++For English summary, please scroll to the near-end part of
this article++

25 ธันวาคม 2557 เวลา 11:30น.

ทันทีที่ผมก้าวลงมาจากเครื่องบิน Airbus A320ไฟล์ท PG232 ผมถึงกับ
ได้ค้นพบสัจธรรมอยู่อย่างนึง ว่าอากาศของกรุงเทพฯมันช่างร้อนกว่าจังหวัด
เชียงรายเสียนี่กระไร เสื้อแขนยาวที่คอยปกปิดร่างกายไว้จากอากาศหนาว
ที่แม่ฟ้าหลวง ก็ไม่อาจต้านทานแดดได้ ประหนึ่งหลุดจากเทือกเขาหิมาลัย
สู่ทะเลทรายโกบีอันร้อนตับแลบ

มันจะร้อนไปถึงไหนกันว้า….

แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมร้อนกายร้อนใจเท่ากับการที่พี่จิมมี่โทรศัพท์ต้อนรับกลับ
สู้กรุงเทพฯและมอบหมายงานให้ทันทีว่า….

“เฮ้ยเปา! วันนี้ต้องไปรับ Ford Fiesta นะ ว่าแล้วก็วานเอาไปทดลองขับ
แล้วก็เขียนรีวิวเองทั้งหมดเลยละกัน พี่จะปั่นบทความสรุปรถใหม่ 2015 ให้เสร็จ”

สิ้นเสียงจากท่านผู้นำประหนึ่งคำสั่งปรับทัศนคติจาก คสช. ทำเอาผมร้องจ๊าก
พร้อมกับถามกลับทันที “เอาจริงดิพี่ ผมยังไม่มั่นใจในงานเขียนของตัวเอง
เท่าไหร่เลยนะ จะเขียนออกมาดีรึเปล่าก็ไม่รู้?” แต่ก็นั่นล่ะครับ ในเมื่อพี่เขา
ยื่นโอกาสให้ตรงหน้า ผมจึงตกลงรับปากไปว่าจะเป็นคนเขียนรีวิวนี้เองทั้งหมด

ยังไงก็รบกวนฝากผลงานเพลงนี้ไว้กับพ่อแม่พี่น้อง…. เฮ้ย! ไม่ใช่แล้ววววว

ฝากรีวิวชิ้นนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของผู้อ่านทุกๆคนที่กดเข้ามาอ่านด้วยนะครับ

alt

หลังจากที่ Ford Fiesta ได้เริ่มออกสู่ตลาดครั้งแรก คือ สิงหาคม 2010 ผลตอบรับ
จากประชาชนชาวไทยในตอนนั้นถือว่าไม่เลวเมื่อเทียบกับฐานลูกค้าของแบรนด์
ในตอนนั้น แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่าไอ้เจ้ารถคันนี้มันมี Feedback จากลูกค้า
ที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากการที่เกียร์ Powershift กระตุก ซีลเกียร์รั่ว
น้ำมันเกียร์ซึม แร็คพวงมาลัยเคลมบ่อย รถไฟไหม้ ไม่ว่าจะเกิดจากการจอดอยู่
เฉยๆหรือเกิดอุบัติเหตุ และอีกปัญหาสารพัดร้อยแปดจากศูนย์บริการ หลายๆ
แห่ง ที่ลูกค้าส่วนใหญ่บ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่น่าประทับใจ” ทำให้ลูกค้า
หลายๆคนเลือกที่จะเบือนหน้าหนีมันไป และไปเลือกคู่แข่งแทน

โอ้จอร์จ! ทำไมปัญหามันช่างรุมเร้าแบบนี้ เราจะทำยังไงกันดีล่ะซ่าร่าห์?

เมื่อทางสำนักงานใหญ่ของฟอร์ดได้รับรู้ถึงปัญหาเหล่านี้ มีหรือที่บริษัทที่มีชื่อเสียง
ด้านการบริการหลังการขายของลูกค้าจะอยู่เฉย พวกเขาจึงได้แก้ไขปัญหาต่างๆที่ยัง
เกิดขึ้นกับรถรุ่นเก่า ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆของชุดเกียร์ ปรับปรุง
โปรแกรมสมองกลเกียร์ รวมทั้งพยายามแก้ปัญหาการบริการหลังการขายทั้งดีลเลอร์
รายย่อย และสำนักงานใหญ่ เพื่อให้ลูกค้าที่จะซื้อรถใหม่ มั่นใจว่าปัญหาจะเกิดลดลง

ขณะเดียวกัน Ford ก็ยังคงอยากนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาให้คนไทยได้ใช้ ตามนโยบาย
ของบริษัทแม่ ตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา และแผนการนำขุมพลัง EcoBoost 3 สูบ
1.0 ลิตร เทอร์โบ เข้ามาขายในบ้านเรา ก็เป็นอีกความพยายามหนึ่งที่ Ford มองว่า
น่าจะช่วยเปลี่ยนมุมมองและความคิดของลูกค้า ให้หันกลับมาสนใจน้องคนเล็กสุดใน
ในตระกูล Ford ที่ทำตลาดในบ้านเราอีกซักครั้ง

แต่คำถามที่ทุกคนคงกำลังคิดอยู่ในหัวคือ Ford Thailand เขาได้แก้ไขปัญหากัน
จริงๆหรือเปล่า? แล้วผลที่ออกมาเป็นยังไงบ้าง ถ้าอยากรู้คำตอบ ก็ลองเลื่อนลง
มาอ่านข้างล่างดูสิครับ

alt

Ford Fiesta Minorchange เผยโฉมครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2012 ก่อนส่งไป
อวดโฉมต่อสาธารณะชนในงาน Paris Motor Show ถัดมาจึงเป็นคิวของตัวถัง
Sedan โดยเปิดตัวในงาน Sao Paolo Motorshow เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2012
และเปิดตัวในไทยเพื่อปรับโฉมให้กับ Fiesta ในบ้านเรา ที่งานมหกรรมยานยนต์
เมื่อวันที่ 28 พฤษจิกายน 2013

มิติตัวถังของ Ford Fiesta Ecoboost ตัวถัง Hatchback นั้น ยาว 3,969 มิลลิเมตร
กว้าง 1,722 มิลลิเมตร สูง 1,464 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,489 มิลลิเมตร ความ
กว้างช่วงล้อหน้า 1,473 – 1,493 มิลลิเมตร ส่วนความกว้างช่วงล้อหลัง 1,460 –
1,480 มิลลิเมตร

เมื่อเทียบกับตัวถังเดิมที่มีความยาว 3,950 มิลลิเมตร กว้าง 1,722 มิลลิเมตร สูง
1,454 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,489 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,473 –
1,478 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลัง 1,460 – 1,465 มิลลิเมตร จะพบว่ามันมี
ตัวถังที่ยาวขึ้น 19 มิลลิเมตรสูงขึ้น 10 มิลลิเมตร แต่ความกว้างและระยะฐานล้อ
ยังคงมีขนาดเท่าเดิม

ก็แน่สิครับ ตัวถังมันเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนเลยนี่นา!

กระจังหน้าแบบใหม่ ให้มีช่องรับลมขนาดใหญ่อยู่ด้านบน ตกแต่งด้วยโครเมียม
ให้ความสวยงามและน่ามองกว่ารุ่นเก่า แถมไฟตัดหมอกล้อมรอบด้วยโครเมียม
และพลาสติกสีดำเงาพร้อมสเกิร์ตหน้า ที่มองภาพรวมแล้วจะคล้ายๆกับกระจัง
หน้าของ Aston Martin จนท่านผู้การแพน Commander CHENG! ของเราถึงกับ
บอกว่า ถ้า Ford ยังจะใช้กระจังหน้าแบบนี้กับรถรุ่นอื่นๆด้วยละก็ อาจจะต้องเปลี่ยน
ชื่อรุ่นกันเลยทีเดียว เช่น Ford Focus จะกลายเป็น Vocus ส่วน Ford Ranger ก็จะ
กลายเป็น Vanger เพราะว่า Aston จะขึ้นต้นชื่อรุ่นรถของตนเกือบทั้งหมดด้วย
ตัวอักษร V

เฮ้ย! มุขแบบนี้น้ำตาจะไหล ขอแชร์(ความแป้ก)หน้อยนะครับพี่ อิอิ

alt

ล้ออัลลอยลายใหม่ที่มองเผินๆแล้วจะคล้ายกับของรุ่นย่อย Trend เดิม แต่กลับดู
สวยงามและเข้ากันกับตัวรถมากขึ้น สวมยาง Continental ContiPremiumContact 2
ขนาด 195/50 R16 ที่ผู้ใช้งานหลายๆคนต่างประสบปัญหาเดียวกันคือ ไม่สามารถ
หายางยี่ห้ออื่นมาเปลี่ยนแทนได้ เนื่องจากแทบไม่มีบริษัทยางรายไหนผลิตยาง
เบอร์นี้มาขายเลย ทำให้ต้องกลับมาซบอก Continental กันเหมือนเดิมบ้าง บางคน
ก็ยอมใช้ยางที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ก็ต้องแลกกับสมรรถนะการขับขี่ที่แตกต่างไป
จากเดิมนิดนึง บางคนถึงขั้นลงทุนซื้อล้ออัลลอยใหม่เพื่อให้สามารถหายางเส้นใหม่
มาเปลี่ยนได้ง่ายขึ้นเลยทีเดียว แต่ในรุ่นใหม่รวมไปถึงเครื่อง 1.5L ตั้งแต่ปลายปี
2014 ยางติดรถจะถูกเปลี่ยนเป็น Hankook Optimo K415 ทั้งหมด

สีตัวถังมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี โดยมีสีขาว Arctic White สีเทา Metropolitan Grey
สีเงิน Highlight Silver และสีดำ Black Mica อันทั้ง 4 สี Grey Scale ถือเป็นมาตรฐาน
ของสีตัวถังสำหรับรถที่ขายดีในเมืองไทย และอีก 2 สีแปลกเอาไว้ให้ลูกค้าเลือก คือ
สีแดง True Red และสีฟ้า Celestial Blue คันที่ใช้ในรีวิวนี้

ที่เหลือก็จะเป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่จะแตกต่างจากรุ่นเดิม เช่นไฟหน้าและ
ไฟท้ายที่ปรับรายละเอียดใหม่ เซ็นเซอร์ถอยหลังแบบ 4 จุด เส้นสายด้านข้างตัวรถ
ยังใช้แบบเดิมคือภายใต้แนวคิด Kinetic Design ที่ทำให้ตัวรถดูเหมือนกำลังพุ่งไป
ข้างหน้าตลอดเวลา นอกนั้นถือว่าเหมือนเดิมทุกประการ

alt

การเปิดประตูเข้า – ออกจากรถนั้นถ้าเป็นรถรุ่นเดิมจะใช้กุญแจรีโมทคอนโทรล
แบบมีสวิชต์ สั่งล็อก – ปลดล็อก และตัวกุญแจเป็นแบบพับเก็บได้เหมือนมีดพก
ขนาดเล็ก แต่รุ่นใหม่จะเปลี่ยนเป็นแบบ Keyless – GO เหมือนกับ Ford Focus
และปลดล็อคได้โดยการกดปุ่มสีดำที่อยู่ตรงมือจับประตูทั้งฝั่งคนขับหรือคนนั่ง
และยังมีระบบช่วยพับกระจกมองข้างได้เมื่อล็อกรถโดยอัตโนมัติมาให้เช่นเดิม

alt
alt

เมื่อเปิดประตูรถ คุณจะพบกับบรรยากาศที่คุ้นเคยจากรุ่นที่แล้ว เพียงแต่การปรับปรุง
ในเรื่องของสีสันภายในห้องโดยสาร จากเดิมที่เป็นสีเทาดำและมีโครเมียมแซม
เล็กน้อยให้เป็นสีดำและแซมด้วยวัสดุ Piano Black กับพลาสติกสีเงินที่เยอะขึ้น
ทำให้แว๊บแรกที่มองเข้าไปข้างในดูสุขุมนุ่มลึกและ ดู Cozy มากกว่ารุ่นที่แล้ว

ผมพยายามหาความแตกต่างของชุดเบาะนั่งของ Fiesta EcoBoost ว่ามันต่างจาก
รุ่นเดิมตรงไหน เท่าที่สังเกตได้ นอกจากเพิ่มการหุ้มหนังในส่วนที่ต้องโอบรับ
สรีระของผู้ขับขี่ แต่ส่วนที่ต้องสัมผัสกับร่างกายยังเป็นผ้าเหมือนเดิม และมีการ
เปลี่ยนลูกเล่นจากลายตาราง 6 เหลี่ยม ในรุ่นก่อน มาเป็นลายตาราง 4 เหลี่ยมที่
ให้บุคลิกแนว Premium Sport มากขึ้น สีเบาะเปลี่ยนเป็นสีดำ

