ครั้งแรกที่ผมเห็นรถตู้ StepWGN รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่? ก็คือตอนไปญี่ปุ่น ดูงาน Tokyo Motor Show เมื่อ
เดือนตุลาคม 2009

แต่เปล่านะ ยังไม่ทันเห็นตัวจริง เพราะก่อนหน้างานในรอบสื่อมวลชนจะเริ่มขึ้น 1 วัน ผมเห็นรถตู้รุ่นนี้
บนป้ายโฆษณา Billboard ขนาดใหญ่ บนอาคาร Shopping Mall กลาง 5 แยก Shibuya พร้อมกับ
ยอดมนุษย์ Ultra Man ทั้ง 8 นาย ที่พากันพักรบจากเหล่าอสูร มารับจ๊อบเป็น Presenter ในภาพยนตร์
โฆษณาของรถรุ่นนี้ !

และที่ฮาไม่แพ้กันคือ ภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ ที่ผมนอนดูในห้องพัก คืนนั้น นอกเหนือจาก Ultra Man
ทั้ง 10 นายแล้ว เหล่าอสูร Godzilla ทั้ง 8 ตัว ก็มายืนเต๊ะจุ๊ย เป็น Presenter ให้กับ StepWGN SPADA
อันเป็น เวอร์ชันแนว Sport ของรถตู้รุ่นนี้ กันอีกด้วย

เรียกได้ว่า พร้อมใจยกทีมช่วยกันทำมาหากินเลยทีเดียว!

เที่ยงวันรุ่งขึ้น ผมก็พบตัวเองมาอยู่ที่หน้าบูธ Honda ใน Makuhari Messe ผุดลุกผุดนั่ง ใน StepWGN กับ
เจ้ากล้วย BnN กัน 2 คนอย่างเมามัน….ถามเจ้าหน้าที่ประจำบูธ Honda ชาวญี่ปุ่นไปว่า “Ultra man ไม่ได้มา
ด้วยเหรอ” พี่เขาหัวเราะร่า…

ส่วนผมเองก้ได้แต่ทำใจว่า รถรุ่นเนี้ย เขาทำออกมาขายคนญี่ปุ่นเท่านั้นแหละ มันไม่มีทางมาโผล่เมืองไทย
อยู่แล้วแหละ ของดีๆ เขามักสงวนไว้ให้คนในประเทศตัวเองเท่านั้นละ ใครอยากได้ก็คงต้องสั่งนำเข้ากัน
จากผู้ค้ารถยนต์นำเข้ารายย่อย Grey Market กันเอาเองตามเคย ซึ่งหลังจากปี 2010 เป็นต้นมา เห็นจะมี
ETON ที่สั่งรถรุ่นนี้เข้ามาขายกันพักใหญ่ ก็ขายไปได้นิดๆหน่อยๆ เรื่อยๆเปื่อยๆ

จนกระทั่งวันหนึ่ง วันนั้น มาถึง

หลังมหาอุทกภัยอันเป็นภัยจากฝีมือมนุษย์ผ่านพ้นไปในช่วงเดือนมกราคม 2012 ที่ผ่านมา ระหว่างที่ Honda
กำลังเร่งฟื้นฟูกอบกู้ความเสียหายกันอย่างเร่งด่วนถึงที่สุด เพื่อให้ฟื้นกลับมาได้ภายในเดือนมีนาคม จู่ๆ ผมก็
ได้รับแจ้งมาว่า Honda เตรียมแผนสั่งนำเข้ารถยนต์ 5 รุ่นรวด

โอเค เข้าใจละนะว่า 2 รุ่นแรก ทั้ง Jazz และ Accord จะมีการนำเข้าในล็อตพิเศษจำนวนจำกัด เพื่อให้ลูกค้า
ที่ยังยืนยันอยากได้รถจริงๆ และจองกันมานานข้ามปีแล้ว ได้รับรถกันไวขึ้น เพิ่มเงินอีกนิดนึง เพราะต้อง
ตั้งราคาสะท้อนกับต้นทุนตามจริง แม้จะได้รับการงดเว้นภาษีเป็นกรณีพิเศษจากรัฐบาล ในฐานะช่วยเหลือ
ผู้ประสบภัยซึ่งเป็นผู้ประกอบการ สเป็กอาจจะต่างจากเวอร์ชันไทยบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก แถมได้ชื่อว่า เป็นรถ
Made in Japan แน่นอนว่าขายดิบขายดี

แต้่ที่น่าตกใจพอกันคือ งานนี้ Honda สั่งนำเข้ารถสปอร์ตเครื่องยนต์ Hybrid รุ่น CR-Z กับ Mid-Size Minivan
รุ่น Odyssey รวมทั้ง เจ้า StepWGN คันนี้ ก็มากับเขาด้วย! แถมรุ่นที่สั่งมาขายเนี่ย ยังเป็นรุ่นติดสปอร์ตอย่าง
SPADA กันเลยทีเดียว

เหวอสิครับ! ก็ผมไม่นึกมาก่อนเลยนี่หว่า ว่า Honda จะกล้าสั่งเข้ามาขายกันขนาดนี้! นี่แหละ ผลของการมี
ประธานใหญ่ ชาวญี่ปุ่น เคยอยู่ฝ่ายขายมาก่อน ย่อมรู้ดีว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เพื่อช่วยกระตุ้นให้
เกิดความน่าสนใจของแบรนด์อีกครั้ง และดึงยอดขายให้กลับมาได้โดยเร็ว

จริงๆแล้ว น้ำท่วมครั้งนี้ ก็มีเรื่องดีนะครับ นอกจากจะเห็นน้ำใจของคนไทยด้วยกันแล้ว ยังได้เห็นค่าย
รถยนต์ยักษ์ทั้ง 2 ค่าย สั่งรถรุ่นแปลกใหม่ จากญี่ปุ่น นำเข้ามาขายคนไทย เบ็ดเสร็จรวมแล้วรวม 5 รุ่น
แต่ละรุ่นนี่ ไม่คาดว่าจะได้เห็นผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ คิดจะสั่งนำเข้ากันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

ฟังเรื่องราวข้างบนทั้งหมดมาแล้ว น้องแบงค์ Product Planning ของ Honda เลยไม่แปลกใจ ที่เห็นผม
กรี๊ดลั่นสนั่นบูธ Honda ในงาน Bangkok International Motor Show เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ระหว่างผุดลุกผุดนั่ง รถตู้คันสีขาวที่คุณเห็นอยู่นี้

พอล่วงเข้าเดือนพฤษภาคม หลังมื้อค่ำนัดพิเศษ ช่วงเย็นวันฝนตกหนักวันหนึ่ง ที่เกิดขึ้นกระทันหัน แต่
เป็นกันเอง และรื่นเริง ตามประสาผู้ที่ไม่ได้สังสรรค์กันมาหลายปี เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งเหยิงมากๆ ก่อน
แยกจากกัน ผมก็เอ่ยปากกับ พี่พิทักษ์ พฤทธิสาริกร ผู้บริหารสูงสุดของ Honda Automobile (Thailand)
และทีม PR อีก 3 ท่าน ที่ไปด้วยกันว่า “อยากลองขับ StepWGN อ่ะ”  

พี่พิทักษ์ ตอบสวนมาอย่างไว กับ พี่ ศิ PR ของ Honda ว่า

“จัดไปเลย ศิ!”

เย้!!

พอเวลาของรถ กับเวลาของผม ว่างตรงกัน ก็กลายเป็นช่วงเวลา 6 วัน 6 คืน เต็ม ที่ผมจะนำเจ้า StepWGN
SPADA กลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่บ้าน มาค้นให้พบว่า StepWGN มีข้อดีข้อด้อยตรงไหน และควรค่า
หรือไม่ กับการจ่ายเงิน 2,174,000 บาท แลกกับการเป็นเจ้าของ “ตู้ปลาติดล้อ” คันนี้

ทำไมต้องเรียกว่าเป็น “ตู้ปลาติดล้อ”

อ่านต่อไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็รู้เองละครับ…. ;P

Honda StepWGN (อ่านเป็นภาษาไทยว่า “สเต็ปแวกอน” ตามการเรียกของฝ่ายการตลาด สำนักงานใหญ่
ของ Honda ในโตเกียว) ถือเป็นรถตู้โดยสารขนาดกลาง รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของ Honda (หากไม่นับ
การเปิดตัวของ Mid-Size Minivan ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Honda Accord อย่าง Honda Odyssey
และไม่นับรถตู้ขนาดกระทัดรัดในยุคทศวรรษ 1970 อย่าง Honda StepVan)  

StepWGN เผยโฉมครั้งแรกในงาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม 1995 ในฐานะรถตู้ ต้นแบบ ที่เตรียม
จะออกสู่ตลาด หลังจากนั้น ราวๆ 9 เดือน Honda ก็พร้อมจะส่งรถตู้รุ่นนี้ บุกตลาดเฉพาะในดินแดนบ้านเกิด
เมืองอาทิตย์อุทัยของตนเอง อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 1996 และกลายเป็นรถยนต์อเนกประสงค์
อีกรุ่นของ Honda ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ในช่วงแรกที่เปิดตัวนั้น ถึงขั้นว่า มียอดขายแซงหน้าเจ้าตลาด
โค่นแชมป์รถตู้ขนาดกลางสำหรับครอบครัวขายดีสุดจาก Nissan SERENA ได้สำเร็จ ในตอนนั้น จน Nissan
ต้องเริ่มฮึดสู้กลับบ้าง

รุ่นที่ 2 รหัสรุ่น RF เปิดตัวเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2001 ยังคงสืบทอดเจตนารมณ์ Mid-Size Minivan เพื่อครอบครัว
เช่นเดิม แต่คราวนี้ มีการปรับปรุงเส้นสายตัวถังให้โค้งมนยิ่งขึ้น ขยายตัวถังให้ใหญ่ขึ้น และเน้นเอาใจคุณหนูๆ ให้รบเร้า 
คุรพ่อคุณแม่ พาเข้าไปนั่งเล่นในโชว์รูม Honda ที่ญี่ปุ่น กันให้ได้ ด้วยสารพัดแคมเปญ และยุทธวิธีทางการตลาด ซึ่ง
เลือกจะสื่อสารทั้งกับ ผู้ปกครองโดยตรง และบรรดาบุตรหลานของพวกเขาโดยอ้อม จนขายดิบขายดีกว่าเก่า

รุ่นที่ 3 รหัสรุ่น RG เปิดตัวเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2005 ถูกสร้างขึ้นภายใต้แนวคิดการออกแบบ FUN-DERFUL
MOVER สื่อถึงความพยายามนการยกระดับ Minivan ขนาดมินิแวนที่ตอบสนองอรรถประโยชน์ใช้สอยของ
สมาชิกทุกคนในครอบครัว ได้มากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการเพิ่มบานประตูสำหรับผู้โดยสารแถวหลัง ให้เป็น
แบบบานประตูคู่ เปิดกางออกได้ทั้ง 2 ฝั่ง การออกแบบให้พื้นห้องโดยสาร เตี้ยลงไปกว่าเดิม เพื่อเพิ่มพื้นที่และ
ความสูงของห้องโดยสาร ให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น จนกลายเป็นรถยนต์ Honda 1 ใน ไม่กี่รุ่น ที่ทำสถิติ
ยอดขายสูง ติดชาร์ต 30 อันดับยอดรถยนต์ขายดีที่สุดในแดนปลาดิบแทบทุกเดือน ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และ
ในเดือนพฤษภาคม 2006 ยอดขายของ StepWGN เฉพาะรุ่นที่ 3  ก็ผ่านหลัก 100,000 คันมาได้อย่างรวดเร็ว
ในเวลาเพียง 1 ปี หลังการเปิดตัว

อย่างไรก็ตาม ด้วยยอดขายของรถตู้ Mid-Size Minivan ของญี่ปุ่น กำลังโตวันโตคืนอย่างต่อเนื่อง ตลอดช่วง 10 ปี
ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในพิกัดเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 ซีซี นั้น นอกจาก คู่ปรับหลักระดับคู่รักคู่แค้นอย่าง Nissan
SERENA ที่มีสารพัดกลยุทธ์การสร้างรถ และการตลาด ชนิดที่ว่าฟัดกันเลือดซิบ ชิงไหวชิงพริบ หักดิบ สู้ยิบตา
ไม่มีใครยอมลดราวาศอกให้แก่กัน จนผลัดกันขึ้นครองแชมป์ยอดขายอันดับ 1 ของตลาดกลุ่มนี้แล้ว Honda ยัง
ต้องเผชิญการท้าทายจากคู่แข่งใหญ่อย่าง Toyota NOAH และฝาแฝด VOXY รวมทั้ง ผู้มาทีหลังสุดอย่าง 
Mazda BIANTE อีกด้วย

ดังนั้น งานพัฒนา StepWGN เจเนอเรชันที่ 4 จึงกลานเป็นภาระหนักอึ้งของ ศูนย์วิจัยและพัฒนา Honda R & D Co.,ltd
ในส่วนงาน Automobile R & D Center , Department 1 ไม่ว่าจะเป็น Motoaki Minowa ในฐานะผู้จัดการทั่วไป
ฝ่ายพัฒนางานออกแบบ (General Manager Styling Design Development Division) กับ Satoshi Kazama
และ Tatsuya Akimaru ซึงรับหน้าที่เป็น Chief Designer 2 คนควบ ดูแลทั้งการออกแบบภายนอกและภายใน
ที่จะต้องหาทางออกแบบตัวรถภายนอก ให้ใหญ่โตขึ้น มีห้องโดยสารใหญ่ขึ้น แต่ต้องประหยัดน้ำมันกว่าเดิม
และมีการทรงตัวในการเดินทางไกลที่ดีอีกด้วย

ดังนั้น งานออกแบบของ StepWGN ใหม่ จึงถูกสร้างขึ้นบนแนวคิดของคำว่า Dynamic Square Form หรือ
รูปแบบกล่องสี่เหลี่ยม ที่เป็นพลวัตร….

เหอ? กล่องสี่เหลี่ยม ที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา?
อืมม เปลี่ยนแปลงตอนไปจูบบั้นท้ายสิบล้อใช่ไหม?

ผมว่า อย่าแปลเป็นไทยเลย เขียนแบบเดิมนั่นแหละดีแล้ว เข้าใจได้ง่ายกว่า เพราะไอ้คำว่า พลวัตร เนี่ย
เปิดพจนานุกรมฉบับ Google แล้ว มันแปลว่า “กระบวนการที่ไม่หยุดนิ่ง มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา
ลักษณะของการเปลียนแปลงจะดำเนินไปอย่างช้าหรือเร็วก็ได้” คือมันเป็นคำเข้าใจยากคำหนึ่งใน
ภาษาไทย ที่ผมเห็นทีไรแล้วสุดจะปวดตับเกินบรรยายได้บรรลัยเลยจริงๆ พับผ่าสิ!)

ในที่สุด หลังการพัฒนามา 3 ปีเศษๆ เจเนอเรชันที่ 4 ของ StepWGN ที่คุณเห็นอยู่นี้ ซึ่งมีรหัสรุ่น RK5
ก็พร้อมออกส่ตลาดญี่ปุ่น อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2009 อย่างที่ได้เกริ่นไปในตอนต้นนั่นละ
ว่า Presenter ของรถรุ่นนี้ Honda เปลี่ยนมาใช้บริการ ยอดมนุษย์ Ultra Man ทั้ง 8 และเหล่า อสูรร้าย
อีกทั้ง 8 ตัว มาแสดงในภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ โดยเฉพาะรุ่น SPADA นั้น เหล่า อสูรร้าย
ต้องทำท่า ผงะ หงาย ไปทีละตัว ก่อนที่สโลแกนจะปรากฎขึ้นมากลางจอว่า “I’M STRONG”

ชวนให้สงสัยว่า Strong นี่ คืออะไรกันหรือที่มัน Strong
มีใครเอา Viagra ไปให้ คนคิดคำโฆษณาชาวญี่ปุ่น เค้ากินกันหรือไง?

หลังการเปิดตัว ยอดขายของ StepWGN ก็ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตีคู่สูสี จนในที่สุด ทำตัวเลขรวมเฉพาะ
ปี 2010 เพียงปีเดียว ได้ 80,934 คัน เบียดแชมป์เก่า คู่รักคู่แค้นอย่าง Nissan SERENA (75,040 คัน)
จนแซงขึ้นมาเป็นแชมป์ยอดขายอันดับ 1 ในกลุ่มรถตู้ Minivan ขนาด ไม่เกิน 2.0 ลิตรประจำปี 2010 ได้
สำเร็จ แถมยังได้รับรางวัล G-Mark หรือ Good Design Award จากสถาบันส่งเสริมการออกแบบของญี่ปุ่น
(Japan Institute of Design Promotion หรือ JDP) ประจำปี 2010 ร่วมกับอีกหลากหลายสินค้าและ
ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ได้รับรางวัลในปีนั้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในตลาดรถตู้โดยสารของญี่ปุ่น ก็ยังไม่มีใครขายดีเกินหน้าเกินตาไปกว่า Honda FREED
Compact Minivan คันน้อยๆ เครืองยนต์ 1.5 ลิตร นั่งอยู่บนภู ดูศิษย์ผู้พี่ อย่าง StepWGN ตบกัดจิกตี
แย่งแชมป์ในตลาดกลุ่ม รถตู้ Minivan ขนาด 2.0 ลิตรกับ Nissan SERENA อยู่เหมือนเคย

StepWGN ใหม่ มีตัวถังยาว 4,690 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,815 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ
2,855 มิลลิเมตร เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขกับ StepWGN รุ่นเดิม จะพบว่า คราวนี้ Honda ขยายความยาว
ของตัวรถให้เพิ่มขึ้นจากเดิม 4,630 มิลลิเมตร ออกไปอีก 60 มิลลิเมตร โดยคงความกว้างไว้ที่ระดับ
ไม่เกิน 1,700 มิลลิเมตร เท่าเดิม ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่ต้องการให้ตัวถังกว้างเกินกว่า พิกัดการเสียภาษี
ของรถยนต์ในญี่ปุ่น ซึ่งหากกว้างเกิน 1,700 มิลลิเมตร หรือมีเครื่องยนต์เกินกว่า 200 แรงม้า ต้องจ่าย
ภาษีในพิกัด “รถยนต์นั่งขนาดมาตรฐาน” ซึ่งจะแพงกว่า พิกัด “รถยนต์ขนาดเล็ก” ที่ StepWGN และ
บรรดารถตู้คู่แข่งค่ายอื่น เขา และอาจทำให้ยอดขายลดลง จนถึงขั้นขายไม่ออกในญี่ปุ่น อันเป็นเรื่อง
ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้ว กับ Civic FD ที่เพิ่งตกรุ่นไป

ด้วยเหตุที่ทีมออกแบบ ยังคงใช้จัดวางรูปแบบ Pacakging รถรุ่นนี้ ในลักษณะ Low-Floor (พื้นของ
ห้องโดยสารอยู่ในระดับต่ำ) และ Low-Center of Gravity (จุดศูนย์ถ่วงต่ำ) และเพิ่มความสูงของ
หลังคาขึ้นไปอีก ทำให้ StepWGN ใหม่ มีความสูงของห้องโดยสารเพิ่มขึ้น 45 มิลลิเมตร จากเดิม
กลายเป็น 1,395 มิลลิเมตร ช่วยเพิ่มพื้นที่เหนือศีรษะ รวมทั้ง การเพิ่มความยาวตัวรถออกไปอีก
50 มิลลิเมตร และการออกแบบให้เสาหลังคาคู่หลัง ตั้งตรงฉาก ทำให้ความยาวห้องโดยสารเพิ่มขึ้น
เป็น 3,905 มิลลิเมตร จนเคลมได้ว่า เป็นรถตู้ที่มีห้องโดยสารโอ่โถง กว้างขวางที่สุดในบรรดารถตู้
ขนาด 2.0 ลิตร ที่ขายในญี่ปุ่นด้วยกัน

เส้นสายภายนอก มาในสไตล์ เรียบง่าย แต่เน้นความโปร่งตา ด้วยพื้นที่ของกระจกหน้าต่าง
ใหญ่โตมโหใาร บานตะเกียง เป็นพิเศษ ราวกับนั่งอยู่ในยานขนส่งพิเศษสู่จักรวาล

แต่อีกมุมมองหนึ่ง ตาแพน Commander CHENG! ของเรา ก็โพล่งออกมา ระหว่างกำลังทำ
คลิปวีดีโอ ของรถรุ่นนี้กันว่า “ให้ความรู้สึก ดุจนั่งอยู่ในตู้ปลา Aquariam ขนาดใหญ่ยักษ์
ติดล้อ โดยมี จิมมี่ เป็นปลาพะยูน!” (–___–‘)

อ้ายแพนนนนนนนนน!!! มรึงงงง!!!

(ใครจะไปนึกละ ว่าเช้าวันรุ่งขึ้น พี่ ศิ PR ของ Honda ก็มา Comment ใน Facebook ส่วนตัว
ของข้าพเจ้า เรื่อง StepWGN ด้วยคำสั้นๆ ว่า “พะยูน!?” เฮ้ยยยย มันจะ Deja vu อะไรกัน
ขนาดเน้ หาาาา!!! ทั้ง 2 คนนี้ นัดกันมาก่อนหรือเปล่าวะเนี่ย???)

แม้แต่ คุณเนย The Coup team ของเรา ก็เห็นด้วย “ระหว่างที่เนยขับรถตามพี่จิมมี่ ขึ้นทางด่วน
ไปหาพี่แพนที่บ้าน ไม่ว่าพี่จิมจะทำอะไรในรถ จะเกาหัว หรือเอามือเสยผม เนยเห็นหมดเลย”

ดังนั้น คงต้องแนะนำกันอย่างตรงไปตรงมาว่า หากคุณเลือกซื้อรถรุ่นนี้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่
คุณควร (อย่างยิ่ง) ที่จะติดฟิล์มกรองแสง โดยให้พื้นที่กระกบานประตูคู่หน้า ใสไว้สักหน่อย
เพื่อการมองเห็นทัศนวิสัยที่ดีของคนขับ ส่วนบานประตูผู้โดยสาร จนถึงกระจกฝาประตูหลัง
ขอแนะนำให้ใช้ฟิล์มที่มืดที่สุด เพื่อป้องกันความเป็นส่วนตัวของผู้โดยสาร จากสายตาของ
ผู้คนบนรถเมล์ ที่จะเห็นหมดเลยว่า คุณและครอบครัว กำลังทำอะไรกันบ้าง ภายในรถ

อีกนัยหนึ่ง ถ้าคุณเป็นบุคคลสำคัญ และต้องการ การคุ้มกันที่แน่นหนา StepWGN ไม่ใช้รถตู้
ที่เหมาะกับคุณแล้วละครับ มันให้ประสบการณ์บนท้องถนน ไม่ต่างจาก การนั่งอยู่ในพาหนะ
แบบกระจกรอบด้านของสมเด็จพระสันตปาปา หรือ Pope Mobile กันเลยทีเดียว!

StepWGN รุ่นที่ Honda Automobile Thailand สั่งเข้ามาในคราวนี้ เป็นรุ่นตกแต่งในแนว Sport
ที่ใช้ชื่อว่า SPADA ซึ่งจะมีอุปกรณ์ตกแต่งภายนอก ที่แตกต่างจาก StepWGN รุ่นมาตรฐาน มีทั้ง
กระจังหน้าแบบโครเมียม 3 แถบใหญ่ เปลือกกันชนหน้า – หลัง รวมทั้งสเกิร์ตข้าง ออกแบบให้
มีรูปลักษณ์แบบ Aero Form เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรุ่น SPADA เท่านั้น สปอยเลอร์หลัง
ติดตั้งเหนือฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง มีไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED เช่นเดียวกับชุดไฟท้าย
LED กรอบใส พื้นใส

StepWGN Spada เวอร์ชันญี่ปุ่นรุ่นมาตรฐาน จะสวมล้ออัลลอย 16 นิ้ว พร้อมยางขนาด 205/50 R16
และมีล้อ 17 นิ้วให้เลือก แต่สำหรับเวอร์ชันไทยแล้ว จะติดตั้ง ล้ออัลลอย 17 นิ้ว x 6J สวมกับยาง
Bridgestone TURANZA รุ่น ER370 ขนาด 205/55R17 เป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงานในญี่ปุ่น

อย่างไรก็ตาม คงต้องบอกกันก่อนว่า รถรุ่นที่ Honda นำเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยนั้น ยังเป็น
รถรุ่นดั้งเดิม ที่ยังไม่ได้มีการปรับโฉม Minorchange แต่อย่างใด

การเปิดประตู เพียงแค่พก รีโมทกุญแจ Smart Key ไว้กับตัว เดินเข้าใกล้รถ ในระยะที่ตัวอ่าน
คลื่นสัญญาณจะทำงาน ดึงมือจับเปิดประตูได้เลยทันที และถ้าจะออกจากรถ ก็แค่ปิดประตู
แล้วกดปุ่มสีดำ บนมือจับเปิดประตู ฝั่งคนขับ แค่นั้น ระบบก็จะล็อกรถให้เองทันที สัญญาณ
กันขโมย จากโรงงานในญี่ปุ่น ก็จะทำงานโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าจะเปิดประตูคู่หลัง ก็สามารถ
ดึงมือจับเปิดออกได้ทันที

หรือถ้าไม่ชัวร์ ก็มีสวิชต์ กดปุ่มสั่งและปลดล็อก ของประตูทุกบาน หรือแยกเปิดบานประตูคู่หลัง
ของผู้โดยสาร ฝั่งซ้าย หรือขวา มาให้

การติดเครื่องยนต์ ยังต้องใช้มือบิดสวิชต์หมุนที่คอพวงมาลัยอยู่ เนื่องจากว่า StepWGN ในญี่ปุ่น
บางรุ่น ก็ยังใช้กุญแจเสียบแล้วบิดเพื่อติดเครื่องยนต์กันอยู่เลย ที่แน่ๆ มีระบบ Immobilizer มาให้
เสร็จสรรพ จากโรงงานญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน

ในที่สุด Honda ก็มี Smart Key เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาซะที ไชโย!!!!!

บานประตู เปิดกางออกได้กว้างสุดแค่เท่าที่เห็น อันที่จริง ยังกว้างได้ไม่เท่ากับ Honda FREED
แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งาน ยังมีพื้นที่เหลือมากพอให้คุณจัดการยกผู้สูงอายุขึ้นไปนั่งบน
เบาะหน้าฝั่งซ้าย

การขึ้น – ลงจากรถ ไม่เป็นปัญหา ไม่ว่าคุณจะมีอายุเท่าไหร่ ร่างกายแข็งแรงหรือไม่ ก็แทบจะ
หย่อนก้นลงไปนั่งบนเบาะได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องปีน เหมือนรถตู้ทั่วๆไปในท้องตลาด ส่วน
แผงประตูคู่หน้า ทั้ง 2 ฝั่ง มีช่องใส่ของ และช่องวางขวดน้ำ ถึง 2 ชั้น ขณะขับรถ คุณอาจจะ
ใส่ของไว้บนแผงประตูชั้นบน และเก็บแผนที่ หรือหนังสือนิตยสารขนาดใหญ่ ไว้ที่ช่อง
เก็บของชั้น ล่าง ก็ย่อมได้

พรมปูพื้น อันเป็นอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ ที่แถมมาให้ ก็นุ่มเท้าได้ใจ ทำความสะอาดไม่ยาก
แค่ดูดฝุ่นออกก็สิ้นเรื่อง แถมยังออกแบบให้มีพรมชิ้นย่อย สำหรับวางไว้ ใต้เบาะแถวกลาง
อีกต่างหาก อะไรจะใส่ใจในรายละเอียดกันขนาดนั้น

เสียดายนิดเดียว ผมอยากได้พื้นลายไม้ปาร์เก แบบใน StepWGN รุ่นที่ 3 ซึ่งให้สัมผัสที่
เหมือนกับห้องรับแขกในบ้าน มากกว่า

ส่วนเสา กรอบประตูนั้น ดูเล็ก แต่แน่นหนาพอประมาณ ก็ไม่ต่างจาก Honda Jazz , FREED
หรือรถเก๋งขนาดเล็กรุ่นอื่นๆ ของ Hona ในช่วงหลังปี 2007 ขึ้นมานั่นละ

ภายในห้องโดยสารจะถูกตกแต่งด้วยโทนสี Cool Black ผ้าหุ้มเบาะ มีลวดลายชวนให้ผมนึกถึง
Honda City (SV) รุ่นปี 2008 คันที่บ้านผมเลย แม้จะไม่ใช่ลายเดียวกันก็ตาม และเบาะนั่งคู่หน้า
กยังคงทำให้ผมนึกถึง Honda City กับ Civic FD อีกเหมือนกัน อยู่ดีนั่นแหละ!

เพราะพนักพิงเบาะนั้น ออกแบบมาให้นั่งสบายขณะเดินทางไกล ฟองน้ำที่ซัพพอร์ตบริเวณ
ไหล่ อาจไม่เยอะ แต่ฟองน้ำบริเวณด้านข้าง Lumbar Support มีเยอะในระดับกำลังดี นั่งสบาย
ไม่ปวดหลังแม้จะขับขี่ในระยะทางไกลๆ เพียงแต่เบาะรองนั่ง คู่หน้า ยังคงสั้นไปนิดนึงอยู่ดี
ถ้าเพิ่มความยาวได้อีกนิด จะช่วยรองรับต้นขา ได้ดีกว่านี้

ถ้าเตี้ยไป เบาะฝั่งคนขับ ก็มีก้านปรับระดับสูง – ต่ำ ยกขึ้น – ลงได้ ราวๆ เกินกว่า 10 ระดับแน่ๆ
แต่ผมไม่ได้นับว่า เท่าไหร่ ที่สำคัญ มีพนักวางแขน แบบติดตั้งอยู่ด้านข้างเบาะทั้ง 2 ฝั่ง ยกขึ้น
เพื่อพับเก็บได้ ส่วนตำแหน่งการวางแขนบนแผงประตูนั้น ไม่ว่าจะวางแขนบนพื้นที่วางแขน
หารือ บริเวณบ่าข้างของตัวรถ (ขอบหน้าต่างด้านล่าง) ก้วางได้เหมือนกัน ถูกตำแหน่ง ถูกสรีระ
เหมือนกัน

พื้นที่เหนือศีรษะ ไม่ต้องห่วง ปลอดโปร่ง โล่งหัว เรียงกันได้ประมาณ 2 ฝ่ามือกับอีก 1-2 นิ้ว
ในแนวนอน ขณะที่พนักศีรษะนั้น ตอนแรก ดูเหมือนจะทำมุมเอียงเข้ามามาก จนหวั่นว่า
จะดันหัวผมมากไปหรือเปล่า แต่พอขึ้นขับขี่ใช้งานจริง ก้ไม่เห็นว่าจะดันหัวตรงไหนเลย
เพียงแต่ว่า ปรับได้แค่ระบยะสูง – ต่ำ ปรับมุมองศาการเอียงให้เข้ากับความชอบของแต่ละคน
ไม่ได้ แค่นั้น

พื้นที่ระหว่าง เบาะคนขับ กับผู้โดยสารฝั่งซ้าย ถูกเปิดโล่ง ไม่มีแผงคอนโซลใดๆมาคั่นกลาง
กลายเป็นช่องทางเดินแบบ Walk Through สะดวกสำหรับคุณแม่บ้าน ที่จะลุกขึ้นไปจัดการ
กับข้าวของที่หกเลอะเทอะ ของลูกน้อยบนเบาะแถวกลาง หรือจะย้ายขึ้นมานั่งบนเบาะหน้า
ก็ทำได้อย่างสบายๆ

เข็มขัดนิรภัยสำหรับเบาะคู่หน้า เป็นแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบลดแรงปะทะ และดึงกลับ
อัตโนมัติ  Pretensioner & Load Limiter ปรับระดับสูง – ต่ำได้ ทั้ง 2 ฝั่ง

จุดขายสำคัญของ StepWGN SPADA ก็คือ บานประตูสำหรับผู้โดยสาร มีมาให้ทั้งฝั่งซ้าย
และฝั่งขวา เปิดปิดได้ด้วย ระบบไฟฟ้า ทั้งจากสวิชต์บนรีโมทกุญแจ Smart Key สวิชต์บน
แผงหน้าปัด ฝั่งขวาสุด ใต้ช่องแอร์ (เลือกปรับปุ่ม ให้สวิชต์ ทำงานหรือล็อกการทำงานได้)
และการเปิดเลื่อน ด้วยมือจับประตู ทั้งด้านนอก (ดึง 1 ครั้ง แล้วปล่อย) และด้านในรถ (ดัน
คันโยกถอยหลัง เพื่อเปิด และดันขึ้นหน้า เพื่อปิด อย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างละ 1 ครั้ง แล้ว
ปล่อยมือได้เลยทันที) บานประตูจะเลื่อนเปิด – ปิด ถอยหลังเอง ช้าๆ ราวกับรถต้นแบบ
มีมือจับด้านข้างเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกในการขึ้น – ลงจากรถ

ขณะเดียวกัน กระจกหน้าต่างบนบานประตูผู้โดยสารทั้ง 2 ฝั่ง ก็สามารถเลื่อนเปิด – ปิด
ได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า เพียงแต่ว่า อาจจะเลื่อนลงมาได้ไม่สุดจนถึงขอบล่าง แค่นั้นเลย

ที่สำคัญ บานประตูยังสามารถดีดกลับได้เอง เมื่อมีสิ่งกีดขวาง หรือเมื่อตัวคุณไปยืนขวางอีกด้วย!

อย่างไรก็ตาม การใข้งานบานประตูไฟฟ้านั้น คุณต้องตกลงกันให้ดีๆ กับผู้โดยสาร ว่าคุณจะ
กดสวิชต์เปิดให้พวกเขา หรือให้ผู้โดยสารเปิดกันเอง เพราะมีโอกาสที่ระบบอาจติดขัดได้
จากการสั่งงานพร้อมกัน 2 คน โดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า ทางแก้คือ ปิดประตูไปก่อน
และอาจต้องดับเครื่องยนต์ เพื่อให้ระบบ Reset ตัวเองใหม่อีกรอบ จึงจะหายเอ๋อ

เบาะนั่งแถวกลาง มีพนักพิงเบาะที่สามารถปรับเอนได้ มากถึง 180 องศา คือพับได้ ตั้งฉากแบบ
90 องศาก็ได้ ปรับเอนนอนได้ถึงขนาด เอนราบเรียบกลายเป็นเบาะนอนไปได้เกือบสมบูรณ์

เบาะนั่งแถวกลาง แม้จะพยายามออกแบบให้ใกล้เคียงกับโซฟา เหมือนจะนั่งสบาย ในช่วงแรกๆ
แต่ฟองน้ำที่รองรับบริเวณไหล่ยังไม่มากนัก ขณะเดียวกัน เบาะรองนั่งก็สั้นไปสักหน่อย ควรจะ
เสริมให้ยาวกว่านี้อีกสักนิด ไหนๆ พื้นที่วางขา ก็เยอะขึ้น จนเหยียดขาได้แทบจะสุดกันอยู่แล้ว
จะเพิ่มความยาวเบาะรองนั่งอีกสักนิด ก็คงไม่เป็นไรน่า

เอาเถอะ อย่างน้อย เบาะนั่งแถว 2 ของ StepWGN ก็ยังดีกว่า CR-V เจเนอเรชันที่ 3 ในบ้านเรา
ก็แล้วกัน รายนั้น แข็งโป้กไปหน่อย นั่งไม่สบายเลย

เรื่องพื้นที่วางขานั้น ต่อให้คุณถอยร่นเบาะคู่หน้ามาจนสุดราง ก็ยังมีพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสาร
แถว 2 อย่างเหลือเฟือสบายๆ มากๆ ถึงมากที่สุด อยู่ดี ฉะนั้น ประเด็นนี้ หายห่วง ตัดไปได้เลย

พนักศีรษะ เบาะแถวกลาง ยืดขึ้นไปล็อกได้แค่ 1 ตำแหน่ง คือบนสุด เท่านั้น ขอบล่างของพนักพิง
รูปตัว L ที่ผมไม่ค่อยจะชื่นชอบเท่าไหร่ เวลาเห็นผู้ผลิตรายใดติดตั้งลงไปในรถยนต์ของตนนั้น
ยังไม่ก่อความรำคาญกับต้นคอผมแต่อย่างใด ถือว่า พอรับได้

พื้นที่วางแขน เป็นประเด็นขึ้นมา ในจุดนี้ เพราะว่า แม้จะมีพนักวางแขนแบบพับเก็บได้ ซ่อนไว้
กลางพนักพิงเบาะหลัง แต่การดึงลงมาใช้งานนั้น ก็พอวางแขนได้ในระดับที่ ไม่ถึงกับเต็มที่นัก
คือ ถ้าออกแบบให้สามารถล็อกตำแหน่งต่ำสุด เอาไว้ ให้สูงกว่านี้อีกสัก 1 – 2 มิลลิเมตร ก็จะ
ทำให้วางแขนได้อย่างสบายกับทุกคนอย่างแท้จริง

ส่วนแผงประตูด้านข้างนั้น เข้าใจดีว่า มีข้อจำกัดด้านการออกแบบประตูบานเลื่อน ทำให้ต้อง
เลือกระหว่าง การติดตั้ง ช่องใส่ของ ด้านข้าง พร้อมช่องวางแก้ว ไว้บนแผงประตูได้แค่ ฝั่งละ
1 ตำแหน่ง แต่ไม่มีพื้นที่สำหรับวางแขน จนต้องใช้ ขอบด้านบนสุดของแผงประตู เป็นที่
วางแขนทดแทนไป  มันออกจะสูงไปหน่อยสำหรับเด็กๆ ที่โตเกินกว่าจะนั่งบนเบาะนิรภัย
สำหรับเด็ก (ซึ่งก็มีช่องติดตั้งเบาะ Child Seat ตามมาตรฐาน ISOFIX มาให้ด้วย)

ใครที่คิดจะซื้อรถรุ่นนี้ ต้องถามตัวเองสักหน่อยครับว่า คุณรับได้กับเบาะแถวกลางในลักษณะนี้
หรือเปล่า? ถ้ารับได้ ผมก็เชื่อว่า คุณจะไม่มีปัญหาใดๆ กับมัน ในระยะยาว เพราะส่วนตัวผมเอง
ถึงแม้จะตำหนิในเรื่องนี้ ด้วยมุมมองที่สะท้อนความคิดจากการพูดคุยกับคนเป็นผู้ปกครองเด็ก
หรือมีผู้สูงอายุ อยู่ในบ้าน แต่โดยส่วนตัว ผมไม่มีปัญหากับมันเลย

พื้นที่เหนือศีรษะ? โล่ง โปร่ง เหมือนเบาะคู่หน้านั่นแหละ บนเพดานหลังคา สังเกตดีๆ จะเห็นว่า
มีทั้ง ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารตรงกลาง และเครืองปรับอากาศ สำหรับเบาะแถวกลาง พร้อม
สวิชต์ เปิดปิด มาให้ เร่งความแรงพัดลมได้ 3 ระดับ

เข็มขัดนิรภัยบนเบาะแถวกลาง เป็นแบบ ELR 3 จุด ทั้งฝั่งซ้ายและขวา ส่วนตรงกลางเป็นแบบ
ELR 2 จุดคาดเอว ตามปกติ

นอกจากนี้ เบาะแถวกลาง สามารถยกพับได้ ทั้งเพื่อการเข้า – ออกสู่เบาะแถว 3 หรือเพื่อ
เพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง (ในกรณีพับเบาะแถว 3 ด้วยแล้ว) โดยยกก้านยกปรับเบาะ
ที่ติดตั้งไว้ บริเวณข้างชุดเบาะรองนั่ง มีมาให้ทั้งฝั่งซ้าย และขวา เพียงครั้งเดียว พนักพิง
ของเบาแถวกลาง จะพับลงมาเอง พร้อมกับสลักล็อกยึดเบาะไว้กับพื้น จะปลดออก ตัวเบาะ
จะพับขึ้นมาข้างหน้าอย่างที่เห็นในภาพนี้เองโดยอัตโนมัติ

ถ้าต้องการใช้งานเบาะแถว 2 ตามเดิม แค่กดชุดเบาะกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม จะเข้าล็อก
ได้เองพอดี จากนั้น ดึงห่วงเชือกบริเวณไหล่ของพนักพิง เพื่อปรับตำแหน่งพนักพิงเบาะ
ตามมุมองศาการเอียง ที่ต้องการ

การเข้า – ออก ไปยังเบาะแถว 3 ทำได้สบาย ไม่แพ้รถตู้อย่าง Toyota Commuter เพียงแต่
ช่องทางเข้า อาจจะเล็กกว่ากันนิดนึงเท่านั้น แต่ความสูงของทางเข้าก็ไม่ใช่ปัญหาเลย

เบาะแถว 3 นั่งได้ 3 คน และเหมาะสำหรับให้บุตรหลาน กับพี่เลี้ยง นั่งเป็นส่วนใหญ่
พนักพิงเบาะ แบ่งพับและปรับเอนได้ 180 องศา เช่นเดียวกับเบาะแถวกลาง ซึ่งตัวของ
พนักพิงเองก็ไม่ค่อยจะซัพพอร์ตแผ่นหลังเต็มที่นัก แต่ก็ไม่ได้แย่จนน่าเกลียด

พนักศีรษะนี่สิ ดึงขึ้นมาแล้วล้อกได้แค่ตำแหน่งสงสุดตำแหน่งเดียว และผมมองว่า ขอบ
ด้านล่าง ของพนักพิง มันชอบมาสะกิดต้นคอผมตลอด ช่วยเฉือนมันทิ้งออกไปทีได้ไหม?
จะทำออกมาให้ขอบล่าง ยาวขนาดนี้ เพื่อรองรับศีรษะเด็ก ก็คงทำได้ไม่ดีนักเหมือนกัน
เลยนึกไม่ออกว่า จะทำขอบล่างของพนักพิงศีรษะให้ยาวลงมาแบบนี้ทำไมกัน?

เบาะรองนั่ง ก็สั้นไป ตามปกติวิสัยของรถยนต์ที่มีเบาะนั่ง 3 แถวอย่างนี้อยู่แล้ว พูดตรงๆ
ก็คือ ผมยังไม่เจอ รถยนต์โดยสารคันไหน ที่มีเบาะแถว 3 ที่ยาวกำลังดี รองรับได้ถึงต้นขา
เลยสักคันเดียว ซึ่งก็คงไม่น่ามีใครทำออกมาขาย เนื่องจากจะเป็นการเบียดบังพื้นที่วางขา
และการเข้า – ออก จะไม่สะดวกสบายเท่าที่ควร ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ต้องทำใจ

แต่กระนั้น พื้นที่การโดยสารเบาะแถว 3 ของ StepWGN ก็ทำได้ดีกว่ารถตู้แทบทุกคัน
ในตลาดพิกัดเดียวกัน และถ้าให้ผมเดินทางไปเชียงใหม่ โดยต้องนั่งเบาะแถว 3 ของ
รถคันนี้ป ผมยินดีนะ แต่ช่วยจอดให้ผมแวะพักข้างทาง ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย ทุกๆ
1 ชั่วโมงด้วยก็แล้วกัน

เพราะอย่างน้อย พื้นที่วางแขนด้านข้าง พร้อมช่องวางแก้วน้ำ ทั้ง 2 ฝั่ง ก็ช่วยให้ผมวางแขน
ได้สบาย หรือจะปรับเบาะเอนนอนลงไป จนชนขอบกระจกบังลมหลัง ก็ทำได้ หรือถ้าจะ
เอนตัวล้มลงนอนแนวขวางกับตัวรถไปเลย ก็ได้อีกเช่นกัน

แถมพื้นที่วางขานี่ก็แสนจะเยอะ ไม่ต้องนั่งชันขา นั่งได้ตามปกติเลย เอาขาแหย่เข้าไป
ใต้เบาะแถวกลาง ก็ยิ่งจะยืดแข้งยืดขาได้สบายเลย และคนที่บอกว่าสบายเนี่ย คือผม ซึ่ง
คุรก็รู้ว่า สรีระร่างขงผม ก็น้องๆ ตาแพน Commander CHENG ของเว็บเราเข้าไปแล้ว

ดังนั้น ถือว่า เบาะแถว 3 ของ StepWGN โปร่งสบายใช้ได้ในด้านพื้นที่ แต่การออกแบบ
เรื่องเบาะ เน้นให้อเนกประสงค์มากไปจนลืมความสบายไปหน่อย

เข็มขัดนิรภัยสำหรับเบาะแถว 3 ก็เหมือนเบาะแถวกลาง คือมีแบบ ELR 3 จุดมาให้ทั้ง
ฝั่งซ้าย กับขวา และแบบคาดเอว ELR 2 จุด มาให้ในตำแหน่งตรงกลาง

ลืมบอกไปว่า กระจกหน้าต่างฝั่งขวา ของผู้โดยสารแถว 3 ที่พิมพ์ลายเอาไว้ เป็นเสาอากาศฝั่งใน
กระจกนะครับ อย่าไปแงะออกมาเชียวละ ถ้าจะติดฟิล์มก็ย่อมได้ แต่ต้องระมัดระวังนิดนึงครับ

ใครที่สงสัยว่า เบาะแถว 3 ของ StepWGN SPADA มีขนาดใหญ่แค่ไหน 2 นายแบบของเรา ทั้ง
คุณ Golf BIZZARE (Celeb เจ้าของบล็อกแฟชันชื่อเริ่มดัง) และ น้องต๊อบ ทั้งคู่เป็นหนึ่งในก๊วน
The Coup Team ของเรา ก็แสดงให้ดูแล้วนะครับว่า ขนาดน้องต๊อบ ปรับเบาะนั่งแถว 2 ในแบบ
ที่ตนนั่งได้สบายๆ น้องกอล์ฟก็ยังนั่งเบาะแถว 3 ได้ โดยไม่มีปัญหาอะไร

กระจ่างนะครับ?

ประตูห้องเก็บของ ใช้สลักล็อกแบบไฟฟ้า มีช็อกอัพไฮโดรลิก ขนาดใหญ่ 2 ต้น ค่ำยันเอาไว้ บริเวณ
กระจกบังลมหลัง มีไล่ฝ้า และใบปัดน้ำฝนหลัง ขนาดยาว พร้อมที่ฉีดน้ำล้างกระจกมาให้ ควบคุม
จากก้านสวิชต์ใบปัดน้ำฝนตรงคอพวงมาลัย เหมือนกับชุดใบปัดน้ำฝนคู่หน้านั่นเอง

พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระมีขนาด “ใหญ่มาก” วางถุงกอล์ฟขนาดใหญ่ ในแนวตั้ง ได้ 4 ใบ แต่ถ้าพับ
เบาะ ทั้ง 2 แถวลง จะใส่จักรยานเมาเทนไบค์ได้ 5 คันสบายๆ โดยไม่ต้องถอดล้อคู่หน้าด้วยซ้ำ!

ขั้นตอนการพับเบาะแถว 3 ลงไป ง่ายมากครับ แค่ดึงห่วงเชือกบริเวณพนักพิงทั้ง 2 ฝั่ง เพื่อปลดล็อก
และพับพนักพิงลงไป จากนั้น ยกมือจับปลดล็อกใต้เบาะแถว 3 รวมทั้ง ดึงเชือกที่ห้อยโตงเตงในภาพ
พร้อมกัน เบาะจะตีลังกาหงายหลัง ลงมายังช่องว่างใต้พื้นห้องโดยสาร แล้วก็เอาสายสลักตะขอเหล็ก
เกี่ยวยึดไว้ในตำแหน่งที่มีให้ เพื่อล็อกเบาะไว้ แล้วดึงปีกข้างทั้ง 2 ฝั่งกางออก แปะไว้กับพื้นที่ด้านข้าง
เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถตั้งวงเล่นไพ่ป็อกเด้ง กันได้สบายๆ 4 คน

แต่ถ้าจะดึงเบาะนั่งขึ้นมา ก็ย้อนขั้นตอนในย่อหน้าข้างบน กลับขึ้นไปใหม่ โดยพับปีกข้างเก็บเข้าที่
ทั้ง 2 ฝั่ง ปลดสลักล็อก ดึงสายขึ้นมา แล้วยกชุดเบาะหงายกลับคืนมายังตำแหน่งเดิม เอื้อมไปดึงสลัก
ล็อกพนักพิงเบาะ ให้ยกขึ้นมาในตำแหน่งที่ต้องการ ทั้ง 2 ฝั่ง แค่นั้นเอง ง่ายจะตายไป

มาถึงตรงนี้ ถ้าใครจะถามไถ่ถึงยางอะไหล่ ผมก็คงต้องบอกว่า เสียใจด้วยนะครับ ไม่มีติดตั้งมาให้จาก
ญี่ปุ่น เพราะเขาจะมีชุดปะยางแถมมาให้แทน ติดตั้งซ่อนอยู่ในผนังฝั่งซ้าย ของเบาะแถว 3 แกะผนัง
พลาสติกออกมาก็จะพบ ดึงออกมาใช้งานได้เลย

และถ้าใครยังสงสัยว่า ห้องโดยสารของ StepWGN SPADA เมื่อพับเบาะทั้งหมดแล้ว มันใหญ่แค่ไหน?
รูปข้างบนนี้…คงพอจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างได้ดีที่สุดแล้วมั้ง..

ชัดเจนนะครับ?

แผงหน้าปัด ถูกออกแบบให้เน้นเส้นสายเหลี่ยมสัน และมีเส้นตรงยาว Horizontal Motif รวมทั้งมีการ
จัดวางตำแหน่งของหน้าจอต่างๆ แบบ 3 มิติ เพื่อให้มองเห็นขณะขับขี่ ได้ดีขึ้น และลดการละสายตา
ของผู้ขับขี่

มองขึ้นไปด้านบน แม้จะมีไฟอ่านแผนที่มาให้ พร้อมกับไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร ตรงกลาง และ
เหนือเพดานหลังสุด รวมแล้ว 3 ตำแหน่ง แต่ทำไม ถึงไม่มีการติดตั้งไฟแต่งหน้า มาให้กับกระจก
แต่งหน้า บนแผงบังแดดกันละเนี่ย?

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน หุ้มหนัง แป้นแตร พร้อมถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับ หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็น
อยู่ในรถเก๋ง Honda รุ่นอื่น ก้านพวงมาลัยทั้ง 2 ฝั่ง โล่งๆ แต่ก็ประดับด้วยพลาสติกสีดำแบบ Grossy แถม
มีสัญลักษณ์ SPADA มาให้

คันเกียร์ ติดตั้งบนแผงหน้าปัด ติดกับสวิชต์เครื่องปรับอากาศ เป็นเรื่องปกติที่มักพบได้ในรถตู้ Minivan
ของ Honda หลายๆรุ่น ตั้งแต่ ELYSION MOBILIO, MOBILIO SPIKE มาถึง FREED ก็วาง Layout
กันแบบนี้ ซึ่งสะดวกดีในการขับขี่ใช้งาน

มองไปทางขวา บนแผงประตู กระจกหน้าต่าง เป็นแบบไฟฟ้า ทั้ง 4 บาน พร้อมระบบ AUTO เฉพาะฝั่ง
ผู้ขับขี่ ดีดกลับเองเมื่อมีสิ่งกีดขวาง Auto-Jam Protection มีสวิชต์ล็อกกระจกหน้าต่างฝั่งผู้โดยสารทุกบาน
ที่แปลกตาคือ มีแสงไฟสีอำพันในสวิชต์ที่ว่านี้ด้วย กระจกมองข้าง พับและปรับด้วยสวิชต์ไฟฟ้าเช่นกัน
รวมทั้งมี Central Lock มาให้

ข้างสวิชต์เปิด-ปิดประตูคู่หลัง เป็นสวิชต์ปรับระดับชุดไฟหน้า สูง – ต่ำ ขณะที่มองมาทางซ้าย จะมีสวิชต์
วงกลม หมุนและกดได้ เพื่อ ตั้ง Set Trip Meter และปรับระดับความสว่างของชุดมาตรวัดความเร็ว

ฝั่งซ้ายบนคอพวงมาลัย ก้านสวิชต์ใบปัดน้ำฝัน เป็นแบบ ตั้งเวลาหน่วงได้ตามต้องการ ปลายก้านสวิชต์
หมุนขึ้นหรือลง ควบคุมใบปัดน้ำฝนหลัง พร้อมที่ฉีดน้ำด้านหลังอัตโนมัติ

อย่างไรก็ตาม ผมขอตั้งข้อสังเกตไว้ 2 เรื่อง

1. แม้ว่า ตำแหน่งเบาะคนขับจะปรับสูง – ต่ำได้ รวมทั้ง พวงมาลัย สามารถปรับระดับได้ ทั้ง สูง – ต่ำ
และระยะใกล้ – ห่าง จากตัวผู้ขับขี่ แต่การจัดวางตำแหน่งแผงควบคุมเครื่องเสียงตรงกลาง จะเหมาะ
กับคนตัวเล็ก  ที่ต้องปรับเบาะนั่งให้ร่นเข้าใกล้พวงมาลัยมากกว่า เพราะถ้าเป็นคนแขนยาว และ
ปรับเบาะนั่งให้ถอยห่างจากพวงมาลัย คราวนี้ คุณไม่อาจจะเอื้อมมือไปกดสวิชต์บนแผงควบคุม
เครื่องเสียงได้ง่ายนัก เพราะขนาดเอื้อมกันสุดมือแล้ว ปลายนิ้วยังไปไม่ถึงแผงควบคุมเลย จนต้อง
โน้มตัวมาข้างหน้าอีกนิดช่วยให้นิ้ว แตะกับสวิชต์เครื่องเสียงได้ ถือว่า จุดนี้ ออกแบบเอาใจคนสรีระ
แม่บ้าน แต่ถ้าเป็นผู้ชายตัวสูง แขนขายาว อาจไม่ถึงกับสบายนัก ควรมาทดลองนั่งขับดูก่อน ว่าจะ
เหมาะกับสรีระของคุณหรือไม่

2. เรื่องที่น่าเสียดายก็คือ StepWGN SPADA เวอร์ชันไทย ไม่มีหลังคากระจก Sky Roof และ
ไม่มีสวิชต์ Multi-Function ควบคุมชุดเครื่องเสียงบนพวงมาลัย (เพราะต้องนำเข้ารถมาทั้งคัน
โดยไม่ติดตั้งชุดเครื่องเสียงจากญี่ปุ่น ที่ต้องติดตั้งสวิชต์ Multi Function ควบพร้อมกันมาด้วย
ซึ่งถ้าติดตั้งสำเร็จรูปมาเลย ราคาสำแดงตอนนำเข้าจะแพงมาก จนต้องตั้งราคาขายแพงกว่านี้
ชนิดที่ลูกค้าอาจเบือนหน้า เพราะรถรุ่นนี้ เหมือนกับ CR-Z และ Odyssey ที่ต้องนำเข้ามาโดย
ไม่มีสิทธิพิเศษทางภาษี อย่างที่ Jazz และ Accord ได้รับเป็นกรณีพิเศษทั้งสิ้น ต้องจ่ายภาษี
นำเข้าเต็มอัตรา) และไม่มี ระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control ซึ่งจริงๆแล้ว ควรมีมาให้
ได้แล้ว กับรถยนต์ระดับนี้ ไม่ต้องเป็นระบบ CMS อย่างในญี่ปุ่นหรอก เอาแค่แบบมาตรฐาน
Basic ก็พอแล้ว

นี่คือ จุดด้อย ที่คุณควรรับทราบไว้ก่อน ในเบื้องต้น…

ชุดมาตรวัดถูกออกแบบให้เป็นแบบ 3 มิติ ติดตั้งไกลห่างจากผู้ขับขี่ออกไป เพื่อลดระยะการเหลือบ
สายตาลงมามองของผู้ขับขี่ ขณะเดียวกัน ตัวเลข และไฟสัญญาณเตือน มีขนาดใหญ่โตขึ้นนิดนึง
มีแถบเรืองแสงสีม่วง และมีแถบวงกลมเรืองแสง ECO Ring สีเขียว ทำงานร่วมกับ ระบบ ECO
Assist ซึ่งอธิบายไว้แล้ว ในบทความด้านล่าง ถัดจากเรื่องของระบบส่งกำลัง

ฝั่งขวาของมาตรวัด เป็นหน้าจอแสดงข้อมูล อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทั้งแบบเฉลี่ย และแบบแถบ
Real Time พร้อมทั้งเป็น Trip Meter A กับ B รวมทั้งมาตรวัดบอดระยะทาง Odo Meter ที่
รถแล่นสะสมมาทั้งหมด และมีมาตรวัดบอกอุณหภูมิภายนอกรถอีกด้วย

แถบวัดรอบเครื่องยนต์นั้น เล็กไปนิด อ่านยากพอสมควร แต่อย่างว่าครับ รถรุ่นนี้ ออกแบบมา
ให้คุณพ่อบ้านแม่บ้าน ขับใช้งาน ซึ่งมาตรวัดความเร็ว จะถูกมองบ่อยกว่ามาตรวัดรอบอยู่แล้ว
ดังนั้น ประเด็นนี้ คงต้องทำใจกันไป

และเช่นเคย ไม่มีเข็มวัดอุณหภูมิน้ำในระบบหล่อเย็น มีเพียงแค่ไฟสัญญาณสีฟ้า สว่างวาบ
แปลว่า น้ำยังเย็นอยู่ และถ้าเป็นสีแดงเตือนขึ้นมา แสดงว่า เดือดแล้ว แค่นั้น น่าจะมีมาให้
สักหน่อยน่า ยิ่งรถครอบครัวหนะ ยิ่งน่าจะมีมาให้เลยแหละ

ด้านบนสุดของแผงควบคุมตรงกลาง เป็นหน้าจอแสดงข้อมูล แถบยาว คล้ายกับใน Honda Civic FD
ฝั่งซ้ายของหน้าจอดังกล่าว เป็นนาฬิกา Digital สามารถเลือกปรับตั้งได้ จากสวิชต์ซึ่งติดตั้งอยู่ทางฝั่งซ้าย
ของสวิชต์ไฟฉุกเฉินขนาดใหญ่ และอยู่เหนือแผงสวิชต์เครื่องปรับอากาศนั่นละ

เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบ อัตโนมัติ ไม่มีระบบแยกฝั่ง ซ้าย – ขวา แต่มีระบบแยกฝั่งด้านหน้า – หลัง
ถ้าต้องการให้เครื่องปปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารแถว 2 และ 3 ทำงาน ให้กดปุ่ม REAR ฝั่งซ้ายของ
แผงสวิชต์แอร์ จนไฟสีเขียวสว่างขึ้นมา ซึ่งแผผงสวิชต์ชุดนี้ ผมมองว่า เหมือนจะใช้งานง่าย แต่ก็แอบ
สับสนบ้างเหมือนกันยเวลาที่ผมต้องการจะลดความแรงของพัดลม แต่ดันไปกดปุ่มลดอุณหภูมิลงแทน
แสดงการทำงานบนหน้าจอแบบยาว ด้านบนสุด ติดตั้งเหนือชุดเครื่องเสียง และจอมอนิเตอร์ แน่นอน
เย็นเร็วใช้ได้ครับ สำหรับสภาพอากาศร้อนในเมืองไทยอย่างนี้

แผงหน้าปัด ฝั่งผู้โดยสาร จะมีช่องเก็บของแบบมีฝาปิดในตัว 2 ตำแหน่ง ทั้งด้านบน ซึ่งใหญ่พอสำหรับ
ใส่เอกสาร ข้าวของจุกจิกจิปาถะได้มาก กับกล่องชั้นล่าง สำหรับใส่ เอกสาร คู่มือประจำรถต่างๆ รวมทั้ง
มีสายเสียบ USB สำหรับเชื่อมการทำงานเข้ากับชุดเครื่องเสียง

ส่วนตำแหน่งช่องวางแก้วหรือน้ำอัดลมกระป๋องนั้น นอกจากจะมีที่แผงประตูทั้ง 4 บาน กับแผงพลาสติก
บริเวณผู้โดยสาร แถว 3 แล้ว ยังมี ช่องวางแก้วแบบลิ้นชักซ่อนรูปได้ 2 ตำแหน่ง และช่องวางแก้ว บน
ช่องแอร์มุมซ้ายสุด ออกแบบเป็นหลุม วางขวดน้ำ แล้วให้แอร์เป่าจนเย็น ดื่มได้ชื่นใจ

ใต้ช่องวางแก้วพับเก็บได้ตรงกลาง มีทั้งช่องใส่กล่อง CD หรือข้าวของจุกจิก สมุดไดอารี่ขนาดเล็ก
และมีปลั๊ก 12 V ต่อเชื่อมอุปกรณ์ความบันเทิงต่างๆ หรือชาร์จไฟเข้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของคุณก็ได้

ระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System ที่ติดตั้งมาให้นั้น ใช้ระบบของ GARMIN และ
แผนที่ของ ESRI ความสวยงามของแผนที่ ไม่มากมายเท่าของ Toyota หรือ Mercedes-Benz และ
BMW การนำทาง ถือว่า พอใช้ได้ แต่การใช้งานนั้น แม้จะพยายามออกแบบให้ใช้งานง่ายเหมือน
เครื่อง Garmin ทั่วไป แต่การจะเลื่อน Cursor บนหน้าจอ บางที ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และบางทีทำงาน
ยังช้าอยู่บ้างนิดหน่อย

พร้อมกันนี้ จอมอนิเตอร์ ถูกติดตั้งมาพร้อมับชุดเครื่องเสียง เป็นวิทยุ AM / FM พร้อมเครื่องเล่น แผ่น
CD / DVD / MP3 แบบแผ่นเดียว สามารถเชื่อมต่อกับ FlashDrive USB และเล่นไฟล์เพลงในนั้นได้
มีลำโพงมาให้แค่  4 ชิ้น ดังนั้นคุณไม่ต้องไปคาดหวังคุณภาพเสียงระดับเทพยังต้องฟัง จากเครื่องเสียง
ชุดนี้แต่อย่างใด เพราะในภาพรวมแล้ว หลังจากที่ลองนำแผ่น CD และ DVD มาเล่น ต่อให้เป็นแผ่นแท้
จากญี่ปุ่น ก็ยังทำได้ในระดับ แค่ “ดีพอรับฟังได้ เกือบดีมาก แต่ยังไม่ดีที่สุด” เสียงเปียโน ยังไม่ใสกระจ่าง
แต่เสียงทุ่ม ทำได้ดี ขณะที่การฟังเพลงธรรมดาทั่วไป ไม่สามารถปรับเสียงใสจนสุดได้ เพราะจะใสจนบาดหู
เกินไป ไม่ค่อยมีมิติเสียง มากนัก

นอกจากนี้ จอมอนิเตอร์ สี ยังรับภาพจากกล้องขนาดเล็ก ที่ติดตั้งบริเวณช่องใส่ป้ายทะเบียนหลัง
ไว้สำหรับสำรวจดูพื้นที่ด้านหลัง ขณะถอยเข้าจอด ลดโอกาสการถอยรถทับหัวเด็กแบนเละ
และจะทำงานต่อเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลังเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เสียดายที่ เส้นของช่องจราจรบนหน้าจอ น่าจะสามารถปรับมุมโค้งได้ เพื่อช่วยให้
ผู้ขับขี่ กะระยะได้เหมาะสมว่า จะเลี้ยวถอดเข้าจอดอย่างไร จึงจะไม่ไปชนรถคันข้างๆ

ทัศนวิสัยด้านหน้ารถ เป็นภาพที่ใหญ่เบ้อเร่อเบ้อร่ามากๆ กระจกบังลมหน้ามีขนาดใหญ่โตบ้านบึ้ม
ให้การมองเห็นที่สว่าง กระจ่างแจ้ง ชนิดไม่เกรงใจเจ้าของรถ นี่ถ้าขับรถทางไกล แล้วรถบรรทุกสิบล้อ
ดีดหินกระเด็นใส่ จนกระจกร้าว เจ้าของรถจะต้องจ่ายค่ากระจกบานหน้ากันเท่าไหร่ละเนี่ย?

สังเกตให้เห็นว่า การวางเลย์เอาท์ของหน้าจอต่างๆ ลักษณะนี้ จะช่วยให้ผู้ขับขี่ มองเห็นข้อมูลที่จำเป็น
ได้ง่ายขึ้น ชัดเจน และ ไม่มีการบดบังสายตา

เรื่องที่น่าประหลาดใจก็คือ StepWGN SPADA เป็นรถยนต์ยุคใหม่ ซึ่งมีเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar
2 ต้น พร้อมกระจกโอเปร่า หนึ่งในเพียงไม่กี่รุ่น ที่ไม่มีปัญหาการบดบังทัศนวิสัยเลย ทั้งขณะขับขี่
ไปตามถนนในเมือง หรือเลี้ยวเข้าโค้งขวา บนถนนแบสวนกันสองเลน เสาหลังคา A-Pillar ฝั่งขวา
ก็ยังมีช่องว่างพอให้เห็นรถคันที่จะแล่นสวนทางมาแต่ไกล ดังนั้น ไม่เป็นปัญหาเลยในด้านมุมมอง

กระจกมองข้าง มีขนาดใหญ่โต ปรับและพับได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า แต่ก็แอบหลอกตาบ้างเหมือนกัน

เช่นเดียวกัน เสาหลังคาหน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย ก็ยังมีขน่าดเหมาะสม มีช่องกระจกโอเปร่า สามเหลี่ยม
ช่วยให้เห็นรถคันที่แล่นสวนทางมา ขณะกำลังจะเลี้ยวกลับได้ดีมาก ไม่แพ้ Honda FREED

อีกหนึงในความพิเศษของรถตู้รุ่นนี้ก็คือ ถ้าคุณผู้อ่านสังเกตในวงกลมสีแดง จะเห็นว่า มีการติดตั้ง
กระจกขนาดเล็ก ไว้ เพื่อช่วยในการมองเห็นพื้นที่บริเวณซุ้มล้อหน้าฝั่งซ้าย โดยจะสะท้อนภาพ
จาก กระจกเงาขนาดเล็ก สี่เหลี่ยมจตุรัส ที่ติดตั้งบริเวณกรอบกระจกมองข้างฝั่งซ้าย ด้านนอก ช่วย
ลดโอกาสจะเฉี่ยวชนวัตถุ ขณะกำลังถอยเข้าจอดได้อย่างดี

ทัศนวิสัยด้านหลัง ปลอดโปรง โล่งสบาย เห็นชัดเจนหมดในทุกความเคลื่อนไหวของรถคันข้างๆ
และแน่นอนว่า พวกเขา ก็มองเห็นคุณด้วยเช่นเดียวกัน ขอแนะนำว่า เมื่อซื้อรถรุ่นนี้ ควรติดฟิล์ม
กรองแสง ให้มืดเข้าไว้สักหน่อย ในบริเวณกระจกหน้าต่าง ตั้งแต่ บานประตูเลื่อนของผู้โดยสาร
ไปจนถึงกระจกบังลมหลัง แต่อย่าติดฟิล์มปรอท เพราะอาจทะมุมสะท้อนกับดวงอาทิตย์ แยงตา
ผู้ขับขี่รถคันอื่นได้

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ขุมพลังของ StepWGN นั้น อันที่จริงแล้ว ลูกค้า Honda ในบ้านเรา น่าจะคุ้นเคยกันดี เพราะว่า
มันก็เป็นขุมพลังเดียวกับที่พบได้ ใต้ฝากระโปรงหน้าของ Honda Civic FB ใหม่ รุ่น 2.0 ลิตร
รวมทั้ง Honda Accord G8 2.0 ลิตร รุ่นปัจจุบัน นั่นแหละ!

ใช่ครับ เป็น เครื่องยนต์รหัส R20A บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,997 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
81.0 x 96.9 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.6 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Multi-Point PGM-FI พร้อมระบบ
แปรผันวาล์ว i-VTEC ทั้งหัวแคมชาฟต์ และที่แท่งแคมชาฟต์ เหนือกระเดื่องวาล์ว

แต่มีการปรับแต่งเครื่องยนต์เล็กน้อย จนได้กำลังสูงสุด 155 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิด
สูงสุด 19.7 กก.-ม. ที่ 4,200 รอบ/นาที ถือว่า ทั้งแรงม้า และแรงบิดสูงสุด ถูกปรับแต่งให้มาถึงเท้า
ของผู้ขับขี่ ในรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำกว่า Civic FB 2.0 ลิตร นิดหน่อย

ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT ล็อกอัตราทดไว้ 7 ระดับ
มีอัตราทดเกียร์สูงสุด 2.470 : 1 จนถึงต่ำสุด 0.450 : 1 ส่วนเกียร์ถอยหลัง อยู่ที่ 1.735 : 1 ถึง 
1.214 : 1พร้อมแป้นเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ Paddle Shift  ติดตั้งที่ด้านหลังพวงมาลัย แป้นฝั่งซ้าย
ฝั่ง – ไว้เปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ ฝั่งขวาเป็น + ไว้เปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น มีไฟบอกตำแหน่งเกียร์ บนชุดมาตรวัด
มาให้แต่จะทำงานเฉพาะเมื่อผู้ขับขี่ ตบแป้น Paddle Shift เพื่อเปลี่ยนเกียร์เท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมี ปุ่ม ECO Assist กดเข้าไปแล้ว ระบบจะลดการเปิดลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า Drive-by-Wire
ให้น้อย หรือช้าลง การเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติก็จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงาน ขณะเดียวกัน
เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ ที่เร่งความเย็นเอาไว้จนฉ่ำ ก็จะถูกลดทอนการทำงานลง เพื่อช่วยให้เกิดความ
ประหยัดน้ำมันมากขึ้น เป็นโหมดเดียวกับที่พบได้ใน Honda CR-Z และ Fit/Jazz Hybrid รวมทั้ง 
Civic รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในบ้านเราหมาดๆ นั่นละครับ

ถ้าต้องการใช้งาน ให้กดปุ่มวงกลมสีเขียว ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาด้านข้างชุดมาตรวัดในภาพข้างบนนี้ ไฟรูป
ไบไม้ สัญลักษณ์ของระบบนี้ ก็จะติดสว่างขึ้นมา ให้รู้ว่า กำลังขับอยู่ใน ECON Mode แล้ว

ซึ่งในการใช้งานจริง ผมก็พบว่า มันไม่ได้ช่วยให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในภาพรวมดีขึ้นสักเท่าไหร่
แค่อาจทำให้คุณรู้จักเลี้ยงคันเร่ง ในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้ไฟสีเขียว ในวงกลม ติดสว่างวาบบนชุด
มาตรวัด อยู่ตลอดเวลา ให้ได้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ ซึ่งนั่นหมายความว่า คุณกำลังขับรถอย่างประหยัด
และปล่อยมลพิษต่อโลกในระดับที่น้อย หรือเหมาะสม นั่นเอง กระนั้น แค่คุณเหยียบมาเต็มที่ เพียง
ถอนเท้าออกจากคันเร่ง ไฟเรืองแสงสีเขียวรอบวงกลม ก็ติดสว่างวาบขึ้นมาแล้ว

ถ้าอยากรู้ว่า อัตราเร่งจะเป็นอย่างไร ผมกับ คุณกล้วย BnN แห่ง The Coup Channel ได้ทำการ
ทดลองจับเวลา หาอัตราเร่งกัน ในเวลากลางคืน ด้วยมาตรฐานเดิม คือ นั่ง 2 คน เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า
บนพื้นถนนแห้ง สภาพลม นิ่งสนิท ตัวเลขที่ออกมาได้ มีดังต่อไปนี้

ตัวเลขอัตราเร่งไม่ขี้เหร่ ใครเคยขับ Toyota Wish , Chevrolet Zafira หรือ Honda Stream มาก่อน 
ก็คง Happy เพราะตัวเลขที่ออกมา มันก็พอกันกับรถทั้ง 3 รุ่นนี้ นั่นละครับ หรือถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพยิ่งขึ้น
และถ้าดูดีๆ ตัวเลขที่ได้ ก็พอกันกับ Toyota Soluna Vios และ Toyota Yaris นั่นแหละ เห็นแบบนี้แล้ว
ถ้าคิดว่า ยังอืดไป ก็คงไม่ต้องพูดอะไรกันอีกแล้วมั้งครับ แนะนำว่า ซื้อเสร็จ ส่งให้ตาจอร์จ Get Tuned เพื่อน
ของผู้เขียน และตาแพน Commander CHENG ติด Turbo และจูนกล่อง ECU ไปเลยดีกว่ามั้ง

ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบตัวเลขกับรถตู้ประเภทเดียวกัน แต่คนละพิกัดเครื่องยนต์ รวมทั้ง Honda CR-V
เจเนอเรชัน 3 ที่ยังขายกันอยู่ในบ้านเรา รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ขับเคลื่อนล้อหน้า จะพบว่า ตัวเลข
อัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ของ StepWGN อาจจะทำได้ด้อยกว่า CR-V
FWD แค่ 0.1 วินาที แต่สำหรับอัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น การนำเกียร์ CVT มาใช้
ทำให้ความต่อเนื่องของการดึงแรงบิดมาหมุนล้อ มีมากกว่า ไม่ต้องรอการตัดเปลี่ยนเกียร์ ดังนั้น
ยังไงๆ ตัวเลขช่วงเร่งแซง ก็จะเร็วกว่า CR-V 2.0 FWD แน่ๆ

สำหรับ Hyundai H-1 นั้น แม้ว่าเครื่องยนต์จะเป็น Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร Turbo
175 แรงม้า (PS) ดูแล้วเหมือนจะแรงกว่า แต่ที่ตัวเลขด้อยกว่านั้น มีทั้งเรืองของน้ำหนักรถ และ
น้ำหนักของผู้ร่วมทดสอบในรีวิวนั้น (ซึ่งเป็นตาแพน Commander CHENG ของเรา เท่ากับว่า
รถต้องแบกน้ำหนักไปถึง 3 คน จากปกติ 2 คน ทำตัวเลขได้เท่านี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

ในการขับขี่ใช้งานจริง อัตราเร่งที่มีมาให้นั้น เพียงพอกับการใช้งานในระดับพื้นฐาน ทั้งการออกตัว
จากสี่แยก เร่งแซงรถขับช้าวิ่งขวา หรือจะเร่งแซงรถสิบล้อข้างหน้า ขณะที่คุณกำลังใช้ความเร็ว ระดับ
100 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง แรงบิดที่มีมาให้ ผมถือว่า พอแล้ว การตอบสนองของคันเร่งไฟฟ้า Drive-
By-Wire ก็ไม่ล่าช้า เซ็ตมาไวกำลังดี แต่ ถ้าเข้าโหมด ECO Assist ก็จะตอบสนองช้าลงไปนิดหน่อย
เพื่อให้ประหยัดน้ำมันขึ้น

แต่ถ้าต้องการจะเหยียบหนีให้พ้นการตามจี้ตูด ของบรรดา รถกระบะบ้าพลัง ที่จ้องแต่จะแซงรถของคุณ
ด้วยความรีบไปตายโหงตายห่า ทั้งหลายเหล่านั้น การเหยียบคันเร่งแค่ครึ่งเดียว อาจไม่พอ คุณจำเป็น
ต้องเหยียบคันเร่งเกินกว่าครึ่งหนึ่ง หรืออาจต้องจมมิดสุด เพื่อกระตุ้นให้สมองกล สั่ง Torque Converter
ทำงานเปลี่ยนตำแหน่งพูเลย์ ให้มีอัตราทดสูงขึ้น ลากรอบเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น เพื่อ เรียกแรงบิดจาก
เครื่องยนต์ ออกมาใช้งานได้ไวขึ้น

กระนั้น อัตราเร่งที่ StepWGN SPADA มีให้ ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว ต่อให้นั่งกันเต็มที่
ครบ 8 คน เครื่องยนต์ R20A ก็พอจะลากน้หนักทั้งหมด ขึ้นทางลาดชัน บนลานจอดรถตามห้าง
ได้สบายๆ แถมให้ด้วยว่า ใช้โหมด ECO Assist อีกต่างหาก

เพียงแต่ว่า หากจะต้องขึ้นดอยต่างๆ ขอแนะนำว่า ควรใช้แป้น Paddle Shift ช่วยในการเปลี่ยนเกียร์
โดยลากลงมายังตำแหน่ง S แล้วเลือกเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ตามใจชอบ และในช่วงขาลง จะใช้แป้น
Paddle Shift ช่วยเปลี่ยนเกียร์ ในลักษณะของ Engine Brake ก็พอทำได้ แต่ต้องใช้ความ
ระมัดระวังกันนิดหน่อย

ประเด็นเรื่องการเก็บเสียงรบกวนนั้น ผมเคยมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีนัก หลังการลองขับ StepWGN
รุ่นปี 2005 ในสนาม Tochigi ของ Honda จำได้เลยว่า พอถึงระดับ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป
เสียงกระแสลม ก็เริ่มหลั่งไหล ผ่านทางยางขอบประตู และแนวขอบเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ดังชนิด
ที่ชวนให้สงสัยว่า แน่ใจนะว่า รถที่ผมลองขับอยู่เนี่ย เป็นรถยนต์ประกอบในประเทศญี่ปุ่น?

แต่พอมาเป็นรุ่นล่าสุด เจเนเรชันที่ 4 ของ StepWGN การเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกในช่วงความเร็ว
ต่ำกว่า 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทั้งในเมือง บนทางด่วน หรือการใช้งานทั่วไป ถือว่าทำได้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม
ชัดเจน อาจจะมีเสียงของช่วงล่าง ดัง กุกๆ บ้าง ให้รำคาญใจ สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ
ของรถยนต์ Honda หลายๆรุ่น ที่บางคัน อาจจะมีเสียงดังกุกๆ ของช่วงล่าง เวลาขับผ่านหลุมบ่อบนถนน
ในหมู่บ้าน คืออาจเป็นได้ ในบางคัน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เข้าศูนย์บริการ เช็คระยะครั้งถัดไป ก็บอก
เจ้าหน้าที่ว่า ช่วยเช็คช่วงล่างและขันให้แน่นๆ ก็จะช่วยลดอาการดังกล่าวลงได้ (ลองมาแล้วกับเจ้า City
คันที่บ้าน และก็เป็นไปตามนี้)

ทว่า พอพ้นจากระดับนี้ไป เสียงของลมที่มาปะทะบริเวณด้านบนของกระจกบังลมหน้า ดังขึ้น จะได้ยิน
เสียงลมบริเวณ มุมของกรอบกระจกบังลมหน้า ชัดเจน ดังมากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า เสียงของลมที่
เล็ดรอดมาทางยางขอบประตูคู่หน้า ซึ่งเคยเกิดขึ้นในรุ่นเดิมนั้น หายไปแล้ว และก็ไม่ปรากฎเลย แม้จะ
ใช้ความเร็วสูงสุดถึงระดับ 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ไม่มีเสียงหวีดเข้ามาแต่อย่างใด แสดงว่า มีการ
ปรับปรุงและแก้ไขในเรื่องยางขอบประตูกันพอสมควร

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงควบคุมด้วยไฟฟ้า EPS
(Electronics Power Steering) รัศมีวงเลี้ยว 5.6 เมตร พวงมาลัยหมุนได้ 3.56 รอบ เพียงพอสำหรับ 
การเลี้ยวกลับรถในซอยลาซาล อันเป็นหนึ่งในเส้นทางที่มักมีรถยนต์หลายๆคัน เลี้ยวกลับรถไม่พ้นในครั้งเดียว
แต่ StepWGN Spada ทำได้ อย่างง่ายดาย แม้จะแอบมีเสียวอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็ผ่านมาได้สบายๆ
บังคับเลี้ยวไม่ยากอย่างที่คิด เพราะน้ำหนักพวงมาลัยนั้น เบาแบบรถเก๋ง Honda รุ่นใหม่ๆ เบาจนบรรดา
คุณแม่บ้าน น่าจะชอบกันเลยละ เพราะบังคับเลี้ยวง่ายดาย ช่วยให้ขับง่าย เหมือน Honda เก๋งรุ่นอื่นๆ

ในช่วงความเร็วเดินทาง บนทางด่วน หรือไฮเวย์ อันที่จริง ถ้าไม่มีกระแสลมมาปะทะด้านข้าง พวงมาลัย
ของ StepWGN ถือว่า มั่นใจได้ในการบังคับรถ เพราะว่า เมื่อลองปล่อยพวงมาลัย แบบหลวมๆ ไปบน
พื้นถนนที่เป็นลอนคลื่นห่างๆ กัน  รถก็ยังพุ่งตรงไปข้างหน้าเหมือนเดิม ไม่วูบวาบ แสดงว่า ใช้ได้
น้ำหนักพวงมาลัย ถือว่า พอให้ความมั่นใจได้มากกว่า Honda FREED แน่ๆ ดีกว่ากันนิดหน่อย

ความเร็วเดินทางที่ผมมองว่า StepWGN ยังอยู่ในวิสัยที่ควบคุมได้ คือ 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในวันที่
ปราศจากกระแสลม และลดหลั่นกันลงไป ตามความเร็วของแรงลมปะทะด้านข้างหากคุณจำเป็นต้อง
ขับรถตู้คันนี้ ไปบนทางยกรระดับ บูรพาวิถี ในวันที่มีกระแสลมปานกลาง ขอแนะนำว่า ใช้ความเร็ว
ไม่ควรเกิน 100 – 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั่นก็มากพอแล้ว แต่ถ้าหากวันไหน มีกระแสลมแรงมาก หรือ
พายุกำลังจะเคลื่อนเข้ามา ขอแนะนำว่า อย่าใช้ทางยกระดับ หรือทางด่วนต่างๆ ในย่านที่อยู่ชานเมือง
ทั้งหลายเลย วิ่งทางราบแทนจะปลอดภัยสบายใจกว่า คำแนะนำนี้ ไม่จำกัดแต่เพียง StepWGN เท่านั้น
หากแต่ผมยังรวมถึง FREED และบรรดารถตู้จากญี่ปุ่นทั้งหลายอีกด้วย

เพราะ StepWGN ก็เหมือนกับรถตู้ทั่วไป ที่จำเป็นต้องออกแบบให้พื้นผิวตัวถังด้านข้าง ตั้งฉาก จนเกือบ
จะเป็นแนวตั้งตรง ด้วยเหตุผลในด้านการจัดสรรพื้นที่โดยสารภายใน ดังนั้น ต่อให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ แต่ถ้า
หลังคาสูงกว่าชาวบ้าน โอกาสจะโดนลมปะทะด้านข้าง ก็มีสูงเหมือนกันจึงไม่น่าแปลกใจว่า บนทางยก
ระดับบูรพาวิถี ในช่วงก่อน 3 – 4 ทุ่มไป StepWGN จะมีอาการวูบวาบไปมา ซ้าย -ขวา ตามกระแสลม ซึ่ง
ซึ่งอาการนี้ น้อยกว่า Honda FREED แต่ก็น้อยกว่ากันแค่นิดหน่อยเท่านั้น ต่อให้เป็น Hyundai H-1 ก็มี
อาการวูบวาบคล้ายกันนี้ ไม่หนีกันครับ

ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังแบบ ทอร์ชันบีม ได้รับการปรับรุง ตำแหน่ง
บุชปีกนกจากรถรุ่นก่อน ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมขึ้น ทั้งเพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่ในห้องโดยสาร และ
เพื่อการยึดเกาะถนนที่ดีขึ้น

ในช่วงความเร็วต่ำ คงต้องขอบอกว่า ถ้าใคราคาดหวังความนุ่มนวลแล้ว ทำใจได้เลยว่า มันก็ไม่ต่างไปจาก
รถเก๋ง Honda รุ่นใหม่ๆ คันอื่นๆ ทั่วไปหรอกครับ คือถ้าคุณขับรถแบบคลานๆ ไปตามสภาพถนนในซอย
ที่มีพื้นผิวซีเมนต์ชำรุด เป็นหลุม หรือนูนขึ้นมา มีรอยยางมะตอยไปแปะไว้ คร่าวๆ คุณจะสัมผัสได้ถึง
ความตึงตัง ของช่วงล่าง อยู่พอสมควร

ถ้าจะถามว่า เซ็ตมาให้มันนุ่มกว่านี้ไม่เป็นกันหรืออย่างไร ผมก็คงต้องบอกกันตรงนี้ว่า

1. Honda เก่งในการทำเครื่องยนต์ และการออกแบบพื้นที่ภายในห้องโดยสาร แต่ไม่เก่งในเรื่องการทำ
ช่วงล่างและระบบกันสะเทือนมากเท่ากับผู้ผลิตค่ายอื่นๆเขา นี่เป็นเรื่องที่รับรู้กันดีอยู่แล้วในวงกว้าง

2. อย่าลืมว่า StepWGN SPADA เป็นเวอร์ชันแนวสปอร์ตของ StepWGN ซึ่งมีการระบุชัดเจนใน
เอกสารประชาสัมพันธ์ ของรถตู้รุ่นนี้ที่ญี่ปุ่นว่า มีการปรับช่วงล่างด้านหน้า ให้แข็งขึ้น และ Firm ขึ้น
กว่ารุ่นมาตรฐาน ดังนั้น อย่าคาดหวังว่า ช่วงล่างจะนุ่มนวลชวนฝัน ในช่วงความเร็วต่ำ แบบรถตู้คันอื่นๆ

แต่สิ่งที่คุณจะคาดหวังได้แน่ๆ คือ ความมั่นใจ ในการเข้าโค้ง ระดับที่ Honda FREED ก็ยังให้คุณได้
ไม่เต็มที่เท่านี้ เพราะบนทางด่วน โค้งบางจุด ซึ่งผมตั้งมาตรฐานในใจว่า ต้องเข้าโค้งด้วยความเร็ว
80 กิโลเมตร/ชั่วโมง เลี้ยงนิ่งๆ ตั้งแต่เข้า จนออกจากโค้ง จึงจะถือว่า สอบผ่าน ปรากฎว่า StepWGN
SPADA สอบผ่านได้ “ทุกโค้ง” ที่ผมตั้งเป้าไว้ แม้แต่โค้งยาวๆ ทั้งโค้งรูปเคียว ซ้ายแล้วขวา เหนือ
ตลาดคลองเตยมุ่งหน้าไปบางนา หรือ โค้งจากอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ วกขวาสูงๆ เอียงๆ เหนือ
มักกะสัน ไปเข้าโค้งซ้ายหนักๆ ที่หน้าโรงแรมเมอเคียว มุ่งหน้าไปบางนา ทั้ง 3 โค้งนี้ ผมพาเจ้า
SPADA ผ่านเข้าไปด้วยความเร็ว 80 – 85 กิโลเมตร/ชั่วโมง นิ่งๆ ได้สบายๆ! (แต่ไม่ควรเกินกว่านี้
แล้วนะครับคุณผู้อ่าน)

รวมทั้งการเดินทางไกล ช่วงความเร็วสูง หากไม่มีลมปะทะด้านข้าง บอกเลยว่า ช่วงล่างของ StepWGN
ตอบโจทย์ได้ดี สมตัว และมั่นใจได้ ไม่วอกแวกให้เสียวเล่น แต่ย้ำนะครับว่า ต้องไม่มีลมปะทะด้านข้าง

ระบบห้ามล้อเป็นแบบ ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ คู่หน้า มีรูระบายความร้อน ติดตั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS
(Anti-Lock Braking System) กับระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronic
Brake Force Distribution) เสริมด้วยระบบควบคุมเสถียรภาพ VSA (Vehicle Stability Assist)

จากการทดสอบตามมาตรฐาน JNCAP (Japan’s New Car Assesment Program) ของหน่วยงาน
ด้านความปลอดภัยของยานยนต์ในญี่ปุ่น NASVA (National Agency for Automobile Safety &
Victim’s Aid) Honda StepWGN SPADA ทำตัวเลขระยะเบรกจาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถึง 0
หรนือ จุดหยุดนิ่ง ในระยะทาง 40.6 เมตร บนพื้นถนนแห้ง และ 43.6 เมตร บนพื้นเปียกลื่น

ระยะเหยียบของแป้นเบรก อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับรถเก๋ง Honda รุ่นอื่นๆ ซึ่งเหมาะสมแล้ว
สำหรับลูกค้าที่ไม่คุ้นเคยกับการขับรถตู้มาก่อน พวกเขาจะคุ้นชินกับแป้นเบรกของ StepWGN
ได้ง่ายดาย และรวดเร็วขึ้น ไม่น่าจะเกิน 1 วัน หลังจากเริ่มขับออกสู่ถนนเป็นครั้งแรก น้ำหนัก
ของแป้นเบรก หนืดกำลังดี เหมือนรถเก๋ง Honda ป้ายแดง เพิ่งออกจากโชว์รูมคันอื่นๆ

การขับขี่ในสภาพการจราจรแออัด กลางกรุงเทพมหานครนั้น แป้นเบรกตอบสนองได้ดี คุณยัง
สามารถ เลี้ยงเท้าขวา ให้ระบบเบรกทำงานชะลอและหยุดรถลงได้อย่างนุ่มนวล หรือจะเหยียบ
แป้นเบรกกระทันหัน เพื่อให้รอดพ้นจากการตัดหน้าของบรรดา วินมอเตอร์ไซค์พลีชีพ ทั้งหลาย
อย่างรวดเร็ว ฉับไว ก็ทำได้ง่ายอยู่

ขณะเดียวกัน ในช่วงความเร็วเดินทาง จนถึงความเร็วสูง การชะลอรถลงมา จากความเร็วระดับ
180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้อย่างมั่นใจมาก และไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ถ้าตราบใด คุณเหยียบ
แป้นเบรกแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น การหน่วงความเร็ว ทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ และให้ความมั่นใจใช้ได้
ดีเลยทีเดียว ถือว่า เป็นระบบเบรกในรถตู้ที่เซ็ตมาค่อนข้างดี เพียงแต่ คุณต้องตระหนักเสมอ
ว่าคุณกำลังขับรถตู้ การเหยียบเบรกกระทันหันโดยไม่ได้มีสติ และทักษะในการควบคุมรถที่ดี
อาจหมายถึงหายนะที่ตามมาได้ ง่ายดายกว่าการขับรถเก๋งทั่วๆไป ที่เตี้ยกว่ากันเยอะ

มาดูโครงสร้างตัวถังกันบ้าง Honda ยังคงออกแบบโครงสร้างนิรภัย ตามแนวทาง G-CON ที่ใช้กัน
มาตลอดในช่วงหลายปีมานี้ ชิ้นส่วนโครงเหล็กด้านหน้า โดยเฉพาะคาน Cross-Member ที่เชื่อมติด
กับเบ้าหัวช็อกอัพ จนถึงเฟรมด้านบนบริเวณห้องเครื่องยนต์ทั้งหมดถูกปรับปรุงให้มีความแข็งแกร่ง
มากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึง การออกแบบตำแหน่งการติดตั้งช็อกอัพใหม่ ให้ต่างจากรุ่นเดิมนิดหน่อย
เพื่อผลในด้านความยืดหยุ่นและแข็งแรงของโครงสร้างด้านหน้า

นอกจากนี้ โครงสร้างด้านหลัง ก็ถูกปรับปรุงให้มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นไปด้วย โดยมีการเสริมเฟรม
เข้าไปบริเวณตำแหน่งติดตั้งช็อกอัพคู่หลัง นอกจากนี้ ยังปรับปรุงโครงสร้างตัวถังด้านบนทั้งหมด
รวมทั้ง หาต้นตอ และลดการเกิดเสียงรบกวน ถึงแห่งกำเนิดเสียงตามจุดต่างๆ เพื่อลด เสียงรบกวน
การสั่นสะเทือน และอาการสะท้าน (NVH หรือ Noise Vibration  and Harshness)

ผลที่ได้ก็คือ จากการทดสอบการชน ตามมาตรฐาน JNCAP ของหน่วยงาน NASVA  ของญี่ปุ่น
StepWGN SPADA ให้การปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้สูงสุด ด้วยคะแนน 6 ดาว รายละเอียด
เพิ่มเติม คลิกเข้าไปดู คลิป Video ที่ www.nasva.go.jp/mamoru/en/car_detail/103

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

นานทีปีหน เราถึงจะมีโอกาสทดลองค้นหาความประหยัดของรถตู้กันเสียที  แต่ก็ใช่ว่าจะละทิ้ง
หรือต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกัน เพราะเรายังคงยึดถือมาตรฐาน
ดั้งเดิม นั่นคือ เมื่อรับรถมาแล้ว เราก็พามาเติมน้ำมันเบนซิน Techron 95 ที่สถานีบริการน้ำมันของ
Caltex ริมถนนพหลโยธิน เยื้องปากซอยอารีย์ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์

แม้ว่า StepWGN จะมีเครื่องยนต์ ขนาด 2.0 ลิตร แต่เนื่องจากค่าตัวอยู่ในระดับเกินกว่า 2 ล้านบาท
และเป็นรถยนต์ที่ แม้จะมีคุณผู้อ่าน ที่อยากรู้ว่า มันประหยัดน้ำมันหรือไม่ แต่ก็ไม่น่าจะมากนัก เมื่อเทียบ
กับรถยนต์กลุ่ม Mass market ขนาดเครื่องยนต์ เล็กกว่า 2.0 ลิตร และรถกระบะทั้งหลาย ดังนั้น ผม
จึงตัดสินใจ เติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron เอาแค่เต็มถังของรถ ขนาด 60 ลิตร แค่หัวจ่ายตัดก็พอ
จะไม่เขย่ารถในการทดลอง ครั้งนี้ ให้อย่างเด็ดขาด…

ถ้าสงสัยว่าทำไมไม่เขย่ารถให้ ผมอยากจะขอเรียนเชิญ มาช่วยผมเขย่า แต่โดยดี แล้วคุณจะรู้เองว่า
การออกแรงผลัก หรือโขยก ขย่ม ให้รถตู้ดิ้นดอกแดก ไปมานั้น นอกจากจะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว นั่น
อาจทำให้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเพิ่งกินเข้าไปในช่วงเย็น ก่อนจะทำการทดลอง พุ่งออกมาอย่างไม่ได้
ตั้งใจ ก็เป็นได้ ถ้าใครไม่เชื่อ ก็ขอเชิญมาลองได้เลยครับ

เมื่อเติมน้ำมันเสร็จแล้ว จากนั้น ขึ่นรถ คาดเข็มขัดนิรภัย ปิดประตู ติดเครื่องยนต์ Set Trip Meter A
เอาไว้เป็น 0 กิโลเมตร เปิดแอร์ แล้วขับออกจากปั้ม เลี้ยวกลับมาเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะมาออกปากซอย
โรงเรียนเรวดี แล้วเลี้ยวขวาขึ้นทางด่วนที่ด่านพระราม 6 มุ่งหน้าไปยัง ปลายสุดสายทางด่วนอุดรรัถยา
เส้นเชียงราก ที่ด่านบางปะอิน อยุธยา แล้วเลี้ยวกลบมา ย้อนขึ้นทางด่วนสายเดิม มุ่งหน้ากลับเข้าเมือง
ด้วยมาตรฐานเดิม คือ วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน เปิดไฟหน้า

เมื่อลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิแล้ว ก็เลี้ยวซ้ายเข้า ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับที่หน้าโชว์รูม
เบนซ์ราชครู  เลี้ยวซ้ายกลับเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex แห่งเดิม จอดเข้าที่ช้ช่องเดิม เพื่อเติม
น้ำมันเบนซิน 95 Techron ที่หัวจ่ายเดิม ให้เต็มถัง เอาแค่หัวจ่ายตัด เหมือนเช่นตอนเริ่มต้น

มาดูตัวเลขความประหยัดน้ำมันกันดีกว่า
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บนมาตรวัด Trip Meter A อยู่ที่ 91.7  กิโลเมตร

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 7.79 ลิตร

คำนวนแล้ว ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย  11.77 กิโลเมตร/ลิตร

ดูเผินๆ อาจเหมือนไม่ประหยัด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้เป็นรถตู้ระดับ Toyota Estima ของน้องเบิ้ม
น้องรอบข้างผมอีกคนหนึ่ง ก็ยังเดินทางไกลได้ด้วยระดับ 10 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งนั่นคือตัวเลขที่ดีที่สุดเท่าที่
รถคันนั้นจะทำได้แล้ว สำหรับผม ถ้ารถตู้คันไหน ทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในโหมด JC08 ของรัฐบาล
ญี่ปุ่น แล้วได้ตัวเลข 14.2 กิโลเมตร/ลิตร แต่มาทำตัวเลขในโหมด J!MMY Headlightmag.com ได้อย่างนี้
ก็ถือว่า อยู่ในระดับ ใช้ได้แล้วละครับ แม้จะอยากเห็นตัวเลขดีกว่านี้อีกสักหน่อยก็ตาม ไม่เชื่อ ก็ดูตารางข้างล่างได้

คุณต้องไม่ลืมว่า รถตู้ จะมีความสูงของรถ รวมทั้งน้ำหนักตัวถัง เป็นตัวช่วยให้รถต้านลม และทำให้อัตรา
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ยากที่จะดีเท่ารถเก๋งทั่วๆไปได้ ต่อให้เป็น Hyundai H-1 ทำการทดลองในโหมดนี้
ก็ยังทำได้ 11.55 กิโลเมตร/ลิตร อาจมีแค่ Honda FREED ที่ทำได้ 14.16 กิโลเมตร/ลิตร แต่น้ำหนักตัว
ก็เบากว่า แถมยังต้านลมน้อยกว่า StepWGN อยู่พอสมควร แถมเครื่องเล็ก ลากน้ำหนักเยอะ ได้แค่นี้ก็ดีแล้วละ

คำถามต่อมา : แล้วน้ำมัน 1 ถัง จะแล่นได้ไกลแค่ไหน?

จากการใช้ชีวิตอยู่กับ StepWGN SPADA คันนี้ 6 วัน 6 คืน ผมเติมน้ำมันไป 1 ครั้ง ในช่วง วันที่ 4 เพราะ
มีการทำความเร็วสูงสุด ไป 2 ครั้ง ระยะสั้นๆ ทำตัวเลขอัตราเร่ง ทั้งหมด ก็ช่วงสั้นๆ ไม่นานนัก ขับไป
ถ่ายรูปที่อ่างเก็บน้ำบางพระ ชลบุรี 1 รอบ ถ่ายรูปเก็บโลเกชันต่างๆ อีก 1 รอบ ลองใช้งานบรรทุก 6-7 คน
รวมทั้ง ถ่ายทำคลิป วิ่งไปเชียงราก กันอีก 1 รอบด้วย ซึ่งก็ถือว่า วิ่งเยอะเอาเรื่อง

ระยะทางบนมาตรวัดขึ้นมา 508 กิโลเมตร น้ำมันในถังยังเหลือ 2 ขีด ซึ่งแล่นได้อีก 70 กิโลเมตร แน่ๆ
ดังนั้น น้ำมัน 1 ถัง ต่อให้ เป็นเบนซิน 95 แพงสุด ก็ไม่น่าจะเกินระดับ 2,500 – 2600 บาท จะพาคุณและ
ครอบครัว เดินทางได้ไกลถึง 600 กิโลเมตร แน่ๆ สบายๆ ถ้าใช้ความเร็ว 100 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยิ่ง
ถ้าเติมแก็สโซฮอลล์ ทั้ง 95 และ 91 (ซึ่ง รถคันนี้ เติมได้นะ!) ค่าน้ำมันก็จะประหยัด ถูกลงไปยิ่งกว่านี้อีก
(แต่ระยะทางที่แล่นไป อาจน้อยลงกว่านี้นิดหน่อยนะครับ)

********** สรุป **********
“คล่องกว่า H-1 มั่นใจกว่า FREED จี๊ดกว่า Ventury ดูสง่ามีราศีกว่า Carnival! ขับเบาๆ ตามสไตล์ Honda”

วลีข้างบนนี้ ผมคิดออกได้ ระหว่างถ่ายทำคลิปของรถตู้รุ่นนี้ กับตาแพน Commander CHENG! และคุณเนย
จาก The Coup Team ของเรา และผมคิดว่า มันคือข้อสรุปในแง่ดี ของตู้ปลาติดล้อคันนี้ ที่ลงตัวใช้ได้

จุดเด่นของ StepWGN SPADA อยู่ที่การเกิดมาเป็นรถตู้ ที่สร้างขึ้นบนพื้นตัวถังของรถเก๋ง จึงถูกทำคลอด
ให้มีความกว้างตัวถัง ไม่เกิน 1,700 มิลลิเมตร มาแต่กำเนิด และนี่แหละ คือเหตุผลที่ทำให้ เจ้าตู้ปลาติดล้อ
คันนี้ คล่องแคล่ว มากๆในเมือง ง่ายต่อการบังคับควบคุม ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ชายร่างสูง หรือผู้หญิงหุ่น
กระทัดรัด มันพร้อมจะพาคุณลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยได้ อย่างไหลลื่น ไม่ติดขัด ซึ่งดูเหมือนว่า
ในบ้านเรา จะมีเพียง Honda FREED เท่านั้น ที่ทำคะแนนในด้านนี้ได้เทียบเท่า หรือดีกว่า  มันขับง่าย
เหมือนกับ รถเก๋ง Honda รุ่นอื่นๆ ทั่วๆไป ที่มีขนาดเล็กกว่า Civic ใหม่

นอกจากนี้ StepWGN SPADA ถือเป็นรถตู้ที่มีทัศนวิสัย ดีที่สุดตั้งแต่ผมเคยเจอมา ช่วยให้คุณเห็นภาพ
ของรถ คน สัตว์ สิ่งของ ที่อยู่รายล้อมรอบตัวคณ ได้ชัดเจนพอให้คุณตัดสินใจเปลี่ยนเลน เลี้ยวกลับรถ
และพุ่งเข้าปากซอยบ้านคุณได้อย่างถนัดถนี่ เพียงแต่ว่า คุณอาจต้องติดฟิล์มค่อนข้างเข้ม หรือมืดมิด
สักหน่อย เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวไว้ ไม่ให้คนข้างนอก เขาเห็นว่า คุณและลูกเมียกำลังอ้าปากงับ
Hot Dog จนปากเลอะเทอะ เปรอะไปด้วยซอสมะเขือเทศ หรือกำลังเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก อยู่บนรถ

อีกทั้งความสบายในห้องโดยสาร จากการบริหารจัดการพื้นที่ ตามสไตล์ Man Maximum , Machine
Minimum ที่ Honda ถนัดถนี่เป็นยิ่งนัก ทำให้มีพื้นที่กว้างขวาง สำหรับการโดยสาร 8 คน แถมยังช่วย
ให้ลูกหลานของคุณ เดินเล่นไปมาได้ ขณะรถติด หรือจอดเปลี่ยนเสื้อผ้า บนลานจอดรถของโรงเรียน
ได้ง่าย ไม่ต้องก้มศีรษะเลย (ถ้าความสูงของเขายังอยู่ในช่วงไม่เกิน 130 – 140 เซนติเมตร)

การเดินทางไปในเมือง หรือเดินทางไกล ถือว่าทำได้ดีสมตัว แม้อาจจะต้องเจออาการวูบวาบจากลมปะทะ
ด้านข้าง ในวันที่กระแสลมกรรโชกแรงไปบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่คุณต้องทำใจอยู่แล้ว ในการขับรถตู้
ถ้าเทียบกันในช่วงความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง คุณจะบังคับควบคุม StepWGN SPADA ได้โดยที่
คุณจะไม่รู้สึกเครียดมากเท่า FREED ในความเร็วเท่ากัน วัดกันบนถนนบางนา-ตราด เส้นเดียวกัน

แถมเส้นสายตัวถังที่ดูเรียบง่าย ก็ยังแฝงความภูมิฐาน และดูน่าเกรงขาม กว่า Kia Carnival ถ้าขับรถตู้
รุ่นนี้ ไปทวงหนี้ละก็ ผมว่า น่าเกรงขาม ใกล้เคียงกับ Toyota Alphard หรือ Vellfire เลยด้วยซ้ำ!

แล้วข้อที่ควรจะปรับปรุงละ?

ก็มีอยู่เหมือนกันนะ…

1. เข้าใจว่าต้องการทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงให้ดีที่สุดในกลุ่ม เลยต้องทำให้ตัวรถมันเบาเข้าไว้
แต่สำหรับ เจ้าตู้ปลาติดล้อรุ่นนี้ ขอแนะนำว่า อยากให้มี Down Force ที่ด้านหน้า เพิ่มอีกนิดนึง
เพื่อช่วยลดอาการวูบไปมา ซ้าย-ขวา ให้น้อยลงกว่านี้อีกนิด

2. การลดเสียงกระแสลมปะทะ ขณะขับขี่บริเวณพื้นที่คนขับ และผู้โดยสารด้านหน้า ควรปรับปรุง
วัสดุซับเสียง บริเวณเพดานด้านหน้า ให้หนากว่านี้อีกหน่อย และจัดการกับยางขอบประตูให้หนา
ขึ้นกว่านี้อีกนิด น่าจะช่วยลดเสียงขณะขับขี่ด้วยความเร็ว 100 – 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลงไปได้อีก
(หลังจาก 140 ไปแล้ว ไม่ต้องกังวล ใครจะบ้าขับรถตู้ด้วยความเร็วแบบนั้นแล้วมาบ่นเสียงลม ดัง
ก็ด่ามันกลับไปเลยครับว่า ขับเร็วไปหรือเปล่า?)

3. ถึงจะเสียดายและทำใจยอมรับได้กับการไม่มีหลังคา Sky Roof แต่คนที่คิดจะซื้อรถนำเข้าระดับนี้
เขาก็อยากได้ของเล่น ซึ่งเขาสามารถเอาไปคุยโม้โอ้อวดในวงสนทนาเพื่อนฝูงได้ว่า ข้ามีของเจ๋งๆ
อยู่ในมือ ดังนั้น แค่ระบบนำทางกับบานประตูสไลด์ไฟฟ้า 2 ฝั่งคู่ มันไม่พอหรอกครับ ระบบควบคุม
ความเร็ว Cruise Control กับสวิชต์พวงมาลัย Multi Function พร้อมชุดเครืองเสียงชั้นดี 
หรือจะแถม จอภาพสำหรับเล่น DVD ให้ผู้โดยสารแถวหลัง นั่งดูกันเพลินๆ คือสิ่งที่ควรจะมีมาให้
เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ได้แล้ว

4. เบาะรองนั่ง ของเบาะคู่หน้า เบาะแถวกลาง น่าจะเพิ่มความยาวออกมาอีกนิดนึง

5. พนักศีรษะรูปตัว L ของเบาะแถว 3 ช่วยปรับลดความยาวลงมาได้ไหม? มันตำต้นคอเหลือเกิน

6. การออกแบบแผงด้านข้างของประตูบานเลื่อน ให้มีพื้นที่วางแขน รู้ว่ามันยาก แต่ถ้าทำได้ ก็จะดี
ไม่น้อยเลยทีเดียว! ไม่เช่นนั้น ก็ต้องทำ พนักวางแขนแบบพับได้ ติดตั้งให้กับด้านข้างของเบาะ
แถวกลาง ฝั่งเดียวกับบานประตู ทั้ง 2 ฝั่ง

7 อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ต้องดีขึ้นกว่านี้อีก ในขณะที่คายมลพิษต่ำลงกว่านี้ได้อีก ซึ่งก็ต้องรอ
ขุมพลัง ตระกูล Earth Dream ของ Honda พร้อมออกสู่ตลาดในช่วงหลังจากนี้กันก่อน

8. ระบบกันสะเทือน ต้องแน่น และหนึบกว่าที่เป็นอยู่นี้ และต้องนุ่มนวลในช่วงความเร็วต่ำ แต่
หนักแน่น มั่นใจได้ ในช่วงความเร็วสูง ต้องลดอาการตึงตังเวลาเจอหลุมบ่อขนาดเล็กให้ดีกว่านี้อีกนิด

9. พวงมาลัยน้ำหนักกำลัวดี แต่ถ้าได้ความหนืดเพิ่มขึ้นกว่านี้อีกเพียงนิดนึง ก็จะช่วยเพิ่มความ
มั่นใจในการบังคับรถมากกว่านี้อีก เป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำเกิดให้สัมผัสจาการขับขี่ เบาๆแบบ Honda

นั่นคือข้อที่ยังปรับปรุงให้รถตู้รุ่นนี้ดีขึ้นกว่านีได้อีก เท่าที่ผมจะนึกออก

ทีนี้ ในระดับราคาเดียวกัน คือ 2 ล้านบาท บวกลบ นิดหน่อย มีตัวเลือกอื่นในตลาดอีกไหม?

คำตอบคือ : ไม่มี !

แล้วถ้าในงบประมาณ 1 – 2.5 ล้านบาท ละ ยังมีทางเลือกอื่นในรูปแบบคล้ายคลึงกันนี้อีกไหม?

คงหนีไม่พ้น Hyundai H-1 ด้วยค่าตัว 1,442,000 บาท ในรุ่น Executive กับ 1,524,000 บาท ในรุ่น 
Deluxe ทำให้ H-1 กลายเป็นตัวเลือกที่ดึงความสนใจของผ้ที่คิดจะซื้อรถตู้ในช่วงตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา
ได้ผลชะงัดนัก เพราะตัวรถ ใหญ่ ภายในกว้างสบาย อัตราเร่งดี กินน้ำมันก็พอกับชาวบ้าน 11.55 กิโลเมตร/ลิตร
แถมทรงตัวดีอีกต่างหากจากช่วงล่างที่เซ็ตมาดีกว่าที่ทุกคนจะคาดคิด และบริการหลังการขายที่ถือว่ามี
เสียงบ่นจากลูกค้า น้อยกว่าสมัยก่อนมากแล้ว

ปัญหาเดียวของ H-1 สำหรับหลายๆครอบครัว ก็คือ ตัวรถมีขนาดใหญ่เกินไป แม้จะคุ้มเงิน คุ้มราคา
จ่ายแค่ 1 ล้านบาท กลางๆ ก็ได้รถตู้คันมโหฬาร มาใช้งานจนสำราญใจ แต่การจะพารถคันนี้ เดินทาง
ไปไหนต่ไหน เข่น ขับไปออฟฟิศ ตามลำพัง โดยไม่ต้องพึ่งพาคนขับรถ หรือแค่ไปซื้อก๋วยเตี๋ยวที่
หน้าปากซอย มันก็ไม่ต่างอะไรกับการพา ยักษ์วัดแจ้ง ไปไหนมาไหนกับคุณด้วย

ยิ่งไม่ต้องไปนับ Toyota Ventury รถตู้ที่ดัดแปลงจาก Toyota Hiace / Commuter รุ่นปัจจุบันนั่นเลย
ขนาดตัวถังและห้องโดยสารที่ใหญ่โตพอกัน เหมาะแก่การเดินทางโดยมีสารถีขับขี่ให้เพียงเท่านั้น
อย่าฝันว่าจะขับเองเป็นอันขาด เพราะผู้คนที่สัญจรไปมา จะเข้าใจไปว่า คุณไม่ใช่เจ้าของรถ!

ส่วน Honda FREED ศิษย์ผู้น้อง นำเข้าจากอินโดนีเซีย เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ค่าตัวถูกกว่ากันมาก แต่
ต้องทำใจว่า สมรรถนะ และการทรงตัว ก็ด้อยกว่ากัน ลดหลั่นไปตามราคาค่าตัว มันเหมาะแค่วิ่งงาน
ในเมืองเป็นหลักเท่านั้น ไม่ค่อยเหมาะออกต่างจังหวัดเท่าไหร่ เว้นแต่ว่าคุณมั่นใจแน่ๆ ว่าจะขับรถ
ไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง  เคยบอก Honda ไปแล้วว่า รถคันนี้ควรขายในราคา 850,000 บาท แต่
พอเปิดตัว ดันขายคันละ ล้านบาทเศษ สุดท้าย ก็ต้องออกรุ่นย่อยใหม่ หั่นราคาลงเหลือ 820,000 บาท
ถ้าตั้งราคานี้แต่แรก คงขายระเบิดระเบ้อกว่านี้เยอะ!

สุดท้าย ก็คงเหลือ Kia Carnival ที่มีห้องโดยสาร ออกแบบและตกแต่งดีขึ้นกว่ารถรุ่นเดิม เพียงแต่
ชื่อชั้นของ Kia ในตลาดบ้านเรา ยังไม่เข้มแข็งพอ แม้จะขายได้เรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่มากนัก ถ้าคิดจะ
เข้าศูนย์บริการ พวกเขาก็พยามบริการคุณเต็มที่ แต่ยังสู้เจ้าตลาดได้ยาก ทั้งเรื่องปริมาณศูนย์ฯ หรือ
ความเก่ง ในการวิเคราะห์ปัญหาของทีมช่าง ต้องใขช้เวลานานสักหน่อย กว่าปัญหาจะจบ กระนั้น
ก็ต้องรอดูอนาคตกันต่อไป

แล้วถ้าอยากเห็น StepWGN ราคาถูกกว่านี้ มันมีทางไหนได้อีกหรือเปล่า?

บอกเลยว่า ถ้าตราบใดที่ยังต้องนำเข้าสำเร็จรุปทั้งคันแบบนี้ ยากที่จะกดราคาลงไปได้ แล้วอีกหน่อย
StepWGN ก็อาจมีชะตากรรมเหมือน Odyssey ที่ไปๆมาๆ ก็ต้องอัพราคาขึ้นไปจนแพงหูฉี่ ตามแต่ละ
รุ่นปีที่เปลี่ยนโฉมตัวถังกันไป สุดท้าย ก็ขายไม่ออก กลายเป็น Minivan ในตำนานอีกรุ่นของบ้านเรา

ดังนั้น ทางเดียวที่จะทำให้ค่าตัวของ StepWGN ถุกลงกว่านี้ได้อีก คือการสั่งชิ้นส่วนมาประกอบใน
เมืองไทย หรือไม่ก็ส่งไปประกอบที่โรงงานอินโดนีเซีย แล้วนำเข้ามาขาย ด้วยสิทธิประโยชน์ทาง
ภาษีในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งอาจทำให้ค่าตัวถูกลงเหลือประมาณ 1.4 – 1.8 ล้านบาท ก็เป็นไปได้

คำถามของคน Honda ก็คือ ถ้า เอา StepWGN มาประกอบขายในไทย หรือต่อให้เป็น อินโดนีเซีย
แล้ว CR-V ฉันจะขายใครละเนี่ย?

โอ้ยยย! ไม่ต้องห่วงเลย คนละกลุ่มลูกค้าเป้าหมายกันไปเลย! คนซื้อ CR-V เขาต้องการ SUV
และเป็นรถที่ 2 ในบ้าน ซึ่งสามารถขับใช้งานไปไหนมาไหนก็ได้ ส่วนคนที่คิดจะซื้อ รถตู้
รุ่นนี้ เขาอยากได้รถคันที่ 2 ในบ้าน ต้องการใช้งานเป็นรถท่องเที่ยวเดินทางกันไปหลายๆคน
ตามสไตล์ครอบครัวลูกดก ดังนั้น คนละกลุ่มเป้าหมายชัดเจน ถ้าแยกตามพฤติกรรมการใช้งาน

แต่ถ้าในแง่ ของงบประมาณการซื้อละก็ มันเหลื่อมล้ำกันอยู่แน่ๆ ถ้าตั้งราคา เจ้าตู้ปลาคันนี้
ไว้ที่ระดับ 1.4 – 1.8 ล้านบาท เพราะนั่นคือระดับราคาที่เหลื่อมล้ำกับ CR-V ไปจนถึงคู่แข่ง
อย่าง Chevrolet Captiva

แต่มองในแง่ดี ราคานี้ แอบฟาดงวงฟาดงา ไปโดน Toyota Camry และ Honda Accord กับ
Nissan Teana ด้วยเลยทีเดียว

ในเมื่อ Mitsubishi Motors ยังเคยใช้วิธี นำ Space Wagon มาประกอบขายบ้านเรา แล้ววาง
ตำแหน่งทางการตลาด ชนกับกลุ่ม Camry Accord Teana มาแล้ว และจนถึงหมดอายุตลาด
เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก็ยังทำยอดขายได้ระดับ 200 คัน/เดือนอยู่ ก่อนจะ Fade หายไป

แล้วเหตุไฉน Honda จะทำเช่นนั้นบ้างไม่ได้ละ?

ชื่อชั้นของ Honda ในบ้านเรา ยังดีกว่า Mitsubishi Motors ซึ่งเป็นความจริงที่ยากจะหนีพ้น
ก็จะช่วยให้ยอดขายพุ่งขึ้นไปอย่ในระดับ 200 – 300 คันได้ไม่ยากเลย ขอเพียงแค่ว่า ตั้งราคา
ให้เหมาะสมกับตัวรถ และออพชัน ในเมื่อมีบทเรียนจาก FREED กันแล้ว ก็อย่าตั้งราคาในลักษณะ
ซ้ำรอยก็พอ เพียงเท่านี้ StepWGN มีที่ยืนในบ้านเราชัดเจนมากกว่านี้แน่ๆ!

ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองดูสิครับ!

————————–///—————————

ขอขอบคุณ / Special Thanks
คุณศศิวรรณ ทองดีเลิศ
และฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Honda Automobile (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของทั้งผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย และ ภาพวาด Illustration จากต่างประเทศ เป็นของ Honda Motor Co.
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
10 มิถุนายน 2012

Copyright (c) 2012 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
June 10th,2012 

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! Click Here!