คำว่าทโมน เมื่อเปิด ค้นหาในพจนานุกรม สอ เศรษฐบุตร
จะมีคำแปลเป็นภาษาอังกฤษ เอาไว้ ว่าเป็นคำคุณศัพท์  
แปลว่า[ADJ] overgrown ; big ใหญ่ และมีกำลังมาก
(มักใช้แก่สัตว์ตัวผู้ที่เป็นจ่าฝูง) ; overgrown boy

ผมสะดุดตา ตรงคำว่า overgrown boy นี่แหละ เพราะว่า เมื่อนำ
2 คำนี้มารวมกัน มันช่างตรงกับบุคลิกของรถคันนี้ อย่างที่ ตาแพน
Commander CHENG! ของเรา หลุดโพล่งออกมา ในระหว่างที่
ผมกำลัง พาร่างพลุ้ยๆ ที่เริ่มจะผอมบางลงบ้างแล้ว ของเขา
ลัดเลาะโฉบฉิว ไปตามถนนสามัคคี หลัง 4 ทุ่ม เล็กน้อย

ด้วยรถคันสีขาวที่คุณเห็นอยู่นี้….

เรื่องมันมีอยู่ว่า หลังจาก รีวิว Golf GTi เผยแพร่ออกไป เมื่อ 12 พฤษภาคม 2010 ที่ผ่านมา
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น ออกจะทำให้ผมงุนงงนิดหน่อย เพราะไม่นึกว่า จะมีคุณผู้อ่านสนใจกัน
มากมายขนาดนี้ ผ่านไปไม่กี่วัน จำนวนคนอ่าน ที่คลิกเข้าไปดู ปาเข้าไป แตะหลัก 11,000 คลิ๊ก
อย่างรวดเร็วมากๆ

แถมความเห็นของคุณผู้อ่านส่วนใหญ่ หากไม่นับเรื่องบริการหลังการขาย ที่โผล่มาประปราย แล้ว
แทบจะทั้งหมดเลยก็ว่าได้ ที่เกิดอารมณ์ กรี๊ดดดด อยากได้อยากลอง อยากจับจองเป็นเจ้าของ
Golf GTi กันขึ้นมา อย่างฉับพลันทันด่วน

ไม่ใช่ผมคนเดียวละครับที่ งง ทาง ไทยยานยนตร์ เอง เขาก็ปลาบปลึ้มแกมงุนงง ไปพร้อมกับผมนั่นละ

นี่จึงเป็นเหตุ ที่ทำให้คุณๆ ได้เห็น Scirocco มาโผล่ในรีวิวของ Headlightmag.com ของเรา
ชนิดตามติดพี่ชาย อย่าง Golf GTi กันมาแบบไม่ปล่อยให้ทิ้งช่วงห่างกันเกิน 1 เดือน

และแน่นอนว่า รถคันนี้ ไม่ได้อยู่ในคิวที่เราตั้งใจกันมาก่อน แค่เพียงเคยคิดหวังเอาไว้เล่นๆ
ในตอนเย็นวันหนึ่ง รวมถึงหลายคืนต่อมา อารมณ์เดียวกับ Golf GTi ไม่มีผิดเลยแม้แต่น้อยว่า
ว่าถ้าได้ลองขับสักครั้ง ก็คงจะดี

โชคชะตามักเล่นตลกกับผมแบบนี้เสมอ อยากได้อะไร คิดเอาไว้เถอะ แล้วลืมไปเลยนะ ลืมไปให้หมดสิ้น
อีกสักพักหลังจากนั้น สิ่งที่คิดเอาไว้ มันจะโผล่มาหาเอง ราวกับ รถไฟฟ้า มาหานะเธอ

เพียงแต่ ผมเอง ก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนหรอกครับว่า โอกาสที่จะได้ทำ รีวิว Scirocco จะเกิดขึ้นในตอนนี้

อันที่จริง ในเว็บ Headlightmag.com ของเรา มีรีวิว Scirocco มารอให้อ่านกันตั้งนานแล้ว
เป็นของคุณ Ox หรือ ที่ใช้ Login ว่า Sirisak_ac118 ทำออกมาให้อ่านอยู่ใน ห้อง User’s VOICE
กันตั้งแต่ 9 กันยายน 2009 และแน่นอนว่า ได้รับความสนใจจากสมาชิกชาวเว็บของเรา กันถล่มทะลาย

ก็แหงละ ผมยังไม่ทันได้ลองขับเลย ตา Ox ก็เอามาลองขับเอง ก่อนเพื่อนเลย แค่นั้นยังไม่พอ
พี่วัวน้อยของเรา ยังทำรีวิวออกมายั่วกิเลสคนทั้งเว็บแบบนั้น ใครมันจะอดใจไม่อ่านไหวละ?

(ถ้าอยากอ่านรีวิว Scirocco ของ น้อง Ox เอาไว้อ่านรีวิวนี้ให้จบจนถึงด้านล่าง จะมี Link อยู่ครับ) 

อ่านไปเรื่อยๆ กิเลสก็เริ่มมาเซย์ห้าโหล โผล่เข้ามาในใจอีกครั้ง หลังจากมันหายตัวไปนาน
ความอยากขับก็บังเกิด และได้แต่เก็บอาการคันตะหงิดๆ เอาไว้ในใจ พลาง ทำหน้าเหมือน
คุณอั้ม พัชราภา ในละครช่อง 7 วางