ถ้าคุณ มีเงิน 1 ล้านบาท ถ้วน จนถึง 1.5 ล้านบาท
คุณจะซื้อรถอะไร ให้ครอบครัวคุณ?

คำถามง่ายๆ แต่ตอบอยากชะมัด
เงินระดับนี้ คุณอาจจะหารถเก๋งขนาดกลาง รุ่นยอดนิยม ทั้ง โตโยต้า แคมรี
ฮอนด้า แอคคอร์ด นิสสัน เทียนาได้แน่ๆ

แต่สำหรับบางครอบครัว ที่มองหารถตู้ขนาดใหญ่สักคัน เอาไว้เดินทางไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด
ทว่ามีงบไม่มากพอที่จะถอย เมอร์เซเดส-เบนซ์ วีโต้ หรือ โตโยต้า อัลฟาร์ด

ผมว่า เรามีอีกทางเลือกมาให้ชมกัน
และทางเลือกที่ว่านี้ ก็ออกขายมาได้ 1 ปีกว่าๆ แล้วละ…

ผมได้เห็น เจ้าทางเลือกที่ว่านั่น มาตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน 2007
วันที่ เพิ่งจะเอาเจ้า Sonata ไปคืน ที่ลานจอดรถชั้นบนสุดของตึก Q-House
ซอยคอนแวนท์ ถนนสีลม ก่อนที่รถรุ่นนี้จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ณ งาน
Motor Expo 2007 ในอีกไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น

เพียงแว๊บแรกที่เห็น บนลานจอดรถ และเป็นรถรุ่นเกียร์ธรรมดา สีเงิน โลว์ออพชัน
ผมก็อึ้ง ทึ่ง ตื่นตะลึงตึงตึงตึงตึง และพูดออกมาซะดังลั่นลานจอดรถของเขาเลยว่า…

“Commuter Ventury Vito และ Caravelle…เอ็งตายแน่”

ก็แหงละ แค่แวบแรกที่เห็น ผมก็พบได้ว่า มันเป็นรถตู้ที่น่าใช้มากๆ
และเดาไปล่วงหน้าเลยว่า ราคาน่าจะไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
เพราะโดยปกติแล้ว รถเกาหลีที่นำเข้ามาขายในไทยนั้น มักจะมีราคาไม่แพงนัก

พอทางคุณเมธี บอกราคากับผมว่า ในช่วงแนะนำนั้น จะเริ่มต้นที่ 999,000 บาท

วินาทีนั้น ผมกรี๊ดสลบ! คิดในใจว่า

“นี่กะว่าจะสั่งเข้ามาเตรียมขุดหลุมฝังรถตู้ค่ายอื่นกันเลยใช่ไหม!?”

เวลาที่ล่วงเลยผ่านไป ผู้คนทั่วไปก็เริ่มพูดถึงมันในวงกว้างขึ้น
บางรายตัดสินใจลองเสี่ยงเป็นเจ้าของรถตู้ จากเกาหลีใต้รุ่นนี้ดู
 
แล้วก็เริ่มมีเสียงเรียกร้องขึ้นมาเรื่อยๆว่า ผมควรจะเอามันมาลองซะที
มันเริ่มหนาหูมากขึ้นเรื่อยๆ

หลังจาก 2 จิต 2 ใจ ตลอดหลังการเปิดตัว ราวๆ 7 เดือน ผมก็ได้มีโอกาสขับรถตู้รุ่นนี้
ไปครั้งหนึ่ง ทำรีวิว ไปแล้วครั้งหนึ่ง

แต่ก็ไม่นึกว่า ท้ายที่สุดแล้ว ชะตาชีวิต ก็มีเหตุ
ให้ต้องกลับมาขับรถตู้รุ่นนี้กันอีกครั้ง และต้องทำรีวิว รถรุ่นนี้กัน อีกครั้ง

 

ในช่วง กลาง เดือน มิถุนายน จนถึงกลางเดือน กรกฎาคม ที่ผ่านมา
บรรดาเพื่อนพ้อง และน้องๆ The Coup Team ต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกัน
ว่า พี่จิมมี่ ของพวกเขา อยู่ในสภาพที่ หนักหนาเกินไปแล้วละ

เปล่าครับ ไม่ใช่น้ำหนักตัว อันนั้นหนะ เกินจะเยียวยามานานแล้ว…

พวกเขาหมายถึง สภาพความเครียดที่เกิดขึ้นกับทั้งตนเอง และผู้คนรอบข้าง
จากหลายปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะในช่วงเวลานั้น ประโยคยอดฮิตที่ น้องๆหลายๆคน
ในทีม ฟังจากผมแล้ว เขาพากันส่ายหัว และอยากจะอ้วกกันทันที คือ

“งานนี้ เราต้องทำให้เสร็จ ให้ได้ และต้องเอาขึ้นให้ได้ เป็นอันดับแรก ก่อนใคร เท่านั้น
และเท่านั้น ต้องทำให้ได้! ไม่มีคำว่าแต่! มีแต่คำว่า ต้องเสร็จ ต้องได้ อย่างเดียว เท่านั้น!
ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งสิ้น!”

จนน้องๆ เขาตัดสินใจกันว่า หลังเสร็จงานล็อตใหญ่ ยกโขยง ไปเที่ยว พักสมอง สักครั้งเห็นจะดี
เผื่อพี่จิมมี่ ของพวกเขา มันจะหายบ้าไปได้บ้าง…

ท่านผู้การหุ่นเกิน Commander CHENG ของเรา เลยอาสาจัดการเรื่องที่พักให้
และได้ข้อสรุปว่า เป็น บ้านลอนทราย ที่ปราณบุรี เลยหัวหินไปนิดเดียว

 

ดังนั้น ผมเลยต้องหารถที่จะรองรับพวกเราได้ทั้งหมด…คุณสมบัติที่รถคันนั้นจะต้องมีคือ
– ควรจะเป็นรถตู้ จะได้ขนพวกเราทั้ง 8 คน พร้อมสัมภาระ คนละนิดละหน่อย ไปได้สบายๆ
– ควรเป็นเครื่องยนต์ ดีเซล จะได้ไม่ต้องเปลืองค่าน้ำมันกันมากนัก
– อัตราเร่ง ควรจะต้องดี เพราะงานนี้ จิมมี่ จะถูกใช้ให้เป็น Chauffier หรืออ่านว่า โชว์เฟอร์
หรือ อ่านเผินๆแบบคนไม่รู้ภาษาฝรั่งเศสว่า ชัฟเฟือย ตลอดทริป ซึ่งรู้กันดีอยู่ว่า หมอนี่
เวลาขับรถทางไกล เท้าขวามันไม่ค่อยจะถอนออกจากคันเร่งเท่าไหร่อยู่แล้ว

ทั้งหมดนี้ คำตอบ ก็มาลงตัวกันที่ รถตู้คันที่คุณเห็นอยู่นี้…

เพราะนอกจากจะตอบโจทย์ทั้งหมดได้ครบแล้ว
ผมยังตัดสินใจว่า ในเมื่อไหนๆ เราต้องหาโอกาส ทำรีวิวรถตู้รุ่นนี้ใหม่อีกครั้ง
เนื่องจาก รีวิว เดิม ไปติดอยู่ในกลุ่ม 51 รีวิว จากเว็บเก่า ที่ผมไม่สามารถเอามาโพสต์
ลงในเว็บใหม่แบบทั้งดุ้นเหมือนกันเป๊ะได้ ทั้งที่เป็นผลงานน้ำพักน้ำแรงของผมเองทั้งสิ้น

“ถ้าในเมื่อเว็บเก่า เขาไม่ให้เรานำรีวิวที่เราทำ มาโพสต์ในเว็บใหม่ของเรา
เราก็ทำขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เอง ก็ได้ ชุดรูปที่ถ่ายไว้ชุดเดิม ก็ถ่ายสำรอง สต็อกเอาไว้หลายรูปอยู่แล้วนี่”

อีกทั้งเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ฮุนได เปิดตัว รุ่นตกแต่งพิเศษ ให้กับรถตู้ H-1 ในฐานะรถรุ่นปี 2009
ซึ่งมีการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เพิ่มขึ้น หลายรายการ ดังนั้น การอัพเดท บทความรีวิว
ครั้งก่อน จึงเป็นสิ่งที่ผมมองว่า สมเหตุสมผล

ก็ถือโอกาส ทำรีวิวรถรุ่นนี้ไปเลยอีกรอบแล้วกัน แต่คราวนี้จะเจาะลงไปในรูปแบบของการใช้งานจริง
เพิ่มเติมจากครั้งก่อน ที่มีเพียงแค่การทดลองจับเวลา และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แบบมาตรฐานของเรา
โดยจะเพิ่มการจับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จากการเดินทางจริง นั่งกัน 8 คน (รวมน้ำหนักด้วย ประมาณ 9 คน)
แถมด้วยสัมภาระอีกคนละนิดละหน่อย มาให้ได้อ่านกันเพิ่มเติม ก็แล้วกัน ที่สำคัญ รถคันสีทอง เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด
ที่มีการเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพิ่มเข้ามามากมายกว่ารถรุ่นแรกที่ผมเคยทดลองขับไปก่อนหน้านี้อีกด้วย

ดูเข้า ขนาดไปเที่ยว ยังต้องได้งาน ออกมาอีกด้วย…

นี่ถ้าตายไป ตอนบรรจุโลง สงสัยว่าคงต้องวางโน้ตบุ๊ค ให้ผมสักเครื่องด้วยเลยมั้ง
จะได้ไปอัพเดทเว็บกันต่อ ไม่ขาดตอน คุณๆจะได้มีอะไรอ่านกัน ให้เสียวสันหลังวาบเล่นๆ

 

รถตู้ รุ่น H-1 ถือเป็นรถตู้รุ่นขายดีของฮุนได มาเรื่อยๆ หลายปี

รุ่นที่นำเข้ามาขายในบ้านเรา เป็นรุ่นเปลี่ยนโฉมแบบ Full Modelchange ของ รถตู้รุ่น Starex ซึ่งทำตลาดมานานแล้ว
โดย Starex รุ่นเดิมนั้น ฮุนไดใช้วิธี ซื้อพิมพ์เขียวของ Mitsubishi Delica Space Gear หรือ
Mitsubishi L-400 ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1994 ไปผลิตขายในเวอร์ชันของตนเอง ปรับไมเนอร์เชนจ์
เปลือกกันชนหน้า ไปเรื่อยๆ ซะจนแทบจำเค้าโครงเดิม ฝีมือมิตซูบิชิ ที่สวยงามกว่าไม่ได้เลย

แต่สำหรับ H-1 รุ่นใหม่ที่เห็นอยู่นี้ ถือเป็นครั้งแรกของฮุนไดก็ว่าได้ ที่ตัดสินใจออกแบบ
และพัฒนารถตู้ของตนขึ้นเองแทบทั้งคัน โดยลดการพึ่งพาชิ้นส่วนและวัสดุ จากพันธมิตร
คู่ค้าเก่าอย่าง Mitsubishi Motors ลงไปได้เยอะ

รูปลักษณ์ภายนอกนั้น เหมือนว่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากรถตู้หลายยี่ห้อ หลากรุ่น
แต่หลักแล้วๆ ชวนให้นึกถึง Nissan ELGRAND กับ Mercedes-Benz Vito และ Viano

สิ่งที่ผมกังวลในการนำรถตู้ขนาดใหญ่ๆ มาทดลองขับกัน ก็คือ ปัญหาที่จอดรถ
ซึ่งผมจะต้องกุมขมับ หาที่จอดให้เป็นที่เป็นทาง ไม่เกะกะชาวบ้านเขา

และ สำหรับ H-1 เมื่อผมนำมันกลับมาถึงบ้าน ปัญหาสำคัญที่ผมคาดคิดเอาไว้ ก็เกิดขึ้นจนได้…

แน่ละ ก็เมื่อตัวถังภายนอกมีขนาดใหญ่โตมากเสียจนผมไม่สามาารถจะจับมันยัดเข้าไปนอนในที่จอดรถ
ของบ้านผมได้ ความยาวตัวถัง 5,120 มิลลิเมตร และความกว้าง 1,920 มิลลิเมตร
รวมทั้งระยะฐานล้อที่ยาวสะใจถึง 3,200 มิลลิเมตรนั้น ยังไม่ใช่ปัญหาเท่าใดนัก
เพราะระดับโรงรถจิ๋วสุดมหัศจรรย์ของบ้านผมนั้น เคยต้อนรับ Land Rover Discovery ใหม่
เข้าไปจอดในแบบสบายๆ กำลังดี มาแล้ว

แต่ความสูงของหลังคาที่ระดับ 1,925 มิลลิเมตร เนี่ยสิที่เป็นปัญหา เพราะเมื่อผมถอยรถเข้าไปได้กลางลำตัวแล้ว
ถึงได้พบว่า เหลือระยะห่างอีกเพียงราวๆ ไม่ถึงเส้นผ่าศูนย์กลางของ อุจจาระมด ขอบหลังคาด้านบน
ก็มีสิทธิ์จะครูดกับ เสาโครงเหล็กที่ค้ำยันหลังคาโรงรถบ้านผมเข้าให้แล้ว เป็นอันว่า แผนที่จะจอดรถตู้ยักษ์คันนี้
ในโรงรถของบ้าน เป็นอันต้องพับไปโดยปริยาย เพราะมันยากเกินจะเป็นจริง

นั่นเลยทำให้ผมต้องเอาเจ้า H-1 ออกมาจอดนอกรั้วบ้าน ให้พวกบ้านใกล้เรือนเคียงขี้อิจฉา
มันหาเรื่องด่าผมเล่นๆ ว่าจอดรถขวางทางเข้าออกจากซอย 

 

ส่วนรถรุ่นปี 2009 นั้น ถ้าดูจากเพียงแต่ภาพที่เห็นนี้ คุณจะพบว่า มีการเพิ่มเติมอุปกรณ์มาให้
ทั้ง สปอยเลอร์ด้านหลัง กระจกมองข้าง แบบสีเดียวกับตัวถัง พร้อมไฟเลี้ยวในตัว
นอกนั้น ดูเผินๆ ก็เหมือนๆ กับรถรุ่นแรก ปี 2008 เท่าใดนัก

มีทางเดียวที่คุณพอจะแยกแยะความแตกต่างที่แท้จริง ก็คือ ต้องเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างใน

 

รูปลักษณ์ภายนอกที่ใหญ่โตขนาดนี้ แน่นอนว่า  ถ้าห้องโดยสารไม่ดูโปร่งสบายตา
ก็ไม่รู้จะว่าเช่นใดได้อีกแล้ว ดังนั้น ถึงเวลา ที่เราจะเดินก้าวขึ้นไปสำรวจ
ภายในห้องโดยสาร ของ H-1 (ที่ไม่มี N1 ต่อท้าย) กันซะที

 

ประตูคู่หน้า เปิดออกในลักษณะกางออกและเยื้องไปด้านหน้าตัวรถเล็กน้อย
เพื่อให้สะดวกต่อการเข้าออก มีบันไดข้าง สำหรับเหยียบปีนป่ายขึ้นไป

จากการใช้งานจริงของผู้สูงอายุที่บ้าน (คุณพ่อนั่นเอง) ก็พบว่า สามารถขึ้นลงได้
โดยไม่มีปัญหาอะไร มือโหนกับ มือจับบริเวณเสาหลังคาคู่หน้าที่มีมาให้ เท้าเหยียบขึ้นบันได
ดึงร่างขึ้นไปยืนบนบันได หันก้นหย่อนลงไปบนเบาะ เหวี่ยงเท้าทั้งสองข้างเข้ามา

แล้วก็ปิดประตูรถ…

เบาะนั่งด้านหน้า เป็นแบบ 2 ชิ้น มีลักษณะแบบ กึ่ง Bench Seat หรือม้านั่งยาวนั่นเอง
ในรุ่นมาตรฐาน เบาะผ้านั้น ผ้าหุ้มเบาะให้สัมผัสที่อ่อนนุ่ม น่านั่ง แล้วก็เลอะคราบสกปรกง่ายชะมัด!

เบาะรองนั่งนั้น มีขนาดกำลังดีสำหรับผมก็จริง แต่มีเสียงบ่นจากผู้คนอีก 2 คน
ที่ร่วมชะตากรรมกับผมในรถคันนี้ว่า ถ้ายาวกว่านี้สักเล็กน้อยได้
ก็จะนั่งกันสบายก้นมากขึ้น

เบาะฝั่งคนขับ ปรับพนักพิงเอนหลังได้ และ ปรับระดับสูง-ต่ำได้ ด้วยก้านโยกขึ้น-ลง
แต่แค่ตำแหน่งต่ำสุดของเบาะ ก็ถือว่าค่อนข้างจะสูงมากแล้ว ยังจะปรับให้สูงขึ้นไปไหนอีก?
เอาให้สูงขนาดว่าเด้งออกจากรถได้ แบบที่นั่งเครื่องบินรบเลยอย่างนั้นหรือ?

 

พนักพิงสำหรับผู้โดยสารตรงกลาง สามารถพับลงมาเป็นที่วางของอเนกประสงค์ได้
และมันก็วางแก้วน้ำขนาดที่พอดีกับช่องได้อยู่ แต่ถ้าคิดจะวางขวดน้ำ 7 บาท แล้ว
นั่นไม่ใช่ตำแหน่งวางที่ดีนัก

เข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าสุด เป็นแบบ ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง
ปรับระดับสูง-ต่ำได้ ส่วนที่นั่งตรงกลาง เป็นแบบ ELR 2 จุด 1 ตำแหน่ง

 

ในรถรุ่น DELUXE รุ่นปี 2009 เบาะหนัง ใช้วัสดุหุ้มเบาะ เป็นหนังแท้ ทำในประเทศไทย
ซึ่งก็เป็นหนังในแบบที่ พอกัน หรือดีกว่า รถที่นำไปหุ้มเบาะหนังเอาเองตามร้านข้างนอก เล็กน้อย
แต่ก็ถือว่า การเก็บงาน ค่อนข้างเรียบร้อย แม้จะยังไม่ถึงกับดีเด่นเป็นพลุพุ่ง แต่ ก็ถือว่าสมราคา

 

พนักพิงเบาะตรงกลาง สามารถพับลงมาวางแก้วน้ำ และสิ่งของจุกจิกได้เช่นกัน

ผ้าบุแผงประตู เป็นลายเดียวกับผ้าเบาะนั่งให้สัมผัสที่ดี
ที่วางแขนบนแผงประตูทั้ง 2 ฝั่ง วางแขนได้ในระดับสบายกำลังพอดี

มีไฟสีแดงส่องสว่าง ยามประตูเปิด
เพื่อสะท้อนให้รถคันที่ตามมายามค่ำคืน
ได้เห็นว่า ประตูรถเปิดอยู่

ประตูทางขึ้นผู้โดยสารตอนหลัง เป็นแบบบานเลื่อน มีขนาดใหญ่โต
รางเลื่อนถูกออกแบบให้แอบซ่อนไว้ ใต้กระจกหน้าต่างบานถัดไป

 

ไม่มีระบบดูดปิดด้วยไฟฟ้า แบบรถตู้ญี่ปุ่น พวก Toyota Alphard และ Estima เขาเป็นกัน
แต่ทางศูนย์บริการของฮุนได พหลโยธิน เคยเล่าให้ฟังไว้นานแล้วว่า มีลูกค้าซื้อไปใช้แล้วเอาไปติดตั้งเองข้างนอกได้

 

เบาะนั่งแถว 2 นั้น เบาะ Captain Seat ทั้งฝั่งซ้ายและขวา ปรับเอนนอนได้
จะมีเฉพาะฝั่งขวา ที่มีที่วางแขนพับเก็บได้มาให้ และสามารถปรับเลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลังได้

 

ส่วนพนักพิงของเบาะชิ้นกลาง สามารถพับลง เพื่อเป็นโต๊ะวางแก้วน้ำ และของจุกจิกได้
มีเข็มขัดนิรภัย ELR 2 จุดมาให้ เป็นมาตรฐาน ส่วนที่วางแขน พับเก็บได้ จะมีเฉพาะฝั่งขวา และมีมาให้ชิ้นเดียว

 

 ส่วนในรุ่น DELUXE ปี 2009 จะสังเกตว่า เบาะนั่งตรงกลาง เพิ่ม พนักศีรษะ มาให้เป็นพิเศษ

 ส่วนที่วางแขนพับเก็บได้ แม้จะมีเฉพาะเบาะฝั่งขวาเช่นเคย แต่คราวนี้ เพิ่มมาให้เป็น 2 ชิ้น ครบถ้วน

 และแน่นอนว่า พนักพิงเบาะตรงกลาง สามารถพับลงเพื่อวางข้าวของจุกจิกได้

 อีกทั้งคราวนี้ เบาะ Captain Seat ฝั่งซ้าย สามารถเลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลังได้เหมือนฝั่งขวาแล้ว

 

และที่สนุกยิ่งกว่านั้นคือ เบาะแถว 2 สามารถปรับหมุน 180 องศา เพื่อแปลงสภาพเป็นห้องรับแขก VIP ก็ได้อีก

 นอกจากนี้ บานประตูฝั่งขวา ยังเปิดเื่ลื่อนออกได้ เพื่อการขึ้นลงที่สะดวกยิ่งขึ้น

ส่วนเบาะผู้โดยสารตรงกลางนั้น พนักพิงพับลงมาเป็นที่วางของอเนกประสงค์ได้
เช่นเดียวกับเบาะคู่หน้า และนอกจากนี้ ยังพับยกขึ้น แนบชิดกับเบาะฝั่งซ้าย
เพื่อเปิดทางทะลุไปยังเบาะแถว 3 และ 4 ได้

 

และเช่นกัน เบาะกลาง ของแถวที่ 3 สามารถพับเก็บได้ และแยกฝั่ง ซ้าย-ขวา ไม่อาจเลื่อนขึ้นหน้า ถอยหลัง และไม่สามารถปรับหมุนได้ เหมือนแถว 2

 

 

อีกทั้งยังไม่มี ที่วางแขนพับเก็บได้แต่อย่างใด แม้จะปรับเอนได้ทั้งซ้าย-ขวาก็ตาม

 เบาะกลาง แถว 3 พับเก็บได้ เหมือนแถว 2 เพื่อให้เดินทะลุเข้าไปนั่งยังเบาะแถว 4 อันเป็นแถวหลังสุดได้

ในรุ่น DELUXE ปี 2009 เบาะนั่งแถวที่ 3 ตรงกลาง เพิ่มพนักศีรษะ มาให้ เหมือนเช่นเบาะแถว 2

 ทุกตำแหน่ง ตรึงผู้โดยสารเอาไว้ ด้วยเข็มขัดนิรภัย แบบ ELR 2 จุด

 

เบาะนั่งแถว 4 หลังสุด สามารถยกเบาะรองนั่งขึ้น และเลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลัง
เพื่อเพิ่มพื้นที่วางของได้ ในกรณีที่ผู้โดยสารมีราวๆ 8 คน

 เบาะรองนั่งในทุกตำแหน่ง สั้นไปนิดนึง แต่ก็พอเข้าใจว่า ถ้ายาวกว่านี้ พื้นที่วางขาจะมีน้อยลงไปพอสมควร

 

ทีนี้คงจะมีคนสงสัยกันว่า การนั่งโดยสารแถวหลังสุดหนะมันสบายไหม?
ผมก็เลยนั่ง และถ่ายรูป มาให้ชมกัน โดยเลื่อนเบาะนั่งขึ้นมา ให้พอมีที่วางของด้านหลังอยู่บ้าง

 

หัวเข่าจะชนกันกับด้านหลังของพนักพิงเบาะแถวข้างหน้าต่อไปพอดี
แต่ถ้าปรับเลื่อนเบาะให้ถอยหลังอีกนิดนึงก็จะนั่งได้พอสบาย
ขณะที่ พื้นที่ว่างเหนือศีรษะนั้น กลับไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
เพราะฮุนได ออกแบบมาเผื่อการโดยสารของผู้ใหญ่ไว้แล้ว

แต่ถ้าเลื่อนเบาะแถวหลัง ถอยหลังจนสุด
เวลาปิดประตูห้องเก็บของด้านหลัง ต้องระวังศีรษะของผู้โดยสารให้ดีๆ!
ไม่เช่นนั้น บานระจกจะโขกเข้ากับศีรษะของผู้โดยสารเต็มๆ

 

บรรยากาศในห้องโดยสาร ภาพรวม ออกแบบมาได้ เหมาะสมกับการเป็นรถตู้โดยสาร เพื่อการเดินทาง ในราคาที่ไม่แพงนัก
การเก็บชิ้นงานวัสดุต่างๆ ทำได้ดีสมราคา และไม่ค่อยมีอะไรให้ต้องบ่น หรือไม่ต้องฟังเสียงบ่นจากผู้ร่วมเดินทางมากนัก
จะยกเว้นก็แค่เพียงว่า ในรุ่นเบาะผ้านั้น เบาะสำหรับโดยสารในแถวหลังๆ มันแข็งไปนิดนึง ส่วนรุ่นเบาะหนัง ก็ถือว่า กำลังดี

การพับเบาะแถว 4 หลังนั้น มีกลไกที่เบาะรองนั่ง ปรับได้ทั้งจากในรถ
และจากด้านหลัง ใต้ชุดเบาะ ห้องเก็บของนั้นมีทางเข้าขนาดใหญ่โตเอาเรื่อง
ยางอะไหล่ เก็บซ่อนเอาไว้ใต้ท้องรถ

บานประตูเปิดกางขึ้นในแนวตั้งฉาก 90 องศา เวลาปิดลงมา ควรใช้ความระมัดระวัง เพราะมันหนักเอาการ
และควรระวังลูกหลานที่วิ่งเล่นซนอยู่รอบๆข้างให้ดีๆ ด้วย ทำไงได้ บานประตูมันใหญ่ ก็แบบนี้ละ 

แผงหน้าปัด วางตำแหน่งอุปกรณ์ต่างๆไว้ เน้นความสะดวกในการใช้งาน
(แต่วิทยุก็ยังต้องเอื้อมมือไปกดสั่งการอยู่ดี) อาจจะไกลไปนิด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่นำรถคันแรกมาขับ เมื่อปี 2008 ผมคิดว่า
ถ้าตำแหน่งของชุดวิทยุ ถูกแทนที่ด้วยหน้าจอของระบบนำทางขึ้นมา
ถือว่า อ่านและใช้งานได้ง่ายแน่ๆ เพราะจอจะอยู่ในระดับเดียวกันกับ ชุดมาตรวัด
แต่ยังถือว่าต้องละสายตาจากท้องถนนอยู่บ้างเหมือนกัน

ตำแหน่งคันเกียร์ ติดตั้งอยู่ด้านล่างสุดของแผงควบคุมกลาง
สวิชต์ไฟฉุกเฉิน ก็อยู่ใกล้มืออย่างที่ควรจะเป็น

พวงมาลัยเป็นแบบ 4 ก้าน และแผงควบคุมกลาง
ประดับด้วยพลาสติกสีเงิน ดูสมราคา
กระจกมองหลังเป็นแบบตัดลำแสงอัตโนมัติ

 

แต่พอเป็นรุ่น DELUXE ซึ่งจะติดตั้งลายไม้แบบเข้ม เข้าไป ทั้งบนแผงคอนโซลกลาง
และ ช่องแอร์ทั้ง 2 ฝั่ง อารมณ์หรูแบบเกาหลีๆ ก็กลับมาอีกจนได้…เฮ้อ…
ลายไม้สีน้ำตาลแดง…เห็นแล้วได้แต่ทำใจ

แผงบังแดดหน้า ทั้ง 2 คัน และทั้ง 2 ฝั่ง มีไฟแต่งหน้า ดวงเล็กๆมาให้ทั้งคู่
ไฟอ่านแผนที่บนเพดาน แยกฝั่ง ซ้าย-ขวา มาพร้อมช่องเก็บแว่นตากันแดด

 

ชุดมาตรวัดเรียบง่าย แสงไฟหน้าปัด กลับเป็นสีเขียว
ไม่ใช่สีฟ้าในสไตล์ฮุนไดแบบที่เคยเป็นในรถรุ่นอื่นๆ 4 คันที่เคยผ่านมือผมมาแล้ว

ก้านไฟเลี้ยวย้ายจากฝั่งซ้ายแบบรถยุโรป มาอยู่ฝั่งขวา
เอาใจลูกค้าประเทศที่ใช้รถพวงมาลัยขวา
ก้านสวิชต์ใบปัดน้ำฝนอยู่ฝั่งซ้ายมือ

แต่ กลับไม่มีระบบใบปัดน้ำฝันด้านหลัง

ในรถคันแรกที่ลองขับเมื่อปีที่แล้ว ก็ไม่มี
แต่คราวนี้ ทางฮุนได แจ้งมาว่า รถคันนี้ ก็จะไม่มีมาให้เช่นเดียวกัน
ซึ่งรถตู้ระดับนี้ สมควรจะมีมาให้ได้แล้ว!!!

 

 กุญแจสำหรับติดเครื่องยนต์ มีระบบ รีโมทคอนโทรล ในตัว สั่งล็อก หรือปลดล็อกก็ได้ ด้วยปุ่มเดียวกัน
มีสวิชต์ ไฟตัดหมอกหน้า และ สวิชต์ ปรับระดับความสว่างของชุดมาตรวัด ในตำแหน่งที่ใกล้กัน
กระจกหน้าต่างไฟฟ้า และกระจกมองข้างปรับด้วยไฟฟ้า พร้อม เซ็นทรัลล็อก ติดตั้งในตำแหน่งเดียวกับรถเก๋ง
ใช้งานง่าย ส่วนสวิชต์ เปิดฝาถังน้ำมัน อยู่ที่ แผงประตู ด้านข้างคนขับ ตรงช่องเก็บของ

 

 

ทุกรุ่น ให้สวิชต์เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบมือหมุนธรรมดา
และมีสวิชต์ เปิด-ปิดระบบแอร์ ของผู้โดยสารแถวหลังมาให้
(เวอร์ชันต่างประเทศตัวท็อป ให้แอร์ดิจิตอลมาด้วย
แต่ในไทยหนะเหรอ อย่าเพิ่งหวังในตอนนี้ครับ รอดูไปก่อน)

รุ่นมาตรฐานนั้น ติดตั้งชุดเครื่องเสียงติดรถยนต์ เล่น CD / MP3 ได้
นอกจากจะมีช่องเสียบ AUX สำหรับเครื่องเล่น iPod
หรือ เครื่องเล่น MP3 อื่นๆ บริเวณ ฝั่งซ้ายของคันเกียร์แล้ว
ยังมีลำโพงทวีตเตอร์ติดอยู่ที่เสาประตูมาให้ด้วย
คุณภาพเสียงถือว่าใช้ได้ สมราคา

ที่จุดบุหรี่ และที่เขี่ยบุหรี่ มีฝาปิด
ส่วนที่วางแก้วและขวดน้ำนั้น เลื่อนออกมา เปิดปิดได้
ขาพับ ที่ง้างออกมา เพื่อวางขวดตามขนาดของมันได้นั้น
ในบางจังหวะที่ใช้งานจริง เมื่อเจอแรงกระเทือนจากถนน
ขวดน้ำก็หลุดร่วงลงพื้น ในภาวะที่ผมต้องเจอกับสถานการณ์คับขันพอดี
อาจต้องออกแบบเพิ่มเติม เพื่อล็อกวัตถุที่วางอยู่กับที่วางแก้วนี้ ให้ดีกว่าเดิม

 

แต่ในรุ่น DELUXE 2009 นั้น เปลี่ยนชุดเครื่องเสียง มาเป็นแบบ เครื่องเล่น DVD
พร้อมจอมอนิเตอร์ ในตัว และหน้าจอเป็นแบบ Touch Screen ซึ่งขอบ่นกันดังๆเลยว่า

ใช้งานยากมากกกกกกกกกกกกก ไม่รู้จะยากเย็นแสนเข็ญไปถึงไหน
ยากเสียจน ระบบ i Drive ของ BMW และ Command ของ Mercedes-Benz กลายเป็นของกล้วยๆ ไปเลย!!
แค่จะปรับเสียงทุ้ม เสียงแหลม ยังหาเมนูตั้งนาน แล้วถ้าแผ่นนั้น มีภาพ JPEG อยู่
และเผลอไปกดให้มันเล่นไปด้วย กว่าจะหาเมนูกลับเข้าไปยังโหมดเครื่องเสียง ก่อนหน้านั้น
เล่นเอาเกือบตกม้าตาย ท่านผู้การ Commander CHENG ของเรา หงุดหงิดสุดยอดกับชุดเครื่องเสียงนี้
ไม่แพ้สารถีอย่างผมเช่นกัน

เสียง ก็แค่พอรับได้ เราไม่ว่า แต่ทำตัวเรื่องมากอีก เนี่ย…

สรุป นี่เราโง่เองใช่ไหมเนี่ย ที่สั่งการมันไม่เป็น?

 

ข้อดีอย่างเดียวที่ผมเห็นจากเครื่องเสียงชุดนี้คือ มันถูกเชื่อมต่อกับ กล้องเล็กๆ ด้านหลัง
เพื่อรับสัญญาณภาพ ระหว่างเข้าเกียร์ถอยหลัง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะนำรถเข้าจอด 
เป็นอุปกรณ์ที่ต้องขอชมเชยว่า ติดมาแล้ว ซะที ในที่สุด…

ไม่ต้องไปกลัวว่าจะถอยหลังชนลูกเล็ก เด็กเพื่อนบ้านอีกแล้ว

 

รวมทั้งเพดานหลังคา ยังมีหลอดไฟแบบ LED เรืองแสง
เลือกได้ทั้งสี แดง เหลือง ส้ม เขียว ฟ้า น้ำเงิน หรือ ไฟสว่างแบบมาตรฐาน
พร้อมช่องแอร์ ทั้งแถวกลาง และหลัง มีสวิชต์ปรับอุณหภูมิมาให้แยกส่วน
จากแผงควบคุมกลาง

กระจกหน้าต่างของบานประตูผ้โดยสาร ทำเป็นช่องเล็กๆ
การจะเปิดออกนั้น ต้องบีบตัวล็อกเข้าหากัน แบบไม้หนีบผ้า
แล้วต้องออกแรงเลื่อนมัน ซึ่งถ้าไม่ตั้งใจทำ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

เป็นสัจธรรมชัดเจนว่า บางครั้ง ใจคนเรา ที่ปิดทึบคับแคบอุดอู้
ถ้าพยายามสักนิด เปิดมันออกกว้าง สายลมแห่งความสดชื่นก็จะพัดพาเข้ามา
ความเบิกบานก็บังเกิดในใจ ง่ายดาย ไม่ต้องหาสิ่งใดมาปรุงแต่ง

 

ส่วนในรุ่น DELUXE ปี 2009 จะเพิ่มเครื่องเล่น DVD ที่เชื่อมการทำงานกับ
ชุดเครื่องเสียงด้านหน้า นั่นละ จอมอนิเตอร์ มีขนาดใหญ่มาก พับเก็บได้
และมีช่องต่อ AUX ในตัว สำหรับใครที่อยากจะพกเครื่อง Playstation มาเล่นบนรถ
แต่ อย่าให้ถังกับพกเครือ่ง Wii ของ Nintendo ขึ้นมาเลย ไม่เช่นนั้น ลองจินตนาการเอาได้ว่า
คุณจะหาพื้นที่ตรงไหน ที่จะเล่นเกมโบว์ลิง หรือตีเทนนิส ระหว่างเดินทางไปเที่ยว?

เพราะ ใครที่เคยเล่นเกมจากเครื่อง Wii คงพอจะจำได้ว่า เจ้าเครื่องเนี้ย
ไม่ใช่แค่เคลื่อนไหวเฉพาะ นิ้วบนจอยสติกเท่านั้น
แต่ คุณต้อง เคลื่อนไหว “ทั้งตัว!”

และอีกนั่นละ อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ตา CHENG  ก็คงจะแอบด่าผมในใจว่า
จะมีไอ้บ้าที่ไหน เอาเครื่อง Wii ไปเล่นบนรถคันนี้? ลำพังแค่จะเปลี่ยนโหมดเครื่องเสียง
ก็ลำบากจะตาย(ห่าน) อยู่แล้ว

 

ช่องเก็บของพร้อมฝาปิด มี 2 ชั้น ชั้นล่างเอาไว้สำหรับใส่คู่มือผู้ใช้รถ
และเอกสารประจำรถ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่า ฮุนได
มีคู่มือผู้ใช้รถติดมาให้รถทดลองขับด้วย แม้จะเป็นภาษาอังกฤษก็ตาม

ส่วนฝาด้านบน วางของจุกจิกได้บ้าง แต่ไม่มากนัก พอจะซ่อนมือถือ
หรือปืนเล็กๆสักกระบอกก็ได้อยู่

 

ทัศนวิสัยรอบคันนั้น ด้านหน้า แน่นอนว่า โปร่งตา

เมื่อถ่ายจากระดับสายตา จะพบว่า ความสูงของเบาะนั่งคนขับนั้น
พอกันกับรถบรรทุกขนาดเล็กเลยทีเดียว

 

ฝั่งขวา กระจกมองข้างของ H-1 นั้น มีขนาดใหญ่โตสะใจ
แถมไม่หลอกสายตาเหมือนกับ รุ่นโซนาตา คูเป้ ทิบูรอน
และซานตาเฟ เคยเป็นมา ก็ถือว่าปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวัง ขณะถอยรถ ไปทางฝั่งซ้าย และขวา

เพราะ โอกาสจะเบียดกับวัตถุด้านข้าง มีเยอะเอาเรื่อง!

เสาหลังคาฝั่งซ้าย ไม่ได้บดบังทัศนวิสัยมากนัก
กระจกมองข้างฝั่งซ้าย เห็นรถที่ตามหลังมาทางด้านซ้ายได้ดี

 

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลัง ถือว่า โปร่งตา ตามแบบที่รถตู้ทั่วไปควรจะเป็น
แม้ว่าเสาหลังคาหลังจะหนาก็ตาม 

ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติตัวท็อป Maesto DELUXE นั้น ฮุนได ให้ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน รายการอุปกรณ์ต่างๆนั้น ขอแนะนำว่า เดินเข้าไปใน
โชว์รูมของฮุนไดโดยตรงเลยจะดีกว่า เพราะในเว็บไซต์ www.hyundai-motor.co.th
ข้อมูลรายละเอียดอุปกรณ์ประจำรถแต่ละรุ่น กลับไม่มีมาให้ มีเพียงตารางข้อมูล
ทางเทคนิคเท่านั้น รายละเอียดต่างๆ ก็มีบอกไว้ไม่ละเอียดเท่าที่ควร ผ่านไป 1 ปี
เว็บซต์สวยขึ้น แต่ข้อมูลตรงจุดนี้ ก็ยังไม่มีให้ผมดาวน์โหลดหาดูอยู่ดี

 

 ********** รายละเอียดด้านวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

การติดตั้งเครื่องยนต์อยู่ที่ด้านหน้าของรถ
และการทำฝากระโปรงหน้า เปิดมาเจอเครื่องยนต์ได้แบบรถเก๋งทั่วไปนั้น
สร้างความสะดวกในการบำรุงรักษาระบบต่างๆ มากกว่า รถตู้ทั่วไป
ที่ต้องเปิดเบาะรองนั่งฝั่งข้างคนขับ เพื่อพบปะกับเครื่องยนต์ แบบเดิมๆ

 

เครื่องยนต์ที่วางใน H-1 นั้น
เป็นแบบดีเซล บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,497 ซีซี
ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก 91 x 96 มิลลิเมตร
ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Common Rail
ตรงเข้าห้องเผาไหม้ในแบบ Direct Injection
พร้อมระบบอัดอากาศ เป็นแบบ Turbo

กำลังสูงสุด 174 แรงม้า (PS) ทื่ 3,800 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 392 นิวตันเมตร หรือ 39.94 กก-ม.
ที่ รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 2,000 – 2,500 รอบ/นาที

แรงม้า แรงบิดนั้น ใกล้เคียงกับ รถกระบะ Nissan NAVARA เลยนะนั่น!!  ไม่ธรรมดาแหะ

 

ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลัง ด้วย เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
พร้อมโหมด บวก-ลบ ให้ะเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้เอง
มีอัตราทดเกียร์ดังนี้

เกียร์ 1……………………3.730
เกียร์ 2……………………2.310
เกียร์ 3……………………1.519
เกียร์ 4……………………1.000
เกียร์ 5……………………0.840
เกียร์ถอยหลัง…………….2.740
อัตราทดเฟืองท้าย………..2.929

การทดลองขับคราวนี้
จริงอยู่ว่า เรายังคงใช้มาตรฐานเดิม คือ ขับเปิดแอร์
นั่ง 2 คน เปิดไฟหน้า ทดลองกันตอนกลางคืน

แต่จากเดิม ที่ผมพยายามจะให้น้ำหนักของผู้ขับขี่และผู้ร่วมทดลอง
อยู่ในพิกัดประมาณ 150-170 กิโลกรัม เช่นเดียวกับปกติ

คราวนี้ ผมก็เลยให้ ท่านผู้การจอมเกิน Commander CHENG ของเรา
เป็นผู้ร่วมทดลอง สักขีพยาน และผู้ช่วยระหว่างทดลองขับ ทั้งอัตราเร่ง
และการหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงด้วยกัน ซะเลย

ตาแพน เป็นชายหนุ่มร่างเล็ก (กว่าเจ้าช่วงช่วง…สามียัยหลินฮุ่ย….นิ๊ดดดดดๆๆๆๆๆๆนึง…จริงๆนะ)
1 ปี ผ่านไป จากครั้งแรกที่เราทดลองขับรถตู้รุ่นนี้ ปัจุบัน น้ำหนักของเจ้าตัว
พุ่งพรวดขึ้นมาจาก 147 กว่า เป็น 152 กิโลกรัม ไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ ณ วันนั้น ที่เรายังทำการทดลอง น้ำหนักของแพน ยังอยู่ที่ 147 กิโลกรัม

แต่ที่แน่ๆ สำนักลดความอ้วน ทั้ง Body Shape, Body Slim หรือ Body เฉยๆ ห้ามผวนคำนี้เด็ดขาด
มิต้องติดต่อมาให้น้องแพนเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อลดน้ำหนักฟรีๆเด็ดขาด!

เจ้าตัวพึงพอใจ และภูมิใจ อีกทั้งยังมีความสุขดี ที่จะเป็นพรีเซ็นเตอร์ของยาง Michelin
(บีเบนดั้ม) มากกว่า เพราะมันช่างเข้ากับ สรีระอันอวบอั๋น เป็นเอกอุของตนเป็นอย่างม้ากกก มาก!

การเอาน้องแพน มาร่วมสังฆกรรมในครั้งนี้ เหตุผลหลักก็คือ

1. โดยปกติแล้ว จะมีคนบ้าที่ไหน ที่ซื้อรถตู้คันใหญ่เท่าบ้าน
แล้วมาขับใช้งานไปไหนมาไหนตามลำพังเพียงคนเดียว
หรือ จู๋จี๋กับแฟน 2 คน… (แม้ว่าพื้นที่ด้านหลังที่เหลือ
มันสามารถพับเบาะให้เอนราบเป็นม่านรูดเคลื่อนที่ได้ ก็ตาม)

2. ในเมื่อ ส่วนใหญ่ จากการสังเกตที่เราเห็นกันตามท้องถนน
รถตู้จำพวก อัลฟาร์ด เวนจูรี วีโต หรือคาราเวลล์ ส่วนใหญ่แล้ว
อย่างน้อย ผู้โดยสารรวมพลขับ มักจะอยู่ที่ระดับ 3 คนขึ้นไปกันทั้งนั้น
แล้วจะทดลองด้วยการนั่ง 2 คน ไปใยกันละ?

3. ด้วย ข้อ 1 และ 2 ทำให้เราต้องมองหาผู้ร่วมทดลองขับกัน
แต่ ครั้นจะหาเพื่อนฝูงรอบข้างผม ที่ว่างตรงกัน เห็นจะยากมิใช่เล่น
จะเรียกรวมทีมให้ครบ 3-4 คน เพื่อมานั่งรถตู้ และวิ่งไป-กลับ พระราม 6 – เชียงราก
รวมทั้งทดลองอัตราเร่งกันด้วย เห็นทีจะกินเวลาชีวิตของใครหลายคนไปโดยไม่จำเป็น

4. ใบหน้าของน้องแพน จึงผุดขึ้นมาในหัวขี้เลื่อยๆของผม ด้วยประการฉะนี้
เนื่องจากคุณสมบัติอันโดดเด้งดึ๋งดั๋งเฉพาะตัว น้ำหนัก 147 กิโลกรัมของแพน
บวกกับตัวผม 93 กิโลกรัม รวมแล้ว 240 กิโลกรัม…

เปรียบได้กับ ผู้ใหญ่ หนัก 60 กิโลกรัม 4 คน
หรือตีเสียว่า ผู้ใหญ่หนัก 70 กิโลกรัม 3 คน เด็กหนัก 30 กิโลกรัม 1 คน
หรือ ผู้ใหญ่ ชาย หนัก 80 กิโลกรัม 3 คน
หรือ ผู้ใหญ่ ชาย หนัก 80 กิโลกรัม 2 คน ผู้หญิง หนัก 50 กิโลกรัม 1 คน
และเด็กตัวเล็กอีก 1 คน

และแถมยังทำให้เรา ยืนหลัก ทดลองขับแบบ เปิดแอร์ นั่ง 2 คน ต่อไปได้
อย่างสบายๆ อีกต่างหาก! เพราะแค่ 2 คน น้ำหนักก็ปาเข้าไป 240 กิโลกรัมแล้ว

ที่ร่ายยาวมานี้ สมเหตุสมผลพอไหมครับ? ที่ผมจะเปลี่ยนตัวเป็นแขกรับเชิญพิเศษ
มาเป็น ท่านผู้การจอมเกิน….

เอาละ เราทำการทดลองหาอัตราเร่ง โดยใช้สูตรเดิม
เปิดแอร์ นั่ง 2 คน เปิดไฟ ทดลองตอนกลางคืน
แต่… เพิ่มพิกัดน้ำหนักบรรทุก จาก 150 เป็น 240 กิโลกรัม
และเปลี่ยนมาใช้ทางด่วนสายเชียงราก เป็นสถานที่ทดลอง

และต่อไปนี้ คือตัวเลขอัตราเร่งที่ทำได้
ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าน้ำหนักบรรทุกน้อยกว่านี้ ตัวเลขจะดีกว่านี้
แต่ เพื่อให้เป็นไปตามรูปแบบน้ำหนักบรรทุกใกล้เคียงการใช้งานจริง
ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็นนี้ครับ

**อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.**

ครั้งที่
1……..13.34 วินาที
2……..13.24 วินาที
3……..13.17 วินาที
4……..13.23 วินาที

เฉลี่ย……13.24 วินาที

—————————————–

**อัตราเร่ง 80-120 กม./ชม.**
หรือช่วงเร่งแซงทั่วไป
กดคันเร่งจนจมสุดทันที จาก 80 กม./ชม. ที่เกียร์ 5
เพื่อให้ระบบเกียร์ คิ๊กดาวน์ เปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ลงมายังเกียร์ 2

ครั้งที่
1……..10.32 วินาที
2……..10.36 วินาที
3……..10.41 วินาที
4……..10.31 วินาที

เฉลี่ย……10.35 วินาที

—————————————–

**รอบเครื่องยนต์ที่เกียร์ 5 อันเป็นเกียร์สูงสุด **

ความเร็ว 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้รอบเครื่องยนต์ 1,500 รอบ/นาที
ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้รอบเครื่องยนต์ 1,800 รอบ/นาที
ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้รอบเครื่องยนต์ 2,050 รอบ/นาที

—————————————–

**ความเร็วสูงสุด ที่วัดได้ในแต่ละเกียร์ อ่านจากมาตรวัดบนแผงหน้าปัด**

(หน่วย กิโลเมตร / ชั่วโมง ที่ รอบเครื่องยนต์/นาที)

เกียร์ 1…….50 @ 4,100
เกียร์ 2…….80 @ 4,100
เกียร์ 3…..120 @ 4,100
เกียร์ 4…..190 @ 3,500

—————————————–

***ความเร็วสูงสุด บนมาตรวัด***

190 กิโลเมตร/ชั่วโมง ณ รอบเครื่องยนต์ 3,500 รอบ/นาที ที่เกียร์ 4

 ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์นั้น ถือว่าน่าประทับใจ
ถ้าคิดเสียว่า เครื่องยนต์ต้องลากตัวรถ ที่ทั้งต้านลมและมีน้ำหนักตัวเกือบๆ 2 ตันเศษๆ
อีกทั้ง เป็นเครื่องยนต์ที่ติดตั้งในรถตู้ ซึ่งมีพื้นฐานจากการเป็นรถตู้ส่งของ

เอาเข้าจริงแล้วตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ต่ำกว่า 1,800 รอบ/นาที
พละกำลังยังไม่ค่อยมีมากมายเท่ากับเสียงครางที่ดัง ประมาณ เด็ก ม.ปลาย นอนกรน
คือมันจะดังกว่าเด็ก ม.ต้น นอนกรนนิดนึง แต่ไม่ถึงกับดังครางสนั่น ขจรประสาท ราวกับชายชรา
ที่กลั้วคอด้วยลิสเตอรีนยามเช้า อย่างที่เครื่องยนต์ของ รถกระบะ Tata Xenon เป็น

แต่พอเข็มวัดรอบกวาดขึ้นไปที่ระดับ 2,000 รอบ/นาทีขึ้นไป
พละกำลังก็เริ่มไหลมาเทมาอย่างต่อเนื่อง จากการทำงานของเทอร์โบ
และมันจะหมดลงในช่วงประมาณ เกือบๆ 4,000 รอบ/นาที

แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะให้ผม เร่งแซงฉีกนำ โฟล์กสวาเกน คาราเวลล์ V6
ซึ่งแล่นอยู่ข้างหน้าผมด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย และทิ้งช่วงไป 2 คันรถ
จนเจ้าคาราเวลล์คันนั้น ถึงกับพยายามจะไล่กวดตามผมมาก็แล้วกัน
(และเมื่อถึงจุดหมายปลายทางของผม
ก็ต้องปล่อยให้เจ้าคาราเวลล์คันนั้น ห้อตะบึงต่อไปตามลำพัง)

ที่สำคัญ ด้วยอัตราเร่งที่ทำได้ดีเกินคาดแบบนี้
ทำให้ผมได้ค้นพบว่า เจ้า H-1 นั้น คล่องตัวอย่างประเสริฐ
และขับง่ายกว่าที่ผมคิด ง่ายขนาดว่า
ผมสามารถพาเจ้า H-1 มุดลัดเลาะไปตามสภาพการจราจรที่ติดขัด
บนถนนลาดพร้าวตอน 17.30 น. ได้อย่างไม่เดือดร้อนทั้งตัวผมและเพื่อนร่วมทาง
เห็นช่องวางเลนซ้ายสุดเมื่อใด ผมก็สามารถลัดเลาะจากเลนขวาสุด
แว๊บบบบ ไปยังเลนซ้ายสุดที่ว่างอยู่ ได้อย่างคล่องตัวและง่ายดาย
ในแบบที่รถตู้ทั่วๆไปทำไม่ได้ง่ายๆ

แม้กระทั่งในวันที่ เจ้า H-1 มันช่วยพาผม มุดซ้าย ป่ายขวา แซงหน้า
บรรดารถขับช้าแช่ขวา ชิงถ้วยรางวัลขับประหยัดดีเด่นโด่เด่ จาก ผู้ว่าฯ การทางพิเศษฯ
บนทางด่วนขั้นที่ 1 มุ่งหน้าสู่บางนา ในวันที่กล้ามเนื้อหูรูดของผม
ใกล้จะหมดความพยายามในการต้านทานข้าศึก อันประกอบไปด้วย
ข้าวหน้าไก่แบบเหลาะงาทิ้นสไตล์ ห้าแยกพลับพลาชัย + ไข่ดาว
และเส้นเล็กแห้งลูกชิ้นปลา ที่กำลังเต้นแร้งเต้นกาอยู่ในลำไส้ของผม

ฮุนได H-1 พาผมถึงที่หมายปลายทาง อันเป็นออฟฟิศของคุณพ่อผม
ที่ซอยอุดมสุข ได้ทันท่วงที ที่ข้าศึกอันได้กล่าวมาข้างต้น ใกล้จะยิงถล่ม
ทันเวลาที่ผมจะคว้ากระดาษชำระ 1 ม้วนใหญ่ วิ่งลงจากรถโดยยังไม่ทันดับเครื่อง
พุ่งตัวผ่านทะลุประตูออฟฟิศ ผ่านหน้าลูกน้องในสำนักงานหลายๆคน ที่มองหน้าอย่างงงๆ
ว่าจู่ๆ คุณจิม มาทำอะไรที่นี่ ในวันแบบนี้ ที่พวกเขาไม่คิดว่าจะได้เจอตัวผม

ผมก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม พุ่งตัวปรู๊ดเข้าห้องน้ำไป……นาน ครึ่งขั่วโมง….

ทันเวลาพอดีแบบฉิวเฉียด!!

นี่ถ้าไมได้เครื่อง 2.5 ลิตร คอมมอนเรล เทอร์โบ 174 แรงม้า
คาดว่า ป่านนี้ คงจะเละคาทางด่วนไปเรียบร้อยแล้ว…

โดยไอ้ที่คาดว่าจะเละหนะ ไม่ใช่รถนะครับ

ผมหมายถึง กางเกงยีนส์ กางเกงใน และเบาะผ้าสีเบจที่ติดรถมาต่างหากละ!

และยิ่ง เมื่อได้กลับมาลองขับอีกครั้งหนึ่ง บนเส้นทาง กรุงเทพฯ – ปราณบุรี
ผมแทบไม่พบความเหนื่อยล้าในการขับขี่เลย อีกทั้ง อัตราเร่ง แซง ขณะชับขี่ใช้งานจริง
ก็ไม่อืดอาดแต่อย่างใด เพียงแต่พละกำลังของเครื่องยนต์นั้น จะหมดเอาแถวๆ 3 พันรอบ ปลายๆ
และกว่าจะไต่ความเร็วขึ้นไปยังท็อปสปีดได้ ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ เหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ตลอดทางที่ขับมา ความพยายามของ รถกระบะ ทั้ง Toyota Hilux VIGO และ
Nissan NAVARA ที่จะเร่งแซงขึ้นหน้าเราไปนั้น ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ซะทีจนทั้ง คู่ ถอดใจ
เลิกคิดจะแซง และหันมาขับตามเราอยู่ห่างๆ

บนถนน แบบ 4 เลน การเร่งแซง นั้น บางช่วง กดคันเร่งแค่ครึ่งเดียวพอ
แต่ในบางช่วง ที่ต้องทำเวลา เพื่อให้แซงขึ้นหน้า พ้นรถสิบล้อคันที่สวนมาจากไกลลิบลับ
กดคันเร่งเต็มเท้า ก็ใช้เวลาไม่นานนัก ที่จะพารถให้พ้นจากสถานการณ์คับขันได้
อย่างไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อยอ่อนหัวใจแต่อย่างใด
 

จะมีติอยู่บ้างเล็กน้อย ก็ตรงที่ ช่วงล่างนั่นละ

H-1 เป็นรถตู้ ที่สร้างขึ้นบนพื้นตัวถังแบบรถเก๋ง
ไม่ใช่เฟรมแชสซี ในแบบที่รถตู้ทั่วไปเขาเป็นกัน
ซึ่ง อันที่จริง นี่ถือเป็นข้อดี สำหรับรถตู้เพื่อการโดยสารเลยทีเดียว
เพราะบุคลิกของระบบกันสะเทือน จะไม่สร้างความกระเทือนเลื่อนลั่น
หรือโยนไปโยนมา อย่างกับนั่งอยู่บนโครงเฟรมเหล็กที่วางซ้อนทับเยลลีปีโป้ขนาดยักษ์

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต มีเหล็กกันโคลงมาให้

 

ส่วนด้านหลังเป็นแบบ มัลติลิงค์ คอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลง

อย่าลืมว่า การที่มีเหล็กกันโคลงนั้น แสดงว่า พื้นฐานของระบบกันสะเทือนดั้งเดิม
แม้จะไม่เลวร้าย แต่ยังไม่น่าลงตัว จนกระทั่งต้องพึ่งพาใช้บริการเหล็กกันโคลงมาเป็นตัวช่วย

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า
ช่วงที่ผมกำลังทำเวลา เพื่อไม่ให้เพื่อนฝูงในลำไส้ ใกล้โผล่ออกมาเยี่ยมชมโลกกว้าง
ในสุขภัณฑ์ ก่อนกำหนด จังหวะที่ขับผ่านลูกระนาดทีไร แรงสะเทือนของมัน
เสียวแปล๊บไปถึงลำไส้ใหญ่ เร่งปฏิกิริยาให้ เพื่อนใกล้จะมาเยือนนั้น
รีบกระหน่ำทุบประตูปากโพลงถ้ำถามหาได้อย่างดีเชียวนักแล!!

 

อย่างไรก็ตาม การตอบสนองของระบบกันสะเทือน หลังจากที่ใส่เหล็กกันโคลงเข้าไป
ถือว่า นุ่มนวลกำลังดีในความเร็วเดินทางในเมือง ผู้ใหญ่ขึ้นมานั่งแล้วน่าจะชื่นชอบ
อย่างน้อย ผู้ใหญ่ 3 คน อายุ 50 ปลายๆ 60 ต้นๆ ที่ขึ้นมานั่งในรถคันนี้ เมื่อเดินทางไปกับผม
นอกจากจะไม่ปริปากบ่นแล้ว ก็ยังเอ่ยปากชมมันด้วย

นั่นอาจเป็นเพราะว่า ที่เขาเจอนั้น สภาพถนนยังไม่ร้ายแรงมากนัก

กระนั้น ถ้าหากต้องขับผ่าน ถนนที่มีลูกระนาดเยอะๆ และ หนาๆ
หรือ สภาพถนนที่ขรุขระ เป็นหลุมบ่อ หรือแล่นผ่านรอบต่อถนนที่ไม่เรียบสนิทดีนัก
กับคนขับหนะ ไม่ค่อยรู้สึกหรอก แต่กับผู้โดยสาร ที่นั่งด้านหลัง บางคน
อาจมีบ่นได้ว่า ทำไมติดกระด้างไปนิด ในช่วงความเร็วต่ำ?

พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรง
อัตราทดเฟืองพวงมาลัย 15.61 : 1 หมุนรอบสุด จากซ้ายสุด ไปขวาสุด 3.57 รอบ
มีน้ำหนักหนืดกำลังดีในความเร็วต่ำ หรือหยุดนิ่ง แต่เบาไปนิดเดียว (ไม่มากนัก)
เมื่อใช้ความเร็วสูง แต่ก็ยังให้ความมั่นใจได้ดีกว่า พวงมาลัยของ Ssangyong Stavic
นั่นแล้วกัน! แถมมีรัศมีวงเลี้ยวที่ แคบสะใจ สำหรับรถตู้ระดับนี้ คือ 5.61 เมตร
เพียงพอให้คุณเลี้ยวกลับรถ หน้าทางเดินขึ้นตึกธนาคารทหารไทย สำนักงานใหญ่
ได้เพียงจังหวะเดียว ขณะที่รถซึ่งมีขนาดเล็กกว่า ทั้ง Vigo Fortuner และ MU-7
ทำแบบเดียวกัน ไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อทั้งคู่ประสานการทำงานร่วมกันใน H-1
หากคุณเลี้ยวในโค้ง ถ้าไม่ได้เหยียบคันเร่งส่งขึ้นไป รถก็จะนิ่งดีอยู่
แต่ถ้าเหยียบส่งเพื่อเพิ่มความเร็วขึ้น
ด้วยการส่งกระจายแรงบิดไปยังล้อคู่หลัง
ซึ่งจะส่งแรงดันรถไปข้างหน้ามาก
ก็จะมีผลกับการเลี้ยวอยู่บ้างเป็นปกติ
คืออาจดูเหมือนจะเลี้ยวไม่เข้า เหมือนว่าหน้าจะดื้อแบบ Understeer หน่อยๆ
แค่ถอนเท้าออกจากคันเร่ง อาการจะดีขึ้น

โค้งทางลงทางด่วนพระราม 6 รูปตัว S นั้น
สาดเข้าไปที่ความเร็วระดับ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้สบายๆ
แต่อย่าเกินกว่า 75 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้าใช้ยางติดรถ Hankook จากโรงงาน

 

ระบบเบรกเป็นแบบไฮโดรลิก ดิสก์เบรกท้ง 4 ล้อ !!
คู่หน้า มีครีบระบายความร้อน
และเพิ่มระบบป้องกันการล็อกของล้อ ABS
(แต่ในรุ่น เกียร์ธรรมดา จะใช้วาล์วควบคุมแรงดันน้ำมันเบรก
และมีเบรกหลังเป็นแบบดรัมเบรกแทน)

หน่วงความเร็วได้ดีเกินคาด และหยุดรถให้นุ่มนวลได้ไม่ยากเย็น
ต่อให้ถ้าซัดมาเต็มๆ หรือว่าแล่นลงจากทางลาดชันอันคดเคี้ยว
แล้วต้องเหยียบเบรกกระทันหัน ติดๆกันหลายครั้ง แม้อาจจะต้องระวัง
ความร้อนจากการเสียดสีในระบบเบรกอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเรื่องปกติ
ที่ระบบเบรกของรถตู้อาจจะต้องเผชิญ

ส่วนเรื่องการเก็บเสียงในห้องโดยสาร ถือว่าทำได้ดี
และยังคงไม่ต้องเร่งเสียงของสวิทยุและเสียงพูดของผู้โดยสาร
จนกว่าจะเกินความเร็วระดับ 140 – 150 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป

ดังนั้น เมื่อมองในภาพรวม การเซ็ตระบบกันสะเทือน และระบบบังคับเลี้ยวแบบนี้ ผมถือว่า
สำหรับมือใหม่ในตลาดโลกอย่าง ฮุนได ทำออกมาได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าดีใจแล้ว

เพราะถ้าระบบกันสะเทือน ไม่ดีจริง ก็คงไม่มีฝรั่งบ้าๆ ที่ไหน เอา เจ้ารถตู้ H-1
ไปโยนเล่น อยู่ในสนามแข่งรถระดับตำนาน อย่าง Nurburgring อย่างที่เห็นในคลิปต่อไปนี้หรอกครับ!!

http://www.youtube.com/watch?v=V8VdP_YYpco

เป็นไงครับ เจอคลิปนี้ เข้าไป อึ้งเลยละสิ! หึหึหึ รถตู้คันเท่าบ้าน สาดโค้งอย่างชิวๆ สงสัยอยู่ว่า
คนขับคงนึกว่าตัวเองกำลังนั่งขับ Porsche 911 GT2 และ Nissan GT-R อยู่แหงๆ

 

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

ในการทดลองตามมาตรฐานดั้งเดิม เรายังคงใช้วิธีการเดิม คือเติมน้ำมันที่ปั้มเชลล์ พหลโยธิน ปากซอยอารีย์
ลัดเลาะไปขึ้นทางด่วนที่ด้านพระราม 6 แล้วมุ่งหน้าตรงๆ ยาวๆ ด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์
นั่ง 2 คน ไปจนสุดปลายทางด่วน สายเชียงราก ประมาณอยุธยา แล้วเลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วน ขับย้อนเส้นทางเดิม
คราวนี้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเส้นทางเล็กน้อย

 

 

 รายละเอียดของการเปลี่ยนแปลง
– น้ำมันดีเซลที่ใช้ เปลี่ยนมาเป็น เชลล์ วี-เพาเวอร์ ครั้งแรก
– ทางลงทางด่วน จากเดิม ลงที่ด่านพระราม 6 โค้งตัว S
คราวนี้ ย้ายไปลงทางด่วน ที่ทางลงอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ฝั่งถนนพหลโยธิน ตรงวินรถตู้ ซึ่งจะทำให้เรารักษาความเร็วต่อเนื่อง
ได้ดีกว่าการขับลัดเลาะไปตามซอยอารีย์ ที่อาจเจอการจราจรติดขัดบ่อยๆ

และ แน่นอน น้องแพน ยังคงอยู่กับเราตลอดการทดลองรถคันนี้
เพื่อช่วยถ่วงน้ำหนักให้ อยู่ในพิกัดบรรทุก 240 กิโลกรัมเช่นเดิม

 

พอดูตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแล้ว ทำตัวเลขออกมาได้ สมตัว
ตามมาตรฐาน วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน (น้ำหนักรวม 240 กิโลกรัม)

ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด จากมาตรวัด…..91.6 กิโลเมตร

 

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 7.93 ลิตร

 

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย………………..11.55 กิโลเมตร/ลิตร

สำหรับรถที่หนักขนาดนี้ ตัวถังต้านลมขนาดนี้ และใช้เครื่องยนต์ขนาดความจุเพียง 2,500 ซีซี
ในการฉุดลาก ได้ตัวเลขออกมาขนาดนี้ ถือว่า ทำได้ค่อนข้างดีกว่าที่คาดแล้วละครับ

และถ้าจะถามว่า น้ำมัน 1 ถังแล่นได้ระยะทางประมาณเท่าไหร่?
ในรถคันสีเงินนั้น ผมทดลองใช้งานจริง ตลอด 4 วัน 3 คืน ขับในเมือง
และขึ้นทางด่วนเป็นหลัก น้ำมัน 1 ถัง ถังน้ำมันมีความจุ 75 ลิตร
ยังสามารถแล่นไปมา ในเมืองและรอบเมืองได้ 502 กิโลเมตร
และยังเหลือน้ำมันอีกราวๆ 1 ใน 4 ของถัง นั่นหมายความว่า
น้ำมัน 1 ถัง ของ H-1 น่าจะแล่นได้ด้วยระยะทางเกิน 500 กิโลเมตร
ไปได้อีกนิดหน่อย

อย่างไรก็ตาม คุณอยากรู้ไหมครับว่า แล้วถ้าใช้งานจริง แบบนั่งกันเกือบจะเต็มคันรถ
พร้อมสัมภาระอีกสักหน่อย สำหรับการไปพักค้างอ้างแรม 1 คืน ของทั้ง 8 ผู้โดยสาร
ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จะอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่?

 

เพื่อให้เห็นภาพ การใช้งานที่แท้จริง
เราก็เลยจัดทริป ไปเที่ยว พักผ่อน ค้างกัน 1 คืน ที่ปราณบุรี ซะเลย
เพราะทั้งผม และท่านผู้การจอมเกิน Commander CHENG ของเรา
ก็อยากจะรู้อยู่ละว่า ถ้าในการเดินทางไกล แบบทดลองขับตัวเลข
อย่างที่เราทำ ได้ระดับ 11.55 กิโลเมตร/ลิตรแล้ว หากเป็นใช้งานจริง
บรรทุกคนจริง แบกข้าวของสัมภาระไปด้วยจริงๆ จะเป็นอย่างไร

สภาพการใช้งานจริง โดยสรุป ก็คือ น้ำมันเต็มถัง จากวันรับรถ ที่ ตึก Q House ซอยคอนแวนท์
สีลม-สาทร ผมขับ มุ่งหน้าไปตามสภาพการจราจร ที่ติดขัดชนิด หอยทากคลานแซงไปตั้ง
สองไฟแดงแล้ว รถที่ผมขับ ยังไปไม่ถึงไหน

ไปจอดยัง โรงแรม พลาซา แอทเธนี ร่วมงานแถลงข่าวของโตโยต้า ในช่วงเย็น
แล้วก็นำรถขึ้นทาง่วนกลับบ้าน บางนา ช่วง 3 ทุ่มครึ่ง

ตื่นเช้ามา วันเสาร์ นำรถไปรับสมาชิกทัวร์ ที่ศรีนครินทร์ แล้วยิงขึ้นทางด่วน
ไปถึง ซอยชินเขต ประมาณ 10.15 น. รับสมาชิก The Coup Team ที่เหลือครบทุกคน
ก่อนจะเลี้ยวออกมา ขึ้นสะพานกลับรถ หน้า ม.เกษตร ยิงขึ้นทางด่วน มุ่งหน้าไปลง
พระราม 2 ขับต่อไปตาม ถนน ธนบุรี-ปากท่อ แวะพักเพียงที่เดียวคือ ตัวเมือง หัวหิน
ทามื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ก็มุ่งหน้า ตรงไปหายังที่พัก บ้านลอนทราย ปราณบุรี

ขับออกมาจ่ายตลาด ตอน 4 โมงเย็น ไม่ไกลนัก ไม่กี่กิโลเมตร
แล้วก็กลับไปยังที่พักอีกครั้ง ความเร็ว 40-60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่เกินนั้น

เช้าวันต่อมา ล้อหมุน มุ่งหน้าไปไหว้พระ ที่วัดจีน (จำชื่อไม่ได้)
รู้แต่ว่า ลิงเต็มวัด เยอะมากขนาดพยายามจะถอดกางเกงของน้องตอย
 
ไปแวะทานมื้อเที่ยง ที่ร้านชุบชีวา ซอยหัวหิน 41-45 ซึ่งคราวนี้ กว่าอาหารจะคลอดออกมา
ใช้เวลานานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก มุ่งหน้าออกจากร้านตอน 15.30 น.
ออกมาจนถึงปากทางแยกเข้าหัวหิน เจ้ากล้วย BnN ก็ดันนึกขึ้นได้ว่า ลืมขาตั้งกล้อง
ต้องกลับไปที่ร้านอีกครั้ง

พอออกจากร้าน ผมตัดสินใจ เติมน้ำมันดีเซล วี-เพาเวอร์ เผื่อรอไว้เลย
จะได้มีน้ำมันเหลือ ในวันส่งมอบรถคืนสบายๆหน่อย

ความเร็วที่ใช้ตลอดทางคือ 80-140 กิโลเมตร/ชั่วโมง

และมีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ปาเข้าไป 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วงสั้นๆ ไม่กี่นาที

 (คุณลุงในภาพนั้น ไม่เกี่ยวกับพวกเรานะครับ ถ่ายติดมาเฉยๆ)

 

ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด ตามระยะทางบนมาตรวัด 456.9 กิโลเมตร

 

 ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 49.42 ลิตร

 

 

และนี่คือตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย
ตลอด ระยะทางที่ผ่านมา ก่อนกลับ กรุงเทพฯ

9.24 กิโลเมตร/ลิตร

ถือว่าทำได้ในระดับที่ ไม่เลว เมื่อเทียบกับการขับขี่ ที่เน้นความนุ่มนวล แต่ต้องพุ่งอย่างรวดเร็ว
ทั้งทำเวลา และ เร่งแซงให้พ้นรถคันข้างหน้า ด้วยความเร็วระดับ 80-140 กิโลเมตร/ชั่วโมง
รวมทั้งการขับ ไปจ่ายตลาดยามบ่าย และในเช้าวันเดินทางกลับ

ได้ตัวเลขขนาดนี้ ถือว่า ดีกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย แล้วละครับ  
 เพราะผมยังคิดว่า น่าจะทำได้แถวๆ 7-8 กิโลเมตร/ลิตร ด้วยซ้ำ
นี่ได้ 9.24 ก็เป็นอันยินดีปรีดา ปราโมทย์ ตีโจทย์แจก แล้วละ
ดูหน้า เจ้า ตอย ในรูปสิครับ เหมือนจะไม่เชื่อเลยว่า รถคันนี้ ทำได้ตามนี้

เป็นอันว่า หายสงสัยกันนะครับ?

 

********** สรุป **********
***** จ่ายแค่แพงกว่าทำไม? ถ้าทั้งหมดนี้ ราคาแค่ 1 ล้านบาทต้นๆ *****

คำถามยอดฮิต ที่ผมมักเจอเสมอ เมื่อใครสักคนอยากจะรู้เรื่องราวของ H-1
จากปากผม จนแทบจะขึ้นเป็น FAQ ไปแล้ว ก็คือ “มันน่าซื้อมาใช้หรือไม่?”

ก่อนที่คุณจะเริ่มถามผม ด้วยคำถามนั้น
ผมคงต้องขอให้คุณ เอาอคติในใจออกไป
ลองเอาตรายี่ห้อ รูปตัว H ในวงรี ออกไปให้พ้นกันก่อน

 

 มาดูกันเฉพาะตัวรถ พูดกันตามตรง แบบไม่อ้อมค้อม
H-1 ให้ทั้งสมรรถนะ การชับขี่ อัตราเร่ง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
การทรงตัว รวมทั้งวัสดุในการตกแต่งและความสะดวกสบายในการเดินทาง
ได้ดีกว่าที่หลายคนจะคิด สมราคา สมกับค่าตัวของมันที่คุณต้องจ่ายออกไป

มันเป็นรถตู้ขนาดใหญ่ ที่สมบูรณ์ และสมราคามากที่สุดเท่าที่มีอยู่
ในตลาดเมืองไทยปัจจุบันนี้ เพราะประสิทธิภาพ และราคา
มันตีคู่มาด้วยกันอย่างดี แถมบางด้าน ยังเกินราคามาด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะความคล่องตัว ขณะขับขี่ในเมือง และอัตราเร่ง
จากการเร่งแซง ยามเดินทางไกล แรงบิดในการขับขึ้นทางชัน
ไปจนถึงอัตราการซดน้ำมันที่อยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้อย่างน่าชื่นตาบาน

และ มันน่าซื้อมากๆ ถ้าคุณกำลังคิดจะมองหารถตู้สักคัน
และมีตัวเลือกอยู่ในความคิด อย่าง โตโยต้า เวนจูรี หรือ คอมมิวเตอร์
ไปจนถึง โฟล์กสวาเกน คาราเวลล์ และ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เวียโน
และเผลอๆ ยังเลยเถิดไปถึงรถตู้อย่าง โตโยต้า อัลฟาร์ด และเวลไฟร์ อีกด้วย

และต่อให้เปรียบเทียบกับ เกีย คาร์นีวัล (ขายในสหรัฐอเมริกา
ผ่านแบรนด์ ฮุนไดด้วย ในชื่อ Hyundai Entourage)
และ ซางยอง สตาร์วิค เจ้าหนูยักษ์น่าเบื่อคันนั้น

ยังไงๆ ฮุนได ก็กินขาดเพื่อนร่วมชาติทั้ง 2 ที่เหลืออยู่ดี
ชนิดที่ ทั้ง 2 คันนั้น ไม่ต้องคิดฝันจะวิ่งไล่ตามให้ทัน
ในเจเนอเรชันนี้

ยิ่งเมื่อนำค่าตัว มาคิดรวมเข้าไปด้วยแล้ว ยิ่งน่าสนใจเลยทีเดียว
ก็ดูป้ายราคาของทั้ง 3 รุ่นเอาสิครับ

H-1 Touring M/T                          1,050,000 บาท
H-1 Maesto Executive A/T           1,379,000 บาท
H-1 Maesto Deluxe A/T               1,449,000 บาท

 
รถตู้ที่ใหญ่ พอกับ ชาวบ้านชาวช่อง แต่มาในราคที่ถูกกว่า นั่งสบายใกล้เคียงกัน
เบาะภายในอาจแข็งไปนิดนึง เมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่พอซื้อมา ก็เอามาถอดออก
ปรับปรุง ตกแต่งตามใจคุณได้อีกอยู่ดี 

 

 

แต่ อย่างไรก็ตาม 1 ปี กับอีก 6 เดือนผ่านไป ที่ฮุนได กลับเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา
รอบใหม่นี้ แม้ว่า ตัวรถจะขายออกไปได้เยอะ แต่ก็ยังมีเสียงอื้ออึง ถึงความไม่มั่นใจ
ของผู้บริโภตกลุ่มใหญ่ ว่า รถเกาหลี จะดีเหรอ? บริการหลังการขายละ เป็นยังไง?

ผมอยากให้คุณลองเอาตรา โลโก้ สามห่วง ของ โตโยต้า ไปแปะอยู่บนกระจังหน้า
และฝากระโปรงท้าย รวมทั้งบนพวงมาลัย

จะเชื่อหรือไม่ว่า รถคันนี้ จะขายดีจนน่าดึงดูด
ยอดพุ่งกระฉูดสูงชะลูดยิ่งไปกว่าที่เป็นอยู่นี้อีกอักโข

 

หลายๆคน ยังมีทัศนคติที่ไม่ดีกับแบรนด์รถยนต์ระดับพระรองมากมายหลายค่าย
อย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลย แม้ว่าแบรนด์นั้น จะอยู่ในตลาดมาก่อน
พวกยักษ์ใหญ่ หรือจะเป็นน้องใหม่ผู้มาทีหลังก็ตาม

จริงอยู่ว่า แบรนด์น้องใหม่ บางราย เข้ามาที ก็สร้างชื่อเสีย ไว้เยอะ
จนคนอื่นเขาเริ่มไม่ค่อยกล้าเข้ามาดู ไม่ค่อยอยากจะยุ่ง
แต่แบรนด์ ระดับสากลนั้น ก็ยังมีความน่าไว้เนื้อเชื่อใจกว่าแบรนด์น้องใหม่
จากประเทศที่ได้ชื่อว่า ชุ่ย จนน่าเป็นห่วง ในแทบทุกด้าน

เข้าใจดีว่า แบรนด์ เปรียบเสมือนความเชื่อมั่นในใจของลูกค้า
ตลอดเวลาที่รถคันนั้นจะต้องอยู่ในบ้าน การมีศูนย์บริการเยอะพอกับปริมาณรถ
และมีช่างเก่งๆ คอยดูแล คือสิ่งที่ผู้ใช้รถหลายคน เป็นกังวล

 

 

แต่ก็อย่างที่เคยบอกเอาไว้ ว่างานนี้ ฮุนไดเขาบอกเองแล้วว่า
เขาตั้งใจจะมาอยู่ยาวๆ ไม่ถอยทัพกลับไปง่ายๆเช่นที่เคยเป็นมาอีกแล้ว
ดังนั้น ในเบื้องต้นนั้น ผมก็คงต้องบอกว่า ผมไม่ห่วงในเรื่องบริการหลังการขาย
ของฮุนได ในคราวนี้ เท่าใดนัก

แต่ เชื่อเถอะ ความเป็นห่วงหนะ ยังไม่หายไปไหนหรอก
มันยังคอยวนเวียนเป็นวิญญาณ ป้าหน่อย บ้านผีปอบ
ที่ตามหลอกหลอนเราขำขำเล่นอย่างนั้นนั่นละ

เพราะในเวลาเริ่มต้นเพียง 1 ปี กับอีก 6 เดือนในการทำตลาดรอบสองของฮุนไดนั้น
ใครๆก็พูดได้ แต่ระยะเวลานับจากนี้ จะเป็นเครื่องพิสูจน์ความตั้งใจจริง
ในการทำตลาดรถยนต์ฮุนได ในบ้านเรา ของกลุ่มโซจิทซึ

อย่างไรก็ตาม ต่อให้คิดกันเล่นๆ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด อย่าง บ้าๆบอๆ สมมติกันเล่นๆ ว่า
วันหนึ่ง ฮุนได เกิดเลิกขายรถในเมืองไทยขึ้นมา ถ้าอะไหล่ฝั่งไทยหมด? ก็ข้ามชายแดน
ไปหาซื้ออะไหล่จากฝั่งลาวมาก็ไม่น่าจะยาก จริงไหมครับ? ในเมื่อ บริษัท KOLAO
อันเป็น ผู้จำหน่าย ฮุนได ในลาว ก็ยังมีสภาพคล่องทางธุรกิจที่ดำเนินต่อไปได้ดีอยู่

ดังนั้น เวลานี้ ยังไม่น่าจะมาเป็นห่วงกับเรื่องอะไหล่ในระยยาวนักหรอกครับ
เอาแค่ภายใน 5 ปีนี้ พวกเขายังพร้อมจะบริการคุณอย่างเต็มที่ เหมือนที่พวกเขาให้สัญญาไว้

ผมว่า นั่นน่าจะเพียงพอที่จะทำให้คุณ ตัดสินใจได้เสียทีนะ…

ว่าจะยอมเสี่ยง…หรือไม่

———————————-///———————————–

 

 

 

ขอขอบคุณ
บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

 

 

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ โดยผู้เขียน ทั้งภาพและบทความที่ถ่ายทำเอง
เผยแพร่ครั้งแรก ใน www.headlightmag.com
27 กรกฎาคม 2009

 แสดงความคิดเห็น ? เชิญได้ คลิกที่นี่