“J!MMY ได้ลองขับ MINI Coupe ตัวใหม่หรือยัง?”
“ยังเลยอ่ะ เป็นไงบ้างๆๆ”
“เฮ้ย! รถมันดีขึ้นกว่าเดิมชัดเจนเลยนะ……(ฯลฯ…ฯลฯ)……ไปลองดูซะ”

โก้ เพื่อนร่วมวงการ ผู้ทำรายการโทรทัศน์ และกองบรรณาธิการ ประจำ โต๊ะ มอเตอริ่ง ให้กับกลุ่มสิ่งพิมพ์
ในเครือ ผู้จัดการ / Manager / ASTV บอกกับผม ในงานแถลงข่าวประจำต้นปีของ BMW Thailand
ที่จัดขึ้น เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

บทสนทนานี้ ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า…..นี่เราไม่ได้ขับ MINI กันมานานแค่ไหนแล้วหว่า?

ครั้งสุดท้ายที่ได้ขับ MINI ก็คือรุ่นเปิดประทุน เมื่อราวๆ เดือนมกราคม 2010 ….นั่นมันก็ 2 ปีกว่ามาแล้ว
และในช่วงหลังจากนั้นประมาณ ไม่กี่เดือน MINI เพิ่งจะมีการปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่กันไป หมาดๆ
ยกตระกูลกันเลยทีเดียว

ว่าจะทำรีวิว แต่ในจังหวะนั้นเอง MINI ก็ยกทัพขุมพลังรุ่นใหม่ เข้ามาขายในบ้านเรา ทำให้ Full Review
ของรุ่นเปิดประทุน ที่เตรียมการไว้ มีอันต้องพับเก็บไปอย่างน่าเสียดาย

วันเวลาผ่านไป BMW Thailand ก็ส่ง MINI รุ่นใหม่ๆ เข้ามาขายมากขึ้นเรื่อยๆ ปริมาณ MINISTER บน
ถนนในบ้านเรา ก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็เพิ่งมีการจัดงานฉลองครบรอบ 10 ปี
ของ MINI ในประเทศไทย ไปหมาดๆ ที่ลานคอนเทนเนอร์ ในซอย ลาซาล ย่านบางนา ไม่ใกล้ไม่ไกล
จากนิวสถานของผมไปเท่าใดนัก

ผมก็เริ่มนึกขึ้นได้ว่า นี่คงจะเป็นเวลาที่เราควรจะลองนำ MINI กลับมาทำรีวิวกันอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะ
รถรุ่นที่หลายๆคน เห็นภาพถ่ายกันแล้วน้ำลายหยดสามสี่แหมะ อย่างเช่น MINI Cooper-S Coupe

ประจวบเหมาะกับ อีเมล์จาก พี่ไหม PR แม่ลูกสอง แห่ง BMW Thailand ถามไถ่มาบอกว่า เจ้า Cooper S
Coupe คันสีแดง ยังว่างอยู่ สนใจจะเอามาขับ ทำรีวิวไหม?

ผมก็เลยต้องหอบร่างกาย ฝ่าการจราจรที่ติดขัดเป็นอัมพาตบนทางด่วน รวมกับอาการอัมพฤกษ์ บนถนน
สุขุมวิท ด้วยมอเตอร์ไซค์รับจ้าง บึ่งมาลงยังตึก BRISTON ซอยต้นสน เพื่อมารับรถคันสีแดง มาใช้ชีวิต
อยู่ด้วยกันตลอด 5 วัน 4 คืน

ทันทีที่รับรถมา ผมก็ขับไปตามถนน พระราม 1 นั่นละ เลี้ยวขวาเข้าถนนอุรุพงษ์ ทันใดนั้น มี MINI
Cooper S สีแดง คาดสติ๊กเกอร์ ลายไม่เหมือนใคร พุ่งมาจากทางด้านหลัง แล้วเลี้ยวขวา ผ่าหน้าผมไป
พอผมขับแซงขึ้นไป เบาๆ MINI คันนั้น ก็ขับตามผมอย่างสงบเสงี่ยม จนรู้สึกผิดปกติ

จนมีจังหวะจอดรอสัญญาณไฟแดงนั่นแหละ MINI คันนั้น ขับมาขนาบข้าง และเปิดกระจกหน้าต่าง
ลงมาทักทาย ถามไถ่กัน ราวกับรู้จักกันมานาน….

มิใช่ใครอื่นไกล คุณผู้อ่านของเรากับแฟนสาวของเขานั่นเอง!!!!

คุยกันสั้นๆ เจ้าตัวทิ้งท้ายว่า “แล้วผมจะรออ่านรีวิวตัวนี้นะครับพี่”

ปิดกระจกหน้าต่าง ออกรถ ขับไปเรื่อยๆ กลับมาคิดดูอีกที เอาน่า คงจะมีหลายคนรออ่านอยู่บ้างแหละ…

งั้นเราก็เริ่มลงมือตะลุยเขียนรีวิวของรถรุ่นนี้กันเลยดีกว่า! รถบ้าอะไรไม่รู้ ชื่อเรียกยากชะมัด ตกลงว่า
จะ Cooper S Coupe หรือ Coupe Cooper S กันแน่ละเนี่ย! ไม่รู้ละ ขอเรียก Cooper S Coupe ตาม
ดเอกสารข่าว Press Released ของ BMW เยอรมัน เลยก็แล้วกันวะ!

จริงๆแล้ว MINI ตัวถัง Coupe 2 ที่นั่ง ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เพราะเป็นแนวคิดที่ฝรั่งมังค่าหลายๆคน
เขาคิดเอาไว้ตั้งนานแล้ว ด้วยศักยภาพของ MINI ที่สามารถนำไปปรับปรุงสมรรถนะ จนลงแข่งขันใน
รายการแข่งรถ แรลลีสำคัญๆ ระดับโลก และคว้าชัยชนะมาได้อย่างเหลือเชื่อ มาตั้งแต่ยุคที่ John Cooper
ยังนำ MINI ไปคว้าอันดับ 1 รายการแข่งขัน Monte Carlo Grand prix อันโด่งดัง

เมื่อเวลาผ่านไป BMW เข้าซื้อกิจการของ Rover Group (เปลี่ยนชื่อมาจากกลุ่ม British Leyland ไปๆมาๆ
จนเป็น Austin Rover และกลายมาเป็น Rover Group ในที่สุด) เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 1994 MINI ซึ่งอยู่ใน
กิจการของ Rover ด้วย ก็ตกเป็นของ BMW Group นับแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็พยายามเปลี่ยนแปลง
MINI ไปสู่ทิศทางใหม่ อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

พอ MINI ตัวถัง Hatchback ประสบความสำเร็จ ต่อเนื่องมาถึง เจเนอเรชันที่ 2 (R56) BMW ก็เริ่มมองหา
ช่องทางจะขยายสายพันธุ์ ออกลูกออกหลานให้ตระกูล MINI ภายใต้โครงสร้างงานวิศวกรรมร่วมกัน ทั้ง
พื้นตัวถัง หรือแพล็ตฟอร์ม เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ระบบกันสะเทือน ฯลฯ แต่ต้องมีรูปลักษณ์ หน้าตา
และการใช้งานที่แตกต่างกันไป

นอกเหนือจากการพัฒนา MINI ตัวถัง เปิดประทุน ทั้งแบบ 4 ที่นั่ง หรือแบบ 2 ที่นั่ง Roadster รวมทั้งรุ่น
SUV อย่าง Countryman แล้ว อีกตัวถังหนึ่งที่ BMW อยากทำขายมากที่สุดคือ coupe 2 ประตู แต่ต้อง
มีแค่ 2 ที่นั่ง เพราะถ้าเป็น 4 หรือ 5 ที่นั่ง ก็จะไปซ้อนทับไลน์กับ MINI Hatchback รุ่นดั้งเดิมโดยไม่จำเป็น

หลังจากซุ่มพัฒนาอยู่นาน จนเวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ BMW Group จึงตัดสินใจเผยโฉม เวอร์ชันต้นแบบ
ในชื่อ MINI Concept Coupe ออกสู่สายตาชาวโลกครั้งแรก เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2009 ซึ่งเป็นวันเดียวกับ
การฉลองครบรอบ 50 ปีของ MINI ที่เปิดตัวสู่ตลาดครั้งแรก เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 1959 ก่อนจะนำไปจัด
แสดงครั้งแรกในโลก ณ งาน Frankfurt Motor Show ช่วงวันที่ 17 – 27 กันยายน 2009

ตัวถังยาว 3,714 มิลลิเมตร กว้าง 1,683 มิลลิเมนตร สูงแค่ 1,356 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า วางเครื่องยนต์
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร จากรุ่นแรง JCW(John Cooper Works) 211 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 260
นิวตันเมตร และสามารถเพิ่ม Overboost ได้ถึงระดับ 280 นิวตันเมตร พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พ่วง
ด้วยเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS (Electronics Power Steering) ปรับความหนืดให้สัมพันธ์กับความเร็ว
ของรถ

เมื่อปฏิกิริยาของผู้คน สนใจกันมาก และตัวรถ ดูมีความใกล้เคียงกับเวอร์ชันจำหน่ายจริงมาก BMW ก็เลย
เดินหน้าปรับปรุง ทดสอบและพัฒนาต่อไปอย่างจริงจัง  แต่กว่าจะพร้อมขาย ก็ต้องรอกันนานถึง 2 ปี จนถูก
ถ่ายภาพ Spyshot กันบ่อยมาก เห็นกันตามสื่อมวลชนสายรถยนต์ของยุโรป จนเบื่อไปข้างนึงเลยทีเดียว

เมื่อล่วงเข้าปี 2011 แผนการเปิดตัว MINI Coupe ก็เริ่มต้น จากการเผยข้อมูล และภาพถ่ายอย่างเป็นทางการ
ของรถทดสอบ แบบพรางตัว เมื่อ วันที่ 6 สิงหาคม 2011 (ซึ่งมันก็คือ การเผยภาพถ่าย Spyshot แบบเป็น
ทางการ โดยบริษัทผู้ผลิต เพื่อสร้างกระแสรอการเปิดตัวในอีก 2 สัปดาห์หลังจากนั้น นั่นเอง)

แล้วก็ถึงเวลาที่เวอร์ชันจำหน่ายจริง เผยโฉมสู่สายตาสาธารณชนครั้งแรก ผ่านทางภาพถ่ายบนอินเตอร์เน็ต
เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2011 และเปิดโอกาสให้ผู้คนทั่วไป ได้ลูบคลำ ทดลองนั่งรถคันจริงเป็นครั้งแรก ณ
งาน IAA Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 2011 พร้อมกับเริ่มออกสู่ตลาดยุโรปอ่างเป็นทางการใน
ช่วงเวลาถัดจากนั้นไม่กี่สัปดาห์

ขณะเดียวกัน เวอร์ชันพวงมาลัยขวา เริ่มออกจำหน่ายในสหราชอาณาจักร วันที่ 1 ตุลาคม 2011 ที่ผ่านมา
และถูกนำเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย เป็นครั้งแรก ณ งาน Motor Expo เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2011
ถือว่าเปิดตัวในบ้านเรา วันเดียวกันกับ การเปิดตัวครั้งแรกสู่ตลาดญี่ปุ่น ณ งาน Tokyo Motor Show 2011

MINI Coupe ถูกสร้างขึ้น ภายใต้นิยาม ‘Another Day. Another Adventure’ ซึ่งมุ่งเน้นความเร้าใจและ
ประสบการณ์ในการขับขี่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ของรถยนต์ Coupe 2 ประตู  2 ที่นั่ง ขนาดเล็ก ซึ่ง
ทุกวันนี้ เหลือผู้ผลิตรถยนต์แบบนี้ ในระดับ Mass Production ได้ยากเต็มที

MINI Coupe Cooper S มีตัวถังที่ยาวเพียง 3.728 มิลลิเมตร กว้าง 1,683 มิลลิเมตร สูง 1,378 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,467 มิลลิเมตร

ถ้าเปรียบเทียบกับตัวถัง Hatchback 3 ประตู อันเป็น MINI ตัวถังดั้งเดิม ซึ่งมีความยาว 3,714 มิลลิเมตร
กว้าง 1,683 มิลลิเมตร สูง 1,430 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,467 มิลลิเมตร แล้ว คุณจะพบว่า ตัวถังแทบจะ
ยาวพอกัน (ความยาวที่เพิ่มขึ้นของรุ่น Coupe มาจาก เปลือกกันชนแบบใหม่ล้วนๆ) ขณะเดียวกัน
ความสูงของตัวรถ ถูกลดลงมา 52 มิลลิเมตร แต่ระยะฐานล้อ ยังคงยาวเท่าเดิม ไม่ผิดเพี้ยน!

แสดงให้เห็นว่า การปรับปรุง MINI ตัวถัง Hatchback ให้เป็น Coupe 2 ที่นั่ง นั้น ทีมออกแบบ พยายาม
จะใช่ชิ้นส่วนอะไหล่ร่วมกับรุ่นปกติให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะช่วยกระจายความเสี่ยงทั้งต้นทุนการพัฒนา
และต้นทุนการผลิตจริง ให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งนั่นก็ช่วยให้ค่าตัวของรุ่น Coupe 2 ที่นั่ง ไม่แพง
เกินหน้าเกินตารุ่น Hatchback ปกติ ไปมากนัก

เวอร์ชันไทย ที่นำเข้ามาโดย BMW Thailand จะมีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย คือ MINI Cooper Coupe
(122 แรงม้า HP)  และ MINI Coupe Cooper S คันสีแดง หลังคาสีเงิน ที่เรานำมาทำรีวิวกันอยู่นี้

รูปลักษณ์ภายนอก ตั้งแต่ด้านหน้า จนถึงปลายสุดขอบฝากระโปรงหน้า แทบจะไม่ได้มีความ
แตกต่างไปจาก MINI ยุคใหม่คันอื่นๆ ทั่วๆไปที่ทุกคนคุ้นเคยจนชินตา ยังคงมีรูปแบบที่เป็น
เอกลักษณ์ดั้งเดิมของ MINI ไว้ ทั้งระยะฐานล้อที่ยาว แต่มีช่วงระยะห่างนจากล้อหน้าถึงปลาย
กันชนหน้า (Front Overhang) และ ระยะห่างจากล้อหลัง ถึงปลายกันชนหลัง (Rear Overhang)
ที่สั้น ราวกับย้ายล้อไปไว้ที่มุมตัวถังรถทั้ง 4 มุม แถมยังมี ความกว้างช่วงล้อหน้า (Front Track)
และความกว้างช่วงล้อหลัง (Rear Track) ที่กว้าง และทำให้รถดูแบน ในสไตล์ สุนัข Bulldog
แต่ถ้าดูดีๆ ก็จะเห็นว่า มันไม่ได้เหมือนกันไปเสียทั้งหมด อย่างที่คุณคิด

แม้จะเป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งได้ในต่างประเทศ แต่สำหรับเวอร์ชันไทย โคมไฟหน้าแบบ
Bi-Xenon พร้อมชุดโคมไฟ รมสีดำ จะติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน (ในตลาดอังกฤษ
ถ้าเลือกไฟหน้า แบบนี้ จะเลือกระบบไฟหน้า Adaptive Headlight ปรับมุมองศาจานฉาย
ตามการเลี้ยวไม่ได้)

เปลือกกันชนหน้าออกแบบใหม่ ให้มี รูระบายอากาศแตกต่างไปจากรถรุ่นก่อนๆ ออกแบบ
มาเป็นแนวทางเดียวกับ MINI รุ่น Minorchange คันอื่นๆ มีไฟตัดหมอกหน้า และหลัง เป็น
อุปกรณ์มาตรฐาน

แต่ความแตกต่างที่แท้จริง อยู่ที่การออกแบบโครงสร้างหลังคา ให้ MINI Coupe กลายเป็น
รถยนต์ในรูปแบบ 3 กล่อง 3 BOX Car (คือมีฝากระโปรงด้านท้ายแบบรถยนต์ Sedan หรือ
4 ประตู) คันแรกนับตั้งแต่ BMW เข้ามาเป็นเจ้าของ MINI เริ่มต้นจาก เสาหลังคาคู่หน้า
A-Pillar และกรอบกระจกบังลมหน้า ซึ่งทำมุมลาดเอียงกว่า MINI รุ่นอื่นๆ ที่เคยผลิตมา
เล็กน้อย กลายเป็นรถยนต์ Coupe 2 ประตู ทรงเตี้ย โครงเสากรอบกระจกบังลมหน้า
จะถูกนำไปใช้ร่วมกับ MINI Roadster เวอร์ชันเปิดประทุน 2 ที่นั่ง ได้แค่เพียงเปลือก
พลาสติกสีดำเงา อันเป็นกรอบด้านนอก และกระจกบังลมหน้า เท่านั้น

หลังคาถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็น Helmet Roof หรือทรงหมวกกันน็อก เพื่อสร้างบุคลิก
ให้ตัวรถมีบุคลิกสปอร์ต ดูเป็นรถยนต์สำหรับนักขับแบบ Gran Turismo อย่างแท้จริง ทำให้
ผู้ขับขี่รู้สึกเหมือนราวกับใส่หมวกกันน็อกขับรถอยู่ อีกทั้งยังมีการออกแบบให้มีสปอยเลอร์
เหนือกระจกบังลมหลัง ติดตั้งเชื่อมต่อเนื่องกันกับโครงสร้างหลังคา ช่วยในเรื่องการไหล
ของอากาศด้านบนของตัวรถได้อย่างดี แถมยังสวยงาม กลายเป็นจุดเด่นสำคัญของเส้นสาย
ตัวถังรถรุ่นนี้อีกด้วย เพราะยิ่งใช้โทนสีที่ตัดกันกับสีตัวถังครึ่งคันล่าง จะยิ่งเพิ่มเอกลักษณ์
อันโดดเด่นให้กับตัวรถแต่ละคัน เพิ่มความแตกต่างไปตามบุคลิกของเจ้าของแต่ละราย
โดยจะมีเฉพาะสีเงิน และสีดำ จะไม่มีสีเดียวกับตัวถัง กับสีขาวให้เลือกแต่อย่างใด

มิน่าละ ว่าทำไม ทัศนวิสัย ถึงได้อึดอัด ตีบตันกันไปขนาดนั้น…เรื่องนี้ รออ่านกันได้ในช่วง
กลางๆของบทความนี้

เปลือกกันชนหลัง ถูกออกแบบใหม่ ให้มีแผงทับทิม และไฟถอยหลัง ติดตั้งร่วมกัน เพื่อ
เพิ่มการมองเห็นยามค่ำคืนของรถคันที่ตามมาได้ดี พร้อมกันนี้ ชุดไฟท้ายยังออกแบบใหม่
ใช้หลอด LED ดูสวยงามกว่า MINI รุ่นแรกๆ ก่อนหน้านี้ ส่วนปลอกท่อไอเสีย รวบมาไว้
อยู่ด้านหลัง เป็นท่อคู่ ทำให้ตัวรถดูดุดันยิ่งขึ้น เสียดายว่า เสาอากาศไม่ได้พิมพ์ฝังลงไป
บนกระจกหน้าต่าง หรือกระจกบังลมหลัง มิเช่นนั้น ภาพรวมของรถ คงจะสวยกว่านี้อีก

ทีเด็ดสำคัญบนเรือนร่างของ MINI Coupe ใหม่ อยู่ที่ การติดตั้ง สปอยเลอร์ด้านหลังแบบ Active
Rear Spoiler เพื่อช่วยจัดการอากาศที่ไหลผ่านด้านหลังของตัวรถ ขณะใช้ความเร็วสูงได้ดียิ่งขึ้น
สปอยเลอร์ชิ้นนี้ เป็นแบบพับซ่อนเก็บได้เอง โดยจะยกตัวขึ้นเองโดยอัตโนมัติ เมื่อไต่ความเร็ว
เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป และเมื่อชะลอรถลงมา สปอยเลอร์จะกดตัวลงกลับเข้าไปซ่อนรูป
กลืนกับฝากระโปรงหลังเองโดยอัตโนมัติ เมื่อลดความเร็วลงมาต่ำกว่า 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลอง
มาแล้ว ทำงานจริง ตามนี้ เป๊ะ!

หรือคุณจะเลือกให้มันเปิดกางออกไว้ตลอด ดูสง่า ดุจราวตากกางเกงในขนาดน่ารักๆ ก็ได้ เพียงแค่
แหงนมองขึ้นไปหาสวิชต์ตรงกลาง บริเวณแผงไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร ก็จะเจอ สวิชต์ไฟฟ้า
แบบใช้นิ้วกระดก สำหรับ โยกให้สปอยเลอร์ กางขึ้น หรือพับลงเอง ได้ตามระดับที่คุณต้องการ

การเปิดประตู ใช้ กุญแจที่มีหน้าตา ย่อส่วนกระโจม เอสกิโม ลงมาอยู่ในมือของคุณผู้อ่านนั่นเอง
มีทั้งสวิชต์ล็อก ปลดล็อก และเปิดฝากระโปรงหลังได้ ท้ั้งหมดนี้ ใช้ระบบกลอนไฟฟ้า และมีระบบ
Immobilizer มาให้จากโรงงาน

และถ้าคุณเปิดประตูในตอนกลางคืน จะพว่า มีไฟส่องสว่างพื้นถนน ติดตั้งซ่อนอยู่ใต้บานประตู
เพื่อช่วยให้คุณมองเห็นสภาพพื้นผิวรอบข้างตัวรถที่คุณจอดอยู่ ก่อนจะขึ้นรถขับออกไป มีข้อดี
ตือ ถ้าเผลอไปจอดในสถานที่ ซึ่งมีน้ำขัง คุณก็จะได้หลีกเลี่ยงการเหยียบน้ำครำ ขึ้นไปบนรถ
หรือถ้าทำกุญแจ ต่างหู หล่นหาย ไฟดวงที่ว่านี้ กจะช่วยให้คุณ พอจะคลำหาทรัพย์สินมีค่าขนาด
จิ๋วที่หายไป ได้ง่ายขึ้น ส่วนจะเจอหรือเปล่านั้น อันนี้ผมก็ไม่ทราบได้

ภายในห้องโดยสาร ก็ไม่ได้แตกต่างไปจาก MINI รุ่นใหม่คันอื่นๆ ที่ผ่านมือผมมาแล้วมากนัก
เพียงแต่ว่า ตอนนี้ เบาะหลังที่ยังพอจะให้เพื่อนฝูงอีก 2 คน นั่งโดยสารไปได้ยามจำเป็น ถูก
ถอดออก พร้อมกับการหั่นความยาวของตัวรถลงไป เหลือพื้นที่ภายในรถเพียงพอสำหรับการ
นั่งขับ และนั่งข้าง รวมแล้ว 2 คนเท่านั้น  

ยังไม่พอ แนวหลังคาที่เตี้ยกว่า MINI Hatchback ไม่กี่มิลลิเมตร กลับทำให้โอกาสที่หัวกบาล
ของผมจะ “โขกโป๊ก” เข้ากับขอบหลังคา ก็เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าเดิม ต้องค่อยๆหย่อนก้นลงไป
และก้มหัวลงเล็กน้อย เพื่อให้รอดพ้นจากขอบด้านบนของแนวทางเข้าไปนั่งในรถ

แต่เมื่อเข้าไปนั่งในรถแล้ว จะพบว่า เพดานหลังคา จะถูกออกแบบให้มี แอ่งเว้า ทั้งฝั่งคนขับ
และผู้โดยสาร เพื่อให้ศีรษะของผู้มีสรีระสูงใหญ่ ไม่ชนกับเพดานหลังคา ซึ่งการออกแบบใน
ลักษณะนี้ ชวนให้นึกถึง ทุเรียนตอนเพิ่งจะแกะเปลือก และมีเนื้อทุเรียนอยู่ในเบ้ายังไงไม่รู้

ส่วนแผงประตูด้านข้าง ออกแบบให้ดู “Chic” พอจะวางแขนได้ แต่ช่องใส่ของด้านข้าง มีขนาด
แค่พอให้ใส่กล่อง CD 3 กล่องซ้อนกันได้เท่านั้น ถ้าคิดจะวางแก้ว หรือขวดน้ำดื่ม 7 บาท ต้อง
วางลงในช่องวางแก้ว 2 ช่อง ใต้แผงควบคุมกลาง เหนือคันเกียร์ เท่านั้น

เบาะนั่งคู่หน้า ยกมาจาก MINI รุ่นใหม่คันอื่นๆ เช่นกันนั่นละครับ สามารถเลื่อนขึ้นหน้า หรือ
ถอยหลังได้ แม้ในพื้นที่ห้องโดยสาร ที่ถูกออกแบบมาให้จำกัดไว้สำหรับการติดตั้งเบาะนั่ง แค่
2 ชุด เท่านั้น ก้านโยกมีขนาดใหญ่โต อยู่ใกล้กับบานประตู แต่ละฝั่ง ส่วนการปรับพนักพิงเอน
ลงไป แบบ Reclining-Seat นั้น ก้านโยกจะอยู่ข้างเบาะฝั่งใกล้กับเบรกมือ กำลังสงสัยว่า
Nissan แอบเอาตำแหน่งของคันโยกพับเบาะแบบนี้ไปใส่ใน Nissan TIIDA มาแล้วนี่หว่า?

เบาะนั่งถูกออกแบบให้รองรับแผ่นหลังค่อนข้างดี บริเวณพื้นที่ดันหลังอยู่ในตำแหน่งเหมาะสม
ส่วนการรองรับบั้นเอวด้านข้าง ก็ไม่ก่อความอึดอัดขณะนั่งขับขี่นานๆ เลย เบาะรองนั่งสั้นไปนิด
แต่เมื่อนั่งขับนานๆ ก็ไม่ได้ถึงกับมุ่ยเมื่อยอะไรนักหนา พนักศีรษะเอง ก็ให้สัมผัสที่ดี และนุ่ม
กำลังเหมาะ ไม่มากไม่น้อยเกินไป เพียงแต่ การรองรับบริเวณต้นคออาจยังต้องปรับปรุงอีกนิด
แต่ภาพรวม ถือว่า เบาะนั่งของ MINI ยังคงนั่งได้ดีเหมือนเช่นเคย ติดตั้งมือหมุนปรับตำแหน่ง
ดันหลังมาให้อีกด้วย ส่วนหนังที่ใช้ ไม่ต่างจาก MINI คันอื่นๆ มีรูระบายความร้อนชื้นมาให้

เสียดายอยู่เพียง 2 เรื่อง ข้อแรกคือ ตำแหน่งวางแขนนั้น มีว่ามีพื้นที่วางแขนบนแผงประตูคู่หน้า
ที่แม้จะถูกออกแบบให้ดู “Chic” เอาใจวัยรุ่น พอจะใช้งานได้อยู่บ้าง แต่กลับไม่มีพื้นที่วางแขน
ด้านข้างผู้ขับขี่และผู้โดยสารมาให้ ซึ่งก็คงต้องทำใจ ณ จุดนี้ เนื่องจากว่า หากเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดา
และมีที่วางแขนดังกล่าว จะทำให้การเข้าเกียร์ธรรมดา ไม่สะดวกเท่าที่ควร แต่ เอ๊ะ นี่เราขับรถ
เกียร์อัตโนมัติอยู่นี่หว่า แล้วทำไมเขาถึงไม่ติดตั้งมาให้ละ?

อีกเรื่องนึง ก็คือเรืองทัศนวิสัย ซึ่งอยากให้คุณได้อ่านต่อไป ในบทความข้างล่างนี้

MINI Coupe ถูกออกแบบมาให้เป็นรถยนต์ 2 ที่นั่ง สำหรับคน 2 คน อย่างแท้จริง ดังนั้น แม้แต่
เจ้าตูบตัวโปรดของคุณ ก็อาจหมดสิทธิ์ร่วมเดินทางไปด้วย เพราะรถคันนี้ไม่มีเบาะนั่งหลังแบบ
Dog Seat มาให้ แต่มีช่องวางของด้านหลัง รวมทั้ง ช่องเปิดทะลุไปยังห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง
และเป็นตำแหน่งติดตั้งของลำโพง 2 ชิ้นใหญ่ ภายในรถ แต่ก็ มีช่องวางแก้ว ซึ่งมีกล่องเขี่ยบุหรี่
ทรงกระบอกเล็กๆ พร้อมฝาปิดมาให้ด้วย งานนี้ ไม่ต้องคิดปีนไปนั่งเบาะหลัง เพราะ พื้นที่ใน
ห้องโดยสารคับแคบมาก  ขนาดแมลงสาบยังไม่มีพื้นที่ดิ้นกระแด่วๆ เลยทีเดียว!

เปิดฝากระโปรงหลังขึ้นมา จะพบว่าใช้ระบบกลอนประตูไฟฟ้า ค้ำยันด้วยช็อกอัพไฮโดรลิก 2 ต้น
มีแผงบังสัมภาระแยกเป็น 2 ชิ้น ชิ้นบนติดอยู่กับฝาประตู อีกชิ้น ติดอยู่กับ โครงสร้างผนังกั้นห้อง
โดยสารกับห้องเก็บสัมภาระ ทั้ง 2 ชิ้น สามารถถอดออก และประกอบเข้าไปใหม่อย่างง่ายดาย
เพราะเป็นพลาสติก ธรรมดา  ไม่มีกรรมวิธีซับซ้อนแต่อย่างใด

ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง มีไฟส่องสว่างมาให้ด้วย มีขนาดแค่ 280 ลิตร แต่ถูกออกแบบมาให้ใส่
ถุง Shopping ได้มากพอเพื่อเอาใจคุณสุภาพสตรีนักช็อป (ช่วง Midnight Sales) ตัวยง เป็นพิเศษ
แถมพอให้คุณพ่อของตาแพน Commander CHENG! เรา กะเก็งคร่าวๆ คุณพ่อยังบอกว่า ขนาด
ประมาณนี้ ใส่ถุงกอล์ฟได้แน่ๆละ 1 ถุง…!! เท่าๆกันกับ MINI Clubman !!

เสียดายว่า เราไม่มีถุงกอล์ฟในวันที่เรานำรถมาทดลองขับ มิเช่นนั้น คงจะทดลองไปแล้ว ครั้นจะ
ให้ผมลงไปนั่งไปนอน ในห้องเก็บของด้านหลังของ รถคันนี้ ก็เกรงอกเกรงใจทั้งตัวรถ และสรีระ
อันสุดอวบอั๋นระยะสุดท้ายของตัวเองเป็นอันมาก

และเมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบว่า BMW ใส่ชุดปะยางมาให้ พร้อมกับเครื่องมือและ
ไขควงถอดน็อตล้อ มาให้ เพราะต้องไม่ลืมว่า BMW ทุกรุ่นในไทยตอนนี้ ไม่มียางอะไหล่
แต่ใช้ยางแบบ Run Flat Tyre ที่ยังแล่นได้ต่อเนื่องอีก 80 กิโลเมตร ด้วยความเร็วระดับ 80
กิโลเมตร/ชั่วโมง หากลมยางหมดจนยางแบน

แผงหน้าปัด ของ MINI Coupe ก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจาก MINI รุ่นอื่นๆเท่าใดเลย ยังคงมี
ช่องแอร์แบบวงกลม รวมทั้งมาตรวัดความเร็ว ขนาดใหญ่เท่า นาฬิกาแปะฝาบ้าน อยู่ดีนั่นแหละ
งานออกแบบสอดรับกับแผงประตูด้านข้างรูปวงรี

ข้อดีอย่างหนึ่งของ MINI คือ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ลูกค้าตกแต่งรถได้ตามใจชอบ จาก
โทนสีภายนอก ที่มีให้เลือก ราวๆ 10 สีแล้ว ยังสามารถเลือกโทนสีของ แผงประดับหน้าปัด
หรือ Color Line ซึ่งเป็นเส้น Trim ต่อเนื่องจากมือจับประตูและแดชบอร์ดด้านล่าง เพื่อสร้าง
สีสรรและความแปลกตาสำหรับห้องโดยสารในโทนสีต่างๆ คุณสามารถเลือกตกแต่งภายใน
ห้องโดยสารตามรสนิยมของแต่ละคนได้อย่างหลายหลาก

ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัยหลักๆ ในห้องโดยสาร ก็มีถุงลมนิรภัยคู่หน้า Smart Airbag พองตัว
ได้ 2 ระดับตามความรุนแรงในการชน ถุงลมนิรภัยด้านข้างเบาะนั่ง รวมทั้งม่านลมนิรภัยทั้ง
ฝั่งซ้าย และขวารวมทั้งสิ้น 6 ใบ เข็มขัดนิรภัยเป็นแบบELR 3 จุด  ลดแรงปะทะ และดึงกลับ
อัตโนมัติ หรือ Pre-tensioner & Load Limiter

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ปรับระดับสูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่าง จากตัวผู้ขับขี่ได้มาก ปรับได้
ละเอียด แป้นแตร ฝังถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับ ไว้ข้างใน หน้าตาก็เหมือนกับ พวงมาลัยของ MINI
รุ่นอื่นๆ แต่มีสวิชต์ ควบคุมเครื่องเสียง ที่ก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย กับสวิชต์ระบบควบคุมความเร็ว
คงที่ Cruise Control ที่ก้านพวงมาลัยฝั่งขวามือ และมีแป้น Paddle Shift สำหรับเปลี่ยน
เกียร์มาให้ ติดตั้งอยู่ด้านหลังพวงมาลัยทั้งฝั่งซ้าย และขวา วงพวงมาลัยยังคงจับกระชับมือ
อวบอูม เอาใจคนชอบขับรถเหมือนเช่นเคย แป้นคันเร่ง เบรก และแป้นพักเท้า ออกแบบและ
ทำจากอะลูมีเนียมอย่างดี เหมือนกับ MINI คันอื่นๆ ตำแหน่งนั่งขับ ในภาพรวม ยังคงสะดวก
ในการปรับให้เข้ากับสรีระของคนขับแต่ละคน

มองทะลุพวงมาลัยไป คุณจะเจอมาตรวัด หน้าตาและขนาดเท่า นาฬิกาปลุกบนหัวเตียงนอน
แม้ว่าในนั้นจะมีมาตรวัดรอบ ไฟบอกสถานะอุปกรณ์ เท่าที่จำเป็น ทั้งไฟเลี้ยว (และไฟฉุกเฉิน
ในตัว) รวมทั้ง ไฟสูง ไฟสัญญาณเตือนระบบ DSC ทำงาน หน้าจอ แสดงความเร็ว เป็นตัวเลข
แบบ Real Time Digital และมาตรวัด Trip Meter ซึ่งบอกถึงสถานของการนำรถเข้าตรวจสอบ
และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย อัตราสิ้นเปลือง แบบ Real Time ได้ แต่มันก็ยังมิใช่ ชมาตรวัด
ชุดหลัก

เพราะชุดมาตรวัดความเร็วหลัก ก็ยังมีขนาดใหญ่โต เท่า นาฬิกาแปะฝาบ้าน หรือไม่ก็ ใหญ่เท่ากับ
หน้าจอเครื่องชั่งน้ำหนักตามห้างสรรพสินค้าแบบโบราณ เหมือน MINI คันอื่นๆ อยู่ดี เพียงแต่ว่า
มีการติดตั้ง จอมอนิเตอร์สีขนาด 7 นิ้ว เพิ่มเข้ามาให้ด้วย สำหรับใช้ร่วมกับระบบ i-Drive ซึ่งติดตั้ง
เป็นอุปกรณ์มาตรฐานมาให้กับ MINI หลายๆรุ่น ที่ทำตลาดผ่าน BMW Thailand ตอนนี้

ระบบ i-Drive ที่มีมาให้ เปลี่ยนสวิชต์ควบคุม จากแป้นสวงกลม เป็น..เอ่อ…Joystick ขนาดเล็ก
จนทำให้ผมกับ ตาแพน Commander CHENG ลงความเห็นตรงกันในแทบจะทันทีว่า มันเหมือน
“กระเจี๊ยวแมว” มากๆๆๆ ! คุณยังคง หมุนๆ เลือกเมนู และกดลงไป เพื่อยืนยันคำสั่ง (Enter) ได้
ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเช็คข้อมูลของตัวรถ ว่า สถานภาพเป็นอย่างไร ใกล้ได้เวลาเข้าศูนย์ฯ หรือยัง?
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง Journey Computer เปิดเครื่องเสียง วิทยุ  หรือติดต่อเชื่อมกับโทรศัพท์
ผ่านระบบ Bluetooth ที่มีมาให้จากโรงงาน (ส่วนสวิชต์ สั่งการด้วยเสียง Voice Command ในรถ
ใช้การไม่ได้) กดปุ่มรูปบ้าน จะกลับสู่เมนูหน้าจอแรกเริ่มให้ ปุ่มเมนูฝั่งขวา จะย้อนไปเมนูก่อนหน้านั้นให้

ระบบ i-Drive ใน MINI คันนี้ ค่อนข้างใช้งานยากอยู่ดี แม้จะมีปุ่ม เลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลังมาให้
เพิ่มความสะดวกได้อีกนิดหน่อยแล้วก็ตาม แต่ถ้าคิดจะเปลี่ยนคลื่นวิทยุ แบบอัตโนมือด้วยตัวเอง
คุณต้องเข้าเมนู แล้วจิ้มเข้าไปหลายทอด กว่าจะเจอฟังก์ชันที่ต้องการ ไม่สะดวกเลย ต้องจอดรถ
แล้วเลือกปรับเปลี่ยนเองอยู่ดี ถือว่าไม่ User Firendly เท่าที่ควรเลย

เครื่องเสียงเป็นแบบ เล่น CD / MP3 ได้ครั้งละ 1 แผ่น พร้อมช่องเสียบ USB ซึ่งต้องใช้เวลาหาสักพัก
กว่าจะค้นพบว่า มันซ่อนไว้ใต้แผงควบคุมวิทยุ ตรงเหนือซอกหลืบนั่นแหละ! ถ้าขับรถไป กะว่าจะ
เสียบ USB Flash Drive เข้าไป ต้องจอดรถแล้วใส่ เพื่อความปลอดภัยกันเลยทีเดียว วุ่นวายไปไหม?

ชุดเครื่องเสียง ควบคุมการทำงานได้จากทั้ง สวิชต์ Multi-Finction บนก้านฝั่งซ้ายของพวงมาลัย หรือ
สามารถเลือกการใช้งานได้จาก เมนู i-Drive บนหน้าจอ ถ้าต้องการปรับเสียงใสเสียงทุ้ม ให้กระดิก
ก้านสวิชต์ของระบบ ไปทางซ้าย 1 ครั้ง จากหน้าจอหลักของเครื่องเล่น CD หมุนเลื่อนลงไปที่ Tone
จะเลือกปรับเสียงใส (Trebal) เสียง ทุ้ม (Bass) ให้หมุนที่ก้านสวิชต์ แล้วกดลงไป แบบ Enter แล้ว
คอยปรับหมุนจากก้านสวิชต์ เลือกระดับและค่าต่างๆ ตามต้องการ ซึ่งพุดกันตรงๆว่า ใช้งานยากไป
สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องระบบอีเล็กโทรนิคส์มากนัก อาจต้องคลำหากันอยู่นานพอสมควรเลยทีเดียว

คุณภาพเสียง อยู่ในเกณฑ์ ใช้ได้ เสียงเบสค่อนข้างบวมมาก ถ้าปรับให้อยู่สูงสุด หากมิใช่นักฟัง
หูเทพหูทองอะไรนัก ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชุดเครื่องเสียงแต่อย่างใด (เพราะดูท่าทางหาเปลี่ยน
ด้วยยากอีกต่างหากนั่นแหละ เขาเล่นทำออกมาเป็นแบบ Built-in เลยทีเดียว)

นอกจากนี้ ความพิเศษของ Coupe Cooper S อยู่ที่การติดตั้งระบบ MINI Connect ซึ่งสามารถ
เชื่อมต่อ Internet ผ่านโทรศัพท์มือถือ iPhone 4 ได้ทั้งระบบ Data GPRS หรือ 3G สามารถใช้
โปรแกรม Facebook, Twitter, Web news และ Web radio, ระบบ Bluetooth เชื่อมต่อ
โทรศัพท์มือถือและโหลดไฟล์เพลงกับไฟล์ Video จากโทรศัพท์มือถือ เช่น iPhone และ Blackberry,
มาฟังกับเครื่องเสียงในรถก็ได้ อีกด้วย

ถัดลงไป เป็นเครื่องปรับอากาศแบบ อัตโนมัติ หน้าจอ Digital เย็นเร็ว ทันใจใช้การได้ แม้ในวันที่
อากาศร้อนจัด มีไล่ฝ้ามาให้ และปุ่ม A/C เปิด-ปิดการทำงานของ คอมเพรสเซอร์แอร์ ตามใจชอบ
ขอตินิดเดียวที่ว่า บางครั้ง กดปุ่มปิดรับอากาศภายนอกรถ แต่บางที ก็ยังมีกลิ่นควันจางๆ ลอดลอย
ล่วงล้ำเข้ามาในห้องโดยสารได้บ้างเหมือนกัน

แถมรถคันที่เรานำมาทดลองขับ น่าจะผ่านการปู้ยี้ปู้ยำมาพอสมควร เพราะ เสียงลูกปืนคลัชต์
คอมเพรสเซอร์แอร์ ดังหวออออออ ต่อเนื่อง แทบทุกครั้งที่เริ่มเหยียบคันเร่ง สงสารรถจัง เพราะ
ได้ข่าวว่า ก่อนหน้าจะมาถึงมือผม รถคันนี้ ก็น่าจะเป็นอีกคันหนึ่ง ที่เข้าร่วมในการประกวด
งานหนึ่งมาหมาดๆ ไม่นานมานี้

ใต้สวิชต์เครื่องปรับอากาศ จะเป็น แผงสวิชต์ แบบ ใช้นิ้วกดกระดก หรือยกขึ้นเบาๆ จากซ้าย ไป ขวา
ได้แก่ สวิชต์ กระจกหน้าต่างบานประตูฝั่งผู้โดยสาร สวิชต์เปิดไฟตัดหมอกทั้งด้านหน้า และด้านหลัง
ตรงกลาง เป็นสวิชต์ล็อก หรือปลดล็อกประตูทั้ง 2 บาน และฝั่งขวาสุด คือสวิต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า
ฝั่งคนขับ ติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ ยากต่อการใช้งาน และไม่ User Friendly เอาเสียเลย อาศัยออกแบบ
มาให้สวยๆ ก็พอ

แผงหน้าปัดฝั่งซ้ายมือ มีช่องเก็บของพร้อมฝาปิด ขนาดของมันใหญ่พอจะใส่คู่มือประจำรถ พร้อม
กับซองหนังได้พอดีๆ แต่จะไม่เหลือช่องว่างให้ยัดเอกสารหรือข้าวของใดๆมากกว่านี้ได้อีกต่อไป
ยังดีที่มีไฟส่องสว่างไว้ช่วยให้การหาข้าวของเล็กๆตอนกลางคืนง่ายขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย

ไม่เพียงเท่านั้น ด้านข้างฝั่งขวาของช่องเก็บของ ยังเชื่อมต่อกับเครื่องปรับอากาศ ซึ่งช่วยเพิ่ม
ความเย็นให้กับช่องเก็บของด้านข้างคนขับนี้ได้ถึง 10 องศาเซลเซียส ตลอดเวลาที่คุณใช้รถ
เหมาะแก่การเก็บสิ่งของที่จำเป็นต้องรักษาอุณหภูมิ เช่นยาหรือเครื่องหนัง

ไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร มีเพียง 3 ดวงแค่เท่าที่เห็นนี้ สวิชต์ควบคุมไฟอ่านแผนที่ซ้าย อยู่ฝั่งซ้าย
สุด ถัดมาเป็นไฟส่องสว่างดวงใหญ่แบบครึ่งวงกลม ที่เห็นอยู่นี้ ส่วนไฟอ่านแผนที่ฝั่งขวา ก็แน่นอน
ว่าต้องอยู่ฝั่งขวาสุด

สวิชต์กลาง คือสวิชต์กางหรือพับสปอยเลอร์ด้านหลังด้วยไฟฟ้า แต่สวิชต์ฝั่งขวาอีกชิ้นที่เหลือ ทำหน้าที่
ควบคุมแสงสว่างของ Ambient Illumination Light อันเป็นไฟสร้างบรรยากาศในการขับขี่ยามค่ำคืน
หรือที่พวกเรา The Coup Team ชอบเรียกมันว่า “ไฟไดหมึก”

เอ้า! ก็เหมือนไฟที่ชาวประมง ใช้พาคุณไปตกปลาหมึกริมหาก ตอนกลางคืนไหมละครับ?

ไฟส่องสว่างที่ว่า สามารถเปลี่ยนสีหลักได้ทั้ง แดง ส้ม เหลือง เขียว เขียวอ่อน ฟ้า น้ำเงิน ชมพู บานเย็น
และสามารถเลือกปรับได้รวมแล้วมากถึง 756 สี แถมยังมีติดตั้งอยู่ที่แผงประตู และมือจับเปิดประตูทั้ง
2 ฝั่งมาให้อีกด้วย….

อย่างไรก็ตาม ความสว่างของแสงภายในรถยามค่ำคืนของ MINI Cooper S Coupe ก็ยังไม่เพียงพอ
สำหรับการถ่ายทำคลิปวีดีโอตอนกลางคืน….ทายสิ ว่าเราจะแก้ปัญหากันยังไง?

ตาแพน Commander CHENG เห็นแล้วทนไม่ไหว เลยเอาไฟคาดศีรษะ LED สำหรับใช้ในเหมืองแร่
หรือ การดำน้ำตอนกลางคืน มาสวมไว้กับแผงบังแดด แล้วเปิดให้สว่างจ้า เพื่อช่วยสร้างแสงในขณะ
ถ่ายทำคลิปวีดีโอกันไปเลย นี่คือรถคันแรกที่เราต้องใช้วิธีนี้ เห็นไหมครับว่า ความสว่างจากแสงไฟ
ภายในรถมันไม่เพียงอจริงๆ ยิ่งถ้าคุณเผลอทำต่างหู หรือกระดุมหลุดตกลงไปบนพื้นรถ โอกาสจะ
หาเจอในตอนกลางคืน จะยากมากๆ

เมื่อนั่งอยู่บนเบาะคนขับแล้ว สิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีผลต่อการบังคับควบคุมรถ นั่นคือ ทัศนวิสัย
ประเด็นนี้ ผมมองว่า MINI Cooper S Coupe มีพื้นที่กระจกค่อนข้างน้อย และส่งผลให้ทัศนวิสัยใน
ภาพรวม อึดอัดสายตา มากๆ

การออกแบบ กระจกบังลมหน้า ด้านบน จะลาดเอียงจาก MINI ตัวถัง Hatchback และ Cabriolet 
ทำให้ พื้นที่ของกระจก เมื่อนั่งมองจากตำแหน่งคนขับ ตีบตัน เพราะทีมออกแบบ ต้องการให้พื้นที่หลังคา
ยังคงบดบังแสงอาทิตย์ ที่จะส่งมาถึงมือของผู้ขับขี่ขณะจับพวงมาลัย อันเป็นแนวทางการออกแบบที่
BMW ใช้กับรถยนต์ทุกรุ่น ทุกคัน ไม่เว้นแม้กระทั่ง MINI ดังนั้นคุณจำเป็นต้องใช้สมาธิในการขับ
MINI ตัวถัง Coupe 2 ที่นั่ง คันนี้ มากกว่า MINI คันอื่นๆ เอาเรื่อง

เสาหลังคาด้านหน้า A-Pillar ฝั่งขวา บดบังรถยนต์ หรือจักรยานยนต์ที่แล่นสวนเข้ามา บนทางโค้งขวา
ของถนนแบบสองเลนอยู่พอสมควร แต่ก็เป็นเรืองปกติ เช่นเดียวกับ MINI คันอื่นๆอยู่แล้ว กระจก
มองข้างฝั่งขวามือ มีขนาดเล็ก ก็จริง แต่ก็ถือว่าใหญ่ เมื่อเทียบกับ MINI รุ่นก่อนๆ หรือ BMW รุ่น
เก่าๆ ก่อนหน้านี้ รวมทั้ง รถเก๋งญี่ปุ่นยุคปี 1990 ทั้งหลายอีกด้วย พอจะมองเห็นรถคันที่แล่นตามมา
ทางฝั่งซ้ายได้ในระดับหนึ่ง ไม่ถึงกับดีนัก

เสาหลังคาด้านหน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย ไม่เป็นปัญหาสำหรับการขับขี่ในเมืองทั่วไป เพียงแต่ อาจมีการ
บดบังรถยนต์ ที่แล่นสวนมาขณะจะเลี้ยวกลับรถ อยู่บ้าง ในบางรูปแบบของทางเลี้ยวกลับ อาจต้อง
โน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อดูรถคันที่กำลังแล่นสวนทางมา ส่วนการมองกระจกมองข้างฝั่งซ้ายมือนั้น
ทำได้ไม่ดีนัก และอาจต้องใช้เวลาในการเพ่งมองนานหน่อย เพราะสัมผัสได้ว่า กระจกมองข้าง
แอบหลอกตาอยู่เล็กน้อยเหมือนกัน ราวกับจงใจทำกระจกมาให้ ตัววัตถุ อยู่ใกล้กับตัวรถ มากกว่า
ความเป็นจริงอยู่นิดหน่อย ซึ่ง แม้ว่าชาวยุโรป อาจคุ้นชิน แต่ชาวไทยอย่างเราๆหนะ ต้องการเห็น
ภาพจากในกระจก เป็นภาพจริง มากว่า ภาพที่ใกล้วัตถุมากกว่าความจริงอย่างที่เป็นอยู่นี้

ส่วนพื้นที่กระจกบังลมหลัง ยิ่งตีบตันหนักหนายิ่งกว่ากระจกบังลมหน้าเสียอีก แม้ว่าจะพอมองเห็น
ความเคลื่อนไหวของรถคันที่แล่นตามมาข้างหลังได้อยู่ก็จริง และถือว่า โชคดี ที่ทีมออกแบบ ติดตั้ง
กระจกโอเปรา บริเวณเสาหลังคากลาง B-Pillar เพื่อช่วยให้พอมองเห็นมอเตอรืไซค์ ที่แล่นมาขนาบ
ด้านข้างอยู่บ้าง แต่ก็ช่วยได้เพียงนิดหน่อยเท่านั้น เมื่อใดที่คุณขับรถอยู่บนถนนอย่าง บางนา-ตราด
วิภาวดีรังสิต หรือ ธนบุรี-ปากท่อ แล้วคิดจะเปลี่ยนจาก เลนคู่ขนาน ไปอยู่ในเลนทางด่วน หรือขับ
ในแบบกลับกัน จากเลนทางด่วน เบี่ยงเข้ามาใช้เลนคู่ขนาน บอกได้เลยว่า การพึ่งพากระจกมองข้าง
ที่มีพื้นที่การมองน้อย ไม่เพียงพอ อาจต้อง หันชะแวบ ใช้หางตา มองไปทางด้านหลังของรถ อีกแรง

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ขุมพลัง ของ MINI Coupe ที่มีจำหน่ายในบ้านเรานั้น เป็นเครื่องยนต์เดียวกันกับในตลาดประเทศ
อื่นๆทั่วโลก ผลิตขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างกลุ่ม PSA Peugeot Citroen Group กับ BMW Group
มี 2 ระดับความแรง คือ รุ่น Cooper มาตรฐาน กระจังหน้าลายซี่นอน วางเครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 1,598 ซีซี 122 แรงม้า (HP) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 160 นิวตันเมตร (16.30 กก.-ม.)
ที่ 4,250 รอบ/นาที

แต่ในรุ่นที่เราทดลองขับกันนี้ คือรุ่น Cooper S จะมาพร้อมเครื่องยนต์บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1,598 ซีซี เหมือนกัน กระบอกสูบ x ช่วงชัก 77.0 x 85.8 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 ใช้
กล่องคอมพิวเตอร์สมองกลควบคุม (Engine Control Module) แบบ MEVD 17.2.2 จ่ายเชื้อเพลิง
ด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิกส์ พร้อมระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbo (Turbo ลูกเดียวนั่นละครับ
แต่ว่ามี หลักการทำงานก็คือ แบ่งช่องทางเดินไอเสียที่จะป้อนเข้าสู่ โข่ง Turbo เป็นสองทาง เพื่อ
เพิ่มประสิทธิภาพการอัดอากาศเสมือนกับการใช้ Turbo คู่ แต่ประหยัดพลังงานมากกว่า โดยเฉพาะ
ในเรื่องของระบบหล่อเย็นของโข่ง Turbo นอกจากนี้ยังมี ระบบแปรผันวาล์ว VALVETRONIC
จะทำหน้าที่ป้อนอากาศในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของเครื่องยนต์ตลอดทุกช่วงรอบ

กำลังสูงสุด 184 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 24.4 กก.-ม.ที่ รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่
1,600 – 5,000 รอบ/นาที นอกจากจะมีแรงบิดต่อเนื่อง ไหลมาเทมากันเป็นแบบ Flat Torque แล้ว
ยังสามารถเข้าสู่โหมด Over Boost เพิ่มแรงบิดขึ้นเป็น 26.5 กก.-ม. ในช่วงระหว่าง 1,700 – 4,500
รอบ/นาที ได้อีกด้วย

ที่พิเศษกว่านั้นคือ MINI Cooper เวอร์ชันไทยทั้ง 2 รุ่น ที่นำเข้าโดย BMW Thailand ถูกปรับปรุง
ให้รองรับการเติมน้ำมันแก็สโซฮอลล์ ได้ถึงระดับ E20 (Ethanol 20% จากเนื้อน้ำมัน) มาจาก
โรงงานในอังกฤษกันเลยทีเดียว ต่างจากรถที่นำเข้าโดย ผู้นำเข้าอิสระรายย่อย เพราะนี่คือการ
ปรับเซ็ตรถ ให้เหมาะกับการใช้งานของประเทศไทย โดยตรง

ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อคู่หน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ แบบ Steptronic พร้อมโหมด
เปลี่ยนเกียร์เอง + / – ทั้งที่คันเกียร์ (ดันเกียร์ขึ้น + คือการเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ ดันคันเกียร์ลงมาต่ำ
แบบ – คือการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให้สูงขึ้น) และแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ที่พวงมาลัย
(ไม่ว่าจะเป็นฝั่งซ้าย หรือขวา กดลงไปบนแป้นด้วยนิ้วโป้งของคุณ คือการเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ
แต่ถ้าตบแป้น Paddle Shift ที่ด้านหลังพวงมาลัย จะเป็นการเปลี่ยนเกียร์ให้สูงขึ้น) พร้อมกับ
ปุ่ม Sport Mode ใกล้ฐานคันเกียร์ กดลงไปแล้ว เกียร์จะลากรอบเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น เพื่อให้
คุณสนุกกับการเร่งแซงได้มากขึ้นกว่าเดิม

อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
เกียร์ 1                      4.044
เกียร์ 2                      2.371
เกียร์ 3                      1.556
เกียร์ 4                      1.159
เกียร์ 5                      0.852
เกียร์ 6                      0.672
เกียร์ถอยหลัง              3.193
อัตราทดเฟืองท้าย         3.683

ตัวเลขจากโรงงาน ระบุว่า MINI Coupe Cooper S ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน
เวลา 7.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 224 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยได้
14.92 กิโลเมตร/ลิตร ปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดอ์อกไซด์ ราวๆ 149 กรัม / ระยะทางแล่น 1 กิโลเมตร
ฉุดลากตัวรถที่มีน้ำหนักตัว แบบ Unladen Weight ได้ 1,265 กิโลกรัม

เพื่อให้หายสงสัยว่า ตัวเลขเหล่านี้ เป็นไปได้จริงมากน้อยแค่ไหน บนถนนเมืองไทย ผมก็เลย
ทำการทดลองจับเวลากันในตอนกลางคืน เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน (ผมกับ เจ้ากล้วย The Coup
Channel ของเรานั่นเอง) และตัวเลขที่ได้ ออกมาดังต่อไปนี้

ตัวเลขทั้งหมด ฟ้องตัวของมันเองชัดเจนอยู่แล้ว โดยไม่ต้องสืบสาวราวเรื่องกันต่อไป

อัตราเร่งของ Cooper S Coupe แรงกว่าพี่ๆน้องๆรุ่นแรก ในตระกูล ไปประมาณ 0.6 วินาที ไม่ว่าจะเป็น
เกมจับเวลา 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือ 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงก็ตาม แถมความเร็วสูงสุดก็ยังอยู่
ในระดับที่เพียงพอแล้ว สำหรับรถยนต์ขนาดเล็กแบบนี้

แล้วถ้าลองเทียบกับคู่แข่งในระดับราคาไล่เลี่ยกันบ้างละ? เรื่องน่าตลกก็คือ Cooper S Coupe กลับทำ
ตัวเลขออกมาด้อยกว่า Skoda Fabia RS 1.4 ลิตร (มีอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 7.46 วินาที
และ  80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 5.42 วินาที) ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึง Volkswagen Golf GTi และน้อง
ชาย 2 ประตูอย่าง Scirocco ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร TSI นั่นเลย ตัวเลขป้วนเปี้ยน อยู่ที่ 7.1 และ
5.2 วินาที ในเกม 0 – 100 และ 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ยังพอจะใจชื้นขึ้นมาบ้างว่า
ตัวเลขของ Cooper S Coupe ยังทำได้ดีกว่า Subaru Impreza WRX 5 ประตู ทุกรุ่น (ยกเว้น WRX STi)
แบบไม่ต้องสืบ

แต่…ข้างบนนั้น มันก็แค่ตัวเลข เพราะในการขับขี่จริง MINI ก็ยังคงเป็น MINI วันยังค่ำ อัตราเร่ง
ยังคงสร้างความสนุกและตื่นเต้นให้กับผู้ขับขี่แทบจะในทันทีที่เหยียบคันเร่งจมมิด มีแรงดึงจน
หลังติดเบาะ ขับสนุก สมกับเป็น MINI ที่หลายคนโปรดปราน

คันเร่งไฟฟ้า มีอาการ Lack ในบางครั้ง และไม่นานนัก แค่ภายใน 0.5 วินาที ซึ่งยังพอรับได้ และ
มันจะเกิดตอนที่คุณกระทืบคันเร่งลงไปจนจมมิด เพื่อต้องการอัตราเร่ง อย่างปัจจุบันทันด่วน แต่
ในยามปกติ แค่เพิ่มน้ำหนักเท้าลงบนคันเร่งมากขึ้นแค่ไหน รถก็จะเพิ่มความเร็วขึ้นตามสั่งเท่านั้น
ในทันที ผมแทบไม่ได้ใช้แป้น บวก – ลบ Paddle Shift  เลย เพราะว่า แค่เพียงกระดิกเท้าขวาลงบน
คันเร่ง รถก็จะพุ่งไปเท่าที่ผมต้องการแล้ว เรียกได้ว่า อัตราเร่ง มาเยือนตามสั่ง ตอบสนองไวทันใจ
ดีเลยทีเดียว (เพราะถ้าใครยังต้องการความสะใจมากกว่านี้ สงสัยต้องขยับขึ้นไปเล่นรุ่น JCW John
Cooper Works 211 แรงม้า กันแล้วละ ซึ่งถ้าไม่ใช่คนชอบซิ่งมากนัก นั่นก็ไม่จำเป็นเลยในมุมมอง
ส่วนตัวของผม)

การทำงานของเกียร์ ก็ราบรื่น เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างต่อเนื่อง พอจะมีอาการเล็กๆ ให้รู้ว่า มีการ
เปลี่ยนเกียร์เกิดขึ้น แต่อาจจะยังไม่ราบรื่นสนิทเป๊ะ ได้เท่าเกียร์ DSG ของ VW Group  ทว่า
ก็เพียงพอสำหรับการใช้งาน ฉลาดพอสมควร ถ้าในจังหวะที่คุณกำลังเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ และ
พอเหยียบคันเร่งแล้ว มีเหตุต้องถอนกระทันหัน สมองกลเกยร์ จะยังสั่งให้เครื่องยนต์ค้าง
รอบเครื่องยนต์เดิมไว้ก่อนอีกสักไม่กี่วินาที เผื่อว่าคุณจะเหยียบคันเร่ง ส่งเข้าไปเพิ่ม แต่
ถ้าค้างรอบเครื่องยนต์ไว้ให้แล้วคุณไม่เหยียบคันเร่ง เกียร์ ก็จะเปลี่ยนตำแหน่งขึ้นสูงให้
ทันทีเช่นกัน

พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS (Electronics
Power Steering) ถูกปรับปรุงให้มีน้ำหนักน้อยลงกว่าเดิม ช่วงความเร็วต่ำ การหมุนพวงมาลัย
จะทำได้คล่องแคล่วขึ้น ไม่ต้องออกแรงมากเหมือนแต่ก่อน นิ่ง ให้การบังคับเลี้ยวที่แม่นยำ
ใช้ได้ดีขึ้น

ส่วนการขับขี่ในความเร็วเดินทาง และความเร็วสูง พวงมาลัยจะเริ่มหนืดขึ้น หนักขึ้นเรื่อยๆ
และจะหนืดพอกันกับ รุ่น Cooper S ล็อตแรกๆ ในช่วงความเร็วเกินกว่า 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขึ้นไป ภาพรวมแล้ว พวงมาลัยเบากว่าเดิมอย่างชัดเจนในช่วงความเร็วต่ำ หมุนหาที่จอดรถ
ง่ายขึ้น แต่ยังคงความหนืดในช่วงความเร็วสูงไว้ได้ดีเหมือนเดิม ระยะฟรี น้อย แบบเดียวกับ
รถรุ่นเดิม แต่แอบมีบางจังหวะเหมือนกันที่ยังส่งแรงสะเทือนจากพื้นถนนขึ้นมาให้คนขับ
รับรู้ได้ถึงมือเลยว่า หลุมบ่อตรงนี้ หน้าตาอย่างไร บางช่วง พวงมาลัยก็แอบมีอาการดิ้นเล็กๆ
อยู่บ้างนิดๆ แต่ไม่ได้ดิ้นจนน่ากลัวเหมือนกับ MINI รุ่นก่อนๆ ที่ผมเคยขับมา ถือว่ามีการ
ปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้น จนทำให้ การใช้ชีวิตประจำวันกับ MINI Coupe ไม่ยากเย็นเลย
ภาพรวมถือว่า พวงมาลัยของรถรุ่นใหม่ ทำงานได้ดีกว่ารถรุ่นเดิม ซึ่งมันควรจะเป็นแบบนี้
มาได้ตั้งนานแล้ว

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเหยียบคันเร่ง ออกตัวเต็มเท้า และปิดระบบควบคุมเสถียรภาพ DSC
(Dynamic Stability Control) ออก คุณจะพบว่า รถคันนี้ มีอาการ Torque Steer หรือ อาการ
แรงบิดส่งไปหมุนล้อหน้าเร็วเกินไปจนดอกยางไม่จับกับพื้นถนนมากพอ และทำให้เกิด
อาการพวงมาลัยดึงหน้ารถออกไปทางด้านใดด้านหนึ่ง อยู่บ้างเหมือนกัน ถ้าคุณขับรถคันนี้
ในเมือง ควรเปิดระบบ DSC ไว้ตลอด เพื่อความปลอดภัย เพราะเมื่อเปิดระบบให้ทำงาน
อาการดังกล่าวจะลดลงไปพอสมควร แต่ก็จะหลงเหลืออยู่บ้างนิดๆ พอให้รู้สึกสนุกในการ
ควบคุมพวงมาลัยช่วงออกรถเต็มตีน

การเก็บเสียงในห้องโดยสาร บริเวณพื้นที่ครึ่งคันหน้ารถ ทำได้ดีขึ้นมาก เสียงกระแสลมไม่เยอะ
แต่เฉพาะรถคันที่เราลองขับกันนี้ มีปัญหาบริเวณ ประตูฝั่งคนขับ เนื่องจาก มีการปรับตั้งประตู
มาไม่ดี ทำให้ แนวขอบกระจกหน้าต่าง ไม่เสมอเรียบไปกับ กระจกหน้าต่าง บานหลัง ซึ่งทำให้
ในขณะขับขี่ ผมจะได้ยินเสียงทั้งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง กำลังบ่นเรื่องการจราจรให้ผู้โดยสารฟัง
เสียงของเด็กแว๊น ที่กำลังคุยกันว่า เพิ่งจะไปใส่ล้อใหม่มา ไปจนถึงเสียงของรถสิบล้อ ที่แล่นมา
ข้างๆผม ชัดเจนมาก! จนแอบหวาดระแวงไปไม่น้อย ว่า ผมจะส่งเสียงคุยกันในรถ ดังไปจน
ผู้คนข้างนอกเขาจะได้ยินโดยบังเอิญบ้างหรือเปล่า? อันนี้ถือว่าเป็นปัญหาเฉพาะรถคันนี้ ส่วน
คันอื่นๆจะเป็นหรือเปล่านั้น ก่อนจะเซ็นชื่อรับรถ ในวันซื้อขาย กรุณาตรวจเช็คความสนิทและ
ต่อเนื่องของกระจกหน้าต่างกับ กระจกบานประตูรถกันให้ดีๆนะครับ

ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลัง แบบ Multi – Link พร้อมเหล็กกันโคลง
Anti-roll Bars ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง อันเป็นสิ่งที่ทำให้ MINI เลื่องชื่อลือชาว่า เป็นรถยนต์
ขับเคลื่อนล้อหน้า ที่มีบุคลิกเหมือนขับรถโก-คาร์ท (Go-Kart Feeling) มากที่สุด ก็ยังคงถูกปรับตั้ง
มาในสไตล์ แข็งสะเทือนอยู่ดี เพียงแต่ว่า แอบ Smooth ขึ้น ซับแรงสะเทือนในบางพื้นผิวได้ดีขึ้น
กว่า MINI รุ่นก่อนหน้านี้

อาการสะเทือนไปถึง ตับ ม้าม ไต หัวใจ และเซี่ยงจี๊ ลดลงไปนิดหน่อย ไม่มากนัก ยังคงไว้ซึ่ง
การตอบสนองที่ตึงตังอยู่ แต่ลดลง ทั้งที่ยังคงความมั่นใจได้ ทั้งในการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงๆ
หรือบนถนนตามตรอกซอกซอย ปีนป่ายไปตามเนินลูกระนาดต่างๆ

สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจนิดหน่อยก็อยู่ที่ ความนิ่งสนิทของ MINI Coupe ใหม่ ในย่านความเร็วสูง
เพราะแม้ว่า คุณจะไต่ขึ้นไปถึงความเร็วสูงสุดที่รดับ 226 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ MINI Coupe ก็ยัง
นิ่งสนิทดี ไม่มีความน่าหวาดเสียวอย่างที่ผมกังวลก่อนจะเริ่มทำการทดลองเสียด้วยซ้ำ ซึ่งต่างจาก
MINI คันอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ผมอยากฝากเตือน บรรดาคนรัก MINI รุ่นใหม่ๆ ทั้งหลายนิดนึงนะครับ ว่า ถ้าขับขี่
บนทางด่วนแล้วละก็ แม้ว่าจะเป็นช่วงพื้นถนนแห้ง ก็ตาม ขอให้ใช้ความระมัดระวังไม่ต่างจาก
การขับขี่บนพื้นถนนเปียกลื่น

เพราะสิ่งที่ผมพบเจอมาใน MINI หลายๆคันคือ ทันทีที่รถแล่นผ่านรอยต่อของทางด่วนซึ่งทำจาก
โลหะ รถมักจะเกิดอาการ แฉลบเล็กๆ ทางโค้งซ้าย ก็จะแฉลบออกไปทางขวานิดๆ และถ้าเป็นโค้ง
ขวา ก็จะมีอาการแฉลบออกทางด้านซ้ายด้วย ถ้าใช้ความเร็วระดับเกินกว่า 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขึ้นไปแล้ว ก็อาจจะรู้สึกเหวอได้มากกว่านี้อีก

ไม่ใช่ว่า MINI ไม่เกาะถนนนะครับ จริงๆแล้ว MNI หนะ เกาะถนนดีมากๆ แต่ต้นเหตุที่แท้จริงนั้น
อยู่ที่สภาพพื้นผิวจราจร และรอยเชื่อมต่อของคานโครงสร้างทางด่วนนั่นเอง ซึ่งออกแบบและซ่อม
กันมาไม่รู้จะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ยังก่ออันตรายกับคนขับรถได้ง่ายอยู่ดี

ระบบห้ามล้อ เป็นแบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ จานคู่หน้าเป็นแบบมีรูระบายความร้อน เส้นผ่าศูนย์กลาง
294 มิลลิเมตร หนา 22 มิลลิเมตร ส่วนจานเบรกหลัง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 259 มิลลิเมตร หนา
10 มิลลิเมตร

เสริมด้วยระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกระทันหัน ABS (Anti Brake-locking System) ระบบ
กระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronic Brake force Distribution) ระบบควบคุม
แรงดันน้ำมันเบรกในแต่ละล้อ ขณะเข้าโค้ง CBC (Cornering Brake Control) และระบบ ออกตัว
บนทางลาดชัน Hill Start Assistant ซึ่งทันทีที่คุณจอดอยู่บนทางขึ้นอาคารจอดรถ ห้างสรรพสินค้า
พอปล่อยเท้าจากคันเร่งปุ๊บ ระบบจะรั้งตรึงรถเอาไว้อยู่กับที่ราวๆ 3 วินาที เพื่อให้คุณเหยียบเร่ง
ออกตัว ส่งให้รถพุ่งขึ้นไปได้ง่ายดายโดยไร้กังวล (หากจอดพื้นราบ ระบบนี้จะไม่ทำงาน)

แป้นเบรกทำงานได้ Linear ดีมาก ต่อเนื่อง ต้องการให้ชะลอรถลงไปแค่ไหน ก็เหยียบลงไป
เท่าที่ต้องการ ไม่ต้องมากไปกว่านั้น ประสิทธิภาพในการเบรก ทำได้ดีมากๆ จนน่าประทับใจ
ชะลอความเร็วของรถลงได้อย่างอย่างต่อเนื่องตามสั่ง หรือจะให้หน่วงความเร็วลงมาจากระดับ
170 – 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ฉับไว นิ่ง และมั่นใจได้ดีมาก เพียงแต่ว่า หากต้องการจะเลี้ยง
แป้นเบรก ไปตามสภาพการจราจรที่เคลื่อนตัวได้ช้าสลับหยุดนิ่ง อาจต้องทำใจว่า เบรกจะมี
นิสัยเหมือน Golf GTi และ Scirocco ที่ยัง จึ๊กจั๊ก หยุดปุ็๊บหัวทิ่มปั๊บ ไม่ค่อยนุ่มนวลนัก ต้อง
ใช้ความพยายามในการฝึกฝนเท้า ให้เลียเบรกนิ่งๆ จนรถหยุดสนิทได้ แต่สุดท้าย ก็จะมีอาการ
จึ๊ก! มาให้เจอกันอยู่ดี

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

เหมือนเช่นปกติกับรถยนต์ทุกคันที่เรานำมาทำรีวิว เมื่อรับรถมาเรียบร้อย เราจะต้องทำการทดลอง
หาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ในช่วงกลางคืนวันเดียวกันทันที เหตุผลก็คือ นอกจากจะช่วยใน
การทำความเคยชินจากการขับขี่ ด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง คงที่ เรียนรู้การตอบสนองของ
คันเร่ง เบรก และพวงมาลัยบนทางยาวๆ แล้ว ยังช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายในการทำรีวิว ไม่ให้สูงมาก
จนเกินไปจากพิษของราคาน้ำมันอีกด้วย เพราะโดยปกติ บริษัทรถยนต์ ทุกราย จะเติมน้ำมันมาให้
เต็มถัง ก่อนส่งมอบรถยนต์ ให้กับสื่อมวลชน เสมอ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ยกเว้น ในบางกรณี เช่น
ผมจะบอกพวกเขาว่า ไม่ต้องเติมน้ำมันมาเลย เพราะบางบริษัท เติมน้ำมัน แก็สโซฮอลล์ 91 มาให้
ซึ่งจะทำให้เสียเวลาต้องขับรถผลาญน้ำมันทิ้ง โดยจับฟีลลิ่งด้านอื่นไปก่อน จนกว่าน้ำมันจะเหลือ
ราวๆ ต่ำกว่าครึ่งถัง จึงจะ ทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยกันได้)

แต่สำหรับรถทดลองขับของ BMW Thailand นั้น ผมค่อนข้างไว้ใจ และเชื่อมั่นในเรื่องผลอัตรา
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเอาเรื่อง ถ้าจำไม่ผิด BMW จะเติมน้ำมันของ Shell หรือ Caltex อยู่แล้ว อาจ
จะเป็น เบนซิน 95 หรือ แก็สโซฮอลล์ 95 ผมก็จำไม่ได้แน่ชัด แต่จะไม่มี ออกเทน 91 อยู่ในถัง
แน่ๆ ดังนั้น เราจึงสบายใจ ที่จะปล่อยให้พวกเขาเติมน้ำมันมาเลยจนเต็มถัง เพราะตัวเลขหลัง
การทดลองที่ออกมา ก็จะไม่หนีไปจากที่เราคาดหมายไว้แน่นอน

เราเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ที่ สถานีบริการ Caltex พงษ์สวัสดิ์ ริมถนนพหลโยธิน ใกล้กับ
สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ เนื่องจาก MINI Cooper S Coupe คันนี้ เป็นรถยนต์ที่มีค่าตัวแพงเกิน
กว่า 1.5 ล้านบาท และ ผู้ที่ซื้อรถยนต์รุ่นนี้ ให้ความสำคัญกับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ไม่มากนัก
เราจึงใช้วิธีการ เติมน้ำมันแค่หัวจ่ายตัดก็พอ ไม่เขย่ารถ

จากนั้น Set 0 บน Trip Meter กดปุ่ม บนมาตรวัดรอบ ฝั่งขวา เบาๆ ครั้งเดียว แล้วก็ Reset ค่าต่างๆ
ของ ระบบ Journety Computer บนหน้าจอ i-Drive ให้เริ่มต้นใหม่ทั้งหมด แล้วเราก็คาดเข็มขัด
นิรภัย ติดเครื่องยนต์ ออกรถช้าๆ เลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน ไปเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะไปออก
ปากซอยโรงเรียนเรวดี เลี้ยวขึ้นทางด่วนที่ด้านพระราม 6 มุ่งหน้าไปจนถึงปลายสุดสายทางด่วน
อุดรรัถยา (สายเชียงราก) ที่บางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับย้อนมาขึ้นทางด่วนเส้นเดิม ขับย้อนกลับมา
ตามเส้นทางเดิม ด้วยความเร็วมาตรฐานเดิม 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ (อุณหภูมิ 23 องศา
เซลเซียส พัดลมแอร์ เบอร์ 2) และ นั่ง 2 คน เป๊ะ!

เราเปิดระบบ Cruise Control ให้ทำงาน ล็อกความเร็วเอาไว้ ซึ่งระบบของ MINI ใช้งาน ง่ายกว่า
ของ BMW เองเสียอีก แต่ต้องทำความเข้าใจดีๆ ถ้าต้องการใช้งานระบบนี้ ให้กดสวิชต์ I/0 บน
พวงมาลัยฝั่งขวา 1 ครั้ง เป็นการเปิดระบบ หลังจากไต่ระดับขึ้นมาจนได้ความเร็วที่ต้องการแล้ว
กดปุ่ม + 1 ครั้ง เพื่อล็อกความเร็ว จากนี้ ถ้าจะเพิ่มความเร็วทีละ 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง ให้กด + เพิ่ม
แต่ถ้าต้องการลดความเร็วครั้งละ 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็กดปุ่ม – ถ้าต้องการยกเลิกระบบ ให้เหยียบ
แป้นเบรก หรือกดปุ่ม I/0 (ซึ่งก็คือปุ่ม Power นั่นละ) 1 ครั้ง ถ้าต้องการให้ระบบ พารถให้พุ่งกลับ
ขึ้นไปอยุ่ในความเร็วเดิมล่าสุดที่ล็อกไว้ กดปุ่ม RES 1 ครั้ง แต่ถ้าต้องการยกเลิก ปิดระบบไปเลย
ขณะที่ใช้ความเร็วซึ่งตั้งไว้อยู่ “ต้องกดปุ่ม I/0 2 ครั้ง จนกว่า ไฟสัญลักษณ์ ของระบบ สีเขียว จะ
ดับลงไปจาก หน้าจอมาตรวัดความเร็ว ขนาดยักษ์ กลางแผงหน้าปัด”

เราย้อนกลับมาลงทางด่วนที่อนุเาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพหลโยธินอีกครั้ง ไปเลี้ยวกลับ
ที่หน้าโชว์รูม เบน์ราชครู ตรงสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้วเลี้ยวซ้ายกลับเข้าสถานีบริการน้ำมัน
Caltex พงษ์สวัสดิ์บริการ ไปที่ตู้เดิม เติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ที่หัวจ่ายเดิม แค่หัวจ่ายตัดพอ
เติมลงไปในถังน้ำมันขนาด 50 ลิตร ของรถคันนี้ นั่นละครับ

เรามาดูตัวเลขที่ MINI Cooper S Coupe ทำได้กันดีกว่า
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 93.3 กิโลเมตร

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.01 ลิตร

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 15.52 กิโลเมตร/ลิตร

เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขกับ MINI คันอื่นๆ ที่เราเคยนำมาทำรีวิว กันแล้ว ต้องบอกว่า MINI ยังคง
รักษามาตรฐานความประหยัดน้ำมันของตนเอาไว้ได้ค่อนข้างดีเหมือนเช่นเคย เพียงแต่ว่า อาจจะ
ด้อยกว่าตัวเลขของรถรุ่นเก่าไปบ้าง ราวๆ 1 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งอันที่จริง ก็ไม่ควรเป็นเช่นนั้น แต่
ทำอย่างไรได้ครับ ในเมื่อ ตัวเลขอัตราเร่ง แรงขึ้น สมรรถนะดีขึ้น ดังนั้น การกินน้ำมันจึงเพิมขึ้น
ด้วยเป็นธรรมดา กระนั้น ก็ยังถือว่าทำตัวเลขได้ดีกว่า Skoda Fabia และ Volkswagen
Golf GTi ไปเพียงแค่ 1 หลักจุดทศนิยม เท่านั้น

แต่ถ้าจะถามว่า น้ำมัน 1 ถัง แล่นได้ไกลแค่ไหน ตอบได้เลยว่า จากการขับแบบใช้งานจริง วิ่งตั้งแต่
เซ็ต 0 ออกจากปั้ม Caltex พหลโยธิน มาจนถึงคืนก่อนวันส่งคืนรถ ใช้ความเร็วหลายรูปแบบ มีทั้ง
ขับเรื่อยๆ เอื่อยๆ หรือ เหยียบคันเร่งจมมิด เพื่อเร่งแซง

ตัวเลขที่ได้ก็คือ แล่นไปได้ 456 กิโลเมตร ก่อนที่ไฟเตือนน้ำมันหมดจะสว่างวาบขึ้นมาให้เสียวเล่น
และยังเหลือน้ำมันอีก 2 ขีด แล่นได้ราวๆ 50 กิโลเมตร ดังนั้น เท่ากับว่า น้ำมัน 1 ถัง จะพา MINI
Cooper S Coupe ไปวิ่งเล่นได้ทั้งหมด ราวๆ 500 – 520 กิโลเมตร ก่อนน้ำมันจะเกลี้ยงถังจริงๆ

********** สรุป **********
A Powerful and great handling richman’s toy….
ขับสนุกมาก เก็บสะสมได้ดีแน่ๆ แต่ถ้าจะซื้อใช้งาน รุ่น Hatchback หรือเปิดประทุนก็พอ (มั้ง)

ผมคืนกุญแจ รถคันสีแดง หลังคาสีเงิน คันนี้ที่อาคารย่านชิดลมตอนบ่าย 4 โมงเศษๆ ด้วย
อารมณ์สงบนิ่ง ปกติ ซึ่งผิดไปจากการคืนกุญแจรถยนต์คันอื่นๆในค่าย BMW ไปบ้าง
แต่ก็เป็นเช่นเดียวกันนี้เรื่อยมา เพียงแต่ว่า คุณผู้อ่าน คงจะคิดบ้างแหละว่า นี่ผมไม่ได้
รู้สึกถวิลหาอะไรกับ MINI Coupe คันนี้เลยเหรอ?

ตอบกันตรงๆนี่แหละครับว่า มีบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถวิลหาถึงขั้นไม่อยากคืนกุญแจแต่อย่างใด

ผมไม่เถียงเลยครับ ว่า MINI Cooper S Coupe ยังคงให้สมรรถนะ ในการขับขี่ ที่ดีมากๆ
เหมือนเช่น MINI ยุคใหม่ คันอื่นๆ ที่ผมเคยลองขับ อัตราเร่งที่ปรู๊ดปร๊าด ตอบสนองได้
ฉับไว เร่งได้ทันอกทันใจ ในทุกช่วงความเร็ว พาให้รถพุ่งพรวดไปเป็นกระสุนปืน นำคุณ
ผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤติได้อย่างคล่องแล่ว คล่องตัว ประหยัดน้ำมันในระดับที่ดีใช้ได้ และ
ให้่คุณได้เพลิดเพลินกับการขับขี่บนทางโค้งคดเคี้ยว อย่างมั่นใจ (ถ้าไม่ใช้ความเร็วมาก
เกินไป และถ้าในโค้งนั้น เรียบเนียนสนิท ไม่มีรอยต่อถนนมาทำให้คุณต้องเจออาการ
ท้ายดิ้นโดยไม่จำเป็น อันเป็นนิสัยปกติของ MINI รุ่นใหม่ๆ)

ที่สำคัญ มันสวย เรียกสายตาผู้คนบนท้องถนนได้ดีเสียยิ่งกว่า MINI ผู้พี่ทั้งหลายซะด้วยซ้ำ

แน่ละครับ แนวเส้นหลังคาแบบ Helmet Roof เนี่ย ถือเป็นงานออกแบบที่กล้าหาญชาญชัย
มากๆ เพราะโดยปกติแล้ว หานักออกแบบ ที่กล้าร่ายเวตมนต์ พรหมคาถา จรดปลายปากกา
Stylus ร่างแนวเส้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ออกมาได้ขนาดนี้ แทบไม่เจอได้ง่ายนัก แถม
ยังต้องยกย่องให้ ผู้บริหารของ BMW Group และ MINI ที่กล้าเปิดไฟเขียวให้งานพัฒนา
รถยนต์ Coupe 2 ประตู 2 ที่นั่งแบบนี้ เข้าสู่สายการผลิตได้เต็มรูปแบบ ทั้งที่ความเสี่ยงต่อ
ยอดขายอันอาจจะไม่มากมายเท่า MINI คันอื่นๆ ในตระกูล นั้น มีสูงมากๆ

อย่างไรก็ตาม แนวเส้นตัวถังของรถรุ่นนี้ แม้จะสวยงามมากแค่ไหน ทว่า มันก็มีด้านตรงข้าม
อันไม่ค่อยโสภานัก สำหรับคนที่รักการขับรถ เพราะด้วยการออกแบบให้หลังคาเตี้ย มาติดตั้ง
อยู่กกับรถซึ่ง “เตี้ยเป็นปกติ” ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้วนั้น กลับยิ่งทำให้ทัศนวิสัย และการ
มองเห็นภายนอก จากตำแหน่งคนขับ อึดอัด ไม่สบายสายตา กะระยะลำบาก จนก่อความ
หงุดหงิดในการขับได้บ้างเหมือนกัน

MINI Coupe เป็น MINI ที่คุณจำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ไปตามถนนใน
ตัวเมือง มากกว่า MINI คันอื่นๆ ที่ผ่านๆมา ทัศนวิสัยที่ไม่ดี เพราะตั้งใจทำบรรยากาศในรถ
ให้เหมือน หรือใกล้เคียงกับรถสปอร์ตราคาแพงๆมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ทำให้การเปลี่ยน
เลนต่างๆ ต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นกว่า MINI คันอื่นๆอยู่มาก

ที่สำคัญ การที่มันมีเบาะแค่ 2 ที่นั่ง ทำให้รถคันนี้ กลายเป็นรถสปอร์ตแบบ Personal Car
เต็มขั้น ไม่มีพื้นที่สำหรับพาผองเพื่อนไปเฮฮาต่อได้เลย ผมคงจะพอให้อภัยได้ หาก
รถคันนี้ เป็น MINI Radster เปิดหลังคาได้ ซึ่งน่าจะให้อรรถรสการขับขี่ครบถ้วน ไม่ว่า
จะเป็นการเปิด หรือปิดหลังคา แต่ MINI Coupe คุณต้องขับรถไปด้วยบรรยากาศที่เหมือน
การสวมหมวกกันน็อกไว้ตลอดเวลา สมดังชื่อหลังคา Helmet Roof ซึ่งผมอยากจะเปลี่ยน
ชื่อให้มันเสียใหม่ว่า Hell(met) Roof จริงๆ แม้ว่าผมจะชื่นชอบในความสวยของมันมากๆ
แค่ไหนก็ตาม

คุณอาจบอกว่า ใน กทม. ใครจะใช้รถเปิดประทุนกัน? ตอบได้เลยครับว่า “มีนะ ไม่ใช่ไม่มี
แต่มีในตอนกลางคืน หรือไม่ก็ เอาออกไปขับต่างจังหวัด” และรถ 2 ที่นั่ง สำหรับเมืองไทย
ควรเป็นแบบเปิดประทุน หลังคาแข็ง เพราะมิเช่นนั้น เราจะซื้อรถยนต์ 2 ที่นั่ง หลังคาแข็ง
มาขับกันทำไมละ ถ้ามันพับเก็บไม่ได้?

ยิ่งพอมามองป้ายราคาค่าตัวของ MINI Cooper Coupe ซึ่งแปะป้ายไว้ที่ 2,320,000 บาท กับ
MINI Cooper S Coupe ราคา 2,890,000 บาท ก็ยิ่งทำให้รถคันนี้ แทบไม่มีความคุ้มค่าใด
ทางเศรษฐศาสตร์ ให้เป็นเจ้าของในระยะเวลาสั้นๆ อยู่เลย หากยกเอาแต่เหตุผลมาพูดคุย
กันบนโต๊ะเจรจา เพราะในปัจจุบัน MINI Cooper และ Cooper S ตัวถัง Hatchback นั่งได้
4 คน สบายๆกว่านี้ ก็ติดป้ายราคาในระดับใกล้เคียงไล่เลี่ยพอๆกันเลย

หรือถ้ามองออกไปนอกโชว์รูม BMW / MINI หากคุณมองหารถสปอร์ต ขับสนุก ราคาใน
ระดับ 2 – 3 ล้านบาท ในตลาดรถยนต์บ้านเรา ก็มีทางเลือกอีกมากมายในระดับราคา แถมมี
สมรรถนะจากเครื่องยนต์ ใกล้เคียง หรือดีกว่า MINI Cooper S Coupe ด้วยซ้ำ

Skoda Fabia RS 1.4 TSI แรงกว่า ในราคาถูกกว่ากันเกือบครึ่ง เข้าโค้งโอเค แต่ตำแหน่งเบาะ
อาจสูงไปหน่อย หรือถ้าจะมอง Volkswagen Golf GTi กับ Volkswagen Scirocco ที่มีค่าตัว
2.4 – 2.8 ล้านบาท ไล่เลี่ยกัน ก็ยังได้รถที่มีตัวถังใหญ่กว่า เครื่องแรงกว่า กินน้ำมันพอๆกัน
ไม่หนีกันมากนัก หรือถ้าอยากได้รถขับสนุก เครื่องอาจจะไม่แรงนัก แต่เอาไปโมดิฟายต่อ
ก็ยังเป็นไปได้ Mazda MX-5 เปิดประทุน ก็สามารถฟัดเหวี่ยงกับ Cooper S Coupe คันนี้
ได้ในแง่บรรยากาศการขับขี่ หรือว่าจะรอ Toyota 86 รถสปอร์ตขับล้อหลัง ที่ทำให้ผมรู้สึก
เซ็งเป็ดได้ตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มสร้างยันวันประกาศราคาขาย 2.4 – 2.8 ล้านบาท จาก Toyota
Motor Thailand ก็ได้อีก

แล้ว MINI Coupe มันไม่น่าสนใจจะซื้อเลยเลยเหรอ?

ไม่หรอก มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น…

นอกจากรถคันนี้ จะเหมาะกับลูกค้าวัยไม่เกิน 35 ปีที่ต้องการ รถสปอร์ต ขนาดเล็ก 2 ที่นั่ง
ขับสนุก แรงฉับไว ทันใจทันเท้า และยังกำหนดความต้องการส่วนตัวมาอย่างชัดเจนเลยว่า
ต้องเป็นหลังคาแข็ง เท่านั้น โดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นรถขับล้อหน้า หรือขับล้อหลัง ขอแค่
ฉันได้สนุกกับการขับขี่ ก็พอแล้วนั้น

ตาเอก Backseat Driver ในฐานะผู้คร่ำหวอดในการทำงานวงการรถยนต์ และการตลาด
มองเอาไว้ว่า ถ้าเขาคิดจะซื้อรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ไว้เป็นรถคลาสสิกในอีก 30 ปีข้างหน้า
หนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆของเขา ก็คือ MINI Coupe คันนี้นั่นแหละ!!

เหอ!!??

ตาเอก ให้เหตุผลไว้ โดยสรุปประมาณว่า ปริมาณของลูกค้าที่จะซื้อรถรุ่นนี้ อาจจะไม่เยอะ
ดังนั้น ปริมาณของรถที่จะเข้ามาในบ้านเรานั้น น่าจะไม่มากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับ MINI
รุ่นอื่นๆ ซึ่งนั่นจะทำให้ รถรุ่นนี้ มีโอกาสจะหายาก มากกว่า MINI รุ่นอื่นๆ เมื่อเวลาล่วงเลย
ไปถึง 30 ปีข้างหน้า และด้วยความสวย ความแปลก จากความกล้าหาญในการออกแบบของมัน
จะช่วยพยุงราคารถมือสองของมัน ในวันนั้น จนทำให้มันกลายเป็น รถคลาสสิก ในสายตา
ของบรรดาลูกหลานพวกเรา ในอีก 30 – 40 ปีข้างหน้าแน่ๆ

เออเว้ย! น่าคิดแหะ!

แต่…เมื่อกลับมามองความเป็นจริง ในระยะเวลาใกล้ๆ ไม่เกิน 10 ปี ถ้าคุณยังอยากได้ MINI
จริงๆ เอามาใช้งาน เป็นรถส่วนตัว ขับไปไหนมาไหน ช้อปปิง ทำงาน กินเลี้ยงกับเพื่อนฝูง
หรือว่า ขับไปเที่ยวเล่นต่างจังหวัดอย่างสบายใจได้ 3 – 4 คน MINI Hatchback และ ตัวถัง
เปิดประทุน Cabriolet 4 ที่นั่ง ยังคงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า Chic ได้พอกัน เท่ได้ไม่แพ้กัน

แต่ถ้าคุณ มีแนวคิดเหมือนตาเอก Backseat Driver แห่ง The Coup Team ของเรา การลงทุน
ซื้อ MINI Coupe ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Cooper ธรรมดา หรือ Cooper S เพื่อการสะสมไว้ในคลัง
Collection รถยนต์ของบ้านคุณ ก็เป็นแนวคิดที่ ไม่เลวเหมือนกันแหะ

เพียงแต่ว่า ถ้าจะซื้อจริง…และอยากได้รถ 2 ที่นั่ง จริงๆ ผมว่า

ขอลองขับ MINI Roadster ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ จะดีกว่าไหม?

———————————–///————————————

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks
คุณ พิศมัย เตียงพาณิชย์
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท BMW (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

————————————————————

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
14 เมษายน 2012

Copyright (c) 2012 Text and Pictures
Use of such content either in part
or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
April 14th,2011

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! Click Here!