แต่ความรู้สึกแรกที่ผมได้ก้าวเท้าขึ้นไปนั่งจนถึงวันที่ผมได้ส่งมอบรถคันนี้คืน
ยังคงเป็นแบบเดิม นั่นคือ เบาะมันจะแข็งไปไหนวะครับ? มันแข็งมากจนผม
ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความสะดวกสบายใดๆตลอดการเดินทาง มันแข็งจน
บางทีผมคิดว่ากำลังนั่งอยู่บนก้อนหินหรือเปล่า? ต่อให้เอาคุณเจน ญาณทิพย์
มาสัมผัส เชื่อว่าเจ้าตัวก็ยังสัมผัสไม่ได้ถึงความสบายในการนั่งเลยกระมัง ซึ่ง
ตรงกันข้ามกับรุ่นเดิม แม้จะเป็นเบาะผ้าแต่ก็กลับทำคะแนนในระดับพอใช้ได้
ในเรื่องของความสบายในการเดินทาง ทั้งๆที่ดูแล้วโครงสร้างเบาะก็ไม่ได้มี
อะไรต่างกันเลย สงสัยมาก ว่าการหุ้มหนังเพิ่ม มันจะทำให้ชีวิตดูยากลำบากขึ้น
เยอะขนาดนี้เลยหรือ? ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมว่าเอาเบาะเดิมกลับมาใส่เถอะนะ
จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลานและพ่อตาแม่ยายที่จะต้องมานั่งรถคันนี้ด้วย

ยิ่งถ้าเป็นตอนที่สมาชิกในบ้านเกิดป่วยขึ้นมาและจะต้องพาไปโรงพยาบาล ผมไม่
แนะนำให้ขับเจ้านี่ไปส่งเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่คนป่วยจะต้องประสบพบเจอคือ
เบาะจะให้ความรู้สึกเหมือนกับกดทับอวัยวะภายในเกือบทุกส่วนของร่างกาย และ
ยิ่งจะทำให้คนป่วยทรมาณหนักกว่าเดิมเสียอีก ผมกล้าพูดขนาดนี้ เพราะผมต้อง
ลากสังขารตัวเองไปโรงพยาบาลตอนตี 1 ด้วยอาการไข้ขึ้นสูง และที่บ้านไม่มีใคร
อยู่ซักคนด้วย Fiesta คันนี้ ผมพูดเลยว่าเป็นการเดินทางที่ทรมาณที่สุดแล้วตั้งแต่
ได้ใช้ชีวิตอยู่กับรถคันนี้มาตลอดสิบกว่าวัน

แต่เรื่องที่ประหลาดคือ ผมได้มีโอกาสขับรถทั้งทางไกลและในเมือง ซึ่งกินเวลา
หลายชั่วโมง เมื่อผมก้าวลงมาจากตัวรถ ผมกลับรู้สึกได้ถึงความเมื่อยล้าเพียงเล็ก
น้อยเท่านั้น ทั้งๆที่ไม่มีความสบายในการขับขี่เลย แปลกดีไหมล่ะ?

เรื่องที่ประหลาดอีกอย่างของเบาะรถคันนี้คือองศาในการปรับเบาะเวลาขับขี่ จะทำ
ให้เกิดช่องว่างระหว่างตัวคนขับกับเบาะตั้งแต่กลางหลังขึ้นไปจนถึงศรีษะ ชนิดที่
เรียกว่าคนนั่งข้างๆสามารถเอามือมาสอดแทรกระหว่างคนขับกับเบาะ เพื่อเติมเต็ม
ช่องว่างนั้นได้ แถมยังลูบไล้แผ่นหลังของคนขับเพื่อสะกิดให้รู้ตัวว่า

“เธอๆ คืนนี้จัดกันสักยกมั้ย อิอิ”

แต่ในความโหดร้ายของเบาะคู่หน้าก็ยังมีความดีหลงเหลืออยู่บ้าง นั้นคือ Ford
ยอมเปลี่ยนวิธีการปรับเอนเบาะจากลูกบิดมาเป็นแบบก้านปรับเหมือนชาวบ้าน
ชาวช่องเขาซักที เอ้อ! ที่เรื่องแบบนี้กลับทำให้มันเข้าท่าได้ แต่เรื่องความสบาย
ของเบาะนั่งกลับแย่ลงเสียอย่างนั้น

ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยเหตุที่ตัวเบาะออกแบบมาให้มีปีกที่โอบรับร่างกายในขณะ
ที่ต้องเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง คล้ายกับเบาะสำหรับรถแข่งหลายๆยี่ห้อ (เรียกว่า
เบาะนั่งแบบ Bucket Seat) ทำให้มั่นใจได้ไม่ว่าจะสาดโค้งด้วยความเร็วเท่าไหร่
ก็ตาม ตัวผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าจะไม่กระเด็นหรือไถลออกจากตัวเบาะ
(ถ้ายังคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่นะครับ)

อ้อ! และข้อดีอีกอย่างก็คือ ใต้เบาะผู้โดยสารด้านหน้า ฝั่งซ้ายจะมีช่องเก็บของ
ขนาดใหญ่พอจะเก็บรองเท้าได้ 1 คู่ เผื่อไว้สำหรับคุณผู้หญิงหรือคุณผู้ชายที่ชอบ
แต่งตัวในรถและต้องการเก็บรองเท้าคู่โปรดไว้ในที่ที่สามารถหยิบได้ง่าย ซึ่งก็
เป็นข้อดีที่ยกมาจากเบาะรุ่นเดิมนั่นแหละ

alt

การเข้าออกจากประตูคู่หลังก็ยังคงเหมือนกับรุ่นที่แล้ว คือพอใช้ได้ แต่ไม่ถึงกับ
สะดวกสบายมากนัก ต้องคอยก้มหัวระหว่างการเข้าออก เนื่องจากตำแหน่งของ
เบาะที่ติดตั้งค่อนข้างสูง ทำให้หัวมีโอกาสเฉี่ยวชนขอบประตูได้ทุกครั้งที่คุณจะ
ก้าวเท้าเข้าหรือออกจากรถ

แผงประตูเปลี่ยนจากสีเทาดำเป็นดำล้วน มือจับเปิดประตูเปลี่ยนเป็นสีเงิน ทำให้
ภาพรวมดูไม่น่าเบื่อเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม เข็มขัดนิรภัยจากเดิมที่ตรงกลางเป็นแบบ
2 จุดคาดเอว เปลี่ยนเป็นแบบ ELR 3 จุด เหมือนกันทั้งหมดแล้ว

เบาะนั่งด้านหลัง ยังคงใช้โครงสร้างเดิม สามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40
เพื่อเปิดพื้นที่ว่างสำหรับสัมภาระที่มีขนาดใหญ่ หรือ ยาว หรือทั้งใหญ่ทั้งยาว…

วัสดุหุ้มเบาะเปลี่ยนมาเป็นกึ่งหนังกึ่งผ้าเหมือนกับเบาะโดยสารคู่หน้า ยังพอจะ
หาความสบายระหว่างการเดินทางได้อยู่บ้างจากความนุ่มของพนักพิงหลังและ
เบาะรองนั่งส่วนพื้นที่เหนือศรีษะ ถ้าตัวคุณไม่สูงชะลูดเกินมาตรฐานชายไทย
ไปไกลมากนักก็จะไม่มีปัญหาในเรื่องของศีรษะชนเพดาน แต่เส้นผมอาจเฉี่ยวๆ
บ้างเล็กน้อย ให้พอสัมผัสได้ถึงพื้นที่ว่าเหลืออยู่ไม่มากนัก

ตำแหน่งพนักวางแขนที่ประตูถือว่าทำออกมาได้ดี วางแขนได้ไม่ผิดสรีระ แต่ติด
ตรงที่ไม่มีวัสดุบุนิ่มใดๆมาให้เลย อีกทั้งยังไม่มีพนักวางแขนตรงกลางมาให้
ทำให้เวลานั่งจะรู้สึกเหมือนกับว่าโล่งๆและขาดอะไรบางอย่างไป

พื้นที่วางขา ถือว่ามีน้อยเกินไปหน่อย สภาพพื้นที่นั้นพอจะให้ขยับแข้งขยับขา
ระหว่างการเดินทางได้แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในพิกัดเดียวกันแล้วจะเห็น
ถึงปัญหานี้อย่างชัดเจน เพราะอย่าง Honda Jazz ใหม่มีระยะฐานล้อที่ยาวถึง
2,530 มิลลิเมตร ในขณะที่ Fiesta มีความยาวเพียงแค่ 2,489 มิลลิเมตร ต่างกัน
ถึง 41 มิลลิเมตร ทำให้พื้นที่ความยาวห้องโดยสารค่อนข้างน้อยกว่าคู่แข่ง และ
นั่นก็ส่งผลถึงพื้นที่วางขาของผู้โดยสารตอนหลังโดยตรง

พนักพิงศรีษะเป็นรูปตัว L คว่ำ ที่คนขับรถจะชอบเนื่องจากมันสามารถพับเก็บ
ได้โดยไม่บดบังทัศนวิสัยด้านหลังขณะขับรถ แต่ถ้าเป็นผู้โดยสารข้างหลังจะไม่ค่อย
ชอบมันซักเท่าไหร่ เนื่องจากต้องยกขึ้นใช้งานตลอดเวลาที่นั่งโดยสาร มิเช่นนั้นจะ
โดนพนักพิงทิ่มหลังและคออยู่ตลอดเวลาจนก่อความรำคาญ

และเรื่องสุดท้ายคือ ศาสดาหรือมือจับยึดเหนี่ยวจิตใจ ที่เพดานหลังคาหายไป ซึ่ง
อันที่จริงต้องบอกว่า “ไม่มีมาให้ตั้งแต่รุ่นที่แล้ว” มากกว่า จะงกไปถึงไหนครับเนี่ย
รถยนต์สมัยนี้ ควรจะติดตั้งมาให้ได้แล้วนะ ต้นทุนมันไม่น่าจะเพิ่มขึ้นถึงขนาดที่
จะทำให้กำไรของบริษัทต่ำเตี้ยเรี่ยดินหรอกนะครับ

alt

ความสูงของพื้นที่เก็บสัมภาระจะอยู่ที่ 702 มิลลิเมตร จากพื้นรถ และช่องทางเข้า
ฝากระโปรงหลังขนาดใหญ่ที่มีความสูง 606 มิลลิเมตร กว้าง 996 มิลลิเมตร ช่วย
ให้บรรทุกและขนถ่ายสัมภาระได้ดีพอประมาณ

alt

Fiesta EcoBoost 5 ประตู Hatchback มีพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระขนาดเท่าเดิมกับรุ่นที่
แล้ว คือ 281 ลิตร แต่เมื่อพับเบาะหลังลงมาแล้วทั้ง ฝั่งซ้าย -ขวา จะมีพื้นที่จุข้าวของ
ได้สูงสุดถึง 965 ลิตร และเป็นที่แน่นอนว่าด้านหลังของพนักพิงไม่สามารถพับราบ
เป็นแนวเดียวกับพื้นเบาะได้ มีเพียง Honda Jazz ที่ทำได้ เพราะรายนั้นเขาย้ายถัง
น้ำมันไปไว้ใต้เบาะคู่หน้าแทน และไม่มีใครคิดจะทำแบบนั้นกับรถของตัวเองในเวลานี้

เมื่อยกพรมพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบยางอะไหล่ Continental ContiEcoContact 3
สวมกับล้อเหล็กสีดำ ขนาดยาง 175/65 R14 ระบุด้วยสติ๊กเกอร์ว่า ใช้ความเร็วได้
ไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนกระทะล้ออย่างที่เห็น และถ้าสังเกตเห็นสติกเกอร์
สีดำๆที่แปะอยู่ข้างขวาของหลุมใส่ยางอะไหล่ นั่้นคือสิ่งที่จะช่วยป้องกันไม่ให้
ความร้อนจากหม้อพักท่อไอเสียขึ้นมายังห้องเก็บสัมภาระมากเกินไป แต่จากการ
ใช้งานจริง ผมว่าควรจะหาวิธีที่มันดีกว่านี้อีกสักนิด เพราะผมลองวางถุงพลาสติก
ใส่เสื้อผ้าเอาไว้ตำแหน่งนั้น โดยที่ยกพรมปิดเหมือนใช้งานปกติ เมื่อกลับถึงบ้าน
และถือถุงพลาสติกลง ความร้อนที่แผ่ออกมาจากถุงพลาสติกถือว่าชัดเจนและเยอะ
พอสมควร ถ้าใครที่ชอบซื้อของสดหรืออาหารแช่แข็งเข้าบ้านอยู่บ่อยๆ ผมแนะนำ
ว่าไม่ควรเอา กุ้ง หอย ปู ปลา สดๆ ไปวางไว้บริเวณนั้น เพราะอาจจะทำให้น้ำแข็ง
ละลาย หรือไม่ก็สุกพร้อมกินโดยไม่ต้องเอาไปย่างบนเตา หรือจับเข้าไมโครเวฟ

alt alt

ภายในห้องโดยสาร ในภาพรวม จะคล้ายๆกับ Fiesta 1.6 L Sport แต่เปลี่ยนการ
ตกแต่งคอนโซลและแผงหน้าปัดจากสีเงินเป็นแบบ Piano Black สีไฟในห้อง
โดยสารทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นแผงวิทยุ คอนโซลแอร์ และมาตรวัด เปลี่ยนจากสีแดง
เป็นสีฟ้าทั้งหมด ทำให้การนั่งในห้องโดยสารไม่ว่าจะเป็นตอนกลางวันหรือตอน
กลางคืนรู้สึกสบายตาและผ่อนคลายมากขึ้น ส่วนของคอนโซลด้านบนที่ต้องคอยรับ
แสงแดดที่สาดส่องจากการใช้งานในชีวิตประจำวันก็เปลี่ยนจากสีเทามาเป็นสีดำ
มือจับเปิดประตูเพิ่มการตกแต่งด้วยสีเงินจากเดิมที่เป็นสีดำด้านกลืนไปกับแผง
ประตูรถ

นอกจากนี้ยังเพิ่มไฟส่องสว่างในห้องโดยสารภายในเวลากลางคืนหรือ Ambient
Light สีแดงที่ตำแหน่งไฟอ่านแผนที่ 2 ดวง และยังมีไฟส่องสว่างบริเวณพื้นที่
วางขาด้านหน้าอีกด้วย และสิ่งที่เคยติติงไปในรีวิวรถรุ่นที่แล้ว ในรุ่นนี้ทาง
Ford เขาติดตั้งมาให้เรียบร้อยแล้ว คือไฟส่องสว่างในห้องโดยสารตรงกลางเพดาน
ไม่ทำให้เบาะหลังต้องกลายเป็นแดนสนธยาในยามค่ำคืนอีกต่อไป

ตำแหน่งของอุปกรณ์ ในตำแหน่งคนขับนั้น ไล่จากขวา มา ซ้าย สวิชต์กระจก
หน้าต่างไฟฟ้ามีมาให้ครบทั้ง 4 บานทุกรุ่น เฉพาะฝั่งคนขับจะเป็นแบบ One-Touch
ขึ้น – ลงได้ เพียงการกดหรือยกขึ้น ครั้งเดียวจนสุด ถัดขึ้นไป ติดกับมือจับเปิดประตู
เป็นสวิชต์กระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า ซึ่งสามารถตั้งค่าการพับเก็บและ
กางในขณะล็อคหรือปลดล็อครถได้จากเครื่องเสียงในรถ ถัดมาเป็นตำแหน่ง
เปิด – ปิดไฟหน้าและไฟตัดหมอกหน้า – หลัง พร้อมกับที่หมุนปรับระดับแสงไฟ
ในคอนโซลหน้า ซึ่งในรุ่นที่แล้วไม่ได้ติดตั้งมาให้ แต่ใครก็ไม่รู้ ช่างออกแบบปุ่ม
ไฟตัดหมอกหน้าได้หลบสายตาคนขับมาก เพราะครั้งแรกที่ผมขึ้นมานั่งรถคันนี้
และพยายามจะจะเปิดไฟตัดหมอกดู แต่กลับเห็นเพียงแค่สวิตช์ไฟตัดหมอกหลัง
ไอ้เราก็นั่งหาอยู่นานสองนาน จนถึงขั้นต้องเปิดประตูลงจากรถมาหา เพื่อที่จะ
พบว่ามันอยู่ฝั่งซ้ายของลูกบิดเปิดไฟหน้านั่นแหละ โอ้โห! หลบเก่งยิ่งกว่าเล่น
ซ่อนหาซะอีก

พวงมาลัยปรับระดับ สูง – ต่ำ ได้เพียงอย่างเดียว มีสวิชต์ควบคุมการทำงาน
ของชุดเครื่องเสียงมาให้ ที่ฝั่งซ้ายของแป้นพวงมาลัย ปุ่มตรงกลางเปลี่ยนจาก
สวิตช์เปลี่ยนโหมดเครื่องเสียงเป็นสวิตช์ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC ทำให้
สวิตช์ Voice Command ที่อยู่ตรงก้านไฟเลี้ยวในรุ่นที่แล้วหายไป

ด้านข้างของพวงมาลัยคือ ก้านไฟเลี้ยวและก้านใบปัดน้ำฝน ไม่เข้าใจว่าทำไม
ไม่สลับกันตอนเปลี่ยนฝั่งพวงมาลัยด้วย เวลาผมหรือใครๆก็ตามที่ได้ขับ Fiesta
เป็นครั้งแรกจะต้องสับสนด้วยการเปิดใบปัดน้ำฝนแทนการเปิดไฟเลี้ยว ไปสัก
พักใหญ่ๆ เพื่อให้สมองของคนขับต้องเรียนรู้จดจำตำแหน่งของมันใหม่ และ
ถ้าต้องเปลี่ยนมือ กลับไปขับรถคันอื่นแทน ก็จะสับสนมึนงงชวนให้ดมยาหม่อง
ตรา ลิงถือลูกท้อ เช่นนี้อยู่ร่ำไป

ถ้าในเมื่อ Ford Ranger สามารถเปลี่ยนตำแหน่งก้านไฟเลี้ยวมาอยู่ฝั่งขวา เหมือน
รถยนต์ส่วนใหญ่ที่ทำตลาดในไทย ทำไม Fiesta จึงไม่ลองทำแบบนั้นบ้าง? จริงๆ
แล้วประเด็นนี้ถูกหยิบยกมาพูกถึงกันนานแล้ว เพราะไม่ใช่แค่ Ford แต่รถยุโรป
และรถอเมริกันหลายยี่ห้อ แม้กระทั่งรถญี่ปุ่นอย่าง Subaru ก็มีปัญหาเรื่องตำแหน่ง
ก้านไฟเลี้ยวสลับข้างอย่างไม่เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคในบ้านเรา
ด้วยกันทั้งสิ้น

แป้นฐานเกียร์ และคันเกียร์ล้อมกรอบพลาสติกสีเงินแบบกึ่งด้านกึ่งเงา ช่องแอร์
เป็นแบบวงกลม หมุน และปิดได้ ถัดมาเป็นปุ่ม Ford Power Start หรือปุ่มสตาร์ท
และดับเครื่องยนต์

ชุดมาตรวัดถ้าหากมองเผินๆจะเหมือนกับรุ่นที่แล้ว แต่ถ้านำมาเปรียบเทียบกันจริงๆ
แล้วจะพบว่า ได้มีการเปลี่ยนกรอบนอกจากสีน้ำเงินเป็นสีดำ และล้อมกรอบมาตรวัด
ด้วยสีเงิน เปลี่ยนสีเข็มชี้และตัวเลขบนจอดิจิตอลจากสีแดงเป็นสีฟ้า เปลี่ยนฟอนต์
ตัวเลขใหม่ให้ดูดีมีชาติตระกูลและอ่านง่ายสบายตาขึ้น สัญลักษณ์ต่างๆบนมาตรวัด
สวยงามและมีรายละเอียดมากขึ้น แต่ยังอ่านค่าได้ง่ายและค่อนข้างรวดเร็วเหมือนเดิม

สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาจากรถรุ่นเดิมหลังจากที่มีการติติงไปในรีวิวที่แล้วคือ มาตรวัดอุณหภูมิ
ระบบหล่อเย็นมาให้ เป็นแบบดิจิตอล 8 ขีด สถิตย์อยู่ที่จอ MID บนมาตรวัด ซึ่งเป็น
สิ่งที่ควรจะมีและขาดหายไปจากรถรุ่นใหม่ๆ หลายรุ่นเลย ต้องขอชมเชยในเรื่องนี้

alt

ส่วนเครื่องปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ Digital วงกลมฝั่งซ้ายเอาไว้ปรับระดับความ
แรงของพัดลม ปุ่มกด Auto ฝั่งขวาไว้เลือกอุณหภูมิ ส่วนวงกลมตรงกลางเป็นปุ่มกด
เลือกทิศทางของความเย็นสู่ห้องโดยสาร รวมไปถึงสวิตช์ไล้ฝ้ากระจกหน้า – หลัง
และสวิตช์เลือกการหมุนเวียนของอากาศ ที่พอจะสู้แดดเมืองไทยในเวลากลางวันได้
อยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่เย็นฉ่ำทันใจเหมือนกับของ Denso ที่ติดตั้งอยู่ในรถ Toyota ก็ตาม

ชุดเครื่องเสียง จากเดิมที่ชูจุดขายสำคัญว่าเป็นรถยนต์คันแรกในกลุ่ม B-Segment ของ
เมืองไทย ที่ติดตั้ง เทคโนโลยีระบบสั่งการด้วยเสียง (Voice Control) ทำงานผ่านระบบ
สัญญาณ Bluetooth เพื่อการเชื่อมต่อแบบไร้สายกับชุดเครื่องเสียง อันประกอบด้วย วิทยุ
AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD / MP3 แบบแผ่นเดียว ซึ่งมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ ฝังมาให้
ในตัวเสร็จสรรพ

แต่มาคราวนี้ Fiesta กลับมาพร้อมกับวิทยุหน้าตาเดิมๆ แต่คุณภาพเสียงมันไม่เหมือนเดิม
แถมยังกลายเป็นจุดขายใหม่อีกด้วย

เพราะว่า…

เครื่องเสียงชุดนี้…

ได้รับการการันตีทั้งจากผมและพี่ J!MMY ว่า…

มันคือเครื่องเสียงที่ “ดีที่สุด” ในบรรดารถคู่แข่งของมันทั้งหมด และมันสามารถโค่น
Honda City คันที่จอดตากฝุ่นอยู่ในบ้านพี่ J!MMY ได้เรียบร้อยแล้ว…ซะทีโว้ย!!!

เสียงบ่นจากท่านผู้นำเว็บ เจ้าของรถคันที่เพิ่งจะพ่ายแพ่ในการประกวดครั้งนี้ไป ถึงกับ
บ่นพึมพัมออกมา ในขณะที่กำลังฟังเพลงจาก Fiesta ว่า

“เออ กรูยอมก็ด้ายยยยยยยยยยยยย!!”

ตัวลำโพงสามารถเก็บรายละเอียดเสียงเครื่องดนตรีต่างๆได้เกือบครบทุกชิ้น เสียง
อยู่ในระดับที่เรียกว่าใสและเคลียร์ เสียงเบสแทบไม่เจออาการบวมใดๆ ไม่ว่าจะ
เป็นเพลงแนว Pop Jazz หรือแม้กระทั้งเพลงเปิดในผับเบสหนักๆก็ตาม มิติของเสียง
ถือว่าทำได้กลางๆ เพราะด้วยตำแหน่งการวางลำโพงก็ไม่ได้เอื้ออำนวยให้มีมิติที่ดี
เท่าไหร่นัก

แต่งานออกแบบสวิตช์ที่มีหน้าตาเหมือนปุ่มบนโทรศัพท์มือถือ Nokia รุ่นเก่าๆ
เวลาใช้งานจริง คนขับต้องละสายตาจากถนนมากกว่าปกติ เพื่อที่จะคอยมองว่า
ปุ่มกดมันอยู่ตรงไหน เนื่องจากระยะห่างของปุ่มกดแต่ละปุ่มถือว่าน้อยมาก ยื่ง
การใช้แป้นตัวเลขเวลาจะกดโทรศัพท์หาใครซักคน แค่การละสายตาออดจากถนน
ก็ถือว่าอันตรายมากพอแล้ว แต่ตัวระบบยังช้าจนถึงขนาดที่ว่าทุกครั้งกดปุ่มตัวเลข
ผมจะต้องหันไปมองจอวิทยุก่อนทุกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าผมไม่ได้กดตัวเลขเร็วเกิน
จนเจ้าเครื่องเสียงชุดนี้มันตามไม่ทันใช่ไหม?

ระบบ Voice Command แบบใหม่ของ SYNC จาก Microsoft ที่ส่งตรงมาจากอเมริกา
เป็นแหม่มผิวขาวผมบลอนด์ อกกำลังดี เอวมีน้ำมีนวล แต่การที่จะคุยกับเจ้าหล่อน
จะต้องใช้สำเนียง หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Accent ที่ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา
ซักหน่อย ไม่งั้นคงคุยกันไม่รู้เรื่องแน่ๆ ผมไม่ได้มีความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษ
ที่ดีมาก แต่จากการที่ผมยังเป็นนักศึกษา ม.แม่ฟ้าหลวง ที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษอยู่เป็น
ประจำ ผมได้ทดลองสั่งงานกับระบบนี้อยู่บ่อยๆ ผลคือเจ้าหล่อนเองก็ฟังที่ผม
สั่งงานรู้เรื่องทุกครั้งนะ

อีกทั้งยังมีการปรับปรุงในส่วนของการใช้งานให้ง่ายขึ้น จากเดิมที่ต้องคอยสั่งงาน
แบบขั้นบันได เช่น Radio > FM > 94.0 หรือ CD Player > Track No 2 แต่คราวนี้
ถ้าเราใช้งานในโหมดไหน คำสั่งจะเป็นของโหมดนั้นไปเลย อย่างเช่นถ้าผมกำลัง
ฟังเพลงจาก iPhone โดยต่อสาย USB คำสั่งก็จะเป็นในส่วนของ USB ไปเลย
เช่น Play Track แล้วตามด้วยชื่อเพลงต่อเลย ตัวอย่างนะครับ Play Track Blank
Space เพียงแค่นี้ เครื่องเสียงก็จะเล่นเพลง Blank Space จากโทรศัพท์ได้ทันที

alt

เซ็นเซอร์ถอยหลังเพิ่มจาก 3 จุด เป็น 4 จุด พร้อมแถบแสดงระยะของวัตถุที่กำลัง
เข้าใกล้เซ็นเซอร์บนหน้าจอวิทยุ

จากเดิมที่ตัวรถไม่สามารถปิดระบบ Traction Control ได้ หรือการตั้งค่าใดๆ
ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า จะต้องเข้าศูนย์บริการเพื่อให้ช่างตั้งค่าให้ มาวันนี้
Ford ได้แก้ไขปัญหาด้วยการเพิ่มเมนูการตั้งค่าเข้าไปในชุดเครื่องเสียง เพื่อให้
ลูกค้าตั้งค่าได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่าพับกระจกเมื่อกดล็อครถ การ
ตั้งค่าให้ไฟเลี้ยวกระพริบ 1 หรือ 3 ทีเมื่อขยับก้านไฟเลี้ยวเพียงครั้งเดียว การ
ตั้งค่าเปิด – ปิดเซ็นเซอร์ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ และอื่นๆอีกพอสมควร ตามที่เห็น
ในรูป

USB ที่เอาไว้เชื่อมต่อกับ Flash Drive หรือโทรศัพท์มือถือ ได้มีการปรับปรุงโดย
SYNC เนื่องจากรุ่นก่อนหน้านี้ ไม่สามารถนำโทรศัพท์ Smart Phone เชื่อมต่อ
กับเครื่องเสียงได้โดยตรง ต้องซื้อสายต่อเพิ่มเติมกับทางศูนย์บริการเพื่อให้สามารถ
ใช้งานได้ ไม่เช่นนั้น จะรับได้แค่ Flash Drive เท่านั้น แต่ระบบใหม่ สามารถ
เชื่อมต่อได้โดยตรงโดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริมใดๆ และขอแนะนำว่าใครที่
ชอบฟังเพลง ให้ฟังผ่าน USB เพราะคุณภาพเสียงที่ได้จะค่อนข้างดีกว่าการฟัง
ผ่าน Bluetooth อย่างชัดเจน

แต่ถ้าใครที่หวังจะฟังเพลง พร้อมกับชาร์ตแบตไปในตัว ผมต้องขอแสดงความ
เสียใจด้วยครับ เนื่องจากกำลังไฟที่ส่งมาจากช่อง USB มีเพียงแค่ 0.5 A 
ซึ่งทำได้แค่เพียงเลี้ยงแบตเตอรี่โทรศัพท์ไว้ไม่ไห้ลดลง หรือไม่ก็ชาร์ตเข้าได้
อย่างช้าๆ เพราะมาตรฐานกำลังไฟในการชาร์ตแบตเตอรี่มือถือสมัยนี้ ขั้นต่ำ
จะอยู่ที่ 1.0 A แต่นี่เล่นจ่ายไฟแค่ครึ่งเดียว ผมว่าทาง Ford ควรจะแก้ไข
ในจุดนี้ซักหน่อยนะ เพราะผมเองก็เป็นคนประสบปัญหาจากการใช้งานที่
ต้องการฟังเพลงไปด้วย แต่แบตเตอรี่โทรศัพท์ก็ใกล้จะหมด ทำให้ผมต้อง
เลือกว่าจะฟังเพลง หรือจะหันหลังไปหยิบ Power Bank มาชาร์ตและยอม
ฟังผ่าน Bluetooth เอา

แต่คุณภาพเสียงการคุยโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เสียงดัง
ฟังชัด ทั้งต้นสายและปลายสายสนทนากันได้รู้เรื่อง

ส่วนรายละเอียดด้านทัศนวิสัย ไม่แตกต่างไปจากรุ่นเดิม ฉะนั้น จงย้อน
กลับไปเปิดอ่านรีวิว Ford Fiesta รุ่นแรกของ พี่ J!MMY ได้ ตามลิงค์ที่
แปะไว้ล่างสุดขอองบทความนี้ครับ

alt

********** รายละเอียดทางวิศวกรรมและการทดลองขับ **********

สิ่งที่ทำให้รถคันนี้ดูน่าสนใจ และราคาก็แพงขึ้นแบบผิดหูผิดตานั่นคือเครื่องยนต์
ครับ กระนั้น เมื่อคนไทยส่วนใหญ่ กางใบสเปคดู และพบว่ามันเป็นเครื่อง 1.0 ลิตร
พวกเขาเหล่านั้นเบือนหน้าหนีไปเสียหมด พร้อมกับโยนคำถามทิ้งไว้ว่า

เครื่องแค่พันเดียวจะวิ่งออกหรอ?

มันจะประหยัดน้ำมันได้แค่ไหนกันเชียว?

เทอร์โบมันคืออะไร? มันช่วยได้จริงหรอ?

และอีกสารพัดคำถามหรือคำดูแคลนเครื่องยนต์ลูกนี้ แต่คนเหล่านี้เขาไม่ได้
ผิดนะครับ แค่เขาไม่รู้เท่านั้นเอง ว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่นั้น มันมีดีมากกว่า
การแค่มองตัวเลขความจุกระบอกสูบ ผมเลยอยากจะให้คนที่เข้ามาอ่านรีวิวนี้
ทุกคนทำความเข้าใจกับเทคโนโลยีใหม่ๆที่เกิดขึ้น และกำลังแพร่หลายอยู่ใน
ขณะนี้ นั่นคือการ Downsizing เครื่องยนต์

หลักการของมันคือการลดขนาดเครื่องยนต์ ลดความจุกระบอกสูบ และในบาง
กรณี อาจถึงขั้นลดจำนวนกระบอกสูบ แต่ใช้สารพัดวิธีการและเทคโนโลยีต่างๆ
มาช่วยรีดประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กให้ออกมามากที่สุดโดยไม่
ส่งผลกับความทนทานของเครื่องยนต์มากนัก อีกทั้งยังเป็นการลดมลพิษลงไป
อีกด้วย เช่นการติดตั้ง Turbocharger หรือ Supercharger หรือการใส่เทคโนโลยี
ฉีดไอน้ำมัน (ไอดี) ตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ (Direct Injection) ทำให้ประสิทธิภาพ
ของเครื่องยนต์นั้น ดีเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ที่มีความจุเยอะ หรือมีกระบอกสูบ
มากกว่า

เครื่องยนต์ของ Ford ก็ใช้วิธีการนี้เช่นกัน และจดทะเบียนในชื่อ EcoBoost
ในอนาคต รถยนต์บ้านเราก็จะใช้เครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กลงเกือบทั้งหมด
เช่น Toyota Vigo ที่กำลังจะเปิดตัวในบ้านเราในต้นปีนี้ จะใช้เครื่องยนต์
ที่มีความจุเพียงแค่ 2.2 กับ 2.8 ลิตร ที่ภายในยืนยันกันว่า “แรงที่สุดในตลาด”

เรากลับมาดูกันที่เครื่อง EcoBoost กันดีกว่า โดยธรรมชาติของเครื่องยนต์
3 สูบแล้ว สิ่งที่เป็นปัญหาหลักคือการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ เนื่อง
จากจำนวนของกระบอกสูบที่เป็นเลขคี่ ทำให้เกิดความไม่สมมาตรกัน
ในขณะทำงาน และวิธีแก้ไขปัญหาคือการติดตั้งเพลาถ่วงดุลภายใน
เครื่องยนต์เพื่อลดอาการสั่น ซึ่งจะพบได้ในรถยนต์ ECO Car ขุมพลัง
3 สูบ ทั่วไป แต่ เพลาถ่วงดุลนั้นมีน้ำหนักมาก ราคาแพงและทำให้รถ
กินน้ำมันมากขึ้น

ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Ford ที่เมือง Aachen ประเทศเยอรมนี
และเมือง Dunton ประเทศอังกฤษ จึงแก้ปัญหาด้วยการ ปรับ Flywheel ให้
อยู่ในตำแหน่งที่ ‘ไม่สมดุล’ เพื่อชดเชยน้ำหนักของเครื่องยนต์ในทิศทาง
ที่เหมาะสม แรงสั่นสะเทือนขณะเครื่องยนต์ทำงาน จะถูกกระจายไปอย่าง
สมดุลขึ้น และไม่ส่งผลกระทบต่อตัวรถมากนัก ทำให้เครื่องยนต์บล็อคนี้
มีการทำงานที่เงียบและนิ่งก่วาเครื่อง 3 สูบทั่วๆไปมาก หรือบางทีอาจจะ
นิ่งกว่าเครื่องยนต์ 4 สูบบางบล็อคเสียด้วยซ้ำ

พูดให้เข้าใจง่ายๆคือ การเอาความไม่สมดุลมางัดคานกันเอง จนเกิดความ
สมดุล ขึ้นมาไงครับ!

alt

นอกจากนี้ Ford ยังได้พัฒนาเครื่องยนต์ EcoBoost ในด้านอื่นๆด้วย คือ

– ติดตั้ง Turbocharger ขนาดเล็กความเร็วสูง: ใบพัด Turbine สามารถหมุน
ได้เร็วที่สุดถึง 248,000 รอบ/นาที

– ปรับปรุงระบบหล่อเย็นแบบแยกส่วน ช่วยจัดการอุณหภูมิของเครื่องยนต์
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการแบ่งน้ำยาหล่อเย็นให้ไหลผ่าน 2 ช่องทาง
คือทางเสื้อสูบ และฝาสูบ ทำให้เครื่องยนต์อุ่นเร็วขึ้น ส่งผลให้รถประหยัด
น้ำมันและลดการปล่อยมลภาวะขณะติดเครื่องยนต์ใหม่ๆ

– ปั๊มน้ำมันเครื่องแบบแปรผัน สามารถปรับการจ่ายน้ำมันหล่อลื่นให้เหมาะ
กับความเร็วและจังหวะการทำงานของเครื่องยนต์ จึงช่วยประหยัดพลังงาน
ได้ด้วยการจ่ายน้ำมันเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ต่างจากเครื่องยนต์ทั่วไป ที่ปั๊มจะ
จ่ายน้ำมันตามปริมาณที่กำหนดไว้แบบตายตัว ปั๊มแบบแปรผันจึงช่วยลด
การสิ้นเปลืองพลังงาน ทำให้รถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นทางอ้อม

– ลูกปืนเพลาข้อเหวี่ยง ถูกออกแบบมาให้อยู่ในตำแหน่งที่มีประสิทธิภาพ
สูงสุดจึงช่วยลดแรงเสียดทานของเครื่องยนต์และ ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกว่ารถ
ตอบสนองต่อการสั่งงานได้ดีขึ้น อัตราเร่งแรงขึ้น

– สายพานเครื่องยนต์หลักจุ่มในอ่างน้ำมันเครื่อง ช่วยลดการเสียดสีและ
ลดเสียงรบกวนให้น้อยลงเมื่อเทียบกับสายพานแบบแห้ง นอกจากนี้
สายพานทั้งหมด ยังถูกติดตั้งปิดซ่อนไว้ภายในเครื่องยนต์ เพื่อช่วยลด
เสียงรบกวนได้อีกชั้นหนึ่ง

– การหล่อท่อร่วมไอเสียให้เป็นชิ้นเดียวกับเสื้อสูบ แทนที่จะเชื่อมต่อกัน
แบบเครื่องยนต์ทั่วไปช่วยลดน้ำหนักของรถลงได้เกือบ 1 กิโลกรัม และ
ยังช่วยปรับสัดส่วนการใช้น้ำมันต่อปริมาณอากาศให้อยู่ในอัตราส่วนที่
เหมาะสม เครื่องยนต์จึงอุ่นเครื่องได้เร็วขึ้น

และทั้งหมดนี้ ทำให้เครื่องยนต์ Ecoboost 1.0L สามารถกวาดรางวัลได้จากหลายๆ
เวที เช่นรางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีระดับนานาชาติ โดยได้รับรางวัลติดต่อ
กันถึง 3 ปีซ้อนอีกด้วย

เครื่องยนต์ EcoBoost เบนซิน บล็อค 3 สูบเรียง DOHC 12 วาล์ว 998 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 71.9 x 81.9 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.0 : 1
จ่ายแบบฉีดตรงเข้าห้องเผาไหม้ Direct Injection พ่วงด้วยระบบอัดอากาศ
Turbocharger และอินเตอร์คูลเลอร์ ให้แรงม้าสูงสุด 125 แรงม้า (PS) ที่
6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 170 นิวตันเมตร / 17.33 กก.-ม. ที่ 1,400 –
4,500 รอบ/นาที เติมน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง E20

เครื่องยนต์ EcoBoost ถูกผลิตขึ้นจากโรงงาน ทั้งในเมือง Colongue เยอรมนี และ
ประเทศ Romania ส่งมายังโรงงาน Auto Alliance Thailand (AAT) ให้ประกอบ
ลงไปใน Fiesta ใหม่

อ้อ! และแบตเตอรี่ของ EcoBoost จากโรงงานให้กำลังไฟ 60 แอมป์ ในขณะที่
แบตของเครื่องยนต์เดิมให้กำลังไฟ 45 แอมป์นะครับ

alt

ส่งต่อพละกำลังทั้งหมดเข้าสู่เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ PowerShift แบบคลัทช์คู่
จาก Getrag รุ่น 6DCT250 และเป็นคลัทช์คู่แบบแห้ง ที่ส่งกำลังและแรงบิดผ่าน
ผ้าคลัตช์ธรรมดา ทำให้ไม่ต้องใช้ปั๊มน้ำมัน Torque Converter ของเหลวอื่นๆ
หรือ Oil-Cooler และท่อภายนอกเหมือนเกียร์แบบคลัตช์เปียก นอกจากนี้ยังมี
ระบบการลดความเร็วไปสู่เกียร์ว่าง (Neutral Coast Down) เมื่อผู้ขับขี่ถอนเท้า
จากคันเร่งและเหยียบเบรค ที่จะช่วยให้ประน้ำมันมากขึ้น

เกียร์ลูกนี้ มีความยาว 350 – 400 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวตั้งแต่ 72 – 82 กิโลกรัม
รองรับแรงบิดสูงสุดได้ถึง 240 – 280 นิวตันเมตร ใช้น้ำมันเกียร์ 1.7 – 1.9 ลิตร

รายละเอียดเชิงลึกจากเว็บไซต์ของผู้ผลิตมีดังนี้

Max. Torque Capacity 240 – 280 Nm
Weight (dry) 72 -82 kg (incl. damper/DMF)
Installation length 350 – 400 mm
Input Shaft – Differential 183 – 205 mm
Oil 1.7 – 1.9 l
Ratio 1st gear 15 – 18.5
Ratio 6th gear 2.1 – 4
Gear Spread Ratio max 7.2
Synchronization
1st and 2nd gear dual cone
3rd and 4th gear single cone
5th and 6th gear single cone
Control unit integrated (only one plug to the vehicle)
Parking lock mechanically actuated and locked
Shifter System electromechanical actuation of the dry clutch and shifting system

อัตราทดเกียร์เมื่อเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องยนต์ EcoBoost 1.0L มีดังนี้

เกียร์ 1……………………….3.917
เกียร์ 2……………………….2.429
เกียร์ 3……………………….1.436
เกียร์ 4……………………….1.021
เกียร์ 5……………………….0.867
เกียร์ 6……………………….0.702
เกียร์ถอยหลัง…………………3.507
อัตราทดเฟืองท้าย……………3.895 (เกียร์ 1,2,5,6) / 4.353 (เกียร์ 3,4,R)

แต่ถ้าใครที่ลองเปิดย้อนกลับไปดูรีวิวของรถรุ่นเดิม จะเห็นว่าทั้งตัวเกียร์และ
อัตราทดทุกอย่าง ยังเหมือนเดิมทุกประการ

อ้าว? แล้วมันจะกระตุกหรือ Shift หายจนเกือบจะกลายเป็นขวัญใจรถยก
เหมือนกับที่ผ่านมารึเปล่าเนี่ย?

มาคราวนี้ Ford ยังยืนยันและนอนยันว่าจะใช้เกียร์ลูกเดิมต่อไป เพราะเขา
มั่นใจในประสิทธิภาพและความทนทาน เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ Fiesta
เข้ามาทำตลาดในไทย Ford ได้พัฒนาเกียร์ลูกนี้เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆนาๆ
ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาการเกียร์กระตุก น้ำมันเกียร์รั่ว ซีลเกียร์ขาดง่าย
ด้วยการเปลี่ยนพาร์ทต่างๆข้างในตัวเกียร์ เช่น Dual mass flywheel ที่เสียง
เงียบขึ้น ซับแรงกระแทกและเสียงได้ดีขึ้น รวมไปถึงลดอาการรอรอบและ
เกียร์จับตัวเร็วขึ้น และการอัพเดตเฟิร์มแวร์ใหม่ให้กับสมองกลเกียร์ เพื่อ
ช่วยให้เกียร์สามารถรับแรงบิดได้มากขึ้น ทำงานฉลาดและเข้าใจถึงสไตล์
การขับขี่ของแต่ละคนมากขึ้น

อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนหัวเกียร์และแป้นเกียร์ให้มีความคล้ายคลึงกับ Ford Focus
และเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ L ให้กลายเป็นเกียร์ S มาพร้อมกับปุ่มเปลี่ยนเกียร์
ได้ด้วยตนเองที่ทำหน้าที่เหมือนกับ Paddle Shift และตัดออปชั่น Hill Descent
Control ออก เนื่องจากผู้ขับขี่สามารถเล่นเกียร์ได้เมื่ออยู่ในโหมด S อยู่แล้ว จึง
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใส่มาให้แต่อย่างใด

สมรรถนะจะออกมาเป็นเช่นไร? เรายังคงทำการทดลองจับเวลาในตอนกลางคืน
ตามมาตรฐานเดิมของเรา คือ เปิดแอร์ นั่ง 2 คน น้ำหนักตัวไม่เกิน 170 กิโลกรัม
เปิดไฟหน้า และผลที่ได้ เมื่อเทียบกับคู่แข่ง มีดังนี้

alt alt alt alt alt

เห็นตัวเลขแล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ?

ต้องบอกว่าคราวนี้ Ford พัฒนาเครื่องยนต์ออกมาได้ดี สมราคาคุย และสมกับที่
ได้รับรางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี ทำให้ Fiesta EcoBoost กลายเป็นรถยนต์
กลุ่ม B-Segment เกียร์อัตโนมัติที่เร็วที่สุดในตลาดเมืองไทย ณ เวลานี้ ถึงแม้ว่า
อัตราเร่งแซงในช่วง 80 – 120 จะยังช้ากว่า City และ Jazz อยู่ 0.1 วินาที ก็ตาม

เครื่องยนต์ที่มีพละกำลังเหลือเฟือต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันหรือการขับ
ทางไกล เชื่อมโป๊ะเข้ากับเกียร์อัตโนมัติแบบคลัทช์คู่ เมื่อดูตัวเลขที่ออกมา ถือว่า
เป็นไปตามความคาดหมายส่วนตัวของผม แต่ในทางกลับกันตัวเลขพวกนี้บอก
อะไรกับเรา?

มันกำลังจะบอกว่า แล้วเราจะซื้อ Fiesta เครื่องเบนซินธรรมดากันไปทำไม?
เพราะเนื่องจากตัวเลขที่เครื่องยนต์ 1.6L ทำได้นั่นอยู่ที่ 12.67 วินาที ถือว่า
เกาะกลุ่มกับชาวบ้านชาวช่องที่ยังไม่ได้มีการปรับปรุงเครื่องยนต์หรือเกียร์
ใดๆเลย ในขณะที่ตัวรถเองนั้นออกแนวจะเป็น Sport Compact Car มากกว่า
ที่จะเป็นรถเก๋งนั่งสบาย ใช้งานได้อเนกประสงค์ เหมือนกับที่คู่แข่งเป็นอยู่
ทำให้มันดูขัดกับสิ่งที่ตัวเองเป็น

สมรรถนะของเครื่องยนต์ EcoBoost แรงและน่าประทับใจ ดุจแกงป่าน้ำใสๆ
แต่กินเข้าไปแล้ว จัดจ้าน แซบสะเด่าทรวง เสียจนทำให้ ขุมพลังของ Fiesta
รุ่นก่อนหน้านี้ กลายเป็นต้มยำกุ้ง ที่ดูเหมือนมีสีสรรน่ารับประทาน แต่รสชาติ
จืดชืดไปเลย

ยิ่งในตอนนี้ Ford Thailand ได้ถอดเครื่องยนต์ 1.6L ออกจากการทำตลาดใน
บ้านเรา ด้วยเหตุผลที่เหมือนกับผู้ผลิตรายอื่น คือต้องการพัฒนาให้เครื่องยนต์
ของตนเองมีสมรรถนะที่ดีขึ้น อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อยลง และลดการ
ปล่อยมลพิษสู่บรรยากาศ เพื่อให้ผ่านมาตรฐานมลพิษในหลายๆประเทศที่
กำลังเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ทำให้เหลือ
แต่เครื่อง 1.5L ที่สมรรถนะจะด้อยกว่ากันไม่มากก็น้อย ทำให้เหตุผลที่จะซื้อ
Fiesta เครื่องเบนซินธรรมดามีเพียงแค่งบประมาณที่คุณมีอยู่ในมือ ไม่อาจ
ไขว่คว้าหาตัวท็อปได้ หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละครัวเรือนแล้วล่ะ

ส่วนความเร็วสูงสุด ทำให้ดูกันแล้วนะครับ ไม่ต้องเอาไปทดลองกันเองอีกนะ
200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่เกียร์ 5 ในโหมด S พอดิบพอดี และมันไปได้แค่นี้แล้ว
ไม่ต้องไปพยายามเค้นจากมันอีกเลยนะครับ เครื่อง 3 สูบ ลิตรเดียว พ่วง Turbo
ลูกเท่าชามข้าวแมว แต่ยังทำความเร็วสูงสุดได้เร็วที่สุดตีคู่มากับ Honda City ถ้า
ต้องการความเร็วกว่านี้เห็นทีจะต้องหันไปมองรถ Segment อื่นที่มีความจุ
กระบอกสูบเยอะกว่านี้แล้วล่ะครับ

เรายังคง มีจุดยืนที่จะไม่สนับสนุนให้ใครก็ตาม ไปทดลองหาความเร็วสูงสุด
กันเอง เพราะมันอันตรายต่อชีวิตตนเอง และเพื่อนร่วมทาง แถมยังผิดทาง
กฎหมายจราจรอีกด้วย เราทำตัวเลขออกมาให้ดู เพื่อให้ได้ทราบข้อเท็จจริง
และเป็นประโยชน์ในแง่การศึกษา ด้านวิศวกรรมยานยนต์ เท่านั้น ต้องเน้น
ย้ำกัน เหมือนเช่นเคยครับ

alt

ในการขับขี่จริง อัตราเร่งนั้นมีมาให้เหลือเฟือ จนสามารถบอกได้ว่า แรงแบบ
เหนือความคาดหมาย ยิ่งเป็นการขับขี่ในเมือง ถ้ากระทืบคันเร่งออกตัว Fiesta
คันนี้จะกลายร่างเป็นเสือตัวน้อยผู้หิวโหยมาหลายวัน มันจะพุ่งไปข้างหน้า
อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ถึงกับกระโชกโฮกฮากนัก เหมือนเสือที่พุ่งทะยานไปข้าง
หน้าเพื่อจับเหยื่อมาสนองต่อความหิวโหยของมัน

แต่ถ้าเป็นการขับขี่ทางไกล เรี่ยวแรงนั้นพอจะทำให้หลีกหนีจากสถานการณ์
คับขันหรือบรรดารถยนต์ของสุภาพชนทั้งหลายแหล่ที่คอยตามจี้ตูดในขณะที่
กำลังขับขี่ด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตร / ชั่วโมง ได้อย่างปลอดภัย ทุกครั้งที่กด
คั่นเร่งลงไป เข็มไมล์จะค่อยๆพุ่งขึ้นอย่างช้าๆ เสียงเครื่องที่กำลังปั่นล้อด้วย
ความเร็วมาคลอเป็นจังหวะให้รู้สึกถึงความบันเทิงระหว่างการขับขี่ แต่ไม่ได้
แสดงอาการว่าจะอ้อนล้าแต่อย่างใด จนกว่าที่เข็มความเร็วจะเริ่มทะยานไปแตะ
160 กิโลมตร / ชั่วโมงนั่นล่ะครับ จึงจะทำให้ตัวรถเริ่มไต่ความเร็วได้ช้าลงกว่าเดิม

เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 จังหวะ ได้รับการปรับปรุงทั้งชิ้นส่วนอะไหล่และโปรแกรม
สมองกลเกียร์ ทำให้การใช้งานเป็นไปด้วยความราบรื่น ตัวเกียร์สามารถเปลี่ยนเกียร์
ได้อย่างรวดเร็ว ประหนึ่งที่นอนโตโต้ที่ไร้รอยต่อ แถมยังทอเต็มผืนอีกด้วยแน่ะ
อีกทั้งยังรู้ใจว่าผมกำลังต้องการเกียร์อะไรอยู่ในขณะนั้น ไม่แสดงอาการป้ำๆเป๋อๆ
ออกมาให้เห็น ส่วนอาการเกียร์ประตุก ผมแทบไม่พบเจอในระหว่างที่มันมาเป็น
รถคู่กายของผมตลอด 12 วันที่ผ่านมา ถือว่าทาง Ford ได้ปรับปรุงคุณภาพของ
เกียร์ให้ดีขึ้นแล้วจริงๆ

แต่มีอากัปกิริยาบางอย่างของเกียร์ที่เสมือนเป็นตัวถ่วงความเจริญของชาวโลก
ทุกครั้งที่ผมกดคันเร่งลงไป ไม่ว่าจะกดเพียงราวๆ 50% หรือกระทืบจมตีน นั่น
หมายความว่าผมต้องการเร่งแซง ณ เวลานั้นโดยด่วน แต่เกียร์เจ้ากรรมกลับทำ
ให้คนขับต้องรอกว่าคลัทช์จะจับกับเกียร์เต็มที่เพื่อให้เข็มวัดรอบกวาดขึ้นพร้อม
กับตัวรถที่ทะยานออกไป เป็นเวลาถึง 0.5 – 1 วินาที

สิ่งที่มาเป็นพระเอกของเราในการกลบข้อด้อยนี้ก็คือประสิทธิภาพของเครื่อง
ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างบน ประหนึ่งพี่ชาย ที่คอยตามล้างตามเช็ด ให้น้องชายที่มัก
ก่อเรื่องน่าปวดหัวเอาไว้

แต่ในหลายๆครั้ง เรี่ยวแรงของเครื่องก็ไม่อาจมาช่วยได้ทันเวลา เพราะการขับขี่
ในเมือง สิ่งที่ทุกคนต้องการเวลาเร่งแซงคือ ให้ตัวรถพุ่งไปข้างเพื่อหลบหลีกกลุ่ม
รถบรรทุกที่ตามมาข้างหลัง ด้วยความเร็ว หรือแซงรถที่อยู่ข้างหน้าที่กำลังคลานช้า
เป็นหอยทากป่วย สิ่งที่คนขับจะได้รับคือการออกตัวเร่งแซงที่ไม่ทันใจ จนบางที
อาจจะถึงขั้นทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ กระนั้น ถ้าหากเป็นการเร่งแซงทั่วไป ผมขอ
แนะนำให้มองถึงสภาพการจราจรทั้งหมดและกดคันเร่งไปล่วงหน้า อย่างน้อย
1 วินาที (คันเร่ง lag ประมาณ 0.5 วินาที) จะทำให้อัตราเร่งแซงนั้นมาได้จังหวะ
ตรงกับที่เราต้องการ

อีกประการที่ต้องขอติติงคือ การติดตั้งสวิชต์ บวก-ลบ ไว้ข้างคันเกียร์ นั้นไม่ใช่
เรื่องที่ดีเลยในแง่ของการใช้งานจริง เพราะการที่ต้องละมือจากพวงมาลัยเพื่อมา
กดปุ่มเปลี่ยนเกียร์ แทนจะจะเป็นการขยับคันเกียร์ขึ้น – ลงหรือกดปุ่ม Paddle Shift
ที่อยู่ข้างหลังพวงมาลัย ก่อให้เกิดความรำคาญและไม่ทันใจในบางจังหวะ หนำซ้ำ
ทำให้ต้องมานั่งแยกประสาทระหว่างการควบคุมพวงมาลัยรถกับการคลำปุ่มกดไป
พร้อมกัน ผมไม่เห็นว่ามันจะมีความดีงามอะไรเลยกับการทำสวิตช์เปลี่ยนเกียร์
แบบนี้ มันน่าหงุดหงิดเหมือนกับ คันเกียร์ของ Ford Focus ใหม่ ไม่มีผิด!

alt

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPAS (Electromic
Power-Assisted Steering รัศมีวงเลี้ยว 5.2 เมตร ที่ Ford เคลมไว้ว่าช่วยให้
ประหยัดน้ำมันขึ้น 3% มีระบบ พร้อมระบบชดเชยน้ำหนักการดึงพวงมาลัย (Pull-Drift
Compensation) หลักการทำงานคือ เมื่อเซ็นเซอร์ตรวจจับพบการดึงของพวงมาลัย
ไปทางด้านใดด้านหนึ่งนิดๆ อันเกิดจากถนนลาดเอียง หรือเป็นลอนคลื่นไม่เท่ากัน
ไม่เว้นแม้แต่การขับรถผ่านกระแสลมแรง ซอฟต์แวร์โปรแกรมของระบบ จะส่ง
แรงดึงไปเพิ่มในฝั่งตรงข้าม เช่น ถ้าล้อเริ่มจะดึงไปทางซ้ายนิดๆ ระบบก็จะช่วยดึง
กลับมาทางขวานิดๆ ชดเชยการควบคุมของพวงมาลัยกลับคืนมา ให้สมดุลกันมาก
ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

สัมผัสของพวงมาลัยในช่วงความเร็วต่ำที่เบาและหนักแน่นกำลังดี สามารถพาคุณ
ลัดเลาะไปตามสภาพการจราจรที่มีรถหนาแน่นหรือทางคดเคี้ยวได้ดั่งใจ แต่สำหรับ
คุณผู้หญิงที่เคยขับ ECO Car มาก่อนอาจจะรู้สึกว่ามันหนักเกินไปเสียหน่อย ขณะ
ขับขี่ด้วยความเร็วสูง การบังคับเลี้ยวในทุกย่านความเร็ว ถือว่าทำได้ดี คล่องแคล่ว
ต้องการเลี้ยวเท่าไหร่ ก็ใส่ไปเท่านั้น จากเดิมที่พวงมาลัยมีปัญหาน้ำหนักที่เบาไป
ในช่วงความเร็วต่ำและไม่ต้านมือในเวลาเข้าโค้ง แต่มาคราวนี้พวงมาลัยไม่สามารถ
ปรับระดับใกล้ – ไกลจากตัว แบบ Telescopic ได้ แต่ Fiesta รุ่นที่แล้วทำได้ 
ไม่ทราบว่าจะตัดออกทำไมครับ? ตรงนี้ผมไม่เข้าใจจริงๆ

แต่คันที่เรานำมาทดสอบกันนี้ ในขณะที่กำลังหมุนพวงมาลัยเพื่อถอยรถเข้าที่จอด
ยอยพวงมาลัยก็เริ่มมีเสียงกุกกักให้ได้ยินกันบ้างแล้ว ขนาดรถเพิ่งจะวิ่งมาแค่ 12,000
กิโลเมตร แค่นั้นเอง สงสัยต้องเตรียมเคลม ยอยพวงมาลัย เหมือน Fiesta คันอื่นๆ
แล้วหรือเปล่าเอ่ย..อิอิ

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัตพร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง
ส่วนด้านหลัง เป็นแบบกึ่งอิสระทอร์ชั่นบีม เหล็กกันโคลงหน้า หนา 22 มิลลิเมตร มี
การปรับปรุงช็อกอัพให้ดีขึ้นกว่ารุ่นที่แล้ว ในแง่ของการเกาะถนนที่ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม ใน
ช่วงความเร็วต่ำ การขับผ่านลูกระนาด เนินสะดุดต่างๆ ให้สัมผัสที่แข็ง แต่ไม่กระด้าง
ไม่กระเทือนมากนัก

ในช่วงความเร็วสูงต้องบอกว่าตัวรถก็ยังรักษาคุณงามความดีไว้ได้เหมือนเกลือรักษา
ความเค็ม การทรงตัวขณะขับขี่ทางไกล แม้ความเร็วจะแตะถึง 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ตัวรถก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความนิ่งและการขับขี่ที่อยู่หมัด ถึงแม้จะต้องเปลี่ยนเลนด้วย
ความเร็วหรือเจอถนนลูกคลื่น แต่ถ้าหากคนขับสาดโค้งด้วยความเร็วที่สูงมาก ตัวรถ
จะมีอาการท้ายออกแบบลอยๆ เด้งดึ๋งที่ละนิดๆ เป็นการส่งสัญญาณจากตัวรถให้
คนขับรู้ตัวว่า

“เบาหน่อยสิเพ่! ถ้าใส่โค้งมากกว่านี้ ชั้นจะหลุดโค้งให้ดูแล้วนะโว้ยยยยยย”

ภาพรวมแล้วถือว่า ช่วงล่างมีนิสัยเหมือน Fiesta รุ่นเดิม แต่เกาะถนนขึ้นกว่าเดิม
นิดนึง

ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรกคู่หน้าขนาด 10.2 นิ้ว ดรัมเบรคคู่หลังขนาด 7.9 นิ้ว
พร้อม ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti Lock Braking Sysgtem) ระบบกระจาย
แรงเบรก EBD (Electronics Brake Force Distribution) ระบบควบคุมการทรง
ตัวของรถ ESP (Electronic Stability Program) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและ
ควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ระบบช่วยออกตัวบนทาง
ลาดชัน HSA (Hill Start Assist) ระบบชดเชยน้ำหนักบนพวงมาลัย (Pull-Drift
Compensation)

ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีถือว่าทำงานได้ดีและรวดเร็วพอประมาณ เมื่อลอง
ออกตัวแบบกระทืบคันเร่งจมตีน ขณะจับเวลา 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะ
พบว่า หลายๆครั้งที่แรงบิดของเครื่องยนต์ที่ส่งไปถึงล้อคู่หน้ามันมากเสียจน
ล้อเกิดอาการหมุนฟรี และระบบ TCS ก็เข้ามาจัดการในตรงนี้ ยิ่งเป็นการ
ขับรถบนถนนเปียก ผมแนะนำว่าอย่าไปปิดระบบนี้เลยนะครับ เพราะโอกาส
ที่ล้อจะหมุนฟรีทิ้งจนรถปัดไปโดนรถคันข้างๆถือว่ามีสูง แต่ในขณะเดียวกัน
คนขับก็ต้องประคองพวงมาลัยให้นิ่งในระหว่างที่เกิดการหมุนฟรี เพราะระบบ
จะทำหน้าที่เพียงช่วยเหลือให้ผ่านพ้นสถานการณ์นั้นไปได้ มิใช่การยื่นมือ
เข้ามาช่วยเหลือแบบสำเร็จรูปโดยที่คนขับไม่ต้องทำอะไรเลย

ระบบควบคุมการทรงตัวของรถ ESP เมื่อผมทำการสาดโค้งด้วยความเร็วในลาน
โล่งๆ พบว่าตัวโปรแกรมจะช่วยประคองรถและทำให้รถสามารถผ่านเข้าโค้งไป
ได้ โดยที่ไม่เกิดอันตรายใดๆ แต่ถ้าหากยังนึกสนุกและกดคันเร่งให้ลึกลงไปอีก
เพื่อให้เข้าโค้งด้วยความเร็วกว่าเดิม จนระบบตรวจจับได้ว่ารถเริ่มเกิดอาการ
ท้ายปัด แทนที่จะเป็นการผ่อนคันเร่ง จนตัวรถเริ่มเกิดอาการไถลอย่างหนัก
ระบบควบคุมการทรงตัวของรถก็จะเข้ามาจัดการสั่งเบรคอย่างกระทันหัน
เพื่อชะลอรถให้คุณเอง เป็นการป้องกันการไถลหรือพลิกคว่ำของตัวรถ

ระบบเบรก มีระยะเหยียบ และน้ำหนักของแป้นเบรคกำลังดี ไม่ตื้นและลึก
จนเกินไป ทำงานได้ดีมาก หน่วงความเร็วลงได้ดังใจ ตามต้องการ แม้ว่าจะ
หน่วงรถลงมาจากระดับ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมงก็ทำได้อย่างรวดเร็วและค่อนข้าง
นิ่ง ไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด ยังคงเป็นแป้นเบรคที่ดีเป็นอันดับต้นๆ
ของกลุ่ม B-Segment เช่นเดิม

ด้านความปลอดภัย นอกเหนือจากอุปกรณ์ที่บอกเล่าเก้าสิบไปข้างต้นแล้ว ยังรวม
ถึงการออกแบบโครงสร้างตัวถังที่ใช้วัสดุเป็นเหล็กโบรอนและเหล็ก Dual Phase
เกรด 600 ที่ Ford ยังคงยืนหยัดใช้กันต่อไป เพื่อให้รถของตนเองมีความแข็งแรง
มากกว่าค่ายอื่นๆ เพราะเหล็กโบรอนมีความแข็งแรงกว่าเหล็กทั่วไปมากถึง 4 เท่า

เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าปรับระดับสูง – ต่ำได้ ส่วนด้านหลังมีการเปลี่ยนมาใช้แบบยึด
3 จุด ในทุกที่นั่ง จากเดิมที่ตรงกลางเบาะแถวหลังให้มาเป็นแบบ 2 จุด ถุงลมนิรภัย
จากเดิมที่ในรุ่นย่อย 1.6L Sport Ultimate จะมีถุงลมนิรภัยคู่หน้าพร้อมถุงลมนิรภัย
ด้านข้าง/ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมนิรภัยกันเข่าด้านคนขับ แต่ Fiesta EcoBoost
จะเหลือเพียงแค่ถุงลมนิรภัยคู่หน้าเท่านั้น…

ต้นทุนเครื่องยนต์มันแพงจนถึงขั้นต้องหั่นสารพัดถุงลมออกเยอะขนาดนี้กันเลย
เหรอครับ?

ส่วนความปลอดภัยทางด้านโครงสร้างของตัวถัง สามารถหาอ่านได้ในบทความ
รีวิว Ford Fiesta รุ่นเดิม ตามลิงค์ด้านล่างของบทความ

alt

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

ในเมื่อ Fiesta Ecoboost ยังใช้โครงสร้างตัวถังแบบเดิม แต่เปลี่ยนเครื่องยนต์บล็อค
ใหม่ที่นอนขดตัวเล็กกระจิ๋วหลิวอยู่ใต้ฝากระโปรงหน้า แถมทำตัวจี๊ดจ๊าดเกินความจุ
กระบอกสูบไปไกลเสียเหลือเกิน หลายคนคงอยากรู้ว่าอัตราการบริโภคน้ำมันจะกิน
แบบสูบกระเป๋าตังค์ หรือกินแบบจิ๊บๆขนาดไหน? จะประหยัดได้สมกับรางวัล
ที่คว้ามาหรือเปล่า?

เราจึงทำการทดลองด้วยมาตรฐานดั้งเดิมของเว็บเรา ด้วยการนำรถไปเติมน้ำมัน
เบนซิน 95 Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ริมถนนพหลโยธิน ใกล้สถานี
รถไฟฟ้า BTS อารีย์ ในช่วงกลางคืน

ตามธรรมเนียมแล้ว รถที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 ซีซี ราคาไม่เกิน 1.3
ล้านบาท หรือรถกระบะ เราจะต้องเขย่ารถและอัดกรอกน้ำมันลงถังให้ได้มากที่สุด
จนกระทั่งน้ำมันเอ่อออกมาถึงคอถัง เพื่อลดโอกาสความเพี้ยนของตัวเลขการ
บริโภคน้ำมันให้ได้มากที่สุด แต่กับรถ Fiesta เราทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะปากช่อง
คอถังน้ำมันมีลิ้นนิรภัยคอยทำหน้าที่ปิดกันสิ่งต่างๆไม่ให้เข้าไปในถังน้ำมัน และ
ไม่ให้น้ำมันกระฉอกออกมาเหมือนกับฝาถังน้ำมัน เนื่องจากตัวรถถูกออกแบบมา
ให้ไม่มีฝาถังน้ำใดๆ

แม้เราจะทราบกันดีว่ารถทุกคันจะมีกรวยสำหรับเสียบเข้าไปในช่องรับน้ำมันก็ตาม
แต่มันก็ถูกซ่อนเอาไว้ใต้ยางอะไหล่ ซึ่งการรื้อยางอะไหล่ออกมาเพียงเพราะการเติม
น้ำมันแบบเขย่ารถก็ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่าซักเท่าไหร่

เราจึงใช้วิธีที่ง่ายที่สุดที่เคยทำมาแล้วกับ Fiesta รุ่นที่แล้ว รวมไปถึง Honda City และ
Jazz นั่นคือ การเติมน้ำมันเต็มถัง เอาแค่หัวจ่ายตัดก็พอ ไม่ต้องเขย่า ไม่ต้องกรอก
น้ำมันลงไปมากกว่านี้

alt

จากนั้น เราจะใช้วิธีการดั้งเดิม คือ ขับออกจากปั้ม เลี้ยวกลับที่ถนนพหลโยธิน เข้า
ซอยอารีย์ เลี้ยวขวาลัดเลาะไปออกซอยโรงเรียนเรวดี ถนนพระราม 6 ขึ้นทางด่วน
ที่ด่านพระราม 6 แล้วก็ ขับรถกันไปยาวๆ จนถึงปลายสุดของระบบทางด่วน สาย
อุดรรัถยา เลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วนสายเดิม มุ่งหน้าย้อนกลับเข้ากรุงเทพฯ โดยใช้
ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน ตามมาตรฐานเดิม

ผู้ร่วมทดลองในคราวนี้ คือตัวผมเอง Pao Dominic สมาชิก The Coup Team รายล่าสุด
ที่ร่วมทดลอง อัตราสิ้นเปลือง ระยะหลังๆมาตลอด ส่วนผู้ขับทดลอง ยังคงเป็นพี่
J!MMY ที่ทำหน้าตาเหมือนซีอิ๊วขาวหยั่นหว่อหยุ่น ตราเด็กอัปรีย์ เอ้ย! เด็กสมบูรณ์
ยืนยันและนอนยันว่าจะจับจองตำแหน่งพลขับแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน

alt

เมื่อถึง ทางลง จากทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน
เลี้ยวกลับที่ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex
พหลโยธิน กันอีกครั้ง เพื่อเติมน้ำมัน เบนซิน 95 Techron ให้เต็มถัง เอาแค่เพียง
ให้หัวจ่ายตัดก็พอ เหมือนครั้งแรกที่เริ่มต้นทดลอง

alt

และจากนี้ คือตัวเลข ที่ Fiesta EcoBoost 1.0 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ DCT ทำได้จริง…

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 92.2 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 5.15ลิตร
คำนวนแล้ว ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉี่ย 17.90 กิโลเมตร/ลิตร

alt alt alt alt alt

ถ้าดูตัวเลขจากในตาราง จะพบว่า หากไม่นับรวม Honda Jazz Hybrid ซึ่ง
ทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ดีสุดในกลุ่ม คือ 19.33 กิโลเมตร/ลิตร แล้ว
Ford Fiesta EcoBoost 5 ประตู Hatchback ได้สร้างสถิติตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง
ประหยัดน้ำมัน ได้เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มรถยนต์ B-Segment ที่ไม่ใช่ระบบ
Hybrid จากเดิมที่ Fiesta 1.6L ทำตัวเลขได้ 16.40 กิโลเมตร /ลิตร ซึ่งถือว่า
ประหยัดน้ำมันเป็นอันดับต้นๆอยู่แล้ว

คำถามที่หลายคนสงสัยก็คือ น้ำมัน 1 ถัง จะพาคุณแล่นไปได้ไกล แค่ไหน?
คำตอบก็คือ หลังจาการเติมน้ำมันเต็มถัง วันรุ่งขึ้นไปทำธุระในเมือง ช่วงค่ำ
ขับทางไกลแบบค่อนข้างรวดเร็วเพื่อไปชลบุรี ขากลับขับแบบปกติ ขับเข้าเมือง
มีทั้งคลานตามกันไป ทั้งกดตอนถนนโล่ง และผมต้องติดเครื่องทิ้งไว้เพื่อไป
ทำธุระเป็นเวลา 2 ชั่วโมง เมื่อแล่นไปถึง 485.2 กิโลเมตร ตาม Trip Meter เรา
ยังเหลือน้ำมันในพอที่จะแล่นได้อีก 37 กิโลเมตร ตามมาตรวัดบนหน้าปัด
นั่นหมายความว่า น้ำมันหนึ่งถังถ้าขับแบบเจอสภาพการจราจรทุกรูปแบบ น่า
จะทำตัวเลขได้อยู่ที่ 550 กิโลเมตร แต่ถ้าหากขับทางไกลเนียนๆ ตัวเลขอาจจะ
สูงไปถึง 600 กิโลเมตรหรือมากกว่านั้นต่อน้ำมัน 1 ถังแน่ๆ

alt

********** สรุป **********
ของเล่นที่ขับสนุกและถูกใจ แต่อาจใช้งานไม่สบายในชีวิตประจำวัน

เพลง รถของเล่น ( ศิลปินวง “เสือโคร่ง” ) กำลังบรรเลงอยู่ในขณะที่ผมนั่งเขียน
บทความนี้ มาจนถึงช่วงสุดท้าย มันทำให้ผมได้ฉุกคิดว่า Ford Fiesta EcoBoost
มันก็มีความเป็นรถของเล่นอยู่ไม่น้อยทีเดียว เป็นของเล่นสำหรับวัย Teenage
หรือวัยมหาลัย ที่ต้องให้พ่อหรือแม่ซื้อให้ หรือเป็นของเล่นชิ้นใหญ่ ที่หนุ่มสาว
และบรรดาเก้งกวางกลุ่ม Firsy Jobber ใช้เงินเก็บที่มีทั้งหมดเพื่อซื้อของเล่นชิ้นนี้
มาครอบครองในฐานะรถคันแรกของชีวิต

ถ้ามองในฐานะรถยนต์หนึ่งคัน Fiesta EcoBoost ก็ให้ความสนุกในระดับของเล่น
ชั้นดี ที่สร้างความสนุกอย่างน่าประทับใจให้หลายๆคนยากที่จะลืมเลือน

พวงมาลัยที่มันคงและตอบสนองดีเยี่ยม ไม่ว่าจะขับขี่ด้วยความเร็วสูง
ขนาดไหน เครื่องยนต์ที่มีพละกำลังล้นเหลือเกินหน้าเกินตา และทำเซอร์ไพรซ์
ให้กับคนที่ได้ลองขับมันครั้งแรกมานักต่อนัก ช่วงล่างที่เกาะถนนหนึบ ไม่ว่าจะ
มุดรูไหนหรือโค้งไหนก็ให้ความมั่นใจมากกว่ารถระดับเดียวกันหลายๆรุ่น

แต่กับการใช้งานหลายๆอย่างที่มันออกจะสุดโต่งและไม่สบายในชีวิตประจำวัน
ก็เป็นอะไรที่ต้องพูดถึงไปควบคู่กับความสนุกที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น
แผงควบคุมที่ต้องละสายตามากกว่าปกติ เบาะนั่งที่หาความสบายไม่ได้ในชีวิต
ประจำวัน หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์บางอย่างที่หายไปและควรจะใส่มาให้ได้แล้ว
กับรถยุคนี้

ถึงแม้ว่า Ford EcoBoost ได้แก้ไขปัญหาและปรับปรุงข้อผิดพลาดหลายๆอย่างที่เกิด
ขึ้นกับรุ่นเดิม เพื่อหวังจะให้ลูกค้าเห็นถึงคุณงามความดีของตัวรถ และเพิ่มความสด
ใหม่ให้ดูน่าซื้อมากขึ้น แต่ปัญหาหลายๆอย่างก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข มิหนำซ้ำยัง
มีปัญหาบางอย่างที่เพิ่มขึ้นมามากกว่ารุ่นที่แล้วด้วยแหนะ

ถ้างั้น สิ่งที่ควรปรับปรุงของรถคันนี้ มีอะไรกันบ้าง?

1. ช่วยเปลี่ยนงานออกแบบของเบาะ หรือไม่ก็รื้อเบาะนี้ทิ้งซะแล้วหาเบาะตัวใหม่
มาใส่และใครก็ได้ช่วยตามวิศวกรที่เป็นคนออกแบบเบาะนั่งนี้ แล้วจับมาเขกหัว
โป๊กๆซัก 2 ที ผมเข้าใจว่าตัวคนออกแบบต้องการให้ผู้ขับขี่รู้สึกเหมือนกำลังนั่ง
อยู่ในเบาะรถสปอร์ตหรือซูเปอร์คาร์ราคาแพง แต่ในชีวิตจริงมันจะมีใครที่โหยหา
ความรู้สึกอยากแข่งรถ อยากขับขี่แบบสปอร์ตกันทุกวันเลยหรอครับ? ทุกๆคนก็
ต้องมีช่วงเวลาที่อยากจะผ่อนคลายกันบ้าง ไม่อย่างนั้นก็คงเครียดกันตายพอดี

2. แก้ปัญหาอาการคลัตช์จับตัวกับเกียร์ที่ช้าจนเกินไป ที่ทำให้การเร่งแซงหลายๆ
ทีต้องลุ้นกันตัวโก่งว่าจะทันเวลามั้ย หรือถ้าทำไม่ได้จริงๆ ลองกลับมาใช้เกียร์
อัตโนมัติแบบธรรมดาที่มี Torque Converter ที่ช่วยลดความซับซ้อนลงดูไหม?
ดูอย่างเกียร์อัตโนมัติ Skyactiv ของ Mazda ดูสิ เป็นแค่เกียร์อัตโนมัติธรรมดา
ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่กลับทำหน้าที่ได้อย่างดีและประทับใจต่อผู้ใช้งานหลายๆคน
จนถึงขั้งต้องออกปากชมเชยเลยนะ

3. เปลี่ยนตำแหน่งก้านไฟเลี้ยวให้มาอยู่ในที่ที่มันควรอยู่ เพื่อให้คุ้นเคยกับผู้
บริโภคชาวไทยทั่วไปเสียทีเถอะนะ Ranger ยังทำมาแล้วเลย ทำไมกับ Fiesta
จะทำไม่ได้บ้างล่ะ?

4. มือจับศาสดาที่ Ford ก็ยังยืนหยัดไม่ใส่มาให้ งั้นผมก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่า
ใส่มาให้เถอะนะ เพื่อลูกค้าที่ซื้อรถไปใช้งานจะได้สบายใจ ต้นทุนคงไม่หนีไป
กว่ากันซักเท่าไหร่หรอก

5. เปลี่ยนงานออกแบบแผงหน้าปัดวิทยุให้ลดการละสายตาจากถนนของผู้ขับขี่
มากกว่านี้แต่คุณภาพเสียงไม่ต้องไปปรับอะไรแล้วนะครับ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี
มากๆแล้ว เพราะบางที การสั่งงานด้วยเสียง ผ่านระบบ Sync มันก็ยังไม่ทันใจ
เท่ากับการกดปุ่มเองหรอกนะ

6. ปรับปรุงพื้นที่ของผู้โดยสารด้านหลัง ทั้งพื้นที่วางขาและเหนือศรีษะให้มีพื้นที่
กว้างกว่านี้เพราะการเดินทางไกลด้วยพื้นที่อันน้อยนิดที่มีอยู่ ผมบอกเลยว่ามันไม่
สบายเอามากๆ แต่อย่างไรก็ตาม ในประเด็นนี้จะมีเรื่องของงานออกแบบเข้ามา
เกี่ยวข้องโดยตรง ว่าวิศวกรของ Fiesta รุ่นถัดไป จะออกแบบให้ตัวรถเอาใจผู้ขับขี่
เป็นหลักเหมือนกับรุ่นนี้ หรือจะขยายระยะฐานล้อให้ยาวขึ้น และเพิ่มความกว้าง
ของตัวรถให้มากกว่านี้ แต่การขับขี่ในภาพรวมก็อาจจะไม่ได้สนุกเหมือนกับรุ่น
ปัจจุบัน ในเรื่องนี้ทาง Ford ต้องชั่งใจเอาเองแล้วล่ะครับ

7. ศูนย์บริการ ที่ใครหลายๆคนก็จารึกไว้ไม่ว่าจะเป็นทาง Social Media หรือการบอก
กันผ่านปากต่อปากว่าไม่น่าประทับใจ มาวันนี้ Ford Thailand ได้รับรู้ถึงปัญหาที่
เกิดขึ้น และได้เริ่มปรับปรุงแก้ไขกันอย่างจริงจังมาประมาณ 1 ปีกว่าๆแล้ว แต่ในระยะ
ยาวผมก็ยังบอกไม่ได้ว่าภาพรวมนั้น มันจะดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร เรื่องนี้ก็ต้องอยู่
ที่ Ford Thailand แล้วล่ะครับ ว่าจะจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างไร

alt

พอมาถึงตรงนี้ หลายๆคนก็จะมีคำถามว่า ถ้าเทียบกับคู่แข่งในเวลานี้ทั้งหมด ควร
เลือกซื้อคันไหน?

Toyota Vios เบาะนั่งคู่หน้าไม่สบายนัก ตำแหน่งนั่งขับที่มีพวงมาลัยชิดหน้าปัด
มากเกินไป แถมยังมีระบบกันสะเทือน และพวงมาลัยที่ยังไม่ดีเท่ารถรุ่นดั้งเดิม
ในปี 2002 อีกทั้งออพชั่นที่น้อยกว่ากันชัดเจน แต่ความปวดหัวเรื่องศูนย์บริการ และ
การซ่อมบำรุงหลังพ้นระยะประกันก็จะน้อยลงตามไปด้วย

Honda Jazz จุดเด่นอยู่ที่การใช้งานห้องโดยสารได้อย่างอรรถประโยชน์จากเบาะ
Ultra Seat อันเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Honda เขา การขับขี่ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี
เครื่องยนต์ L15Z1 ที่ปรับจูนจากของเดิมเพื่อให้รองรับ E85 ก็เป็นอะไรที่คุ้นเคยกับ
คนไทยและช่างไทยยุคนี้กันหมดแล้ว ระบบความปลอดภัยให้มาไม่น้อยหน้าคู่แข่ง
ใดๆในท้องตลาด แต่ความสนุกในการขับขี่ก็จะไม่เท่ากับ Fiesta แต่แลกมาซึ่งความ
สบายในการใช้งานในชีวิตประจำวัน

Mazda 2 เครื่องยนต์ 1.5 Skyactiv Diesel ให้ความสนุกไม่แพ้กับเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร
EcoBoost ของฟอร์ด ภาพรวมในการขับขี่ถือว่าดีเป็นอันดับต้นๆของกลุ่ม B-Segment
แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องเกียร์และศูนย์บริการ ทาง Ford ยังถือว่าเป็นรองอยู่พอสมควร
วันเปิดตัวเพื่อประกาศราคาของ Mazda คือวันที่ 15 มกราคม 2557 จนกว่าที่เราจะรู้
ราคาและรีวิวฉบับเต็มออก ถึงตอนนั้นค่อยเอามาเปรียบเทียบกันดูอีกทีครับ แต่ถ้าใคร
ที่รอไม่ไหว ผมขอแนะนำให้ไปลองที่โชว์รูมเอง และเปรียบเทียบทั้ง 2 ค่ายเลย ว่า
รถคันไหนที่ถูกใจและถูกจริตคุณมากกว่ากัน

Chevrolet Sonic ช่วงล่างที่ดีเป็นเรื่องหลัก แต่ต้องทำใจยอมรับได้กับบรรยากาศของ
ห้องโดยสาร ที่แข็งๆสากๆ และอัตราเร่ง กับอัตราสิ้นเปลืองที่ด้อยกว่าใครเพื่อน
แถมศูนย์บริการก็ยังอยู่ในขั้นแย่ แต่ยังพอยอมรับได้ และต้องลองเสี่ยงดู ถ้ารับได้
กับข้อด้อยทั้งหมดนี้ ก็ให้เดินเข้าโชว์รูม Chevrolet ได้เลย

แล้วถ้าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ให้ความรู้สึกว่า Fiesta น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด ของคุณ
ละก็ เรามาดูเรื่องของราคากันดีกว่า

Ford Fiesta 1.0L EcoBoost Hatchback……………754,000 บาท
Ford Fiesta 1.0L EcoBoost Sedan…………………..749,000 บาท

ถ้าลองมองย้อนกลับไปปีที่แล้วดู จะพบว่าราคาขายของเจ้า Fiesta EcoBoost จะอยู่ที่
789,000 บาท ซึ่งถือว่าแพงที่สุดในบรรดาคู่แข่งของมัน ทำให้ลูกค้าทุกคนในตอนนั้น
แทบจะเบะปากใส่รถ ก่อนหันไปหาคู่แข่งที่ราคาดูจะจับต้องได้มากกว่า

แต่มาในปีนี้ Ford ได้ลดราคา Fiesta EcoBoost ลงจนอยู่ในระดับที่เรียกว่า
เทียบเท่ากับคู่แข่ง เพื่อหวังจะให้ลูกค้าที่เคยเบะปากใส่มันไว้ หันกลับมาเชยชม
และทดลองขับดูบ้าง เผื่อถ้าใครที่ติดใจ จะได้พามันกลับไปนอนยิ้มแฉ่งใน
โรงจอดรถที่บ้านกันเสียที

เห็นอย่างนี้แล้ว ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ เพราะยังไงๆ Ford ก็ยังตั้งใจทำตลาด
ขุมพลังเทคโนโลยี EcoBoost นี้กันต่อไปอีกนาน ล่าสุด เมื่องาน Motor Expo 
ที่ผ่านมาพวกเขาถึงขั้นออกโฆษณามาบลัฟคู่แข่งที่กำลังจะเปลี่ยนโฉมรถยนต์รุ่นใหม่
ของตนกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์

แคมเปญดังกล่าว มันชวนให้ผมคิดต่อไปว่า…

ในเมื่อ Ford ถึงขั้นกล้าพูดว่าเครื่องยนต์ Skyactiv Diesel ของ Mazda 2 นั้น
“ไม่ใช่คำตอบ” แล้วคำถามคือ การที่ Fiesta มีสมรรถนะดีสุดขั้ว แต่ความสบาย
หดหายไปหมดเลย มันใช่คำตอบเหรอ? เพราะนิสัยคนไทยต้องการซื้อรถคันเดียว
แต่ได้ทุกคุณสมบัติ มาแบบครบเครื่องในสิ่งที่เขาต้องการทั้งหมด โดยไม่มีข้อแม้
หรือข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น

ยิ่งพอ Mazda 2 ออกมาตอบโต้โฆษณาดังกล่าวว่า “เวิร์คไหม… หากสิ่งที่หายไป
คือข้อจำกัดของคุณ” ก็ยิ่งมีคำถามตามมาอีกว่า ไอ้สิ่งที่หายไป ที่ Mazda กำลัง
พูดถึงอยู่เนี่ยมันคือส่วนไหน?

ใช่ศูนย์บริการที่ดีเท่ากันทั้งประเทศจนลูกค้าประทับใจป่ะครับ?

ถ้าใช่ เห็นที Ford ก็คงต้องรีบแก้ไขในส่วนนี้ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะใจจริง
ผมไม่อยากให้อยากให้แบรนด์ Ford ถูกมองในเแง่ลบอย่างที่เป็นอยู่เหมือนกัน

———————————//———————————-

alt

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Ford Sales (Thailand) จำกัด
และบริษัท Hill & Knowlton Thailand จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดสอบ

บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม
Exclusive First Impression ทดลองขับ Ford Fiesta EcoBoost รายแรกในไทย By J!MMY
Full Review : ทดลองขับ Ford Fiesta 2010 – 2013

Pao Dominic
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ เป็นผลงานของ ผู้เขียน ส่วนลิขสิทธิ์ภาพถ่ายเป็นของ J!MMY
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
9 มกราคม 2015

Copyright (c) 2015 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
January 9th,2015

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE

ENGLISH SUMMARY

The following review is based on manufacturer’s setup for Thai market.
Specs and adjustment may vary according to different countries, and
environment, and customer preferences.

Ford Fiesta 1.0 EcoBoost

Ford introduced Fiesta to Thailand in 2010 with choices of not-so-economical
1.4L and fully equipped 1.6L variant. In 2012 when Government’s “First-Car”
campaign provided a large discount for gasoline-powered cars under 1.5L
of engine capacity, Ford’s solution was to downsize its current 1.6 engine
so the car could be more attractive to the buyers. Sadly, many cars
that came with 6 speed Dual Clutch transmission were plaqued with
transmission jerkiness and quality issues such as leaked transmission seal,
failed steering rack, or even questionable case which involved fire catching
from under the bonnet. Since then Ford has been trying to improve Fiesta
by countless attemps to fine-tune transmission software and, at the same time,
working with dealers to better quality of service.

And here we are, the most recent update of Fiesta with new Ecoboost
Turbocharged and downsized 1.0L. Ford believes that a combination of new
engine and remapped transmission logic will change our impression
of the car.

Outside, many people are now familiar with minor changed front grill
(Go to your PC, select “Aston Martin”, then CTRL+C, CTRL+V. Choose “Modify”
and then CTRL+S. You know what we mean) which looks more futuristic.
The 16” alloy wheel looks similar to the set used in 2010 1.6Trend variant but
it is completely new. Despite losing the athletic look of previous model’s five
spoke, this new 16 inchers is elegant and suitable to the whole design of
the car. The dimension of the 1.0 Hatchback version that we got is marginally
different from the original 2010 model as it gains 19 mm in length and 10 mm
in height, making 3,969×1,722×1,464 (LengthxWidthxHeight in mm).
Wheelbase length of 2,489mm remains unchanged.

Therefore, you should not expect interior volume of the car to be any better.
It is still the same old Fiesta with low roof, high seating position and limited
legroom for rear passengers. Surely, if space is what you’re looking for, you
should be considering Honda Jazz whose wheelbase is much longer.
Drivers who feel okay with the cabin size will find that Ford has tried its best
to make the interior looks nice and easier to use. The 1.0 Ecoboost comes
with new Keyless Go. And while the dashboard seems familiar, it is now
garnished with more silver and Piano-black trim which gives a more classy
touch to match the car’s price. However, seats are rock-hard and
uncomfortable. The front seats provided a supportive cusion and lower-
backrest. But from the upper back to the lower part of the head there is literally
no support from the back rest at all. It’s fine if you’re a teenager having fun
attacking curves or gliding swiftly at the fast pace alond the highway but when
you’re forced to sit behind the wheel on Bangkok’s Friday, hayday, payday
and rainy day traffic, you’ll be mad at Ford for not giving you a better seat.
This is one point of interior where it steps backward compared to the
2010 Fiesta.

There are VoiceCommand which will work nicely if you say with English-
American accent (No Tinglish, please), a Ford-Sync function now allows
you to connect the mobile phone directly via USB without having to
purchase specific cable from dealership. Automatic climate control
also comes as a standard equipment.

And how does the tiny little 1.0L engine respond to our input? Ever heard about
Thai chilli? That’s exactly what we felt about this engine when we were out
driving. Horsepower is rated at 125 PS at 6,000RPM while maximum torque
is 170Nm, arriving as early as 1,400RPM and lasts until 4,500RPM. This engine
will run fine on E20 Ethanol-mixed fuel. The acceleration figures we recorded
were; 0-100km/h in 10.55 sec and 80-120km/h in 8.26 sec and the top-speed
was 200km/h in fifth gear (but you have to put transmission shifter in “S”).
The Fiesta bursted out from stand still as if it had a bigger engine. We simply
fall in love with the way the engine delivers torque. There is no need to floor
the gas to overtake the whole convoy of trucks because at 50-60% of
throttle opening this one will pul stronger than any 1.0-1.6L engines we’ve
see in this side of the market segment. The force and the soundtrack from
3 cylinder turbo is something you can never hear from Honda Jazz.
However, when you need 100% power on kickdown, the 6DCT250
transmission will require extra time to wait until the rev matches with the
speed then you can feel the G force coming. This explains why its 80-120 km/h
timing is almost identical to Jazz 1.5CVT.

For those who still look down to a smaller capacity engine, they should be
informed that the 1.0EcoBoost is 2 sec faster to 100km/h than 1.6L variant.
Is that enough? And apart from that, the transmission software in 1.0 Ecoboost
responses much better in real life. It no longer jerks off-throttle and will shift up
and down smoothly depending on your input. We love this change they have
made to the car.

Handling is superb, both at low and high speed. This is one of not so many
small car with affordable price that can cruise at high speed (say, 160km/h)
with confidence and no sweat. You can’t help feeling a bit of thud and
harshness at low speed but Honda Jazz isn’t much smoother anyway.
Plus, the combination of nicely weighted steering and  carefully tuned
suspension makes this Fiesta a top pick on a hurried day. In this B-Segment
class, only Chevrolet Sonic has suspension to challenge Fiesta.
The Chevrolet provides a more solid, stick to the ground feel we admire from
bigger European cars while Fiesta feels lighter and livelier around the corner.

And should you prefer to sail peacefully at 110km/h for your weekend trip,
The Fiesta will return your favor with 17.9km/l. This is by far the class-leading
number, only bested by the old Honda Jazz Hybrid (but it’s HYBRID, you see?).
In everyday use, you should be able to cover at least 500km with one tank
of gas as our test driver did.

In conclusion, Fiesta EcoBoost is fast and fun. This should be the car preferred
by teenagers or enthusiastic driver alike. But if you’re looking for a comfortable
daily driver that has a reasonable score in almost every category of test, Honda
Jazz will still provide better value for money over-all because, unlike Fiesta
there is ample room at the back of Jazz, and despite the same price of
approximately 750,000THB, the Honda comes with side airbags while Ford
chose to delete side and knee airbag from the old model of Fiesta and
equipped EcoBoost with only 2 airbags.

Nevertheless, once again, your driving and usage clearly indicates which car
suits you more. And please make sure you do some searchings on Ford’s
after sales service experience. Not that it WILL happen to you, but it is better
to prepare yourself financially and mentally while Ford is manly handling
with such issues. Tips? Do more searching for dependable dealers and
you should have your risk better managed.

– – – – – – – –