆ 60% ของระยะเหยียบ
ทั้งหมด เพื่อหน่วงความเร็วลงมาจากระดับ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง อาจเกิดอาการ
Fade หรือ ความร้อนสะสมเกิดขึ้นที่ผ้าเบรกมากเกินไป จนทำให้ผ้าเบรก ไมจับตัว
กับจานเบรก ขึ้นได้อยู่

แต่ยังไงๆ ภาพรวม ระบบห้ามล้อ ของ Colorado ก็ยังเซ็ตมาดีกว่า D-Max ใหม่
ฝาแฝดร่วมโครงการพัฒนาเดียวกัน อย่างชัดเจน อยู่ดี

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

ถึงเครื่องยนต์ใหม่จะแรงขึ้น แต่สิ่งที่ลกค้าคนไทยกังวลและให้ความสำคัญมาก
ไม่แพ้ความแรง ก็คือความประหยัดน้ำมัน เราจึงทำการทดลองตามมาตรฐานเดิม
ของเรา นั่นคือ นำ Colorado ทั้ง 3 คัน ไปเติมน้ำมัน Diesel Techron ที่สถานี
บริการน้ำมัน Caltex ริมถนนพหลโยธิน ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ จนเต็ม

เช่นเคยครับ ในเมื่อรถกระบะ เป็นหนึ่งในรถยนต์ประเภทที่คุณผู้อ่านส่นวใหญ่
ซีเรียสกับตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้เพลิง เราจึงทำการโขยก ขย่ม และเขย่ารถกัน
เพื่อกรอกน้ำมันลงไปให้เต็มถังจนล้นเอ่อขึ้นมา ถึงปากคอถังอย่างนี้ ให้มั่นใจว่า
จะไม่เหลืออากาศอยู่ในถังเลยจริงๆ หรือเหลือให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ปกติ ผู้ช่วยของผม และสักขีพยานของเราในการทดลอง มักจะเป็นน้องโจ๊ก
V10ThlNd ตามปกติ แต่ เฉพาะรุ่น Top C-Cab 2.8 L 6MT 4×4 Z71
LTZ แขกรับเชิญของเราคราวนี้ บินตรงมาจากเชียงใหม่ครับ น้องหนาว จาก
เว็บไซต์ Carside.in.th เว็บรถยนต์จากภาคเหนือ นั่นเอง น้องเขาบินลงมา
ทำข่าวงาน Motor Show ผมก็เลยจัดทริปพิเศษ ลากมาช่วยขย่มรถนี่แหละ!

เมื่อเสร็จแล้ว เราก็ขึ้นนั่งประจำที่ คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ Set 0 บน
Trip Meter แล้วออกรถ ไปเลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน มุ่งหน้าไปเลี้ยวซ้าย
เข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะจนออกปากซอย โรงเรียนเรวดี เข้าสู่ถนนพระราม 6

จากนั้นเลี้ยวขวาขึ้นทางด่วน อุดรรัถยา ขับตรงไปยังปลายทาง ณ ด่านบางปะอิน
เลี้ยวกลับย้อนมาขึ้นทางด่วนฝั่งตรงข้าม ขับกลับมาตามเส้นทางเดิม ใช้ความเร็ว
110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ พัดลมแอร์เบอร์ 1 และนั่ง 2 คน ตามมาตรฐาน
ดั้งเดิมในการทดลองของเรา ทุกประการ

เพียงแต่ว่า ในรุ่น C-Cab 2.8 L 6AT 4×4 Z71 LTZ เราเปิดระบบควบคุมความเร็ว
คงที่ Cruise Control ไว้ โดยที่ระบบจะรักษาความเร็วให้อย่างดี แม้จะขึ้นเนินชัน
ก็ตาม ส่วนคันอื่นๆ เราใช้วิธี เลี้ยงคันเร่งให้นิ่งที่สุดเท่าที่ทำได้ ตามเคย

เมื่อลงทางด่วนที่ด่านอนุเสาวรีบย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้าย กลับเข้าสู่ถนนพหลโยธิน
เลี้ยวกลับที่สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ เลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex เพื่อเติม
น้ำมัน Techron Diesel ณ หัวจ่ายเดิม เหมือนช่วง การเติมครั้งแรก ของทุกคัน

แล้วเราก็ต้องมานั่งเขย่า โขยก ขย่มรถ กันอีกจนกระทั่ง น้ำมันเต็มล้นเอ่อ
แน่นขึ้นมาถึงปากคอถังเช่นนี้ ตามมาตรฐานเดิม แต่งวดนี้ สัมผัสได้ว่า
เราใช้เวลาในการเติม และเขย่ารถไม่นานนัก คันละไม่เกิน 25 นาที

ได้เวลามาดูตัวเลขจากการเติมน้ำมันของ Colorado ใหม่ ทั้ง 3 คันแล้วละครับ

เริ่มจากคันแรก 4 ประตู 2.8 L 6AT 4×4 Z71 LTZ ตัวท็อป สีน้ำตาล
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมดบนมาตรวัด 94.5 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 8.00  ลิตร
หารออกมา ได้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 11.81 กิโลเมตร/ลิตร

คันต่อมา X-Cab 2.8 L 6MT 4×4 Z71 LTZ ตัวท็อป สีส้ม
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมดบนมาตรวัด 94.5 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 7.95  ลิตร
หารออกมา ได้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 11.88 กิโลเมตร/ลิตร

คันสุดท้าย รุ่น 4 ประตู 2.5 L 6MT 4×4 Z71 LT สีส้ม
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมดบนมาตรวัด 94.5 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 7.96  ลิตร
หารออกมา ได้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 11.87 กิโลเมตร/ลิตร

เฮ้ย! คันนี้ ได้ตัวเลขเท่ารุ่นเดิม แต่เป็น 4×2 เป๊ะเลยหวะครับคุณผู้อ่าน!!!

ถ้าดูจากตัวเลขแล้ว หากเป็นรุ่นต่อรุ่นเทียบกัน จะมีเพียงแค่ รุ่นท็อป เกียร์อัตโนมัติ ที่ทำ
ตัวเลขออกมาดีขึ้นเพียงเล็กน้อย และมีรุ่น C-Cab 2.5 LT ที่กินเท่ากันกับรุ่นเดิมได้
อย่างบังเอิญที่สุดในสามโลก! ส่วนรุ่น 2,800 ซีซี เกียร์ธรรมดา จะกินกว่าเดิมราวๆ
0.4 – 0.5 กิโลเมตร/ลิตร พูดกันตรงๆว่า ผมยังหวังจะเห็นความประหยัดน้ำมันจาก
Colorado ใหม่ เพิ่มมากขึ้นกว่านี้ เพราะตัวเลขที่ออกมาคราวนี้ ทำได้แค่เสมอตัว
กินพอกันกับรุ่นเดิม ไม่ได้ดีขึ้นมากมายนัก กลายเป็นการยืนยันความเชื่อเก่าๆ ของ
ผู้เฒ่าผู้แก่ที่มักพูดกันว่า “แรงขึ้น ก็ต้องกินขึ้น” อย่างที่ไม่ควรจะเป็น

นี่ยังไม่ต้องไปนับคู่แข่งค่ายอื่นๆนะครับ จากตัวเลขการทดลองรถกระบะที่เราทดลอง
เก็บข้อมลสะสมมา ก็คงยืนยันได้ว่า Isuzu D-Max 3.0 VGS ยังคงประหยัดสุด
ในกลุ่ม เครื่องยนต์ เกินกว่า 2,500 – 3,200 ซีซี อยู่ดี ตามเคย

แล้ว น้ำมัน 1 ถัง แล่นจะพา Colorado ขุมพลังใหม่ แล่นไปได้กี่กิโลเมตร คำตอบที่ได้
จากมาตรวัด Trip Meter A ในวันคืนรถ บางคันนั้น น้ำมันหล่นลงมาแค่ครึ่งถัง แล่นไป
400 กว่าๆ กิโลเมตร ดังนั้น ถังน้ำมันขนาด 76 ลิตร น่าจะพาคุณเดินทางได้ไกลพอกัน
กับรุ่นเดิม คือราวๆ 700 กิโลเมตร บวกได้อีกไม่เกิน 50 – 70 กิโลเมตร ทั้งนี้ทั้งนั้น
ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร สภาพแวดล้อม และนิสัยการขับขี่ของคุณด้วย

********** สรุป **********
แรงสุดในตลาด แต่กินน้ำมันเท่าๆกับรุ่นเดิม เติม Infotainment เรียกลูกค้า

นั่นละครับ นิยามจำกัดความที่ชัดเจนสุดของ Colorado ขุมพลังใหม่ สรุปได้สั้นๆ
ด้วย 3 ประโยค

ในช่วงที่ผ่านมา Colorado ถือว่า เป็นรถกระบะ ชายกลาง คือมีจุดขายนะ แต่ยัง
ไม่โดดเด่นพอเมื่อเทียบกับคู่แข่งคันอื่นๆ เลยทำตลาดได้เฉพาะคนที่ชื่นชอบ
ในรูปทรงองค์เอว ของตัวรถกันเป็นหลัก หลายคนตัดสินใจซื้อ น้องโค เพราะ
เขาอยากได้ความหล่อ ของรถ มาเสริมภาพลักษณ์ของตน ให้ยิ่งดูหล่อใน
สายตาสาวๆ (หรือหนุ่มๆด้วยกัน….!)

แต่ต้องยอมรับกันตรงๆว่า การ Upgrade เครื่องยนต์เดิมให้เป็นเวอร์ชันใหม่ จนแรง
เพิ่มขึ้นจาก 180 เป็น 200 แรงม้า (PS) นั้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่ว่า กลัว
เสียหน้า Ford / Mazda ซึ่งออกเครื่องยนต์ 3,200 ซีซี 200 แรงม้า (PS) ออกมา
จนต้องปรับปรุงให้ เครื่องยนต์ 2,800 ซีซี ของตน มีแรงม้าเท่ากัน แต่มีแรงบิด
พุ่งพรวด จนได้สมรรถนะที่แรงสะใจ แรงสุดในตลาด พุ่งโผนโจนทะยาน จน
ใครที่ซื้อไป สามารถคุยโวข่มทับเพื่อนฝูงกันได้เลยว่า

“รถข้าหนะ 200 แรงม้า เท่ากัน แต่ เครื่อง แค่ 2.8 ลิตร ฟรีทิ้ง ทั้ง 3 เกียร์แรก
ของเอ็ง ตั้ง 3.2 ลิตร แต่ตัวเลขน้อยกว่านี่นา ”

แต่ เพื่อนฝูง ก๊วนที่เล่น Ford Ranger ก็อาจจะยียวน สวนกลับมาได้ว่า
“ยังไงๆ รถมรึง ก็แดกน้ำมัน พอๆกัน กับรถของกรูละวะ อย่ามาทำเป็นคุย”

ข้อนี้ สาวกโบว์ไท อาจจุก สำลักข้าวกันกลางวงเพื่อนเลยทีเดียว ก็จริงนี่นา
ตัวเลขที่ออกมา มันก็ฟ้องอยู่แล้วว่า อย่าคาดหวังความประหยัดน้ำมันมาก
ยังไงๆ รถกระบะ รุ่นใหม่ๆ ก็แล่นได้ระยะทางไกล 700 กิโลเมตร จนกว่า
น้ำมัน 1 ถังจะหมดเกลี้ยง อยู่แล้ว ถ้าใครทำได้ดีกว่านั้น ค่อยมาคุยเกทับ
กันวันหลัง

แต่พอนึกขึ้นได้ ชมรมคนรัก”โค” ก็จะโต้กลับว่า “แต่รถข้า ก็มี เครื่องเสียง
หน้าจอ สัมผัส Touch Screen มาให้นะโว้ย แถมเสียง ก็ยังดีสุดในกลุ่ม
ดู DVD ก็ได้ มีระบบจอนำทาง Navigation System มาให้ในรุ่น Top
แต่รุ่นรองลงมา ก็มีหน้าจอ ยกมาจาก Sonic 1.6 เชียวนะเออ! เบาะคนขับ
ก็ปรับไฟฟ้าได้ หน้าจอ MID ก็มีมาให้ มี Bluetooth มาให้ด้วย แถมใช้งาน
ง่ายกว่าอีกต่างหาก!”

สาวกวงรีสีฟ้า ก็หันมาแว๊ดกลับในทันใด “โธ่ แค่นี้ทำมาคุย รถข้ามีระบบ
Voice Command สั่งการด้วยเสียง ไอ้โค ของเอ็ง หนะ มีปะละ?”

BT-50 PRO ส่งเสียงบ้างว่า “พวกเอ็งหนะ ช่วงล่างนุ่มสบายแบบ SUV
อย่างข้าหรือเปล่า ออพชันข้า น้อยกว่า Ranger แต่อย่างน้อย ขับสนุก มั่นใจ
ไม่แพ้กัน นะเว้ย! แถมห้องโดยสาร ยังมีแผงหน้าปัดสวยสุดในกลุ่มอีก”

พี่ Triton เขาโผล่มาร่วมวงด้วย “อะไรกันน้องๆ พี่เนี่ย เบาะหลังนั่งสบาย
กว่า แถมชุดเครื่องเสียงของพี่ก็ขั้นเทพไม่แพ้น้องโค นะคร้าบ แหม พูดมาได้
แถมยังมีรุ่น CNG ให้เลือกอีกต่างหาก”

Navara ก็ขอแจมบ้าง “ไอ้พวกกระบะสำออย ดัดจริตอยากทำตัวเป็นรถเก๋ง
ข้านี่แหละโว้ย รถกระบะของจริง แชสซีส์แข็งแรง ทนมือทนตีนที่สุดใน
ปฐพี แข็งแรงแข่งกับพี่ชัชชาติ รมต.คมนาคม เขาเลยนะโว้ย! ข้าก็มีรุ่น
CNG ให้เลือกอีกเหมือนกัน

เจ้าเปี๊ยก Tata Xenon ขอบลัฟกลับ “แต่ใครมันจะติดแก็ส CNG มาให้ได้ดี
อย่างผมกันละ รองรับงานบรรทุกได้ทนทรหดเลยนะคร้าบ”

แทบจะทั้งโต๊ะหันมาสวนกลับ “เอ็งเงียบปากไปเลย Defect เยอะจะตาย
ใช้ไปไม่ทันครบปี เข้าศูนย์ ยกเครื่องใหม่ เปลี่ยนทิ้งกันเป็นว่าเล่น แถม
จอดอยู่อู่ มากกว่าออกมาวิ่ง แบบนี้ใครเขาจะเอา ต่อให้ชิงโชคแถมทอง
ข้ายังขอคิดดูก่อนเลย” แล้วทั้งวงก็พร้อมใจกันหัวเราะ….

Vigo เดินเข้ามาร่วมวง…
“ถุยส์! ไอ้พวกดีแต่หล่อ แต่ราคาขายต่อตกวูบ มรึงดูน้ำหน้าโชว์รูมและ
ศูนย์บริการของพวกมรึงทั้งหมดสิ เยอะเท่าข้าหรือเปล่า? เครื่องข้าก็
แรงไม่แพ้ใคร แน่จริงมาท้าวัดกันตัวต่อตัวได้! น่ารำคาญ เห่าหอนกัน
เข้าไป ไร้สาระ!!!

D-Max ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ คงทนไม่ไหว……ตบโต๊ะดังผ่าง…
“หยุดเลย พวกมรึงทั้งหลาย! ไอ้ Vigo มรึงอย่ามาทำคุยมาก บริการ
หลังการขายของข้า ดีกว่ามรึงเยอะ ไม่เห็นต้องมาคุยโม้ ราคาขายต่อ
ของข้า ก็สูงไม่แพ้กัน แถมได้รถในแบบเดียวกับน้องโค เครื่องก็แรง
ไม่แพ้กัน แต่ประหยัดน้ำมันสุดในตลาด มีระบบนำทาง i-Genie ซึ่ง
แม้ว่าจะ Lag ไปบ้าง แต่คุณลุงคุณป้า ก็ใช้งานได้ง่าย เครื่องเสียง ก็
พอรับฟังได้ ข้าอยู่เฉยๆ ฟังพวกเอ็งมานานแล้ว รำคาญ หยุดซะที!”

เล่นเอา เงิบ เงียบแดก คอตก ตาปริบๆ กันไปทั้งวง!!

เอ๋า! หรือจะเถียง? บริการหลังการขาย ก็ยังคงเป็นอีกจุดอ่อนของ
บรรดาค่ายมวยรองทั้งหลาย โดยเฉพาะ Chevrolet เองนี่ก็เจอหนัก
เข้าไปหลายเรื่องอยู่ ในช่วงปี 2013 ที่ผ่านมา ถ้าเป็นนักมวยอยู่บน
เวทีนี่ กรรมการต้องถึงกับนับ 8 แล้วเช็คสภาพแผลใต้ตา ว่าแตก
หรือเปล่า กันเลยเชียวละ!

ปี 2014 นี่ละ ควรจะได้เวลาชำระสะสางปัญหาด้านบริการหลังการขาย
กันได้แล้ว เร่งดูแลเอาใจใส่กับ ดีลเลอร์ ทั้วประเทศให้ดีกว่านี้ อย่าเน้น
แต่การขายรถเพียงอย่างเดียว ส่วนงานลูกค้าสัมพันธ์เอง ก็ต้องเข้มข้น
และดูแลเอาใจลูกค้ามากกว่านี้ เพราะพวกเขานี่แหละ ที่เคยจงรักภักดี
กับแบรนด์ โบว์ไท มาตลอด หรืออาจจะคิดลองเสี่ยงฝากผีฝากไข้กับคุณ
เป็นครั้งแรก ไม่ว่าใครก็ตาม พวกเขาควรได้รับความสบายใจ ตลอดอายุ
การใช้งานของรถยนต์ Chevrolet ทุกคันที่พวกเขา ทุ่มเทเงินเก็บจนหมด
กระปุกออมสิน ทั้งชีวิต

ฝากให้ชาว GM Thailand ทุกคน อย่าทำเป็นเล่น ไม่สนใจใยดี และทำงาน
แค่ส่งเดชไปตามหน้าที่ เพราะถ้าทำกันต่อไปแบบนี้ ก็จะโดนคู่แข่งเขา
ตระดมต่อย สอยจนร่วงผล็อยสลบเหมือดคาเวที ไม่มีใครหามส่งห้อง ICU
เลยนะเออ มีแต่เขาจะสาบส่ง RIP กันนะฮะ!

เตือนมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เหมือนเช่นเคย!

————————–///————————–

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks to.

ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท General Motors (Thailand) จำกัด
บริษัท Chevrolet Sales (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม
Full Review : Chevrolet Colorado MY 2012 – 2013
Full Review : Chevrolet Trailblazer MY 2013 – 2014

Full Review : Chevrolet Trailblazer New Duramax Engine MY 2014
—————————-

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในไทย เป็นผลงานของ ผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพวาด Illustration เป็นลิขสิทธิ์ของ บริษัท General Motors Thailand
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
10 เมษายน 2014

Copyright (c) 2014 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
April 10th, 2014

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE