ตลอดช่วงปี 2013 – 2014 ตลาด Compact Crossover SUV นั้น ดุเดือดขึ้นมาก
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นผลมาจาก พฤติกรรมของผู้บริโภคในภาพรวมของไทย
เาริ่มเปลี่ยนแปลงไป

หัวหน้าครอบครัว ชาย หรือหญิง ก็ตาม ที่มีอายุ 35 – 60 ปี เริ่มเบื่อหน่ายกับ
บรรดารถยนต์นั่งขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ D-Segment ทั้ง Toyota Camry
Honda Accord และ Nissan Teana ที่ทำได้แค่เพียงแสดงถึงสถานภาพ
ทางการเงินเท่านั้น พวกเขามองหารถยนต์ที่มีระดับราคาใกล้เคียงกัน แต่
ให้ความอเนกประสงค์ รองรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งขับไปทำงาน
ไปช้อปปิง รับส่งบุตรหลาน ไปโรงเรียน หรือไปร่วมกิจกรรมครอบครัวกัน
ในต่างจังหวัด แน่นอนว่า รถยนต์ที่จะตอบโจทย์เหล่านี้ได้ดีมากสุด คงเป็น
Compact Crossover SUV สถานดียว

เมื่อเป็นเช่นนี้ หลายค่าย ซึ่งเฝ้ามองดูความสำเร็จที่ เจ้าตลาดอย่าง Honda
CR-V และ Chevrolet Captiva ที่รับอานิสงค์จากความเปี่ยนแปลงดังกล่าว
จนขายดิบขายดีมาหลายปี เริ่มส่งทางเลือกใหม่ๆ มาบุกตลาดกันมากขึ้น
Mazda CX-5 และ Nissan X-Trail ใหม่ คือ 2 ทางเลือกจากผู้ท้าชิง ที่บุก
เข้ามาขอแย่งส่วนแบ่งตลาดอย่าง 2 ผู้นำรุ่นเก่า

มีหรือที่ Honda จะยอมให้ใครมาโค่นบรรลังก์ลงง่ายๆ ?

เช้าวันที่ 24 ตุลาคม 2014 ผมได้รับภาพข่าว พร้อมข้อมูลของ Honda CR-V
รุ่นปรับโฉม Minorchange ชนิดที่แทบไม่ทันตั้งตัว ในอีเมล์

รู้อยู่แล้วว่า Honda มีแผนจะปล่อย CR-V Minorchange อย่างแน่นอน แต่
ไม่ได้คาดคิดว่า จะปล่อยออกมาในช่วงปลายปี 2014 ทั้งที่หลังจากนั้น อีก
เพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ Honda ก็ปล่อย HR-V ออกสู่ตลาดบ้านเรา

ผมยังคิดไปเองว่า Honda น่าจะเลื่อนเปิดตัว CR-V Minorchange มาเป็น
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2015 มากกว่า เพื่อไม่ให้ต้องเปิดตัวรถยนต์ซ้ำซ้อน ใน
ช่วงเวลาเดียวกันมากเกินไป ที่ไหนได้ พี่แกเล่นปล่อยข่าวออกมา อย่างฉับไว
เกาะติดการปรับโฉมในตลาดอเมริกาเหนือ และยุโรป ทันท่วงที่ กระนั้น กลับ
ไม่มีงานแถลงข่าวเปิดตัว ทั้งที่ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ สำคัญไม่เบาเลย

สารภาพความจริงกันตรงนี้เลยแล้วกันครับว่า ก่อนที่ Honda จะเปิดตัว CR-V
Minorchange ในครั้งนี้ ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก เพราะเชื่อว่า
Honda คงจะไม่มีการปรับปรุงงานวิศวกรรมใดๆ ให้กับ Crossover SUV
รุ่นขายดีสุดของตน…ตามเคย

ที่ไหนได้ พอเปิดตัวออกมา ดันถอดขุมพลัง 2,400 ซีซี เดิม แล้วเอาเครื่องยนต์
ของ Accord G9 มาวางแทน แถมยังเปลี่ยนมาใช้เกียร์ CVT อีกด้วย เล่นเอา
พวกเรางงไปตามๆกัน ว่าอารมณ์ไหนกันละคราวนี้?

ถือว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะในอดีตที่ผ่านมา หากเป็นรถยนต์รุ่นที่มีขนาดใหญ่
เกินกว่า Civic แล้ว Honda มักไม่ค่อยปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์หรือระบบส่งกำลัง
แบบใหม่ ระหว่างกลางอายุตลาดของรถยนต์รุ่นนั้นๆ กันหรอก Accord กับ CR-V
รุ่นเก่าๆ เปิดตัวด้วยเครื่องยนต์ไหน ก็ลากผลิตเครื่องยนต์นั้น ทำตลาดกันจนถึง
วันที่รุ่นถัดไปเปลี่ยนโฉมใหม่ออกมา เว้นเสียแต่ว่า ข้อกำหนดด้านมลพิษใน
บ้านเราจะเริ่มเพิ่มสูงขึ้น

ผมไม่ทราบเหตุผลที่ชัดเจน ว่าทำไม Honda ถึงทำเช่นนี้ เพียงแต่ว่า ถ้าหาก
ลองคาดเดา ก็น่าจะได้คำตอบได้ไม่ยาก เนื่องจาก ในปี 2016 นั้น จะมีความ
เปลี่ยนแปลงด้านการเก็บภาษีสรรพสามิต กับรถยนต์ ในเมืองไทย โดยเน้นที่
ที่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยิ่งปล่อยน้อย ภาษีก็จะถูกลงไปเยอะ
ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับ สหภาพยุโรป และกลุ่มอารยประเทศเจริญแล้ว

หมายความว่า หากรถยนต์รุ่นใด มีมลพิษสูงอยู่ ราคาขายปลีกจะสูงขึ้น ทันที
โอกาสจะขายในบ้านเรา มันจะยากขึ้นมาก และอาจต้องถึงขั้นเตรียมสูญพันธ์
(เช่น Mitsubishi Lancer EX ในอีกไม่นานนี้) ดังนั้น จึงต้องมีการปรับปรุง
หรืออัพเกรดเครื่องยนต์ ให้ปล่อยมลพิษต่ำลง เหลือน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

อีกเหตุผลหนึ่ง เลี่ยงไม่ได้ครับที่จะต้องท้าวความกลับไปถึงตลาด Compact
Crossover SUV บนพื้นฐานของพื้นตัวถังรถเก๋ง (Urban SUV) ที่ดุเดือด
เลือดพล่านมากๆในช่วง 2013 – 2014

การมาถึงของ Mazda CX-5 และ Nissan X-Trail ใหม่ ทำให้ Honda ถึงขั้น
หนาวๆร้อนๆ เลยทีเดียว ยิ่งตลอดปี 2014 ที่ผ่านมา ยอดขายของ CX-5 มาแรง
มากๆ จนเบียด CR-V ขึ้นไปนั่งครองบรรลังก์อันดับ 1 ในกลุ่มนี้ได้ ทั้งด้านยอดขาย
และในด้านสมรรถนะภาพรวม แถม Nissan X-Trail ก็เปิดตัวตามออกมา โดยเน้น
อัดออพชันสารพัดรายการเป็นจุดขายสำคัญ

แม้แต่คู่รักคู่แค้นเจ้าเก่าอย่าง Chevrolet Captiva ที่ยังจำเป็นต้องลากผลิต
ออกขาย ยาวนานระดับ “แซยิด” เขายังปรับโฉมเล็กน้อย เสริมลูกเล่นออพชัน
ใหม่ๆ ให้ลูกค้ากันทุกปีเลย

ทุกค่าย ตั้งเป้าเดียวกัน คือ ขอแย่งเค้กจาก CR-V มาให้ได้สักนิดก็ยังดี!!

ดังนั้น ถ้า Honda ไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้ CR-V ยังคงออกรุ่นปรับโฉม
โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ลูกค้าก็คงพากันกระหน่ำด่าเปิง ตามหน้าจอ
Social Media ต่างๆ เหมือนเช่นที่ Civic FB Minorchange เพิ่งโดน
ไปเมื่อช่วงต้นปี 2014

ทั้ง 2 เหตุผลนี้ น่าจะทำให้ ชาวบางนา และนิคมฯโรจนะ ตัดสินใจอัพเกรด
สมรรถนะของ CR-V ให้มีขุมพลังใหม่ เกียร์ลูกใหม่ ไว้รับมือทั้ง CX-5
X-Trail และ Captiva ในคราวนี้กันเสียที นั่นเอง

CR-V Minorchange ยังคงมีขนาดตัวถังที่เท่าๆ กันกับรุ่นเดิม แต่มีความยาว
เพิ่มขึ้นจาก 4,535 เป็น 4,582 มิลลิเมตร นอกนั้น ยังคงเท่าเดิม คงความกว้าง
ไว้ที่ 1,820 มิลลิเมตร (ไม่รวมกระจกมองข้าง) สูง 1,650 มิลลิเมตร ระยะฐาน
ล้อยาว 2,620 มิลลิเมตร

รูปลักษณ์ภายนอก ถูกปรับปรุงจากรุ่นเดิมเล็กน้อย ด้วย กระจังหน้าแบบใหม่
ตามแนวทางการออกแบบ Exciting H Design มาพร้อมเปลือกกันชนหน้าและ
เปลือกกันชนหลัง โฉมใหม่ ที่มีแผงใต้กันชนหน้า-หลัง มาให้ครบถ้วน

ชุดไฟหน้า รุ่น 2,000 ซีซี จะเป็นแบบ Multi Reflector ตามปกติ แต่รุ่น 2,400 ซีซี
จะเป็นแบบ HID (High Intensity Discharge Headlamp) พร้อมระบบปรับระดับ
ไฟหน้า สูง – ต่ำอัตโนมัติ (Auto Leveling Headlamp) และระบบเปิดไฟหน้า
อัตโนมัติ

ทุกรุ่นจะติดตั้ง ระบบปิดไฟหน้าอัตโนมัติ เมื่อดับเครื่องยนต์ และไฟส่องสว่างเพื่อ
การขับขี่เวลากลางวัน Daytime Running Light แบบ LED รวมทั้งกระจก
มองข้างแบบมีไฟเลี้ยวในตัว ปรับและพับได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้าบนแผงประตูฝั่งคนขับ
และมีการประดับชายล่างกันชน บริเวณกาบข้างประตู และยางกันโคลน ด้วยแผง
ชิ้นงานพลาสติกสีเทา Metallic

ใบปัดน้ำฝน พร้อมหัวฉีดน้ำล้างกระจก มีมาให้ครบทั้งด้านหน้า – หลัง โดยในรุ่น
2,000 ซีซี จะเป็นแบบ ปรับตั้งหน่วงเวลา ส่วนรุ่น 2,400 ซีซี จะเป็นแบบปรับตั้ง
อัตโนมัติ

ไฟตัดหมอกหน้าพร้อมกรอบโครเมียม รวมทั้งมือจับเปิดประตูจากภายนอก จะติดตั้ง
มาให้ตั้งแต่รุ่น 2.0 E 4WD ขึ้นไป (รุ่น 2.0 S FWD จะเป็นสีเดียวกับตัวรถ)

มองไปยังบั้นท้าย จะเห็น คิ้วฝากระโปรงท้ายโครเมียม ลายไฟท้ายปรับปรุงเพียง
เล็กน้อย นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนล้ออัลลอย แบบใหม่ สไตล์ สปอร์ตแบบใยพัด ซึ่ง
สามารถพบได้ในรถยนต์ Honda ระยะหลังๆมานี้ ทั้ง City , Jazz , Odyssely
และ Accord Hybrid โดยรุ่น 2,000 ซีซี เป็นขนาด 17 นิ้ว x 7J สวมยางขนาด
225 / 65 R17 ส่วนรุ่น 2,400 ซีซี เป็นขนาด 18 นิ้ว x 7 J พร้อมยางติดรถ ขนาด
225 / 60 R18

ระบบกุญแจรีโมทคอนโทรล Honda Smart Key ติดตั้งมาให้ครบทุกรุ่นเสียที
แค่พกรีโมท แล้วเดินเข้าใกล้ประตู ก็สามารถดึงมือจับปลดล็อกและเปิดประตู
ได้ในเสี้ยววินาที ถ้าจะล็อกรถ ก็แค่ปิดประตู แล้วกดปุ่มสีดำบนมือจับ ทั้งฝั่ง
คนขับ หรือฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า รวมทั้งมือจับเปิดฝาประตูห้องเก็บของ
ด้านหลัง

เมื่อมีระบบ Smart Key มาให้ การติดเครื่องยนต์ของทุั้ง 4 รุ่นย่อย จะเปลี่ยน
มาใช้ปุ่ม One Push Ignition System พร้อมระบบกันขโมย Immobilizer
ครบทั้งหมด

รายละเอียดภายในห้องโดยสารต่างๆนั้น แทบไม่ต่างจาก CR-V Gen.4th
รุ่นก่อนปรับโฉมเลย ไม่ว่าจะเป็นการเข้า – ออก ตำแหน่งเบาะนั่ง ความสบาย
ของเบาะนั่งทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพียงแต่ว่า พนักพิงหลัง ของเบาะแถว
หลัง สามารถปรับเอนได้เพิ่มขึ้นเพียง 1 ตำแหน่งเท่านั้น ซึ่งไม่รู้ว่าจะให้มา
ทำไม ถ้าปรับเอนได้แค่นี้

ในเมื่อรายละเอียดภายในทั้งหมด ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร จึงขอเชิญ
คุณผู้อ่านที่อยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกเข้าไปอ่านได้ในบทความเก่า
Full Review Honda CR-V 2012- 2014 ได้ CLICK HERE

แผงหน้าปัดยังคงมีหน้าตาเหมือนเดิม ขอตำหนิเล็กน้อย ในด้านการเก็บงาน
บริเวณรอยต่อระหว่าง แผ่นพลาสติกใต้หน้าจอ i-MID ที่ต้องเชื่อมแผงหน้าปัด
ฝั่งซ้าย และขวาไว้ด้วยกัน ชิ้นงานพลาสติก ไม่เนียนเรียบร้อย อย่างที่ควรเป็น

Trim ประดับแผงหน้าปัด เปลี่ยนลวดลายเล็กน้อย เป็นโทนสีน้ำตาลเข้มๆ และ
มีแถบโครเมียมอยู่ด้านล่าง เพิ่มความหรูขึ้นมาจากเดิมอีกนิดหน่อย

เครื่องปรับอากาศตั้งแต่รุ่น 2.0 E 4WD ขึ้นไป จนถึงรุ่น 2.4 EL 4WD เป็น
แบบอัตโนมัติ แยกฝั่ง ซ้าย – ขวา Dual Zone เช่นเดิม แต่เปลี่ยนสวิตช์หมุน
แบบใหม่ ให้ดูเก๋ไก๋ไอโซมากขึ้น

มองไปด้านบนหลังคา สวิตช์ไฟส่องสว่างและไฟอ่านแผนที่ ยังคงเหมือนเดิม
แผงบังแดด มีกระจกแต่งหน้ามาให้ทั้ง 2 ฝั่ง แต่ไม่มีไฟส่องแต่งหน้ามาให้เลย
ส่วนกระจกขนาดเล็ก สำหรับส่องผู้โดยสารตัวน้อย บนเบาะหลัง ที่เคยซ่อนไว้
ในช่องเก็บแว่นกันแดดแบบบุผ้าสักกะหลาด ก็ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว

พวงมาลัย หน้าตาเหมือนเดิม มีชุดสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงและโทรศัพท์ กับ
ระบบล็อกความเร็วคงที่ Cruise Control มาให้ตามเดิม รวมทั้งปุ่ม ECON
หรือโหมด ใบกัญชา ที่พวกเราเรียกกันเล่นๆ สำหรับการปรับรูปแบบการขับขี่
เข้าสู่โหมดประหยัด ลิ้นคันเร่งเปิดน้อยๆ และปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ
ให้อุ่นขึ้นนิดหน่อย เพื่อลดการใช้เชื้อเพลิง ยังคงมีมาให้เช่นเคย ขณะเดียวกัน
ชุดมาตรวัด และจอแสดงข้อมูล i-MID ก็ยังคงไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม

ด้านความบันเทิง ไฮไลต์สำคัญ อยู่ที่การเปลี่ยนชุดเครื่องเสียงมาเป็นแบบใหม่
หน้าจอสัมผัส Touch Screen ขนาด 7 นิ้วแบบ Advanced Touch ประกอบด้วย
วิทยุ AM/FM เครื่องเล่น CD / MP3 แบบ 1 แผ่น ซ่อนอยู่หลังหน้าจอพับเก็บได้
มีระบบนำทางผ่านดาวเทียม Navigation System พร้อมรองรับระบบสั่งการ
ด้วยเสียง SIRI (สำหรับ iPhone 4S ขึ้นไป) และการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์
Smart Phone (ในบางรุ่น) มีลำโพงมาให้ 4 ชิ้น + ทวีตเตอร์ 2 ชิ้น ที่ด้านบน
ของแผงหน้าปัด ฝั่งซ้าย – ขวา ควบคุมการทำงานด้วยสวิตช์ Multi Function
ติดตั้งบนก้านพวงมาลัย ร่วมกับ สวิตช์ควบคุมระบบ i-MID และสวิตช์ควบคุม
การทำงานของโทรศัพท์ ที่เชื่อมเข้ากับระบบเชื่อมต่อแบบไร้สาย (Bluetooth)

นอกจากนี้ยังมี ช่องเชื่อมต่อ HDMI และช่องเชื่อมต่อ USB 2 จุด ติดตั้งไว้ที่
กล่องเก็บของ ด้านข้างคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า ซึ่งถูกปรับปรุงพื้นที่
รอบข้าง ให้มีช่องวางแก้วแบบใหม่ 3 แบ่งได้เป็น 3 Log ปรับเลื่อนได้อิสระ
และมีหลุมวางของขนาเล็ก ซึ่งพียงพอต่อการวาง ตัวรับส่งสัญญาณของระบบ
จ่ายค่าทางด่วนอัตโนมัติ Easy Pass พอดีเป๊ะ!

คุณภาพเสียง ดีขึ้นจากเดิมนิดหน่อย แต่ยังไม่ถึงขั้นฟินาเล่ ต่อให้คุณปรับ
Equalizer แล้ว ก็ยังขับเสียงออกมาได้ไม่หมด ในบางเพลง

ในรุ่น 2.4 EL 4WD จะยกระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน
(Honda LaneWatch) มาจาก Accord G9 รุ่น 2.4 TECH ติดตั้งให้
เป็นพิเศษ เพียงรุ่นเดียว โดยมีกล้องวีดีโอขนาดเล็ก ใต้กระจกมองข้างฝั่ง
ผู้โดยสารด้านซ้าย ช่วยมองรถคันที่แล่นมาจากฝั่งซ้าย แล้วถ่ายทอดภาพ
ขึ้นบนจอมอนิเตอร์ ของระบบนำทาง การเรียกใช้งาน ง่ายดาย แค่เปิดไฟ
เลี้ยวซ้าย หรือ กดปุ่มบนหัวก้านสวิชต์ไฟเลี้ยว

ระบบ LaneWatch จะช่วยเพิ่มการมองเห็นมุมอับขณะกำลังจะเปลี่ยนเลน
มากขึ้นอีก 4 เท่าตัว หรือ ราวๆ 80 องศา ภาพที่ปรากฎบนจอมอนิเตอร์ จะมี
เส้นกะระยะห่างจากตัวรถ เพื่อความปลอดภัย 3 ขีด หากมีรถมาอยู่ใกล้ขีด
สีแดง แสดงว่า อันตรายเกินกว่าจะเปลี่ยนเลนได้อีก

ถ้าเปิดใช้ระบบนำทาง Navigation System อยู่ หากเปิดไฟเลี้ยว หน้าจอ
มอนิเตอร์จะตัดภาพไปยังกล้องของระบบ LaneWatch ทันที ระบบนำทาง
จะหยุดแสดงภาพบนหน้าจอชั่วคราว จนกว่าจะปิดไฟเลี้ยว หรือกดปุ่มยกเลิก
ระบบออก นอกจากนี้ยังสามารถสั่งปิดการทำงานของระบบนี้ได้เอง หรือจะ
สั่งยกเลิกเส้นเตือน 3 เส้นปรับแสงสว่างบนหน้าจอได้ตามต้องการอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมี กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ มาให้ ตั้งแต่รุ่น
2.0 E 4WD ขึ้นไป ยกชุดมาจาก Honda รุ่นอื่นๆ นั่นละครับ

ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัย คราวนี้ ครบครันยิ่งกว่าเดิม เพราะทุกรุ่นจะติดตั้ง
ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมด้านข้างคู่หน้า (i-Side Airbags) ม่านถุงลมด้านข้าง
(Side Curtain Airbags) เสริมด้วยระบบช่วยควบคุมการทรงตัว (VSA)
ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ
ขณะเบรกกะทันหัน (ESS) ครบถ้วน

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

CR-V รุ่นปี 2015 เวอร์ชันไทย ยังคงมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด เช่นเคย โดยรุ่น 2,000 ซีซี
ยังคงใช้เครื่องยนต์ลูกเดิม รหัส R20A บล็อก 4 สูบ SOHC 1,997 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
81.0 x 96.9 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.6 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC  เวอร์ชันเดียวกับ
Civic FB ใหม่ 155 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.4 กก.-ม.ที่ 4,300
รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ลูกเดิม มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อน ล้อหน้า และ
4 ล้อ Real Time เหมือนเดิม ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

ทว่า ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การปรับปรุงขุมพลังในรุ่น 2,400 ซีซี ด้วยการถอดเครื่องยนต์ K24A
รุ่นเดิม เพื่อแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ รหัส K24W4 บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,356 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 87 x 99.1 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.1 : 1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ PGM-FI
พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC ที่ถูกอัพเกรดไส้ใน ตามแนวทางการพัฒนา EARTH DREAM
Technology ของ Honda ในช่วงนี้

ดูสเป็กแล้ว มันก็คือการยกเครื่องยนต์ 2,400 ซีซี จาก Accord G9 มาวางใน CR-V นั่นเอง
ดังนั้น รายละเอียดต่างๆของขุมพลังนี้ จึงไม่ต่างจากใน Accord G9 เลย แม้กระทั่งตัวเลข
สมรรถนะก็ยังเท่าๆกัน คือ 175 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 23.0 กก.-ม.
(225 นิวตันเมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที

ไม่เพียงแค่เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ แต่คราวนี้ Honda ยังเลือกให้รุ่น 2,400 ซีซี ของ CR-V
ได้ใช้ เกียร์ลูกใหม่ อีกด้วย ถือเป็นครั้งแรกที่ CR-V ติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน
CVT มาให้ในตลาดเมืองไทย ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
Real Time 4WD (ซึ่งยังคงเป็นแบบเดิม)

อัตราทดเกียร์ D (ขับเคลื่อน) อยู่ที่ 2.645 – 0.405 เกียร์ถอยหลัง 1.858 – 1.264 อัตรา
ทดเฟืองท้าย 5.047

ตัวเลขสมรรถนะจะดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมหรือไม่ เรายังคงจับเวลากันด้วยวิธีการดั้งเดิม คือทำในช่วง
กลางคืน บนถนนที่โล่งสนิท มีผม และน้องโจ๊ก V10 ThLnD สมาชิก The Coup Team
ของเว็บเรา รวมน้ำหนักอยู่ที่ 170 – 180 กิโลกรัม เปิดไฟหน้า เปิดแอร์ พื้นถนนแห้งสนิท
ตัวเลขที่ได้เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาดทั้งหมด มีดังนี้

ถ้าเปรียบเทียบกับตัวเลขของ CR-V รุ่นก่อนปรับโฉม แน่นอนครับว่า คุณจะเห็นอานิสงค์
ของการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ พร้อมกับหันมาใช้เกียร์ CVT อย่างชัดเจน ตัวเลขที่ออกมา
ดีขึ้นกว่ารุ่น 2,400 ซีซี เดิม ชัดเจน ตัวเลข 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เร็วขึ้น 1.3 วินาที
เลยทีเดียว! แถมยังเร็วกว่ารุ่น 2WD เดิม 1.1 วินาที แต่อัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/
ชั่วโมง นั้น ถ้าเทียบกับรุ่น 4WD เดิม รุ่นใหม่จะเร็วขึ้นแค่ 0.6 วินาที ยิ่งถ้าเทียบกับรุ่น 2WD
เดิม จะพบว่า รุ่นใหม่ เร็วขึ้นแค่ประมาณ 0.1 วินาที

ถ้าเทียบกับคู่แข่ง อัตราเร่ง ยังถือว่า อยู่ในกลุ่มต้นๆ ของตลาด Compact SUV เฉือนชนะ
Mazda CX-5 2,000 ซีซี แค่ 0.1 วินาที เท่านั้น ในเกม 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ยังไงๆ
อัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ยังไม่ไวพอ เมื่อเทียบกับ Mazda CX-5 ทั้งรุ่น
เบนซิน 2,500 ซีซี และ Diesel urbo 2,200 ซีซี

นอกนั้น CR-V 2,400 ซีซี ใหม่ เร็วกว่าใครเพื่อนเขาเกือบทั้งหมด ยกเว้น Subaru Forester
2.0 XT Turbo CVT ซึ่ง ก็ต้องยอมให้เขาไปแต่โดยดี เพราะ CR-V ไม่มี Turbo มาช่วย

ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น เท่ารุ่นเดิมไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ มาในรอบที่สูงกว่ากันชัดเจน
ถ้าไม่มีเนินส่งช่วย ตัวเลขอาจจะไปสุดที่แค่ 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่เมื่อมีช่วงที่ต้อง
ขับลงจากเนินช่วยด้วย มาตรวัดก็ไต่ขึนไปเฉียดระดับ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก่อนจะ
ลดลงมาอยู่ในตำแหน่งที่เห็นในภาพ

ย้ำกันตรงนี้ เหมือนเช่นเคยว่า เรายังคง มีจุดยืนที่จะไม่สนับสนุนให้ใครก็ตามไป
ทดลองหาความเร็วสูงสุดกันเอง เพราะมันอันตรายต่อชีวิตตนเอง และเพื่อนร่วมใช้
เส้นทาง แถมยังผิดทางกฎหมายจราจร อีกด้วย เราทำตัวเลขออกมาให้ดูกันเพื่อให้
ได้ทราบข้อเท็จจริง และเป็นประโยชน์ในแง่การศึกษา ด้านวิศวกรรมยานยนต์
สำหรับผู้ที่สนใจ เท่านั้น

ในการขับขี่จริง อัตราเร่งจากเครื่องยนต์ใหม่ และเกียร์ CVT ลูกใหม่ ดีขึ้นกว่าเดิมชัดเจน
ในช่วงออกตัวจนถึง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่สิ่งที่แอบชวนให้แอบรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ
Delightful นิดๆ กลับอยู่ที่ช่วงรอบเครื่องยนต์ปลายๆ ขณะเข็มความเร็ว ไต่ขึ้นไปจาก 120
ต่อเนื่องถึง 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ทำได้เร็วขึ้นกว่าเดิมชัดเจน ไม่แสดงอาการห่อเหี่ยวให้
เห็นเลยจนกว่าจะแตะ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป นั่นละครับ จึงจะเริ่มหมดพิษสง ต้อง
ใช้เวลาเค้นกันอีกนิดหน่อย จึงจะได้ตัวเลขความเร็วสูงสุด อย่างที่เห็น

ถ้าต้องการเรียกอัตราเร่งแซง ขอบอกว่า ทันใจกว่ารุ่นเดิมชัดเจน หากเติมคันเร่งเพิ่มไป
อีกเพียงนิดหน่อย เกียร์อาจยังไม่ตอบสนองมากนัก ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า จะเปิดออกน้อย
แต่ยังพอสัมผัสได้ถึงการสนองตอบจากเครื่องยนต์

ถ้าเหยียบคันเร่งปานกลาง อัตราเร่งที่ได้ จะมาไวกว่าเดิมในช่วงต้นๆ ไต่ขึ้นทางชันได้
อย่างไม่ต้องกังวลนัก แต่ถ้าต้องการสนุกกับพละกำลังอย่างเต็มที่ละก็ ขอแนะนำว่าให้
เหยียบคันเร่ง เต็มมิดตีนไปเลย Torque Converter จะทำงานกระฉับกระเฉง ฉับไว
คันเร่งไฟฟ้า ตอบสนองเร็วดี อาจเหลืออาการ Lag บ้าง ในบางกรณี เช่นเหยียบคันเร่ง
กระทันหันฉับพลัน แต่ถ้าแตะลงไปแบบต่อเนื่อง คันเร่งจะตอบสนองไวใช้การได้ ผมเอง
มองว่า คันเร่งแบบนี้ ในรถยนต์ที่ต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลกอย่าง
CR-V ถือว่า เซ็ตมาดีแล้ว

เกียร์ CVT ลูกใหม่นี้ ทำงานราบรื่น ฉลาด ไม่โง่ สั่งอะไร ทำได้ตามนั้น และไวพอที่จะ
ตัดสินใจได้ว่า จะทำตามคำสั่งหรือไม่ แป้น Paddle Shift ยังคงทำงานได้กระฉับกระเฉง
ตบเปลี่ยนเกียร์ลงมาทีละจังหวะก็จริง แต่ถ้าต้องตบแป้น – 2 ครั้งติด เพื่อจะเชนจ์เกียร์
ลงต่ำ 2 จังหวะรวด บอกเลยว่าสมองกลของเกียร์จะรับรู้ แต่จะเปลี่ยนลงมาให้หรือไม่
ขึ้นอยู่กับรอบเครื่องยนต์ในช่วงที่ใช้อยู่ หากรอบเครื่องยนต์ไม่สูงนัก เช่น แล่นอยู่ 80
กิโลเมตร/ชั่วโมง รอบไต่แถวๆ 1,300 รอบ/นาที ตบเปลี่ยนเกียร์ลง อาจทำได้ ทันที แต่
ถ้าใช้ความเร็วสูงๆ รอบเครื่องยนต์สูงๆ อยู่แล้ว เกียร์จะไม่เปลี่ยนลงมาให้รวดเดียว
2 จังหวะ แน่ๆ แต่อาจยอมเปลี่ยนลงมาให้ 1 จังหวะก่อน เพื่อลดความเสียหายของ
เครื่องยนต์ และเกียร์

การเก็บเสียงในห้องโดยสาร ถือว่าพอกันกับรุ่นเดิม เงียบในช่วงความเร็วต่ำ ดังใน
ช่วงพ้นจาก 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็นต้นไป แต่ยืนยันเลยว่า เงียบกว่าภายในของ
Mazda CX-5 แน่นอน

พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน เสริมระบบผ่อนแรงแบบเพาเวอร์ ไฟฟ้า MA – EPS
(Motion Adaptive Electric Power Steering System) มีการปรับปรุงเพื่อ
ลดการหมุนพวงมาลัย ซ้ายสุดไปขวาสุด จาก 3.16 รอบ เหลือ 2.97 รอบ แต่ยังคง
รักษารัศมีวงเลี้ยว ไว้ที่ 5.5 เมตร เท่าเดิม

การตอบสนองของพวงมาลัย ก็ไม่ต่างจาก CR-V รุ่นเดิมเท่าใดเลย นั่นคือคล้ายคลึง
กับ Honda รุ่นใหม่ๆ ในรอบ 3 ปีมานี้มากๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับพวงมาลัยของ
HR-V ที่จะใกล้เคียงกันมากที่สุด ถึงขั้นต้องสลับกันขับรถทั้ง 2 รุ่น พร้อมกัน เท่านั้น
จึงจะพบความแตกต่าง (ซึ่งก็ไม่มากนัก)

น้ำหนักของพวงมาลัยในช่วงความเร็วต่ำ จะเบากว่า HR-V นิดเดียวจริงๆ หมุนได้
คล่องมือใกล้เคียงกัน และมีแรงขืนที่มือในระดับใกล้เคียงกัน แต่ CR-V จะเบากว่า
นิดเดียว แต่พอใช้ความเร็วสูงขึ้น การตอบสนองของพวงมาลัย รวมทั้งน้ำหนักของ
พวงมาลัยก็จะตึงมือมากขึ้น นิดนึง On Center feeling ยัง OK พวงมาลัยไม่ได้
เบาหวิว แบบ Accord G9 ภาพรวมแล้ว พูดให้ง่ายเข้าก็คือ ตอบสนองคล้าย HR-V
อยู่ตรงกลางระหว่าง Civic กับ HR-V และค่อนมาทาง HR-V มากกว่า

ระบบกันสะเทือน หน้า ยังคงเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลัง เป็นแบบ ปีกนกคู่
Double Wishbone เป็นแบบ 3 Link ขอยืนยันว่า ตอบสนองไม่ต่างจากรุ่นเดิม
ในช่วงความเร็วต่ำ ก็ยังคงเป็นมิตรกับอากง อาม่า ซึ่งนั่งบนเบาะหลังเหมือนเช่นเคย
การซับแรงสะเทือน ขณะขับผ่านหลุมบ่อ ฝาท่อ และลูกระนาด ยังพอจะฝากผีฝากไข้
ไว้ได้ เหลือความสะเทือนไว้นิดๆ แต่ไม่มาก เมื่อเทียบกับ HR-V ที่แอบกระด้างกว่า
กระจึ๋งนึง

กระนั้น การทรงตัวในช่วงความเร็วสูงยังแค่พอจะใช้งานได้ ไม่ถึงกับให้ความมั่นใจ
อย่างเต็มเปี่ยม มากเท่าคู่แข่งรุ่นใหม่ๆในตลาด อาการเอียงในขณะเข้าโค้งแรงๆ ยัง
มีอยู่ตามเดิม คือ ด้อยกว่า CR-V Gen.3 รุ่นก่อน แต่ยังอยู่ในเกณฑ์พอยอมรับได้
กระนั้น ผมยังสามารถพา CR-V ยัดเข้าโค้งหนักๆ หลักๆ บนทางด่วน ทั้งโค้งขวา
รูปเคียว ช่วงต่างระดับมักกะสัน หรือโค้งซ้ายตรงข้ามโรงแรมเมอเคียว ไปจนถึง
โค้งตัว S ยาวๆ เชื่อมทางด่วนขั้นที่ 1 กับทางยกระดับ บูรพาวิถี ได้ที่ระดับตั้งแต่
90 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง พอได้ เพียงแต่อาจต้องฝืนกับอาการเอียงสักหน่อย

หากเปรียบเทียบกับคู่ต่อสู้จากค่ายอื่นแล้ว ช่วงล่างของ CR-V ใหม่ จะนุ่ม แต่ให้
สัมผัสถึงความเบาสบายกว่าเพื่อน กระนั้น ถ้าคุณเป็นคนขับรถเร็ว ชอบเปลี่ยนเลน
และมุดโค้ง Mazda CX-5 จะตอบโจทย์ได้ดีกว่าในทุกประเด็น ส่วน Nissan
X-Trail ใหม่ จะให้ สัมผัสที่นุ่ม แต่แน่นกว่า ไม่ได้มาในแนว “นุ่มแต่เบาๆ”อย่าง
CR-V

ระบบห้ามล้อของ CR-V ใหม่ เป็นแบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ จานเบรกคู่หน้ามีรูระบาย
ความร้อน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของจานเบรก 11.7 นิ้ว ส่วนจานเบรกหลังมีขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลาง 12 นิ้ว ทุกรุ่น ติดตั้งเชื่อมกับระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-
Lock Braking System) แบบ 4 Channel 4 Sensor (ทำงานตลอดเวลา
ปิดระบบไม่ได้) และระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุกระหว่างล้อหน้า – หลัง
EBD (Electronic Brake Force Distribution)

ในรุ่น 2.4 ลิตร ทั้ง 2WD และ 4WD จะเพิ่มระบบควบคุมการทรงตัว VSA (Vehicle
Stability Assist) ที่มีสวิชต์ปิดการทำงาน บนแผงหน้าปัด พร้อมระบบป้องกันการลื่น
ไถล มาให้ ถ้าเบรกกระทันหัน ไฟฉุกเฉินจะติดขั้นเองอัตโนมัติ

การทำงานของระบบเบรก ยังคงไว้่ใจได้ หน่วงความเร็วในแบบ พอดีๆ เอาใจลูกค้า
กลุ่มพ่อบ้านแม่บ้าน ที่อาจจะขับรถเร็วกว่าปกติเล็กน้อย แต่ไม่ค่อยเกิน 120 – 140
กิโลเมตร/ชั่วโมง แป้นเบรกนุ่ม ระยะเหยียบเบรกค่อนข้างยาว แถมยังสามารถเลี้ยง
แป้นเบรกให้รถหยุดนิ่งอย่างนุ่มนวล ในช่วงความเร็วต่ำ ขณะขับคลานๆ ไปตาม
สภาพการจราจรที่ติดขัด ได้สบายๆ เหมือนเดิม

อย่างไรก็ตาม สำหรับลูกค้าตีนโหด ที่รักการ ขับรถมุดๆ เร่งๆ เหยียบๆ เป็นคนที่
มีนิสัยขี้รำคาญ รถคันข้างหน้า และชอบเร่งแซงชาวบ้าน ไปอย่างรวดเร็ว มองว่าการ
ขับไล่บี้ Toyota Fortuner หรือ Vigo คืองานประจำบนท้องถนน ขอบอกเลยว่า
คุณอาจได้กลิ่นผ้าเบรกไหม้ บ่อยขึ้น เมื่อต้องเหยียบเบรกในภาวะคับขัน ติดๆกัน หรือ
ต่อเนื่องกัน หลายๆครั้ง ประสิทธิภาพในการเบรกมันจะค่อยๆ ถูกบั่นทอนลงช้าๆ
ดังนั้น ถ้าคุณเป็นคนมีนิสัย..(หรืออีกนัยหนึ่ง ภาษาแถวบ้านผมเรียกว่า “สันดาน”)
ชอบเร่ง มุด แทรก ไล่บี้ชาวบ้าน เห็น CR-V ของคุณเป็น NSX Type R หรือว่า
Ferrari ขอแนะนำว่า ไปเปลี่ยนผ้าเบรกซึ่งทนต่อความร้อน และถูกโฉลกกับนิสัย
การขับรถของคุณ จะดีกว่า นอกนั้น ไม่ต้องไปแก้ไขอะไรเพิ่มเติมแล้ว

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

อีกประเด็นที่สำคัญ และขาดไปเสียมิได้ในการทดลองรถยนต์ของ Headlightmag
นั่นคือ การทดลองหาความประหยัดน้ำมัน ยิ่งเมื่อ Honda ตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องยนต์
ให้กับ CR-V ใหม่ เชื่อว่าหลายคนคงอยากทราบว่า CR-V 2.4 ลิตร ใหม่ จะประหยัด
น้ำมันเพิ่มขึ้นจากเดิมได้หรือไม่ และมากน้อยเพียงใด?

เราจึงยังคงใช้วิธีการทดลองตามมาตรฐานดั้งเดิม คือการพารถไปเติมน้ำมัน เบนซิน 95
Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex บนถนนพหลโยธินใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS
อารีย์ ในช่วงกลางคืน

ด้วยเหตุที่ CR-V เป็นรถยนต์นั่ง SUV แม้จะมีคนอยากรู้ถึงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แต่
ลูกค้าในกลุ่มนี้ ไม่ได้ซีเรียสกับตัวเลขกันมากขนาดนั้น เราจึงตัดสินใจเติมน้ำมัน ด้วยวิธี
เติมเสร็จแล้วให้หัวจ่ายตัด ก็พอ ไม่ต้องเขย่ารถ อย่างเช่นที่ต้องทำกับรถยนต์นั่งต่ำกว่า
2,000 ซีซี และรถกระบะ ให้ปวดเข่า

เมื่อเราเติมน้ำมันจนเต็มถัง เราก็ คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ ออกรถไป
เลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายลัดเลาะไปตามซอยอารีย์ โผล่ออกปากซอย
โรงเรียนเรวดี เลี้ยวซ้าย มุ่งสู่ถนนพระราม 6 ไปเลี้ยวขวาขึ้นทางด่วน ขับไปเรื่อยๆ
จนสุดปลายทางด่วนสายเชียงราก อุดรรัถยา ที่ด่านบางปะอิน ก่อนเลี้ยวกลับย้อน
ขึ้นทางด่วนสายเดิม ขับกลับมาเข้ากรุงเทพฯกันอีกครั้ง ด้วยมาตรฐานเดิมคือ

ใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และ นั่ง 2 คน และคราวนี้ เพื่อรักษาความเร็ว
ให้นิ่งยิ่งขึ้น เราเปิดระบบควบคุมความเร็ว Cruise Control ในรุ่น 2.0 ลิตร และ Redar
Cruise Control ในรุ่น 2.4 ลิตร ซึ่งต้องขอตำหนิว่า ไม่สามารถรักษารอบเครื่องยนต์ให้
คงที่ ต่อเนื่อง ได้อย่างที่ Accord G9 ทำได้เลย ในขณะไต่ขึ้นทางชัน รอบเครื่องกวาดขึ้น
ไปถึง 3,500 รอบ/นาที โดยไม่จำเป็นเลย

เราลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  เลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับใต้สถานี
รถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex พหลโยธิน กันอีกครั้ง
เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ให้เต็มถัง แค่หัวจ่ายตัดพอ เหมือนตอนเริ่มต้นทดลอง

ผู้ช่วยทดลอง และสักขีพยานของเราคราวนี้ เป็น น้องเติ้ง กันตพงษ์ สมชนะ
คุณผู้อ่านของ Headlightmag เรานี่แหละครับ เจ้าตัวอยากลองมาเรียนรู้ดูว่า
วิธีการทำงานของเราเป็นอย่างไร ก็จับให้มาลองของจริงกันไปเลย

เอาละ มาดูตัวเลขที่ ออกมากันดีกว่า

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด 92.8 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับเฉลี่ย 6.49 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 14.29 กิโลเมตร/ลิตร

ถือว่าทำได้ดีขึ้นกว่า CR-V 2.4 ลิตร 4WD รุ่นเดิม ซึ่งอยู่แถวๆ 13.5 กิโลเมตร/ลิตร!

เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขแล้วจะพบว่า ขุมพลังใหม่ กับเกียร์ลูกใหม่ ประหยัดขึ้น
มากกว่ารุ่นเดิมชัดเจน มาอยู่ในระดับเทียบเคียงกันกับ Mazda CX-5 ได้แล้ว
รวมทั้ง Subaru Forester 2.0 XT Turbo โดยทำได้ดีกว่ากันแค่ 0.1
กิโลเมตร/ลิตร

นอกนั้น แซงชาวบ้านเขามาไกลพอสมควร เห็นได้ชัดว่า ณ วันนี้ SUV พิกัด
2,000 – 2,500 ซีซี จะประหยัดน้ำมันเฉลี่ย อยู่แถวๆ 13 – 15 กิโลเมตร/ลิตร
กันแล้ว

ถ้าใครอยากรู้ว่าน้ำมัน 1 ถัง จะพา CR-V ใหม่ แล่นได้ไกลแค่ไหน คำตอบที่เรา
ทดลองใช้งานจริงกันในช่วง 5 วัน 4 คืน น่าจะอยู่แถวๆ 500 กิโลเมตร ได้ ถ้าคุณ
ขับแบบปกติ เรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะ มีเร่งแซง ออกกำลังบ้างบางครั้ ต่อให้กดเต็มตีน
อยู่ 2-3 ครั้ง ก็ยังพอได้ แต่ถ้ามากกว่านี้ เข็มน้ำมันจะลดลงมาไวกว่าปกตินิดนึง
ทั้งนี้ ถือว่าพอกันกับ CR-V เก่า และ Accord G9 ใหม่ นั่นละครับ

********** สรุป **********
แรงขึ้นชัดเจน ประหยัดขึ้นนิดหน่อย ที่เหลือ เป็นผู้ชายเรียบง่ายเหมือนเดิม!

สงสัยว่า Honda คงยังจำได้ดีว่า ลูกค้าคนไทย ก่นด่า Civic FB Minorchange
ในโลก Social Media ที่ปรับปรุงน้อยมาก แทบไม่เห็นความแตกต่างจากเดิม
กันกระหน่ำหนักหนาขนาดไหน ถึงได้ลงทุนเปลี่ยนเครื่องยนต์ และเกียร์
ลูกใหม่ ให้กับ CR-V Minorchange ในคราวนี้กันแบบแปลกจากธรรมเนียม
ปกติดั้งเดิมของพวกเขา

การตัดสินใจครั้งนี้ ถือเป็นแนวทางที่ถูกต้อง เพราะท่ามกลางสถานการณ์การ
แข่งขันที่รุนแรงในตลาดกลุ่ม Compact Crossover SUV (C-SUV) Honda
จำเป็นต้องรักษาสถานภาพหมายเลข 1 ในตลาดกลุ่มนี้ไว้

การเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ กับเกียร์ลูกใหม่ CVT คราวนี้ ช่วยให้ CR-V กลับมา
ดูน่าสนใจเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย ในสายตาของลูกค้าที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องรถยนต์
มากนัก และเข้าใจไปว่า CR-V ดูหรูกว่า CX-5 และ X-Trail หลายคนถึงขั้นมอง
ว่า Honda อัดออพชัน มาให้มีลูกเล่นแพรวพราวขึ้น (ทั้งที่จริง ก็แค่นิดหน่อย
เท่านั้น) เปลี่ยนเครื่องยนต์ให้แรงขึ้น ประหยัดน้ำมันขึ้น

ส่วนใครที่กังวลว่าเกยร์ CVT จะอืด จะหน่วง ลืมไปได้เลยครับ นี่ไม่ใช่เกียร์
CVT แบบเก่าๆ ที่เคยเจอกันมา อัตราเร่งดีขึ้นได้ถึง 1.2 วินาที เป็นผลงานอัน
โดดเด่นเด้งดึ๋งที่สุด ของเกียร์สายพานลูกใหม่นี้ที่สมควรได้รับเครดิตไปเต็มๆ
เพียงแต่ว่า เสียงเครื่องยนต์ขณะไต่ขึ้นไปยังรอบสูงๆ อาจชวนให้ขัดใจอยู่บ้าง
สำหรับบางคนที่ไม่คุ้นเคยกับการขับรถยนต์ที่ใช้เกียร์ CVT

อัตราเร่งที่ดีขึ้น ทำให้การตอบสนองทันใจมากขึ้น ช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วขณะ
ลัดเลาะไปตามสภาพการจราจรในตัวเมือง หรือแทรกตัวไปตามสายธารยานยนต์
บนทางด่วนช่วง 6 โมงเย็น ได้ดีขึ้น แถมพกมาด้วยความประหยัดน้ำมันที่มากขึ้น
กว่าเดิมอีกนิดหน่อย ตามมาเกาะกลุ่ม 14 กิโลเมตร/ลิตร ขึ้นไป ทัดเทียมคู่แข่ง
ได้เสียที

กระนั้น ช่วงล่าง และพวงมาลัยที่เซ็ตมาในสไตล์เอาใจผู้คนส่วนใหญ่ ซึ่งเรียกหา
ความนุ่มสบาย ในช่วงความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง อาจไม่โดนใจบรรดา
ตีนผีกลับชาติมาเกิดทั้งหลาย ที่ขับรถเร็วกว่านั้น มากนัก มันยังคงมีเบาะนั่งที่พอ
จะให้ความสบายหลงเหลืออยู่บ้าง การเก็บเสียงยังทำได้ไม่ถึงกับดีนัก ส่วนความ
อเนกประสงค์ ก็ยังมากพอจะทำให้ลูกค้าเลือกไว้ใจ อุดหนุน CR-V กันต่อไปได้

ถ้าจะเปรียบให้เป็นมนุษย์คนนึง ตา Pan Paitoonpong ของเว็บเรา ไดลอง
เปรียบเปรยให้คุณได้เข้าใจอย่างง่ายๆ ดังนี้

“เขาน่าจะเป็น ผู้ชายวัย 40 – 45 ปี เงียบๆ นุ่มๆ มีบทหงุดหงิดให้เห็น
ได้บ้าง ไม่มีรสชาติเซ็กส์ แต่งตัวบ้างแค่ตามโอกาส ไม่เฟี้ยวฟ้าวสุดๆ ไม่มีมัดกล้าม
เอาใจสาว ไม่มีความเป็นเจมส์บอนด์ในตัว มีข้อเสียในบางจุด ไม่ค่อยโรแมนติก
แต่เป็นคนที่มีวินัย เสมอต้นเสมอปลาย ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ และคำว่าครอบครัวมาก่อน
ความสนุกมันส์ แต่จะมีบางจังหวะที่ ถ้าฮาก็ฮาเลย นานๆมาครั้ง ซึ่งก็เหมือนกับ
เครื่องยนต์และเกียร์ CR-V 2.4 CVT ที่ดูไม่มีอะไร แต่ก็เซอร์ไพรส์ได้เหมือนกัน

แต่นอกนั้นเขาเป็นคนที่ธรรมดาที่มีวิธีคิดที่ Make sense พยายามให้ความสำคัญ
กับคนทุกคนรอบตัวอย่างเท่าเทียมกันจนภายในความจืดชืดนั้นบางทีก็น่าสงสาร
แต่ก็มีศักยภาพที่จะประคับประคองชีวิตไปได้ดี ไม่เรียกร้องงี่เง่า ไม่ขี้งอน เวลา
คุยนั่งคุยดีๆได้

เขาไม่ใช่คนที่ผู้หญิงจะอยากควงไปเฉิดฉายตามงานกาล่าดินเนอร์หรือผ่าไปงาน
มอเตอร์สปอร์ตเผื่ออวดว่า “ผัวกูหล่อ” แต่เป็นผู้ชายที่ดีใช้ได้คนหนึ่ง ที่ว่าถ้าใครได้
อยู่กับเขาและเข้าใจในพื้นฐานสิ่งที่จำเป็นต่อการมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข ก็จะ
อยู่กับเขาได้อย่างมีความสุข”

แล้วถ้าเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาดละ? ควรเลือกซื้อรถยนต์รุ่นไหน?

ถ้าคุณชอบขับรถเป็นชีวิตจิตใจ รักความสนุกในการขับขี่ เดิมเคยใช้รถเก๋ง
อยากเปลี่ยนมาขับ SUV ต้องการรถที่ “ขับแล้วฟินจบข่าว แถมทั้งแรง
และประหยัดน้ำมัน” แต่ยอมรับได้กับเสียงกระแสลมที่ไหลผ่านห้องโดยสาร
เยอะกว่าเพื่อน และศูนย์บริการ ที่มีทั้งดี และไม่ดี ปริมาณไล่เลี่ยกัน ตอนนี้
Mazda CX-5 คือคำตอบที่ชัดเจนมากๆ สำหรับคุณ

ขณะเดียวกัน ถ้าคุณเป็นคนช่างเลือก เน้น ออพชันครบๆ อยากได้ความสบาย
ในการขับขี่ ไม่ได้ไปซิ่งไปซ่าส์ที่ไหน แต่พอมีเรี่ยวแรงไว้หนีพวกขับจี้ตูด
ได้อยู่  มีคนนั่งเบาะแถว 2 บ่อย และต้องการเบาะแถว 2 ที่นั่งสบายสุดในกลุ่ม
แต่นานที 4 ปีหนจึงจะใช้เบาะแถว 3 สักที ต้องการ SUV แบบบ้านๆ แต่ล็อก
ระบบขับเลื่อน เป็น 4 ล้อตลอดเวลาได้ด้วย แต่ยอมรับได้กับศูนย์บริการที่เริ่ม
มีเสียงบ่นให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ ในระดับที่พอๆกันกับ Mazda คงต้องหันไปหา
Nissan X-Trail ใหม่

ถ้าคุณมั่นใจว่า อยากได้ เบาะ 7 ที่นั่ง ซึ่งนั่งได้จริงๆ ไม่ใช่แค่ 5 + 2 ที่นั่ง
อย่าง X-Trail คาดหวังอออพชันที่ไม่น้อยหน้าคู่แข่งคันอื่น แถมยังพอจะเอาไป
คุยโขมงโอ้อวดเพื่อนบ้านในซอยเดียวกันอย่างไม่ต้องอายใคร แต่คุณต้องทำใจ
ยอมรับได้ กับมาตรฐานของ ศูนย์บริการ ที่จัดอยู่ในเกณฑ์แย่เกือบทั่วประเทศ
หาศูนย์บริการดีๆ ยากกว่า หาตุ้มหูที่หล่นอยู่ในสระว่ายน้ำ และอาจต้องทนกับ
ปัญหาจุกจิกกวนใจของตัวรถ อาจถึงขั้นต้องโทรเรียกรถยก Slide-on มาช่วย
ยามดึกกันบ้าง แล้วละก็ Chevolet Captiva เป็นทางเลือกที่เหมาะสุดกับคุณ

แต่ถ้าคุณยังเป็นพวกชอบฟังเพลงเก่า ประเภท อดีตรักฝังใจ รัก Ford Escape
กันมากมาย ถึงขนาดว่า ต้องขอเป็นเจ้าของสักครั้งในชีวิต โดยไม่สนใจเลย
ว่าศูนย์บริการจะอุดมไปด้วยคำผรุสวาทและเสียงก่นด่าจากลูกค้าคนอื่นๆ มาก
ขนาดไหน รถคันที่คุณต้องการ จะจอดค้างสต็อกตากฝุ่นมานานแล้วเท่าไหร่
ใจยังรักมั่นในเธอผู้เดียว ก็ขอเรียนเชิญ ไปโชว์รูม Ford ถอย Ford Escape
ออกมาขับ มาครองรักคู่สมดังใจปองเลยแล้วกัน

และถ้าคุณเป็น คนที่ มองว่า ราคาขายต่อ กับศูนย์บริการ คือเรื่องยิ่งใหญ่สุด
ในการซื้อรถสักคัน ชนิดว่า ยังไม่ทันจะซื้อ ก็เข้าไปคลิกเว็บ Taladrod.com
เตรียมรอขายกันล่วงหน้าเลย ต้องการ SUV ที่ทำให้กลุ่มเพื่อนสาวรอบกาย
รับรู้ได้ว่า กิจการ SME (Single Mother Elephant) ของคุณ หรือกิจการ
ขายตรงที่คุณไปทำตัวเป็นดาวน์ไลน์เขาอยู่ ประสบความสำเร็จแล้ว หรือ
บุพการีที่น่าเกรงกลัวประจำบ้าน โกรธจัด หุนหัน ทุบโต๊ะ ลุกขึ้นประกาศ
กลางโต๊ะอาหารค่ำต่อหน้าวงศาคณาญาติที่นั่งเมาท์แตกเรื่องคุณจะซื้อรถ
คันใหม่ว่า…

“มึงห้ามซื้อรถยี่ห้อใด นอกเหนือจาก Toyota และ Honda เท่านั้น มิเช่นนั้น
กูจะตัดมึงออกจากกองมรดกของครอบครัวกู!! มึงไม่เชื่อ อยากอวดดีอวดเก่ง
ปีกกล้าขาแข็ง จะลองดีกับกูก็เชิญ!!”

ถ้าถึงขั้นนี้….Honda CR-V ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีของคุณเหมือนเช่นเคยครับ

(ภาพตัดกลับมา หน้า J!MMY ยิ้มเผล่ เหงื่อแตกพลั่กๆ กลัวบุพการีคุณ จะยก
ปืนลูกซองขึ้นมาส่องหน้า แล้วตะคอกใส่ผมว่า “อย่ามาเสือกแนะนำลูกข้าให้
ซื้อรถห่าอะไรก็ตามนอกเหนือไปจาก Toyota และ Honda อีกนะ ไอ้เชี่ยอ้วน!”)

ปล. ครอบครัวที่คิดประมาณนี้ มีจริงๆนะครับ ถึงได้เขียนแบบนี้ให้อ่านกันไง!!

ปาดเหงื่อเสร็จ…

เอาละ..ถ้าตกลงปลงใจแล้วว่า CR-V นี่แหละ คือทางเลือกที่คุณต้องการ ควรเลือก
รุ่นย่อยใด?

CR-V รุ่นปรับโฉม Minorchange ปี 2015 – 2017 นั้น มีทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ดังนี้

รุ่น 2.0 S             ราคา 1,200,000 บาท
รุ่น 2.0 E 4WD     ราคา 1,325,000 บาท
รุ่น 2.4 EL            ราคา 1,495,000 บาท
รุ่น 2.4 EL 4WD    ราคา 1,580,000 บาท

ส่วนสีตัวถัง และสีภายในห้องโดยสารนั้น ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะเลือกสีอะไร ถ้าเลือก
สีน้ำตาล Copper Sunset (Pearl) สีขาว Orchid White (Pearl) และสีเงิน Alabaster
Silver (Metallic) คุณจะได้ภายในห้องโดยสารสีดำ แต่ถ้าเลือกสีดำ Crystal Black
(Pearl) และสีเทา Modern Steel (Metallic) คุณจะได้ ภายในห้องโดยสารสีเบจ
แต่สีน้ำตาล ต้องเพิ่มเงินอีก 8,000 บาท ส่วนสีขาวมุก เพิ่มเงินอีก 12,000 บาท

ถ้างบน้อย รุ่น 2.0 S ก็มีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้เพียงพอแล้ว เว้นเสียแต่อยากได้รุ่น
ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่มีอุปกรณ์เพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย ตามสไตล์ของ Honda ที่เน้นขาย
รุ่น 2.0 E 4WD เป็นหลัก ราคาที่แพงขึ้นนิดหน่อย ถือว่า ยังพอจะกัดฟันยอมรับได้

แต่รุ่นที่คุ้มใช้ได้จริงๆ กลับเป็นรุ่น 2.4 EL 2WD ที่มีออพชันมาให้ ใกล้เคียงกับรุ่น
2.4 EL 4WD แต่ราคาถูกกว่ากันพอสมควร

เลือกกันได้ตามอัธยาศัย ตามใจชอบ โดยไม่ต้องมานั่งสนใจนะครับว่า CR-V รุ่น
เปลี่ยนโฉมใหม่ Full Modelchange ถัดจากนี้ จะมาถึงเมืองไทยเมื่อไหร่ เพราะ
ถ้าจะให้รอต่อไป ผมเชื่อว่า ใจคนอยากได้รถเร็วๆ อย่างคุณๆ คงไม่รอกันหรอก
จะรีบถามถึงรุ่นใหม่ไปทำม้ายยยย!?

กว่าจะมาถึง ก็ต้องปี 2017 โน่น อีกตั้ง 2 ปีแหนะ!!

——————————-///——————————

ขอขอบคุณ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Honda Automobile (Thailand ) จำกัด

เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ

————————————————

บทความของรถยนต์ในกลุ่มตลาดเดียวกัน ที่ควรอ่านเพิ่มเติม

Full Review : Honda CR-V 2012 – 2014 (ข้อมูลรุ่น 2.0 ลิตร ยังอ้างอิงได้ในนี้)

รวมบทความทดลองขับ รถยนต์กลุ่ม Compact Crossover SUV

————————————————

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
17 กุมภาพันธ์ 2015

Copyright (c) 2015 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com

Febuary 17th,2015

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE