บทบาทการแสดงของคุณ แอน ทองประสม ในละคร ช่อง 3 เรื่องล่าสุดที่เพิ่งจบไป ดูช่างแตกต่าง
ไปจากภาพที่คุ้นตา มาคราวนี้ ชวนให้นึกถึง จูเลีย โรเบิร์ต ในเวอร์ชันหนักหนากว่ากันนิดหน่อย
กุ๊กกิ๊ก คิกขุ น่ารักน่าชังดีเหลือเกิน

รถที่ใช้ประกอบฉากละครเรื่องนี้ ในฐานะ รถนางเอก เป็น Mercedes-Benz SLK
สีดำ แต่งเต็มยศ มองเห็นในทีวี ทีไร ก็อดคิดไม่ได้ทุกที  

รถสปอร์ตจากค่ายดาวสามแฉก เป็นเรื่องที่ห่างไกลตัวผมค่อนข้างมากมาโดยตลอด
ให้ตายเถอะเมดูซ่า ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มีโอกาสแตะต้อง พาหนะที่คนส่วนใหญ่
ใฝ่ฝันอยากได้มาครอบครอง หรือแค่ลองขับสักครั้งก็ยังดี

จนกระทั่ง…วันหนึ่ง กลางเดือน มีนาคม 2008

ครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาส ทดลองขับสั้นๆ ก็กระโดดข้ามขั้น
ไปเป็นรุ่น SLK 55 AMG กันเลยทีเดียว
และในโอกาสที่ได้จับรถคันสีดำนี้ ก็คืองาน
Mercedes-Benz Driving Experience ในปีนั้น นั่นเอง

ครั้งนั้น ขับกันได้แค่สั้นๆ สัมผัสเต็มที่เพียงสิ่งเดียว คือความแรง
มันแรงซะจนกระทั่งความพยายามจะเบรกรถให้หยุดนิ่ง ในระยะกระทันหัน
หลังจากทะยานขึ้นไปด้วยความเร็วพอประมาณ บนพื้นซีเมนต์
ของสนาม ราบ 11 แถว วงเวียนหลักสี่ ทำได้อีหลักอีเหลื่อ
จนเหงื่อหยดพอประมาณ

 

จำได้ว่า ครั้งนั้น คิดในใจว่า เอาละ หลังจากนี้ คงจะหาโอกาส
ทดลองขับ SLK ไม่ได้ง่ายๆอีกแล้วละ ดูท่าทางรถมันไม่ค่อยจะเป็นมิตร
กับเราเท่าไหร่ แต่ดันไปเป็นมิตร กับ ตา Joey คอลัมนิสต์ สายรถยนต์
แห่ง หนังสือพิมพ์ The Nation มากกว่า เพราะพ่อคุณสุดเลิฟของข้าพเจ้า
โชคดี Lucky draw ได้นั่งรถคันนี้ ในรูปแบบ Hot Laps ไปกับฝรั่งครูฝึกตีนโหด

กินโดนัทไปจน(ควัน)จุกแน่นพุง เลยทีเดียว

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมลืมไปเลย และไม่เคยคิดมาก่อนว่า
Mercedes-Benz Thailand จะมีรถรุ่นนี้ให้เราได้ยืมมาทดลองขับกัน

จนกระทั่ง กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็เกิดเรื่องที่ผม
ออกจะงุนงง แต่แอบอมยิ้มนิดหน่อย

เรื่องของเรื่อง ก่อนหน้านี้ ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ติดต่อมาว่า
จะส่ง C220 CDI ให้ทดลองขับ เราล็อกคิวกันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ในช่วง
สัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา…

ทว่า เมื่อใกล้ถึงวันนัด ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็โทรมาบอกว่า มีเหตุจำเป็น
ต้องขอเลื่อนรถคันนี้ออกไป โดยยังไม่รู้กำหนด ซึ่งทางผมเองก็สะดวกอยู่แล้ว
ยินดี ไม่มีปัญหา จะเอาไปทำอะไรก็ได้เลยทั้งสิ้นครับ ไม่เป็นไร เพราะผมเอง
ก็เข้าใจดี และ ทาง MB Th ก็ทำทุกอย่าง โอเคแล้ว ที่โทรมาเลื่อนผมก่อน
อันนี้ ผม แฮปปี้นะครับ (เพราะตอนนั้น ผมต้องทุ่มเวลาให้กับ รีวิว ของทั้ง
Toyota Camry HYBRID และ Mazda 2 ถ้าขืนมี C220 CDI เข้ามาร่วมด้วยอีกคัน
สงสัยหัวหมุนสติแตกแหงๆ)

แต่ เพื่อเป็นการขอบคุณ ที่ผมยินดีจะเลื่อนให้ ทาง MB Th ก็เลยจะส่งรถให้ผม
มาทดลองขับ 2 คันรวด!! นั่นก็คือ SLK และ ML…!!!

โอ้ววววว ตัดสินใจถูกนะเนี่ยเรา!

SLK เอ่อ ได้ข่าวว่าปลายอายุตลาดแล้วละ แต่ผมก็ยังยินดีจะเอามาทำรีวิว เพราะว่า
ในเมื่อ เราเองก็มีโอกาสทดลองขับ รถสปอร์ตหลังคาแข็ง เปิดประทุน คู่แข่ง กับ SLK
ทั้ง Z4 และ MX-5 ไปแล้ว ดังนั้น ก่อนที่รถรุ่นนี้จะหมดอายุตลาดในอีก 1-2 ปีข้างหน้า

ขณะเดียวกัน แม้ว่า จะเปิดตัวมาตั้งแต่ ปี 2004 และ ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ครั้งใหญ่
ในปี 2008 ถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีคนสนใจอยากจะรู้สมรรถนะของมันอยู่ นานแค่ไหน
ก็ยังมีคนถามไถ่ ว่าเมื่อไหร่ จิมมี่ จะเอา SLK มาลองซะที…

ดังนั้น ไหนๆ ก็ไหนๆ ไม่มีอะไรจะต้องเสีย (นอกจากเงินค่าน้ำมันค่าทางด่วน
และ เวลาที่ต้องใช้ 3 วัน 2 คืน) เราก็ควรอย่างยิ่ง ที่จะนำรถรุ่นขายดีอีกรุ่นหนึ่ง
ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทย เอามาทดลองขับในด้านต่างๆ ตามมาตรฐานของเรา
ให้รู้แล้วรู้แรดกันไปเลย… 

เพราะโจทย์ที่ผมอยากรู้ก็คือ
1. เมื่อถึงวันนี้ SLK ยังควรค่าที่ใครควรจะจ่ายเงินซื้อมันมาขับเล่นอีกมากน้อยแค่ไหน?
2. ยังมีสิ่งใดที่ MB ควรปรับปรุง เพื่อให้รถรุ่นใหม่ ที่จะต้องคลอดตามมาหลังจากนี้
สมบูรณ์แบบยิ่งกว่า ที่เป็นอยู่…
3. นิสัยของ SLK มันจะเหมือน บุคลิกของ ผู้หญิง 2 คน ที่เราเห็น ในยามที่เธอ
ใช้ชีวิต อยู่กับรถรุ่นนี้หรือเปล่า?

คนแรก พอลลาร์ เทเลอร์ ชีวิตประจำวันของเธอ ได้ยินมาว่า น่าจะใช้ รถรุ่นนี้ สีขาว และเบาะแดงเหมือนกัน?
คนที่สอง คุณ แอน ทองประสม กับบทบาท นางเอกจอมบงการและวางแผน ในละครเรื่องล่าสุด
ทางช่อง 3 รถที่คุณแอน ต้องใช้ในละครเรื่องนี้ เป็นประจำ คือ SLK สีดำ แต่งซะรอบคัน
บุคลิกของรถคันนั้น ช่างเหมือนกับ ตัวละครที่คุณแอน ต้องสวมบทบาทมากๆ ราวกับถอดร่างกันมาเลย

รถสปอร์ต 2 ประตู เปิดประทุน คือรถยนต์อีกประเภทหนึ่ง ที่ทำให้ สัญลักษณ์แห่งดวงดาว
เข้าไปสิงสถิตกลางดวงใจ ของผู้ใฝ่หาความพึงจิต จากบรรยากาศอันพึงพิศ ยามสายลม
พัดพาเส้นผมให้ปลิวไสว

รถสปอร์ตรุ่นยอดนิยม รุ่นสำคัญ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากตระกูล SL อันเป็น
ตระกูลเก่าแก่ที่สุดรุ่นหนึ่ง ในบรรดารถเปิดประทุนทั้งมวล ที่ผ่านมา ทำรายได้ให้กับ
Mercedes-Benz ในระดับเรื่อยๆ ไม่หวือหวา แต่ก็หาคู่แข่งมาทาบรัศมีได้ไม่มากนัก

ทว่า เมื่อความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก มาเยือนในยุค 1990 ความนิยมใน
รถสปอร์ต โรดสเตอร์ อย่าง Mazda MX-5 ที่นำกระแสรถเปิดประทุนขนาดเล็ก
แบบ Lotus Elan หรือ MGB กลับมาเกิดใหม่ได้อย่างสวยสดงดงาม ทำให้ผู้ผลิต
หลายราย เริ่มมองเห็นช่องทางในการสร้างรถยนต์ขึ้นมา เพื่อรองรับความต้องการ
ในตลาดกลุ่มใหม่นี้ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ ตลาดกลุ่มนี้ คือ กลุ่มลูกค้า
ผู้มีอันจะกิน หรือกลุ่มที่สร้างรายได้ ตั้งตัวได้เร็ว พวกเขาอยากหารถเปิดประทุน
เน้นการขับขี่ที่สนุก แต่ต้องมีขนาดเล็ก ราคาไม่แพงเหมือนรถเปิดประทุนแบบอื่นๆ

ทันทีที่เปิดตัว ออกสู่ตลาดยุโรป เป็นครั้งแรก เมื่อ 14 กันยายน 1996 SLK รุ่นแรก
รหัสรุ่น R170 ก็กลายเป็นรถสปอร์ตขนาดเล็กเปิดประทุน สไตล์ Roadster ทีได้รับ
ความนิยมอย่างสูง ต่อเนื่องไปจนถึงรุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ เมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2000

ประสบความสำเร็จ มากน้อยแค่ไหน ก็ลองดูตัวเลขยอดขายทั่วโลก เอาแล้วกัน นับตั้งแต่ปี
1996 จนถึง ปี 2004 มี SLK กว่า 308,000 คันที่ออกจากโรงงาน Bremen ในเยอรมัน
นั่นเป็นตัวเลขสูงพอให้ ฝ่ายออกแบบ อุ่นใจ ว่ายังไงๆ ฝ่ายบริหาร ต้องเปิดไฟเขียว
ให้มีการผลิต รุ่นเปลี่ยนโฉม ของ SLK ตามมาอย่างแน่นอน

และพวกเขาก็เดาไม่ผิด

พวกเขาที่ว่านั่นหนะ ก็คือ ทีมงาน ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ บุคคลทั้ง 5 ที่ปรากฎอยู่ในรูปนี้
ประกอบไปด้วย Michael Plessing ฝ่ายวิเคราะห์แบบ สู่การผลิตจริง Gorden Wagener ผู้ดูแล
งานออกแบบภายนอกตัวรถ Martin Bremer นักออกแบบด้านเฉดสี และการเลือกใช้วัสดุตกแต่ง
Klaus Busse ผู้ดูแลงานออกแบบ ภายในห้องโดยสาร และ Manfred Dorn ผู้ออกแบบอุปกรณ์ควบคุม
และจอแสดงข้อมูลต่างๆ

ในช่วงแรกๆ แนวทางการออกแบบของ SLK ยังคงเน้นแนวเส้นสายให้ใกล้เคียงกับรถรุ่นก่อนๆ 

แต่ในระยะต่อมา จะเห็นได้ว่า  งานออกแบบ SLK รุ่นปัจจุบัน ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากรถแข่งสูตร 1
หรือ Formular 1 รวมทั้งรถสปอร์ตรุ่น McLaren SLR ที่เพิ่งยกเลิกการผลิตไปเมื่อไม่นานมานี้ โดยเฉพาะ
ในบริเวณกระจังหน้ารถ

และหนึ่งในภาพสเก็ตช์ ช่วงแรกๆ นั้น มีภาพข้างล่างนี้แหละครับ ที่เรียกได้ว่า ใกล้เคียงกับรถคันจริงมากที่สุด

เมื่อได้แนวทางที่ชัดเจนแล้ว ทีมออกแบบก็เริ่มขยายภาพร่าง สู่หุ่นดินเหนียวต้นแบบ ในรูปต่างๆ

การพัฒนาเริ่มเข้าใกล้ความจริงเรื่อยๆ และนี่คือ ภาพส่วนหนึ่ง ที่เกิดจากการตัดสินใจช่วงใกล้การผลิตจริง มีการปรับปรุงจากภาพนี้อีกหลายตำแหน่ง

แล้วจึงกลายมาเป็นรถคันจริง ที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้

SLK รุ่นปัจจุบัน มีรหัสรุ่น R171 เผยรูปถ่ายออกสู่โลกอินเตอร์เน็ต ครั้งแรก เมื่อ ต้นปี 2004
และจนถึงช่วงเวลา โฉมสู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อ 15 มีนาคม 2004 ในงาน
เจนีวา ออโต ซาลอน หรือ เจนีวา มอเตอร์โชว์ และออกสู่ตลาดยุโรปทันที ในวันที่ 27 มีนาคม
หรือราวๆ 2 สัปดาห์หลังการเปิดตัว นับตั้งแต่ก่อนหน้านั้น จนถึงวันเริ่มจำหน่ายจริง
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้รับยอดสั่งจองจากทั่วโลก มากถึง 7,000 คัน!

หลายข้อด้อยในรถรุ่นที่แล้ว ถูกปรับปรุง แก้ไข จนดีขึ้นเยอะ ทำให้ SLK ใหม่ ได้รับสารพัด
ถ้วยรางวัลมาครอบครอง อาทิ รางวัล พวงมาลัยทองคำ “Goldenes Lenkrad” [golden steering wheel]
โดยนิตยสาร “Bild am Sonntag” ของเยอรมัน ในเดือนพฤศจิกายน 2004 และรางวัล Car and Driver’s
Ten Best list ในปี 2005 โดยนิตยสาร Car and Driver ในสหรัฐอเมริกา

ในช่วงแรกที่เปิดตัว SLK รหัสรุ่น R171 มีให้เลือกตั้งแต่ รุ่นล่างสุด SLK 200 KOMPRESSOR
เครื่องยนต์ M271 4 สูบเรียง 1,796 ซีซี ซูเปอร์ชาร์จ 163 แรงม้า (PS) SLK 280 เครื่องยนต์ M272
6 สูบเรียง 2,996 ซีซี 231 แรงม้า (PS) SLK 350 เครื่องยนต์ M272 เหมือนกัน แต่ปรับปรุงให้แรงขึ้นเป็น
272 แรงม้า (PS) และ SLK 55 AMG มาพร้อมขุมพลัง M113 V8 DOHC 24 วาล์ว (3 วาล์ว / สูบ) 5,439 ซีซี
360 แรงม้า (PS) ที่ 5,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 510 นิวตันเมตร ที่ 3,750 รอบ/นาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ
7 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT 7G-TRONIC อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 4.9 วินาที ความเร็วสูงสุด
280 กิโลเมตร/ชั่วโมง

กระนั้น การกระตุ้นตลาด ก็ยังมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากรุ่น SLK280 พร้อมเครื่องยนต์ V6
231 แรงม้า (HP) ในเดือนมิถุนายน 2005 ตามด้วย SLK 55 AMG Black Series ตกแต่งด้วยสีดำ
ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2006 มาพร้อมขุมพลัง V8 DOHC 24 วาล์ว (3 วาล์ว / สูบ) 5,439 ซีซี ยกระดับ
ให้แรงขึ้นเป็น 400 แรงม้า ที่ 5,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร ที่ 3,750 รอบ/นาที
พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT 7G-TRONIC อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เร็วขึ้นเป็น 4.5 วินาที ราคาคันละ 107,300 ยูโร (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 16%) จัดว่าแรงที่สุดในบรรดา SLK
รหัสรุ่น R171 ทั้งหมด

จากนั้น มีการออกชุด New Sports package พร้อมล้ออัลลอย 18 นิ้ว ระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ต
และอุปกรณ์อื่นๆ อีกเล็กน้อย ในเดือนกันยายน 2006 รวมทั้งรถรุ่นพิเสษ ที่ไม่ได้มีขายที่ไหน
ทั้ง SLK 55 Track Sport ,SLK 55 Asia Cup และ SLK 55 ‘F1 Safety Car’ สำหรับสนามแข่ง

ตามด้วย SLK-Class “Edition 10” เวอร์ชันพิเศษ ฉลองครบรอบ 10 ปี ของ SLK และยอดขาย 459,000 คัน
อวดโฉมครั้งแรกเมื่อ 28 กันยายน 2006 บนเวที Paris Auto Salon และออกสู่ตลาดเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2006
ตกแต่งภายนอกด้วย สีตัวถัง Matt-Grey ล้ออัลลอย สีเทาดำ ขัดมันแวววาวในสไตล์ ”chrome-shadow”
สวมยางคู่หน้า 225/45 R 17 คู่หลัง 245/40 R 17 ไฟท้ายสีดำพร้อมตัวอักษร EditI0n ที่ปีกด้านข้าง ส่วนภายใน
บุด้วยหนัง สีดำ ทั้งเบาะนั่ง พนักวางแขนกลางเบาะนั่ง และคันเกียร์ พนักพิงเบาะ มีโลโก้ EditI0n ตรงกลาง
ของเบาะนั่ง และพนังพิงใช้หนังสีบรอนซ์ เช่นเดียวกับด้านบนของเบาะนั่งแบบสปอร์ตเย็บด้วยด้ายสีบรอนซ์เงิน
ผลิตออกมาเพียง 350 คัน และ บางส่วน ถูกส่งเข้ามาเปิดตัวในงาน บางกอก มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 28 เมื่อ 29 มีนาคม 2007

21 ธันวาคม 2007 ภาพของรุ่น ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ คันสีขาวที่เรานำมาทดลองขับกันนี้ ถูกปล่อยออกมา
อย่างเป็นทางการไปทั่วโลกอินเตอร์เน็ต พร้อมกับถ้อยแถลงที่ว่า มีการปรับปรุงชิ้นส่วนภายในรถมากถึง 650 ชิ้น

5 พฤษภาคม 2008 Mercedes-Benz แถลงว่า เพิ่งจะส่งมอบรถ SLK คันที่ 500,000 ไปหมาดๆ ถือเป็นความสำเร็จ
ของค่ายดาวสามแฉก ที่ใช้เวลา 12 ปี ในการผลิตรถสปอร์ต ขนาดเล็ก เปิดประทุน ออกขายได้มากถึงขนาดนี้
ตัวเลขที่น่าสนใจมีอยู่ว่า รถรุ่นเดิมหนะขายได้ราวๆ 310,000 คัน ส่วน รถรุ่นใหม่ ขายออกไปได้ราวๆ 190,000 คัน
นับตั้งแต่เปิดตัว ในปี 2004 เฉพาะในเยอรมันอย่างเดียวก็ปาเข้าไป 60,000 คันแล้ว ครองส่วนแบ่งตลาด 50% 
ของรถสปอร์ตเปิดประทุน ขนาดเล็กในยุโรปตะวันตกไปเรียบร้อย

ซึ่งเมื่อถึงวันที่คุณกำลังอ่านบทความชิ้นนี้ ตัวเลขดังกล่าว คงเพิ่มขึ้นไปจากเดิมอีกพอสมควรแล้ว

และล่าสุด เพิ่งมีรุ่น 2LOOK Edition เป็นรุ่นพิเศษ ตกแต่งด้วย สีขาว-ดำ ออกสู่ตลาดเมื่อ 3 มีนาคม 2009 ที่ผ่านมา
ตกแต่งภายในด้วย เบาะหนัง Nappa สีขาว ส่วนฐานโอบเบาะ เป็นสีดำ แผงประตูด้านข้างบุด้วยหนังแท้ สีขาว-ดำ
พวงมาลัย Multifunction หุ้มด้วยหนัง Nappa สีดำ แซมด้วยสีขาวเล็กน้อย  แผงหน้าปัดสีดำ ประดับด้วย แผง trim
สีขาว หลังคาแข็งพับได้ บุด้วยผ้าสีดำ ส่วนพรมปูพื้น มี สัญลักษณ์ของรุ่น แถมมาให้ จำนวนจำกัดทั่วโลก 300 คัน
โดยเลือกได้ ว่าจะให้รถรุ่นใดเป็นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น SLK 200 KOMPRESSOR SLK 300 และ SLK 350 ด้วยราคา
ที่เพิ่มขึ้นอีก  2,100 ยูโร รวมทั้งค่าสีตัวถัง แบบพิเศษ obsidian black metallic อีก 580 ยูโร หรือ 1,990 ยูโร (ทั้งหมดนี้
รวม VAT 16% แล้ว) สำหรับ สีขาว designo mystic white Limited Edition ในจำนวนนี้ มีเพียง 2-3 คันเท่านั้น
ที่ตกมาถึงเมืองไทย ผ่านผู้นำเข้าอิสระรายย่อย

และนั่นคือความเคลื่อนไหวสุดท้าย ของ SLK รุ่นล่าสุด ก่อนที่รถคันสีขาว จะตกมาถึงมือผม ด้วยเลขไมล์
ที่ถือว่ายังพอจะสดใหม่อยู่ ยังไม่เกิน 10,000 กิโลเมตร และยังอยู่ในสภาพที่ดี เพียงพอให้เราทดลองขับ
แล้วนำมาพูดคุยกับคุณผู้อ่าน

หืมม?…650 ชิ้นเลยเหรอ?

เอกสารข่าว Press Released ที่ผมไปหาดาวน์โหลด มานั่งอ่าทน จาก เว็บไซต์สำหรับสื่อมวลชน ของ Daimler AG.
บอกเอาไว้อย่างนั้น และมันชวนให้สงสัยตะหงิดขึ้นมาว่า มีชิ้นส่วนอะไรกันบ้าง ที่เปลี่ยนแปลงไปมากถึง 650 ชิ้นเนี่ย?

มันอาจจะเป็น น็อตสักตัวนึง จากแบบสกรูธรรมดา เป็นน็อต แบบ หัวแฉก….ไม่หรอก..คงไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง
ที่ไร้สาระขนาดนั้นหรอก สิ่งแรกที่คุณน่าจะเห็นได้ชัดเจน ถ้าสังเกตให้ดีๆคือ เปลือกกันชนหน้า แบบใหม่
ที่เรียกกันว่า New Look มาพร้อมไฟตัดหมอกหน้าแบบใหม่ ล้ออัลลอย ลายใหม่ กระจกมองข้าง พร้อมไฟเลี้ยวในตัว
ออกแบบขึ้นใหม่ ข้อนี้ ต้องสังเกตดีๆ จึงจะเห็น

นอกจากนี้ ยังมีชุดไฟท้าย ที่รมดำบริเวณไฟเลี้ยว ให้ดูดียิ่งขึ้น เปลือกกันชนท้าย ออกแบบใหม่
รวมทั้ง ปลอกท่อไอเสีย ทั้ง 2 ฝั่ง ที่ออกแบบขึ้นมาให้ แบน และดูดุดันมากขึ้น
กระจกหน้าต่างเป็นแบบกรองแสงรอบคัน แถมกระจกบังลมหลัง ยังมีระบบไล่ฝ้า มาให้ด้วย

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ ส่งผลต่อขนาดของตัวรถในภาพรวมนิดหน่อย
SLK 200 Kompressor รุ่นใหม่ จะยาวขึ้นกว่าเดิม 4,082 มิลลิเมตร ยาวขึ้นเป็น 4,103 มิลลิเมตร
กว้าง 1,777 มิลลิเมตร สูง 1,296 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาว 2,430 มิลลิเมตร
เสริมให้เล็กน้อยกว่า จุดกึ่งกลางจากล้อคู่หน้าฝั่งซ้าย-ขวา (Front Track) อยู่ที่ 1,530 มิลลิเมตร
ส่วนล้อคู่หลังตำแหน่งเดียกวัน จะกว้างกว่า เป็น 1,541 มิลลิเมตร

หากเปรียบเทียบกับขนาดตัวถังของ คู่แข่ง อย่าง BMW Z4 รุ่นล่าสุด กลายเป็นว่า SLK ใหม่
ยาวกว่า Z4 ใหม่ 12 มิลลิเมตร (ต้องโทษเปลือกกันชนหน้า-หลังใหม่ นั่นแหละ) แต่ Z4 ใหม่
จะกว้างกว่า แค่ 4 มิลลิเมตร ส่วนสูงต่างกันแค่ 3 มิลลิเมตร แต่ระยะฐานล้อ Z4 จะยาวกว่า 65 มิลลิเมตร

และถ้าเปรียบเทียบกับ Mazda MX-5 รุ่นล่าสุด รหัส NC แล้วจะพบว่า
SLK และ Z4 ใหม่ มีขนาดตัวถัง ใหญ่กว่า MX-5 ในทุกสัดส่วน (ตัวถัง MX-5 ใหม่ ยาว
4,020 มิลลิเมตร กว้าง 1,720 มิลลิเมตร สูง 1,255 มิลิเมตร ส่วนระยะฐานล้อ 2,330 มิลลิเมตร)

แต่ไม่ต้องคิดมาก หรอก ทั้ง MB และ BMW เพราะ Mazda เขาตั้งใจแล้วว่า จะหั่นขนาด MX-5
รุ่นต่อไป ให้เล็กลง สั้นลง ยิ่งกว่านี้อีก!!! และจะวางเครื่องให้เล็กลงไปกว่านี้อีก! (บ้าไปแล้ว)
ดังนั้น คาดว่า ทั้ง 3 คัน คงได้แข่งขันกันเต็มที่ เฉพาะในเจเนอเรชันนี้เท่านั้น

กุญแจที่มีให้มากับตัวรถ เป็น รีโมทกุญแจ Immobilizer หน้าตาคุ้นเคย…
ผมนึกออกแล้วละ ว่าหน้าตาของกุญแจ เบนซ์ ในระยะหลังๆ
มันจะคล้ายกับอะไร…

ถ้าคุณ ยังมีอายุไม่มากเกินไปกว่า 32 ปี
คุณอาจจะคุ้นเคยกับการทำงานฝีมือ ในสมัยเด็ก
ว่าต้องใช้หลอดกาวลาเท็กซ์ หรือกาวน้ำขนาดเล็ก….

จริงๆนะ จับกุญแจเบนซ์ทีไร นึกถึงขวดเล็กๆแบบนั้นทันที

เพียงแต่คราวนี้ กุญแจเบนซ์ ใน SLK นอกจากจะสั่งล็อก-ปลดล็อกประตูรถได้แล้ว
หาก กดปุ่มปลดล็อก ค้างเอาไว้อีกสักหน่อย อย่าตกใจ ถ้าหลังคาของรถ จะทำงาน
พับเก็บต่อหน้าต่อตาคุณ ได้ดื้อๆ เพราะ รีโมทกุญแจชุดนี้ สามารถ
สั่งเปิด-ปิด หลังคาพับเก็บด้วยไฟฟ้า ได้อย่างง่ายดาย

รูปแบบการพับหลังคาเป็นอย่างไร เอาไว้รอดูภาพข้างล่างๆ ครับ

ตอนนี้ ขอเข้าไปนั่งในรถก่อน ยืนมานานจนเริ่มเมื่อยละ

เมื่อเปิดประตูรถ สิ่งแรกที่ผมประทับใจก็คือ การออกแบบแผงประตูด้านข้าง ที่แปลกตา
ถือว่า กล้าเล่น ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว สำหรับ การย้ายตำแหน่งสวิชต์กระจกหน้าต่าง
ไปไว้อยู่ที่มือจับ ลักษณะที่เห็น การเข้าออกจากรถ ใช้ความระมัดระวัง หัวคิ้วของคุณนิดนึง
เพราะมีโอกาสอยู่บ้างเหมือนกัน ที่คิ้วของคุณ อาจจะไปเฉี่ยวกับ ขอบด้านบนของ
เสากรอบกระจกบังลมหน้า ได้บ้าง ในวันที่คุณรีบร้อน ไปทำธุระไม่ทัน…

แต่ก็ยังไม่เสี่ยงน่ากลัว เหมือน Peugeot 206 CC และ 207 CC แน่ๆ
อันนั้น หวาดเสียวมาก! และหัวผม โดนโขกมาแล้ว ตอนเข้าไปนั่งเฉยๆ

ตั้งข้อสังเกตเล็กน้อยว่า ทั้งที่เป็นรถเปิดประทุนเหมือนกัน แต่การลุกเข้าออกนั้น
หลายคน คิดเห็นต่างกันไป ผมมองว่า SLK ลุกเข้า-ออกลำบากกว่า Z4 และ MX-5
แต่ น้องกล้วย BnN แห่ The Coup Team ของเรา กลับบอกว่า SLK ลุกเข้าออกได้
สบายกว่า Z4…..เออ จะตัดสินยังไงดี? แบบนี้ ไปลองนั่งกันเอาเองดีกว่าครับ
จะได้รู้ไปเลย ว่าคุณ ลุกเข้า-ออก จากรถคันไหน ใช้แรงในการยกตัวขึ้นยืน น้อยกว่ากัน

อีกทั้งบานประตู แม้จะมีขนาดพอๆกัน แต่ดูไปดูมา เหมือนว่าประตูของ SLK จะเล็กกว่า Z4 ใหม่ นิดนึง?

เบาะนั่งคู่หน้าแบบสปอร์ต พนักศีรษะกับพนักพิง เป็นชิ้นเดียวกัน หุ้มด้วยหนังแบบ Artico 
ปรับด้วยไฟฟ้าทั้งเบาะคนขับ และผู้โดยสารด้านข้างโอบกระชับลำตัว นั่งกันอย่างสบาย
และไม่ก่อให้เกิดความปวดเมื่อยมากมายนักสำหรับผม ขณะนั่งขับในระยะทางไกล
(เพราะมีสวิชต์ ปรับตำแหน่งดันหลัง รวมทั้งมีสวิชต์ บันทึกตำแหน่งเบาะ และกระจกมองข้าง
รวม 3 ตำแหน่ง มาให้อีกด้วย) อีกทั้งเมื่อปรับเบาะนั่งให้เหมาะสมกับตัวผม (คือต้องปรับกดลง
ให้ต่ำเตี้ยเรี่ยพื้นรถมากที่สุด) จะพบว่า เมื่อปิดหลังคา ก็ยังมีพื้นที่เหนือศีรษะ อยู่ในระดับที่
รับได้ ตำแหน่งการวางแขนที่แผงประตู และฝาปิดกล่องเก็บของตรงคอนโซลกลาง ถือว่าวางอยู่
ในตำแหน่งรองรับความสบาย ได้อย่างน่าพอใจ พนักพิงเบาะใช้โครงสร้างแบบแม็กนีเซียม

อย่างไรก็ตาม การขึ้นไปนั่ง เมื่อใดที่คุณต้องรถจอดในช่องจอดตามห้างสรรพสินค้า
หรือช่องจอดที่ มีพื้นที่เปิดประตูน้อยมาก กางออกได้เพียงแค่ 1 จังหวะ นั้น
ต้องระวังนิดนึง ถ้าสอดตัวไม่ระมัดระวัง โอกาสที่สรีระร่างของคุณ
จะไปเบียดกับปีกด้านข้างของเบาะ จนมัน “แหกกกก” ออกมา ถึงขนาดที่
คุณจะสามารถ แหวกดูสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านหลังเบาะ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้!!

เพราะการออกแบบเบาะนั่ง ให้แปะอยู่กับ โครงพลาสติกด้านหลังนั้น
ผมว่าอาจจะไม่ค่อยเหมาะมากเท่ากับการออกแบบให้เป็นชุดเบาะ
หุ้มหนังให้ครอบคลุมทั้งเบาะไปเลยจะดีกว่าไหม?

เอาเข้าจริงแล้ว พื้นที่ภายในห้องโดยสารของ SLK กับ Z4 ใหม่ ไล่เลี่ยกันทั้งคู่
แต่ด้วยการออกแบบ ที่สดใหม่กว่า จึงไม่น่าแปลกใจว่า ภายในของ Z4 ใหม่
จะให้สัมผัสที่ผ่อนคลายทั้งสายตาและสรีระมากกว่า SLK  และ MX-5

เมื่อเปิดฝากระโปรงหลัง แน่นอนว่า ใช้พื้นที่ฝากระโปรงใหญ่กว่า Z4 และ MX-5
ดังนั้น จึงมีพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง ใหญ่กว่า MX-5 ใหม่ ชัดเจน ด้วยสายตา
แต่ถ้าวัดขนาดกันตามมาตรฐานของ VDA เยอรมัน แล้ว SLK จะมีพื้นที่ห้องเก็บของ
ก่อนพับหลังคา 300 ลิตร (น้อยกว่า Z4 ใหม่ ที่ 310 ลิตร) แต่เมื่อพับหลังคาลงแล้ว
พื้นที่ห้องเก็บของ ด้านหลัง ของ SLK จะยังอยู่ที่ 208 ลิตร ขณะที่ Z4 หดหาย
เหลือเพียง 180 ลิตร

ดังนั้น พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังของ SLK เมื่อพับหลังคาลงมาแล้ว จึงมีความจุเยอะที่สุด
ในกลุ่มคู่แข่ง รถสปอร์ต โรดสเตอร์ หลังคาแข็งเปิดประทุนได้ โดยไม่ต้องไปสนใจ
ห้องเก็บของด้านหลังของ MX-5 ที่เล็กกว่ากัน (เพียง 150 ลิตร VDA) นั่นเลย

แต่สิ่งที่ SLK จะมีเหมือน Z4 ก็คือ ถาดพลาสติกคว่ำ สำหรับป้องกันการเปิดหลังคา ในยามที่
และมันช่วยบังสัมภาระของคุณได้บ้างนิดหน่อย ไม่เยอะนัก (ข้อนี้ MX-5 ไม่มี และดูเหมือน
ไม่จำเป็นต้องมี)

เมื่อยกพรมรองพื้นห้องเก็บของด้านหลังขึ้นมา จะพบว่า SLK ยังคงมียางอะไหล่ พร้อมชุดปฐมพยาบาล
มาให้ (ในขณะที่ Z4 และ MX-5 ให้ยาง แบบ Run-Flat Tyre ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนยาง แพงกว่า)

 

การออกแบบภายในห้องโดยสารนั้น หากสังเกตดีๆ จะพบว่า ในตอนแรก
ทีมออกแบบ ตั้งใจจะ กำหนดรูปทรงของช่องแอร์ ตรงแผงควบคุมกลาง
เอาไว้ ด้านข้าง ทั้ง 2 ฝั่ง (จากเดิมที่ตั้งใจให้เป็น วงกลม แบบ รถเมล์ ปอ.บ้านเรา)

แต่พอถึงเวลาทำออกมาขายจริง ช่องแอร์แค่นั้น ดูเหมือนจะไม่พอ ต่อการขับขี่ ของผู้คนส่วนใหญ่
ในตลาดเมืองร้อน ดังนั้น เมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็เลยจำใจ ต้องทำช่องแอร์ แบบสี่เหลี่ยม สไตล์มาตรฐาน
ออกมาไว้ด้านบน สุดของแผงควบคุมกลาง อีกชั้นหนึ่ง เพื่อช่วยลดเสียงบ่นและก่นด่า จากบรรดาเศรษฐีขี้ยั๊วะ
ทั้งหลาย เท่านั้นเอง

ถ้ามองดีๆ จะเห็นว่า ด้านใต้ ตรงกลาง ของรูปข้างบนนี้ มี เม็ดแค็บซูล ขนาดใหญ่เบ้อเร่อ ตั้งอยู่คั่นกลาง
เสาหลังคาแบบ สามเหลี่ยม สำหรับป้องกันการบาดเจ็บจากการพลิกคว่ำ

มันคือ สัญญาณไฟ LED แสดงสีเหลือง เตือนระยะห่าง จากสิ่งกีดขวาง และเตือนเป็นสีแดง
ที่ด้านริมสุดของทั้ง 2 ฝั่ง ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะถอยรถเข้าใกล้กับกระถางต้นไม้ หรือ เสาโรงรถที่บ้าน
ฝั่งใดฝั่งหนึ่งก่อนกัน

และ ถ้ามองบนแผงหน้าปัด ตรงกลาง เหนือสุด ของแผงควบคุมกลาง ก็จะเห็น เม็ดแค็บซูลที่ว่านี่เช่นกัน
อันนั้น เอาไว้สำหรับ เซ็นเซอร์กะระยะ ที่กันชนหน้า นอกจากจะขึ้นสัญญาณไฟเตือนแล้ว ก็ยังมี
สัญญาณเสียงเตือนระยะห่างอีกด้วย ซึ่ง เสียงที่ระบบสร้างออกมานั้น น่าหงุดหงิด ชวนรำคาญ
ก่อให้เกิดอารมณ์สติแตก ได้พอกันกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่นอื่นๆ ที่ผมเคยทดลองขับมาก่อนหน้า
ก็แน่ละ มันเป็นระบบเดียวกันเลยนี่ครับ ยังดีนะ มีสวิชต์ ปิดการทำงานมาให้ ไม่เช่นนั้น
ผมคงได้แต่ก่นด่า วิศวกรเยอรมัน คนที่เลือกใช้เสียงเตือนแบบนี้ไปอีกตลอดชั่วลูกชั่วหลานแน่ๆ

พวงมาลัยแบบสปอร์ต 3 ก้าน ดีไซน์ใหม่ (แล้วเหรอเนี่ย? ทำไมดูโบราณจัง) มาพร้อมสวิชต์ควบคุม
ระบบเครื่องเสียง ระบบล็อกความเร็วคงที่ Cruise Control และระบบจำกัดความเร็ว ที่ผู้ขับปรับตั้งเองได้
Speedtronic รวมทั้งปุ่มควบคุมการสั่งการด้วยเสียง Linguatronic แค่กดปุ่ม แล้วสั่งเปลี่ยนวิทยุ
ก็จะทำงานได้แม่นยำ มากยิ่งขึ้น อย่างน่าดีใจ ไม่ทำงานผิดพลาดจนอยากตบยัยแหม่มกะปิใน Land Rover เหมือนที่แล้วมา

สวิชต์บนพวงมาลัย สามารถปรับเลื่อนเมนูต่างๆ ที่แสดงอยู่บนหน้าจอ Multi Information ที่คั่นกลาง
ระหว่าง มาตรวัดความเร็ว และมาตรวัดรอบ อย่างนี้ เมนูที่ว่า มีตั้งแต่ มาตรวัดระยะทาง และมาตรวัดแบบ
Trip Meter มีเพียง Trip A ให้ เพียง Trip เดียว มาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทั้งแบบ เฉลี่ย
และแบบ Real-time เป็นหน้าจอ ของการปรับระดับสัญญาณเตือนต่างๆ ไฟหน้า ไฟในห้องโดยสาร
หน้าจอ โทรศัพท์ พร้อมระบบ Bluetooth ในตัว รวมทั้ง หน้าจอของชุดเครื่องเสียง ระบบแจ้งเตือน
ให้นำรถเข้าศูนย์บริการ ASSYST PLUS

ถ้าจะปรับความสว่าง ให้เอามือคลำไปทางมาตรวัด ความเร็ว ฝั่งซ้ายมือ
จะมีปุ่ม บวก ลบ และ R (Reset) อยู่ กดที่ตรงนั้นครับ

และถ้าสังเกตดีๆ ไม่มีมาตรวัดอุณหภูมิเครื่องยนต์มาให้ ซึ่งผมมองว่า ยังไงๆ ควรจะมี และควรอยู่ใน
ตำแหน่งที่อ่านง่ายสักหน่อย ไม่ใช่ว่า จะมีสัญญาณเตือนขึ้นมา เมื่อถึงเวลาที่เครื่องร้อนจี๋เข้าไปแล้ว

แผงควบคุมตรงกลาง ไล่จากบนลงสู่ล่าง

ใต้ช่องแอร์ เป็นช่องวางแก้ว แอบซ่อนในลักษณะลิ้นชัก กดเพื่อเลื่อนออกมา
ดันกลับเข้าไป เพื่อปิดเก็บ เหมาะแค่การวางเครื่องดื่มกระป๋องอะลูมีเนียม

ชุดเครื่องเสียงที่ติดรถมา เป็นแบบ Audio 20 แถม 6 CD/MP3 Changer
ในตัว พร้อมกับวิทยุ AM/FM และช่องเสียบ AUX ที่มีมาให้ จากโรงงาน
ควบคุมการทำงานได้ จากสวิชต์ บนพวงมาลัย และจอแสดงข้อมูล บนชุดมาตรวัด
เสียงที่ออกมา จัดอยู่ในเกณฑ์ห่วย มีเพียงเสียงเบสเท่านั้นที่ยังพอมี มิติบ้าง
แต่น้อย นอกนั้น เสียงกลางสูงเกินไป เสียงแหลมใส หายไปเกลี้ยง
ดูเหมือนจะดีกว่า วิทยุ แบบ Bussiness ของ BMW เพียงแค่เสียงเบสที่
ยังพอฟังได้บ้างว่า นี่คือเครื่องเสียงที่อยู่ในรถหรูชั้นดี แค่นั้นเลย
เครื่องเสียงของ Z4 และ MX-5 ยังไงก็ยังฟังได้ดีกว่า

ดูท่าแล้ว ถ้าคุณเป็นนักฟังเพลงหูทองคำขาว ขอแนะนำให้สั่งซื้อชุดเครื่องเสียง
Original ของ SLK โดย Harmann Kardon (หรือที่ผมชอบเรียกเล่นๆว่า “ฮาร์แมน กระด้ง”)
มาติดตั้งไปเพื่อความสบายใจ ไร้สิ่งระคายหู ราคาไม่แพงเท่าไหร่ครับ แค่ 80,000 กว่าบาท
ขนหน้าแข้งอภิมหาเศรษฐี อย่างคุณผู้อ่าน ร่วงไปแค่ 8 เส้น เท่านั้นเอง!

ถัดลงมาเป็น สวิชต์ เปิดปิดระบบ ควบคุมเสถียรภาพ ESP (Electronic Stability Control)
สวิชต์ ล็อก และปลดล็อก ประตูรถทั้ง 2 ฝั่ง สวิชต์ ไฟฉุกเฉิน และ สวิชต์ เปิด-ปิด ระบบ
เซ็นเซอร์กะระยะเข้าจอด Parktronic

และ เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบ Thermotronic แยกปรับอุณหภูมิได้ทั้งฝั่งซ้าย และ ขวา
เย็นเร็ว ใช้ได้ (แต่ BMW Z4 จะเย็นเร็วกว่ากันนิดเดียว ถ้าใช้มาตรฐานที่ว่า ภายใน 5 นาที
ต้องเย็นฉ่ำทั่วทั้งคัน) แม้ว่า ช่องแอร์ มีเยอะกว่าคู่แข่งทุกคัน ก็ตาม

กล่องเก็บของมีทั้ง บริเวณ ที่วางแขน มีไฟในกล่อง ให้เห็นแสดงสว่างในตอนกลางคืน

แต่ถ้าอยากจะเก็บ CD จริงๆ สอดเอาไว้ในตำแหน่งที่เห็นนี้จะดีกว่า

หลังคา Electro hydraulic VARIO Roof สามารถพับเก็บ หรือยกขึ้นปิดได้ ด้วยสวิชต์ไฟฟ้าที่ติดตั้ง
ฝั่งซ้ายใต้คันเกียร์ (ฝั่งขวา เป็นสวิชต์ สำหรับ ปรับและพับกระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง)
ถ้าจะสั่งให้หลังคาพับเก็บ ก็กดสวิชต์ ลง แต่ถ้าต้องการให้หลังคา ยกขึ้นปิดประทุน
ก็ดันก้านสวิชต์ขึ้นไป

ตัวหลังคา ถูกแยกออกไปทั้งหมด 3 ชิ้น แต่มีชิ้นส่วนเกี่ยวข้อง ที่จะต้องทำงานในขณะที่
หลังคาพับเก็บ หรือกางออก รวม 5 ชิ้น เมื่อ กดสวิชต์ลงมา ฝากระโปรงท้าย จะเปิดอ้าออก
โน้มไปทางด้านหลังรถ 

แผงพลาสติก ด้านบน ที่ปิดทับพื้นที่ด้านหลังเสาค้ำรูปสามเหลี่ยม จะเปิดออก หลังคาทั้ง 3 ชิ้น
จะแยกตัวออกจากการประกบกัน เคลื่อนตัวเข้าไปเก็บซ่อนไว้ในพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง
(อย่าลืมว่า ต้องดึงถาดพลาสติกที่คว่ำตัวอยู่ใต้ฝากระโปรงหลัง ด้านบน กดลงมาให้ตรงล็อกด้วย
ทำแบบเดียวกับ Z4 นั่นละครับ ไม่เช่นนั้น ระบบหลังคาจะไม่พับเก็บให้คุณ

ใน SLK รุ่นใหม่ การเปิด-ปิดหลังคา นั้น ต้องทำในตอนที่รถจอด และเข้าเกียร์ที่ตำแหน่ง P เท่านี้น
เพื่อความปลอดภัย ไม่สามารถพับปิดหลังคา ขณะรถกำลังแล่นได้ และขั้นตอนทั้งหมด แม้ว่า
เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะเคลมว่าได้ 22 วินาที แต่เมื่อเราจับเวลาจริง จะอยู่ที่ 20 วินาที

อย่างไรก็ตาม ในบรรดารถเปิดประทุนกลุ่มนี้ MX-5 ใช้ชิ้นส่วนหลังคา น้อยกว่าใครเพื่อน
และมีการออกแบบที่ แยกสัดส่วน ระหว่างห้องเก็บของ กับพื้นที่เก็บหลังคาชัดเจน แตกต่างจาก
ทั้ง SLK และ Z4 ซึ่งจะต้องแบ่งพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง มาไว้ในการเก็บหลังคาด้วย

อุปกรณ์ที่น่าสนใจ และติดตั้งมาให้คุณในรถรุ่นนี้ด้วย มีตั้งแต่
ถุงลมนิรภัยคู่หน้า และด้านข้าง 2 ตำแหน่ง พร้อมระบบป้องกันบริเวณไหล่ถึงศีรษะ
(Head-thorax sidebags) ทำงานร่วมกับ เข็มขัดนิรภัยผ่อนแรง และดึงรั้งกลับอัตโนมัติ
(Pretensiner & Load Limiter) กระจกมองข้างพับด้วยไฟฟ้า รวมทั้งกระจกมองหลัง
เป็นแบบตัดแสงไฟหน้าของรถคันข้างหลังอัตโนมัติ ทั้งหมด เหมือน เมอร์เซเดส-เบนซ์
ทุกรุ่นที่ผ่านมือผมมา แผ่นรองกันกระแทกใต้ห้องเครื่องยนต์ ฯลฯ อีกมากมาย

เรื่องที่น่าแปลกใจเล็กน้อย ของ SLK ที่เรามักลืมคิดกันไปคือทัศนวิสัยรอบคัน
สมัยก่อน ผมได้แต่เฝ้ามองผู้คนที่นั่งอยู่ใน SLK เวลาพวกเขาขับผ่านไปว่า
ทัศนวิสัยจะมองเห็นได้ดีแน่หรือ?

พอมานั่งในรถคันจริง มันก็ไม่ได้เลวร้ายไปอย่างที่ผมเคยมองไว้ในอดีตนัก
กระจกบังลมหน้า ยังมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน 

แถมการบดบังจากเสาหลังคา คู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา ที่มีต่อรถ คันอื่นๆ
ซึ่งแล่นสวนมาจากโค้งขวา ก็มีอยู่ แต่ไม่มากอย่างที่คิด มีบ้างเหมือนกัน
แต่เป็นธรรมชาติของเสาที่หนาแบบนี้

ถ้าจะมีปัญหาบ้าง ก็คงจะเป็นเพียงแค่ กระจกมองข้าง ที่มีปัญหาคล้ายกับ Mazda 2
คือขอบล่าง นั้น พอปรับระจกให้เห็นด้านข้างรถที่เราขับเพียงนิดเดียว แต่เน้น
มองเห็นรถคันข้างๆ เยอะๆ ปรากฎว่า ขอบล่าง ของกระจกมองข้าง ก็เบียดบัง
พื้นที่การมองเห็น บริเวณมุมด้านล่าง ของกระจกมองข้าง ทั้ง ฝั่งซ้าย และขวาของตัวรถ

แต่จะว่าไป ก็แก้ไขยากแหะ ประเด็นนี้

ที่น่าแปลกใจนิดหน่อยคือ ทัศนวิสัย ของด้านหลังนั้น ปลอดโปร่งกว่าทั้ง MX-5 และ Z4 อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม แนวขอบหังคาด้านบน ก็ยังเปลือยโครงสร้างระบบพับเก็บหลังคา ให้เห็นกันอยู่ดี
แน่ละ จะหาทาง เก็บรายละเอียให้มิดชิด โดยไม่กระทบกับขั้นตอนการพับเก็บหลังคา มันก็ยากโขอยู่
ทุกค่ายเขาก็มองว่า ยากที่จะทำได้ในเวลานี้

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

SLK รุ่น ไมเนอร์เชนจ์ ที่ Mercedes-Benz Thailand สั่งนำเข้าทั้งคันมาจำหน่าย
มีเพียงรุ่นเดียว นั่นคือ SLK 200 Kompressor ซึ่งวางขุมพลังสหกรณ์ ที่คุ้นหน้าค้นตา
กันมาแล้วใน C-Class C200 Kompressor W204 กับ CLC 200 Kompressor

เปิดฝากระโปรงหน้าขึ้นมา ก็ได้แต่บอกว่า Oh! Hi! you again. แล้วก็ตามด้วยหน้าตาแบบนี้ -> (-_-‘)
คือถ้าจะเอารูปของรถทั้ง 2 คันมาแปะในรีวิวนี้แทน ก็คงไม่มีใครว่า แต่คุณผู้อ่าน
อาจจะแอบด่าผมอยู่ในใจ ว่า จิมมี่ ทำไมมึงช่างขี้เกียจได้ถึงเพียงนี้

ก็แหงละ มันเป็นเครื่องยนต์ตัวเดียวกัน บล็อกเดียวกันเปี๊ยบเลยหนะสิ!

เป็นบล็อก  4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว วางตามยาว 1,796 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 82.0 x 85.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 8.5 : 1
พร้อมระบบอัดอากาศแบบ Supercharge
(หรือที่ภาษาเยอรมัน เรียกมันว่า Kompressor นั่นเอง)

กำลังสูงสุด 184 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร หรือ 25.47 กก.-ม.
ที่ รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 2,800 – 5,000 รอบ/นาที

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ยืนยันแล้วนะครับว่า เครื่องยนต์ ตัวนี้
ไม่ว่าจะวางใส่อยู่ในรถรุ่นใด ก็สามารถเติม น้ำมันเบนซิน แก็สโซฮอลล์ E10 ได้
แต่ ค่าออกเทน ต้องเป็นระดับ 95 เท่านั้น ไม่ควรเติม แก็สโซฮออล์ 91 เป็นอย่างยิ่ง
ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จะว่าไป ปกติแล้ว เบนซ์ ทุกรุ่น ก็จะมีคำแนะนำให้เติมแต่
น้ำมันเบนซินออกเทน 95 มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว

ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ พร้อมโหมด บวก-ลบ ลูกเดียวกันกับ
C200 KOMPRESSOR อีกนั่นละ แต่คราวนี้ โหมดบวกลบ ย้ายมาอยู่บน
แป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift หลังพวงมาลัย ซึ่งทำงานได้ ไม่ว่าตำแหน่งเกียร์
จะอยู่ในโหมด D หรือ S รวมทั้งยังมี โหมด M สำหรับการเลือกเปลี่ยนเกียร์เล่นเอง
เต็มตัว และ โหมด C สำหรับการขับขี่แบบทั่วๆไป อัตราทดเกียร์ มีดังนี้

เกียร์ 1………………3.95
เกียร์ 2………………2.42
เกียร์ 3………………1.49
เกียร์ 4………………1.00
เกียร์ 5………………0.83
เกียร์ถอยหลัง R…….3.15
จะแตกต่างกันก็แค่อัตราทดเฟืองท้ายเล็กน้อย คือในรุ่น CLC 200 Kompressor
ทดเฟืองท้าย ที่ 3.07 : 1 แต่ใน SLK จะทดเฟืองท้ายให้หมุนที่ 3.27 : 1

เรายังคงจับเวลา โดยใช้มาตรฐานเดิม คือใช้เวลากลางคืน
เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า และนั่งเพียง 2 คน คนจับเวลาก็ยังคงเป็นคนเดิม
คือ น้องกล้วย BnN แห่ง The Coup Team ของเรานั่นเอง
น้ำหนักตัว 48 กิโลกรัม เมื่อรวมกับผู้ขับ 95 กิโลกรัม ก็อยู่ที่ 143 กิโลกรัม

ผลลัพธ์ที่ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับ คู่แข่ง ในระดับเดียวกัน “ทั้งหมด” มีดังนี้

ต้องไม่ลืมว่า คู่แข่งที่เรานำมาเปรียบเทียบกันนั้น MX-5 ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร
ขณะที่ Z4 เป็นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร และ SLK ถือว่า มีความจุกระบอกสูบ น้อยกว่า
ชาวบ้านเขาทั้งหมด คือ แค่ 1.8 ลิตร แต่ ได้เปรียบกว่า ตรงที่มี ระบบอัดอากาศแบบ
Supercharge เข้ามาช่วย ดังนั้น อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้น ถึงจะทำได้
ด้อยกว่า Z4 แต่ก็ถือว่า สมเหตุสมผลแล้ว ส่วนอัตราเร่งแซง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น
อยู่ในระดับ เดียวกับ MX-5 รุ่นปี 2009-2011 ซึ่งก็ถือว่า ทำตัวเลขออกมาได้ ไม่เลว
ยังไงๆ ในกลุ่มนี้ Z4 ก็ชนะเลิศ แต่ ก็ชนะ ด้วยเหตุ เพราะความจุกระบอกสูบมากกว่า
ใครเพื่อน ส่วน MX-5 นั้น เครื่องยนต์ น่าจะทำตัวเลขออกมาได้ดีกว่านี้ และถ้าจะ
โทษกัน ก็คงหนีไม่พ้นเกียร์อัตโนมัติ นั่นละ แม้ว่า อัตราเร่งแซงจะทำได้ดี
แต่น่าแปลกว่า ทำไมตัวเลข 0-100 กลับออกมายังไม่ดีเท่าที่ควร

ในเมื่อเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังใน SLK เป็นแบบเดียวกันกับ รถ 2 รุ่นก่อนหน้านี้ ที่ผมคุ้นเคย
จึงไม่แปลกใจเลยว่า แรงดึงของรถ ตอนออกตัวพุ่งทะยานไปข้างหน้า รวมทั้งบุคลิกของเครื่องยนต์
ใน SLK 200 Kompressor จึงมีลักษณะไม่แตกต่างกันมากมายกับ ทั้ง C-Class และ CLC
ที่วางเครื่องยนต์เดียวกันนี้ เลย

แต่สิ่งที่ต่างกัน ก็คือ เวลาที่ใช้ในการไต่ขึ้นไปยังความเร็วที่เรากำหนด
มันไวกว่ากันอย่างชัดเจน แม้จะไม่เร็วเท่ากับตัวเลขที่ทาง Mercedes-Benz
เคลมเอาไว้ว่า 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ฝรั่งเขาทำได้ใน 7.9 วินาที แต่ในภาพรวม
ตัวเลขที่ทำได้ ก็ถือว่า ไม่ได้แตกต่างไปจากที่คาดการณ์กันแต่แรก แต่อย่างใด

นอกจากนี้ สิ่งที่ยังเหมือนกันกับทั้งคู่ก็คือ การตอบสนองของคันเร่งไฟฟ้า ที่ยังไม่ว่องไวเพียงพอ
บางที ผมต้องการพละกำลังในจังหวะฉับพลัน บัดนั้น ทันที แต่คันเร่งไฟฟ้าผู้เอาแต่ใจตนเอง
ก็จะ ไม่ตอบสนองเอาดื้อๆ

อารมณ์เหมือนคุณจะพาแฟนสาว ไปกินข้าวเที่ยง แล้วคุณเธอ ปฏิเสธเสียงแข็งว่า จะไม่กิน
ในร้านที่คุณจะพาไป ก่อนจะใช้เวลา 1 วินาที ชั่งใจ แล้วจึงตอบออกมา “อย่างเสียมิได้” ว่า
“เอาละ ฉันไปกินร้านที่เธอบอกก็ได้” แต่ในทันทีที่นั่งถึงโต๊ะ แม่เจ้าประคุณ ก็จะกระหน่ำ
สั่งสารพัดสรรพาอาหาร มากองตรงหน้า ให้คุณ เหงื่อแตกพลั่กๆ ในทันที

เหมือนกันเลย ไม่มีผิด นิสัยคันเร่งของ SLK 200 Kompressor คันนี้ เป็นแบบนั้น

คือทันทีที่เหยีบคันเร่งสั่งลงไป รถก็จะยังดื้อ คล้ายกับจะตอบว่า “กูไม่ไป มึงจะทำไมกู!”
แต่สุดท้าย ก็ เร่งออกไปอยู่ดี และพอเร่งที ก็พาคุณพุ่งไปราวกับไปโกรธเคืองใครเขามาอย่าง
ผู้ดีที่กำลัง “เหวี่ยง” (มาจากคำว่า หัวฟัดหัวเหวี่ยง) นั้นแหละ พร้อมกันกับที่เข็มน้ำมันจะ
ลดระดับลงมา ให้คุณเหงื่อแตกเล่น ได้เช่นกัน คือมีแรงดึงชัดเจน แต่ไม่กระชาก ทว่า โวยวาย
อย่างที่พอจะทำให้ผู้คนที่มองอยู่ข้างนอก รู้ว่า คุณหนะ นอกจากจะรวยไม่ธรรมดาแล้ว
นิสัยยังแรง (เหมือนจะ)ไม่ธรรมดา (แต่ก็เป็นธรรมดาของผู้ดีที่รวยๆทั่วไป) ซะด้วย

เอาใจไม่ถูกจริงๆ คันเร่งไฟฟ้า รถสมัยนี้…
จะว่าไป คันเร่งไฟฟ้า ค่อนข้างแข็ง กว่ารถทั่วไป แข็งแบบรถยุโรปยุคก่อนนั่นละครับ

ส่วนเรื่องการตอบสนองช้า ถ้าสมมติว่าจะจับเวลากันเป็นวินาที กันจริงๆ
ก็น่าจะเกิดขึ้นในระยะเวลา พอกันกับที่คันเร่งของ Volvo S80 Toyota Camry 2.0 Toyota Yaris
และ Vios รุ่นใหม่ ที่ใช้ลิ้นเร่งไฟฟ้าแล้ว กำลังพยายามจะตอบสนองต่อเท้าขวาของผมนั่นละครับ

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ อิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัต 3 จุดยึด
ส่วนด้านหลัง เป็นแบบที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เรียกว่า MB-Multi Link

ช่างสะท้อนเกือบทุกก้อนกรวด จากพื้นผิวถนน ของเมืองไทย ที่ถึงขั้นต้องให้องค์การ NASA
มาออกใบ Certificate แล้วว่า นี่คือ ถนน ไม่ใช่พื้นผิวดวงจันทร์ ได้อย่าง ตรงไปตรงมา และไม่อ้อมค้อมเอาเสียเลย

ถ้าให้ต้องเปรียบเทียบระบบกันสะเทือนของ SLK กับคู่แข่ง แล้ว ชัดเจนเลยว่า ณ ขณะที่ต้นฉบับนี้
ออกสู่สายตาของคุณๆ ทั้ง 3 รุ่น ขับสนุก และติดมาในแนวทางรถสปอร์ตเกือบจะดิบ พอกัน เพียงแต่
ช่วงล่างของ MX-5 MC Minorchange จะให้ความนุ่มนวลขณะขับผ่านลูกระนาดมากกว่า ลดทอนความเหนื่อยล้า
ของผู้ขับขี่ หากต้องใช้รถเปิดประทุนในชีวิตประจำวัน กลางกรุงเทพฯ ได้ดีกว่า

ขณะที่ Z4 ใหม่ จะมีระบบกันสะเทือนแข็งอยู่ในระดับปานกลางขึ้นมา

ส่วน SLK 200 Kompressor นั้น แข็งสุด ใน 3 คันนี้ ยังไม่ต้องนับ SLK 55 AMG
ที่แรงกันแบบ”ผู้ดีอยากดิบ” นั่นเลยนะครับ คันนั้น เฟิร์มกว่านี้ชัดเจน

แต่ ที่ผมเจอมา ออกจะแปลกใจอยู่นิดนึงว่า ระบบกันสะเทือนของ SLK คันนี้ แม้จะกระด้าง แข็งกว่าใครเพื่อน
ในกลุ่มเดียวกัน ทว่า เมื่อขับใช้งานจริง กลับไม่ก่อให้เกิดความเหนื่อยสะสมต่อร่างกายของผม อย่างที่
ช่วงล่างของ MINI Cooper และ Cooper-S เขาเป็น ซึ่ง 2 รุ่นนั้นหนะ ไม่ว่าจะขับไปบนถนนเส้นไหน
ในประเทศไทย ก็สะเทือนเลื่อนลั่นไปถึง ตับ ม้าม ไต หัวใจ และเซี่ยงจี๊ กันเลยทีเดียว!

ส่วนพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง แปรผันตามความเร็วรถนั้น 
ยังคงเป็นบุคลิกในแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ จริงๆ นั่นคือ ถ้าขณะเข้าโค้ง หมุนพวงมาลัย
เลี้ยวไปนิดนึงรถก็จะเลี้ยวไปตามนั้น แต่ถ้าป้อนพวงมาลัยให้เลี้ยวเพิ่มเข้าไปอีกนิด
รถจะเริ่มเลี้ยวเข้าโค้ง มากเกินกว่าที่เราต้องการ นิดหน่อย

ดังนั้น ภาพรวมแล้ว พวงมาลัยของ SLK ไว เซ็ตมาในแนวทางที่รถสปอร์ตทั่วไป มุ่งหน้ากันไป
แต่ขอความแม่นยำ และเฉียบคมในจังหวะเลี้ยวรถ หรือจังหวะเข้าโค้งมากกว่านี้อีกนิด
ขอชนิดที่ว่า หักเลี้ยวไปแค่ไหน รถจะเลี้ยวตามไปเพียงแค่นั้น และในฉับพลัน ด้วยเวลาเท่ากัน

ระบบห้ามล้อ เป็น ดิสก์เบรก 4 ล้อ จานเบรกคู่หน้ามีรูระบายความร้อน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 
288 x 25 มิลลิเมตร ส่วนจานเบรกคู่หลัง มีเส้นผ่าศูนย์กลาง และความหนา 278 x 9 มิลลิเมตร
ทำงาน หน่วงความเร็วลงได้ ค่อนข้างไว น้ำหนักแป้นเบรก เซ็ตมาในสไตล์รถยุโรป ไม่แข็งทื่อเกินไป
และ ไว้ใจได้พอสมควร ในการชะลอความเร็วกระทันหัน มีระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจาย
แรงเบรก EBฺD และ Break Assist เสริมมาให้ ตามธรรมเนียม

เสียงของห้องโดยสารนั้น จะยังคงเงียบดี จนกว่าจะถึงความเร็วระดับ 120-130 กิโลเมตร/ชั่วโมง
หลังจากนั้น จะเริ่มมีเสียงลมไหลผ่านตัวถังให้เข้ามาได้ยินบ้าง ระเรื่อๆ กระนั้น เสียงลมผ่านตัวถัง
ที่ได้ยินในห้องโดยสาร ภาพรวมจะยังอยู่ในระดับ เบาพอกันกับ Z4 ใหม่ และเงียบกว่า MX-5 กับ 350Z คูเป้
และเมื่อเพิ่มความเร็วขึ้นไป จนถึง 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียงก็จะดังมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หลังจากนั้น
เชื่อเถอะว่าคุณจะไม่สนใจว่า เสียงจะดังแค่ไหน เพราะลำพัง การควบคุมรถ ต่อสู้กับกระแสลม
ไม่ให้ SLK ดิ้นไปมา เป๋ซ้าย เป๋ขวา ที่ความเร็วเกิน 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็เครียดพออยู่แล้ว

เพราะที่ความเร็ว 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่าๆกัน SLK จะมีอาการวูบซ้ายขวา ไปตามกระแสลมปะทะ
แบบเดียวกันกับที่จะพบได้ใน…BMW ซีรีส์ 5 รุ่น E60 แทบทุกรุ่น ที่แล่นบนบูรพาวิถี ในวันที่กระแสลม
มีเอื่อยๆพอให้ปะทะผิวบ้าง ณ ความเร็ว 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่ากัน (แต่ E39 และ แม้แต่ E-Class W211
ก็ยังมีอาการน้อยกว่านี้ไปมากโขอยู่นา)

หรือถ้าคนที่ขับรถญี่ปุ่นจะนึกไม่ออกว่าประมาณไหน… เอาอย่างนี้ มันพอกันกับ Toyota Vios
หรือ Honda City ที่แล่นด้วยความเร็ว ระดับ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ในคืนที่กระแสลมนิ่งสนิท
นั่นละครับ!

ตรงนี้ อ่านดีๆนะ ผมหมายความ ตามที่เขียน กรุณาอย่าเข้าใจผิดไปจากที่เขียนนี้เด็ดขาด!
อ่านให้ดีๆ อย่างยิ่งยวดนะครับ!! หมายความ ตามทุกคำที่เขียนนี้ ไม่มีหมายความอื่นใด
เกินไปกว่านี้ทั้งสิ้น

เรื่องนี้ ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะรถรุ่นนี้น้ำหนักเบา และเท่าที่เห็น วิศวกรชาวเยอรมัน ก็พยายามอย่างยิ่งแล้ว
ที่จะ สร้างแรงกด Down Force ให้เกิดขึ้นที่บริเวณด้านหน้ารถ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ต้องใส่
Aero Part อื่นๆ เพิ่มเติมเข้าไป ตัวรถเองก็ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd 0.32

(แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ สปอยเลอร์หน้า ก็คงเริ่มจำเป็นนิดๆเหมือนกันละครับ) 

แถมเรื่องโครงสร้างตัวถัง ให้ได้รับรู้กันสักหน่อยดีกว่า เพราะทั้งหมดที่กล่าวมา ติดตั้งเชื่อมต่อกับโครงสร้างที่เห็นอยู่นี้ทั้งนั้น

ด้วยแนวคิดในการเลือกใช้โลหะ ให้เหมาะสมกับหน้าที่ ของมัน
ตามแนวทาง the right material in the right place ดังนั้น พื้นที่มากกว่า 42%
ของโครงสร้างตัวถังทั้งหมด ใช้เหล็กแบบ High-tensile รวมทั้งอะลูมีเนียม
น้ำหนักเบา ขณะเดียวกัน ก็ยังเลือกใช้ แม็กนีเซียม แบบหล่อขึ้นรูปด้วยแรงดันสูง
ทำชิ้นส่วนตัวถัง บริเวณ ถังน้ำมัน และ ห้องเก็บของด้านหลัง เพื่อช่วยลดน้ำหนัก
ลงไปได้ถึง 50% ขณะที่ บริเวณปากถังน้ำมัน ทำจาก พลาสติกผสมกับ ไฟเบอร์
โดยที่ตัวฝาปิด ช่องเติมน้ำมัน ทำจากพลาสติกล้วนๆ

ขณะเดียวกัน ยังมีการออกแบบโครงสร้างตัวถัง ให้คำนึงถึงความปลอดภัย
ทั้งการออกแบบ คาน Cross member ให้เป็นแบบ twin-shell design คานตามยาว
อีก 2 ท่อน ที่เห็นอยู่ บริเวณห้องเครื่องยนต์ ถูกเชื่อมเข้ากับ คาน Cross members
เพื่อจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงบริเวณ ผนังกั้นห้องเครื่องยนต์ ซึ่งถูกออกแบบให้
มีส่วนโค้ง เพื่อรองรับ แรงปะทะ และยุบตัวได้ ตามระดับความรุนแรง
นอกจากนี้ยังออกแบบ ให้มี ซับเฟรม สีเขียว ใต้คานบริเวณห้องเครื่องยนต์
ทั้งเพื่อรับแรงปะทะ จากการชนด้านหน้า และกระจายแรงปะทะเหล่านั้น
ไปยังส่วนต่างๆของตัวรถ อีกทั้ง ด้านบนของคานล้องรอบห้องเครื่องยนต์
ยังเชื่อมต่อกันกับทั้ง เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar และ คานแนวยาว ทั้ง 2 อีกด้วย
เพื่อช่วยเพิ่มการดูดซับแรงปะทะ และส่งต่อแรงปะทะเหล่านั้นให้ดีขึ้น
โดยเฉพาะ เมื่อเกิดการชนแบบไม่เต็มพื้นที่ด้านหน้า

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ใช้เหล็กแบบ High-tensile ดัดให้เป็นแบบ Oval-shape
ทั้งเพื่อความแข็งแรง และเพิ่มทัศนวิสัยการมองเห็น ให้ดีกว่ารถรุ่นก่อนประมาณ 12%
คานตามยาว ติดตั้งไว้ทั้งด้านบนสุดของบานประตู และเสริมในบานประตู ส่วนใน
อุโมงเกียร์ จุดยึดทั้ง 2 ถูกเชื่อมต่อกับ คานตามยาวที่ถูกขยายขนาดออกไปเป็นพิเศษ
และ คาน Corss member ใต้เบาะนั่งทั้ง 2 ฝั่ง เสริมความแข็งแกร่งให้โครงสร้างบริเวณ
ห้องโดยสาร พร้อมกันนี้ ยังเสริมความแข็งแกร่งให้เสากลาง B-Pillar เพื่อลดผลกระทบ
จากการชนด้านข้าง ส่วนการพ่นสี ก็ยังใช้ การเคลือยชั้น Clearcoat ด้วย Nano Technology

ทั้งหมดนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่า เวลาที่รถของคุณ จำต้องพาคุณ
และคนที่คุณรัก เผชิญหน้ากับเสี้ยววินาที ที่รถจะต้องตีลังกา หงายท้องแบบนี้
คุณทั้งคู่ จะยังปลอดภัยอยู่ ถ้าคาดเข็มขัดนิรภัย…แน่นอน SLK ผ่านมาตรฐาน
การชน ของต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป กันมาเป็นอย่างดี เหมือนเช่น
รถสปอร์ตเปิดประทุน รุ่นอื่นๆ ที่ออกสู่ตลาดตามหลังจาก ปี 2004 ที่ SLK รุ่นนี้
เริ่มทำตลาด 

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง **********

ทันทีที่รับรถลงมาจากตึกรัจนากร เราก็ค่อยๆขับฝ่าสภาพการจราจร
ออกมาทางถนนนราธิวาสราชนครินทร์ มาออกเส้นสุรวงศ์
เข้าพระราม 4 แล้วไปเลี้ยวขวากันอีกที ที่แยกัวลำโพง ขึ้นทางด่วน ไปลง ดินแดง
ลัดเลาะไปออก ถนนพหลโยธิน มุ่งหน้าไปยังปั้มน้ำมัน เชลล์ ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS
ปากซอยอารีย์ เจ้าเก่า ขาประจำ เพื่อเริ่มการทดลองจับอัตราสิ้นเปลืองเชื้่อเพลิงเฉลี่ย
ตามปกติ ที่เราทำกันมา

เติมน้ำมันเบนซิน วี-เพาเวอร์ 95 เข้าไปเต็มถังน้ำมันที่มีความจุมากถึง 70 ลิตร
เยอะจนเราแอบคิดในใจว่า สงสัย วิศวกรที่ชตุทท์การ์ท เขาคงรู้มาว่า เครื่องของเขา
มีแนวโน้มจะกินจุกว่าชาวบ้านหรือเปล่าวหว่า เลยใส่ถังน้ำมันใบใหญ่เท่า
Isuzu D-Max มาให้ แบบนี้ ถ้าขับ 100-110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปเรื่อยๆ
อาจจะไปถึงเชียงใหม่ได้ โดยไม่ต้องเติมน้่ำมันเหมือนกันหรือเปล่าว่า คิกๆๆ

เติมน้ำมัน จนหัวจ่ายตัด เซ็ต 0 บน Trip Meter (กด R ที่ด้านข้างกรอบวงกลม
ชุดมาตรวัดฝั่งซ้าย ทิ้งไว้ 3 วินาที และโดยปกติแล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่ค่อยทำ
Trip Meter แยกออกมาเป็น Trip A และ Trip B คือทำออกมาแค่ Trip A อย่างเดียว)

จากนั้น ใช้มาตรฐานเดิม ออกเดินทางกัน 2 คน เปิดแอร์ มุ่งหน้าขึ้นทางด่วนพระราม 6
แล่นยาวไปจนสุดปลายทางด่วนอุดรรัธยา หรือเส้นเชียงราก นั่นละครับ ไปถึงปลายทาง
ก็เลี้ยวกลับ มาขึ้นทางด่วนกันใหม่ มุ่งหน้ามาลงทางด่วนที่ อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

ทั้งหมดนี้ เราใช้ความเร็วระดับ 110 กิโลเมตร /ชั่วโมง เปิด Cruise Control เอาไว้
ควบคุมที่ก้านของระบบ ฝั่งซ้ายมือ ของคอพวงมาลัย เหมือนเมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่นอื่นๆ
ดึงเข้าหาตัว คือเปิดระบบ ยกก้านขึ้น เพิ่มความเร็ว กดก้านลง ลดความเร็ว เพิ่มหรือลดลงได้
ทั้งทีละ 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือดันก้าน ขึ้น หรือ ลง อย่างใดอย่างหนึ่ง จนสุด เพื่อเพิ่ม
หรือลด ความเร็ว ลง ทีละ 10 กิโลเมตร / ชั่วโมง ตัวผมเอง ไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่ แต่พอใช้ไป
บ่อยๆเข้า ก็จะเริ่มจำวิธีการใช้งานระบบ Cruise Control อันแปลกกว่าชาวบ้านเขาเช่นนี้ ได้

เรามาลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้าย เข้าถนนพหลโยธิน มุ่งหน้าตรงกลับมา
เติมน้ำมันที่ปั้มเชลล์ แห่งเดิม น้ำมันเบนซิน 95 วี เพาเวอร์ เหมือนเดิม และแน่นอน ต้องที่หัวจ่ายเดิม
เหมือนตอนเริ่มต้น

มาดูตัวเลขกันดีกว่าครับ
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมดจากมาตรวัด 91.9 กิโลเมตร

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 8.30 ลิตร (8.71 ลิตร)

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 11.07 กิโลเมตร/ลิตร หรือ 10.05 กิโลเมตร/ลิตร

สังเกตความแปลกไปจากปกติไหมครับ?
ทำไมคราวนี้ มีตัวเลข ออกมา 2 ค่า?

ผลการทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงคราวนี้ เราคงต้องใส่ให้ดู กัน 2 ตัวเลข ที่เกิดจากการทดลองเพียงครั้งเดียว

ถ้าจะโทษ ต้องโทษนายโจ เด็กปั้ม ของ ปั้มเชลล์ แห่งนี้ นั่นเอง ออกชื่อกันเอาไว้ตรงนี้เลย
จะได้ตำหนิไม่ผิดคน คนอื่นจะได้ไม่ต้องโดนไปพร้อมกัน ด้วยความที่เป็นเด็กใหม่ ก็เลย
อาจจะยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ไม่รู้เลยว่า ปกติแล้ว ผมเติมน้ำมันปั้มนี้มาตลอด หากเป็นรถคันไหน
ที่ผมบอกว่า ขอแรงช่วยเติมช่วยเขย่า อัดกรอกน้ำมันเข้าถังให้เต็ม ก็ทำตามนั้น แต่ถ้าคันไหน
สั่งให้เติมแค่หัวจ่ายตัดก็พอ ก็ต้องจบทันทีที่หัวจ่ายตัดเลย ห้ามเติมต่อ

นายโจ ยังเด็กอยู่ และดูท่าทางเดียงสาต่อโลกมาก จนไม่รู้ว่า การที่ตนเองเผลอทำตามความเคยชิน
กดหัวจ่ายน้ำมันให้ไหลเพิ่มเข้าไปอีก  0.5 ลิตร มันจะทำให้ตัวเลขเพี้ยนไปไกล ถึง 0.5 กิโลเมตร/ลิตร!!

ทั้งที่อุตส่าห์ บอกแล้ว ย้ำหนักย้ำหนา ย้ำจนหัวตะปุจะทะลุไปอีกฝากหนึ่งของท่อนไม้แล้ว
ก็ยังไม่ใส่ใจจะจำ ทำงานแบบนี้ แย่มากๆ

ก็ช่วยไม่ได้ ที่จะต้องเจอ ผมวีนด่า วี๊ดบึ้ม ซะดังลั่นสนั่นปั้ม เข้าไปทีนึง
เพราะว่า ถ้าตัวเลขมันอาจจะเพี้ยนแบบนี้ ผมอาจต้องเสียเวลาทำการทดลองใหม่
เสียค่าทางด่วนใหม่อีก 200 บาท และต้องเสียเวลาเติมน้ำมันอีก 1 รอบ ค่าน้ำมันอีก 500-600 บาท
และต้องเสียเวลาอีก 1 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยไม่จำเป็น เพียงเพราะความมักง่าย
สะเพร่า ไม่ใส่ใจในสิ่งที่ลูกค้าบอกแบบนี้

โชคดี ที่กล้วย หันมามองแว่บ ทันที ตอนหัวจ่ายตัด เลยจำได้ว่า ตัวเลขน้ำมันที่ไหลเข้าไปในถัง
ของเจ้า SLK มันถูกหัวจ่าย ตัดเอาที่ระดับ 8.30 ลิตร เลยไม่ต้องทำการทดลองซ้ำใหม่อีกรอบ
ให้เสียเวลาทำมาหากิน

สมัยก่อน เจ้ากล้วยเอง ก็ไม่เข้าใจ เคยตำหนิผมด้วยซ้ำว่า ทำไมต้องไปด่าเขา
พูดจากับเด็กปั้มดีๆ ก็ได้ เขาก็คนเหมือนกัน ย่อมพูดรู้เรื่อง….

จนในที่สุด พอวันนี้ กล้วยได้มาเจอกับตัวเองแล้วว่า
บางครั้ง การพูดกับใครก็ตาม ที่เราคิดว่า จะรู้เรื่องแล้ว คนรับสารอาจจะไม่รู้เรื่องก็เป็นไปได้
ดังนั้น ต่อให้ย้ำกันดีๆ พูดกันชัดๆ พูดกันดีๆ ไม่ขึ้นเสียง ไม่ใส่อารมณ์ ให้เกียรติเด็กปั้ม
เท่าเทียบกันกับเรา เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผมทำมาโดยตลอด แต่ถ้าต้องพูดกับคนรับสาร
ที่ไร้ซึ่งประสิทธิภาพการรับสาร สมองช้า เฉื่อยชา และเฉื่อยแฉะเป็นสันดาน
พูดดีๆ ยังไง ก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี และเมื่อทำผิดพลาดขึ้นมา ก็จะยังคงผิดพลาดซ้ำๆ อยู่ร่ำไป
และไม่รู้สึกสำนึกตน จนต้องปรับแก้ไขตนเองให้ถูกต้องเสียที

กล้วยก็เริ่มเข้าใจ และพูดกับผมเองว่า

“เอาละ ต่อไปนี้ถ้าพี่จิมจะด่า ก็ด่าไปเถอะ กล้วยไม่ห้ามละ เพราะกล้วยเข้าใจละว่าทำไม บางที ต้องด่า”

(กว่ากล้วยจะเข้าใจ ผมก็โดน เจ้ากล้วย ด่าซะหูชา ไปหลายครั้งแล้ว ในเรื่องนี้)

เอาละ กลับเข้าเรื่องดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขกับคู่แข่ง ในตลาดกลุ่มเดียวกัน 
ก็พบเลยว่า SLK หนะ กินกว่าบ้านเขาอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ได้ เมื่อเทียบกับ 
เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่นอื่นๆ ที่ใช้เครื่องยนต์เดียวกันนี้ ถือว่าค่อนข้างเสมอเหมือนใกล้เคียงกัน
คงเส้นคงวาใช้ได้ ดังนั้ ผลที่ได้ ก็น่าจะถือว่า ใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุดแล้ว
และงานนี้ ยังไงๆ ต้องถือว่า MX-5 ประหยัดที่สุดในกลุ่มนี้

แต่ถ้าอยากรู้ว่า น้ำมัน 1 ถัง จะพา SLK 200 Kompressor แล่นไปได้ไกลแค่ไหน?
รูปข้างล่างนี้ คือคำตอบครับ โปรดดูระยะทางที่แล่นไป บน Trip Meter ด้านล่าง
และ เข็มน้ำมันที่บอกถึงปริมาณน้ำมันในถังที่เหลืออยู่

หลังจากเติมน้ำมันไปแล้ว เราแล่นทดลองจับเวา อัตราเร่ง ต่างๆ จนเสร็จ
ขับบนถนนบางนา-ตราด เช้าวันต่อมา ขับขึ้นทางด่วน เข้าสยามสแควร์
ทำธุระนิดหน่อย แล้วมุ่งหน้าขึ้นทางด่วน กลับไปบางนา-ตราด
ไปล้างรถ แล้วนำรถไปถ่ายรูป แถวๆ ABAC บางนา วิ่งวนเวียน
แถวๆ ศรีนครินทร์ บางนา นั่นละครับ เที่ยงวันศุกร์ที่ 11 นำรถไปคืน
ก็ขึ้นทางด่วน ลงที่สาทร ขับเข้าตึกรัจนากร นั่นคือ 414 กิโลเมตร ที่เราใช้ไปทั้งหมด

โชคดีที่ถังน้ำมัน มีความจุถึง 70 ลิตร ครับ ไม่เช่นนั้น ผมคงเติมน้ำมันมากกว่านี้แน่ๆ
เพราะฉะนั้น เอาเข้าจริง ดูเหมือนว่า  ทุกอย่าง ดูสมเหตุสมผลกันดี และคิดว่า
น้ำมัน 1 ถัง น่าจะแล่นได้ประมาณ 470 กิโลเมตร ถ้าแล่นทางไกลเป็นหลัก

********** สรุป **********
ถ้ายังวัยรุ่น รวยพอ เอาแต่ใจ และไม่อยากให้ใคร บนถนน มายุ่งกับคุณ ก็ต้องคันนี้…

บุคลิกของรถหลายๆคันที่ผมเจอมานั้น บางคัน ช่างต่างจากเส้นสายภายนอก ราวฟ้ากับดิน
แต่รถบางคัน เห็นแค่เส้นสาย ก็เดาต่อได้เลยว่า การขับขี่ ก็มาในแนวเดียวกับรูปลักษณ์ตัวถังนั่นแหละ

SLK 200 Kompressor เป็นรถแบบหลัง เพียงแต่ว่า จะมีบุคลิกที่แตกต่างออกไปจากคู่แข่ง
ทั้ง 2 ในตลาด ด้วยเส้นสายที่โฉบเฉี่ยว และโดนใจกลุ่มคนที่หลงไหลในตราดาวสามแฉก
แต่ยังวัยรุ่นอยู่ ซึ่งก็มีทั้งกลุ่มที่เก็บเงินซื้อเอง ทำงานเก่ง ใช้เงินเก่ง กับกลุ่มที่ มีฐานะร่ำรวย
คาบช้อนเงินช้อนทองมาบังเกิดตั้งแต่อ้อนแต่ออก และต้องการบอกกับผู้คนภายนอกที่พบเห็น
พวกเขาเหล่านั้น ในรถรุ่นนี้ ว่า “อย่ามายุ่งกับกู!”

ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ที่ออกจะ “แรง” ขนาดนี้ คนที่อาจจะยุ่งกับคุณได้
ก็คงมีแต่ ตำรวจตงฉิน ที่ปฏิบัติตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด
ประจำด่านตรวจวัดแอลกอฮลล์ ณ มุมใดมุมหนึ่งของ กรุงเทพฯ

หรือไม่ก็ อริเก่า ที่คุณไปก่อกรรมทำเข็ญเขาเอาไว้ถึงขั้นแสบสันต์ถึงเส้นโลหิต

เพราะนอกเหนือจากนั้น รถคันนี้ ดูเหมือนจะบ่งบอกสถานภาพของคุณ
ต่อสายตาของคนที่ยืนรอรถเมล์ ด้วยสายตา 2 แบบ คือ ไม่อิจฉา ไปเลย
ก็จะไม่มองไปเลย เพราะพวกเขาไม่อยากจะยุ่งกับคุณ

แต่ยิ่งเมื่อได้ลองขับ ผมพบว่า บุคลิกของรถคันนี้ มีความคล่องแคล่วพอประมาณ
สมอย่างที่รถสปอร์ตเปิดประทุนขนาดเล็กทั่วไปควรเป็น แต่ยังติดนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง
เป็นที่ตั้งอยู่หน่อยๆ คันเร่งไฟฟ้าตอบสนองช้าไปนิด พวงมาลัยยังไม่ถึงกับเฉียบคมนัก
เครื่องยนต์ แรงสมตัว แต่กินน้ำมันกว่าเพื่อนฝูงในกลุ่มเหมือนกัน ส่วนช่วงล่าง
แข็งกระด้าง เอาใจคนชอบขับรถสนุกๆ แต่ก็ไม่แข็งเกินเหตุ จนสะเทือนตับ ม้าม ไต
หัวใจ และเซี่ยงจี๊ เหมือนอย่าง MINI รุ่นใหม่ๆ เหล่านั้นแน่ๆ ยังใช้ชีวิตอยู่ด้วย
ได้อย่างสบายๆ เติมแก็สโซฮออล์ หวังประหยัดเงินบ้าง ก็ได้อีก (แต่ต้อง ออกเทน 95 นะ)

แน่นอน มันเป็นรถสปอร์ต เปิดประทุน รุ่นยอดนิยม ที่คนซื้อไม่ต้องไปกังวลหรอก
เรื่องราคาขายต่อ ที่น่ากังวลกว่านั้น อาจจะมีแค่ว่า การบิดตัวลั่นกร๊อบแกร็บ ของชุดหลังคาแข็ง
เมื่อผ่านการใช้งานไปได้ 2-3 ปี ยิ่งถ้าเป็นคนขับรถมุทะลุ ไม่ค่อยบันยะบันยังแล้วละก็
มันจะดังส่งเสียงเหมือนจิ้งจกสองตัวกำลังปล้นสวาทกันให้รำคาญจิตเป็นยิ่งนัก นอกนั้น
อะไหล่เครื่องยนต์ต่างๆ ก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะใช้ร่วมกันกับรถเบนซ์เวอร์ชันไทย
หลายๆรุ่นได้อยู่แล้ว ก็แน่ละ เป็นเครื่องยนต์สหกรณ์ ใช้ร่วมกันได้ทั่วโลกอยู่แล้วนี่นา

รถแบบนี้แหละ ที่เหมาะแล้วกับ ทั้งคุณอั้ม พัชราภา และ พอลลา เทเลอร์
เพราะทั้งคู่ มีความมั่นใจในตัวเอง เป็นผู้หญิงเก่ง ทำงานหนัก รักเพื่อนฝูง
อย่างเต็มเปี่ยม และที่สำคัญคือ ไม่แคร์ใคร ที่ไม่รู้จักกัน เอาเสียเลย

ตรงกับบุคลิกของรถคันนี้เป๊ะ…..

แต่สำหรับคุณแอน ทองประสม นั้น รถคันนี้ จะเหมาะกับคุณแอน
แค่ในบทบาทการแสดงของตัวละคร เรื่องล่าสุด ของช่อง 3
ที่เล่นคู่กับ คุณเคน ธีรเดชเท่านั้น ในชีวิตจริง ผมว่า ไม่เหมาะเท่าไหร่
อย่างคุณแอน ดูเหมือนว่าควรจะมีสารถีขับรถไปให้นั่งมากกว่าจะขับเอง

แต่ ก็แค่ความเห็นของผมละครับ ไม่อาจไปตัดสินใครได้
และเอาเข้าจริง ก็ไม่ควรตัดสิน ใครจากภายนอกนักหรอก
ควรจะมองให้ถึงแก่นแท้และตัวตนของเขา

ทว่า ในเมื่อ จะต้องเปรียบเทียบรถขึ้นมา ก็เลยจะต้องเขียน
ในสิ่งที่ตัวเองนึกถึงกันอย่างนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเอาค่าตัว 4,500,000 บาท เป๊ะ มานั่งคิดประกอบไปด้วยแล้ว…
ถ้าจะถามผมว่า ผมอยากจะเลือกคันไหน

นั่นเท่ากับว่า คุณกำลังจะถามผมเลยนะว่า ถ้าเลือกได้ ผมจะคบใครดี?
ระหว่าง แอน ทองประสม อั้ม พัชราภา หรือ พอลลา เทเลอร์  ที่ขับ SLK
ตีตั๋วไปดู วาฬน้อย หรรษา แถวๆ สยามโอเชียนเวิล์ด อย่าง Z4 ใหม่
หรือว่า กลับไปกิน เนื้อย่างโกเบ สุดอร่อย…อย่าง MX-5 ตามเดิม….

คำตอบจากผมก็คือ ถ้าผมมีเงินพอ ผมจะเลือก Z4 หรือ ไม่ก็ MX-5

เหตุผล?

SLK หนะ ผมจะตัดไปก่อน เพราะการเลือกรถคันนี้ มันไม่ต่างกับการที่
คุณจะต้องใช้ชีวิตไปกับ ดาราสาวเจ้าบทบาทคนหนึ่ง ใครก็ตามแต่ ใน 3 คนนี้
ไปออกงาน ปาร์ตี ที่มีแต่เพื่อนสาว และ พวกหนุ่มไฮโซทั้งหลาย
ผมรู้สึกไม่คุ้นเคย วางตัวไม่ค่อยจะถูก แต่ก็พอไหลลื่น กล้อมแกล้มไปได้บ้าง
บางที ผมต้องทนความเอาแต่ใจของเธอคนนี้อยู่บ้าง แม้จะพอพูดคุยกันได้
แต่ให้ใช้ชีวิตประจำวันด้วยกัน เห็นทีข้าน้อยขอลา…ไม่ใช่พวกเขานิสัยไม่ดี
เพราะทั้ง 3 คน ทราบมาว่า นิสัยใจคอ ค่อนข้างดีมาก

เพียงแต่ ชีวิตส่วนตัวของผม ไม่ชอบให้ใครมายุ่ง และผมอยากให้คนที่อยากจะคุยกับผม
เดินเข้ามาคุยกับผม ที่ผมเป็นผม ไม่ใช่เพราะสาวที่ผมเดินด้วย หรือคนที่ผมควง เด็ดขาด!
(พูดเหมือนตัวเองนี่ หล่อเลือกได้เลยเนาะ ไอ้อ้วนจิมมี่เอ้ยยย)

Z4 แม้จะดูไฮโซกว่าเดิม แต่ผมก็ยังเข้าถึงจิตวิญญาณของมันได้ง่าย
พูดคุยกันได้ แม้จะดูไฮโซ แต่ก็แต่งตัวเป็น ใช้ชีวิตเป็น มีรสนิยมที่ดี
ควงไปไหนได้ ไม่อายใคร อีกทั้งยัง มีความตรงไปตรงมา อารมณ์ร้อนเล็กๆ
แต่ไม่เอาแต่ใจอย่างไร้สาระ ไม่งี่เง่า ไม่ขี้งอน และพอผมลงจาก SLK ปุ๊บ
ผมเริ่มรู้สึกตัวว่า ไม่ควรเรียก Z4 ว่าเป็นวาฬน้อย เหมือนที่เคยเรียก
แต่ผมควรเรียกมันเสียใหม่ว่า เป็นโลมาน้อยใส่สูททักซิโด้

MX-5 ก็เหมือนกับการที่คุณได้พูดคุยกับชายวัยกลางคน ราวๆ 40 ปี
ที่ผ่านโลกมาพอสมควร มีประสบการณ์มากมาย เป็นคนตรงไปตรงมา
แต่แอบมีมุข เรียกเสียงฮาเล็กๆ ได้บ้าง ขี้เล่น และบางครั้ง ก็กวนตีนหน่อยๆ
แต่ มันเป็น คู่หู ของคุณได้ง่ายกว่า ในราคาที่ถูกกว่ากันตั้งครึ่งหนึ่ง
แถมยังมีสมรรถนะ ใกล้เคียงกับรถในราคา 4 ล้านกว่าบาท ที่เหลือ
อีกทั้ง มันยังเป็นรถที่ เรียกรอยยิ้ม เรียกเพื่อน ให้มาพูดคุยกับคุณได้

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับว่า SLK รุ่นนี้ ก็มีคุณงามความดี
มากพอที่จะทำให้ผม คิด และมอง รถคันนี้ได้ว่า

นี่แหละ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่เหมาะสำหรับ ไฮโซ หนุ่มสาว อย่างแท้จริง
เพียงแต่ว่า มันไม่ใช่รถที่เหมาะกับผมเท่าไหร่นัก เป็นการส่วนตัว
(ก็ผมไม่ใช่ ไฮโซ นี่ครับ)

ถึงตรงนี้ ผมชักอยากจะเห็น SLK เจเนอเรชันที่ 3 ตัวเป็นๆ
ที่มีกำหนดจะคลอดในอีก 1-2 ปี ไม่เกินนี้ บนถนนเมืองไทย
เร็วๆยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลเดียวคือ..

อยากรู้ว่า รถรุ่นใหม่ จะคุยกับผม ให้รู้เรื่องขึ้นกว่าเดิมได้หรือเปล่าหนอ?
——————————————–///————————————————-


ขอขอบคุณ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Mercedes-Benz (Thailand) จำกัด

เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

————————————————————-

บทความทดลองขับ รถยนต์ ในกลุ่ม รถเปิดประทุน ระดับราคา 2 ล้าน – 5 ล้านบาท

ทดลองขับ BMW Z4 sDrive23i ใหม่

ทดลองขับ Mazda MX-5 NC Minorchange

ทดลองขับ BMW 3 Series Coupe & Convertible

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน ลิขวิทธิ์ภาพถ่ายต่างประเทศ ของ Daimler AG.
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ในเมืองไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
21 ธันวาคม 2009

Copyright (c) 2009 Text and Pictures (Some of Pictures from Daimler AG.)
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
December 21th,2009 

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่