All I am , all that I want to be
a voice from within me , calling me,
you ‘re all my heart desire
you said my soul on fire
I won’t settle for less
Passion drives me on my quest

I know, I’ll Succed ‘coz I know it’s all my desire.
Trust your heart, take my hand,
dare to dream with me and just believe.

Umm Ummm ummmm

“ความรัก เอย เจ้า ลอยลมมาหรือไร
มาดลจิต มาดลใจ  เสน่หา………”

I know, I’ll Succed ‘coz I know it’s all my desire.
Trust your heart, take my hand,
dare to dream with me and just believe.

“ความร้ากกกก เอยยยยย
เจ้า ลอยลมมาหรือไร
มาดลจิต มาดลใจ
เสน่หาาาาาาาาาาาาาาา”

Umm Ummm ummmm

เสียงของคุณ กบ เสาวนิตย์ นวพันธุ์ กับ Mr.Paul Ewing ศิลปินชาวอเมริกัน ซึ่งอยู่เบื้องหลัง
ความสำเร็จของศิลปินระดับโลกมาแล้วมากมาย ไม่เว้นแม้แต่ Michael Jackson ขับกล่อม
ควบคู่กับการบรรเลงเพลงของวงเจ้าพระยาซิมโฟนีออร์เครสตรา ณ โรงละครอักษรา King Power
Duty Free Shop และโรงแรม Pullman ซอยรางน้ำ ค่ำวันที่ 11 มีนาคม 2013 เพิ่งจบลงไป

ผมยืนอยู่ ด้านหลัง ปีกด้านข้างฝั่งซ้าย ของโรงละคร และ…กำลังขนลุก!…

เนื้อเพลงที่แสดงออกถึงสิ่งที่อยู่ในห้วงความคิดของ หนุ่มใหญ่วัยกลางคน เมื่อต้องมาประสบ
พบรักยามแก่ กลางงานประมูลเครื่องเพชร มานัดเดท กับม่ายสาวพราวเสน่ห์ ที่ประมูลสร้อย
เส้นใหญ่ ประดับด้วยเพชรน้ำเอกเส้นนั้น หลังงานเลิก…อืมม..น้าครับ น้าหวังในความรัก
หรือหวังจะฮุบกินรวบ ทั้งม่ายสาว และสร้อยเพชรกันเนี่ย?

ไม่ว่าใครจะฮุบใคร ใครจะกินเหยื่อใคร เสียงร้องของสุดยอดศิลปินทั้ง 2 คน ดังสวนเข้ามาใน
ความรู้สึก ด้วยจิตที่ไม่ได้นึกมาก่อนเลยว่า Honda จะนำเอาบรรยากาศการเปิดตัวรถยนต์
ในสมัยก่อนเก่า แบบนี้ กลับมาให้คนรุ่นหลังได้สัมผัสกันอีกครั้งแบบนี้!

โลกเรานี่ก็ช่างพร้อมจะหมุนกลับตาลปัตร ตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา แนวทางการทำตลาด
รถยนต์ D-Segment ในเมืองไทย แตกต่างไปจากตลาดหลักอย่าง สหรัฐอเมริกา โดยสิ้นเชิง!

เพราะนับตั้บแต่ปี 2003 เป็นต้นมา ภาพที่เราเห็นจนชินตาโดยตลอดก็คือ Toyota Camry
จะเป็นผู้นำอันดับ 1 ซึ่งลูกค้าที่อุดหนุน ก็มีหลากหลายกลุ่ม มักจะทำงานโฆษณาออกมา
ในแนวหรู เพลงเพราะ มี Story สวยเก๋ ตามมาด้วย Honda Accord ที่ได้ใจลูกค้าประเภท
นักธุรกิจหนุ่ม Young Exectutive ไปเยอะกว่า ดังนั้น งานโฆษณาจึงมักจะออกมาในแนว
เน้นไปที่ตัวรถ และความโฉบเฉี่ยวในการขับขี่ โดยมี Nissan Teana ตามต้อยๆ ในอันดับ 3
มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นคุณหญิงคุณนาย สาวแก่แม่ม้าย และบรรดาผู้บริหารที่มองต่างมุม
เน้นความหรูแบบ ใส่ชุดราตรีออกงาน Gala Dinner กับคุณสามี นี่เรายังไม่นับกลุ่มลูกค้า
รถเช่า รถ Airport Taxi หรือ รถประจำตำแหน่งที่ยังเป็นอีกกลุ่มลูกค้าสำคัญ อีกด้วยนะ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 10 ปีมานี้ ออกจะเป็นเรื่องชวนหัวอยู่ไม่น้อย เพราะ Toyota พยายาม
ทำ Camry รุ่นหลังๆ มานี้ ให้ดูหนุ่มขึ้น หวังเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีอายุน้อยลงกว่ากลุ่มลูกค้าเดิม
ของตน ถึงขั้นต้องใช้เพลงโฆษณา แนว ตื๊ดๆ ซาวนด์อีเล็กโทรนิคส์ ฟังแล้วทันสมัย เข้าไว้

ยอมรับกันตรงๆว่า ผมอาจจะเริ่มแก่แล้วกระมัง ถึงได้รู้สึกว่าการนำเพลงแบบ “ตื๊ดๆ” มาใช้
กับโฆษณาของรถยนต์ระดับ D-Segment นั้น มันเหมือนความพยายามของใครบางคนที่จะ
กินบิ๊กแม็ค และ ข้าวเหนียวมะม่วง พร้อมๆกัน

ไอ้เพลงประเภท I’m glad you here, I’m glad you here แล้วก็ ตื๊ดๆ ตื๊ดๆ ในโฆษณา
Toyota Camry Extremo มันช่างชวนให้เกิดความรำคาญในโสตประสาทอย่างยิ่ง! แม้ว่า
จะถ่ายภาพสวยแค่ไหน แต่เพลงที่ไม่เหมาะสมสอดคล้องกัน มันทำลายคุณค่าของภาพยนตร์
โฆษณาดีๆ ไปเยอะแล้ว

ในทางกลับกัน Honda ยิ่งพยายามจะทำ Accord ออกมา ให้ “แก่ขึ้นเรื่อยๆ” หวังให้บรรดา
เจ้าของกิจการรุ่นใหญ่ วัย 40 – 50 ปี เดินเข้าโชว์รูมมาถอย Accord มากขึ้น ถึงขั้นทำหนัง
โฆษณาออกมา ในโทน “อาเสี่ย และคุณนาย แท็คทีมประมูลสร้อยเพชร” แบบนี้

แม้ภาพจะออกมา ทำให้ Accod ใหม่ ดู แก่ขึ้นอย่างชัดเจน ในสายตาคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ๆ
แต่สำหรับเพลงเสน่หา เวอร์ชันนี้แล้ว…ให้ตายเหอะ! นี่คือเพลงโฆษณารถยนต์ ที่ผมชื่นชอบ
มากที่สุด เรื่องหนึ่งเท่าที่เคยดูตั้งแต่เกิดมา! เป็นเพลงที่ลงตัวมาก ระหว่างเนื้อเพลงไทยและ
เนื้อภาษาอังกฤษ นอกจากจะไพเราะ เสนาะโสตแล้ว มันยังเป็นเพลงที่แสดงออกถึงการมี
“รสนิยมดี” ของทั้งคนทำเพลง คนทำโฆษณา และคนที่เซ็นอนุมัติให้งานชิ้นนี้ เผยแพร่สู่
สาธารณชน จะเป็นใครก็ตาม เขาทุกคน ทั้งหมด ควรได้รับเครดิตและเสียงปรบมือครั้งนี้
จากผมทั้งสิ้น

ทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องของโฆษณา ที่ทำออกมาได้ดีเกินความคาดหมาย แต่เชื่อว่าหลายคนคง
อยากรู้เหมือนผมละว่า ตัวรถ ละ? จะลงตัวและน่าถวิลหา สมดังหวังตามที่ใครหลายๆคน
เฝ้ารอคอย เหมือนเพลงโฆษณานั่นหรือเปล่า?

แล้วพาดหัวบทความนี้ละ? วิศวกร Honda R&D ที่ Tochigi , Mercedes-Benz E-Class 
และ Volvo S80 ใหม่ มาเกี่ยวอะไรกับบทความนี้ด้วย?

ค่อยๆอ่านไปเรื่อยๆ นับจากนี้นะครับ ผมจะคลี่คลายข้อสงสัยในใจของคุณผู้อ่านกันเสียที!

เพียงแต่..ตามธรรมเนียม ผมอยากพาคุณผู้อ่านไปรู้จักที่มาที่ไปของ Honda Accord ฉบับย่อ
กันเสียก่อน สักเล็กน้อย และย้ำอีกครั้งว่า นี่คือ ย่อมาให้อ่านแล้วนะ!

Accord คือรถยนต์นั่ง 1 ใน 4 รุ่นหลัก ของ Honda ในการบุกตลาดทั่วโลก เริ่มแยกตัวออกมา
จากตระกูล Civic ในปี 1976 เพื่อเน้นจับกลุ่มลูกค้าที่อยากเปลี่ยนรถคันใหม่ให้ใหญ่โตขึ้น
กว่า Civic นอกจากนี้ แอคคอร์ด เป็น 1 ในรถยนต์รุ่นสำคัญในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรม
ยานยนต์ญี่ปุ่น ทั้งการเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ถูกผลิตขายในสหรัฐอเมริกา และขายดีจนกระทั่ง
ขึ้นสู่ตำแหน่งรถยนต์ขายดีที่สุดของสหรัฐอเมริกาในช่วงทศวรรษที่ 1990 ได้เป็นผลสำเร็จ

1st Generation (พฤษภาคม 1976 – ตุลาคม 1981)
Accord รุ่นแรก เปิดตัวครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ปี 1976 ด้วยตัวถังแบบ Hatchback 3 ประตู
วางเครื่องยนต์ 4 สูบ SOHC 1.6 ลิตร พร้อมเทคโนโลยีห้องเผาไหม้ลดมลภาวะ CVCC ต่อมาใน
เดือนตุลาคม ปี 1977 ตัวถัง Sedan 4 ประตู วางเครื่องยนต์เดียวกัน ก็ออกสู่ตลาดตามมา จากนั้น
ในปี 1978 มีการเพิ่มเครื่องยนต์ใหม่ 1.8 ลิตร เพื่อให้ผ่านมาตรฐานข้อบังคับควบคุมไอเสียของ
รัฐบาลญี่ปุ่นในขณะนั้น

ล่วงเข้าปี 1979 Accord รุ่นเกียร์อัตโนมัติ Honda Matic ออกสู่ตลาดเพือ่เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าที่
อยากขับรถแบบสบายๆ พอถึงเดือนพฤษภาคม 1980 ก็มีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรใหม่ ที่ใช้
ห้องเผาไหม้ แบบใหม่ในตอนนั้น ชื่อ CVCC-II ซึ่งเป็นการเผาไหม้จากการจุดระเบิดส่วนกลาง
ช่วยให้ประหยัดน้ำมันขึ้น และในเดือน กรกฎาคม 1980 ก็ออก เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร CVCC-II
ตามมา เป็นการส่งท้าย

2nd Generation (พฤศจิกายน 1981 – พฤษภาคม 1985)
ถือเป็นรุ่นบุกเบิก ตลาดโลกอย่างจริงจัง เพราะ Accord รุ่นที่ 2 เป็นรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นรุ่นแรก
ที่ถูกประกอบขึ้น ในประเทศสหรัฐอเมริกา ณ โรงงาน รัฐ OHIO รวมทั้งยังเป็นรุ่นแรกที่ถูกนำมา
ประกอบขายในเมืองไทย ณ โรงงาน บางชัน เจเนอรัล แอสเซมบลี

ในเวอร์ชันญี่ปุ่น ถือเป็นรุ่นแรกที่นำเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ มาใช้กับขุมพลัง 1.8 ลิตร รวมทั้ง
ยังมีการติดตั้งระบบอีเล็กโทรสิกส์มาใช้ในรถมากขึ้น เช่นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ หรือ
Cruise Control, ระบบกันสะเทือนควบคุมระดับอัตโนมัติ Auto-Leveling Suspension
และในปี 1981 ถือเป็นปีสำคัญของ Accord เพราะมียอดผลิตสะสมรวมกันถึง 2 ล้านคัน

เดือนมิถุนายน 1983 Honda เปิดตัว Accord รุ่นนี้สู่ตลาดโลก พร้อมกับนำเสนอเทคโนโลยี
ใหม่ๆมากๆ เช่น เครื่องยนต์ 4 สูบ Cross-Flow 12 วาล์ว ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก 4 ล้อ 
ALB (ABS ในยุคแรกนั่นเอง) รวมถึงระบบจ่ายเชื้อเพลิงอิเล็กทรอนิกส์ ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์
PGM-FI ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรก

3nd Generation (มิถุนายน 1985 – กรกฎาคม 1989)
ถือเป็นพัฒนาการที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้บริโภคอย่างมาก เพราะนอกจากจะมีตัวถังใหม่
Wagon 3 ประตู ลัคล้ายรถยนต์ Shooting Break ของยุโรป ในชื่อ Accord Aero Deck 
แล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงขุมพลังใหม่แบบยกทีม ทั้งแบบ 4 สูบ DOHC 1.8 ลิตร คาร์บิวเรเตอร์
เดี่ยวและคู่ รวมทั้ง 2.0 ลิตร หัวฉีด PGM-FI ที่สำคัญก็คือ เปลี่ยนมาใช้ระบบกันสะเทือนใหม่
ปีกนกคู่ Double Wishbone อิสระ ทั้ง 4 ล้อ สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า รายแรกในโลก!

การพัฒนาเทคโนโลยียนตรกรรมขนานใหญ่ ทำให้ Accord รุ่นที่ 3 ได้รับการคัดเลือกให้เป็น
รถยนต์ญี่ปุ่นยอดเยี่ยมแห่งปี 1985-1986 (Japan Car of the Year)

เดือนกรกฏาคม 1987 มีการเปิดตัวรุ่น CA แบบไฟหน้าสี่เหลี่ยมมุมฉาก ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาด
ยุโรป และทั่วโลก โดยโฉมนี้ ถูกนำมาเปิดตัวในประเทศไทย ช่วงต้นปี 1987 นอกจากนี้ยังมีรุ่น
Accord Coupe 2 ประตู ผลิตขายเฉพาะในอเมริกาเหนือ ที่ได้รับการตอบรับอย่างท้วมท้นอีกด้วย

4th Generation (กรกฎาคม 1989 – สิงหาคม 1993)
เปิดตัวสู่ตลาด พร้อมกับฉลองยอดผลิตสะสม ถึง 5 ล้านคันทั่วโลก อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า
รูปลักษณ์ปราดเปรียว แต่สง่างาม มีเอกลักษณ์โดดเด่น คำนึงถึงความลงตัวของห้องโดยสาร ถือเป็น
อีกรุ่นที่มีการยกระดับเทคโนโลยี ด้วยระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ (4WS)  ซึ่งบังคับล้อหลังโดยการปรับ
มุมเลี้ยวให้สัมพันธ์กับล้อหน้า

นอกจากนี้ Accord Coupe และ Accord Wagon รุ่นใหม่ ผลิตจากโรงงาน OHIO ก็ถูกส่งกลับไป
ทำตลาดในญี่ปุ่น เป็นครั้งแรก อีกทั้งในเดือนกรกฎาคม 1991 ยังเริ่มติดตั้ง ถุงลมนิรภัย SRS ฝั่ง
คนขับ มาให้เป็นครั้งแรกอีกด้วย จากนั้น ในช่วงปี 1992 ยังมีการเพิ่มรุ่นพิเศษ เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร
ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง ในญี่ปุ่น Accord รุ่นที่ 4 ถือเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา
ถึง 3 ปีซ้อนนับจากปี 1989

รุ่นนี้ ถูกเปิดตัวในเมืองไทย เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 1990 และได้รับความนิยมอย่างมาก ถูกเรียกว่า
รุ่น ตราเพชร เพราะมีไฟหน้าที่่ดูเป็นประกายแวววาวดุจเพชร ปรับโฉม Minorchange ตามตลาด
ญี่ปุ่น เมื่อเดือน มีนาคม 1992 และผลิตขายในบ้านเราจนถึง ปลายปี 1993

5th Generation (กันยายน 1993 – สิงหาคม 1997) 
เปิดตัวขึ้น ในช่วงที่ Accord ทำตลาดแล้วกว่า 130 ประเทศทั่วโลก และมียอดผลิตสะสมกว่า 7.2 ล้านคัน
เป็นการนำเอาแนวความคิด Comfort and Harmony มาพัฒนารถยนต์ ให้มีเทคโนโลยีล้ำหน้าและเพิ่ม
ความปลอดภัยเทียบเท่ากับรถซีดานในระดับที่สูงกว่า ติดตั้งเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.2 ลิตร VTEC (Variable
Valve Timing & Lift Electronic Control System) ที่มีกลไกระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการปรับเปลี่ยน
ระยะเวลาการเปิด-ปิดและระยะยกตัวของวาล์ว อีกทั้งตัวถังรถแบบ Monocoque ยังถูกปรับปรุงให้มี
ความปลอดภัยสูงสุด Omni-Directional Safety

ตัวถัง Coupe และ Wagon ผลิตเฉพาะโรงงานใน Ohio ถูกส่งไปทำตลาดญี่ปุ่น ในเดือนกุมภาพันธ์ 1994
และมีการปรับโฉม เปลี่ยนไฟท้ายใหม่ ตามมาในปี 1994 ทำตลาดจนถึง ปลายปี 1997

นอกจากนี้ Accord รุ่นที่ 5 ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นรถยนต์ญี่ปุ่นยอดเยี่ยมแห่งปี 1993-1994 และยัง
ได้รับรางวัลจากต่างประเทศอีกมากมาย มีด้วยกัน 3 ตัวถังคือ คูเป้ แวกอน และซีดาน

รุ่นที่ 5 ของ Accord เปิดตัวในบ้านเรา ด้วยโฉมเดียวกับตลาดโลก ในเดือน พฤศจิกายน 1993 ณ งาน
มหกรรมยานยนต์ 1994 โดยมีรุ่นเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร VTEC นำเข้าจากญี่ปุ่น พร้อมซันรูฟไฟฟ้า
มาให้ฮือฮากันเล่นๆ เรียกในยุคนั้นว่าเป็นรุ่นไฟท้ายก้อนเดียว ก่อนจะปรับโฉมเป็นรุ่นไฟท้าย
2 ก้อน ในปี 1995 ช่วงปลายปี และยกเลิกการนำเข้ารุ่น 2.2 VTEC เพื่อมาประกอบในประเทศแทน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 1990 Honda เริ่มมีแนวคิด จะพัฒนารถยนต์นั่ง ให้ตรงกับความต้องการ
ของลูกค้าในแต่ละทวีปที่แตกต่างกันออกไป พวกเขาจึงพัฒนา Accord ตัวถัง 4 ประตู Saloon
สำหรับตลาดยุโรปโดยเฉพาะ บนพื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรม ร่วมกับ Rover 600 รถยนต์ที่
Honda เอง ก็ไปช่วย Rover Group พันธมิตรชาวอังกฤษ สร้างไว้  1 ใน 2 รุ่น โดยเปิดตัวใน
ญี่ปุ่นด้วยชื่อ Honda ASCOT INNOVA ขายควบคู่กันไป ส่วนเวอร์ชันยุโรป เปิดตัวในช่วง
ปี 1993 ไล่เลี่ยกับเวอร์ชันตลาดโลก แต่มียอดขายแค่ระดับ พอไปได้

6th Generation (กันยายน1997 – สิงหาคม 2002)
รุ่นที่ 6 ถือเป็นรุ่นที่มีการเปลี่ยนแนวคิดการทำตลาดใหม่ทั้งหมด โดย Honda ได้พัฒนา Accord
ให้มีตัวถังแตกต่างกันตามรสนิยมของแต่ละภูมิภาค ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

1. เวอร์ชันอเมริกาเหนือ / กลุ่มเอเชีย โอเชียเนีย (กลุ่มประเทศทวีปออสเตรเลีย)
2. เวอร์ชันยุโรป รวมถึงแอฟริกาและตะวันออกกลาง
3. เวอร์ชันญี่ปุ่น

ในแต่ละกลุ่มมีความต่างกันที่รายละเอียดและขนาดตัวรถ เช่น ในกลุ่มอเมริกาเหนือ จะใช้ตัวถัง
Wide body ที่มีขนาดความกว้าง 1,785 มิลลิเมตร ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นจะใช้ตัวถังพิเศษแยกไป
ต่างหาก ลดความกว้างเหลือเพียง 1,695 มิลลิเมตร เพื่อไม่ให้เกินข้อกำหนดในการเก็บอัตราภาษี
ของรัฐบาลญี่ปุ่น แต่ทั้ง 4 กลุ่มที่แตกต่างในด้านตัวถังนั้น จะใช้เครื่องยนต์ร่วมกัน หรือคล้ายกัน

เวอร์ชันญี่ปุ่น เปิดตัว เกือนกันยายน 1997 มีด้วยกัน 2 ตัวถัง คือซีดาน ขุมพลัง SOHC VTEC
รหัส F18B ขนาด 1.8 ลิตร 140 แรงม้า (PS และ F20B ขนาด 2.0 ลิตร 140-150 แรงม้า (PS) และ
F20B DOHC VTEC เช่นเดียวกันแต่เค้นได้ถึง 180 – 200 แรงม้า (PS) และ Accord Wagon
5 ประตู วางเครื่องยนต์ F23A 4 สูบ SOHC 2.3 ลิตร VTEC 160 แรงม้า (PS) เป็นหลัก

เวอร์ชันอเมริกาเหนือ เปิดตัวกลางปี 1997 โดยมีตัวถัง Sedan และ Coupe 4 ที่นั่ง เป็นตัวหลัก
วางเครื่องยนต์ 3 ขนาด ทั้งรหัส F23 ขนาด 2.3 ลิตร 135 แรงม้า (PS) รหัส F23A SOHC VTEC
ขนาด 2.3 ลิตร 150 แรงม้า (PS) และ รหัส C30A V6 สูบ 24 วาล์ว ขนาด 3.0 ลิตร 200 แรงม้า (PS)

เวอร์ชันไทย เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 1998 ใช้ตัวถังเดียวกับเวอร์ชันอเมริกาเหนือ วางขุมพลัง
ทั้งแบบ F23A5 ขนาด 2.3 ลิตร 140 แรงม้า (PS) แถมมีการพัฒนาต่อยอดออกมาอีก 1 แบบ คือ
F23A1 SOHC VTEC 150 แรงม้า (PS) และ เครื่องยนต์ V6 SOHC 3.0 ลิตร VTEC 200 แรงม้า (PS)
โดยเป็นที่รู้จักกันดีในนาม “โฉมงูเห่า” นั่นเอง

7th Generation (สิงหาคม 2002 – กันยายน 2007)
รุ่นนี้ยังคงมีการแบ่งรูปแบบของตัวถังเป็นภูมิภาคต่างๆ แต่ลดเหลือเพียงแค่ 2 เวอร์ชันหลักคือ
1. US / Asia / Ocenia & Australia Version
2. Japanese & European Version

เหตุที่มีการยุบรวมเวอร์ชันญี่ปุ่นและยุโรปเข้าไว้ด้วยกัน เพราะว่า การแยกตัวถังสำหรับตลาด
ญี่ปุ่นโดยเฉพาะ กลายเป็นเรื่องไม่จำเป็น เมื่อเทียบกับยอดขายที่มีไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม
เวอร์ชันญี่ปุ่น จะยังมีรุ่นแรงพิเศษ Accord Euro R วางขุมพลัง K20A เวอร์ชัน 200 แรงม้า
(PS) มาให้เลือกเป็นพิเศษ

ส่วนเวอร์ชันอเมริกาเหนือ และตลาดโลก ออกแบบภายใต้แนวคิด Elegance & Sport โดย
ผสานเอาความปราดเปรียวของเสือชีต้า มาช่วยเพิ่มความดุดัน จนดูมีเส้นสายคล้ายคลึงกับ
รถสปอร์ต Roadster เปิดประทุน Honda S2000 อยู่ไม่น้อย โครงสร้างเป็นแบบโมโนค็อก
และมีการใช้กระบวนการผลิตแบบ Multi-Laser Blanking รวมถึงกรรมวิธีนำแผ่นเหล็กมา
ม้วนตัวสำหรับผลิตกรอบประตู ทำให้บานประตูแข็งแกร่งกว่ารุ่นที่แล้วถึง 25 เปอร์เซ็นต์
และลดน้ำหนักลงอีก 5 เปอร์เซ็นต์ และถือเป็น Accord รุ่นแรกที่มีการนำเทคโนโลยีระบบ
แปรผันวาล์ว i-VTEC เข้ามาใช้กับ Accord

เวอร์ชันไทย เปิดตัวในช่วง ไตรมาสแรก ปี 2003 ใช้ตัวถังเวอร์ชันอเมริกาเหนือ ช่วงแรก มี
ขุมพลังให้เลือก 2 บล็อก รหัส K24A 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.4 ลิตร i-VTEC 160 แรงม้า
(PS) และเครื่องยนต์ J30A V6 SOHC 3.0 ลิตร VTEC 200 แรงม้า (PS) ก่อนจะเพิ่มขุมพลัง
รุ่นเล็ก K20A7 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร i-VTEC 150 แรงม้า (PS) ยกมาจาก CR-V
ในช่วงปี 2004 จากนั้น มีการปรับโฉม Minorchange เปลี่ยนฟท้ายเป็นแบบ สามเหลี่ยม
ในปี 2006 ยกระดับขุมพลัง K24A ให้แรงขึ้น เป็น 170 แรงม้า (PS) ขายจนถึงเดือน
พฤศจิกายน 2007

8th Generation (กันยายน 2007 –  สิงหาคม 2012)
รุ่นที่ 8 ถือเป็นรุ่นสุดท้าย ที่จะมีการแยกตัวถังออกเป็น 2 เวอร์ชัน คือ เวอร์ชันญี่ปุ่น – ยุโรป
และเวอร์ชัน อเมริกาเหนือ / ตลาดโลก ถือเป็นรุ่นที่มีการยกระดับให้มีตัวถังใหญ่โตขึ้นใน
ทุกสัดส่วน และเวอร์ชันอเมริกาเหนือ จะเป็นเวอร์ชันเดียวที่มีตัวถัง Coupe ทำตลาด ขณะที่
เวอร์ชันญี่ปุ่น – ยุโรป ก็จะมีตัวถัง Wagon 5 ประตู ทำตลาดเป็นพิเศษ เช่นกัน

เวอร์ชันไทย เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2007 เป็นรุ่นแรกที่มีการติดตั้งระบบนำทางผ่าน
ดาวเทียม GPS Navigation System และ ถุงลมนิรภัย 4 จุด มีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 ขนาด
ตลอดอายุตลาด คือ K20A 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร i-VTEC 150 แรงม้า (PS)
K24A 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.4 ลิตร i-VTEC แรงขึ้นเป็น 180 แรงม้า (PS) และ J35A
V6 SOHC 3.5 ลิตร VTEC 275 แรงม้า (PS) เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ

———————————–

กว่า 37 ปี นับจากการเปิดตัวครั้งแรกในปี 1976 จนถึงสิ้นปี 2012 ที่ผ่านมา Honda ได้สร้าง
สถิติตัวเลขยอดผลิต และยอดขายของ Accord ทั่วโลก ไว้สูงถึง 19.14 ล้านคัน! และกวาด
รางวัลสำคัญระดับโลกมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน ถ้าจะให้พูดกันตรงนี้่ ก็คือ Accord เป็น
1 ใน 4 รถยนต์นั่งที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดของ Honda ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ของตลาดรถยนต์นั่งขนาดกลาง D-Segment
จากทั้งคู่แข่งดั้งเดิมอย่าง Toyota Camry และ Nissan ที่ปรับทัพ นำรุ่น Teana กับ Altima
มารวมเข้าด้วยกัน หรือแม้กระทั่งการท้าทายของ Hyundai Sonata ใหม่ ในสหรัฐอเมริกา
หรือปัญหาเศรษฐกิจยุโรป ที่ย่ำแย่ ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้ Honda ต้องพิจารณา
อย่างถ้วนถี่ในการรักษาตำแหน่ง 1 ในกลุ่มผู้นำของตลาดกลุ่มนี้ไว้ให้ได้

เมื่อย้อนกลับมามองดู Accord G8 เอง แม้จะมีข้อดีในเรื่องของขนาดตัวถังที่ใหญ่ มีพื้นที่
ภายในห้องโดยสารโอ่โถง การบังคับขับขี่ ที่มั่นใจได้ และพละกำลังเครื่องยนต์ ซึ่งอยู่ใน
เกณฑ์ที่ลูกค้ายอมรับได้ ก็ยังมีประเด็นให้ต้องปรับปรุงกันต่อเนื่อง เพื่อให้ Accord รุ่น
ต่อไป ยิ่งสมบูรณ์แบบเหนือชั้นขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็น ปริมาณสวิชต์ บนแผงหน้าปัดที่
เยอะเกินไป ขนาดของตัวรถที่ยาวเกินจำเป็น จนถึงการยกระดับเทคโนโลยีด้านต่างๆ ให้
สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนไปของลูกค้าทั่วโลก

Junji Sugimoto : หัวหน้าทีมวิศวกร LPL (Large Project Leader) ของ Accord ใหม่ จาก
Honda R&D Center , Tochigi Japan ทำงานร่วมกับ Toshiyuki Okumoto (Automobile
R&D Center) , Hiroki Shigehara (Automobile R&D Center) , Satoshi Uchida (HONDA
R&D AMERICAS, INC.) และ Mie Kobayashi (HONDA R&D AMERICAS, INC.)
ได้สรุปภาพรวม การพัฒนา Acoord ใหม่ G9 เอาไว้ว่า  

จุดเริ่มต้นของการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ เริ่มต้นจากการสำรวจถึงความชอบและความต้องการ
ของลูกค้า ชาวอเมริกัน ซึ่งเหตุผลหลักก็เพราะว่า ลูกค้าที่อุดหนุน Accord เยอะที่สุดในรอบ
หลายสิบปีที่ผ่านมา คือชาวอเมริกัน ดังนั้น ทุกครั้งที่จะเริ่มพัฒนา Accord ใหม่ ผู้บริโภคชาว
อเมริกัน จึงกลายเป็นเสียงเรียกร้องหลักที่ไม่อาจมองข้ามความสำคัญไปได้

ถึงแม้ว่าคราวนี้ ภาพรวมของการสำรวจยังคงออกมาว่า ต้องการให้ออกมาในรูปแบบของ
“รถซีดานขนาดกลางสำหรับครอบครัว” (Midsize Family Sedan) เหมือนเช่นเคยก็จริงอยู่

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ผลสำรวจที่ได้ในคราวนี้ กลับตรงข้ามกับผลสำรวจครั้งก่อนๆที่ว่า รถยนต์
ซีดานขนาดกลางเป็นรถที่ใช้สำหรับการเดินทางทั่วไป หรือแค่จากบ้านไปที่ทำงาน ทำธุระต่างๆ
แต่ในปัจจุบันกลุ่มของลูกค้ามีการใช้งานที่เปลี่ยนไป จากที่ชาวอเมริกันเคยใช้ Minivans เพื่อ
การพักผ่อน หรือท่องเที่ยวในวันหยุดกับครอบครัว ก็ถูกแทนที่การใช้งานด้วย ซีดานขนาดกลาง
(Midsize sedan) มากขึ้น

เหตุผลหลักๆที่สำคัญนั่นก็คือ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีราคาสูงขึ้น และการถูกปลูกฝังให้คำนึงถึง
สิ่งแวดล้อม การประหยัดการใช้พลังงาน มากยิ่งขึ้น ลูกค้าชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อย เริ่มมองว่า
รถยนต์ Minivans ชักจะมีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น

นั่นหมายความว่า แนวโน้มความต้องการของลูกค้าชาวอเมริกัน ที่กำลังมองหารถยนต์สำหรับ
ครอบครัวจึงเริ่มเปลี่ยนไป พวกเขาต้องการรถขนาดเล็กลง ประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น การขับขี่
ที่กระชับ และคุณภาพของห้องโดยสารที่ดี

ดังนั้นทีมออกแบบของ Honda จึงตั้งเป้าหมายของแนวคิดภาพรวมสำหรับ Accord 9th Generation
ไว้ว่า “Excels in All areas” หรือ ความสมบูรณ์แบบในทุกๆพื้นที่ ซึ่งจะสร้างความพึงพอใจให้ทุกคน
อย่างสูงสุด พยายามสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าด้วยความหรูหราและให้อุปกรณ์อำนวยความสะดวก
ประเภทต่างๆ มากเกินกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง ภายใต้ราคาที่พวกเขาจ่ายได้ อย่างเหมาะสม ทีมออกแบบ
ตั้งเป้าหมายไว้ว่า Accord จะเป็นรถที่คุ้มค่าและทำให้เป็น มาตรฐานใหม่ของรถยนต์ครอบครัว ที่จะ
ได้รับความนิยมไปทั่วโลกในอนาคต

งานออกแบบของ Accord ใหม่ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้ แนวคิดสำคัญ 3 ประการ นั่นคือ
Exhilaration ความมีชีวิตชีวา : ออกแบบรถ ให้สะดวกสบาย สร้างความรื่นรมย์ในการใช้งานทุกๆวัน
Advancement ความล้ำหน้า : พัฒนาให้เทคโนโลยีและฟังก์ชันต่างๆในตัวรถ ง่ายต่อการใช้งาน
Superior Craftmanship ความประณีตที่เหนือชั้น : ใส่ใจแม้รายละเอียดเล็กๆน้อยๆในทุกงานออกแบบ

อย่างไรก็ตาม Accord รุ่นที่ 9 นี้ จะถือเป็นรุ่นที่มีการพลิกกลับทางนโยบาย ที่สำคัญมากๆ
เพราะคราวนี้ จะถือเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ที่ Honda ตัดสินใจ สร้าง Accord เพียงแค่
ตัวถังเดียว ขายได้ทั่วโลก หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ “ยุบรวมทุกเวอร์ชันของ Accord ให้มา
ใช้ตัวถังหลัก Sedan 4 ประตู ร่วมกัน เพียงตัวถังเดียว ไม่ต้องมาแยกตัวถัง แยกตลาดกัน
ให้วุ่นวายเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป

เหตุผลง่ายๆ ก็คือ ตลาดรถยนต์นั่งขนาดกลางในญี่ปุ่น และยุโรป มียอดขายลดลงมาก จน
เริ่มไม่คุ้มสำหรับจะสร้าง รถยนต์ขนาดกลาง เพื่อตลาดญี่ปุ่น และยุโรป โดยเฉพาะ เหมือน
ในอดีตแต่กาลก่อนอีกต่อไปนั่นเอง!

หลังจากใช้เวลาในการพัฒนาตั้งแต่ปี 2009 ในที่สุด ภาพถ่ายอย่างเป็นทางการของ Accord 9th
Generation ก็ถูกเผยแพร่ทาง Internet ครั้งแรก พร้อมกับการเปิดตัว อย่างเป็นทางการ ในตลาด
อเมริกาเหนือ เป็นแห่งแรกในโลก เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2013 คราวนี้ พวกเขาเปิดตัว Accord ใหม่
ครบทั้งรุ่น Sedan แบบมาตรฐาน Sedan แบบ Sport รวมทั้ง Sedan แบบ PHEV (Plug-in
Hybrid) หรือเชื่อมต่อกับปลั๊กไฟบ้าน เพื่อเสียบชาร์จไฟได้ และรุ่น Coupe 2 ประตู ที่ยังคงขายดี
ในตลาดอเมริกาเหนือ

เวอร์ชัน อเมริกาเหนือ จะใช้เครื่องยนต์ K24W 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.4 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี
Earth Dreams Direct Injection 185 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 245 นิวตันเมตร (24.96
กก.-ม.) จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ CVT รวมทั้ง เครื่องยนต์ J35Y V6 สูบ
SOHC 24 วาล์ว 3.5 ลิตร i-VTEC  278 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 342 นิวตันเมตร (34.84
กก.-ม.) จับคู่กับ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

และในเร็วๆนี้ จะมี รุ่น Hybrid เครื่องยนต์ R20A3 บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร i-VTEC
137 แรงม้า (PS) + มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ Atkinson Cycle Lithium-ion 166 แรงม้า (PS) เมื่อทำงาน
ร่วมกันจะให้กำลังรวมสูงสุด 196 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 306 นิวตันเมตร (31.18 กก.-ม.) จับคู่กับ
เกียร์อัตโนมัติ CVT

สำหรับตลาดเมืองไทยนั้น ถือเป็นประเทศที่ 2 ในโลก ที่มีการเปิดตัว Accord รุ่นที่ 9 แต่ก่อนการ
มาถึงของ Accord รุ่นนี้ ก็มีกระแสความสนใจจากผู้บริโภคในสังคม Social Network เยอะกว่าที่
คาดคิด โดยเฉพาะในช่วงก่อนวันเปิดตัวราวๆ 2 สัปดาห์ และส่วนใหญ่ คาหวังจะเห็นเทคโนโลยี
เครื่องยนต์ Earth Dream พร้อมระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิง ตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ Direct Injection
แบบเวอร์ชัน อเมริกาเหนือ ในรุ่นที่จะขายในบ้านเรา

ทันทีที่ Accord ใหม่ เปิดตัวเมื่อบ่ายวันที่ 11 มีนาคม 2013 ปฏิกิริยาของผ้บริโภคส่วนใหญ่ ถึงแม้
จะเสียดายว่า ไม่มีเครืองยนต์ Earth Dream Di มาวางขายในเมืองไทย แต่ส่วนใหญ่ต่างก็ฮือฮา
กับการกระหน่ำอัดออพชันมาให้เต็มแม็ก ตั้งแต่รุ่นพื้นฐาน 2.0 EL ธรรมดา จนดูคุ้มค่าน่าซื้อหา
กว่าคู่แข่งในระดับ 2.0 ลิตร ด้วยกัน ทุกรุ่นในตลาด จนทำให้ยอดขายในเดือนพฤษภาคม 2013
ที่ผ่านมา Accord ขายดีแซงหน้า Toyota Camry และ Nissan Teana ขี้นไปยืนเป็นเบอร์ 1 ใน
กลุ่มตลาด D-Segment ของเมืองไทยได้สำเร็จ!

เมื่อมองจากภายนอกแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ซึ่งทกคนจะเห็นเป็นอันดับแรกคือ ขนาดตัวรถ
ดูสั้นลงจนเห็นได้ชัด ถ้าจอดเทียบกับรุ่นเดิม ในระยะประชิด เหตุผลก็คือ เนื่องจากทีมวิศวกรมองว่า
รถรุ่นก่อนหน้านี้ มีขนาดตัวถังยาว และใหญ่โตเกินความจำเป็น จนส่งผลต่อการบังคับควบคุมรถที่
ขาดความคล่องแคล่ว ไปสักหน่อย

ทำให้พวกเขาจึงเลือกจะหั่นความยาวตัวถังของ Accord ใหม่ ให้สั้นลงกว่ารุ่นเดิม เพื่อเพิ่มบุคลิก
ของรถให้ทะมัดทะแมงมากขึ้น ด้วยวิธี ลดระยะห่างจากจุดศูนย์กลางล้อหน้าไปจนถึงปลายกันชน
หน้า (Front Overhang) และระยะห่างจาก จุดศูนย์กลางล้อหลัง ถึงปลายกันชนหลัง (Rear 
OverHang) ช่วยลดความยาวลงได้มากถึงราวๆ 90 มิลลิเมตร จนความยาวตัวรถทั้งคันเหลือ 
แค่ 4,860 มิลลิเมตร

ส่วนความกว้างเพิ่มขึ้น 5 มิลลิเมตร มาอยู่ที่ 1,850 มิลลิเมตร (แต่ความกว้างจากแผงประตูด้านข้าง
ภายในห้องโดยสาร ฝั่งซ้าย – ขวา จะอยู่ในระดับพอกันกับรุ่นเดิม) ความสูงถูกลดลงมาอีกราวๆ
10 มิลลิเมตร เหลือ 1,455 มิลลิเมตร ขณะเดียวกัน ระยะฐานล้อ ก็จะสั้นลงอีก 25 มิลลิเมตร เหลือ
2,775 มิลลิเมตร

ถือว่าเป็นครั้งแรกในการพัฒนา Accord ใหม่ ที่ทีมวิศวกรตั้งใจทำรถออกมาให้เล็กลงกว่ารุ่นเดิม
แต่ยังคงรักษาขนาดห้องโดยสารให้ยาวขึ้น เพิ่มพื้นที่วางขา ยาวขึ้นอีก 15 มิลลิเมตร อันมาจาก
การถอยร่นเบาะหลังไปทางด้านหลังรถอีก 15 มิลลิเมตร อีกทั้งช่วยเพิ่มระยะวางขา 35 มิลลิเมตร
แต่มีพื้นที่ห้องเก็บของ เท่าเดิม ได้อีกด้วย

บอกแล้วครับ Honda เขาเป็นเทพในการจัดการด้านพื้นที่ห้องโดยสาร! ฉายแววมาตั้งแต่สมัยทำ
Civic CVCC รุ่นแรก ปี 1972 และ Fit/Jazz รุ่นแรก ปี 2001 มาแล้วเถอะ!

ไม่เพียงเท่านั้น ทีมวิศวกรยังได้ปรับปรุงด้านอากาศพลศาสตร์ (Aero Dynamics) ของตัวถังด้านนอก
ส่วนหนึ่งของการปรับปรุง อยู่ที่ การควบคุมให้อากาศไหลผ่านตัวถังด้านข้างได้อย่างสะดวก และลู่ลม
มากยิ่งขึ้น โดยขยับตำแหน่งเสาหลังคาคู่กลาง B – Pillar ให้โค้งออกเล็กน้อย ขณะเดียวกัน เสาหลังคา
คู่หน้า A-Pillar  และ เสาหลังคาคู่หลังสุด C-Pillar ถูกขยับให้มีรูปทรงลู่ลง  ถ้ามองจากด้านบน จะดูแล้ว
คล้ายกับลักษณะของถังไม้ บ่มไวน์ โดยลดค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทานลง จาก Cd. 0.31 เหลือ Cd 0.30
เพื่อช่วยให้อัตราสิ้นเปลืองที่ดีขึ้นในทางอ้อม

งานออกแบบตัวถังภายนอกจะแสดงให้รู้สึกถึงความกว้างขวาง ความมั่นคง แต่ใช้เส้นสายเรียบง่าย เพื่อ
ช่วยเน้นให้ตัวรถดูหรูหรา มั่นคง ภูมิฐาน ผมยอมรับว่า การยืนมองรถคันจริงครั้งแรก เมื่อครั้งไปลองขับ
Accord ใหม่ ที่สนาม Twin Ring Motegi ของญี่ปุ่น เดือนมีนาคม 2013 เล่นเอาผมถึงกับสงสัยว่า
ตกลงแล้ว Honda เอา Hyundai Genesis มาแปะตรา Accord หรือเปล่าเนี่ย? เพราะถ้าดูจากรูป 
โดยเฉพาะส่วนบั้นท้ายแล้ว มันช่างเหมือนกันราวกับ แลกพิมพ์เขียวกันมาเลย!

กระนั้น ผมมีความเห็นส่วนตัวว่า เส้นสายในภาพรวมของ Accord รุ่นนี้ สวยจบ ครบ ลงตัว
แบบไม่ต้องแก้ไข แต่ในทางตรงกันข้าม เส้นสายของรุ่นใหม่ กลับไม่ค่อยมีความโดดเด่น
เป็นเอกลักษณ์ ให้น่าจดจำมากนัก

รุ่นที่เรานำมาทดลองขับกัน เป็นรุ่น 2.4 TECH ตัวท็อป สีทอง และ2.0 EL Navi สีขาวมุก ซึ่งมี
การตกแต่งที่แตกต่างกันอยู่เพียงเล็กน้อย หากมองเปรียบเทียบกันจากภายนอก

ชุดไฟหน้าในรุ่น 2.4 ลิตร ทุกคันจะเป็น แบบ LED ส่วนรุ่น 2.0 ลิตร จะเป็นหลอดไฟแบบ
Projector ทุกรุ่นมีไฟหน้าส่องสว่างสำหรับการขับขี่ตอนกลางวัน Daytime Running Light
เป็นหลอด LED เรียงกันเป็นแถว อยู่ใต้ชุดโคมไฟหน้า ถ้าขับมาตอนกลางวัน หลายคน
เผลอเข้าใจผิดไปแล้วว่า Accord ใหม่ เป็น Lexus GS รุ่นล่าสุด!!

ในรุ่น 2.4 ลิตร ทุกคัน ติดตั้งไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว Active Cornering Lights
(ACL) เพิ่มการมองเห็นในมุมเมื่อหักเลี้ยว ถ้าตำแหน่งสวิชต์ติดเครื่องยนต์ อยู่ในตำแหน่ง ON
และเปิดไฟหน้าอยู่ กรณีที่ใช้ความเร็วต่ำกว่า 35 กิโลเมตรชั่วโมง ไฟส่องสว่างขณะเลี้ยว ACL
จะสว่างขึ้นเมื่อเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว หรือหักพวงมาลัย ไม่ว่าจะเข้าเกียร์ D หรือเลื่อนเปลี่ยน
เกียร์ที่ตำแหน่งถอยหลัง R ก็ตาม

นอกจากนี้ ทุกรุ่นยังติดตั้ง ระบบเปิด – ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ (ไฟหน้า Auto) รวมทั้ง กรอบ
กระจกมองข้างแบบมีไฟเลี้ยวในตัว และระบบใบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ พร้อม Rain-Sensor
สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ ขณะเหยียบเบรกกระทันหัน ESS แบบรถยุโรปชั้นดีรุ่นใหม่ๆ
ส่วนไฟเบรกดวงที่ 3 ในกระจกบังลมหลัง เป็นแบบ LED

ล้ออัลลอย ของรุ่น 2.4 TECH จะมีขนาดใหญ่โตกว่าเพื่อน คือ เป็นล้อขนาด 18″ x 8J
พร้อมยาง Michelin Premacy Sport PS3 ขนาด 235/45 R18 ที่เหลือ จะเป็นล้ออัลลอย
ขนาด 17″ x 7J สวมด้วยบาง Michelin Premacy Sport ขนาด 225/50 R17  แต่ลายล้อ
ของรุ่น 2.0 ลิตร จะเป็นแบบ 10 ก้านธรรมดา ส่วนรุ่น 2.4 ลิตร ทั้งขนาด 17 และ 18 นิ้ว
จะเป็นลาย 10 ก้าน แบบ หยดน้ำหัวเพชร

Accord ใหม่ เวอร์ชันไทย ทุกรุ่น ใช้กุญแจ Remote Control แบบ Keyless Smart Entry
พร้อมสวิชต์ติดเครื่องยนต์แบบกดปุ่ม สีแดง เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาเสียที เพียงแค่พกรีโมท
กุญแจไว้กับตัว ก็สามารถดึงมือเปิดประตูคู่หน้าบานใดบานหนึ่ง เพื่อเข้าไปนั่งในรถได้ทันที เหมือน
เช่นแบบเดียวกันกับใน BMW และ Volvo หลายๆรุ่น หรือถ้าถือข้าวของ ถุงช้อปปิง มาเยอะไป
คุณก็สามารถเปิดฝากระโปรงท้ายได้ด้วยการกดปุ่มที่ติดตั้งอยู่ตรงบริเวณเหนือกรอบป้ายทะเบียน
ด้านหลัง ถ้าต้องการล็อกประตู ก็แค่กดปุ่มที่ติดตั้งอยู่บนมือเปิดประตู คู่หน้า ทั้ง 2 ฝั่ง ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง
หรือกดปุ่ม Lock บนรีโมท แต่ถ้าหากมีกุญแจอยู่ในห้องโดยสาร หรือว่าอยูในฝากระโปรงท้าย
ระบบจะล็อกได้! ตรงนี้ต้องระวังนิดนึงนะครับ!

หน้าตากุญแจ…ฝั่งที่มีโลโก้ Honda ดูดีมากๆเลย แต่พอหันมาดู ฝั่งปุ่มกด…ขอโทษเหอะ
หน้าตานี่ รีโมทกุญแจกันขโมยแถวคลองถม ม๊ากกกกกกกกกกกกกกก!

การเข้า – ออกจากห้องโดยสาร ด้านหน้า ถือว่า ทำได้เสมอตัว คือไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้
ถึงขั้นดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม แต่อย่างใด โอกาสที่หัวของคุณจะโขกกับแนวขอบเสาหลังคา
คู่หน้า ยังมีอยู่บ้าง ถ้าไม่ได้ปรับเบาะนั่งลงไปในตำแหน่งเตี้ยสุด

ภายในห้องโดยสาร จะใช้โทนสีที่ต่างกัน 2 สี ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะเลือกสีตัวถังภายนอก
เป็นสีอะไร

ถ้าหากเลือกสีเทา Modern Steel Metallic NH-797M (สีโปรโมทในงานโฆษณา) สีทองมุก
Champagne Frost Pearl YR-591P และสีดำมุก Crystal Black Pearl NH-731P ภายในรถ
จะตกแต่งเป็นสีเบจ โทนสว่าง แต่ถ้าเลือกสีขาวมุก White Orchid Pearl (NH-788P) และ
สีเงิน Alabaster Metallic NH-700M ภายในห้องโดยสาร จะเป็นสีดำ

แผงประตูด้านข้าง ออกแบบด้วยเส้นสายตัดกันอย่างเรียบง่าย แต่พื้นที่วางแขน จะตกแต่ง
ด้วยลายไม้

บรรยากาศภายใน มันนุ่มนวล ชวนสัมผัส มากยิ่งขึ้นกว่ารุ่นเดิม ชัดเจน

เบาะนั่ง ทุกตำแหน่ง ได้รับการออกแบบขึ้นใหม่ โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างภายในใหม่
ให้กว้าง และใหญ่ขึ้น รวมทั้งยังออกแบบพนักพิงหลัง ให้มีส่วนหนุนแผ่นหลังใหม่ เบาะ
ทั้งคู่หน้าและหลัง หุ้มด้วยหนัง เป็นฝีมือจาก ซัพพลายเออร์เจ้าประจำอย่าง SAB (Summit
Auto Body ย่านบางนา-ตราด : พอดี เห็นสติ๊กเกอร์ เลยจำได้ เพราะถ้าเป็นเบาที่ต้องหุ้มหนัง
Honda มักใช้ซัพพลายเออร์รายนี้เป็นประจำ)

เบาะนั่งคู่หน้า ทั้งรุ่น 2.4 TECH และ 2.0 EL Navi ปรับได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ทั้ง 2 ฝั่ง!
เบาะฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย ปรับได้ 4 ทิศทาง ส่วนเบาะคนขับ ปรับได้มากถึง 8 ทิศทาง
รวมทั้งยังสามารถปรับตำแหน่งดันหลังเพิ่มขึ้นได้อีกนิดหน่อย

กระนั้นตำแหน่งต่ำสุดของเบาะคนขับใน Accord G9 ใหม่ ก็ยังสูงกว่า ตำแหน่งต่ำสุด
ของเบาะคนขับ Toyota Camry รุ่นปัจจุบัน เล็กน้อย ไม่กี่มิลลิเมตร แต่ถ้าลุกเข้า – ออก
สลับกันทันที คุณก็จะเห็นความแตกต่างดังกล่าวนี้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ตลับเมตร
มาวัดหาตัวเลขด้วยซ้ำ

พื้นผิวสัมผัสของหนัง นุ่ม ลื่น ลดความหยาบกระด้างจากเบาะของรุ่นเดิมลงไปชัดเจน
แถมฟองน้ำที่ซ่อนรูปอยู่ใต้พื้นผิวชั้นนอก ก็ยังนุ่มสบายขึ้น ไม่ได้แข็งมากแบบรุ่นเดิม
ช่วยให้พนักพิงหลัง นั่งสบายขึ้น ในช่วงแรกๆที่ขึ้นขับขี่ ปีกข้างของเบาะ ยังคงรองรับ
สรีระช่วงท่อนแขน และบั้นเอวในระดับใช้ได้ การซัพพอร์ตหัวไหล่ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี

เบาะรองนั่ง มีขนาดยาวกำลังดี ไม่สั้นจนเกินไป เพียงแต่มีลักษณะแบน ถ้าเปรียบกับ
Pizza ก็จะเหมือนแบบ แป้งบางนุ่ม ไม่ถึงกับบางกรอบ แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบแป้งหนานุ่ม
นั่งขับสัก 1 ชั่วโมงกว่าๆ พอได้ แต่ถ้านั่งนานกว่านั้น อาจต้องขยับตัวกันบ้างเป็นปกติ

พนักศีรษะ มีขนาดเล็กลง ถูกออกแบบเพื่อลดการบาดเจ็บของกระดูกต้นตอ หากเกิดการ
ชนจากด้านหลัง รวมทั้งยังช่วยให้ผู้โดยสารด้านหลัง มองเห็นวิวด้านหน้าชัดเจนขึ้น แต่
การใช้งานจริง ก็แอบดันหัวของผมนิดๆ ถึงจะไม่เยอะเท่ากับ Nissan Sylphy / Pulsar
หรือ Hyundai Tucson แต่ในวันแรกที่รับรถมาขับด้วยนั้น ผมเมื่อยท้ายทอยมาก จนต้อง
ปรับพนักพิงเบาหลังช่วยอีกนิดนึง ถึงจะลงตัวพอดี แต่ที่ต้องชมเชยก็คือ เมื่อลองกดศีรษะ
ลงไป จะพบความนุ่มสบายของฟองน้ำ ที่ยุบตัวรองรับส่วนหัวได้กำลังดี ยิ่งมีพื้นผิวที่เป็น
วัสดุหนัง เกรดดีขึ้น มาหุ้มอย่างนี้ ยิ่งช่วยเพิ่มสัมผัสจากศีรษะให้สบายขึ้นคล้ายกับที่
คุณผู้อ่านจะพบได้จาก พนักศีรษะของทั้ง Mercedes-Benz E-Class W212 รุ่น
ปัจจุบัน และ Volvo S80 รุ่นล่าสุด

ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะ ยังคงโล่งสบาย พอกันกับ Accord รุ่นเดิม ไม่แตกต่างมากนัก

ไม่เพียงเท่านั้น “ทุกรุ่น“ยังมี สวิชต์ปรับตำแหน่งเบาะนั่งฝั่งซ้ายข้างคนขับ ติดตั้งมาให้
บริเวณด้านข้างฝั่งขวาของพนักพิงเบาะ เพื่อให้สะดวกสำหรับผู้ขับขี่ ช่วยปรับตำแหน่ง
เบาะนั่ง ให้ทั้งผู้โดยสาร หรือจะพับโน้มเบาะลงไปข้างหน้า เพื่อเพิ่มพื้นที่วางขาของ
ผู้โดยสารด้านหลังฝั่งซ้าย อันเป็นตำแหน่งสำหรับผู้บริหาร ให้มากขึ้นยิ่งกว่าเดิม

การเข้า – ออก จากประตูคู่หลัง ทำได้ดี พอกันกับรถรุ่นก่อนหน้านี้ แต่คนที่ตัวสูงมากๆ
อาจต้องก้มศีรษะลงไปเพิ่มมากขึ้นสักหน่อย ระวังศีรษะจะเฉี่ยวไปโดนขอบบนของ
ช่องทางเข้า – ออกได้

แผงประตูด้านข้าง ประดับลายไม้ บริเวณใกล้มือจับเปิดประตู  สลับกับหนังหุ้มเบาะ
พื้นที่วางแขนบนแผงประตูหลัง ถือว่ายังอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม พอจะยังวางข้อศอก
กันได้อยู่บ้าง ทุกรุ่นย่อย มีม่านที่กระจกหน้าต่างประตูคู่หลังแถมมาให้ แต่การใช้งานนั้น
อาจต้องระมัดระวังกันสักหน่อย โอกาสที่ม่านจะดีดกลับลงมาโดนมือของคุณจนบาดเจ็บ
มีสูงอยู่ เพราะการดึงม่านขึ้นไปเกี่ยวกับ ตะขอทั้ง 2 ตำแหน่ง บริเวณขอบประตูด้านบน
ทำได้อย่างยากลำบาก คุณอาจต้องเล็งให้ดีๆ พอๆกับนักแม่นปืนทีมชาติไทย เพื่อจะยก
ม่านไปเกี่ยวกับตะขอดังกล่าวได้

ครึ่งท่อนล่าง ของแผงประตูด้านข้าง มีช่องใส่ของเล็กๆน้อยๆ และช่องเขี่ยบุหรี่พร้อมฝาปิด
ซึ่งสามารถยกเอาขี้บุหรี่ออกมาเททิ้งข้างนอกรถได้  

ทุกรุ่นจะติดตั้ง ไฟส่องสว่าง ไว้ที่ชายล่างของแผงประตูทั้ง 4 บาน เพื่อให้ไฟติดสว่างขึ้นมา
ในกรณีที่ต้องจอดรถในที่มืดๆ หรือ กลัวว่าคนอื่นจะพุ่งเข้าชน โดยไม่สนใจประตูรถของคุณ

เบาะนั่งด้านหลัง ออกแบบขึ้นโดยอิงรูปลักษณ์จากเบาะรถรุ่นเดิมอยู่บ้าง แต่เพิ่มความ
นุ่มสบายของพนักพิงหลังมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม พนักศีรษะ ถึงจะนุ่ม แต่สัมผัสแรก แอบ
จะแข็งไปสักหน่อย เหมือนหมอนสามเหลี่ยม ที่คุณย่าทวดใช้พิงระหว่างตะบันหมาก
เลยนั่นแหละ!

เบาะรองนั่ง มีความยาว พอดีกันกับข้อพับหัวเข่าของผม (สูง 171 เซ็นติเมตร) และมี
ความนุ่มนวลกว่าเบาะของรุ่นเดิมชัดเจนขึ้น นั่งสบายขึ้น จากเดิมที่เบาะมีขนาดดีแล้ว
แต่แข็งเกินไป รุ่นใหม่ ปรับปรุงให้นั่งสบายขึ้น แถมยังมีพื้นที่วางขาใหญ่โตเอาเรื่อง

พนักวางแขนแบบพับเก็บได้ตรงกลาง พร้อมช่องวางแก้ว แบบมีฝาปิดทำจากลายไม้
อาจจะวางแก้ว หรือขวดน้ำขนาด 7 บาทได้ แต่การวางแขน ยังทำได้ไม่ดีนัก ตำแหน่ง
ของพนักวางแขน มัน”เตี้ย” ไปหน่อย  อีกทั้ง ในช่องเดียวกัน จะมีช่องพาสติกเปิด
ทะลุเข้าไปยังก้องเก็บสัมภาระด้านหลังได้ เผื่อใครจะอยากแบกไม้สกี หิ้วกลับบ้าน

แต่ถ้าต้องเปรียบเทียบความสบายในการโดยสารด้านหลังแล้ว ณ จุดนี้ ผมต้องบอกว่า
ถึง Honda จะปรับปรุงให้เบาะหลังของ Accord ใหม่ นุ่มและนั่งสบายขึ้น แต่มันก็ยัง
ไม่เท่ากับ เบาะของ Toyota Camry ใหม่ โดยเฉพาะรุ่น Hybrid ที่แอบสบายกว่า
ชัดเจน แถมยังมีเบาะหลังฝั่งซ้ายที่ปรับเอนด้วยสวิชต์ไฟฟ้าได้ แม้แต่เบาะหลังของ
ทั้ง Accord ใหม่ และ Nissan Teana เอง ก็อาจต้องแอบชะม้ายมองค้อนขวับ!

มองขึ้นไปบนเพดานหลังคา จะพบความแตกต่าง ของไฟอ่านหนังสือ ถ้าเป็นรุ่น
2.4 TECH มันจะถูกติดตั้งอยู่กึ่งกลางของเพดานหลังคาครึ่งคันหลัง แต่ถ้าเป็นรุ่น
.20 EL Navi จะมีไฟอ่านหนังสือ ติดตั้งที่บริเวณ มือจับยึดเหนี่ยวจิตใจ! (ศาสดา)
ทั้ง 2 ฝั่ง มาให้ อย่าง งงๆ

และถ้าสังเกตดีๆ จากในรูป คุณจะพบว่า Accord ใหม่ มี ม่านกระจกบังลมหลัง ควบคุมด้วย
สวิชต์ไฟฟ้ามาให้ ครบทุกรุ่น!!!

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณจำเป็นต้องแบกสัมภาระขนาดใหญ่ ต้องแน่ใจว่า มีผู้โดยสารเพิ่มมา
แค่อีกเพียงคนเดียว มิเช่นนั้น จะนั่งเบาะหลังไปด้วยไม่ได้ เพราะ พนักพิงเบาะหลัง ถูก
ออกแบบให้ต้องพับลงมาทั้งชิ้น อย่างที่เห็นอยู่นี้ ไม่สามารถแบ่งพับ 2 ฝั่ง ซ้าย -ขวาได้!!
เป็นแบบนี้ ทั้งรุ่น 2.4 และ 2.0 ลิตร!

ก้านสวิชต์ สำหรับพับเบาะนั้น ไม่มีอยู่ในห้องโดยสาร คุณจะต้องเปิดฝาประตูห้องเก็บของ
ด้านหลังขึ้นมา ไม่ว่าจะด้วยวิธีกดปุ่มบนรีโมทกุญแจ ดึงมือจับเปิดฝากระโปรงหลัง บริเวณ
พื้นห้องเก็บของ ตำแหน่งเดียวกับ มือจับเปิดฝาถังน้ำมัน หรือจะกดสวิชต์ไฟฟ้า ที่ยื่นห้อย
ลงมาเป็นก้อนยางลบสีดำเล็กๆ เยื้องไปทางมุมขวาของช่องใส่ป้ายทะเบียนหลังเล็กน้อย

เมื่อเปิดขึ้นมา จะพบว่า มีการเก็บงานค่อนข้างดีมาก คือมีทั้ง แผงบุฝากระโปรงด้านใน เพื่อ
ช่วยซับเสียงรบกวนจากด้านหลังทางอ้อม มีเสาพลาสติก ปิดคลุมทับเหล็กเสาค้ำฝากระโปรง
หลัง มองไปทางฝั่งขวา ใกล้เสาค้ำฝากระโปงหลังฝั่งขวามือ จะพบมือจับ ดึงเพื่อยกพนักพิง
เบาะหลังลงมา ให้ดึงจนสุด แล้วค่อยเดินอ้อมไปพับเบาะหลัง เป็นวิธีการที่ไม่สะดวกเลย แต่
ก็คงมีการอ้างถึง จากทีมวิศวกรของ Honda ว่า จากที่วิจัยกลุ่มลูกค้ามา ส่วนใหญ่ ไม่ค่อย
พับเบาะหลังใช้งานกันมากนัก (เหรอ?) เลยทำเบาะหลังให้พับได้แค่ พอให้บรรทุกของได้
อย่างที่เห็นอยู่นี้ และมีช่องทะลุตรงกลาง สำหรับสัมภาระขนาดยาว แค่นั้น?

พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระของ Accord ใหม่ มีขนาดความจุ 450 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน
เท่ากันกับรถรุ่นก่อน เป๊ะ เหตุผลก็เพราะ Accord ใหม่ยังคงมีปัญหาเดิมต่อเนื่องจากรถรุ่นก่อน
ไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ การออกแบบช่องใส่ยางอะไหล่ที่ตื้นเขิน เพื่อรองรับยางอะไหล่แบบเล็ก
สำหรับตลาดญี่ปุ่น หรือตลาดส่งออก (ล้อเหลือง) ทว่าสำหรับเมืองไทย ในเมื่อลูกค้าส่วนใหญ่
ยังระบุว่าต้องมียางอะไหล่แบบเต็ม หน้าตาและขนาดเท่ากันกับ ล้อประจำรถทั้ง 4 เส้น ดังนั้น
ทางออกเดียวที่พอจะแก้ปัญหานี้ได้ คือทำพื้นห้องเก็บสัมภาระให้สูงขึ้นเล็กน้อย วางทับลงไป
บนยางอะไหล่ขนาดเท่ายางมาตรฐานไปเลย ทำให้ พื้นที่ความสูงในห้องเก็บของด้านหลัง
ต้องถูกลดทอนลงไปอย่างน่าเสียดาย

แต่ พื้นห้องเก็บของนั้น ก็ถูกออกแบบมาให้มีปีกข้างที่แข็งแรง สะดวกพอจะค้ำยัน ในการ
ยกยางอะไหล่ พร้อมเครื่องมือประจำรถ และแม่แรง ออกมาเปลี่ยนยางได้อย่างง่ายดายขึ้น

ห้องโดยสาร และแผงหน้าปัด ถูกสร้างขึ้นอยู่ภายใต้แนวความคิด ความหรูหราอันทันสมัย
(Luxurious Modern Interior) เพื่อให้งานออกแบบภายในรถดูมีชีวิตชีวา, ง่ายต่อการมองเห็น
และการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ เป็นไปอย่างสะดวก ง่ายดาย

เส้นสายการออกแบบเน้นไปที่การใช้เส้นแนวนอน จัดวางในลักษณะสมมาตร ยืดออกไป
จนสุดแผงหน้าปัด ส่วนแผงประตูบริเวณด้านข้างจะมีพื้นที่เป็นแนวขึ้นไปด้านบน มีการ
ใช้วัสดุหุ้มผิวที่ให้ความรู้สึกนุ่มทั้งบริเวณช่วงไหล่และด้านข้าง ตำแหน่งของมาตรวัดและ
จอแสดงผลจะอยู่เหนือแนวของแผงคอนโซลในระดับเดียวกันทั้งหมด อยู่ในตำแหน่งที่
สามารถอ่านข้อมูลได้ง่าย เพื่อไม่ให้ผู้ขับขี่ ละสายตาจากถนนมากจนเกินไป

แผงหน้าปัดครึ่งท่อนบนใช้วัสดุแบบนุ่ม บุฟองน้ำแบบแน่นอยู่ด้านใน หุ้มด้วยวัสดุสังเคราะห์
สีดำ ครึ่งท่อนล่าง ใช้โทนสีเหมือนกันกับเบาะนั่งของแต่ละเฉดสีที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่มีการ
ประดับลายไม้สีน้ำตาลเข้ม ไว้ที่แผงหน้าปัด และรอบมือจับบริเวณแผงประตู ส่วนแผง
ควบคุมกลาง ใช้พลาสติกอะลูมีเนียม เคลือบพื้นผิวอย่างดี มาตกแต่งให้ดูเด่นสะดุดตา จน
ในตอนแรก ชวนให้ผมนึกไปถึง แผงหน้าปัดของ Volkswagen รุ่นใหม่ๆ บางรุ่น

มองไปทางด้านบน ทุกรุ่นมีช่องเก็บแว่นกันแดด กระจกมองหลังแบบตัดแสดงอัตโนมัติ
พร้อมสวิชต์ยกเลิกการทำงาน แม้กระทั่งแผงบังแดดมีกระจกแต่งหน้าพร้อมฝาปิดก็ยัง
มีมาให้ครบทั้ง 2 ฝั่ง แต่เฉพาะรุ่น 2.4 ลิตร เท่านั้น ที่จะมีไฟแต่งหน้าแถมมาให้ทั้ง 2 ฝั่ง
วัสดุบุเพดาน ด้านบน เป็นแบบนุ่ม ผิวสัมผัสยอมรับได้ แต่มันก็หุ้มห่อวัสดุ Recylcle
อีกชั้นนึงอย่ดี ตามปกติ นั่นเอง ส่วนไฟอ่านแผนที่ ใช้งานง่ายดาย กดปุ๊บ สว่างดี และ
ยกมาจาก Honda City กับ Civic กันง่ายๆทั้งดุ้น! ซึ่งกรณีนี้ ถือเป็นเรื่องดี

จากฝั่งขวา มาทางซ้าย

บริเวณมือจับประตู ฝั่งคนขับ จะมีสวิชต์บันทึกหน่วยความจำ ตำแหน่งเบาะคนขับ และ
กระจกมองข้าง มาให้รวม 2 ตำแหน่ง สวิชต์ กระจกหน้าต่างไฟฟ้าทั้ง 4 บาน พร้อมระบบ
Jam-Protection ดีดกลับเมื่อมีสิ่งกีดขวาง เฉพาะฝั่งคนขับเท่านั้น มีสวิชต์กระจกมองข้าง
ปรับและพับเก็บได้ด้วยไฟฟ้า ครบทุกรุ่นย่อย พร้อมสวิชต์ปลดและล็อกประตูทั้ง 4 บาน
Central Lock รวมทั้ง สวิชต์ล็อกกันการเปิดหน้าต่างโดยผู้โดยสารทั้ง 3 บาน

ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาสุด ทุกรุ่นจะมีสวิชต์ เปิด – ปิด Mode การขับขี่ ECON สีเขียว หรือที่
เราชอบเรียกมันว่า โหมดใบกัญชา! เมื่อกดปุ่มเพิ่มเข้าสู่โหมดการทำงานของ ECON
ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้าจะตอบสนองช้าลง และเปิดให้ไอดีเข้าสูเครื่องยนต์อย่างเหมาะสม
เพื่อเน้นการประหยัดน้ำมัน พัดลมของเครื่องปรับอากาศก็จะลดระดับลง ถ้าต้องการ
ออกจากโหมดนี้ ก็กดสวิชต์สีเขียวซ้ำอีกครั้ง เป็นระบบที่ Honda พยายามติดตั้งให้กับ
รถยนต์ทุกรุ่นมาได้พักใหญ่แล้ว ไม่เว้นแม้แต่รถยนต์ประกอบในเมืองไทย

ถัดลงไป รุ่น 2.4 ลิตร จะมีสวิชต์ เปิด – ปิด ระบบ CMBS และระบบควบคุมเสถียรภาพ
VSA (อ่านรายละเอียดได้ ด้านล่าง) รวมทั้งจะมี ฝาเปิดขนาดเล็ก สำหรับการเข้าถึง
แผงฟิวส์ของรถ และคันโยกเปิดฝากระโปรงหน้า

ก้านสวิชต์ ฝั่งขวา เป็นชุดไฟเลี้ยว ไฟหน้า ไฟสูง และไฟตัดหมอก รวมทั้ง ไฟหน้า
แบบ AUTO ส่วนก้านสวิชต์ฝั่งขวา เป็นระบบใบปัดน้ำฝน พร้อมระบบหน่วงเวลา
กับระบบ สั่งปัดอัตโนมัติ ตามการตรวจจับของ Rain-Sensor และที่ฉีดน้ำล้างกระจก

พวงมาลัยของทุกรุ่น เป็นแบบ 4 ก้าน ปรับระดับ สูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่างจากผู้ขับขี่
ได้ครบทุกรุ่น ออกแบบขึ้นใหม่ มีขนาดไล่เลี่ยกับพวงมาลัยของ Accord G8 รุ่นที่แล้ว
หุ้มหนังชั้นดี พร้อมฝีเย็บจริง (ไม่ใช่ฝีเย็บหลอกๆ แบบหน้าปัดของ Vios อิอิ) แถมยัง
ประดับด้วยลายไม้ ครึ่งท่อนบนของมือจับพวงมาลัย ครบทุกรุ่น เพื่อเพิ่มความภูมิฐาน

อีกทั้งมีการปรับปรุงสวิชต์ของระบบต่างๆ บนก้านพวงมาลัย ให้ง่ายต่อการขยับนิ้วเพื่อ
ใช้งานมากขึ้น รวมทั้งการนำปุ่มควบคุมแบบแป้นวงกลม คล้ายกับที่ใช้อยู่ใน Civic และ
CR-V รุ่นปัจจุบันมาติดตั้งด้วย

ก้านพวงมาลัยด้านบน ฝั่งซ้าย เป็นชุดสวิชต์ควบคุม เครื่องเสียง และหน้าจอมอนิเตอร์สี  
ก้านพวงมาลัยด้านบน ฝั่งขวา รุ่น 2.4 ลิตร ควบคุมระบบล็อกความเร็วอัตโนมัติ พร้อม
ระบบรักษาระยะห่าง และเบรกเองได้ตามระยะห่างที่ตั้งไว้ AdaptiveCruise Control
(อ่านรายละเอียดที่ด้านล่างของบทความนี้) ส่วนรุ่น 2.0 ลิตร เป็นกลุ่มสวิชต์ควบคุม
ระบบล็อกความเร็วคงที่ Cruise Control ธรรมดา

ก้านพวงมาลัยด้านล่าง ฝั่งซ้าย เป็นชุดสวิชต์ควบคุม ระบบโทรศัพท์ Bluetooth (อ่าน
รายละเอียดได้ในอีกไม่กี่ย้อหน้าถัดไป) และเฉพาะรุ่น 2.4 ลิตร ก้านพวงมาลัยฝั่ง
ล่าง ขวา ควบคุมการทำงานของจอแสดงข้อมูล MID บนชุดมาตรวัด

นอกจากนี้ รุ่น 2.4 ลิตร ทั้ง 3 รุ่นย่อย จะมีแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย Paddle Shift
มาให้ ทำงานไว ใช้การได้ดี

สวิชต์ ติดเครื่องยนต์ เป็นแป้นวงกลมสีแดง ยกมาจาก Civic ใหม่นั่นแหละ ติดตั้งอยู่
ฝั่งซ้ายของพวงมาลัย แต่เป็นฝั่งขวา ติดกับ แผงควบคุมเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ
หนือขึ้นไป เป็นสวิชต์ไฟฉุกเฉิน ติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สะดวกต่อการใช้งานที่สุด
เท่าที่จะเป็นไปได้

ระบบเบรกมือ เป็นแบบ เบรกจอด (Parking Brake) ใช้แป้นเหยียบฝั่งซ้ายสุด
กดลงไปจนจมมิด เพื่อล็อกเบรกหลังไว้ แต่ถ้าจะปลดระบบ ก็เหยียบแป้นเดิม
ซ้ำลงไปอีกครั้งหนึ่ง แป้นจะคลายตัวยกขึ้นมา เป็นอันเรียบร้อย

ชุดมาตรวัด เป็นแบบ 3 วงกลมซ้อนกัน หน้าตาดูผ่านๆ เหมือน มาตรวัดของ Volvo อยู่บ้าง
แม้จะจัดวางตำแหน่งต่างกันก็ตาม มีมาตรวัดอุณหภูมิระบบหล่อเย็นมาให้อีกด้วย ซึ่งเป็น
เรื่องที่เหมาะสมกับนิสัยการขับรถของคนไทย

ตรงกลางมาตรวัดความเร็ว ของทุกรุ่น จะติดตั้งหน้าจอแสดงข้อมูลต่างๆ ของตัวรถ หรือ
Multi-Information Display (MID) แสดงผลในแบบขาว-ดำ ข้อมูลที่แสดงในหน้าจอ MID
ประกอบไปด้วย

– อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย
– ระยะทางที่ใช้ไปแสดงผล ทริปมิเตอร์
– อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงในขณะนั้น
– อุณหภูมิภายนอก
– ระยะทางที่ขับต่อไปได้จนกว่าน้ำมันจะหมดถัง แสดงผลเป็นหน่วยกิโลเมตร
– ตำแหน่งเกียร์ที่ใช้ในโหมดที่ผู้ขับขี่เปลี่ยนเกียร์เอง
– ระบบควบคุมความเร็วแบบปรับอัตโนมัติ (ACC) ในรุ่น 2.4 TECH

แต่ถ้าสังเกตดีๆ หน้าจอของรุ่น 2.0 EL และ EL Navi จะเป็นแบบ ตัวเลข Digital ธรรมดา
แตกต่างจากรุ่น 2.4 ลิตร ที่จะเป็นจอ MID เต็มรูปแบบ พร้อมภาพสัญญาณเตือนแบบ Graphic

มีอีกสิ่งหนึ่ง ที่ “แรดถูกใจผมเหลือเกิน”….

เสียงพูดภาษาไทย เตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัย!
ไม่คิดว่า Honda จะใส่มาให้ด้วยในคราวนี้!!!!

จากด้านซ้าย มองเข้ามาตรงกลาง

กล่องเก็บของ Glove Compartment มีขนาดใหญ่กำลังดี แต่แค่ใส่สมุดคู่มือ ใบรับประกัน
และกรมธรรม์ประกันภัย ก็ล่อพื้นที่ไปแล้ว ครึ่งหนึ่ง มีไฟส่องสว่างข้างในมาให้ด้วย

เครื่องปรับอากาศทุกรุ่น เป็นแบบ อัตโนมัติ หน้าจอ Digital แยกฝั่ง ซ้าย – ขวา แสดงผผลบน
หน้าจอมอนิเตอร์สี TFT 8 นิ้ว ด้านบนสุด ของแผงควบคุมกลาง ลักษณะของแผงสวิชต์ แอบ
ชวนให้ผมนึกถึง แผงสวิชต์แอร์ของ Lexus CT200h ที่ผมชื่นชอบมากๆ มันอยู่ในตำแหน่ง
เหมาะสมกับการใช้งาน ไม่เตี้ยเกินไป ไม่สูงเกินไป

ด้านความบันเทิง Honda จัดอุปกรณ์มาให้คนไทยเต็มพิกัด ชนิดที่ทีมวิศวกรชาวญี่ปุ่นบอกผม
ด้วยตัวเองเลยว่า “คนของ American Honda พอเห็นสเป็กของเมืองไทยแล้ว เขาตกใจ อิจฉา
คนไทย ขึ้นมาทันที”

เพราะทุกรุ่น จะมี วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD/DVD/MP3/CD-R/WMA แบบ 1 แผ่น
พร้อมช่องเสียบ AUX และ USB มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งรอบรับทั้ง iPod, iPhone และ
Flashdrive ติดตั้งอยู่ที่กล่องเก็บของ คอนโซลกลาง รุ่น 2.0 EL และ EL Navi จะให้ลำโพง
6 ชิ้น (ดูจากภาพภายในสีดำ) คุณภาพเสียง ถือว่า ฟังได้ดี ไม่มีปัญหาอะไร เสียงใสใช้ได้
เสียงเบส ก็ค่อนข้างกำลังดี

แต่ในรุ่น 2.4 ลิตรทั้งหมด จะมีชุดเครื่องเสียงแบบ Upgrade เป็น 7 ลำโพง พร้อม Sub-Woofer
กำลังขับ 360 Watt คุณภาพเสียงที่ออกมา จะต่างกันแค่เพียง เสียงเบส ที่หนาขึ้นกว่ากันนิดหน่อย
นอกนั้น ฟังได้ไพเราะดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่แน่นอนว่า ยังไม่ถึงขั้นเทพสุด เหมือนพวกรถยนต์
ระดับหรูในราคาแพง แต่ถือว่า ด้วยค่าตัวเท่านี้ ได้เครื่องเสียงแบบนี้ นับว่าดีมากๆแล้ว

ส่วนในรุ่น NAVI จะติดตั้งระบบนำทาง Navigation System โดยมี Harddisk ขนาด 100 GB สำหรับ
เก็บข้อมูลระบบนำทาง ซึ่งมีการใช้เทคโนโลยี GPS ทำงานร่วมกับระบบ Gyroscopic และเซ็นเซอร์
ตรวจจับความเร็ว ที่จะคอยติดตามและระบุพิกัดตำแหน่งรถยนต์หากอยู่ภายใต้ที่อับสัญญาญเช่น
อุโมงค์ หรืออาคารจอดรถ อีกทั้งยังมีฮาร์ดดิสก์ ในระบบเครื่องเสียง ขนาด 16 GB เพื่อจัดเก็บไฟล์
เพลง ทันทีที่ใส่แผ่น CD เข้าเครื่อง ระบบ Gracenote จะเริ่มบันทึกลง HDD ทันที มีเฉพาะรุ่น NAVI

ควบคุมการทำงานด้วยแผงสวิชต์ ใต้เครื่องปรับอากาศ พร้อมกับสวิชต์แบบมือบิด ที่เลื่อนอิสระขึ้นลง
ซ้ายขวา ได้ เพื่อช่วยให้การเลือกใช้เมนูต่างๆ ทำได้อย่างรวดเร็วขึ้น พร้อมกับ ปุ่ม Shortcut ไปยัง
ระบบนำทาง เครื่องเสียง หรือจอแสดงข้อมูลระบบต่างๆในรถ อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ฯลฯ

การควบคุมหลัก นอกจากใช้สวิชต์บนพวงมาลัยแล้ว ยังสั่งการได้ผ่านหน้าจอ Touch Screen
มีฟังก์ชั่นต่างๆให้เลือกใช้งาน สามารถควบคุมระบบเครื่องเสียงได้ทั้งหมดบนจอขนาดเล็ก
สามารถเปลี่นยนสีได้ 4 สี ตามคำสั่งเปลี่ยนสีของหน้าจอมอนิเตอร์หลัก หน้าจอนี้ ทำงาน
เร็วพอประมาณ ไม่อืด ไม่ช้า แต่ก้แค่เกือบจะทันใจ หน้าจอ Touch Scrren นี้ ติดตั้งมาให้
ครบทุกรุ่นย่อย และนี่คืออุปกรณ์ชิ้นหนึง ที่ลูกค้าชาวอเมริกัน จะได้ใช้เฉพาะในรุ่น Sport
และ Coupe รุ่นแพงๆ เท่านั้น

การแสดงผลหลัก ของทุกระบบที่เอ่ยมาข้างต้น เกิดขึ้นบนหน้าจอมอนิเตอร์ สี TFT 8 นิ้ว
ความละเอียดสูง WVGA 800 x 480 Pixels ติดตั้งอยู่ตรงกลาง  สามารถปรับแต่งรูปภาพ
หรือใส่รูปภาพ wallpaper ได้เอง ผ่านทาง USB FlashDrive และยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง
แสดงผลข้อมูลของระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในรถทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น กล้องด้านหลัง
เครื่องเสียง เครื่องปรับอากาศ ระบบโทรศัพท์ Bluetooth ระบบนำทาง และในรุ่น 2.4 TECH
ยังแสดงภาพจากกล้อง LaneWatch (อ่านรายละเอียดได้ ข้างล่าง)

นอกจากนี้ ทุกรุ่น ยังจะมีการติดตั้งระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ แบบไร้สาย Bluetooth
โดยสามารถเชื่อมสัญญาณได้ทั้งระบบ โทรศัพท์ หรือจะฟังเพลงจากไฟล์ใน โทรศัพท์
โดยตรงเลยก็ได้ทั้งสิ้น การใช้งาน สามารถควบคุมสั่งการได้ทั้งจากสวิชต์ที่ก้านพวงมาลัย
ฝั่งล่างซ้าย หรือจะควบคุมจากหน้าจอ Touch Screen อย่างที่เห็นอยู่นี้ การพูดคุยก็จะ
ได้ยินกันไปทั่วทั้งคันรถ ดังนั้น ถ้ามีผู้โดยสาร มานั่งด้วย และกังวลเรื่องโทรศัพท์
ที่ไม่พึงประสงค์ ก็กรุณา อย่าได้เชื่อมต่อ Bluetooth จนกว่าผู้โดยสารจะลงจากรถแล้ว
มิเช่นนั้น บ้านของท่าน อาจร้าวฉานได้! (ฮ่าๆ)

ด้านข้างลำตัวผู้ขับขี่ และผู้โดยสารคู่หน้า เป็นกล่องเก็บของคอนโซลกลาง นอกจากใส่
กล่อง CD ได้ราวๆ 6 กล่อง เรียงติดกันแล้ว ยังเป็นพื้นที่สำหรับช่องเสียบ AUX USB
และ ปลั๊กไฟขนาด 12 Volt สำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือชาร์จโทรศัพท์มือถือ  

ฝากล่องเก็บของ เป็นพื้นที่วางแขน หุ้มด้วยหนัง มาในรูปลักษณ์แปลกๆ มีส่วนที่ยาว
ยื่นออกไป เพื่อเน้นการวางแขนของผู้ขับขี่เป็นหลัก เอาเข้าจริง ก็ถือว่า ใช้งานพอได้

ถัดจากคันเกียร์ลงมา เป็นช่องวางแก้ว อเนกประสงค์ สามารถยกก้านแบ่งช่องวางแก้ว
พับเก็บ แล้วเปลี่ยนเป็นช่องวางของอเนกประสงค์ได้ รวมทั้งยังมี ถาดหลุมสี่เหลี่ยม
ขนาดเล็ก เพื่อวาง ปากกา หรือข้าวของขนาดไม่ใหญ่ไม่โตจนเกินไป

เฉพาะรุ่น 2.4 TECH จะเพิ่ม Sunroof พร้อมสวิชต์เปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า มาให้ ทำงานโดย
การกดปุ่มเพียงครั้งเดียว ซันรูฟจะเลื่อนเปิด – ปิด ต่อเนื่อง เหมือนกระจกหน้าต่างฝั่งผู้ขับขี่
แต่จะมีเพิ่มความปลอดภัยด้วยระบบ Auto Reverse โดย Sunroof จะเลื่อนถอยกลับ
เองโดยอัตโนมัติในทันที หากมีสิ่งกีดขวาง ติดตั้งพร้อมม่านบังแสงแดดมาให้อีกด้วย

นอกจากนี้ ในรุ่น 2.4 TECH จะติดตั้ง ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน
Honda LaneWatch มาให้เป็นพิเศษ เพียงรุ่นเดียว และถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกในโลก
ที่มีการติดตั้งระบบนี้

ความแตกต่างจากระบบแจ้งเตือนผู้ขับขี่ ผ่านทางกระจกมองข้าง BLIS ของ Volvo
หรือของ Mercedes-Benz อยู่ที่ ทั้ง 2 ยี่ห้อ จะใช้ไฟสัญญาณเตือนกระพริบที่กระจก
มองข้าง ทำงานร่วมกับ กล้องอินฟาเรด จับระยะห่างจากรถคันที่แล่นมาขนาบข้าง
ทั้ง 2 ฝั่ง

แต่ระบบของ Honda เล่นกันตรงๆ ซื่อๆ หนักกว่านั้น คือ พี่เค้าเล่นติดตั้งกล้องวีดีโอ
ขนาดเล็ก ไว้ที่ใต้กระจกมองข้างฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย กันไปเลย เพื่อแสดงภาพของ
รถที่แล่นมาขนาบข้าง ฝั่งซ้าย ขึ้นบนจอมอนิเตอร์ ของระบบนำทาง!

ถ้าต้องการแสดงภาพจากกล้องนี้ ทำได้ 2 วิธีคือ แค่เปิดไฟเลี้ยวซ้าย หรือ กดปุ่มบน
หัวก้านสวิชต์ไฟเลี้ยว อย่างที่เห็นในรูปข้างบนนี้

ตามปกติแล้วภาพที่เราเห็นกันในกระจกมองข้างฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย จะมีมุมมอง
อยู่ที่ 18-22 องศา โดยประมาณ แต่ระบบ LaneWatch จะช่วยเพิ่มการมองเห็นมุมอับ
ขณะกำลังจะเปลี่ยนเลน มากขึ้นอีก 4 เท่าตัว หรือ ราวๆ 80 องศา ภาพที่ปรากฎบน
จอมอนิเตอร์ จะมีเส้นกะระยะห่างจากตัวรถ เพื่อความปลอดภัย 3 ขีด หากมีรถมา
อยู่ใกล้ขีดสีแดง แสดงว่า อันตรายเกินกว่าจะเปลี่ยนเลนได้อีก

และถ้าเปิดใช้ระบบนำทาง Navigation System อยู่ หากเปิดไฟเลี้ยว หน้าจอมอนิเตอร์
จะตัดภาพไปยังกล้องของระบบ LaneWatch ทันที ระบบนำทางจะหยุดแสดงภาพ
บนหน้าจอชั่วคราว จนกว่าจะปิดไฟเลี้ยว หรือกดปุ่มยกเลิกระบบออก นอกจากนี้
ยังสามารถสั่งปิดการทำงานของระบบนี้ได้เอง หรือจะสั่งยกเลิกเส้นเตือน 3 เส้น
ปรับแสงสว่างบนหน้าจอได้ตามต้องการอีกด้วย

ทัศนวิสัยด้านหน้า มีการปรับปรุงขอบด้านบนของกระจกบังลมหน้า ให้สูงขึ้นจากเดิม
เล้กน้อย ทำให้มุมมองขณะขับขี่ ดูเปิดกว้างและโล่งขึ้นนิดหน่อย ต่อให้ปรับตำแหน่ง
เบาะนั่งลงต่ำสุด คุณก็จะมองเห็นฝากระโปรงหน้าอยู่บ้าง ซึ่งนั่นน่าจะเป็นมุมมองที่
ผู้ใหญ่หลายๆคน ที่คุ้นเคยกับการขับรถยนต์รุ่นเก่าๆ แบบต้องมองเห็นฝากระโปรง
ด้านหน้า น่าจะชื่นชอบ

ตำแหน่งของชุดมาตรวัด และจอภาพ ในความเป็นจริงแล้ว แทบไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง
จากเดิม และยังคงรักษาตำแหน่งนี้ไว้ เพื่อช่วยให้การมองเห็นในขณะขับขี่ทำได้ดีเช่นเคย

มองมาทางขวามือ เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา มีการบดบังรถที่แล่นสวนมา บนโค้งขวา
ของถนนสวนกันสองเลน อยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากนัก กระจกมองข้างมีขนาดใหญ่กำลังดี และ
ไม่มีกรอบกระจกมองข้างด้านใน มาบดบังบริเวรริมนอกมุมขอบด้านขวา แต่อย่างใด

มองไปทางซ้ายมือ เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย จะบดบังรถที่แล่นสวนมาขณะ
เลี้ยวกลับหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่า เป็นจุดเลี้ยวกลับ ที่มีพื้นที่เกาะกลางเยอะแค่ไหน
ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งมีสิทธิ์บดบังได้เต็มมิด แต่ ถ้าเกาะกลางถนนเล็ก แคบ เสาหลังคา ก็จะ
ไม่บดบังเลย!

กระจกมองข้างฝั่งซ้าย มองเห็นชัดเจนดี เช่นเดียวันกับฝั่งขวา กรอบกระจกมองข้าง
ไม่รุกล้ำพื้นที่ขอบด้านนอกของกระจกเข้ามาแต่อย่างใด

ส่วนเสาหลังคาด้านหลัง C-Pillar นั้น มีการออกแบบแผงผนังบุในห้องโดยสาร ให้มี
แนวเส้นบอกสายตาคนขับว่า มันเล็ก และบาง ทั้งที่ความจริงแล้ว มันก็หนาพอกันกับ
Accord รุ่นที่แล้ว นั่นแหละ อย่างไรก็ตาม ทัศนวิสัยด้านหลัง ถือว่า โปร่งตา ใช้ได้

และถ้ากังวลขณะจะต้องถอยรถเข้าจอด Honda เขาก็ติดตั้ง กล้องมองภาพจากด้านหลัง
Multi-angle Rearview Camera แสดงภาพบนจอมอนิเตอร์หลัก สามารถเลือกดูมุมกล้อง
ที่แตกต่างกันได้ถึง 3 ระดับ ทั้งแบบ 130 องศา 180 องศา และมุมมองจากด้านบนสุด
พร้อมเส้นแบ่งกะระยะ ที่จะหมุนไปตามแนวการหักพวงมาลัยรถให้ด้วย

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

แม้ว่าในเวอร์ชันอเมริกาเหนือ Honda จะนำเอาเทคโนโลยีขุมพลังใหม่ของตนในชื่อ
Earth Dream ซึ่งมาพร้อมกับระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตรงสู่ห้องเผาไหม้ Direct Injection
มาติดตั้งลงไปให้กับ Accord สำหรับชาวอเมริกัน และแคนาดา

แต่สำหรับเมืองไทยแล้ว ขุมพลังของ Accord ใหม่ เวอร์ชันไทย จะถูกลดลงจากเดิม 3 แบบ
เหลือเพียง 2 แบบ โดยรุ่น V6 3.5 ลิตร ถูกตัดออกไป เพราะไม่คุ้มต่อการทำตลาด เนื่องจาก
ยอดขาย น้อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โดยจะมีให้เลือก ดังนี้

รุ่น 2.4EL, 2.4EL (Navi) และ 2.4 TECH จะวางเครื่องยนต์ รหัส K24W4 บล็อก 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 2,356 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 87 x 99.1 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.1 : 1 จ่าย
เชื้อเพลิง ด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ PGM-FI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC

ถึงแม้เป็นเครื่องยนต์ใหม่ แต่ก็เป็นการนำเครื่องยนต์เดิมมาปรับปรุง ให้สอดรับกับแนวทางการ
พัฒนากลุ่มเทคโนโลยี เพื่อสิ่งแวดล้อม EARTH DREAM ซึ่งเน้นความประหยัดน้ำมันและลด
มลพิษให้น้อยลง มีตั้งแต่ การใช้เสื้อสูบแบบ อะลูมีเนียมหล่อขึ้นรูป (Cast-Aluminium) ฝาสูบ
ก็ทำจาก Aluminium-alloy ด้วยขั้นตอนการหล่อด้วยแรงดัน ออกแบบให้มีปลอกประกบเพลา
ข้อเหวี่ยงแบบเดี่ยว ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง แต่ลดเสียงดังและแรงสั่นสะเทือน ให้น้อยลง
ในขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน ปลอกลูกสูบผลิตจากเหล็กหล่อให้ความทนทานในการใช้งาน
แต่ละช่องบนเพลาข้อเหวี่ยง ซึ่งเชื่อมต่อกับก้านสูบจะถูกขัดอย่างละเอียด เพื่อช่วยลดเสียง
และแรงเสียดทานภายในที่จะเกิดขึ้น

นอกจากนี้ยังติดตั้งเพลาถ่วงสมดุล Balance Shaft เอาไว้ภายในเครื่องยนต์อีกด้วย ชิ้นส่วนนี้
จะเป็นแท่งที่ขับเคลื่อนด้วยโซ่และหมุนในลักษณะทวนเข็มนาฬิกา โดยจะติดตั้งอยู่ใกล้กับ
อ่างน้ำมันเครื่อง ช่วยป้องกันการเกิดคลื่นสั่นสะเทือนที่มักจะเกิดขึ้นตามมา ลดแรงเสียดทาน
ขณะที่ลูกสูบกำลังทำงาน ขณะเดียวกัน กระบอกสูบของเครื่องยนต์ถูกปรับปรุงให้เยื้องจาก
เพลาข้อเหวี่ยง 8 มิลลิเมตร  เพื่อช่วยให้ก้านสูบอยู่ในมุมที่เหมาะสมระหว่างที่มีการเคลื่อนที่
ขึ้น-ลง และเป็นการช่วยลดแรงต้านที่เกิดขึ้นทางด้านข้างของลูกสูบ อีกทั้งตัวลูกสูบเองก็ถูก
ออกแบบขึ้นใหม่ ขอบนอกของลูกสูบที่ได้รับการผลิตจากอะลูมิเนียมจะมีการเคลือบสารลด
แรงเสียดทาน ทำงานร่วมกับพื้นผิวลูกสูบที่มีลักษณะเป็นจุดๆ ที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ
สิงที่เกิดขึ้นคือ การลดแรงเสียดทานโดยรวมขณะที่ลูกสูบมีการเคลื่อนที่ในกระบอกสูบ หรือ
Plateau Honing จะมีส่วนช่วยลดระดับการเสียดทานที่เกิดขึ้นระหว่างลูกสูบและกระบอกสูบ
อันเป็นผลมาจากการออกแบบพื้นผิวให้มีความเรียบและไหลลื่นเป็นพิเศษ Plateau Honing
ถูกผลิตขึ้นโดยใช้กระบวนการขัดมันถึง 2 ครั้ง แทนที่จะใช้ขั้นตอนการขัดแบบเดิมๆ เพียง
ครั้งเดียว เพื่อลดน้ำหนัก ลดแรงสะเทือน ทำให้ลูกสูบทำงานได้ดียิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ ทำให้
สามารถใช้น้ำมันเครื่องเกรด 0W-20 เพื่อลดแรงเสียดทาน ฝาสูบและระบบวาล์ว ได้สบายๆ

ไม่เพียงเท่านั้น ตำแหน่งติดตั้งเครื่องยนต์ของ Accord ใหม่ ยังแตกต่างจากรุ่นเดิม โดย
เครื่องยนต์จะติดตั้งเอียงไปทางด้านหลังแค่ 10 องศา (รุ่นเดิม เอียงไปด้านหลัง 15 องศา)
เพื่อสอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบอื่นๆโดยเฉพาะท่อร่วมไอเสีย ทาง
ด้านหน้าเครื่องยนต์ ซึ่งได้รับการออกแบบใหม่ มีการย้ายตำแหน่งของพอร์ตไอเสียให้
มาอยู่ทางด้านหน้าของเครื่องยนต์ (รถรุ่นก่อน พอร์ตไอเสียจะอยู่ด้านหลังของเครื่อง)
ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการติดตั้งอุปกรณ์บำบัดไอเสีย Catalytic Converter โดย
สามารถติดตั้งเข้าสู่พอร์ตไอเสียได้โดยตรงกับฝาสูบ และจากการที่ช่องทางการไหลออก
ของไอเสียถูกเชื่อมต่อเข้าโดยตรงกับฝาสูบนั้น จึงไม่จำเป็นะต้องใช้ชุดท่อร่วมไอเสีย
แบบเดิมๆ อีกต่อไป!

ระบบเพลาราวลูกเบี้ยวเหนือฝาสูบ 2 ท่อน ขับเคลื่อนด้วยโซ่ซึ่งแทบไม่มีเสียงในการทำงาน
ไม่ต้องดูแลรักษาตลอดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ แถมยังมีการปรับปรุงการขัดและตกแต่ง
เพื่อให้ช่วยลดแรงเสียดทานในขณะทำงาน

รูปทรงของห้องเผาไหม้ และมุมของวาล์วยังมีการปรับปรุงใหม่ เครื่องยนต์ 4 สูบที่วางใน
Accord รุ่นที่แล้ว จะมีมุมรวมระหว่างวาล์วไอดีและไอเสียอยู่ที่ 51 องศา แต่ในเครื่องยนต์
K24W4 รุ่นนี้ มุมรวมของวาล์วจะลดลงมาอยู่ที่ 35 องศา การลดขนาดมุมวาล์วให้แคบลง
จะมีส่วนช่วยเพิ่มการเผาไหม้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ลดมลพิษจากสารไฮโดรคาร์บอนลงได้

ทั้งหมดนี้ ช่วยลดน้ำหนักเครื่องเดิมลง 4.5 เปอร์เซนต์ ลดแรงเสียดทานในระบบเครื่องยนต์
(แต่กลับไม่ติดตั้งระบบหัวฉีดตรงเข้าห้องเผาไหม้แบบ Direct Injection มาให้เหมือนเวอร์ชัน
อเมริกาเหนือด้วยเลย เนี่ยสิ!)

กำลังสูงสุด ลดลงจากเดิม เหลือ 174 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 23.0 กก.-ม.
(225 นิวตันเมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที

ส่วนรุ่น  2.0EL และ 2.0EL (Navi) จะยังคงใช้เครื่องยนต์ R20A บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว
1,997 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 96.9 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.6 : 1 จ่ายเชื้อเพลิง
ด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ PGM-FI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC  เวอร์ชันเดียวกับ CR-V
2.0 ลิตรใหม่ ยกมาทั้งดุ้น

กำลังสูงสุด 155 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.4 กก.-ม.ที่ 4,300 รอบ/นาที

เครื่องยนต์ทั้ง 2 ขนาด ถูกปรับแต่งมาให้เติมน้ำมันเชื้อเพลิงได้แทบทุกประเภทในตระกูลเบนซิน
จนถึง Gasohol E85 กันเลยทีเดียว

ทั้ง 2 ขุมพลัง ถ่ายทอดแรงบิดสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ผ่านทาง เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ แบบ
มี Torque Converter ควบคุมด้วยกล่องสมองกล Grade Logic Control System และ Shift Hold
Control ซึ่ง มีอัตราทดเกียร์ แตกต่างกันตามแต่ละเครื่องยนต์ ดังนี้

………………………………. 2.4 ลิตร……….2.0 ลิตร
เกียร์ 1 ………………………..2.651…………2.785
เกียร์ 2 ………………………..1.516…………1.684
เกียร์ 3 ………………………..1.037…………1.128
เกียร์ 4 ………………………..0.738…………0.772
เกียร์ 5 ………………………..0.537…………0.592
เกียร์ถอยหลัง …………………2.000…………2.000
อัตราทดเฟืองท้าย …………….4.437…………4.437

ในรุ่น 2.4 EL, 2.4 EL NAVI และ2.4 TECH จะมีแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift มาให้ที่ด้านหลัง
ของพวงมาลัย ซึ่งก็เหมือนกันกับ Honda รุ่นใหม่ๆ ในรอบ 4 ปีมานี้ คือ สามารถใช้งานแป้นนี้ได้
ไม่ว่า เกียร์จะอยู่ในตำแหน่ง D หรือ S ก็ตาม ถ้าอยู่ในตำแหน่ง D เมื่อเปลี่ยนเกียร์ บวก หรือ ลบ
ตามใจแล้ว โปรแกรม Special Transmission Logic จะสั่งให้ เกียร์ กลับไปทำงานในโหมด D ตาม
ปกติ เหมือนเดิม

แต่ถ้าคันเกียร์อยู่ใน ตำแหน่ง S เกียร์จะไม่เปลี่ยนกลับเข้าไปในตำแหน่ง D ให้เองแน่ๆหละ
คุณจะเลื่อนเปลี่ยนเกียร์ ได้จาก แป้น Paddle Shift เหมือนเกียร์ธรรมดา เพียงแต่ว่า ถ้าลากรอบ
กันจนเข็มวัดรอบ แตะ Red Line เกียร์จะตัดเปลี่ยนข้นไปยังเกียร์สูงกว่า 1 จังหวะให้เองทันที
เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดกับชุดเกียร์ อีกทั้งจะทำงานแค่เพียง 4 เกียร์ โดยจะยอมตัด
เปลี่ยนขึ้นเป็นเกียร์ 5 ให้เฉพาะเมื่อขับขี่ในความเร็วสูงขึ้นชัดเจนเท่านั้น

สมรรถนะจะเป็นอ่างไร ดีขึ้นหรือเท่าเดิมกันแน่? เรามาจับเวลาทดลองหาอัตราเร่งกันช่วงกลางคืน
ด้วยมาตรฐานดั้งเดิม คือ เปิดแอร์ นั่ง 2 คน เปิดไฟหน้า บนสภาพพื้นถนนแห้งสนิท ตัวเลขที่ได้
เมื่อเปรียบเทียบกันเอง และเปรียบเทียบกับคู่แข่ง มีดังนี้

ตัวเลขที่ออกมา ก็เป็นไปตามความคาดหมายครับ

ถ้าย้อนกลับไปดูพัฒนาการของตัวเลข ตั้งแต่ Accord G7 รุ่นปี 2006 มาจนถึงวันนี้ จะเห็นได้ว่า
รุ่นเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร นั้น ทำเวลาดีขึ้นมาแค่เพียงคราวละ นิดเดียว เป็นเลขหลังจุดทศนิยม
เสียด้วยซ้ำ และทั้งหมดนั้น เป็นผลมาจากความพยายามในการลดน้ำหนัก และปรับปรุงขุมพลัง
รุ่น K24 ของตน มาเรื่อยๆ แต่พูดกันตรงๆ ก็คือ ตัวเลขที่ออกมา มันไม่น่าพอใจเท่าใดนัก

แต่อย่างว่าครับ เหตุผลที่อธิบายได้ก็คือ รถรุ่น 2.4 TECH ที่เราทดลองนั้น ใส่ล้อ 18 นิ้ว ซึ่งมี
ขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น หากลองเปลี่ยนมาทดลองด้วยรุ่น ล้อ 17 นิ้ว คือ 2.4 EL
ธรรมดา และ EL Navi คาดว่าเราอาจได้เห็นตัวเลข 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่ำกว่า 10 วินาที
กันได้จริงๆเสียที เพราะถ้าดูจากตัวเลขอัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วจะพบว่า
เร็วกว่ารถรุ่น 2.4 ลิตร เดิม (ล้อ 17 นิ้ว) อยู่ราวๆ 0.2 วินาที

ขณะเดียวกัน พัฒนาการของตัวเลขในรุ่น 2.0 ลิตร เห็นได้ชัดว่า เครื่องยนต์ K20A DOHC
มาเป็นแบบ R20A SOHC แรงเสียดทานในระบบน้อยลง กลับทำให้ตัวเลขดีขึ้น แม้ในรุ่น
ล่าสุด ตัวเลขยังด้อยกว่ารุ่นเดิม แต่นั่นเป็นเพราะว่า รถรุ่น G8 2.0 ลิตร ที่เราทำการทดลอง
ใช้ล้ออัลลอย ขนาด 16 นิ้ว ซึ่งมีผลต่อตัวเลขอัตราเร่งอยู่บ้าง ราวๆ 0.4 วินาที แต่ด้วยการ
ลดน้ำหนัก ลดแรงเสียดทานตามจุดต่างๆ หั่นส่วนเกินที่ไม่จำเป็นออกไป ตัวเลขอัตราเร่ง
แซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ดีขึ้น ราวๆ 0.2 วินาที

แต่เมื่อเทียบกับตัวเลขของคู่แข่ง เอาแค่รุ่น 2.0 ลิตร ด้วยกัน แม้ว่า Accord 2.0 ลิตร G9
ใหม่ จะทำตัวเลข 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้เท่ากันกับ Camry 2.0 4AT รุ่นล่าสุด แต่
สมรรถนะในช่วงเร่งแซงนั้น กลับด้อยกว่า Camry 2.0 ถึง 1 วินาทีเต็มๆ เลยทีเดียว!
และตัวเลข 1 วินาทีนี้ ก็มีความหมายพอสมควร สำหรับคนที่จำเป็นต้องขับรถเร่งแซง
บนถนนสวนกันสองเลน ในต่างจังหวัดอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าขับใช้งานในกรุงเทพฯ มันก็
เพียงพอแล้ว เพราะตัวเลขที่ออกมา เทียบได้กับ รถยนต์นั่ง ขนาดเล็ก B-Segment
1.5 ลิตร ทั่วๆไป ทั้ง Honda City / Jazz หรือ Toyota Vios/ Yaris ดังนั้น ถ้าถามว่ามัน
อืดไหม? สำหรับผม มองว่า อยูในเกณฑ์ที่ ยังพอจะยอมรับได้อยู่บ้าง แม้จะอยากให้
เร็วกว่านี้อีกสักนิดก็ตาม ทว่า น้ำหนักตัวรถ มันคงไม่เอื้ออำนวยไปมากกว่านี้แล้วละ

แล้วถ้าดูตัวเลขให้ดีๆ จะพบว่า ทั้ง Teana 2.0 และ Sonata Sport 2.0 ลิตร
ต่างก็ทำอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง แซงหน้า Accord 2.0 ลิตร ด้วยกันทั้งคู่ ทว่า ในช่วง
เร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง Accord 2.0 จะเอาชนะ Teana 2.0 ได้ แม้เพียง
0.11 วินาที ส่วน Sonata Sport จะใช้เวลาในการเร่งแซง นานกว่า Accord 2.0 แน่ๆ

ถ้าเช่นนั้น ผมคงต้องบอกว่า มันเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป แต่ต้องทำใจว่า อัตราเร่ง
ของ Accord 2.0 จากจุดหยุดนิ่ง จะยังคงอืดสุดในกลุ่มต่ำกว่า 2.0 ลิตร กับเขาทั้งหมด
ตามเคยอยู่ดี ทว่า ช่วงเร่งแซงนั้น จะขยับขึ้นมา เป็นที่ 3 ในกลุ่ม ต่ำกว่า 2.0 ลิตร

ส่วนรุ่น 2.4 ลิตร นั้น แน่นอนครับ โดน Camry 2.5 ลิตร และ Teana 2.5 ลิตร ฉีกกระจุย
ไปเรียบร้อยหมดแล้ว ทั้งอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง หรือช่วงเร่งแซง และไม่ต้องอธิบาย
อะไรต่อไปกันอีก!

ความเร็วสูงสุด นั้น ล็อกเอาไว้ ด้วยวิธีการ สั่งให้ระบบคอมพิวเตอร์ หรี่ลิ้นปีกผีเสื้อ
และการล็อกมันไว้ระดับนี้ ผมมองว่า เหมาะสมดีแล้ว เพราะความเร็วสูงสุด ไม่ใช่
เรื่องจำเป็นมากนัก ในการขับรถสมัยนี้ ใครที่เหยียบห้อตะบึงขนาดนั้น เอาชีวิต
ไปเสี่ยงตายโดยไม่จำเป็น และเรายังคง มีจุดยืนที่จะไม่สนับสนุนให้ใครก็ตาม
ที่อ่านบทความนี้จบแล้ว ไปทดลองหาความเร็วสูงสุดกันเอาเอง เพราะอันตราย
ต่อชีวิตตนเอง และเพื่อนร่วมทาง ซึ่งก็ถือเป็นความผิดทางกฎหมายจราจรอีกด้วย
เราทำตัวเลขออกมาให้ดู เพื่อให้ได้ทราบข้อเท็จจริง และเป็นประโยชน์ในแง่ของ
การศึกษา ด้านวิศวกรรมยานยนต์ เท่านั้น ต้องเน้นย้ำกันมาเหมือนเช่นเคยครับ

ในการขับขี่ใช้งานจริง บอกได้เลยว่า รุ่น 2.4 ลิตรนั้น ให้อัตราเร่ง ที่พอกันกับ รถรุ่นเดิมเลยนั่นละ
ช่วงออกตัว ไม่ว่าเหยียบคันเร่งลงไปแบบแผ่วเบา หรือเหยียบมิดติดพื้นรถ รคุณจะพบกับอัตราเร่ง
ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ฉุกดึงให้รถ ทะยานไปข้างหน้าอย่างนุ่มนวล เหมือนรุ่นเดิม ช่วงเกียร์ 1
ไปต่อเกียร์ 2 นั้น อัตราทด เซ็ตมาดี ต่อเนื่อง เรียกกำลังได้ดี ถ้าคิดเสียว่าเป็นเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร
แต่ช่วงรอยต่อจากเกียร์ 2 ไปยังเกียร์ 3 นั้น การเซ็ตอัตราทดมายาวไปหน่อย ทำให้รอบเครื่องยนต์
หล่นลงไปมากกว่าที่ควรจะเป็น และต้องไต่ความเร็วเพื่อจะพาตัวรถให้พุ่งไปข้างหน้ากันอีกสักพัก
ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก

จังหวะที่ต้องเร่งแซงนั้น ถ้าคิดจะตบเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ ซึ่งต้องใช้นิ้วตบแป้น Paddle Shift ติดตั้งอยู่
หลังพวงมาลัย ก็สบายใจได้ว่า สมองกลเกียร์ ทำงานได้เร็วพอสมควร ช่วงลากดึงแรงบิดออกมาใช้
ได้อย่างต่อเนื่อง

ต้องทำความเข้าใจกันว่า รุ่น 2.4 TECH นั้น ให้ยางติดรถยนต์มาเป็นขนาด 235/45R18  อันเป็น
ล้ออัลลอยขนาดใหญ่กว่ามาตรฐานทั่วไปที่ Honda เคยให้มา ดังนั้น หน้ายางที่กว้างขึ้น ทำให้
แรงเสียดทาน ก็เยอะขึ้น น้ำหนักของล้อก็เพิ่มขึ้น ทำให้ตัวยเลขที่ออกมา ซึ่งควรจะดีกว่านี้
กลับยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร หากใส่ล้อ 17 นิ้ว เหมือนรุ่น 2.4 EL Navi ก็คงทำตัวเลขเร็วกว่านี้

ส่วนรุ่น 2.0 ลิตร นั้น ถึงแม้จะทำตัวเลขออกมาได้พอกันกับ Honda City 1.5 ลิตร แต่ในการ
ใช้งานจริง อัตราเร่ง ที่ไม่ถึงกับจี๊ดจ๊าด กลับเพียงพอกับการใช้งานของคนไทยทั่วไปส่วนใหญ่
ที่ไม่ได้ขับรถเร็วกันเกินไปกว่า 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง มากนัก อัตราเร่งที่มีมาให้ เพียงพอ กับ
เท้าขวา แต่ว่า อาจไม่ทันใจนักขับตีนหนัก ตีนโหด ซึ่งถ้าคุณคิดว่า อัตราเร่ง เป็นเรื่องใหญ่
และคุณคาดหวังคุณสมบัติด้านนี้ จากเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ใน รถยนต์ D-Segment อาจต้อง
ไปมองหา Toyota Camry 2.0 ลิตร ซึ่งทำตัวเลขและแรงดึงได้ดีที่สุดในกลุ่มนี้แทน

เพราะในการเร่งแซงบนทางด่วน หรือตามทางหลวงทั่วไป ถ้ารถรอบข้าง เคลื่อนที่ไปด้วย
ความเร็วพอๆกัน หรือเร็วกว่ากันเล็กน้อย เหยียบคันเร่งลงไปครึ่งเดียว ก็พอให้เร่งแซงขึ่้น
ไปได้สบายๆแล้ว แค่รอให้เข็มวัดรอบกวาดขึ้นไปอยู่ในแดนหลังจาก 4,500 รอบ/นาที ก็จะ
พบกับอัตราเร่งที่หลั่งไหลกันมาเต็มๆ เรียกได้ว่า ถ้าใครขับ Honda City หรือ Honda Jazz
ไม่เว้นแม้แต่ Toyota vios หรือ Yaris 1.5 ลิตร อยู่แล้ว คุณจะคุ้นเคยกับอัตราเร่งของรุ่น
2.0 ลิตร ได้สบายๆ เพราะมันออกมาพอๆกันนั่นแหละ

แต่ถ้าคุณจะต้องไปสู้รบปรบมือกับบรรดาพวกนักขับบ้าพลังทั้งหลาย ต้องขอบอกว่า ถึงจะ
เหยียบคันเร่งเต็มตีน จนมิด เารี่ยแรงที่ออกมา ถึงจะเพียงพอในการแซงรถที่ใช้ความเร็ว
คงที่นิ่งๆ ในเลนซ้าย หรือซ้ายแช่ขวา ควรทำใจเถิด แม้จะมีแรงดึงให้สัมผัสอยู่นิดๆ แต่
อัตราเร่ง ก็ยังด้อยกว่าคู่แข่งในพิกัดเดียวกันคันอื่น อยู่ดี ถึงจะเพียงแค่ 0.5 วินาที ทำได้
แค่ในระดับ เพียงพอต่อการใช้งานหนักขึ้นกว่าปกตินิดหน่อยเท่านั้น

กระนั้น ถือว่ารุ่น 2.0 ลิตร มีพัฒนาการดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับ Accord 2.0 ลิตร รุ่นปี
2006 หรือ G7 ที่ผมเคยลองขับ รุ่นนั้นนี่ เหยียบจนตีนแทบทะลุเหล็กรถ มันก็ยังขี้เกียจ
ไม่อยากจะพุ่งไปข้างหน้าเลยด้วยซ้ำ!

กระนั้น ถือว่ารุ่น 2.0 ลิตร มีพัฒนาการดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับ Accord 2.0 ลิตร รุ่นปี
2006 หรือ G7 ที่ผมเคยลองขับ รุ่นนั้นนี่ เหยียบจนตีนแทบทะลุเหล็กรถ มันก็ยังขี้เกียจ
ไม่อยากจะพุ่งไปข้างหน้าเลยด้วยซ้ำ!

คันเร่งของทั้งรุ่น 2.4 และ 2.0 ลิตร ถือว่า ตอบสนองได้ไว ใช้การได้ อาจจะยังไม่ถึงขั้น ติดเท้า
เท่ากับ Toyota Camry ใหม่ แต่ไวกว่า Nissan Teana J32 ซึงมีอาการ Slip จาก Torque
Converter หลงเหลืออยู่นิดนึงไม่เยอะนัก นอกจากนี้ เสียงเครื่องยนต์ของทั้ง 2 ขนาด คำรามได้
หวานนุ่ม ไพเราะเสนาะหูขึ้นมาก ในช่วงจังหวะเร่งแซงหรือไต่ความเร็วอย่างฉับพลัน

การเก็บเสียงในห้องโดยสาร เป็นสิ่งที่ได้รับการปรับปรุงชัดเจน ทีมวิศวกรของ Honda เล่าว่า
พวกเขาใส่ใจกับเรื่องนี้อย่างมาก แม้ว่าจะเป็นจุดซ่อนเร้นที่ยากจะมองเห็นก็ตาม แม้แต่พื้นที่
อย่างบริเวณใต้ฝากระโปรงหน้า แผงในบานประตู และพื้นที่ตัวถังซึ่งเปิดโล่ง รวมถึงพรมปูพื้น
หรือขอบวัสดุสำหรับตกแต่งภายในห้องโดยสาร จุดหลักๆ ที่ Honda พัฒนาและปรับปรุงเพื่อ
ลดปัญหา เสียง แรงสั่นสะเทือน และความกระด้าง (Noise , Vibration & Harshness
หรือ NVH) ได้แก่

– เสากระจกบังลมหน้า หรือ A-Pillar ซึ่งในตอนนี้ถูกออกแบบมาให้มีลักษณะที่เกือบจะอยู่ใน
   ระนาบเดียวกับกระจกบังลมหน้า เพื่อลดเสียงที่เกิดขึ้นจากแรงปะทะของลม
– ก้านปัดน้ำฝนถูกติดตั้งให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับขอบของฝากระโปรงหน้า เพื่อทำให้อากาศ
  สามารถไหลผ่านตัวถังได้อย่างไหลรื่น และช่วยลดเสียงดังของลม
– กระจกหน้า และกระจกด้านข้าง มีความหนาอย่างเหมาะสมเพื่อลดเสียงที่มาจากลมปะทะ
– เพิ่มวัสดุดูดซับเสียงใต้ฝากระโปรงหน้าช่วยลดเสียงของเครื่องยนต์ และเสียงจากพื้นถนน
– เพิ่มวัสดุดูดซับเสียงที่ติดอยู่บริเวณซุ้มล้อจะช่วยลดเสียงดังที่มาจากยางและพื้นผิวถนน
– การใช้ขอบยาง ซีลตามขอบด้านล่างของประตู ทั้ง 4 บาน ซึ่งช่วยลดเสียงดังของพื้นถนน
– การบุโฟมตรงบริเวณพื้นที่ในจุดที่ประตูเปิดออกจะช่วยลดเสียงดังของพื้นผิวถนน และยาง
– การติดตั้งวัสดุดูดซับเสียงที่ฝากระโปรงท้ายจะช่วยลดเสียงจากถนน

ผลลัพธ์ก็คือ คุณแทบไม่ต้องเพิ่มเสียงพูดขณะเดินทางกันเท่าใดนัก มีเพียงเสียงยางติดรถ คือ
Michelin Premacy PS3 ที่ดังเข้ามาบ้างในบางรูปแบบผิวถนน ให้ต้องทนฟัง ก็แค่นั้นเอง

กว่าที่คุณจะเริ่มได้ยินเสียงกรแสลมไหลผ่านตัวถังเพิ่มมากขึ้น ก็อาจต้องใช้ความเร็วขึ้นไปถึง
ระดับ 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเมื่อถึง 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง คุณจึงจะจำเป็นต้องเพิ่ม
เสียงพูดคุยกันในห้องโดยสารอีกนิดหน่อย แต่หลังจากนั้น ความดังจะเพิ่มขึ้น อย่างค่อยเป็น
ค่อยไป จนสุดปลาย Top Spped ของรถ ถือว่า มีการปรับปรุงเรื่องการเก็บเสียงได้ดีขึ้น

ส่วนใครที่กลัวว่าเสียงฝนตกบนหลังคาจะดัง ขอยืนยันว่า รุ่น 2.4 TECH หนะ ไม่ดัง เงียบกว่า
ที่คิดไว้ แต่อาจไปดังเอาที่ฝากระโปรงหลังอยู่บ้าง  

กระนั้น การเก็บเสียงของระบบกันสะเทือน ขณะเจอหลุมบ่อ หรือลูกระนาด นั่นละ คือสิ่งที่
ยังต้องปรับปรุงกันต่อไป เพราะนั่นคือที่มาของเสียงบ่นจากหลายๆคน ซึ่งคิดเห็นว่า การ
เก็บเสียงของ Camry ทำได้ดีกว่า Accord ทั้งที่ผมมองว่า มันจริงแค่เพียงตอนที่คุณขับผ่าน
พื้นผิวขรุขชระ หรือรอยต่อผิวถนนเท่านั้น ลองขับบนยางมะตอยเรียบๆ ในช่วงกลางคืน
คุณจะพบว่า Accord ใหม่ เก็บเสียงดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมชัดเจน เพียงแต่ ใครบ้างละ ที่จะมี
โอกาส ได้ลองขับ รถรุ่นนี้ตอนกลางคืน ทั้งที่ยังไม่ได้ลงชื่อในใบจอง ถ้าไม่ใช่ว่า เช่ารถ
วันละ 2,000 บาท ขึ้นไป มาลองขับเอง?

เรื่องเสียงจากช่วงล่างของ Honda นี่ ผมก้ไม่เข้าใจเหมือนกัน คือ ในระยะแรกที่ออกจาก
โรงงาน ระบบกันสะเทือน จะเงียบมากๆ แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก เมื่อเริ่มคลายตัว และ
หลวมขึ้น เสียงกุกกักๆ จากการทำงานของปีกนก และบุชยางต่างๆ จะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าเปรียบเทียบ รถที่แล่นมาด้วยระยะทางประมาณ 20,000 กิโลเมตร เท่ากัน เสียงของ
ช่วงล่าง Honda ทุกรุ่น จะดังขึ้น กว่า ช่วงล่างของ รถยี่ห้ออื่นๆ ทั่วๆไป อยู่สักหน่อย

ฝากหาวิธีปรับปรุงด้วยนะครับ และผมจะบอกให้เลยว่า อย่างก หรืออย่าขี้เหนียวไป
ลดต้นทุนในส่วนนี้เลยเถอะ มันจะส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้บริโภคในภาพรวม
ไปตลอดจนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนรถคันใหม่เลยเชียวนะ!

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ที่เปลี่ยนมาใช้การควบคุมด้วยระบบผ่อนแรง
เพาเวอร์แบบไฟฟ้า และระบบควบคุมการบังคับทิศทางของพวงมาลัย (Motion Adaptive Electric
Power Steering System หรือ MA-EPS) มาให้ด้วย เหมือนใน CR-V ใหม่ กับ Civic FB ใหม่
นั่นเอง รัศมีวงเลี้ยวในรุ่น 2.0 ลิตร จะอยู่ที่ 5.7 เมตร แต่ในรุ่น 2.4 ลิตร จะเพิ่มเป็น 5.9 เมตร
อัตรารทดเฟืองพวงมาลัยในรุ่น 2.0 ลิตร และ 2.4 ลิตร TECH ล้อ 18 นิ้ว อยู่ที่ 13.41 : 1 หมุน
พวงมาลัยจากซ้ายไปขวาสุด Lock to Lock ได้ 2.46 รอบ แต่ถ้า เป็นรุ่น 2.4 ลิตร ล้อ 17 นิ้ว
อัตราทดเฟืองจะอยู่ที่ 13.28 : 1 และหมุนพวงมาลัย Lock to Lock ได้ 2.54 รอบ

งิธีการทำงานของระบบนี้ ก็เข้าใจไม่ยาก ระบบจะช่วยเพิ่มอาการ ขืนพวงมาลัย ให้ผู้ขับขี่มากขึ้น
ถ้าเลี้ยวเข้าโค้งขวา พวงมาลัยจะพยายามขืนตัวมาทางซ้ายให้มากขึ้นนิดๆ ให้พอดีกับการหักเลี้ยว
ของผู้ขับขี่ และยิ่งถ้า ติดตั้งกับรุ่น 2.4 ลิตร ซึ่งมีระบบสารพัดตัวช่วย ระบบ EPS ก็จะประสาน
การทำงานเข้ากับระบบ VSA ทั้งหมด เพื่อคำนวน หาการหมุนพวงมาลัยที่เกิดขึ้น กับความเร็ว
ของรถ แถมยังเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์ของ ABS เพื่อดูว่าจะต้องช่วยส่งแรงต้าน ไปขืนพวงมาลัย
ขณะรถเสียหลัก แค่ไหน

พวงมาลัยเบากว่ารุ่นเดิม จนต้องถามว่า นี่กำลังขับ Civic อยู่ใช่ไหม? แต่แอบมีน้ำหนักดึงมือนิดๆ
ในช่วงความเร็วต่ำ ไม่มากนัก เบากำลังดีแล้ว ถ้าจะต้องหักหลบกรวยไพลอน ซิกแซกไปมา ช่วง
ความเร็ว 40 -50 กิโลเมตร/ชั่วโมง พวงมาลัยจะไวแบบตามสั่ง! เพราะแค่คิดแล้วเริ่มหมุนพวงมาลัย
เพื่อสั่งให้เลี้ยวไปในทิศทางไหน รถจะเลี้ยวไปทางนั้นทันที ไม่หน่วง ไม่เนือย ไม่มีอิดออด และ
การเลี้ยวจากซ้ายไปขวานั้น เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบ Real Time ตามใจสั่งของคนขับมากกว่า
Accord รุ่นก่อน และการตอบสนองคล้ายกับ พวงมาลัยของ Civic และ CR-V รุ่นล่าสุด มากๆ แต่
แอบเบากว่านิดเดียว ในย่านความเร็วต่ำ

ขณะเลี้ยวเข้าโค้งในความเร็วตั้งแต่ 70 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แม้ว่าจะเลี้ยวได้ตามใจสั่ง และ
ความพยายามของระบบ MA-EPS ที่จะขืนพวงมาลัยนั้น เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกำลังดี
ทว่า น้ำหนักของพวงมาลัยในช่วงความเร็วสูง โดยนิสัยการขับรถส่วนตัวของผมแล้ว โอเค
ยอมรับได้ กำลังดี แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว ผมว่ามันเบาไปหน่อย อยากให้เพิ่มความหนืด
กลับมามากกว่านี้อีกนิด เอาให้เท่ากับพวงมาลัยของ Accord G8 รุ่นเดิม น่าจะช่วยเพิ่มความ
มั่นใจให้ผู้ขับขี่ “ส่วนใหญ่” ได้มากกว่านี้อีกนิดนึง

ในย่านความเร็วสูง พวงมาลัยของ Accord ใหม่ ค่อนข้างไว มีระยะฟรีไม่มากนัก ถ้าคิดจะ
เปลี่ยนเลน ณ ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยการกระดิกพวงมาลัยเพียงแค่ไม่เกินระดับ
1 เซ็นติเมตร รถยนต์ทั่วไปจะใช้เวลาเปลี่ยนเลนได้ใน 7 – 8 วินาที แต่ Accord ใช้เวลาราวๆ
4 – 5 วินาที ซึ่งดูเหมือนจะมีเพียงแค่ Toyota Corolla Altis รุ่นปี 2008 – 2010 เท่านั้น ที่จะ
ทำเวลาได้เร็วกว่า คือ 4 วินาที

ถึงแม้ว่า On-Center feeling จะยังนิ่งดี ไม่วอกแวก ถือตรงได้ ปล่อยมือจากพวงมาลัยที่ย่าน
ความเร็วสูงราวๆ 4-5 วินาที ก็ยังได้ เหมือนเดิม และยังมีแรงขืนพวงมาลัยจากระบบไฟฟ้า
MA-EPS ให้สัมผัสได้อยู่ จนถือเป็นพวงมาลัยที่ผมชื่นชอบในความไวกำลังดีแต่แม่นยำ
ในแบบของมัน

แต่สำหรับคนทั่วไป ที่ขับรถไม่ได้ชำนาญ หรือไม่ได้เชี่ยวชาญนัก ผมแนะนำว่า ถ้าขับ Accord
ใหม่ เดินทางไปต่างจังหวัดอยู่ แล้วเจอใครก็ตาม ขี่จักรยานยนต์ตัดหน้า มีรถพ่วง หรือสิบล้อ
กลับรถตัดหน้าแล้วละก็..

“อย่าหักพวงมาลัยหลบแบบกระทันหัน ในทันที เด็ดขาด! นั่นคือวิธีที่จะพาให้คุณเสียหลัก
พุ่งลงข้างทางได้โดยง่ายดายกว่าปกติเลยละ!”  พวงมาลัยนี้ แทบไม่เหลือช่องว่างระหว่างช่วง
ปกติ กับช่วงวิกฤติ ให้ผู้ขับขี่ได้แก้อาการกันมากนัก

ภาพรวมของพวงมาลัย Accord ใหม่ จะตอบสนองคล้ายๆกับ Mercedes-Benz E-Class W212
ก่อนปรับโฉม ผสมกับพวงมาลัยของ Honda Civic FB และ Toyota Camry ใหม่ล่าสุด ผสมกัน
และคนที่จะเหมาะกับพวงมาลัยของรถรุ่นนี้ คือผู้หญิงที่มักขับรถในเมืองเป็นหลัก หรือ ผู้ชาย
ที่ขับรถเร็ว แต่ไม่ชอบพวงมาลัยหนักแบบรถสปอร์ต ชอบพวงมาลัยที่ไวและง่ายดายต่อการ
มุดลัดเลาะไปตามสภาพการจราจรที่ไหลตามกันไปได้

แต่สิ่งที่อยากจะขอให้ปรับปรุงเพิ่มเติมก็คือ น้ำหนักพวงมาลัยในช่วงความเร็วเกินกว่า 80
กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ควรจะหนัก และหนืดเพิ่มขึ้นมากกว่านี้อีกสักหน่อย อยากให้ลองดูการ
ตอบสนองของพวงมาลัย BMW 7-Series หรือ 5-Series เป็น Benchmark

ระบบกันสะเทือนหน้าเปลี่ยนมาใช้แบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต พร้อมเหล็กันโคลงหน้า มีการ
ปรับปรุงโดยเปลี่ยนมาใช้ บุชยางแบบ Hydro Compliance bushing ภายในเคลือบสาร Teflon
มีความฝืดต่ำ น้ำมันในกรอกบช็อกอัพ เป็นน้ำมันสป็กใหม่ แถมด้วยสปริงแบบใหม่ซึ่งช่วย
ลดการกระเด้งกระดอน ลดการโคลง และเอียงตัว ของตัวรถขณะเลี้ยวเข้าโค้ง รวมทั้งลดแรง
สั่นสะเทือนของระบบบังคับเลี้ยว ขณะขับขี่ทุกช่วงความเร็วลงได้เยอะ นอกจากนี้ยังมีการ
ปรับแต่งช่วงล่างด้วยหลักเรขาคณิตให้แม่นยำยิ่งขึ้น เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับ Sub-Frame
และชุด Strut ด้านหน้า เปลี่ยนมาใช้วาล์วไฮดรอลิกและ Seal แบบใหม่ อีกทั้งยังมีการติดตั้ง
เหล็กค้ำช็อกอัพคู่หน้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองการควบคุมรถให้คล่องแคล่ว
ยิ่งขึ้น

ส่วนด้านหลัง เป็นแบบ Multi-Link พร้อมเหล็กกันโคลง ถูกออกแบบให้มีน้ำหนักลดลงถึง
15.2 กิโลกรัม ประกอบด้วยแขนยึด A-Arms ชิ้นบน ผลิตด้วยการปั๊มขึ้นรูปจากเหล็กกล้าที่มี
ความทนทานสูง พร้อมกับข้อต่อที่ผลิตจากอะลูมิเนียม และการจัดวางในเชิงเรขาคณิตที่มี
ความแม่นยำ ช่วยลดอาการท้ายยก เมื่อผู้ขับขี่เหยียบเบรกกระทันหันและอย่างรุนแรง ส่วน
จุดยึดด้านล่างจะเชื่อมเข้ากับ Sub-Frame หลังที่แข็งแกร่ง ติดตั้งเชื่อมยึดกับพื้นโครงสร้าง
ตัวถังด้วยแท่นยึดที่ผลิตจากยาง เพื่อช่วยลดเสียง drumming และลดเสียงที่มีความถี่ต่ำ ขณะ
ขับขี่ลงไปได้

การตอบสนองของมันทำเอาผมประหลาดใจ นี่คือช่วงล่างของ Honda ประกอบในประเทศไทย
รุ่นแรกในรอบหลายสิบปี ที่ นุ่มนวลเวลาพาคุณยาตราผ่านไปบนแนวลูกระนาด หลุมบ่อ หรือ
พื้นผิวขรุขระต่างๆ บนท้องถนน ในกรุงเทพมหานคร!! ถึงแม้อาการตึงตังเวลาขับผ่านรอต่อ
ของพื้นถนนยังหลงเหลือให้พบเจออยู่บ้าง ตามนิสัยปกติของช่วงล่าง Honda แต่ขณะเดินทาง
ในเมือง ช่วงล่างแบบนี้แหละ ที่นุ่มนวล สบายกำลังดี ในแบบที่ผู้โดยสารด้านหลังเฝ้ารอจาก
Honda มาตลอด! มันนุ่มเสียจนแทบจะกระเดียดไปในแนวของ E-Class W212 มากกว่า

ทุกอย่างจะยิ่งชัดเจนเมื่อคุณพารถขึ้นทางด่วน หรือเริ่มใช้ความเร็วสูง ช่วงล่างของ Accord
ใหม่ ให้ความมั่นใจได้ดีกว่า E-Class W212 ช่วงล่างแบบ Elegance และถือว่า ใกล้เคียงกัน
กับช่วงล่างของรุ่น Avantgarde เพียงแต่เวลาผ่านรอยต่อของทางด่วน ก็อาจมีเสียงจากยาง
และมีการส่งผ่านแรงสะเทือนขึ้นมายังเบาะรองนั่งชัดเจนอยู่บ้าง แต่น้อยกว่ารุ่นเดิมเยอะ

บนโค้ง ของทางด่วน ผมสามารถใช้ความเร็วขณะอยู่ในโค้งรูปเคียวขวา เหนือมักกะสัน ได้ที่
ระดับ 90 – 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อลงมาเจอ โค้งซ้าย ฝั่งตรงข้ามโรงแรมเมอเคียว ผมพาทั้ง
2.4 และ 2.0 ลิตร เลี้ยวเข้าไปได้ด้วยความเร็ว 85 – 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งถือว่าทำได้ใน
เกณฑ์ค่อนข้างดีกว่าปกติทั่วไปนิดนึงอยู่แล้ว หากมองในแง่ของการเซ็ตช่วงล่างเพื่อรถยนต์
นั่งโดยสารสำหรับผู้ใหญ่หนะครับ

เพียงแต่ในช่วงความเร็วต่ำ ความแตกต่างของ ช่วงล่าง Accord 2.4 TECH กับ 2.0 ลิตร มีให้
เจอเล็กน้อย คือ รุ่น 2.0 ลิตร จะมีอาการสะเทือน ขณะขับผ่านหลุมบ่อต่างๆ มากกว่ารุ่น 2.4
TECH อย่างชัดเจน ทั้งที่ลมยาง ก็เซ็ตไว้ตามมาตรฐานจากโรงงาน

แต่ถ้าให้ต้องเทียบกับ ทั้ง 2 คู่แข่งที่เหลือแล้วละก็ ชัดเจนว่า Accord ใหม่ เซ็ตช่วงล่างมาได้ดีขึ้น
จนใกล้เคียงกับ Camry ใหม่ มากขึ้น ขณะที่ ลูกค้าซึ่งยังแสวงหาความนุ่มนวลในการโดยสาร
เป็นหลัก ก็ยังคงต้องหันไปมอง Teana J32 ได้อยู่

ระบบห้ามล้อ ของ”ทุกรุ่น” เป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ คู่หน้า มีรูระบายความร้อน มาพร้อมระบบ
ป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) แบบ 4-Channel ระบบกระจายแรงเบรกตาม
น้ำหนักบรรทุก EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบเสริมแรงดันของระบบเบรก
ในภาวะฉุกเฉิน Brake Assist ทำงานร่วมกับ ระบบควบคุมเสถียรภาพ VSA (Vehicle Stability
Assist) ซึ่งจะอ่านข้อมูลจาก ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า เซ็นเซอร์ของระบบ ABS

หลักการทำงาน ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากระบบเดียวกันนี้ แต่ใช้ชื่อว่า VSC ของ Toyota หรือใน
ชื่เรียกอื่น ของผู้ผลิตรายอื่นๆ นั่นคือ ถ้าผู้ขับขี่ เข้าโค้งแล้วท้ายปัด (Oversteer) หรือหน้ารถเกิด
อาการดื้อโค้ง (Understeer) หรือเปลี่ยนเลนกระทันหัน จนกระทั่งเซ็นเซอร์ ตรวจจับได้ว่า รถ
กำลังเสียการทรงตัว ระบบ VSA จะสั่งให้ส่งแรงดันน้ำมันเบรกไปยังล้อข้างใดข้างหนึ่ง หรือ
มากกว่านั้น พร้อมๆกับตัดการทำงานของลิ้นปีกผีเสื้อ เพื่อควบคุมให้รถยนต์ กลับมาทรงตัว
ได้อย่างที่ควรจะเป็น ขณะที่ระบบทำงาน จะมีสัญญาณกระพริบบนชุดมาตรวัดความเร็ว
ไม่ต้องตกใจ ปล่อยให้มันทำงานไปตามเรืองราวของมันแค่นั้น

แต่ถ้าผู้ขับขี่ กดปุ่มปลดการทำงานของ VSA และระบบควบคุมการลื่นไถล Traction Control
ด้วยการกดปุ่มที่อยู่ในห้องโดยสาร ระบบป้องกันล้อล็อกหรือ ABS ก็จะยังคงทำงานแทนที่
เพียงอย่างเดียว

แป้นเบรก ปรับปรุงการตอบสนองมาให้นุ่มนวลมากขึ้น เพิ่มความต่อเนื่อง (Linear) ในการ
ทำงานจับตัวของระบบเบรก ให้สอดคล้องกับน้ำหนักเท้าที่ต้องเหยียบเบรกลงไปได้ดีขึ้น
แต่ต้องเหยียบลงไปราวๆ 25 – 30% ของระยเะเหยียบทั้งหมด ระบบเบรกจึงจะเริ่มทำงาน
อย่างเต็มที่ เบรกนุ่มนวลดี มากๆ การหน่วงรถลงมาจากช่วงความเร็วสูงนั้น ทำได้มั่นใจดี
เท่าที่ลองมา ยังไม่เจออาการ Fade หรือร้อนจนผ้าเบรกบอกว่าไม่ไหวแล้วลูกพี่ แต่อย่างใด
อาจมีบ้าง ก็แค่ กลิ่นไหม้ หลังจากการหน่วงรถลงมาจากช่วงความเร็ว Top Speed (เหยียบ
เบรกลงไปแค่ ครึ่งหนึ่ง ของระยะเหยียบ (Pedal Travel) ทั้งหมด ก็แค่นั้น

ขณะเดียวกัน สำหรับการขับขี่ในเมือง คุณยังสามารถควบคุมเบรก ให้ชะลอรถ และหยุดรถ
อย่างนุ่มนวลได้ ตามเท้า แบบเดียวกับรถญี่ปุ่นที่ดี ทั้วๆไป ระบบ ABS ทำงานไวในระดับ
พอกันกับ Honda รุ่นอื่นๆ ที่ผมเจอมา แต่ VSA จะทำงานได้ไวกำลังดี ทันต่อสถานการณ์
ใช้ได้

นอกจากนี้ ทุกรุ่นย่อย ยังจะติดตั้งระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HSA (Hill
Start Assist) ซึ่งจะช่วยขณะจำเป็นต้งออกตัวบนทางลาดชัน ระบบนี้จะสั่งให้แรงดัน
น้ำมันเบรกค้างอยู่ในระบบสัก 2-3 วินาที เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเลื่อนเท้าจากแป้นเบรก
ไปเหยียบคันเร่งได้โดยที่ตัวรถไม่มีการเคลื่อนไหลลงมา

ด้านความปลอดภัยนั้น นอกเหนือจากการติดตั้งถุงลมนิรภัย มาให้ครบ ทั้ง 6 ตำแหน่ง

คราวนี้ Accord ใหม่ จะสามารถเชิดหน้าชูตา ให้แก่ชาว Honda Mania ได้เสียที เพราะ Honda
ติดตั้งระบบตัวช่วยด้านความปลอดภัยมาให้ Accord ใหม่ เต็มพิกัด (เฉพาะรุ่น 2.4 TECH ตัว
Top เท่านั้น)

เริ่มด้วย ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control (ACC) ซึ่งจะ
ปรับความเร็วของรถให้เหมาะสม ด้วยการเว้นระยะห่างจากท้ายของรถคันหน้า เพื่อความ
ปลอดภัยในขณะขับขี่ ระบบนี้ทำงานโดยใช้ Redar ที่มีความถี่ในระดับมิลลิเมตร ติดตั้งอยู่ที่
สัญลักษณ์รูปตัว H ด้านหน้ารถ เพื่อตรวจสอบระยะห่างจากรถคันข้างหน้า

เมื่อผู้ขับขี่กดปุ่ม “MAIN” ทางด้านขวาของพวงมาลัย ระบบ Adaptive Cruise Control จะเริ่ม
ทำงาน โดยมีไฟตัวอักษร ACC ปรากฏขึ้นมาบนมาตรวัดความเร็ว จากนั้น เมื่อเหยียบคันเร่ง
จนไต่ขึ้นไปถึงระดับความเร็วที่ต้องการ ให้กดปุ่ม “Set/-“ ทางด้านขวาของพวงมาลัย เพื่อสั่ง
ล็อกความเร็ว ถึงจุดนี้ ความเร็วที่ต้องการ จะถูกยืนยันบนหน้าจอ Multi-Information Display
ซึ่งอยู่ตรงกลางของมาตรวัดความเร็ว

จากนั้น ถ้าอยากจะให้ระบบ รักษาความเร็วทิ้งช่วงจากรถคันข้างหน้า ใกล้ – ห่าง แค่ไหน ให้
กดปุ่ม “Distance”” บนพวงมาลัย โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกได้ 4 ระดับ สังเกตได้จากแถบบน
หน้าจอ MID

แถบที่ 1 ใกล้สุด หมายถึงระยะห่าง 1 วินาที
แถบที่ 2 หมายถึงระยะห่าง 1.35 วินาที
แถบที่ 3 หมายถึงระยะห่าง 2 วินาที
แถบที่ 4 ไกลสุด แถบหมายถึงระยะห่าง 2.8 วินาที

ขณะที่ระบบนี้ กำลังทำงาน หน่วยสมองกลคอมพิวเตอร์ของเครื่องยนต์ ECU (Engine Control
Unit) จะปรับการทำงานของลิ้นปีกผีเสื้อ เพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันข้างหน้า ตามระยะที่เรา
เลือกไว้

แต่ถ้ามีรถยนต์คันอื่น เข้ามาอยู่ข้างหน้า แทรกกลางระหว่างรถของเรา กับรถคันที่เราขับตามอยู่
ระบบจะส่งเสียงเตือนเล็กๆ และสัญลักษณ์รูป “รถ” ก็จะกระพริบบนหน้าจอ MID จากนั้น
ระบบก็จะปรับการทำงานของลิ้นปีกผีเสื้อ และเพิ่มแรงเบรกอย่างชัดเจน จนผู้ขับขี่สัมผัสได้
ทั้งที่ไม่ต้องเหยียบเบรกเองเลย เพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันข้างหน้า ให้เท่ากับระยะที่ตั้งไว้
สัญลักษณ์รูปรถจะปรากฏบนจอ MID ทุกครั้งที่มีรถยนต์แล่นอยู่ข้างหน้า ในระยะที่ระบบ
ACC จะตรวจเจอได้

ในทางกลับกัน เมื่อรถยนต์คันข้างหน้า พุ่งขึ้นไปจนเกินกว่าระยะที่ Redar จะตรวจจับได้
สัญลักษณ์รูปรถ จากแบบทึบ ก็จะกลายมาเป็นแบบเส้นประแทน และระบบ Adaptive
Cruise Control จะสั่งให้ลิ้นปีกผีเสื้อ เร่งความเร็วขึ้น กลับไปอยู่ในตำแหน่งที่ผู้ขับขี่สั่ง
ล็อกเอาไว้ในตอนแรก

อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ได้เปิดระบบนี้ทำงานไว้ หากรถพุ่งเข้าใกล้รถคันข้างหน้ามากเกินไป
ระบบจะกระพริบไฟเตือนสีแดง จากเหนือแผงหน้าปัด สะท้อนขึ้นบนกระจกบังลมหน้า
พร้อมกับเสียงเตือนด้วย ตามปกติ ถ้าผู้ขับขี่ไม่ได้เหยียบเบรก ระบบจะช่วยหน่วงชะลอ
ความเร็วลงมาให้ระดับหนึ่ง แต่ถ้ายังพุ่งเข้าไปชนรถคันข้างหน้าต่อ อันนี้เป็นเรื่องที่
ช่วยไม่ได้แล้วครับ

ไฟกระพริบสีแดง พร้อมระบบหน่วงความเร็วรถลงมา จะยังทำงานในกรณีที่เปิดระบบ
Redar Cruise Control เอาไว้ แล้วมีไอ้บ้าที่ไหน เบียดมาตัดหน้ากระทันหัน ระบบ
จะะหน่วงความเร็วให้ทันทีเช่นเดียวกัน รถจะเบรกชะลอเอง โดยผู้ขับไม่ต้องเหยียบแป้น
เบรกแต่อย่างใด แต่อันที่จริง ก็ควรจเหยียบเบรกต่อตามสัญชาตญาณไป จะดีกว่า

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของระบบนี้ ก็คือ ในบางครั้ง การทำงานของ Redar ตรวจจับคลื่นความถี่
ระดับมิลลิเมตรของ ACC อาจจะได้รับผลกระทบจากฝนตก หิมะ หมอก และอากาศที่แปรปรวน
ดังนั้น ระบบ ACC จะไม่สามารถใช้งานได้ภายใต้สภาพอากาศที่กล่าวมาข้างต้น

ระบบ Adpative Cruise Control จะทำงานร่วมกับ ระบบ เตือนการชนด้านหน้าด้วย Redar พร้อม
ระบบช่วยเบรก CMBS (Collision Mitigation Brake System) ซึ่งจะแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่รู้ว่า กำลัง
จะพุ่งไปชนรถคันข้างหน้าแล้วนะ แล้วก็ช่วยเบรก เพื่อลดความสูญเสียจากการชนให้น้อยที่สุด

หลักการทำงานของระบบ CMBS ก็คือ ไม่ว่าคุณจะเปิด หรือปิดระบบ Adaptive Cruise Control
อยู่ก็ตาม ทันทีที่ออกรถ และใช้ความเร็วเกิน 15 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป Redar จะตรวจจับจาก
ด้านหน้าของรถว่า มีรถยนต์แล่นอยู่หรือไม่ ถ้าหากว่ามี Redar จะตรวจจับว่า ความเร็วระหว่าง
Accord 2.4 TECH ที่คุณขับอยู่ กับรถคันข้างหน้า ต่างกันมากหรือน้อยกว่า 15 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ถ้าน้อยกว่า ระบบก็จะยังอยู่ในสภาพเตรียมพร้อม

แต่ถ้าต่างกันมากกว่า 15 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือมีแนวโน้มว่า รถคันที่เราขับ จะพุ่งไปสอยบั้นท้าย
รถคันข้างหน้า ระบบจะส่งสัญญาณกระพริบคำว่า BRAKE สีเหลือง ขึ้นที่จอวงกลมตรงกลางชุด
มาตรวัด รวมทั้ง ไฟสัญญาณกระพริบสีแดง มาในแบบเดียวกับ Volvo เลยละ! พร้อมเสียงเตือน
ให้ผู้ขับขี่รู้ตัว แต่ถ้ารถยังเข้าใกล้รถคันหน้ามากขึ้นอีก ระบบจะเริ่มเบรกหน่วงรถให้ช้าลง แล้ว
ดึงเข็มขัดนิรภัยด้านผู้ขับขี่เพื่อ เตือนให้เหยียบเบรกเสียที เสี้ยววินาทีเดียวกัน ระบบจะสั่งให้
รถเบรกเบาๆ เพื่อชะลอความเร็วของรถลง แต่ถ้าในกรณีที่รถยังคงเข้าใกล้รถคันหน้ามากขึ้น
จะมีการรัดเข็มขัดนิรภัยด้านผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าให้แน่น พร้อมเบรกที่แรงขึ้น

แต่ถ้าระบบตัวช่วย เอาไม่อยู่จริงๆ โครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON จะรับหน้าที่ปกป้องชีวิตผู้ขับขี่และ
ผู้โดยสารแทน คราวนี้ Accord ใหม่ ได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพการกระจายแรงปะทะที่เกิดขึ้น
จากด้านหน้า ให้กระจายไปยังตลอดโครงสร้างตัวถังด้านหน้า และส่งต่อไปยังบริเวณโครงสร้างต่างๆ
ของตัวรถตลอดทั้งคัน ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อช่วยลดความรุนแรงและผลกระทบขณะถ่ายทอดแรงปะทะจาก
การชนที่ด้านหน้า อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการสะท้อนแรงกระแทกซึ่งต้องกระจายไปยังรถยนต์ของ
คู่กรณีอีกด้วย เพื่อช่วยลดความเสียหายจากการชนกันแบบประสานงาทางด้านหน้าระหว่างรถยนต์ที่
มีขนาดต่างกัน

อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างจากงานออกแบบโครงสร้างตัวถังเดิมๆ ซึ่งปกติแล้ว แรงกระแทกจะถูกส่ง
ลงไปยังโครงสร้างตัวถังด้านล่างเป็นหลักนั้น คือ ใน Accord ใหม่ โครงสร้าง G-CON ถูกออกแบบให้
ส่งแรงกระแทกให้กระจายไปตามแนวโครงสร้างตัวถังทั้งด้านบนและด้านล่าง เต็มรูปแบบ สู่พื้นตัวถัง
โครงตัวถังด้านข้าง และเสากระจกบังลมคู่หน้า หรือ A-Pillar การสร้าง “เส้นทาง”ให้แรงปะทะ ส่งต่อ
ไปยังจุดต่างๆของโครงสร้างตัวถัง จะช่วยให้แรงปะทะ ถูกส่งกระจายไปทั่วทั้งคัน ลดความเสียหาย
ของโครงสร้างห้องโดยสาร ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบฝากระโปรงหน้า และชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้าทั้งหมด เพื่อช่วยดูดซับแรง
กระแทกจากการชนเข้ากับคนเดินถนน เพื่อช่วยให้ ผู้ถูกชน มีโอกาสรอดชีวิตสูงขึ้น

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

อีกประเด็นที่สำคัญ และขาดไปเสียมิได้ในการทดลองรถยนต์ของ Headlightmag
นั่นคือ การทดลองหาความประหยัดน้ำมัน ยิ่งในเมื่อ เรามีข้อมูลรถรุ่นเก่าไว้อยู่แล้ว
ผมก็อยากจะรู้ว่า Accord ใหม่ จะทำตัวเลขความประหยัดเพิ่มขึ้นจากเดิมได้หรือไม่
มากน้อยเพียงใด?

เราจึงยังคงใช้วิธีการทดลองตามมาตรฐานดั้งเดิม คือการพารถไปเติมน้ำมัน เบนซิน 95
Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex บนถนนพหลโยธินใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS
อารีย์ ในช่วงกลางคืน

และในเมื่อ Accord เป็นรถยนต์นั่งขนาดกลาง ค่อนข้างใหญ่ ถึงแม้จะมีคนอยากรู้ถึง
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แต่ลูกค้าในกลุ่มนี้ ไม่ได้ซีเรียสกับตัวเลขกันมากขนาดนั้น
เราจึงตัดสินใจ เติมน้ำมัน ด้วยวิธี เติมเสร็จแล้วให้หัวจ่ายตัด ก็พอ ไม่ต้องเขย่ารถ
อย่างเช่นที่ต้องทกับรถยนต์นั่งต่ำกว่า 2.0 ลิตร และรถกระบะ ให้ปวดเข่าและก้นกบ

เมื่อเราเติมน้ำมันจนเต็มถัง เราก็ คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ ออกรถ
ไปเลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายลัดเลาะไปตามซอยอารีย์ ออกปากซอย
โรงเรียนเรวดี เลี้ยวซ้าย มุ่งสู่ถนนพระราม 6 ไปเลี้ยวขวาขึ้นทางด่วน ขับไปเรื่อยๆ
จนสุดปลายทางด่วนสายเชียงราก อุดรรัถยา ที่ด่านบางปะอิน ก่อนจะเลี้ยวกลับย้อน
ขึ้นทางด่วนสายเดิม ขับกลับมาเข้ากรุงเทพฯกันอีกครั้ง ด้วยมาตรฐานเดิมคือ

ใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และ นั่ง 2 คน และคราวนี้ เพื่อรักษาความเร็ว
ให้นิ่งยิ่งขึ้น เราเปิดระบบควบคุมความเร็ว Cruise Control ในรุ่น 2.0 ลิตร และ Redar 
Cruise Control ในรุ่น 2.4 ลิตร ซึ่งต้องขอชมเชยว่า มีการปรับปรุง ให้สามารถรักษา
ความเร็วของรถ และรอบเครื่องยนต์ให้คงที่ ต่อเนื่อง และรักษาแรงฉุกลากเครื่องยนต์ขณะ
ไต่ขึ้นเนินหรือทางลาดชันได้ดีขึ้นมาก พอๆกันกับรถยุโรปแล้ว!

เมื่อถึง ทางลง จากทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  เราเลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับ
ที่ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex พหลโยธิน กันอีกครั้ง
เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ให้เต็มถัง เอาแค่หัวจ่ายตัดพอ เหมือนครั้งแรกที่เริ่มต้นทดลอง

เอาละ มาดูตัวเลขที่ ทั้ง 2 รุ่นทำได้กันดีกว่า

รุ่น 2.4 ลิตร TECH ล้อ 18 นิ้ว
ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด 92.6 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับเฉลี่ย 6.18 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 14.98 กิโลเมตร/ลิตร

ถือว่าทำได้ดีขึ้นกว่า Accord G8 2.4 ลิตร รุ่นเดิม ซึ่งอยู่แถวๆ 14.4 ลิตร ที่ราวๆ 0.5 กิโลเมตร/ลิตร!

รุ่น 2.0 ลิตร EL Navi ล้อ 17 นิ้ว
ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด 93.2 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับเฉลี่ย 6.04 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 15.43 กิโลเมตร/ลิตร

ประหยัดขึ้นกว่ารุ่น 2.0 ลิตร เดิม ราวๆ 0.8 กิโลเมตร/ลิตร! กลายเป็น D-Segment 2.0 ลิตร ที่ประหยัดที่สุด!

เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขกับคู่แข่งทั้งหมดในตลาดแล้ว หากมองกันเฉพาะ พิกัดเบนซิน
2.0 ลิตร ที่ยังทำตลาดอยู่ในตอนนี้ Accord 2.0 EL Navi คันสีขาวรุ่นล่าสุด จะครอง
แชมป์ในกลุ่มนี้ไปเลย ด้วยตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่เกินหน้าเกินตาชาวบ้านเขา
ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ Skoda Superb ก็ยังโดนสอยร่วงจากบรรลังก์แชมป์ในกลุ่มนี้

หรือถ้าเปรียบเทียบ ในกลุ่ม ไม่เกิน 2.5 ลิตร เบนซินล้วนๆ ไม่มีระบบขับเคลื่อน Hybrid
มาเกี่ยวข้อง Accord 2.4 TECH พร้อมล้อ 18 นิ้ว ก็ยังทำตัวเลขครองแชมป์ในกลุ่มนี้
ไปอีกเช่นเดียวกัน ด้วยตัวเลข 14.98 กิโลเมตร/ลิตร

แต่ถ้า นับกันทุกรุ่น ทั้งกลุ่มตลาด D-Segment ซึ่งหมายความว่า ต้องรวมรถยนต์ Hybrid
เข้ามาด้วย ณ เวลาที่บทความนี้ออกสู่สาธารณชน คือเดือนกรกฎาคม 2013 Camry Hybrid
ก็จะฉีกแซง Accord ขึ้นเป็นแชมป์ ประหยัดน้ำมันสูงสุด ด้วยตัวเลข 18.59 กิโลเมตร/ลิตร
งานนี้ หงายเงิบกันไปเป็นแถวๆ ยังไงๆ Camry Hybrid ก็จะยังคงครองแชมป์ด้านความ
ประหยัดน้ำมันในกลุ่มรถยนต์ขนาดกลางของบ้านเรากันต่อไปอีกนานพอสมควรเลยละ!

แล้วถ้าเติมน้ำมันเต็มถัง Accord จะแล่นได้ไกลแค่ไหน? คำตอบหลังจากที่ผมลองขับใช้งาน
ทั้งรุ่น 2.4 TECH และ 2.0 EL Navi น่าจะแล่นได้ไกลราวๆ 600 กิโลเมตร ต่อการเติมน้ำมัน
1 ถัง ซึ่งรวมรูปแบบการขับขี่ทั้งการจราจรติดขัด ไปจนถึง ขึ้นทางด่วน ทำตัวเลขอัตราเร่ง
ทำความเร็วสูงสุด ไปรุ่นละ 2 ครั้ง ให้แล้วเสร็จสรรพ ต้องถือว่า อันที่จริง ก็ประหยัดพอได้
แต่ถ้าแล่นใช้งานในเมือง ช่วงรถติด ตัวเลขที่ดีที่สุด ที่เคยเห็นบนมาตรวัดของ Accord ทั้ง
2 รุ่นคือ 10.5 กิโลเมตร/ลิตร

********** หมายเหตุ ระหว่างทดลองขับ **********

คงต้องบอกถึงสิ่งที่ผมได้พบเจอกับ Accord 2.0 คันสีขาว ที่เห็นอยู่ในบทความนี้กันสักหน่อย
ว่า ผมได้เจอ เหตุการณ์ ที่ไม่ว่าผม หรือคุณผู้อ่าน ก็ไม่ควรจะพบเจอในรถยนต์ใหม่ที่ออกขาย
และออกแล่นได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น

ระหว่าง บันทึกภาพนิ่ง ของ Accord 2.0 EL Navi คันสีขาว บริเวณ ถนนสายเล็กๆ ใกล้คลอง
ระบายน้ำสุวรรณภูมิ ผมจำเป็นต้อง จอดนิ่งๆ ติดเครื่องยนต์ ขยับรถ ให้ได้มุมที่ต้องการ แล้ว
ดับเครื่อง เพื่อประหยัดน้ำมัน และลดการปล่อยไอเสียให้กับโลก คันนึง ทำแบบนี้ ราวๆ 5-6
ครั้ง เว้นช่วงกันพักใหญ่ ไม่ได้ต่อเนื่องกันเสียทีเดียว ที่ผ่านมา รถทุกคัน ผมก็ทำแบบนี้มา
โดยตลอด ไม่เคยมีปัญหาอะไร จนกระทั่ง คราวนี้

ถ่ายรูปเพิ่งเสร็จ และกำลังจะขึ้นรถ…กดปุ่มติดเครื่องยนต์…

มันไม่ยอมติดขึ้นมาทำงานครับ ไฟบนหน้าปัดกระพริบ พร้อมส่งเสียงดัง “แต๊กๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
สัก 5-6 วินาที ก็ดับลงไปเอง เป็นอย่างนี้ 4-5 รอบ…ทิ้งไว้ 10 นาที ก็เหมือนเดิม!

อากาศเริ่มครึ้มฟ้าครึ้มฝน ใกล้ค่ำ เพลงของ คุณใหม่ เจริญปุระ เริ่มลอยเข้ามาในหัว
“กลับดึก อยู่ก็ลึกในซอยเปลี่ยว โดดเดี่ยว ไม่มีผู้ใดสักคน”

ไม่ไหวแล้วเว้ยยยยยยย!

ผมต้องโทรศัพท์ติดต่อกับ ทาง PR ของ Honda เพื่อช่วยมากู้ภัยที

เรื่องที่ขอชมเชย
พี่บิ๊ก PR ร่างโต ชอบตกปลา ของ Honda พุ่งมาหาผมทันใจในเวลาเพียง ไม่ถึง 
20 นาที! (คือ สำนักงานใหญ่ บางนา กับจุดที่ผมประสบเหตุ มันต้องใช้เวลาเดินทาง
กันพอสมควรครับ รวมแล้ว มี 30 กิโลเมตร เห็นจะได้)

แถมมาพร้อมกับวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นที่ดีมาก คือ นำ Accord 2.0 EL Navi
คันสีเทาเข้ม มาสลับเปลี่ยนให้ผม ถึงที่เกิดเหตุเลย ต้องขอขอบคุณมากๆ
มา ณ โอกาสนี้

เรื่องที่ขอตำหนิ และส่งให้เพื่อนำไปแก้ไขปรับปรุง…

เราเช็คดูขั้วแบ็ตเตอรี ปรากฎว่า ขั้วลบ หนะ หลวม แต่ต่อให้บีบจับขั้วลบให้แน่น
ก็ยังไม่สามารถติดเครื่องยนต์ได้

เราตัดสินใจ ลองพ่วงแบ็ตกันดู โดยไปยืมสายพ่วง จากแคมป์ก่อสร้างที่อยู่ถัดจาก
จุดบันทึกภาพไป ไม่ไกลนัก ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณมากๆ ในการช่วยเหลือครั้งนี้
เช่นกันครับ

พอพ่วงแบ็ต ปุ๊บ เครื่องยนต์ติดทันที! สรุปว่า คุณภาพของแบ็ตเตอรีติดรถจาก
โรงงาน ซึ่งเป็นยี่ห้อ FB ของกลุ่ม เครือซีเมนไทย SCG นั้น เริ่มทำให้ผม
ไม่ไว้วางใจเสียแล้ว!

อายการใช้งานของแบ็ตเตอรี FB ที่ติดรถมา มันไม่ควรสั้นเต่อ ขนาดนี้ แค่การ
ดับเครื่อง ติดเครื่อง ไปมา เพียงเท่านี้ แบ็ตเตอรี ไม่ควรเสื่อมลงไปได้เร็วขนาดนี้

Honda เอง ก็ควรจะกำหนดขนาดของ แบ็ตเตอรีติดรถให้มีกำลังไฟเผื่อไว้เพิ่มขึ้น
จากที่ควรจะใช้งานในรถแต่ละรุ่นมากกว่านี้อีกสักหน่อย และทาง FB ก็เช่นกัน
ควรที่จะตรวจสอบคุณภาพของแบ็ตเตอรี ที่ตนส่งให้กับบริษัทรถยนต์ในแบบ
OEM (Original Equipment Manufacturing) ให้มันดีกว่านี้เสียหน่อยเถอะ

เพราะถ้ายังมีเสียงจากลูกค้าบอกว่า แบ็ตเตอรี FB ที่วางขายทั่วไป ตามร้านรวง
ต่างๆนาๆ นั้น มันทนทานใช้การได้กี แล้วทำไมแบ็ตเตอรี ที่ส่งให้ผู้ผลิตรถยนต์
ถึงได้ เสื่อมคณภาพง่ายดายขนาดนี้? รถเพิ่งออกสู่ตลาด 3 เดือน แบ็ตหมดแล้ว??

นี่ยังดีนะ ที่เป็นผม กับพี่บิ๊ก เจอเหตุการณ์นี้ด้วยกัน ลองถ้าเป็นคุณสุภาพสตรี
อยู่คนเดียว ในที่เปลี่ยวๆแบบนั้น ยิ่งถ้าเป็นค่ำวันฝนตกหนักด้วยแล้ว ต่อให้
โทรศัพท์ มี App Honda Lynx ที่เพิ่งเปิดตัว ที่ช่วยเรียกบริการฉุกเฉินมาได้
แต่ถ้า มืถือของเจ้าหล่อน แบ็ตเตอรีหมด เหมือนแบ็ตเตอรีรถละ?

แล้วถ้าเหตุการณ์นั้น มันเกิดขึ้นกับลูกสาวของพวกคุณเองละ!!!!!!!?????

ผมไม่อิมเมจิน อะไรต่อนะครับ ไปลองคิดดูกันเอาเองก็แล้วกัน ว่าควรทำอะไรต่อไป!

แต่ไม่ต้องโทรมาหาผมด้วยเรื่องนี้นะครับ ผมไม่รับสาย ไม่รับฟัง เรื่องเล็กๆ
แบบนี้ ผมเชื่อว่า ทั้ง Honda และ FB สามารถหาทางแก้ปัญหากันเองได้ง่ายมาก
โดยไม่ต้องโทรมาแก้ตัวอะไรกับผมหรอก! เอาเวลาไปทำแบ็ตเตอรีให้ดีๆเถอะ!

อันที่จริง เหตุการณ์นี้ คู่แข่งอย่าง Toyota ก็อย่าเพิ่งดีใจตีปีกพั่บๆ! เพราะผมก็เจอ
เหตุการณ์เดียวกันนี้มาแล้ว ใน Avanza รุ่นล่าสุดคันสีดำ เมื่อปีที่แล้ว มาก่อน!
ครั้งนั้น ผมเปิดไฟในเก๋งทิ้งไว้ โดยลืมสนิท กลับออกมา ไฟหมด ดีแต่ว่า พ่วง
แบ็ตเตอรี กับรถในทีมของเรากันได้ แล้วหลังจากนั้น ก็ไม่มีปัญหาอะไรอีก

สรุปว่า รถใหม่ สมัยนี้ ยี่ห้อใดก็ตาม มีโอกาสที่แบ็ตเตอรี จะหมดไว ก่อนวัยอันควรเลยละ!

จบการตักเตือนในประเด็นนี้แต่เพียงเท่านี้!

———————————————————

********** สรุป **********
เหลือแค่ อัตราเร่งที่ควรแรงกว่านี้ ก็จะสนองครบทุกความปราถนา!

หลังจากคืนกุญแรถทั้ง 2 รุ่น รวม 3 คัน ไปเรียบร้อยแล้ว…. อยากจะฝาก ใครก็ตาม ใน Honda ที่
เก่งภาษาญี่ปุ่น ระดับ “ตัวกิน Dictionary” ช่วยแปลส่งให้ คุณน้า Sugimoto-san แห่ง Honda R&D
จักเป็นพระคุณยิ่ง….

Junji Sugimoto-san ครับ…ข้อดีของ Accord ..ใหม่ ที่คุณจะได้อ่านใน 2-3 ย่อหน้าข้างล่างนี้ มันก็มี
หลายข้อนะ และผมก็ประทับใจกับ การทำงานหนักของคุณน้า และทีมงานทุกคน…

แต่ขอถามตรงๆนะ คุณชำแหละ Mercedes-Benz E-Class W212 และ Volvo S80 ใหม่ มากินเป็น
มื้อเที่ยง แล้วตบทายด้วยแร็คพวงมาลัย Honda Civic FB รุ่นปัจจุบัน เป็นของหวาน อยู่พักใหญ่
เลยใช่ไหม?

เปล่านะ ประโยคนี้ ไม่ใช่คำด่า แต่คือ คำชม!

เพราะสัมผัสจาก Accord ใหม่ ทั้ง 2 คัน บอกกับผมว่า มันน่าจะเป็นเช่นนั้น! รถรุ่นใหม่ มีภายใน
ห้องโดยสาร ที่ชวนให้ผมนึกถึง Volvo S80 อยู่ไม่น้อย ทั้งแผงหน้าปัด โดยเฉพาะชุดมาตรวัด พร้อม
หน้าจอ MID ตรงกลาง และลายไม้ รวมทั้ง โทนสีที่เลือกใช้  ส่วนเบาะหนัง อาจยังดีได้ไม่ใกล้เคียง
ทำได้แค่เกือบเท่า S80 แต่ถือว่า ดีขึ้นจากรุ่นเดิมชัดเจน ภายในห้องโดยสาร มีพื้นที่และเบาะหลัง
ซึ่งดีขึ้นกว่ารถรุ่นเดิมนิดนึงในภาพรวม การจัดวางสวิชต์ และอุปกรณ์ต่างๆ ทำได้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม
อย่างมาก สร้างความรื่นรมณ์ให้ผมและทุกคนที่มาร่วมทางกับผม ตลอด 12 วัน ที่ใช้ชีวิตกับรถทั้ง
2 รุ่น ได้เลย

โดยเฉพาะระบบ CMBS Redar Cruise Control ที่ทำงานได้ แทบจะเหมือนๆ กับ Volvo S80 หรือ
S60 ใหม่เลยเชียวละ! มันเป็นระบบที่ดี และผมอยากให้มีติดตั้งในรถยนต์ประกอบในบ้านเรา
รุ่นหลังจากนี้ เกือบทุกคัน! เพราะมันจะช่วยเตือนคนขับประสบการณ์น้อยๆ ให้ตอบสนองได้
เร็วไวยิ่งขึ้น ช่วยลดโอกาสเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้จริง เพียงแต่ว่า ราคามันยังแพงไป และอย่าให้
มันเกิดการรวน Malfunction ขึ้นมาเชียวนะ (แต่สมมติว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ขึ้นมา ก็ไม่ยาก เข้า
เกียร์ว่าง (เกียร์ N ) เครื่องยนต์จะลากรอบไปให้ดังกระหึ่ม ก็ช่างมัน เริ่มเบรก ชะลอรถหลบ
เข้าข้างทาง เปิดไฟฉุกเฉิน แล้วดับเครื่อง แค่นี้ก็แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้แล้ว)

ขณะเดียวกัน Accord ใหม่ ก็ได้บุคลิกการขับขี่ที่ ผสมผสานกันระหว่าง ความนุ่มนวล ติดสปอร์ตนิดๆ
ของช่วงล่าง ที่อยู่ตรงกลางระหว่าง Mercedes-Benz E-Class W212 รุ่น Avantgarde กับรุ่น Elegance
แถมจะติดกระเดียดไปทาง Avantgarde มากกว่า กระนั้น การเซ็ตพวงมาลัย ก็ช่างเบาะและไว จนทำให้
ผมถึงขั้นเหวอ เมื่อลองหักเลี้ยวขวับ บนโค้งหักศอก ที่ความเร็ว 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง และพลางคิดไปว่า

“ตกลงนี่ กรูขับ Civic หรือ Accord กันแน่วะเนี่ย??”

มันช่างคล่องแคล่ว และสนุกมากในการมุดลัดเลาะไปตามสภาพการจราจรอันแสนจลาจลยามเย็น
ของกรุงเทพมหานคร เสียเหลือเกิน แถมช่วงล่าง แม้จะยังติดนิสัย Honda รุ่นเก่าๆ ที่จะตึงตังใน
ช่วงความเร็วต่ำ และนุ่มนวลในช่วงความเร็วสูง แต่ใน Accord ใหม่นี่ อาการที่ว่า ลดน้อยลงไป
เยอะแล้ว ช่วงล่างนุ่มขึ้น ขับสบายขึ้น จนเริ่มต้องถามว่า ตกลงนี่ เราขับ E-Class กันอยู่หรือเปล่า?

ใช่ มันยังซับแรงสะเทือนได้ไม่อาจเทียบชั้นกับ E-Class W212 ได้หรอก แต่ก็มีบุคลิกในการ
ตอบสนองของช็อกอัพ ใกล้เคียงอยู่พอสมควรเลยละ!

ถ้าผมจะบอกว่า Accord 2.4 TECH เป็น Honda เก๋งประกอบในประเทศ คันที่ 2 ที่ไม่อยากคืน
(ต่อจาก City ที่ผมใช้อยู่) จะเชื่อไหม?

ใช่ครับ ทั้งที่มันแรงสู้ Camry Hybrid หรือแม้แต่ Camry 2.5 ลิตร ไม่ได้เลยเนี่ยแหละ!

และประเด็นเรื่องความแรงนี่ละ คือหนึ่งในสิ่งที่ควรปรับปรุง ไม่กี่ข้อ ที่ยังรอให้ ทีมของ
คุณน้า Junji นำไปทำงานกันต่อ

1. พละกำลังของเครื่องยนต์ ที่ควรแรงมากขึ้นกว่านี้ อย่างน้อย ต้องเทียบเท่า Camry 2.5 ลิตร
ยิ่งถ้าถึงวันที่ Accord Hybrid ออกสู่ตลาด สมรรถนะของรุ่น Hybrid จะต้องเทียบเท่า คู่แข่ง
ทั้ง Camry Hybrid และ Teana Hybird

ถ้าถามว่า แล้วตอนนี้ อัตราเร่งที่มีอยู่หนะ มันไม่พอหรือยังไง? ตอบได้เลยครับว่า เพียงพอแล้ว
สำหรับลูกค้าทั่วๆไป ทั้งรุ่น 2.4 และ 2.0 ลิตร แต่สำหรับรุ่น 2.4 ลิตรแล้ว มันยังไม่เพียงพอสำหรับ
แฟนประจำของ Honda ที่อยากเห็นอัตราเร่ง ทาบชั้นเทียบรัศมี กับ Camry ได้อย่างสมศักดิ์ศรี
กว่านี้ แต่นั่นต้องมาพร้อมกับ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่ประหยัดกว่านี้ด้วยเช่นกัน

2. ทางแก้จากข้อ 1 เอาเครื่องยนต์ Earth Dream Direct Injection เข้ามาขายในบ้านเราไปเลยซะที!
ต้นทุนมันอาจแพงกว่า แต่เชื่อว่า ไม่น่ามากนัก แถมยังน่าจะเพิ่มสมรรถนะ และลดมลพิษ รวมทั้ง
เพิ่มความประหยัดติดปลายนวมมาให้ด้วย ยิงนกนัดเดียว ได้นก 3 ตัวเสร็จสรรพ!

เอาน่า! 2.4 Di ที่ขายในราคาแพงกว่าเดิม 2 หมื่นบาท แค่นี้ กำไรต่อคัน ก็ไม่หดหายไปไหนหรอก!

3.พวงมาลัย เบา ไว คล่องแคล่ว ดีมากๆ ในความเร็วต่ำ แต่แม้ว่า On Center feeling ในช่วงความเร็วสูง  
จะยังไว้ใจได้ แต่มันจะดีกว่านี้ ถ้าพวงมาลัยมีน้ำหนักในช่วงความเร็วสูงเพิ่มขึ้นกว่านี้ หนืดและแข็ง
มากขึ้นกว่านี้ ไปศึกษา พวงมาลัยของ BMW 5-Series F10 และ 7-Series F01/F02 ใหม่ และลองขับ
รถยนต์ทั้ง 2 รุ่นนี้ อีกสักหน่อย Sugimoto-san จะเริ่มรู้ได้ว่าพวงมาลัย Accord มันควรพัฒนาต่อไป
ในทิศทางใด

4. แม้ว่าเบาะหลังจะพับได้ แต่ มันไม่อาจแบ่งพับเป็น 2 ฝั่ง ซ้าย – ขวาได้ ต่อให้ลูกค้าจะบอกว่า เขา
ไม่ค่อยได้ใช้งานเท่าใดนัก แต่ใครจะไปรู้ ว่า จู่ๆ เกิดมีใครอยากไปเดินเล่นที่ IKEA แล้วจำเป็นต้อง
แบกเฟอร์นิเจอร์น้ำหนักเบาบางอย่าง กลับมาบ้านโดยไม่ตั้งใจ การพับเบาะหลังแยกฝั่งได้ จะช่วย
แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดี

5. ต่อเนื่องจากข้อ 4 พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง เข้าใจดีว่า จำเป็นต้องยกพื้นสูงขึ้น เนื่องจากว่า
เมืองไทย ระบุมาว่า ต้องการยางอะไหล่แบบเต็มๆ ถอดเปลี่ยนใช้งานได้ยาวๆ เลยต้องทำพื้นรถ
ในลักษณะนี้ แต่ที่สงสัยก็คือ ทำไมคู่แข่ง อย่าง Toyota Camry หรือ Nissan Teana เขาไม่เห็น
มีปัญหานี้กันเลยละ? แล้ว Accord รุ่นก่อนหน้านี้ ก็ไม่เคยต้องทำแบบนี้กันเลย ยกเว้นตั้งแต่
รุ่น G8 เป็นต้นมา ไม่แน่ใจว่า พอจะหาทางแก้ไขในประเด็นนี้ สำหรับรุ่น G10 ต่อไป ได้ไหม?

6. กำลังไฟของแบ็ตเตอรี จากโรงงาน ควรเพิมกว่านี้สักนิด และความทนทาน ของมัน ควรจะ
มีมากกว่านี้ อย่างน้อยๆ ให้ยาวนานพอที่จะเปลี่ยนแบ็ตเตอรี ทุก 2 ปี ได้อย่างที่มันเคยเป็นมา
หรือถ้ายิ่งยาวนานกว่านี้ได้ ก็ยิ่งดี

7.การใส่ใจ ในคุณภาพการประกอบของ โรงงาน โรจนะ โดยเฉพาะ ชิ้นงานใดๆก็ตาม ที่
เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า อีเล็กโทรนิกส์ รวมทั้งชิ้นส่วนโครงสร้าง ตัวถัง ตะเข็บรอยต่อ
และความประณีตในการประกอบ คือรถคันทดลองขับหนะ ผมไม่เจอปัญหาอะไรหรอก
แต่ ในรถล็อตแรกๆ ที่ปล่อยให้ลูกค้าไป ก็พอจะมีเสียงบ่นจากลูกค้าบางรายอยู่บ้าง จึง
อยากให้ตรวจสอบ และเพิ่มความรัดกุมมากกว่าปกติอีกสักหน่อย ก็จะดี

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียง 6 ข้อ ที่อยากบอกต่อให้ Sugimoto-san ฝากรับไปขบคิดพิจารณา
กันต่อไปสำหรับการยกระดับ Accord ทั้งรุ่น Minorchange ในปี 2015 – 2016 และ
รุ่นต่อไป G10 ในปี 2017 – 2018 ให้ดีขึ้นกว่านี้ได้อีก

คู่แข่งของ Accord ในตลาดกลุ่ม D-Segment ในเมืองไทย ตอนนี้ มีอะไรบ้าง?

Toyota CAMRY
เจ้าตลาดอันดับ 1 ที่เพิ่งจะเริ่มเพลี้ยงพล้ำให้กับ Accord ไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2013 ที่ผ่านมา
เพราะยอดขายหล่นลงมาเป็นอันดับ 2 อันที่จริงแล้ว Camry รุ่นใหม่ มีการขับขี่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม
อย่างชัดเจน พวงมาลัย ปรับเซ็ตมาให้ไวและมีน้ำหนักเบา กับแรงต้านมือ ในระดับที่คนไทย
ทั่วไปจะชื่นชอบ ช่วงล่างนุ่มนวลและให้การควบคุมที่ดีขึ้นกว่าเดิม ยิ่งโดยเฉพาะรุ่น Hybrid
ช่วงล่าง พวงมาลัย อัตราเร่ง และความประหยัดน้ำมันแบบร้ายกาจ น่าจะช่วยให้คุณไขว้เขว
จาก Accord 2.4 TECH ได้อยู่พอสมควร แถมยังมีเบาะหลังที่นั่งสบาย ไม่ขี้เหร่อีกต่อไป
การขับขี่ คล่องแคล่ว และขับสนุกขึ้นมาก ไม่ได้ด้อยไปกว่า Accord เลย แถมยังมีอัตราเร่
ที่ดีกว่าอย่างสัมผัสได้ ทั้งจากความรู้สึก และจากตัวเลขบนนาฬิกาจับเวลา

แต่ข้อด้อยกว่าที่ยังต้องรอการปรับปรุง ก็คือ ระบบเบรกในรุ่น 2.5 ลิตร ยังไม่ดีพอ แข็งและทื่อ
เมื่อเทียบกับความแรงของรถ แป้นเบรกของรุ่น 2.0 ลิตร ยังทำหน้าที่ได้ดีกว่าชัดเจน ส่วนรุ่น
Hybrid ให้ชุดเครื่องเสียง JBL อันห่วยแตกเห่ยเฟยเหลือจะกล่าว ถ้าจะเล่น คงต้องมองรุ่น
รองท็อปก็น่าจะเพียงพอ รวมทั้ง ความขี้เหนียวออพชัน งกอุปกรณ์ในรุ่น 2.0 และ 2.5 ลิตร
เบนซินธรรมดา เพราะอยากดันให้ลูกค้าไปซื้อรุ่น Hybrid มากกว่า วิธีคิดแบบนี้นั่นแหละ
ที่ทำให้ลูกค้าสมัยนี้จะเริ่มปันใจจาก Toyota ไปหาคู่แข่งได้เร็วและง่ายขึ้น!

Nissan TEANA
รุ่นปัจจุบัน กำลังจตกรุ่นในช่วงเดือนกันยายน 2013 ที่จะถึงนี้แล้ว แต่ถ้าไม่สนใจเรื่องนั้น
Teana 2.0 ลิตร Sport Series ภายในสีดำ ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ภายในห้องโดยสาร
ยังคงหรูหราสวยงาม น่านั่งที่สุดในกลุ่มตามเคย อัตราเร่ง ก็ไม่เลวร้าย แต่เรื่องความประหยัด
น้ำมัน ต้องทำใจว่า ได้แถวๆ 12 – 13 กิโลเมตร/ลิตร แถมบุคลิกมาในแนวผู้ใหญ่ ไม่ได้ถึงขั้น
คล่องแคล่ว หรือปราดเปรียว แบบ Camry กับ Accord

Hyundai SONATA Sport
น้องใหม่จากเกาหลีใต้ ที่อาจหาญออกมาประลองเพลงดาบกับชาวซามูไรทั้ง 3 รุ่นหลักในกลุ่ม
เด่นที่สุดในด้านความสวยสะดุดตา แถมคุณภาพ ก็ยังยอมรับได้ในระดับโลกแล้ว ห้องโดยสาร
สบาย ไม่ขี้เหร่ แต่ อัตราเร่ง และความประหยัดจากขุมพลัง 2.0 ลิตร ยังธรรมดาไปหน่อย เมื่อ
ต้องเจอ 3 ผู้นำตลาด แถมพวงมาลัยก็ควรจะเซ็ตมาให้มีน้ำหนักในย่านความเร็วสูงเพิ่มจากนี้
อีกนิดนึง ที่สำคัญก็คือ ทำอย่างไรให้แบรนด์ Hyundai ดึงดูดใจลูกค้าชาวไทยมากกว่านี้ มากพอ
ที่จะปันใจจากเจ้าตลาดทั้ง 3 ได้ ไม่ง่าย แต่ท้าทายเลยละ!

Skoda SUPERB
คนส่วนใหญ่ลืมไปแล้วว่ามีหมอนี่ขายอยู่ในตลาดด้วย ค่าตัวอยู่ในระดับเดียวกัน แม้เครื่องยนต์
เล็กกว่า (1.8 ลิตร) แต่มี Turbo พ่วงมาให้ เทคโนโลยีของรถทั้งคัน มันก็ยกมาจาก Volkswagen
นั่นละ ดังนั้น การันตีความแรงไม่แพ้ใครและความประหยัดน้ำมันที่สุดในกลุ่ม แถมสมรรถนะ
การทรงตัว ยังคงดีเลิศเลอ ตามแบบฉบับของรถยนต์ในกลุ่ม Volkswagen กันได้เลย เพียงแต่
การบริการหลังการขายนั้น ยังน่าเป็นห่วง เพราะ Attitude เจ้าของบริษัทตอนนี้ ดีมากๆ แต่ตัวลูกน้อง
บางที ยังทำตัวชวนให้เกาหัวแกรกๆ อยู่ สรุปว่าเป็นทางเลือกที่ดีมาก แต่คุณก็ควรจะมีรถคันอื่นอยู่ในบ้าน
ไว้สำรองด้วยอยู่แล้ว จะเป็นอันจบข่าวภาคค่ำ!

แล้วถ้าคุณตัดสินใจได้ว่า จะเดินเข้าโชว์รูม Honda เพื่อสั่งจอง Accord ควรจะเลือกรุ่นย่อยไหนดี?

จากใบราคาล่าสุด ใน www.Honda.co.th ระบุไว้ดังนี้
2.0 EL                   1,299,000
2.0 EL Navi           1,419,000
2.4 EL                   1,549,000
2.4 EL Navi           1,669,000
2.4 TECH              1,799,000

ถ้าอยากได้สี Champagne Frost Pearl และ Crystal Black Pearl ต้องเพิ่มเงินอีก 8,000 บาท
แต่ถ้าอยากได้สี White Orchid Pearl ต้องเพิ่มเงินอีก 12,000 บาท เหตุผล ไม่มีอะไรมากครับ
ขั้นตอนการพ่นสีรถเหล่านี้ มันจะเสียเวลา กว่าการพ่นสีรถยนต์ทั่วไปอยู่พอสมควร ซึ่งทำให้
เวลาในการประกอบรถ 1 คัน มันจะยาวนานขึ้น นั่นเอง

2.0 EL คือรุ่นพื้นฐาน ที่คุ้มค่าที่สุด แม้จะไม่มีซันรูฟ ไม่มีระบบปรับไฟหน้า สูง – ต่ำอัตโนมัติ
ไม่มี กระจกมองข้างฝั่งซ้ายกดลงต่ำเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง ไม่มี แป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย
Paddle Shift ไม่มีไฟส่องสว่างขณะเลี้ยว ACL กระจกหน้าต่างคู่หน้า ก็ไม่ได้เคลือบสารป้องกัน
การเกาะตัวของหยดน้ำ ไม่มีม่านถุงลม แต่มี AIRBAG มาให้ 4 ใบ  ซึ่งทั้งหมดที่ร่ายมานี้ สงวน
ไว้ให้กับรุ่น 2.4 ลิตร ขึ้นไป เป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งไม่มี ระบบนำทาง GPS Navigation System
เครื่องเล่น DVD กับเครื่องเสียง Premium Sound System ลำโพงก็มีมาให้แค่ 6 ชิ้น ไม่มีระบบ
CMBS แต่ที่เหลือ อุปกรณ์ในรุ่นพื้นฐาน เยอะพอกันกับรุ่น 2.4 EL และยิ่งถ้าคุณไม่ได้จำเป็น
ต้องใช้ระบบนำทาง เท่ากับว่า 2.0 EL คือรุ่นที่ให้ความคุ้มค่าสูงสุดในบรรดา Accord ใหม่ทุกรุ่น

แต่ถ้าต้องการระบบนำทาง รุ่น 2.0 EL Navi คันสีขาว อย่างที่เห็นในรีวิวนี้ ก็พอจะน่าสนใจ
ถ้าไม่ติดตรงที่ว่า คุณต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 120,000 บาท เพื่อแค่ระบบนำทางผ่านดาวเทียม ที่ทำงาน
ดีใช้ได้ มาพร้อม HDD 20GB แต่อาจต้องอัพเดท แผนที่ กันสักนิดนึง

กระนั้น ถ้าคุณคิดว่า เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร มันไม่คณาเท้าขวาคุณ และอยากได้เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร
รุ่น 2.4 EL ก็เพียงพอแล้ว เพราะนอกจากจะได้ไฟหน้า LED พร้อมระบบปรับสูง -ต่ำอัตโนมัติ
เพิ่มจากรุ่น 2.0 ลิตร ทุกรุ่นแล้ว ยังจะได้ กล้องใต้กระจกมองข้างฝั่งซ้าย Honda LaneWatch
เพิ่มมาอีกด้วย แถมนยังมีชุดเครื่องเสียง  Premium Sound System 7 ลำโพง อีกต่างหาก เพิ่ม
ม่านถุงลมด้านข้างมาให้ รวมเป็น AIRBAG 6 ใบ ไฟส่องสว่างด้านข้างขณะเลี้ยว ACL และ
เพียงเท่านี้ ก็ถือว่า Option เข้าใกล้รุ่นท็อปมากแล้ว

รุ่น 2.4 EL Navi มีระบบนำทาง พร้อม HDD 20 GB มาให้ แต่นั่นทำให้คุณต้องเพิ่มเงินจาก
รุ่น 2.4 EL ธรรมดา อีก 120,000 บาท ถ้าอยากจะได้รุ่นนี้จริงๆ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เพิ่มเงิน
ไปอีก 130,000 บาท อัพเกรดขึ้นไปเล่นรุ่น 2.4 TECH ที่ให้ระบบ CMBS มาครบๆ เลยดีกว่า
เพียงแต่ คุณจะต้องยอมรับได้ กับการจ่ายเงินแพงกว่ารุ่น 2.4 EL ธรรมดา ถึง 250,000 บาท
และต้องยอมรับได้กับการเปลี่ยนยาง ไซส์ใหญ่ ให้กับล้อ 18 นิ้ว ที่อาจจะแพงกว่าปกติ เมื่อ
ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนยางในอีก 4 ปีข้างหน้า

ท้ายที่สุด ในเมื่อ Accord ใหม่ กับ Camry มันตีคู่สูสีกันมากในเรื่องสมรรถนะภาพรวม แถม
ต่างคันต่างเด่นต่างด้อย ฉีกหนีกันไม่มากอย่างที่คิด ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกละครับ ที่ใครก็ตามจะ
ลำบากใจ หากต้องซื้อรถยนต์ D-Segment ในเวลานี้

จังหวะประเหมาะพอดี ก่อนที่ผมจะได้ขับ Accord 2.4 TECH พอดีต้องไปทริปลองขับ
Toyota Vios แล้วด้วยเหตุที่จะต้องกลับกรุงเทพฯ มาก่อน ตาโบ็ต PR ของ Toyota ก็เลย
จัด Camry 2.5 ลิตร ให้ขับอีกครั้ง โดยไม่ได้ตั้งใจ (เพราะตอนแรกจะให้กลับรถตู้ แต่
คนขับของ Toyota ดันเกิดเบี้ยวงานซะเอง ทีมงานเลยต้องสละ Camry ให้ผมขับกลับ
แหะๆ)

วันรุ่งขึ้น พอคืนรถเสร็จปุ๊บ ผมก็นั่งรถไฟฟ้า BTS ไปรับ Accord 2.4 TECH มาขับต่อทันที
ในอีกเพียงครึ่งชั่วโมงต่อมา ดังนั้น ผมว่า พอจะหาข้อสรุปให้กับคนที่ยังตัดสินใจไม่ถูก
ได้แล้วละ…

ถ้าคุณอยากได้เครื่องแรง ไปหา Camry ทั้ง 3 ขุมพลัง แรงกว่า Accord แน่ๆ ต่างกันชัดเจน
แต่ถามว่า Accord อืดหรือเปล่า ก็ตอบว่า ไม่อืด มันก็พอกันกับรุ่นเก่านั่นแหละ! ถึงอยากให้
แรงกว่านี้ แต่เพียงเท่าที่เป็นอยู่ ผมยอมรับได้ แต่คุณๆจะรับกันได้หรือเปล่า?

อยากประหยัดน้ำมัน หากมองแค่รุ่นเบนซินอย่างเดียว ไม่สน Hybrid มาหา Accord ได้เลย
แต่ถ้า รวม Hybrid ด้วย ยกให้ Camry Hybrid เขาไปเลยเหอะ ทั้งแรงทั้งประหยัด จบครบ!

ถ้าอยากได้เบาะนั่งต่ำๆ ไปหา Camry แต่ถ้าอยากได้ภายใน ที่ใช้ชีวิตได้สบายๆ ไม่อึดอัด
และเป็นภายในที่จะสวยที่สุดในตลาด D-Segment ประกอบในประเทศ (ไม่นับเจ้าพวก
Sonata และ Superb นะ) ไปหา Accord!

ถ้าต้องมีคนนั่งเบาะหลังด้วย เบาะตัวไหนสบาย แล้วแต่ชอบครับ แต่เบาะ Camry Hybrid
นุ่มกว่านิดนึง ขณะที่บรรยากาศภายใน Accord จะดีกว่า ผ่อนคลายกว่า ยกเว้นรุ่น Hybrid
ตัวท็อป ที่จะเหนือกว่า Accord เพราะมีเบาะหลังปรับเอนได้

พวงมาลัยเบา แต่หนืดน้อย ไป Camry ทุกรุ่นเหมือนกัน แต่ถ้ารับได้กับพวงมาลัยที่ไว
เบามากกว่า Camry ในช่วงความเร็วต่ำ ไปหา Accord ส่วนย่านความเร็วสูง ผมว่าพอกัน
ไม่หนีกันมาก Camry ไว้ใจได้มากกว่านิดเดียวจริงๆ ไม่เยอะ

ช่วงล่าง Camry Hybrid นุ่มสบาย และ Firm สุด ส่วนช่วงล่าง Accord กระเดียดไปในทาง
E-Class Avantgarde แต่ยังไม่อาจเทียบเท่าได้เป๊ะนัก คือ ตึงตังน้อยลงกว่าเดิมในความเร็ว
ต่ำๆ แต่นุ่มและหนึบขึ้นชัดเจนในความเร็วสูง หลัง 180 ไปจะเริ่มเสียวหน่อยๆ แต่ดีกว่าเดิมชัดๆ!

เบรก Camry Hybrid ดีที่สุดในกลุ่ม หน่วงดี เพราะมีมอเตอร์ช่วยหน่วงอีกแรง Accord 2.4
และ 2.0 รองลงมา ส่วน Camry 2.0 อยู่ในเกณฑ์ดีพอใช้ได้ แต่ Camry 2.5 แย่ที่สุด! ต้อง
กะระยะเบรกไกลกว่าปกติ เพราะเบรกไม่ค่อยจะอยู่ การตอบสนองแป้นเบรกแย่กว่าพี่น้องร่วม
ตระกูล งงครับ แต่มันเป็นไปแล้ว และเป็นแบบนี้ทุกคันที่เป็นรุ่น 2.5 เบนซินธรรมดา!

อยากได้ Option เยอะๆ คุ้มๆ เครื่องไม่ต้องแรงมาก เน้นประหยัด ไปหา Accord 2.0 EL
ตัวล่างสุด เท่านั้น แต่ถ้าอยากได้ Option แน่นๆ เงินไม่เกี่ยง Camry Hybrid ตัวรองท็อป
หรือ Accord 2.4 TECH จัดไปได้เลย!

โชว์รูม พนักงานขาย ศูนย์บริการ ค่ายไหนก็ได้ มีดีมีแย่ พอกันหมด ทั้ง 2 ค่าย

แล้วถ้ายังไม่รีบซื้อในปี 2013 บอกได้เลยว่า ปี 2014 Honda จะมี Accord Hybrid ขณะที่
Nissan เอง ก็มี Teana Hybrid อยู่ในใจไว้แล้ว เหลือแต่รอเวลาว่าพร้อมจะปล่อยออกมา
สู่ตลาดเมืองไทยกันเมื่อไหร่ ทั้งคู่ ยังอาจจะไม่ใช่รุ่น PHEV (Plug-in Hybrid) ที่เสียบปลั๊ก
ชาร์จเข้ากับไฟบ้านได้ด้วย แต่เรื่องสมรรถนะกับอัตราเร่ง และความประหยัดน้ำมันรวมทั้ง Option
ดุรูปการณ์แล้ว ผมเชื่อว่า ไม่น่าจะหนีไปกว่า Camry Hybrid มากนัก

ซื้อรถกลุ่ม D-Segment ในปี 0213 – 2014 อย่าเพิ่งรีบร้อนตามสภาพอากาศบ้านเรา
ความแตกต่าง มี แต่ไม่มากอย่างที่เคยเป็นมา ท้ายที่สุด ต้องไปลองขับ เพราะนั่นจะบอก
ได้เลยว่า รถคันที่คุณชอบ จะเหมาะกับคุณหรือไม่

ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบ!

———————————///——————————–

ขอขอบคุณ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Honda Automobile (Thailand ) จำกัด

เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ และการช่วยเหลือในด้านต่างๆอย่างดียิ่ง

และคุณ Moo Teerapat กับ คุณ Martin Lee สำหรับการช่วยเตรียมข้อมูลประวัติต่างๆ
————————————————

บทความของรถยนต์ในกลุ่มตลาดเดียวกัน ที่ควรอ่านเพิ่มเติม

รวมบทความทดลองขับรถยนต์กลุ่ม D-Segment 2,000 – 3,500 ซีซี

————————————————

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน / ภาพวาดกราฟฟิกและภาพรถยนต์รุ่นเก่า เป็นของ Honda Motor Co.
ประเทศญี่ปุ่น ส่วน ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
1 กรกฎาคม 2013

Copyright (c) 2013 Text and Pictures (All Illustration is own by Honda Motor Co.)
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com

July 1st,2013

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE