เซอร์ไพรส์ ไหมครับ คุณผู้อ่าน?

อาจจะเกินคามคาดหมาย ของหลายคน
เป็นไปตามความคาดหมาย ของหลายคน
หรือว่าต่ำกว่าความคาดหมาย ของหลายคน

แต่สำหรับผมแล้ว นี่คือเรื่อง เซอร์ไพรส์ เรื่องหนึ่ง ในปี 2010 นี้เลยทีเดียว

คุณผู้อ่านอาจสงสัย อยู่ในที
“ไหนเคยบอกว่า คุณจิมมี่ ไม่มีคอนเนคชันกับทาง Volkswagen ไง?”

ครับ เมื่อก่อนอาจจะไม่…แต่เดี๋ยวนี้ มีแล้วละ….

ตั้งแต่จำความได้ จนวันนี้ อายุอานามปาเข้าไป 30 ปี เข้าให้แล้ว
ในอดีต Volkswagen ที่ผมเคยสัมผัส ก็มักเป็นรถในยุคก่อนๆของพวกเขา
ตั้งแต่ เจ้าเต่าน้อยคันสีเหลือง ของนาย Jazzmiroquai เพื่อนเก่าแก่คนหนึ่ง
ใน พันทิบ ที่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะไปได้ดิบได้ดี ในแวดวงโฆษณา ไปแล้ว
ยังจำได้ดี ในฐานะ คนที่ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับรถเต่า ขับแล้วก็ไม่ค่อย
ประทับจิตอะไรนัก พวงมาลัยแบบโบราณกาล ไม่มีระบบผ่อนแรงเพาเวอร์
มีแต่ระบบ เพาเย่อ แอร์ ซึ่งมาติดทีหลัง ก็เริ่มไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ ขับกันแต่ละที
เรียกเหงื่อได้ไม่แพ้ ไปเข้าฟิดเนส สัก 6 ชั่วโมงติด แต่เป็นรถคันที่ผมแอบมี
ความทรงจำดีๆ กับผู้เป็นเจ้าของรถ เล็กน้อย ในฐานะ เพื่อนสนิท ในยุคสมัยหนึ่ง

คันต่อมา ก็คงเป็น เต่าน้อย แต่ง Retro สไตล์ Classic เต็มยศ ของ คุณ ตั้ม
Monotone Group ซึ่งต่อมา ก็ขายต่อให้กับคนอื่นไปแล้ว เพราะดูแลไม่ไหว
คันนั้น สภาพสวยจริง ใครได้ไป น่าจะรักษาไว้ให้ดีๆ เลยทีเดียว ไฟเลี้ยว
แบบกระดก ของแท้ เจ้าตัวเคยเล่าว่า แทบพลิกแผ่นดินหา ได้มา ชิ้นละ 5,000 บาท….!!!

และคันที่ใกล้ตัวที่สุด ก็ของคุณอาข้าพเจ้านั่นเอง Passat 2.0 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ
115 แรงม้า อันอืดอาด จนไม่รู้ว่าจะอืดไปวิ่งแข่งกับเต่าตะพาบน้ำ ไหวหรือเปล่านั่น
โชคดี ที่เจ้าของรถ เป็นคนขับช้าเรื่อยเปื่อย สบายๆ  ไม่เช่นนั้น คงมีเรื่องน่าปวดหัว
เพิ่มขึ้นอีก 1 เรื่อง ถ้าไม่นับรวมกับ เสียงบ่นว่า ค่าอะไหล่ แพงมากกกกก อันเป็น
เสียงบ่นที่เรามักได้ยินเป็นประจำ ทุกครั้งที่ผมต้องไปพบกับคุณอาของผมคนนี้

ยังไม่นับ Golf Mk-III 5 ประตู ของเพื่อนคนหนึ่ง ที่เคยนั่งอาศัยติดรถ
ตอนยังเรียนอยู่ มัธยมปลาย จำได้ดีว่า แผงพลาสติกภายในห้องโดยสาร
ไม่ทราบว่าจะแข็งกันขนาดนั้นไปทำไมครับพี่?

นั่นละครับ Volkswagen แค่ 4 คันเท่านั้น ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมอย่างจังๆ

แต่ในช่วง 4 ปีให้หลังมานี้ หากคุณเปิดดูในเว็บไซต์ หรือนิตยสารรถยนต์ จากต่างประเทศบ่อยๆ
คุณจะเริ่มพบเห็น ความเปลี่ยนแปลงในการทำรถของ Volkswagen อย่างชัดเจน หลายๆรุ่น
ตั้งแต่งานออกแบบ ที่ลงตัวกว่าเดิม ทางเลือกของแต่ละรุ่น ที่เพิ่มขึ้นมากมาย อย่างต่อเนื่อง
เครื่องยนต์ ทั้งเบนซิน และดีเซล ยุคใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้น ให้ทั้งแรงและประหยัดในเวลาเดียวกัน

ความอยากลองขับ ก็บังเกิด…แต่จะมีหนทางใดกันละ?

เพราะช่วงก่อนหน้านั้น 3 ปี สถานการณ์ของ VW ในเมืองไทยถือได้ว่าค่อนข้างนิ่งมากๆ
Passat TDi และ V5 คือรถเก๋งรุ่นเดียวที่ยังเหลือทำตลาดอยู่ แบบกระปริบกระปรอย
ส่วนรถตู้ Caravelle ที่เคยได้รับความนิยมจากนักการเมืองและเศรษฐีน้อยใหญ่ในบ้านเรา
ก็เริ่มมียอดจำหน่ายลดลง อยู่ในระดับแค่เพียงประคองตัวได้เท่านั้น ความหวังที่จะได้เห็น
รถรุ่นสดใหม่คันอื่นๆ เข้ามาขายในบ้านเรา เลือนลางเต็มที

แล้วจู่ๆ หลังการแบ่งสรร อำนาจการบริหารงาน ภายในเครือยนตรกิจ ที่เกิดขึ้น
ในช่วงต้นปี 2009 นั้นเอง ทำให้ทุกสิ่งเริ่มเข้าที่ ไทยยานยนต์ กลายเป็นกลุ่มที่รับหน้าที่
ดูแลการทำตลาด VW ในเมืองไทยทั้งหมด พวกเขาเริ่มเปิดตัวอีกครั้ง ในงาน
Bangkok International Motor Show เมื่อเดือนมนาคม 2009 ด้วยการลงทุนเช่าพื้นที่
ขนาดใหญ่โต เปิดบูธอลังการเป็นที่สุด เท่าที่ VW เคยทำมาในไทย แถมยังเดินหน้าบุกตลาด
ด้วยการสั่ง รถยนต์รุ่นใหม่ 4 รุ่นรวด เข้ามาขาย ทั้ง Golf ใหม่ Mk-VI, Passat CC,Tiguan
และ เต่าน้อย Beetle Minorchange เรียกเสียงฮือฮา และเรียกลูกค้า เดินเข้ามาดูพร้อมกับสั่งจอง
ไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว…

เริ่มมองเห็นความหวังอยู่รำไร แต่ เราจะทำอย่างไร ถึงจะได้นำรถเยอรมันค่ายนี้มาทำรีวิว?

ผมได้แต่เฝ้ารอจังหวะ รอโอกาสอยู่นานเป็นปี เพราะไม่รู้ว่าจะต้องติดต่อกับใคร
ครั้นจะให้ จู่ๆ ทำหนังสือเข้าไปขอยืมรถเลย มันก็มิใช่วิถีปฏิบัติของผมเท่าใดนัก
เลยได้แต่นั่งดูการทำตลาดของรถยี่ห้อนี้ อยู่ห่างๆ เรื่อยมา

จริงอยู่ครับ ว่าคุณผู้อ่านทุกคน น่าจะพอทราบมาบ้างว่า ตัวตนที่แท้จริงของผมเป็นอย่างไร
ทำงานในแวดวงนี้มาเรื่อยๆ ตั้งแต่ ปลายปี 1998  แต่เราก็ยังต้องยอมรับความจริงว่า
มีผู้คนอีกมาก ที่ยังไม่รู้จักหรือคุ้นชื่อของผม มาก่อน และยังอาจมีคนมองว่า ผมนั้น
“ไม่ใช่สื่อมวลชน”

สงสัยว่าเครดิตเราคงจะยังไม่ดีพอในสายตาคนเหล่านั้น ซึ่งเมื่อกลับมานั่งพิจารณา
ทบทวนดูอย่างเป็นกลาง และตรงไปตรงมา ไม่เข้าข้างตัวเอง ผมก็ไม่ได้ทำอะไร
ที่ขาดตกบกพร่องไปจากการเป็นสื่อมวลชนที่ดี อย่างที่ใจตัวเองเคยตั้งปณิธานไว้
ตั้งแต่สมัย 10 กว่าปีก่อน มาสักหน่อย

ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจดีว่าสำหรับบางคน ลำพังมีแค่เว็บไซต์
มันดูกระจอกงอกง่อยมาก แต่สักวันหนึ่ง คนเหล่านั้น จะเริ่มรู้เองละว่า
คุณค่าที่แท้จริงของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หนะ มันเป็นอย่างไร

คิดดูแล้วกันว่า แม้แต่เจ้าพ่อสื่อตัวจริงทั้งหลาย เขายังตระหนักในเรื่องนี้ดี
ไม่เช่นนั้น บรรดาหนังสือพิมพ์รายวันหัวใหญ่ๆ ที่เป็นที่รู้จักของคนไทย
นับสิบๆล้าน แทบทุกแห่ง เขาจะเริ่มหันมาลงทุนปรับปรุง พัฒนาเว็บไซต์
ของตนเอง กันไปเพื่ออะไร?

แต่…ผมจะมานั่งบ่นทำไม ก็ในเมื่อ พี่แกะ พี่สาวแสนดีของผมคนหนึ่ง
ซึ่งทำงานอยู่ที่ Hyundai เคยร่วมงานกับทาง VW มาก่อน ได้ให้คำแนะนำ
และช่วยเหลือประสานงาน จนทำให้เว็บเราได้เริ่มต้นความสัมพันธ์อันดี
กับ VW เสียที

ด้วยความเอื้อเฟื้อของ พี่แกะ ทำให้เราได้มีโอกาส ทำความรู้จักกัน
ทางโทรศัพท์ กับ คุณรณชัย จินวัฒนาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ ของ
บริษัท ไทยยานยนตร์ จำกัด
ย่านรองเมือง ผู้นำเข้าและจำหน่าย
Volkswagen ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ ทำให้เราได้มีโอกาส
ทดลองขับ และทำรีวิว รถเยอรมันยี่ห้อนี้อย่างไม่คาดฝัน

การได้คุยกับคุณรณขัย และลูกน้อง คือ คุณวศิน ได้ทำให้ความรู้สึกติดลบต่างๆ
ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ หายไปหมดสิ้น หายไปจนเกลี้ยงกันเลยทีเดียว

และทางคุณรณชัยเอง ก็บอกกับผมโดยตรงว่า คราวหลัง ถ้าจะติดต่อยืมรถ หรือขอข้อมูล
อะไรก็ตาม สามารถติดต่อได้ที่คุณรณชัย และคุณวศิน โดยตรงได้เลย ไม่ต้องติดต่อกับ
ทางดีลเลอร์ เพราะทางไทยยานยนตร์ ถือเป็นสำนักงานใหญ่ ซึ่งถือสิทธิ์ การเป็นผู้นำเข้า
และทำตลาด VW ในไทย อย่างเป็นทางการ ที่แท้จริง

ซึ่งต้องขอขอบคุณ คุณรณชัย เป็นอย่างสูง มา ณ โอกาสนี้
ที่ เปิดโอกาสให้เราได้รู้จัก กับตัวตน ของ Volkswagen ยุคใหม่

และเหนือสิ่งอื่นใด เราอยากจะขอขอบคุณพี่แกะ แห่ง Hyundai ไว้ ณ ที่นี้
เป็นอย่างยิ่งยวด กับน้ำใจก้อนใหญ่โตมากในครั้งนี้ รวมทั้ง มิตรไมตรี อันดี
ตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน และกับการที่ยังมองเห็นว่า ผม เป็น “สื่อมวลชน” อยู่

เมื่อหลังจากได้ทดลองขับ ผมเริ่มคิดว่า ถ้าจะต้องถ่ายภาพทำรีวิวกันในแบบเดิมๆ
ภาพที่ออกมา ก็จะดูไม่ค่อยเหมาะสมกับ บุคลิกของตัวรถสักเท่าไหร่ ดังนั้น ผมจึง
โทรถามตาแพน Commander CHENG ให้ติดต่อกับช่างภาพ มือระดับ Amature คนหนึ่ง
เพื่อมาช่วยสร้างภาพชุดนี้ขึ้นมา ให้เป็นจริง

Tee Abuser ก็คือช่างภาพ ที่ทั้งถ่ายภาพเอง วิ่งรอกจัดแสงเอง ในภาพส่วนที่เป็นตัวรถ
ในตอนกลางคืนทั้งหมด (แต่ภาพอื่นๆ อันเป็นช็อตมาตรฐาน กลางวัน ของเรา ผมก็ยังคงต้อง
ถ่ายเองเหมือนเดิม อยู่ดี)

ฝีมือของน้องตี้ ออกมาได้ ดังใจผมต้องการพอดี ในทุกอย่าง ตรงกับสิ่งที่คิดและอยากได้
อยู่ในใจมาตลอด

ทุกภาพที่ถูกบันทึกไว้ แสดงตัวตนลึกๆ ของ Golf GTi HighLine คันสีแดง Tornado Red  
คันนี้ ในมุมมองของผม ออกมาได้ กระจ่าง ท่ามกลางความมืดมิด ในคืนวันถ่ายทำ

ตัวตนที่ ทำให้ผม และพวกเรา The Coup Team ทั้งหมด มอง VW เปลี่ยนไปจากเดิม อย่างสิ้นเชิง…

และอย่างเริงร่า บ้าคลั่งไปแล้ว เสียด้วย!

คนไทยที่เกิดในยุคหลังปี 1980 ขึ้นมา หากไม่ได้เป็นคนที่สนใจใฝ่หาความรู้เรื่องรถยนต์
จากทั้งในและต่างประเทศ หรือ หากไม่เคยไปเรียนเมืองนอกเมืองนา ก็คงมีไม่มากนัก
ที่จะคุ้นเคยกับ Volkswagen Golf  อันที่จริง กิติศัพท์ของ Golf นั้น โด่งดังมาก ในฐานะรถยนต์นั่ง
พิกัด C-Segment : Compact Class ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ในยุโรป ไม่แพ้ Toyota Corolla เลย
เอาง่ายๆก็คือ ตลอด 20 ปีก่อนหน้านี้ ถ้าคนไทย คิดไม่ออก ว่าจะซื้อรถอะไรดี ก็จะมองหา
Toyota Corolla และคนอังกฤษ ที่คิดซื้อรถ ก็นึกถึง Ford Escort (ต่อมาก็คือ Focus) แล้วละก็
ในเยอรมัน ถ้าใครคิดไม่ออกว่าจะซื้ออะไร รถรุ่นพื้นฐานที่พวกเขาจดจำได้ดี และคิดเอาไว้
เป็นตัวเลือกในอันดับแรกๆคือ Golf นี่แหละ!

ชื่อรุ่น Golf นั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวพันอะไรเลยกับกีฬาที่สร้างชื่อให้กับ Greg Norman  
ไปจนถึง Tiger Woods หากแต่มาจากคำว่า Golf-Strom ในภาษาเยอรมัน หรือ Gulf Stream
ในภาษาอังกฤษ อันแปลกว่า กระแสน้ำอุ่น ในมหาสมุทร Atlantic เหตุที่เอาชื่อนี้มาตั้งชื่อรถ
ยังไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่คาดเดากันว่า มาจากความพยายามที่จะสร้างชื่อรุ่นรถที่สามารถเรียกกันได้
รู้จักกันได้ง่าย เพียงพยางค์เดียว ทั่วโลก ออกเสียงได้ไม่ยาก อีกทั้ง ยังเปรียบเหมือนการ
สร้างรถรุ่นใหม่ ให้มีกระแสความนิยมสูง ราวกับ กระแสน้ำอุ่นที่ไหลผ่านมหาสมุทร ไปยัง
ภูมิภาคอื่นๆในโลก อีกด้วย…ว่าไปนั่น ก็เดากันไปต่างๆนาๆ

งานพัฒนา Golf รุ่นแรก เริ่มขึ้นในปี 1969 ด้วยเหตุผลที่ VW เอง ต้องเริ่มมองหารถยนต์รุ่นใหม่
มาทำตลาดแทน เจ้าเต่าทอง ที่นับวันยิ่งมีแต่ร่วงโรย ความสดใหม่ ไม่อาจสู่คู่แข่งได้เลย หนำซ้ำ
ในช่วงนั้น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์รุ่นไหนๆ ของ VW ก็ ขายไม่ค่อยได้เรื่องกันเลยสักรุ่น VW
ใช้เวลาถึง 5 ปี ในการทำงานด้านวิศวกรรม ควบคู่ไปพร้อมการร่วมงานกับ นักออกแบบรถยนต์อิสระ
ชื่อดังในยุคนั้น อย่าง Giorgetto Giugiaro เพื่อสร้าง Golf รุ่นแรก หรือ Mk-I รหัสรุ่น Type 17
ให้พร้อมเปิดตัว สู่สาธารณชน ช่วงฤดูร้อนของยุโรป ในปี 1974

และในปีต่อมา Golf GTi รุ่นแรก ก็คลอดออกมา ด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบ 1,588 ซีซี หัวฉีด K-Jetronics
110 แรงม้า (PS) ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.21 กก.-ม.ที่ 5,000 รอบ/นาที ก็เผยโฉมเป็นครั้งแรก
ณ งาน Frankfurt Motor Show 1975 เพื่อหวังต่อกรกับ รถยนต์ Hatchback ที่มีสมรรถนะดีสุด อย่าง
Renault 5 Gordhini ซึ่งแน่นอน ทำได้สำเร็จ ทุกวันนี้ Renault 5 กลายเป็นตำนานไปแล้ว แต่ GTi
ยังเป็นตำนานที่มีลมหายใจอยู่จนถึงปัจจุบัน เวลาผ่านไปร่วม 30 ปี VW ผลิต Golf ออกมามากถึง
5 เจเนอเรชัน และทุกรุ่น ก็ได้รับความนิยมอย่างสูง ด้วยยอดผลิตสะสมจากโรงงานทั่วโลกจนถึง
30 มีนาคม 2007 รวมแล้วมากถึง 25 ล้านคัน ในจำนวนนี้ กว่า 15 ล้านคัน ถูกผลิตขึ้นจากโรงงาน
ของสำนักงานใหญ่ในเมือง Wolfsburg อันเป็นหนึ่งในโรงงานผลิตรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ในโลก VW สามารถผลิต Golf และรถรุ่นอื่นๆได้ ในอาคารขนาดยักษ์ ที่ใช้หลังคาร่วมกัน
เพียง 1 เดียว บนพื้นที่ใหญ่ถึง 6 ตารางกิโลเมตร!! แน่นอน มันใหญ่กว่า เกาะ Monaco ซะอีก!!

ที่สำคัญ ในจำนวนดังกล่าว มียอดผลิตสะสมของ Golf GTi นับตั้งแต่ปี 1975 ถึงเดือนสิงหาคม 2008
ทั้งหมด มากถึง 1.7 ล้านคัน รวมอยู่ด้วย!!

6 สิงหาคม 2008 เป็นวันที่ Volkswagen เผยโฉม Golf Mk-VI ตัวถังปัจจุบัน เป็นครั้งแรก
และเพื่อสานต่อตำนานความแรง จากรหัส GTi ในเวลาไล่เลี่ยกัน เวอร์ชันต้นแบบของ
Golf GTi Mk-VI รุ่นปัจจุบัน ก็ถูกเปิดผ้าคลุมออกเป็นครั้งแรกในงาน Paris Auto Salon
เมื่อเดือนกันยายน 2008 หรืออีก 1 เดือนถัดมา

จากนั้น พวกเขาก็พร้อมปล่อย เวอร์ชันจำหน่ายจริง ออกสู่ตลาดยุโรป เมื่อ 23 มีนาคม 2009
และ เพิ่งถูกสั่งเข้ามาเปิดตัวในไทยครั้งแรก เมื่อ 25 พฤศจิกายน 2009 และอวดโฉมต่อสาธารณชน
อย่างเป็นทางการ ในงาน Motor Expo เมื่อ เดือนธันวาคม 2009 นี่เอง ดังนั้น รถรุ่นนี้ถือว่า
เพิ่งออกจากเตาอบ กัน สดๆร้อนๆ จากเมือง Wolfsburg เลยทีเดียว

Golf Mk-VI ทุกคัน ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นตัวถัง พื้นตัวถัง Volkswagen A-Platform
(หรือรหัส PQ35) ซึ่งเป็น พื้นตัวถังเดิมของ Golf Mk-V ไปจนถึง Audi A3 รุ่นล่าสุด
Volkswagen EOS กับ Scirocco ใหม่ ฯลฯ อีกหลายรุ่น

Golf GTi Mk-VI เป็นผลงานร่วมกันระหว่าง หัวหน้าโครงการพัฒนา Dr. Ulrich Hackenberg  
ทำงานร่วมกับทั้ง หัวหน้าทีมออกแบบ  Walter De Silva หัวหน้าทีมออกแบบ ที่ทำงานอยู่กับ
VW มาหลายปีแล้ว เป็นผู้อยู่เบื้องหลังรถรุ่นดังๆหลายรุ่น และเป็นหนึ่งในนักออกแบบรถยนต์
ระดับตำนาน แห่งยุค 1990 – 2000 รวมทั้งอดีตนักแข่งรถ F1 ชาวเยอรมัน อารมณ์ขัน อย่าง
Hans-Joachim Stuck ผู้ซึ่งโด่งดังในวงการแข่งรถระดับสากล ปัจจุบันนี้ Stuck เจ้าของฉายา
“Strietzel” ทำงานร่วมกับ Volkswagen AG ในแผนก Volkswagen MotorSport ในฐานะ
นักแข่งรถ และผู้เชี่ยวชาญด้าน การปรับแต่ง Chassis และระบบขับเดลื่อน ซึ่งมีส่วนสำคัญ
อย่างยิ่งในการพัฒนารถรุ่นที่คุณเห็นกันอยู่นี้

รายละเอียดการตกแต่งที่จะแตกต่างไปจาก Golf Mk-VI รุ่นมาตรฐาน หากมองกันเฉพาะภายนอกรถ
คุณจะพบ กระจังหน้าลายรังผึ้ง พร้อมแถบคาดสีแดง ทั้งด้านบน และด้านล่าง มีสัญลักษณ์ GTi
ที่ ย้ายมาติด ฝั่งขวาของตัวรถ (ฝั่งเดียวกับพวงมาลัยของรถในบ้านเรา) เปลือกกันชนหน้า – หลัง
ออกแบบขึ้นใหม่ ในสไตล์สปอร์ต ตกแต่งพื้นที่โดยรอบ ช่องรับอากาศ เข้า Intercooler ด้านหน้า
และ ครีบใต้กันชนหลัง Air-Dufuser ด้วยสีดำ เพิ่มความดุดันไปอีกระดับ มีสปอยเลอร์ หลัง เหนือ
ฝาประตูห้องเก็บสัมภาระ พร้อมไฟเบรก LED ในตัว มาให้จากโรงงาน

ไฟหน้าแบบ Bi-Xenon พร้อมระบบปรับองศาจานฉายตามการเลี้ยวของพวงมาลัย AFS
(Adaptive Front Lightning System) ซึ่ง VW เรียกว่า Curve Lighting โดยโคมไฟหน้า ด้านนอก
ที่หัวมุมรถ จะปรับทิศทางได้ สูงสุด 13 องศา ขณะที่ โคมชุดใน จะปรับมุมได้ 7 องศา  ออกแบบมา
เป็นพิเศษโดยเฉพาะรุ่น GTi เท่านั้น ในเมืองนอก อุปกรณ์ชิ้นนี้ ต้องสั่งซื้อเพิ่ม แต่ในไทย
มีติดตั้งมาให้ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนชุดไฟท้าย เป็นแบบรมดำเล็กๆ ดูดุขึ้นกว่ารุ่นธรรมดาเยอะ
มีไฟฉีดน้ำล้างไฟหน้ามาให้ทั้ง 2 ฝังอีกต่างหาก

ล้ออัลลอย ลาย DETROIT (ชื่อรุ่นล้อ นี่บอกชัดเจนเลยว่า ออกแบบมาเอาใจตลาดสหรัฐฯ แหงๆ)
ขนาด 7.5J x 18 นิ้ว ลายพิเศษ เฉพาะรุ่น GTi เท่านั้น สวมเข้ากับยาง DUNLOP SP SOPRT
ขนาด 225 / 40R18 ให้การยึดเกาะบนถนนแห้งที่ดีเยี่ยมใช้ได้ น่าประทับใจพอสมควร
(แต่ดูเหมือนการยึดเกาะจะยังด้อยกว่า Pirelli P Zero Rosso อยู่นิดนึงในช่วงเข้าโค้งหนักๆ
ด้วยความเร็วสูง เช่น โค้งทางลง ทางด่วน พระราม 6 ที่ความเร็ว 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็นต้น

อันที่จริง ในเมืองนอก รุ่นที่เน้นการทำตลาดเป็นหลัก คือ รุ่น Hatchback 3 ประตู
แต่ เหตุที่ ไทยยานยนต์ สั่งนำเข้ามาเฉพาะรุ่น 5 ประตู นั้น เหตุผล ไม่มีอะไรในกอไผ่
ก็เพื่อที่จะไม่ให้มาทับซ้อนกับการทำตลาด ของ น้องชายสุดเฉี่ยว Scirocco นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึง ขนาดตัวถังที่ยาว 4,213 มิลลิเมตร กว้าง 1,786 มิลลิเมตร
สูง 1,501 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,578 มิลลิเมตร ผมเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
จากขนาดฐานล้อ ของ Golf GTi

เรื่องน่าแปลกก็คือ ทำไม ผู้ผลิตรถยนต์หลายๆค่าย ถึงไม่สามารถจัดการกับ
พื้นที่ห้องโดยสาร และขนาดทางเข้า ได้ดีอย่างที่ VW ทำกับ Golf ใหม่?
ทั้งที่ ระยะฐานล้อของ Mazda 3 ก็ยาวกว่า Golf  แต่เหตุใด การเข้าออกประตู
คู่หลัง ของ Mazda 3 แบบ 5 ประตู ถึงจะพอสะดวก แต่ก็ยังถือว่าทำได้ไม่ดีเท่า Golf?
ถ้าไม่เชื่อ ลองพิสูจน์ดูจากรูปข้างล่างนี่ได้เลย

กุญแจเป็นแบบรีโมทคอนโทรล พร้อมระบบ Immobilizer มีสวิชต์ ปลดและสั่งล็อก
แยกจากกัน ตัวกุญแจ ต้องกดปุ่มให้ดีดออกมา เป็นมีดพับ Swiss แบบเดียวกับกุญแจของ
รถ Mazda รุ่นใหม่ๆในระยะหลังๆมานี้ มีระบบไฟส่องสว่าง ที่ใต้กระจกมองข้าง
เพื่อช่วยให้เห็น พื้นที่โดยรอบ ก่อนเปิดประตูรถในยามค่ำคืน การติดเครื่องยนต์
ยังใช้วิธีการดั้งเดิม คือเสียบกุญแจแล้วหมุน หมุน ชูมือขึ้นโบกไปมา…เย้ยยยยย ไม่ใช่!
ต้องเหยียบเบรก ก่อนหมุนสวิชต์ ติดกุญแจ และตำแหน่งเกียร์ ต้องอยู่ใน P เท่านั้น
ระบบถึงจะยอมให้เครื่องยนต์ติดขึ้นมาทำงาน ด้วยเสียงอันทุ้ม นุ่มลึก หวานหู ดุกำลังดี
ไม่แหลมจนแสบจี๊ดถึงกระดูกรูปโกลน ในรูหู

เมื่อเปิดประตูออกมา…น้ำหนักประตู ค่อนข้างหนัก พอกันกับรถยุโรปทั่วๆไป
ค้างตัวได้ 2 ตำแหน่ง เมื่อเปิดกางออก เสียงปิดประตูนั้น แน่น กริ๊บ สมกับเป็น
รถเยอรมัน จริงๆ การเข้าออกจากรถทำได้สะดวกโยธิน ไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น

บรรยากาศที่ผมเจออยู่ตรงหน้า…ทำให้ต้องย้อนถามตัวเองอีกครั้งว่า นี่แน่ใจนะ
ว่าเป็น Volkswagen ไม่ใช่ BMW เพราะ วัสดุที่ใช้ตกแต่งห้องโดยสารนั้น
มันช่างแตกต่างจาก Golf Vento และ Passat รุ่นก่อนๆ ไปไกลเยอะมากแล้ว
หลายชิ้น เป็นวัสดุแบบเดียวกับที่พบได้ใน BMW หรือ Audi บางชิ้น คุณภาพดี
เกินหน้าเกินตา Mercedes-Benz ไปด้วยซ้ำ แต่ ทีมออกแบบของ VW ทำรถออกมา
ให้ดูเรียบง่าย แต่น่าใช้ และแฝงมาดสปอร์ตอย่างมีลูกเล่นที่ดี เข้าไปใน Golf GTi ด้วย

แผงประตูทั้ง 4 บาน รวมทั้งแผงหน้าปัด มีการประดับตกแต่งด้วยพลาสติกสีดำเงา
ให้สัมผัสที่หรู และดูดี ลงตัว โดยไม่จำเป็นต้องใช้ลาย Carbon Fiber ซึ่งดูเหมือนจะ
ตกเทรนด์ ไปเสียแล้ว มาช่วยแต่อย่างใด

เบาะนั่งคู่หน้าแบบ Bucket Seat ถ้าเป็นเบาะผ้า ซึ่งทำตลาดในยุโรป จะมีชื่อเรียกว่า Jacky
แต่กับเบาะหนังที่เห็นอยู่นี้ เป็นหนังแบบ Vienna ซึ่งในประเทศอื่นถือเป็นอุปกรณ์สั่งพิเศษ
แต่สำหรับบ้านเรา จะติดตั้งมาพร้อมสรรพในรถรุ่น HighLine คันที่เห็นอยู่นี้

เฉพาะเบาะคนขับ ปรับทุกตำแหน่งได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า จะเลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลัง
หรือปรับเอนพนักพิง ก็ตาม ส่วนเบาะนั่งฝั่งผู้โดยสาร จะยังคงปรับเลื่อนตำแหน่งต่างๆ
ด้วยระบบกลไกคันโยก และปรับเอนด้วยวิธีหมุนตรงจุดปรับเอน ตามปกติ ของ รถในเครือ
VW เรื่องน่าแปลกนิดหน่อยก็คือ สวิชต์ดันหลังด้วยไฟฟ้านั้น มีมาให้ทั้งผู้ขับขี่ และ
ผู้โดยสารด้านหน้า

ตัวเบาะคนข้างแข็ง แต่ หนังที่ใช้ สัมผัสด้วยฝ่ามือแล้ว จะพบว่าเนียนมือกว่าหนังหุ้มเบาะ
ของรถ BMW ประกอบในประเทศ อยู่นิดนึง เบาะคู่หน้า ถ้านั่งในระยะทางใกล้ๆ
หรือระยะทางไกลๆ จะไม่รู้สึกปวดหลัง แต่อาจจะมีความเมื่อยสะสมขึ้นมานิดหน่อย
ปีกข้างของเบาะคู่หน้า มีขนาดพอเหมาะกับคนที่ไม่ได้อ้วนเกิน 120 กิโลกรัม
เพราะผู้การแพนของเรา บ่นเรื่องนี้อยู่บ้างพอสมควร

นอกจากตำแหน่งของที่วางแขน ทั้งบนแผงประตู ซ้าย-ขวา รวมทั้ง ที่วางแขน
แบบฝาปิดกล่องคอนโซลกลางในตัว หุ้มหนัง เลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลังได้
จะวางในตำแหน่งที่ถูกหลักสรีระศาสตร์  สำหรับคนทุกวัย ทุกขนาดร่างกายแล้ว
พื้นที่เหนือศีรษะ ยังเหลือมากพอ คนตัวสูง 171 เซ็นติเมตรอย่างผม
นั่งลงไปในตำแหน่งต่ำสุดของเบาะคนขับ ยังมีพื้นที่โล่งเหนือศีรษะ มากถึง 1 ฝ่ามือครึ่ง!
พนักศีรษะใหญ่โต และแน่นอนว่า รองรับศรษะของเราทุกคนได้อย่างสบายๆ ไม่มีใครบ่น

มีการติดตั้ง เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า มาให้ เป็นแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับและ
ผ่อนแรงอัตโนมัติ ตามแรงปะทะจากการชน Pretensioner & Load Limiter
ปรับระดับสูงต่ำได้ ที่เสาหลังคาคู่กลาง

ส่วนประตูคู่หลังนั้น เปิดกางออกได้กำลังดี และการเข้าออก ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรเลย
เช่นเดียวกัน เหตุผล ก็คงเป็นเพราะ ทางเข้าออก ค่อนข้างใหญ่ อีกทั้งงานออกแบบตัวถัง
ภายนอก ไม่จำเป็นต้อง เล่นเส้นสาย โฉบเฉี่ยวไปมา

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ การใช้โครงสร้างประตู ร่วมกับ Golf Mk-V รุ่นก่อน แทบจะยกมาได้ทั้งดุ้น
ซ่งจะว่าไปแล้ว รุ่น Mk-V ก็มีการออกแบบการเข้าออกจากรถ ได้อย่างดีอยู่แล้ว เป็นทุนเดิม

เบาะหลังออกแบบในสไตล์เดียวกับเบาะหน้า โดยเบาะรองนั่งของผู้โดยสาร
ฝั่งซ้ายและขวา ยื่นออกมามากกว่า ตรงกลาง นิดหน่อย นอกจากจะตั้งใจเสริม
บุคลิกภายในห้องโดยสาร ให้ดูสปอร์ตแบบติดหรูนิดๆ ด้วยแล้ว ยังนั่งค่อนข้างสบาย
แม้ว่า มันจะสั้นไปนิดนึง และรองรับได้ไม่ถึงต้นขาดีนัก ขาดอีกเพียงนิดเดียวเอง
เชื่อว่า ทีมวิศวกร คงจะคำนวนมาแล้วว่า รุ่นนี้ทำออกมาขายได้ดีที่สุดก็ประมาณนี้ละ

พนักพิง ก็ถือว่าพิงสบาย และไม่ก่อให้เกิดการปวดหลังแต่อย่างใด เช่นเดียวกับตำแหน่ง
วางแขนบนแผงประตูด้านข้าง ไปจนถึง ที่วางแขนแบบเป็นเรื่องเป็นราว

พื้นที่เหนือศีรษะของผู้โดยสารตอนหลัง ก็ถือว่าโปร่งโล่งสบาย
ไม่มีปัญหาอะไร ให้กวนใจเล่น เช่นเดียวกับพื้นที่วางขา ที่ไม่ต้องนั่งชันเข้า
ก็สามารถนั่งได้รื่นรมณ์ สมใจ ผู้มีตำแหน่งเป็น สว. (สูงวัย) เป็นยิ่งนัก

โปรดสังเกตดีๆ จะพบว่า มีช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสารแถวหลัง และที่วางแก้ว 2 ตำแหน่งมาให้

เข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารบนเบาะหลัง เป็นแบบ ELR 3 จุดทุกตำแหน่งครบ
และมีจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX มาให้ที่เบาะหลังด้วย ในตัว

ที่พักแขนนั้น มีขนาดใหญ่โตมากกกกกกกก ใหญ่พอกับกระดาษถ่ายเอกสารขนาด F4 เลยด้วยซ้ำ
เมื่อพับลงมา จะพบช่องเปิดทะลุไปยังห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ถ้าไม่รู้ว่าจะดึงมันลงมาอย่างไร
ก็แค่ เอานิ้วทั้งสี่ ยกขึ้นปลดล็อกมือจับ แค่นี้ ฝาก็เปิดออกมาได้แล้ว และถ้ายังไม่รู้อีกว่ามือจับที่ว่า
อยู่ตรงไหน ก็ กดปุ่ม เหนือพนักศีรษะทั้งสองฝั่ง พับเบาะ ลงมา ในอัตราส่วน 60 : 40 กันไปเลย
ให้มันสิ้นเรืองสิ้นราว ง่ายกว่าเยอะ!

ถ้าจะหาสวิชต์ เปิดฝากระโปรงหลัง ไม่ต้องคลำหาให้วุ่นวายใจ มองที่สัญลักษณ์
ขนาดใหญ่เบ้อเริ่ม ของ Volkswagen แล้ว ใช้น้วโป้ง กดลงไปที่ด้านบนโลโก้
คุณจะพบคำตอบ…

จากนั้น ก็แค่เอาอีก สี่นิ้วที่เหลือบนฝ่ามือของคุณ ดึง และยกฝากระโปรงหลังขึ้น
เท่านั้นก็สิ้นเรื่อง กลอนไฟฟ้า ก็จะปลดล็อก ให้อย่างง่ายดาย

ห้องเก็บของด้านหลังมีขนาดใหญ่ 350 ลิตรตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน
และเมื่อพับเบาะทั้ง 2 ฝั่งลง พื้นที่ห้องเก็บของจะเพิ่มเป็น 1,305 ลิตร VDA

เมื่อเลิกพรมปูพื้นห้องเก็บของด้านหลัง จะพบยางอะไหล่ แบบบาง
ของ Continental ซ่อนเอาไว้ด้านล่าง พร้อมกับเครื่องมือประจำรถที่ถูกล็อกไว้
กับโฟม วงกลม ทับวงล้อ และป้ายสามเหลี่ยมฉุกเฉินสีแสดแดง แปะเอาไว้
ที่ผนังฝั่งซ้าย..

ถ้าคุณคิดว่า บั้นท้ายห้องเก็บของ ใน Golf GTi ก็ใส่อะไรไม่ได้มากมาย
และไม่ต่างอะไรกับห้องเก็บของด้านหลัง ของรถยนต์ Hatchback ทั่วไป…แล้วละก็..

คุณกำลังเข้าใจผิดอย่างมหันต์!!

ดูรูปข้างล่างนี่เสียก่อน…ตา Art Signifer ผู้อ่านของเรา ถ่ายให้เลยทีเดียว

V

V

V

พื้นที่ด้านหลังใหญ่โตกว่าที่คุณคิดแน่ๆครับ เอาง่ายๆว่า ผมสามารถลงไปนั่งขัดสมาธิ
ได้สบายพอดี ยกเว้นว่า ศรีษะ อาจจะชนกับขอบประตูด้านหลังนิดนึง ก็แค่นั้นเอง…
และทั้งหมดที่เห็นนี้ ผมไม่จำเป็นต้องพับเบาะหลังลงแต่อย่างใด มากที่สุดที่ต้องทำ
ก็แค่ ถอดแผงพลาสติก บังสัมภาระออกไปก็แค่นั้นเอง!

เมื่อเปิดประตูฝั่งคนขับ นอกจากจะได้เห็นสวิชต์ปรับเบาะคนขับด้วยไฟฟ้า
และสวิชต์ กระจกหน้าต่างแบบกรองแสงทั้งคัน สั่งขึ้น-ลงด้วยไฟฟ้า
พร้อมระบบ One-Touch ทั้ง 4 บาน รวมทั้ง กระจกมองข้างแบบปรับได้
และพับเก็บได้ ด้วยสวิชต์ไฟฟ้าแบบหมุน เหนือสวิชต์กระจกหน้าต่างแล้ว
ยังจะพบ สวิชต์มือหมุน ควบคุมชุดไฟหน้า และไฟตัดหมอกหน้า สามารถ
สั่งให้ทำงานเองอัตโนมัติ เมื่อรถแล่นเข้าไปในอุโมงค์ หรือเมื่อแสงสว่าง
จากท้องฟ้า เริ่มไม่เพียงพอ ก้านปัดน้ำฝนอยู่ฝั่งขวา มีทั้งแบบปรับหน่วงเวลา
และมี Rain Sensor วัดปริมาณน้ำฝน เพื่อสั่งให้ใบปัดน้ำฝนหน้าทำงานเองได้
โดยอัตโนมัติ

แผงหน้าปัด มาในสไตล์เรียบง่าย จัดวางอุปกรณ์ต่างๆ เอาไว้อย่างถูกตำแหน่ง
และเอื้อต่อความสบายในการบังคับควบคุม ตามหลักสรีระศาสตร์ ประดับช่องแอร์
ด้วยกรอบแบบโครเมียม และมีแผงพาสติกสีดำเงา ประดับให้ดูหรู เช่นเดียวกับ
แผงประตูทั้ง 4 บาน แป้นคันเร่ง และแป้นเบรก เป็นแบบ Stanless Steel เสริมบุคลิก
ให้ใกล้เคียงรถแข่ง มากยิ่งขึ้นไปอีกนิดหน่อย 

เมื่อติดเครื่องยนต์ ชุดมาตรวัด ตัวเลขสีขาว แต่แอบมีเรืองแสงสีส้มนิดๆ ในบางตำแหน่ง
จะแสดงขึ้นมาอย่างที่เห็น จอตรงกลาง คือ จอ Multi Information System ไว้แสดง
การทำงานและเป็นหน้าจอเพื่อการปรับตั้งค่าของระบบต่างๆในรถ เช่นเครื่องเสียง ระบบ
ตรวจเช็คความดันลมยางอัตโนมัติ แสงสว่างต่างๆในห้องโดยสาร บอกอุณหภูมิภายนอกรถ
เข็มทิศ นาฬิกา ฯลฯ

แต่หน้าที่หลัก คือการ แสดงข้อมูลการขับขี่ ทั้ง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบ Real Time
แบบเฉลี่ย ความเร็วจริงที่ใช้ในการเดินทาง ความเร็วเฉลี่ย ระยะทางเฉี่ย ที่คาดว่าน้ำมัน 1 ถัง
จะเหลือพอให้เดินทางต่อไปได้ ฯลฯ การตั้งค่า เซ็ต 0 ต่างๆ ให้กดปุ่มขวาล่าง ใต้มาตรวัดความเร็ว

การเปลี่ยนเมนู หรือเข้าถึงการปรับตั้งค่าต่างๆ สามารถใช้สวิชต์ฝั่งขวามือของพวงมาลัย กดขึ้น-ลง
ซ้าย-ขวา และถ้ายืนยันคำสั่ง กดปุ่ม OK ตรงกลาง พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน แบบตัดตรง
ที่ขอบด้านล่าง สไตล์รถแข่ง ประดับด้วยโครเมียม และใช้หนังแท้ Vienna หุ้มวงพวงมาลัย
เย็บเข้ากันด้วยด้ายสีแดง เช่นเดียวกับ คันเกียร์ หุ้มหนัง ซึ่งเย็บด้วยด้ายสีแดงเหมือนกัน

ส่วนสวิชต์ฝั่งซ้ายของพวงมาลัย เอาไว้ใช้งาน ร่วมกับ ชุดเครื่องเสียงระดับ Premium
รุ่น RCD 510 8 ลำโพง พร้อมเครื่องเล่น CD/MP3 และมี CD-Changer 6 แผ่นแบบ
Built-in ในตัว มีช่องเสียบ AUX แยกต่างหาก สำหรับการเสียบเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นเพลง
เช่น iPod หรือ เครื่องเล่น MP3 แถมยังสามารถเสียบ SD Card ได้อีกด้วย   

คุณภาพเสียงนั้น จัดอยู่ในเกณฑ์ ดีมากพอ ที่คุณไม่ต้องไปเปลี่ยนชุดเครื่องเสียงให้เกินจำเป็น
เพีงแต่ เสียงของเปียโนที่ออกมา จะค่อนข้างแข็ง ไม่ถึงกับละมุน เหมือนนั่งฟังใน Concert Hall นัก
เป็นเครื่องเสียงติดรถยนต์ากโรงงาน ที่ผมชอบที่สุด ชุดหนึ่ง เป็นรองก็แค่ Mark Levinson ใน Lexus
LS460L บรรดาตระกูล Volvo รุ่นที่ติดตั้งระบบ Premium Sound System และดูเหมือนจะแค่นั้น!

เครื่องปรับอากาศแบบ 2 Zone Climatronic แยกฝั่งผู้โดยสาร ซ้าย-ขวา ให้ความเย็นที่เร็วกว่า
รถยุโรปทั่วๆไป อย่างน่าแปลกประหลาด แถมมีระบบไล่ฝ้า และฮีตเตอร์อุ่นเบาะ แยกฝั่งซ้าย-ขวา
ทั้งเครื่องปรับอากาศ และชุดเครื่องเสียงนี้ ทำงานร่วมกับ หน้าจอ มอนิเตอร์ แบบ Touch Screen
ขนาด 6 นิ้วครึ่ง ของชุดเครื่องเสียง ไปด้วยพร้อมๆกัน

มองเป็นด้านล่าง ตรงแผงคันเกียร์ จากขวา ไปซ้าย จะมี สวิชต์ ปิด-เปิดการทำงานของ เซ็นเซอร์
กะระยะขณะเข้าจอด ซึ่ง นอกจากจะแสดงผลบนจอมอนิเตอร์ เหมือนใน BMW แล้ว ก็ยังมี
เสียงเตือน ที่ดังน่ารำคาญหู เหมือน BMW รุ่นเมื่อสัก 2-3 ปีก่อน ไม่มีผิด!

และยังมีสวิชต์ เปิด-ปิด ระบบ ควบคุมเสถียรภาพ ESP กับ สวิชต์ ระบบ DCC ทั้ง 2 ระบบนี้
เป็นอย่างไร ไว้รออ่านต่อ ในส่วนของ งานวิศวกรรม และการทดลองขับ ด้านล่างครับ

ด้านข้างลำตัว ผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า ถูกคั่นกลางด้วย ช่องวางแก้ว 2 ตำแหน่ง
แบบต่างระดับ พร้อมฝาเลื่อนปิด-เปิด ส่วนที่พักแขนนั้น สามารถปรับระดับสูง-ต่ำได้
นี่คืออีกจุดหนึ่งในห้องโดยสารที่ผมชื่นชอบมากๆ และเมื่อยกขึ้นมา ก็เป็นฝาเปิด
ช่องวางของจุกจิกเล็กน้อย ที่วางได้อย่างมาก ก็แค่ ปากกา บัตรต่างๆ นิดๆหน่อยๆ เท่านั้น

แหงนมองขึ้นไปด้านบน จะพบ Sunroof กระจก แบบมีม่านพลาสติกบุผ้า
ปิดบังแสงแดดได้ดี เพดานด้านบน บุด้วยผ้าสีดำ แบบเดียวกับที่พบได้ใน
BMW 320d E92 Coupe แต่ ความกว้าง ของช่องรับอากาศด้านบนนั้น
ไม่ได้มากมายพอให้คนขึ้นไปยืน แล้วโบกไม้โบกมือลั่นล้าไปมาได้
แต่อย่างใด การเปิด – ปิด ใช้สวิชต์ไฟฟ้า แบบมือหมุน ซึ่งนอกจาก
สามารถ หมุนให้ซันรูฟ เปิดแง้ม ในตำแหน่งที่ต้องการได้แล้ว ยังสามารถ
เปิดแง้มบริเวณด้านหลังของตัวซันรูฟ ไว้ระบายอากาศจากในห้องโดยสาร
เช่นกลิ่นบุหรี่ ไปจนถึงกลิ่นตด ได้อีกด้วย

แต่ดูเหมือนว่า กลิ่นในประการหลังนั้น เปิดกระจกโดยไว
จะปลอดภัยต่อโพรงจมูกเพื่อนร่วมทางมากกว่าเยอะ!

แผงบังแดด มีกระจกแต่งหน้า พร้อมไฟแต่งหน้า ฝังบนเพดานในตัว
มาให้ ทั้ง ฝั่งคนขับ และผู้โดยสาร มีช่องเก็บแว่นตามาให้ ขนาดพอดีกับ
แว่นตาขนาดเล็ก ถ้าใครคิดจะใส่แว่นกันแดด อันโตๆ แนว Big Eyes
แบบที่ใหญ่กว่าหน้าตัวเอง เห็นทีว่าจะใส่ไม่ได้

ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารนั้น นอกจากจะมี ณ บริเวณด้านหน้ารถ อย่างที่เห็นนี้
ซึ่งเป็นทั้งไฟอ่านแผนที่ ไปในตัว แยกฝั่งซ้าย-ขวา ด้วยแล้ว ยังมีไฟอ่านหนังสือ
สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ติดตั้งตรงกลาง เหนือศีรษะ ของผู้โดยสารตอนหลัง
มาให้อีกด้วย อีกทั้ง ยังมี มือจับยึดบนเพดานมาให้ครบ ทั้ง 4 ตำแหน่ง และ
เป็นแบบดีดกลับเองอย่างนุ่มนวล ราวกับรถยนต์หรูชั้นดี

ส่วนอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้นั้น  มีทั้ง ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
พร้อมสวิชต์ ตัดการทำงานของถุงลมนิรภัยสำหรับผู้โดยสารฝั่งซ้าย
ถุงลมนิรภัยด้านข้าง สำหรับเบาะคู่หน้า ม่านลมนิรภัยขนาดใหญ่
ติดตั้งที่รางหลังคา ตั้งแต่ เสาคู่หน้า จรดด้านหลัง  แถมยังมี ถุงลมนิรภัยสำหรับ
ป้องกันหัวเข่าของคนขับ เพิ่มมาให้อีก 1 ใบ รวมแล้ว เป็น 7 ใบ

ทำงานร่วมกับโครงสร้างตัวถังนิรภัย ที่ถูกพัฒนาจากบริษัทรถยนต์ซึ่ง
ได้ชื่อว่า ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้โดยสาร เป็นอันดับต้นๆ
ในยุโรป จนผ่านมาตรฐาน ทดสอบการชน EuroNCAP ที่ระดับ 5 ดาว!
แถมยังเป็นอันดับ 1 ในรายชื่อรถท่ปลอดภัยที่สุดในการทดสอบของ
EuroNCAP ในกรุง Brussel ประเทศ Belgium เพิ่งประกาศผลกันเมื่อ
28 มกราคม 2010 มานี้เอง

ทัศนวิสัยรอบคันนั้น ค่อนข้างโปร่งตากว่าที่มองเห็นจากภายนอก
จากตำแหน่งที่คุณผู้อ่านเห็นอยู่นี้ คือตำแหน่งสายตาของผม
บนเบาะนั่งที่ถูกปรับให้อยู่ในระดับต่ำสุดแล้ว

เสาหลังคา A-Pillar คู่หน้า ไม่ค่อยจะบดบังทัศนวิสัยเท่าใดนัก
ขณะเข้าโค้งขวา ก็ยังพอจะเห็นรถสวนมาอยู่

สิ่งที่ควรปรับปรุงก็คือ กระจกมองข้างนั้น เล่นกับงานออกแบบมากจนกระทั่ง
หากต้องปรับกระจกมองข้าง ไปจนกระทั่ง ขอบฝั่งซ้าย เห็นเพียงแค่มือจับประตู
เพื่อหวังจะเห็น รถคันที่แล่นใน เลนที่ถัดออกไปอีก 2 เลน จะพบว่า
ขอบด้านนอก ถูก แนวกรอบพลาสติกของตัวกระจกมองข้างเองนั่นแหละ
บดบังพื้นที่ไปพอสมควร ทำให้การมองรถคันที่ตามมาในเลนถัดออกไป
ทำได้ยังไม่ดีเท่าที่ควร นอกเหนือจาก Mazda 2 ที่เจอปัญหานี้แล้ว ดูเหมือนว่า
รถยุโรปในแนวนี้หลายๆรุ่น ก็พบปัญหานี้กันถ้วนหน้า ตั้งแต่ BMW 120d หรือ
3-Series Coupe MINI ทั้งหลาย ไปจนถึง Mercedes-Benz C-Class ใหม่ W204
ก็เจอเช่นเดียวกัน

และปัญหาเดียวกันนี้ ก็จะพบได้ ในฝั่งซ้ายของตัวรถ ด้านบนของกระจกมองข้าง
สอบลาดเอียงมากเกินไป จนมองเห็นอะไรต่อมิอะไร ไม่ถึงกับถนัดนัก

ขณะที่ เสาหลังคา A-Pillar ฝั่งซ้าย แม้จะดูมีขนาดใหญ่
แต่กลับยังไม่พบการบดบัง ขณะเลี้ยวกลับรถ แต่อย่างใด

แต่สิ่งที่น่าชมเชย เรื่องหนึ่ง ก็คือ Golf GTi มีไฟเลี้ยว ขนาดเล็ก อยู่ที่ปลายสุด
ของกระจกมองข้าง เม็ดสี่เหลี่ยมขนาดจิ๋ว สีขาวๆนั่นละครับ เมื่อคุณเปิดไฟเลี้ยว
ไฟนั้นจะกระพริบ พร้อมกับไฟเลี้ยวไปด้วย และช่วยกระตุ้นให้คุณ หันมาดู
กระจกมองข้างให้ดีๆ ก่อนจะเปลี่ยนเลน หรือเลี้ยวรถไปยังทิศทางที่ต้องการ

ส่วนเสาหลังคาด้านหลังนั้น แม้จะดูหนา ไม่แพ้รถยนต์แฮตช์แบ็กรุ่นอื่นๆ
แต่ด้วยเหตุที่ ทีมออกแบบ พายามรักษาแนวเส้นสาย ของประตูคู่หลัง
เอาไว้ในลักษณะ สี่เหลี่ยมผืนผ้า มาตั้งแต่ รุ่น Mk-III ในปี 1991
ทำให้พื้นที่ของกระจกหน้าต่างดูโปร่งตา ช่วยให้การมองเห็นจากด้านหลังนั้น
ดูโปร่งตามไปด้วย แม้ว่าพื้นที่กระจกบังลมหลัง จะใหญ่กว่า Honda Jazz
รุ่นปัจจุบัน เพียงนิดหน่อย ก็ตาม

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

เครื่องยนต์ ที่นอนสงบนิ่งอยู่ใต้ฝากระโปรงหน้า ของ Golf GTi มีรหัสรุ่น EA888
เป็นบล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,984 ซีซี ฝาสูบทำจาก Alminum Alloy เสื้อสูบทำจาก
เหล็กหล่อ กระบอกสูบ x ช่วงชัก 82.5 x 92.8 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.6 : 1
จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ ฉีดตรงเข้าห้องเผาไหม้ Direct Fuel Injection  
เรียงลำดับการจุดระเบิด 1-3-4-2

ดูจากหน้าตา ก็เหมือนกับเครื่องยนต์ของรถบ้านๆทั่วๆไป ไม่ได้ส่อเค้าว่าจะแรงเอาเสียเลย

อยากจะบอกว่า เครื่องยนต์หน้าตาบ้านๆ ดูไม่มีพิษภัยอย่างนี้ นี่แหละ คือ เครื่องยนต์
EA888 บล็อกเดียวกับที่เคยประจำการมาแล้ว ใน Golf GTi Mk-V ที่เพิ่งตกรุ่นไปนั่นเอง!!
ก่อนหน้านี้ ในเวอร์ชันมาตรฐาน ของ Golf Mk-V รุ่นเดิม จะมีพละกำลังสูงสุด 200 แรงม้า (PS)
และ ถ้าเป็นรุ่นพิเศษ Golf GTi Edition 30 อันเป็นรุ่นฉลองครบรอบ 30 ปี ของการทำตลาด
Golf GTi รวมทั้งรุ่นพิเศษ Pirelli GTI เครื่องยนต์บล็อกนี้ จะถูกปรับแต่งจนแรงขึ้นไปถึง
230 แรงม้า (PS) ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ในช่วงเดือนมีนาคม 2008 (ก่อนรุ่นใหม่คันสีแดงนี้จะเปิดตัว)

แต่สำหรับ Golf GTi รุ่นปัจจุบัน สิ่งที่ทำให้เครื่องยนต์ EA888 เวอร์ชันนี้แตกต่างออกไป
ก็คือ เพิ่มระบบอัดอากาศ Turbocharge ของ Borg-Warner รุ่น K03 โปรดอย่าเพิ่งถามว่า
บูสต์ อยู่ที่เท่าไหร่ เพราะเท่าที่นั่งหาข้อมูลจนตาลาย ก็ยังหาไม่เจอ รู้แต่ว่า มาพร้อม
ระบบช่วยลดความร้อนของไอดี Intercooler วางไว้ด้านหน้ารถ อีกทั้งยังมีการปรับปรุง
ไส้ในของเครื่องยนต์ เพื่อเพิ่มสมรรถนะ ให้ร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม ทั้งการเปลี่ยนลูกสูบ
กับแหวนลูกสูบแบบใหม่ ปั้มน้ำมันเชื้อเพลิงแบบใหม่ Vacuum Pump ตัวใหม่
ปั้มเชื้อเพลิงแรงดันสูงแบบใหม่ และ Airflow Sensor ชิ้นใหม่ มีระบบแปรผันวาล์วไอดี
พร้อมกระเดื่องวาล์วแบบ Roller Rocker (แบบที่เคยพบได้ใน Mitsubishi บางรุ่น นั่นละ)

พละกำลังสูงสุด ของ Golf GTi MK-VI อยู่ที่ 210 แรงม้า (BHP) ที่ 5,300 – 6,200 รอบ/นาที
ฟังดูยังไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่โปรดดูแรงบิดสูงสุดเสียก่อน 280 นิวตันเมตร (28.53 กก.-ม.)
ที่รอบเครื่องยนต์ 1,700 – 5,200 รอบ/นาที

แม้ว่าแรงบิดจะดูเหมือนเพียง 280 นิวตันเมตร แต่อย่าลืมว่า แรงบิดสูงสุดนั้น
มันโผล่มาพบปะกับเท้าขวาคุณได้ ตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ ที่ต่ำมาก เพียง 1,700 รอบ/นาที
แถมคุณยังสามารถเรียกใช้งานได้ทุกเมื่อ ในแทบทุกย่านความเร็วที่ต้องการ ต่อเนื่อง
ไปจนถึง 5,200 รอบ/นาที กันเลย!! แถมยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ต่ำเพียง
173 กรัม / 1 กิโลเมตร

ในต่างประเทศ Golf GTi มีเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ให้เลือกด้ว แต่ในเมืองไทย ด้วยเหตุที่
ลูกค้าส่วนใหญ่ ขับรถในเมืองเป็นหลัก และยังอยากได้ความสบาย ดังนั้น ไทยยานยนต์
ก็เลยสั่งนำเข้ามาเฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติ แบบ DSG (Direct Shift Gear Transmission)
Dual Clutch 6 จังหวะ พร้อมโหมด บวก/ลบ  ทั้งบนคันเกียร์ และ แป้น Paddle Shift
ด้านหลังพวงมาลัย ฝั่งซ้าย เป็นแป้นเปลี่ยนเกียร์ลง หรือแป้นลบ ฝั่งขวา เป็นแป้นเพิ่ม
ตำแหน่งเกียร์ ให้สูงขึ้น หรือแป้นบวก

ดูเหมือนว่า VW จะผูกปิ่นโต กับ Borg Warner กันอีกครั้งใน โปรเจกต์ GTi นี้
เพราะนอกจาก จะอนุมัติให้ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เทคโนโลยีชั้นสูง รายนี้
ผลิต Turbocharge ออกมาให้ใช้แล้ว ยังเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยี เกียร์อัตโนมัติ DSG
และมอบลิขสิทธิ์ ให้กับกลุ่ม VW ให้สามารถนำไปใช้กับรถยนต์ในเครือของตน
ทั้งหมด ทุกยี่ห้อ และทุกรุ่น!!

อุปกรณ์ หลักๆ จากที่คุณเห็นในรูปนี้ จะมี  สมองกลเกียร์ Mechatronics
ชุดท่อนเพลา 3 ท่อน เฟืองเกียร์ จำนวนก็..อย่างที่เห็น และชุดคลัชต์ 2 แผ่น
รวมชุดเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว

หลักการทำงาน ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนมาก แรงบิดจากเครื่องยนต์ จะต้องเดินทางมาถึง
ชุดเกียร์ ผ่านท่อนเพลา 2 ท่อน ซึ่งหมุนอยู่บนแกนเดียวกัน ถ้านึกภาพไม่ออก
ให้ลอง เอาหลอดกาแฟ หลอดเล็ก ไปเสียบใส่เข้ากับหลอดกาแฟใหญ่ เท่านี้ก็จะได้
เพลาสองแท้ง ที่หมุนจากกันโดยอิสระ แต่อยู่บนแกนเดียวกันได้

ทีนี้ เพลาแท่งเล็กกว่าที่อยู่รอบใน จะรับกำลังขับจากคลัชต์ ชุดที่อยู่ชิดเครื่องยนต์
โดยชุดเฟืองบนเพลาแท่งเล็กกว่านี้ จะส่งกำลังไปขับเฟืองเกียร์ 1 3 5 และถอยหลัง (R)

ส่วน เพลาแท่งที่ใหญ่กว่า จะรับกำลังจากคลัชต์ ชุดที่อยู่ ถัดจากชุดแรกออกมา
(เอาง่ายๆก็คือ ห่างจากเตรื่อง ออกมาอีกเล็กน้อย) เพลาชุดนี้  จะส่งต่อแรงบิด
จากเครื่องยนต์ ไปขับเฟืองเกียร์ 2 4 6 และในท้ายสุด เฟืองเกียร์ชุดเลขคู่
และเลขคี่  จะส่งกำลังผ่านชุดเฟืองท้ายไปยังเพลาขับ

ส่วนนี่ก็คือ หน้าตาของชุดคลัตต์ คู่

การหาตัวเลขอัตราทดเกียร์ลูกนี้ เป็นไปอย่างยากลำบากมาก
แต่ในที่สุด ก็เจอมาจาก เว็บไซต์ ในมาเลเซีย ซึ่ง พออ้างอิงตัวเลขได้
แค่ในระดับหนึ่ง เพราะขนาดสำนักงานใหญ่เอง ก็ยังหาตัวเลขนี้
ไม่เจอกันเลยทีเดียว

เกียร์ลูกนี้ มีอัตราทดเกียร์ ดังนี้
เกียร์ 1                3.462
เกียร์ 2                2.150
เกียร์ 3                1.464
เกียร์ 4                1.079
เกียร์ 5                1.094 <—- พิมพ์ไม่ผิดครับ อัตราทด มาแบบเดียวกับ Focus TDCi เลยละ
เกียร์ 6                0.921
เกียร์ R               3.989
อัตราทดเฟืองท้าย   4.059

เกียร์ลูกนี้ ถูกออกแบบมาให้รองรับแรงบิดสูงสุดได้ที่ระดับ 350 นิวตันเมตร
ใช้แผ่นคลัชต์แบบเปียก ใช้น้ำมันเกียร์ในระบบ 6.5 ลิตร น้ำหนักของเกียร์ทั้งลูกอยู่ที่
93 กิโลกรัม

แถมยังมีระบบป้องกันรถลื่นไหลบนทางชัน Hill Hold Control มาให้ด้วย
โดยระบบนี้ จะทำงานในช่วงที่คุณเข้าเกียร์ D ถ้าถอนเท้าออกจากแป้นเบรก
ขณะที่รถจอดติดบนทางลาดชัน รถจะยังสงบอยู่นิ่งๆ ประมาณไม่กี่อึดใจ
เพื่อรอให้คุณเหยียบคันเร่ง ออกรถพุ่งไปข้างหน้า

ถ่ายทอดกำลังลงสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า การกระจายน้ำหนัก
ด้านหน้า : ด้านหลัง ของตัวรถ อยู่ที่อัตราส่วน ร้อยละ 63 : 37

ข้อดี ของเกียร์อัตโนมัติ DSG นั้น ก็คือ การเปลี่ยนเกียร์ จะใช้เวลารวดเร็วขึ้นกว่าเดิม
ไม่ว่าคุณจะเหยียบคันเร่ง เบาหรือหนักแค่ไหนก็ตาม การถ่ายทอดกำลังสู่ล่อ เป็นไป
อย่างต่อเนื่อง การสูญเสียกำลังในระบบขับเคลื่อน น้อยกว่าเกียร์อัตโนมัติทั่วไป
แถม VW ยังเคลมว่า ดีก่าเกียร์ธรรมดาบางรุ่นด้วยซ้ำ และความทนทานของเกียร์ลูกนี้
ทนกว่า CVT เยอะแน่ๆ เพราะ ในรถ GTi หลายคัน ที่ผ่านมือสำนักแต่งอิสระข้างนอก
มีแรงม้า แรงบิดค่อนข้างสูง แต่ เกียร์ DSG ก็ยังรับมือไหว

อย่างไรก็ตาม เกียร์ลูกนี้ มีแนวโน้มที่จะมีค่าบำรุงรักษา ค่อนข้างสูง เพราะมีสารพัดชิ้นส่วน
ที่ซับซ้อนเอาเรื่อง ทำให้ต้นทุนการผลิต ก็สูง และส่งผลให้ราคาอะไหล่ในแต่ละชิ้น สูงตามไปด้วย
อีกทั้ง น้ำหนักของเกียร์ลูกนี้ ถ้า VW เยอรมัน ระบุว่า อยู่ที่ 93 กิโลกรัม….เฮ้ย นั่นมันน้ำหนักตัวผม
เลยนะ!!

เรายังคงทดลองจับอัตราเร่ง กันในยามค่ำคืน..อันที่จริงต้องบอกว่า หลังเที่ยงคืนไปแล้วถึงจะถูก
เพื่อรอให้เป็นช่วงที่ถนนว่าง รถโล่ง กระแสลมไม่เยอะนัก  เราทดลองกัน โดยนั่งกัน 2 คน
ผม (95 กิโลกรัม) และ เจ้ากล้วย BnN แห่ง The Coup Team ของเรา (48 กิโลกรัม) เปิดแอร์
เปิดไฟหน้า ผลลัพธ์ที่ได้ออกมา มีดังนี้

 

สิ่งที่อยากจะแจ้งให้ทราบเอาไว้ เป็นความรู้ เครื่องเคียง ก่อนจะอ่านกันต่อไปก็คือ
เมื่อเทียบความแม่นยำของชุดมาตรวัดกับเครื่อง GPS แล้ว ชุดมาตรวัดจะแสดงผล
เร็วกว่าความเร็วจริง ประมาณ 6 กิโลเมตร/ชั่วโมง (เช่น วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
GPS จะแสดงผลที่ 104  กิโลเมตร/ชั่วโมง

ความเร็วสูงสุด เราใส่ตัวเลขตามมาตรวัดเข้าไป เพราะในเมื่อรถแทบทุกคัน
เราใช้ตัวเลขจากมาตรวัดทั้งหมด เพียงแต่ว่า ความเร็วสูงสุด ที่ระบบ GPS
จับออกมาได้นั้นอยู่ที่ 242 หิโลเมตร/ชั่วโมง  ขณะที่ชุดมาตรวัด ขึ้นไป อยู่ที่
252 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ตัวเลขที่โรงงานเคลมเอาไว้ อยู่ที่ 238 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ซึ่ง ก็ถือว่า เป็นความเพี้ยน ในระดับเดียวกับที่คุณจะพบได้กับรถบ้านๆทั่วไป
ทั้ง Toyota Vios Honda City (แต่ไม่ใช่กับ มาตรวัดของ Mazda 2 และ Volvo S40)

แต่…อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 7.1 วินาที ถือว่าตัวเลขค่อนข้างใกล้เคียงกับตัวเลข
ที่โรงงานเยอรมันเคลมเอาไว้ ในระดับ 6.9 วินาที มากๆ แตกต่างกันเพียงแค่ 0.2 วินาที เท่านั้น

แล้วสัมผัส จากการขับขี่ละเป็นอย่างไร?

ก็แรงสะใจ ดึงกันชนิดหลังติดเบาะ ยังไงละ!  แรงดึงที่เกิดขึ้น ใกล้เคียงกับ BMW 330d E92 Coupe
ที่ผมเคยเจอมา (คันนั้น แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร!!) แต่ถ้าเทียบกันแล้ว Golf GTi
ทำให้ผมนึกถึงแรงดึงจาก SAAB 9-5 รุ่นพิเศษ ล็อตท้ายๆ ซึ่งมีแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร
มากกว่า

มันเป็นความสุขที่เกิดจากการพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างน่าตื่นเต้น กำลังดี แต่กลับควบคุมง่ายดาย
ไม่ยากอย่างที่คิดเอาไว้ในตอนแรกเลย! Golf GTi ไม่ได้พุ่งออกไปอย่างน่ากลัวราวกับ Herricane
แต่มันจะพาความสนุกมาให้ ประมาณ 2 ใน 3 ของความรู้สึกในการนั่งรถไฟเหาะตีลังกา! ขณะ
กำลังออกจากท่าเทียบจอด และเริ่มดิ่งลงสู่เบื้องล่างในทันที

ไม่เพียงแค่ออกตัวจะสะใจ แต่ในทุกช่วงความเร็ว ถ้าอยากจะเร่งแซงเมื่อไหร่ กดคันเร่งจมมิดลงไปได้เลย
แรงบิดสูงสุด มารอพร้อมดึงลากคุณให้พุ่งพรวดขึ้นไป อย่างไหลลื่น ฉับไว และต่อเนื่อง แม้ว่าคุณจะ
ใช้ความเร็วระดับ เกินกว่า 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไปแล้วก็ตาม หรือถ้าอยากจะเล่นกับเกียร์ ด้วยตัวเอง
เกียร์ DSG 6 จังหวะ ก็พร้อมรับคำสั่ง และทำงานไวอย่างเฉียบขาด อ่านทุกสิ่งที่เราต้องการออกได้หมดเลย
เกียร์ฉลาดมาก สมกับที่ได้รับคำชมเชยมามากมายจากทั่วโลก จริงๆ

พละกำลังทั้งหมดจะเริ่มปรากฎให้คุณเรียกใช้กันตั้งแต่ ระดับ 1,700 รอบ/นาที
ไปจนถึง 5,200 รอบ/นาที อันเป็นช่วงที่แรงบิดจะแสดงศักยภาพเต็มที่ กระนั้น
ในช่วงตั้งแต่ 5,300 – 6,200 รอบ/นาที อันเป็นช่วงที่เริ่มต้นเข้าสู่รอบเครื่องยนต์สูงสุด
หรือ Red-Line เครืองยนต์ EA888 ตัวใหม่นี้ ก็ยังสามารถให้แรงบิดต่อเนื่องได้อีก
พอสมควรเลยทีเดียว ความยืดหยุ่นในช่วงเกียร์ 5 นั้นค่อนข้างมาก และในช่วงเกียร์ 6
แม้เพียงจะใช้นิ้วเท้าขวา พรมลงไปบนคันเร่ง แล้วกดลงไปประมาณ 1 ใน 8 รถก็ยัง
สามารถแซงขึ้นหน้า เพื่อนร่วมทางที่ใช้ความเร็วระดับ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปได้
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

เมื่อถอนเท้าจากคันเร่ง ปล่อยรถให้ไหลต่อไป ความเร็วจะค่อยๆหน่วงลงอย่างช้าๆ จนกระทั่ง เมื่อความเร็ว
ค่อนข้างต่ำ เกียร์ ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนลดตำแหน่งลงมา ให้เหมาะสมกับรอบเครื่องยนต์ และความเร็วที่ใช้อยู่
เกียร์จะไม่ปล่อยเข้าเกียร์ว่างให้เลย แต่อย่างใด ดังนั้น ในบางช่วง อาจมีอาการหน่วงความเร็วลงมา ซึ่งถือว่า
เป็นพฤติกรรมที่ดีเลยทเดียว เพราะพร้อมให้ผู้ขับ กดคันเร่ง ลากพารถพุ่งทะยานกันต่อไปได้ในทันทีที่ต้องการ

น่าประหลาดใจว่า แทบทุกคนที่มานั่งอยู่ข้างผม ขณะขับรถคันนี้ ไมได้รู้สึกหวาดกลัว กับอัตราเร่ง
ที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่พวกเขากลับพากัน ปลื้มปิติ ยินดี ปรีดา ปราโมท วิเลปะนะ เป็นที่สุด

เพราะนี่แหละ คือ สัมผัส ที่เรา ในฐานะคนรักรถ คนชอบขับรถ เฝ้าแต่เรียกร้องให้ผู้ผลิตรถยนต์ทุกราย
ทำออกมาให้เราได้ซื้อหามาขับกันเสียที สัมผัส จากแรงดึงที่ สะใจกำลังดี ไม่ต้องมากเกิน แต่ทันท่วงที
ในทุกครั้ง ที่ต้องการ ทิ้งห่างจากการไล่ตามแบบไร้สติ ของพวกเด็กแว๊น ไปจนถึงการขับไล่จี้บั้นท้าย
ของรถกระบะและ เอสยูวี อันฑะพาล (เขียนไม่ผิดครับ) บังคับควบคุมทุกสิ่งสรรพ์ ได้ดังใจต้องการ
ช่วยเหลือในยามที่เราพลาดหรือพลั้ง แต่เอื้อให้เราหัดลองแก้อาการเองบ้าง แต่มีแนวโน้มว่า ถ้าหลุดแล้ว
ก็คือหลุดเลยเหมือนกัน

ออกตัวเต็มตีนเมื่อใด รับประกันว่า ล้อหมุนฟรีทิ้ง กันสะใจ ต่อเนื่อง แม้แต่เกียร์ 2 ก็ยังมีเอี๊ยดได้!
ทว่า อาการ แรงบิดหมุนลงล้อคู่หน้ามากเกินไป จนรถเริ่มออกอาการส่าย หรือ Torque Steer นั้น
กลับมีให้สัมผัสได้ในระดับที่ กำลังดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป เชื่อว่า คนขับ รถคันนี้ได้ อาจไม่ต้อง
มีประสบการณ์มากนัก แค่ว่าขับรถให้เป็น ก็สามารถใช้ Golf GTi เป็นรถ เพื่อการเรียนรู้ และ
ฝึกการควบคุมได้ ไม่ยากเลย ส่วนหนึ่ง ก็เพราะได้ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว ASR
(Anti-Slip Regulation) มาช่วยควบคุมแรงบิดที่ส่งไปยังล้อ ไว้แล้ว มิเช่นนั้น คาดว่า ล้อหน้า
คงจะหมุนฟรีทิ้ง กันยาวๆ เลยทีเดียว

มีเรื่องที่อยากให้ลองสังเกตกันสักหน่อย หากคุณได้ลองขับ Golf GTi เรื่องที่ว่าก็คือ
หากคุณเหยียบคันเร่ง เต็มที่ หรืออาจจะแค่เกือบเต็มที่ เพื่อพุ่งหลาวแซงหน้าคนอื่น
ออกตัวไปก่อน ในจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ คุณจะได้ยินเสียง “ปรึ้บ”!! ก่อนที่เกียร์
จะเปลี่ยนขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น

เสียงปรึ้บ! ดังกล่าวเกิดจากการทำงาน ของกล่องสมองกลควบคุมเครื่องยนต์ ที่ทำงาน
ประสานกัน กับระบบส่งกำลัง ในจังหวะที่มีการเปลี่ยนเกียร์ภายใต้การกดคันเร่งที่รุนแรง
เมื่อถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนเกียร์ กล่องสมองกลจะสั่งลดองศาไฟจุดระเบิดลง ทำให้กำลัง
ของเครื่องยนต์ในเสี้ยววินาทีดังกล่าวลดน้อยลง ส่งผลให้จังหวะเปลี่ยนเกียร์
ลดความกระชากที่มีต่อเกียร์ น้อยลง ทำให้เกียร์มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น

เช่นเดียวกัน ในจังหวะที่เล่นเกียร์เอง หากมีการชิฟท์ลงเกียร์ต่ำ ระบบจะทำการ
ลดองศาไฟจุดระเบิดให้เพื่อ ป้องกันความสึกหรอ หรือเสียหายของชุดเกียร์อีกด้วย

ใน รถโมดิฟายบางคันซึ่งใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติและพ่วงกล่องปรับจูนเครื่องยนต์
จะมีเสียงลักษณะคล้ายกันเกิดขึ้นเมื่อเปลี่ยนเกียร์ คนที่ไปเดินเล่นแถวๆ
สนามแดร็กเรซซิง ที่รังสิต คลองห้า บ่อยๆ จะคุ้นเคยดี เพียงแต่จังหวะเสียงปรึ้บ
ของรถแต่งวางเครื่อง เหล่านั้น จะดังยาวกว่าที่พบใน VW Golf GTi นิดหน่อย

ทั้งนี้เพราะเกียร์ของ Golf GTi เป็นแบบคลัทช์คู่ที่มีการเปลี่ยนเกียร์รวดเร็วมาก
ประกอบกับตัวสมองกลเครื่องยนต์ที่ทันสมัยไม่แพ้กัน ทำให้การลดองศา
ไฟจุดระเบิดทำได้แม่นยำและรวดเร็วจนคนที่ไม่คุ้นเคยอาจได้ยิน แค่เสียง ปรึ้บ!
เป็นจังหวะเดียว ทั้งๆที่จริงเสียงดังกล่าวมันคือเสียงการจุดระเบิด พึ่บๆๆๆๆ
จำนวนมากหมายหลายครั้ง แต่เกิดในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที มันจึงดังแบบนั้น

ตาแพน Commander CHENG ของเรา บอกว่า “ถือว่าเป็นระบบที่ดี เพราะนอกจาก
จะช่วยในเรื่องการเซฟเกียร์แล้ว ยังให้เสียงที่เร้าใจเหมือนรถแต่ง วางเครื่องยนต์ใหม่
มาอย่างดีๆคันนึงเลย”

การเก็บเสียงทำได้ดีมาก หากคุณไม่เปิดม่านบังแดด ของซันรูฟ ซึ่งนั่นจะทำให้คุณ
ได้ยินเสียงกระแสลม ที่ไหลผ่านหลังคา ไปพอสมควร แต่เสียงรบกวนจากห้องโดยสาร
มีค่อนข้างน้อยมาก ต้องรอความเร็ว ไต่ขึ้นไปในระดับ เกินกว่า 180 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั่นละ
ถึงจะเริ่มได้ยินอะไรต่อมิอะไร ที่ไหลผ่านตัวรถไปชัดเจน แต่ในช่วงความเร็ว ตั้งแต่
180 – 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง เราเพิ่มเสียงพูดคุยในรถกัน ไม่ได้มากมายนัก 

พวงมาลัยแบบ แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง แบบ Electro-Mechanical
หรือพูดง่ายๆก็คือ เป็นระบบเพาเวอร์ กึ่งไฟฟ้า ช่วยปรับความหนืดของพวงมาลัย
ตามความเร็วรถ นั่นเอง รัศมีวงเลี้ยว (Curb to Curb) 10.9 เมตร อัตราทดเฟือง 15.6 : 1
หมุนจากซ้ายสุดไปขวาสุด (Lock to Lock) ทำได้ 3.01 รอบ

พวงมาลัยของ Golf GTi ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง ที่แสดงให้เห็นว่า พวงมาลัยกึ่งไฟฟ้านั้น
ถ้ามีการปรับเซ็ตมาดี และอย่างตั้งใจแล้ว การบังคับเลี้ยว ก็สามารถทำได้ คล่องแคล่วมาก
เฉียบคม ฉับไว มีน้ำหนักดี ระยะฟรี ไม่มากไม่น้อย กำลังดี หนืดตามความเร็วอย่างเหมาะสม
ไร้เสียงบ่นหรือก่นด่าจากลูกค้า และผู้ที่ลองขับ อย่างสิ้นเชิง เป็นพวงมาลัยที่ ดีมากๆ ที่สุด
รุ่นหนึ่ง เท่าที่เคยทดลองขับมา ต้องการเลี้ยวแค่ไหน ก็ทำตามนั้นเป๊ะๆ

ลักษณะวงพวงมาลัย ถอดแบบมาจากรถแข่ง เอาใจคนชอบขับรถ กันสุดๆ ณ ตำแหน่ง 9 นาฬิกา /
3 นาฬิกา เอาเข้าจริงแล้ว ก็บางพอกันกับรถญี่ปุ่นทั่วไปเลยแหละ แต่ พอเขยิบขึ้นมาเป็นตำแหน่ง
10 นาฬิกา / บ่าย 2 โมง Grip บริเวณนั้น จะค่อนข้างใหญ่ อวบอ้วนมาก เอาใจมือฝรั่งกันเป็นหลัก

ไม่ต้องอื่นไกล ในช่วงความเร็ว 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนทางด่วน บูรพาวิถี หลังเที่ยงคืนครึ่งไปแล้ว
ผมยังสามารถ ปล่อยมือจากพวงมาลัยได้ และ Golf GTi ก็ยังคงพุ่งขึ้นไปข้างหน้า อย่างตรงแหน่ว
คเส้นคงวา ไม่แถออกไปด้านข้างแต่อย่างใด ทำได้ขนาดนี้ ผมว่า ก็เกินพอไปหลายขุม!

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต มีปีกนกล่าง พร้อม ซับเฟรมทำจากอะลูมีเนียม
มี Anti-Roll Bar มาให้จากโรงงาน ส่วนด้านหลัง เป็นแบบ Four-Link 4 จุดยึด แยกสปริงกับช็อกอัพ
ออกจากกัน มีซับเฟรม และ Anti-Roll Bar มาให้ เช่นเดียวกัน

ช่วงล่างของ Golf GTi มีจุดเด่นสำคัญที่แตกต่างไปจากรถคันอื่นๆ คือ ทำงานร่วมกับ
ระบบควบคุมการปรับช่วงล่าง และพวงมาลัยอัตโนมัติ DCC (Dynamic Chassis Control)
ทำหน้าที่ดูแลการปรับความแข็งอ่อน ของระบบกันสะเทือน ความไวในการตอบสนอง
ของพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า รวมทั้งการตอบสนองของระบบเบรก โดยอัตโนมัติ
ด้วยตัวของมันเอง ในตลอดเวลาที่คุณกำลังขับรถอยู่

อย่างไรก็ตาม ถ้าอยากจะเลือกให้ระบบทำงานเอง ก็ให้กดปุ่ม ที่ติดตั้งอยู่ชิดกับ ปุ่มเปิด-ปิด
ระบบ ควบคุมเสถียรภาพ ESP (Electronic Stability Program) ใกล้กับคันเกียร์ นั่นละครับ

คุณสามารถปรับความแข็งอ่อน ได้เอง ทั้งหมด 3 ระดับ เริ่มจาก COMFORT
สำหรับการขับขี่ในเมือง ซึ่งจะให้ความนุ่ม กว่าอีก 2 แบบที่เหลือ แต่ความนุ่มที่ว่านั้น
ผมอยากเปลี่ยนไปใช้คำว่า “ละมุน” แทน เพราะอันที่จริงแล้ว ในโหมดนี้ ช่วงล่าง
จะดูดซับแรงสะเทือน ได้ดีมากๆๆๆ โดยยังคงหลงเหลือบุคลิกดิบนิดๆ ในแบบ รถบ้าน
ที่ปรับแต่งมาในแนวสปอร์ต แต่ยังติดความนุ่มนิดๆ ถ้าคุณนึกไม่ออก ว่าประมาณไหน
ให้นึกถึงช่วงล่างของ Mazda MX-5 NC Minorchange หรือ Mitsubishi Lancer EX 2.0 GT
เอาไว้นั่นแหละ สปอร์ตติดนุ่ม(นิดเดียว) แบบนั้นเลย!

Mode : NORMAL ระดับนี้คือความแข็งปกติ ระดับ Medium ดิบกลางๆ อันเป็นระดับที่เชื่อว่า
นักขับทั่วไป จะมองว่า กำลังดี ไม่แข็งไม่นิ่มจนเกินไป ตับไต้ไส้พุง ยังพอจะไม่เขยื้อนนัก
เหมาะกับการขับบนทางหลวงเมืองไทยค่อนข้างมาก ไม่แข็งไม่นิ่มเกินไป กำลังดี

และ Mode : SPORT  ระดับนี้ ถือว่า ดิบมาก แข็งตึงตังเข้าขั้น ตีสนิทชิดเชื้อ กับ MINI Cooper S
กันเลยทีเดียว ในโหมดนี้ พวงมาลัยจะถูกปรับความหนืดเพิ่มขึ้น และตอบสนองหนักแน่น
ฉับไว มากยิ่งขึ้นไปอีกนิดหน่อย การตอบสนองในภาพรวม แข็งกระด้างจน ตับไตไส้พุง
กระเทือนเลื่อนลั่นกันสะใจมาก เอาไว้เล่นกับโค้ง ลัดเลาะตามแนวเทือกเขา ดีกว่า

คือ ถ้าเทียบกันเล่นๆว่า จากคะแนนเต็ม 10 อันถือว่า ช่วงล่างแข็งมาก เป็นเกวียนกันเลย แล้ว
หาก MINI Cooper S จะมีคะแนน ประมาณ 8.8 เต็ม 10 Mode : SPORT ของ Golf GTi
ก็น่าจะทำคะแนนอยู่แถวๆ…8.763245…(เอ่อ อันนี้ก็ Over ไปนิด)

การซับแรงสะเทือน ของ Golf GTi ในโหมด COMFORT นั้น ทำได้ดีมากๆ แต่ถ้า
เป็นโหมด NORMAL และ SPORT จะพบว่า ช่วงล่างด้านหลัง แข็งขึ้นอย่างชัดเจน
ส่วนด้านหน้า แข็งขึ้นตามลำดับกันไป อย่างเหมาะสม

และแน่นอนว่า บุคลิกในโค้ง ที่เข้าอย่างรุนแรงมากไม่ค่อยได้ เช่น โค้งรูปตัว S ลาดลง
บริเวณ ทางลงของทางด่วนพระราม 6 อันเป็นโค้งประจำที่ผมมักใช้เปรียบเทียบ
ประสิทธิภาพของระบบกันสะเทือนบ่อยๆ แถมปลายโค้ง ก็คือ แยกสัญญาณ
ไฟเขียวไฟแดงด้วยพอดี มีจังหวะเหลือให้เบรก อย่างฉับพลันในโค้งให้รถหยุดสนิทนิ่ง
ก่อนถึงท้ายแถว อยู่นิดหน่อยเท่านั้น โค้งที่ รถอย่าง Corolla ALTIS รุ่นก่อนๆ
ไม่ควรเข้าโค้งเกิน 75 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั่นละ

Golf GTi สามารถสาดเข้าโค้งนั้นได้ ที่ความเร็ว 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง สบายๆ
พร้อมกับมีเสียงยางบดกับถนน ดังสนั่นเลื่อนลั่น อยู่สักหน่อย แต่หน้ารถก็ยังจิกดีอยู่
โดยยังไม่มีอาการพร้อมจะหลุดจากโค้งให้เห็น ณ ขณะนั้น ผมเริ่มคิดว่า
ถ้ายางที่ติดมากับรถ เปลี่ยนเป็น Pirelli P Zero คาดว่า โค้งนี้ ผมอาจจะใส่เข้าไป
ที่ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงต่อเนื่องได้ อย่างแน่นอน

และขอย้ำว่า…โหมดที่ผมปรับอยู่ ใช้ในการเข้าโค้งนั้น..แค่โหมด COMFORT…!!
ไม่ได้กดเลือกไปยังโหมด SPORT แต่อย่างใด

นี่แหละ ผลลัพธ์จากการที่ VW และ Mr.Stuck นำ Golf GTi ไปทดสอบและปรับแต่ง
กันที่สนาม Nurburgring อันเป็นสนามแข่งที่คนบ้ารถทั้งหลาย จะรู้จักกันดี ทั้งในฐานะ
สนามแข่งรถที่ยาวที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นสนามที่่ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ นำรถยนต์
รุ่น High-Performance ของตน ไปทดสอบกันที่นั่น (บริเวณ Northern Loop หรือ
Nordschleife ในภาษาเยอรมัน) ดึงดูด พวกช่างภาพ SpyShot มาเก็บภาพรถที่ยังทดสอบ
กันอยู่ ไม่พร้อมจะออกขาย ได้เพียบ)

ระบบห้ามล้อ เป็น ดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ มีรูระบายความร้อนเฉพาะจานเบรกคู่หน้า ซึ่งมี
เส้นผ่าศูนย์กลาง 312 มิลลิเมตร หนา 25 มิลลิเมตร ส่วนจานเบรกคู่หลัง มีขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลาง 286 มิลลิเมตร หนา 12 มิลลิเมตร มีระบบป้องกันล้อล็อกตายขณะ
เบรกระทันหัน ABS (Anti-Lock Braking System) แบบ 4 Sensor 3-Channel
พร้อมระบบกระจายแรงเบรกสู่ล้อทั้ง 4 อย่าง EBD (Electronic Brake pressure Distribution)

ทาสีคาลิปเปอร์เบรกไว้ซะแดงแจ๋ เป็นลูกมะอึกเลยทีเดียว

การตอบสนองของระบบเบรกนั้น เรื่องที่น่าชมเชยคือ ไม่ว่าคุณจะใช้ความเร็วในระดับไหนก็ตาม
หากต้องการจะชะลอรถอย่างปัจจุบันทันด่วนขึ้นมา ระบบเบรกของ Golf GTi จะหน่วงความเร็ว
ของตัวรถ ลงมาได้อย่างรวดเร็วมาก เข้าสู่ระดับที่ปลอดภัย และแทบจะไม่พบอาการ Fade เลย
แม้จะต้องชะลอรถจากความเร็วระดับ เกินกว่า 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ก็ตาม

แต่เรื่องที่อยากให้ปรับปรุงก็คือ มันเหมือนกับว่า คุณจำเป็นต้องยอมแลกกับบางสิ่งบางอย่างออกไป
เมื่อคุณเลือกแล้วว่า ต้องการรถที่เบรกได้อย่างรวดเร็ว และดังใจสั่ง คุณกลับต้องยอมแลกกับ อาการ
หัวทิ่มหัวตำคะมำคว่ำ แทบจะทุกครั้ง ที่คุณกำลังขับเจ้า Golf GTi คลานเข้าไปในสภาพการจราจร
อันแสนจลาจล กลางเขตเมือง ถ้าคิดจะเบรกให้นิ่มนวล เรียบร้อยแล้วละก็ ทางเดียวที่ทำได้คือ
ต้องใช้นิ้วโป้งเท้าขวา ค่อยๆ แตะ ละเลียด ลงไปบนแป้นเบรกอย่างแผ่วเบา กะน้ำหนักอย่าง
เหมาะสม แล้วรถก็จะหยุดนิ่งสนิท อย่างนิ่มนวล ซึ่งในชีวิตจริง คนที่ว่างพอจะมานั่งบรรจง
พรมนิ้วเท้าขวาลงบนแป้นเบรกแบบนี้ ดูเหมือนจะมีน้อยมากๆ ดังนั้น ถ้าทำได้ หากวิศวกร
ชาวเยอรมัน จะสามารถลดอาการเบรกหัวทิ่มในความเร็วคลานในเมืองได้ นั่นละ คือเรื่องที่จะทำให้
ระบบเบรกของ Golf GTi ประเสริฐยิ่งกว่าที่เป็นอยู่นี้อีก!

อีกเทคโนโลยีสำคัญ ที่ VW เคลมว่า ถูกนำมาติดตั้งเป็นครั้งแรก ในรถรุ่น Golf GTi นี้
คือระบบ XDS ซึ่งมันก็คือระบบ Electronic Limited Slip นั่นเอง (มาอีกละ ชื่อประหลาดๆ)

จุดประสงค์ของระบบ XDS คือ ลดอาการ Understeer หรือหน้าดื้อขณะเข้าโค้ง
นั่นเอง ไม่มีอะไรในกอไผ่ เป็น Function หนึ่ง ของระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว
ทั้งบนถนนแห้ง ลื่น หรือขณะเข้าโค้ง ESP (Electronic Stability Program) ซึ่งมันก็คล้ายกับ
การรวมระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบควบคุมการทรงตัว
ตอนเข้าโค้ง หรือพื้นลื่น VSC : (Vehicle Stability Control) และ ระบบ TRC (Traction Control)
รวมทั้งระบบ ASR เข้าไว้ด้วยกันนั่นละ และทำงานร่วมกับระบบล็อกเฟืองท้ายอัตโนมัติ EDL

การทำงานของระบบนี้? ถ้าดูจากรูปข้างบน แล้วไม่เข้าใจ งั้นขออธิบายกันง่ายๆ เลยแล้วกัน
สมมติว่า คุณกำลังขับรถเก๋ง ขับเคลื่อนล้อหน้า พุ่งเข้าหาโค้งขวา และเมื่อถึงหน้าโค้ง
คุณมาเร็วเกินไป และจำเป็นต้องแตะเบรกในช่วงจังหวะแรกที่เข้าโค้ง
แต่ปรากฎว่า เบรกล้อหน้าฝั่งซ้าย ไม่ทำงาน และมีเพียงด้ายขวา ทำงานด้านเดียว
ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น..หึหึหึ

แน่นอน เมื่อแรงเสียดทานของล้อฝั่งขวามีสูงกว่ามาก รถก็จะปัดไปทางขวา
XDS เล่นกับเบรก เพื่อช่วยให้รถ เลี้ยวไปในทางที่ต้องการ แบบเดียวกันนี้
แต่ทำด้วยกลไกที่ซับซ้อน และควบคุมแรงดันน้ำมันเบรกได้อย่างละเอียดมาก
จนคนขับแทบไม่รู้สึกเลยว่า ล้อหน้าวงที่อยู่ในโค้ง (กรณีที่ยกตัวอย่าง คือฝั่งขวา)
กำลังแอบเบรกอยู่

ระบบ XDS นี่ละครับ ที่ช่วยให้ ตา Art Signifer คุณผู้อ่านของ Headlightmag.com
ที่เราชวนให้มาร่วมทดลองขับรถคันนี้ด้วยกัน พาผม แพน และน้องกล้วย นั่ง Golf GTi คันนี้
ลงอุโมงค์ ลอดใต้แยกเกษตร เพื่อมุ่งหน้าไปทางคลองประปา และเข้าโค้งขวารูปบูมเมอแรง
ด้วยความเร็วถึง 110  กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้นิ่งสนิท อย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ
ทั้งที่เราปรับเซ็ตช่วงล่างอยู่ในโหมด COMFORT…!!

นี่ถ้าเป็นรถทั่วๆไป ป่านนี้ เราทั้ง 4 คน คงได้ไปแปะกับกำแพงอุโมงกันไปนานแล้วละ!
เพราะโค้งนี้ ใครผ่านบ่อยๆ คงจะนึกออกว่า นอกจากคุณจะต้องหักเลี้ยว ฉับพลัน เหมือน
ขับรถอยู่บนบูมเมอแรง แล้ว พื้นถนน ยังมีการทา แถบคาดเลน แนวขวาง ถี่ๆ ต่อเนื่องกัน
เพื่อหวังให้คนขับรถชะลอความเร็ว ก่อนเข้าโค้ง (โดยที่ ไอ้คนคิดทำมันก็คงไม่รู้เลยว่า
พอใช้งานจริง พื้นผิวตรงนั้น ยิ่งลื่นบรรลัยทวีคูณ และก่อให้เกิดอุบัติเหตุในอุโมงค์
ได้ง่ายกว่าที่ควรเป็น!!)

และก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผม ได้ค้นพบว่า Golf GTi สามารถเข้าโค้งในความเร็วสูง ได้อย่างดี
และมีอาการหน้าดื้อ พยายามแถออกจากโค้ง น้อยกว่า Audi RS4 V8 Quattro MTM คันที่ผมเคยลองมา

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

ทางไทยยานยนต์ บอกกับผมว่า รถคันนี้ ควรจะเติมน้ำมัน เบนซิน 95 เพื่อจะได้อัตราเร่ง
และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดี แล้วผมจะหาปั้มน้ำมันที่ไหนบ้างละ ที่จะยังคงมี เบนซิน 95 ขาย

ในเมื่อ ก่อนหน้านั้น 2 วัน ผมลองด้อมๆมอง ตระเวณหา ปั้มน้ำมัน Shell ในละแวกใกล้บ้าน
ปรากฎว่า ทุกแห่ง ได้ทำในสิ่งที่ผมหวั่นใจอยู่ลึกๆ ให้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ นั้นคือ พวกเขา เลิกสั่ง
น้ำมันเบนซิน 95 V-Power มาขาย แต่ กลับแทนที่ด้วย น้ำมันเบนซิน แก็สโซฮอลล์ 95 V-Power แทน

บางจาก เลิกขาย เบนซิน 95 ไป ผมก็เปลี่ยนปั้มมาแล้วครั้งหนึ่ง
Esso เลิกขาย เบนซิน 95 ไป ผมก็ต้องเปลี่ยนปั้มอีกเป็นครั้งที่ 2
Shell ยังจะมาเลิกขาย เบนซิน 95 V-Power อีก

นี่คือสิ่งที่ผมมองว่า ออกจะเป็นการกระทำของบริษัทน้ำมันที่ “มัดมือชก” กับผู้บริโภคไปสักหน่อย
ยังมีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย ที่ยินดีจ่ายแพงกว่า เพื่อสิ่งที่ดีที่สุด และแน่นอน พวกเขายินดีจ่ายเงินเพิ่ม
มากกว่าปกติ เพื่อน้ำมันเบนซิน ที่ถือได้ว่า ดีที่สุด

เอาเงินมาประเคนให้คุณสูบกันตรงหน้า ยังจะกล้ามามัดมือชกผู้บริโภคอย่างเราๆท่านๆ กันอีก…

ต่อให้จะมีการผสม Ethanol ลงไปเพียง 5% ก็ตาม

โชคดีมากๆ ที่ สถานีบริการน้ำมัน Shell ถนนพหลโยธิน ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์
เพิ่งสั่งน้ำมันเบนซิน 95 V-Power มาขายอีก 1 ล็อต ประมาณ 9,000 ลิตร ในจังหวะเดียวกัน
กับที่เรานำ เจ้ากอล์ฟแดง คันนี้ ไปทดลองจับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง กันพอดี ชนิดใจหายใจคว่ำ!

แม้ว่าจะเป็นแค่เสียงเล็กๆ เพียงเสียงเดียว ซึ่ง ไม่จำเป็นที่ใครจะต้องมาแยแส
แต่ ผมก็คงจะขอเรียกร้องสิทธิ์เท่าที่ทำได้ ด้วยการ ขอความกรุณา กับทาง Shell
หรือแม้แต่เจ้าของปั้มน้ำมัน ที่ซอยอารีย์ ช่วยยังคงจำหน่าย เบนซิน 95 V-Power
เอาไว้ ที่ปั้มแห่งนี้ หรือแห่งอื่นๆ อีกสัก 10-20 แห่ง ก็น่าจะดี

อย่างน้อย เพื่อให้เป็นทางเลือกของผู้บริโภค ในกลุ่มที่ไม่อยากจะใช้แก็สโซฮอลล์
หรือกลุ่มที่ รถบางรุ่น ที่ไม่ได้ผลิตมาเพื่อรองรับกับการเติมแก็สโซฮอลล์ ซึ่งก็มีอยู่
พอสมควร ทั้งรถเก่า และรถใหม่ นำเข้า (รถประกอบในประเทศหนะ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว)

ขณะเดียวกัน ผมเอง ก็ใช้น้ำมันเบนซิน 95 เป็นน้ำมันมาตรฐาน ในการจับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ของรถที่นำมาทำรีวิว นับตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา ยังไม่ค่อยอยากจะต้องเปลี่ยนน้ำมัน โดยไม่จำเป็น
เพราะ จากประสบการณ์ส่วนตัว อัตราเร่ง ไม่ใช่ปัญหา แก็สโซฮอลล์ 95 ให้อัตราเร่ง ที่ดีพอกันกับ
เบนซิน 95 นั่นละ แต่ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนั้น แม้ว่า ในรถบางคัน จะทำได้ดีเทียบเท่า หรือดีกว่า
เบนซิน 95 แต่ก็มีอีกไม่น้อย ที่ทำให้ตัวเลขด้อยลงไปกว่าที่ควรจะเป็นอยู่

ฟังดูงี่เง่ามากมาย แต่…ผมคิดดังนี้ครับ

ไม่เช่นนั้น หลังจากที่ Shell ประกาศเลิกจำหน่าย เบนซิน 95 V-Power เป็นการถาวร
ผมเอง ก็คงจะไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจาก การหันไปเติมน้ำมัน เบนซิน 95 Tehcron
ที่ปั้ม Caltex ฝั่งตรงข้ามกับ ปั้ม Shell นั่นแหละ และก็คงจะไม่เติมน้ำมันเบนซิน 95
ของค่าย ปตท อย่างแน่นอน เพราะปั้ม ค่อนข้างอยู่ไกลจาก ทางขึ้น-ลงทางด่วน เส้นพระราม 6 อยู่ไม่น้อย

ดังนั้น ในเมื่อ Shell ยังดึงดัน ที่จะเปลี่ยนน้ำมันเบนซิน 95 V-Power มาขายเป็น แก็สโซฮอลล์ 95 V-Power
กันทั้ง 360 ปั้ม ทั่วประเทศ ผมจึงจำใจที่จะต้องบอกว่า Golf GTi คันนี้ อาจจะเป็นรถคันสุดท้าย ในรีวิวของเรา
ที่จะได้ใช้น้ำมันเบนซิน 95 V-Power ในการทดลอง (ยังไม่นับ รถยนต์รุ่นอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ที่ยังจะทะยอย
นำเสนอลงใน รีวิวของเรา ซึ่งรถเหล่านั้น ใช้น้ำมันเบนซิน 95 V-Power ในการทดลองไปหมดแล้ว)

เอาละ กลับมาเข้าเรื่องของเราต่อดีกว่า
เราเติมน้ำมันเบนซิน 95 V-Power อย่างที่ได้บอกไป ให้เต็มถังน้ำมันขนาด 55 ลิตร
เอาจนหัวจ่ายตัด ก็เพียงพอ เพราะรถในกลุ่มนี้ แม้ว่า จะมีเครื่องยนต์ต่ำกว่า 2,000 ซีซี
แต่ ลูกค้าที่ซื้อไปขับส่วนใหญ่ ไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากนัก

เมื่อ Set 0 บน Trip Meter แล้ว เราก็ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ นั่งกันไป 2 คน ทั้งผม คนขับ (95 กิโลกรัม)
และ กล้วย BnN (แห่ง The Coup Team ของเรา (48 กิโลกรัม) ออกเดินทาง ลัดเลาะไปตามซอยอารีย์
ไปขึ้นทางด่วน ที่ด่านพระราม 6 มุ่งหน้าไปยังปลายสุด ทางด่วนสายเชียงราก ที่อยุธยา เลี้ยวกลับ ย้อนมา
ขึ้นทางด่วนฝั่งตรงข้าม โดยตอดทาง เรารักษาความเร็วไว้ที่ระดับ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดระบบควบคุม
ความเร็วคงที่ Cruise Control ให้ทำงาน

เมื่อถึงปลายทาง เราลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แล้วเลี้ยวซ้าย มุ่งหน้าไปตามถนนพหลโยธิน
กลับไปยังปั้ม Shell แห่งเดิม เจ้าประจำของเรา เติมน้ำมันเบนซิน 95 V-Power ที่หัวจ่ายเดิม และ
เติมแค่หัวจ่ายตัด เช่นเดียวกับ เมื่อช่วงเริ่มต้นการทดลอง

และต่อจากนี้ มาดูผลลัพธ์ที่เราได้มา
ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด 93.0 กิโลเมตร

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ ถึงแค่หัวจ่ายตัด 6.08 ลิตร

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย…..15.29 กิโลเมตร/ลิตร!
นั่นไง! Volkswagen ยังคงทำให้ผมตื่นเต้น ได้ แม้แต่การจับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ความน่าตื่นเต้น มันไม่อยู่ที่ว่า พวกเขา ทำให้รถเก๋งท้ายตัด บ้านๆ ประหยัดน้ำมันได้
ไม่แพ้รถยนต์ Sub-Compact Hatchback กันเลยทีเดียว อันนั้นหนะ ยังไม่เท่าไหร่
แต่เมื่อลองคิดรวมเข้าไปด้วยว่า รถคันนี้ พละกำลัง ก็ปาเข้าไป 210 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด ก็ปาเข้าไป 280 นิวตันเมตร คือ แรงกันแบบ ไม่ธรรมดา
แต่ว่า ประหยัดน้ำมันได้ในระดับนั้น ผมว่า นี่ไม่ธรรมดาแล้วละครับ

อย่างไรก็ตาม มีคำถามว่า น้ำมัน 1 ถัง จะแล่นใช้งานไปได้กี่กิโลเมตร
หลังการทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเสร็จสิ้นลง เราก็เลยเซ็ต 0 ที่ Trip Meter
แล้วก็วิ่งใช้งานกันตามปกติ รวมทั้งทดลองอัตราเร่งต่างๆ ซึ่งต้องมีการเหยียบคันเร่ง
กันจมมิดหลายต่อหลายครั้ง ทำท็อปสปีด กันไป 2-3 ครั้ง เพราะในระหว่างทดลอง
ปริมาณรถบนเส้นทางที่เราใช้ในการวิ่งนั้น ถือว่า มากกว่าปกติที่ควรเป็นในตอนนั้น
เลยไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะหาตัวเลขกันมาได้เป็นข้อสรุป แต่เราก็ได้มาในตารางข้างบน

ดังนั้น ตัวเลขที่คุณเห็นในรูปนี้ (ไฟเตือนน้ำมันหมด เริ่มโผล่ขึ้น เมื่อแล่นไปในระยะทาง
385.3 กิโลเมตร และเท่าที่ดูแล้ว มีแนวโน้มว่า ยังสามารถแล่นต่อได้อีกราวๆ 40 กิโลเมตร
น้ำมันจึงจะหมดเกี้ยงจากถัง จนเครื่องดับ หรือสรุปว่า น้ำมันถังนี้ เราน่าจะแล่นได้ประมาณ
425 กิโลเมตร) จึงถือเป็นตัวเลข ซึ่ง เป็นไปตามความคาดหมาย แต่ถ้าถามว่า หากคุณใช้งาน
ในชีวิตประจำวัน ขับสบาย เรื่อยๆ ไม่รีบร้อน รถไม่ค่อยติดเลย อาจมีเร่งแซง พวกขับรถประเภท
ยียวนกวนบาทา บ้าง ครั้งสองครั้ง เชื่อว่า น้ำมัน 1 ถัง น่าจะพาคุณแล่นไปได้ระยะทางประมาณ
500 กิโลเมตร สบายๆ ซึ่ง ณ จุดนี้ ก็ต้องถือว่า ประหยัดน้ำมันเกินที่คิดเอาไว้ อยู่ดี

********** สรุป **********
ที่สุดของ รถ Sport Compact ขับล้อหน้า ในราคาถูกกว่า ซื้อ 320d SE !!

เที่ยงตรง ณ ลานจอดรถชั้น 6 ของตึกไทยยานยนตร์

ผมพา Golf GTi คันสีแดง Tornado Red กลับมาคืน ด้วยความรู้สึก ที่ ไม่เหมือนเดิม…
พยายามค่อยๆขับวนขึ้นลานจอดรถ อย่าช้าๆ และนึกถึงคำพูดของตาแพน ก่อนที่เขา
จะร่ำลา จากตำแหน่งเบาะนั่งของ Golf GTi หลังถ่ายทำ Clip Video เสร็จ ที่ว่า..

“ขอวนบนทางด่วนอีกรอบนึงได้ปะ? และขอแป้นเบรกที่นุ่มในความเร็วต่ำกว่านี้หน่อยเถอะ”

ใครจะไปเชื่อ ว่าชายร่างท้วมใหญ่ พอกับเจ้าก้านกล้วย จะลงจากรถคันนี้ ขับ TIIDA 1.6
ของตัวเอง กลับถึงบ้าน นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ บนโต๊ะทำงาน แล้วนั่งร้องไห้…!!!!!!

น้ำตาซึมไหล เพราะเสียใจว่า ทำไมไม่เกิดมารวยมากกว่านี้ จะได้ควักกระเป๋าซื้อมาเป็นเจ้าของในทันที!!!!

นั่นไม่ใช่ผมหรอกครับ คนที่จะหลั่งน้ำตาให้รถสักคัน เพราะยังไงๆ รถก็คือวัตถุนอกกายอย่างหนึ่ง
ส่วนตัวผม ไม่ได้ถึงกับฟูมฟาย มากมายใหญ่โตอะไรแบบตาแพนเขาหรอก แต่แค่รู้สึก
เหมือนกับการที่ต้องลาจากกับ คนที่เรารัก ซึ่ง รู้ดีว่า ยังไม่มีวาสนาจะได้มาอยู่ด้วยกัน
แต่แค่มีโอกาสมาใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่กี่วัน

เป็นการจากกันด้วยดี เปี่ยมล้นด้วยความทรงจำที่ดี…

รู้สึกเหมือน กำลังดู ภาพยนตร์เรื่อง Lost in Translation แบบนั้นไม่มีผิด!!

อาจจะเคยมีรถคันอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ที่ทำให้ผมรู้สึกได้ ประมาณนี้
แต่ไม่เคยมีรถคันไหน ในพิกัดเดียวกันกับมัน ที่ทำให้ผมรู้สึกได้ มากถึงขนาดนี้…

ตอนแรก ผมมองรถคันนี้เอาไว้ ว่า มันก็น่าจะมีสมรรถนะดุดัน บ้าพลัง
เหมือนเด็กหนุ่มวัยรุ่น ที่ ออกแนวจะเป็น “แว๊นไฮโซ”…

แต่แค่ เปิดประตูฝั่งคนขับ รูปสัมผัส ทั้งรูป กลิ่น และเสียง ก็บอกแล้วว่า มันไม่ธรรมดา
และมันไม่ใช่ “แว๊นไฮโซ” อย่างที่ผมคิดเอาไว้เลย ยิ่งเมื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน 4 วัน 3 คืน
Golf GTi กลับ สร้างความน่าประทับใจ จากเดิมที่มีอยู่ เพิ่มเติมทวีคูนเข้าไปอีก
จนทะลุไปไกลโข จากจุดแรกเริ่มเดิมที

เด็กวัยรุ่น อายุราวๆ 28 ที่มีฐานะดี มาจากตระกูลผู้ดีเก่า แต่ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี
แม้ดูเหมือนว่า จะรักความสนุก เฮฮา บ้าบอไปกับผองเพื่อน แต่ไม่รั่ว
สุขุม มีของแรง ชนิดที่ หากคุณ ไปจ้องตาหาเรื่องเขาในผับ เขาจะไม่ลุกขึ้นมา
เอาเก้าอี้ซัดคุณจนหมอบในทันที แต่ เขาจะเดินมาพูดกับคุณด้วยความสุภาพ
น้ำเสียงเบาๆ สงบๆ ว่า “คุณครับ ผมคิดว่า คุณอย่ามีเรื่องกับผมเลยดีกว่านะครับ มันไม่ดีหรอก”..!!!
(อันนี้ ตาแพนเขานิยามเอาไว้)..แต่เขาจะยังไม่โชว์ปืนพก ที่เหน็บมาข้างเอว
ให้คุณเห็นโดยเด็ดขาด จนกว่าคุณเกิดอยากจะลองดีกับเขาขึ้นมา

ที่สำคัญ ในยามปกติ เขาเป็นคนรักครอบครัว สุขุม เยือกเย็น เอาจริงเอาจัง ทำงานหนัก
แต่ก็เป็นแนว Work Hard Play Hard มีอารมณ์ขัน สนุกไปกับทุกสิ่งที่ทำ
และถ้าอารมณ์เสีย ก็จะ ซัดกลับค่อนข้างหนักหน่วง แต่เขาจะรู้ลีมิท
เมื่อถึงจุดที่สมควรแก่เหตุแล้ว เขาจะค่อยๆลดระดับความรู้สึกตัวเองอย่างช้าๆ
และมีสติ ไม่วู่วาม แล้วก็แปลงร่างกลับมาเป็น หนุ่มวัยรุ่น รักครอบครัว คนเดิม!!

บุคลิกอย่าง Golf GTi ที่เขียนมาข้างบนทั้งหมดนี้หนะ
หายากนะ..หายากมากๆด้วย ในตลาดรถยนต์บ้านเรา..

ผมเพิ่งเข้าใจ ในคราวนี้เองว่า เหตุใด ผู้ผลิตรถยนต์ จำนวนมาก ถึงเลือกเอา Golf เป็น Benchmark
เวลาจะต้องพัฒนา รถยนต์ในกลุ่ม C-Segment : Compact Class รุ่นเปลี่ยนโฉมใหมของตน
ก็เพราะด้วยพื้นฐานดั้งเดิมที่วางกันมา นี่คือ รถยนต์ Compact ที่ดีที่สุดในตลาดโลก และยิ่งวันนี้
ในรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ ถูกปรับปรุง และลบข้อเสียต่างๆ ออกไปจนเหลือน้อยลงมากแล้ว
อีกทั้งยังพกพาความสนุกสะใจ ในการขับขี่ แถมยังควบคุมบังคับได้อย่างสะดวกง่ายดาย
คล่องแคล่ว ไม่พยศเกินไป ไม่เจ้าอารมณ์เกินเหตุ แต่พร้อมจะโลดแล่นไปกับผู้ขับขี่ ในทุก
รูปแบบสถานการณ์จะพาไป อย่างไม่มีอิดออด และพร้อมรบเสมอ เฮ้ยยย มันไม่ง่ายนะ
ที่จะหารถแบบนี้ ได้อีกในตลาดเนี่ย!

ประเดิมทำรีวิว VW เป็นคันแรก ก็ยังประทับใจได้มากขนาดนี้ มันเรื่องเหลือเชื่อแล้วละ

สำหรับรถยนต์ ในพิกัด C-Segment Compact class แบบนี้ แล้วทำได้ดีขนาดนี้
โดยที่ยังไม่ต้องแรงดิบเถื่อน ขนาด Golf R แล้วนะ จะหาที่ไหนได้อีกเนี่ย?

สารภาพเลยนะ ผมลืม MINI Cooper-S อันแข็งกระด้างตึงตังเกินเหตุ ผมลืม Volvo C30
ผู้น่ารัก และรื่นรมณ์  ลืม Saab 9-3 Aero ที่เคยพาผมพุ่งทะยานอย่างมั่นใจ ไปพร้อมวัสดุ
ภายใน ที่ไม่ค่อยจะดี ลืมไปเลย แม้กระทั่ง Subaru Impreza WRX STi ตัวเก่า ที่เคยขับมาทั้งหมดนั่น

ลืมไปจนเกลือบจะเกลี้ยงกันเลยทีเดียว!!

อีกทั้ง Golf GTi ก็ได้สร้างคำถามใหม่ ในหัวของตาแพน Commander CHENG ของเราว่า ในเมื่อ Golf GTi
เข้าโค้งได้เจ๋งมากเกินหน้าเกินตาคู่แข่งในระดับเดียวกันขนาดนี้ แล้วเรายังจะมานั่งมองหา และเลือกซื้อ
รถสปอร์ตคอมแพ็กต์ ขับเคลื่อนสี่ล้อ เพื่อใช้งานใน กรุงเทพฯ กันอีกทำไม?

และแน่นอน มันได้สร้างมาตรฐานใหม่ ของการเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า
ที่เข้าโค้งเร็วๆ แรงๆ ได้เจ๋งที่สุดคันหนึ่งในสายตาของผม

นี่แหละ German Engineering!!! รถที่ผลิตโดยกลุ่มคนซึ่งบ้ารถเข้ากระดูกดำ!!
เข้าใจความเป็นรถ และความต้องการขอลูกค้าได้อย่างดี ควบคุมต้นทุนอย่างเหมาะสม
ไม่ลดต้นทุนมากไป แต่ยังได้กำไร เป็นชิ้นเป็นอัน ในระดับที่สมควรจะได้รับ
มันจะออกมาเป็นแบบนี้!

แต่ถึงแม้ว่า มันจะดีเลิศประเสริฐศรี ยังไง ถ้ารีวิวนี้ มีแต่ข้อดีไปทั้งหมดเลย
มันก็ไม่ใช่ Review By J!MMY แน่ๆ ลูกอีช่างติอย่างผม และน้องๆ The Coup Team
ก็ใช้ความพยายามกันพักใหญ่ ในการค้นหาจุดซึ่งเราอยากเห็นการปรับปรุง ซึ่งเราก็หามาได้ 3 จุด

ประเด็นแรก ผมอยากได้ระบบเบรกที่มีการตอบสนอง อย่างเหมาะสม แป้นเบรกไม่ตื้นเกินไป
จนทำให้เบรกหัวทิ่มได้แทบทุกขณะที่คลานไปตามสภาพการจราจรติดขัด โดยยังต้องความมั่นใจ
ในการหน่วงความเร็วรถ ลงได้อย่างทันท่วงที เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ ว่าง่ายๆคือ เบรกหนะ
การหน่วงความเร็ว จากการขับขี่ด้วยความเร็วสูง ดีอยู่แล้ว แต่การเบรกแล้วคลาน คลานแล้วเบรก
ไปบนถนนซึ่งเต็มไปด้วยรถติดเป็นตังเม จนผมหัวทิ่มหัวตำบ่อยๆนั้น

เอ่อ..มันก็ไม่ค่อยจะรื่นรมณ์สักเท่าใดนะ

ประการต่อมา กระจกมองข้าง มีจุดบอด อยู่บ้างเหมือนกัน ข้อนี้ เป็นเรื่องของการออกแบบแล้วละ
และประการสุดท้าย สวิชต์ ของอุปกรณ์บางรายการ อยู่ห่างจากการควบคุม มากไปนิดนึง ซึ่งพอจะ
มีเหตุผลหักล้างได้ว่า สวิชต์ ESP และปรับช่วงล่างนั้น วิศวกรมองว่า ใช้งานไม่บ่อย เลยติดตั้งไว้อย่างที่เป็นอยู่

อ้อ แถมให้อีกเรื่องหนึ่ง คือ คนทั่วไป ยังกลัว VW กันอยู่ ในเรื่องราคาอะไหล่ที่ยังค่อนข้างจะสูง
ซึ่งคำชี้แจง ก็ มีเหตุผลพอจะฟังขึ้นกันอยู่บ้างว่า ในเมื่อ รถไม่ได้มีการประกอบในประเทศเลย
ดังนั้น อะไหล่แทบทั้งหมด ต้องสั่งนำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งทำให้ราคาอะไหล่ จึงสูงพอสมควร

ก็คงต้องรอดูอนาคตกันต่อไป ว่า พอจะมีทาง ชักชวน VW มาตั้งโรงงานประกอบในประเทศ
อย่างจริงจัง เหมือนอย่างที่เคยพยายามศึกษาไปก่อนหน้านี้ มากน้อยเพียงใด

แต่ที่แน่ๆ รีวิวนี้ น่าจะช่วยให้คุณๆ ที่คิดจะซื้อรถรุ่นนี้ หรือไม่เคยมีมันอยู่ในสายตา
กล้าหันกลับมามอง Golf GTi และ VW ยุคใหม่ กันมากขึ้น

เพราะขนาด คนอย่างผม ซึ่ง เคยมอง VW เป็แค่ รถที่ดี แบบบ้านๆ ทั่วๆไป
เจอคันนี้เข้าไป ก็ถึงกับเปลี่ยนความคิดกันไปเลย..มันกลายเป็น 1 ในสุดยอด
รถยนต์ ที่จะถูกบรรจุ อยู่ใน J!MMY’s Favorite List ที่คุณๆควรจะลองขับ
กันแน่ๆ

ก็ ขนาด วันส่งคืนรถ ผมยังบอกกับคุณวศิน ไปเลยว่า “ไม่อยากคืน
อยากจะยืมต่ออีกสักวันสองวัน” ด้วยซ้ำ….

ค่าตัว 2,680,000 บาท กับรุ่น HighLine ตัวท็อปแบบนี้ และได้ทุกสิ่งทั้งหมด
ที่คุณเห็นในรถคันนี้ คุณจะคิดอย่างไรกันบ้างละครับ?

สำหรับผม ผมมองว่า ถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง ที่คิดจะซื้อรถยนต์ในกลุ่ม Premium Compact
จำพวก Mercedes-Benz C-Class BMW 3-Series (โดยเฉพาะ 320d) หรือแม้แต่ Volvo S60
ซึ่งน่าจะหมดสต็อกไปนานแล้ว และเหลือแต่ S80 คันใหญ่ ในราคาที่ไล่เลี่ยกันคือเริ่มต้นที่
2,599,000บาท นั้น น่าจะลองตั้งคำถามกับตัวเองให้ดีครับ ว่าชอบอะไร อย่างไรบ้าง

ถ้าชอบขับรถ แต่ยังอยากได้ความสบาย อย่างสุนทรีย์ มีห้องโดยสาร
ที่กว้างใหญ่พอประมาณ ไม่เกี่ยงว่า จะเป็นรถขับล้อหน้า หรือขับล้อหลัง
ติดสปอร์ต ไม่หน่อยละ มากเลย แต่อยากได้ความนุ่มกำลังดีไว้ใช้งานในเมืองด้วย
พอกับที่อยากได้ความแข็งสะใจ สำหรับการขับรถลัดเลาะไปตามแนวโค้งในต่างจังหวัด
อีกทั้งยังได้ความประหยัดน้ำมัน ในแบบที่เกินคาดคิด ติดปลายนวมมาให้

และคิดว่า ราคาอะไหล่ที่ออกจะแพงไปหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตในชีวิตคุณนัก แล้วละก็…

ไปลองขับ Golf GTi ซะก่อน เถิด…แล้วจะเกิดความกระจ่าง! อย่างที่ผมเจอมาแล้ว

——————————————-///————————————————-

ขอขอบคุณ
คุณรณชัย จินวัฒนาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ
และคุณวศิน เพชรศิริ
เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด
บริษัท ไทยยานยนต์ จำกัด
บริษัท ไทยยานยนตร์ จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และการประสานงานต่างๆ

น้องตี้ TEE Abuser  
สำหรับ ภาพถ่าย Night Shot ที่สวยงาม ทุกภาพ

คุณพันธุ์สวัสดิ์ ไพฑูรย์พงษ์ (Pan AKA Commander CHENG)
สำหรับข้อมูล และการปรับแก้ไข รายละเอียดด้านเทคนิค

—————————————————————————

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน และ TEE Abuser
ลิขสิทธิ์ภาพวาด คอมพิวเตอร์กราฟฟิค เป็นของ
Volkswagen AG. สหพันธรัฐเยอรมัน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
12 พฤษภาคม 2010

Copyright (c) 2010 Text and Pictures
All of Computer Graphic pictures & illustration
is use by permission of  Volkswagen AG.
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
May 12th,2010 

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่

 Clip Video เชิญชมได้ คลิกที่นี่

เบื้องหลังการถ่ายทำภาพนิ่ง โดยคุณ Art Signifer เชิญได้ คลิกที่นี่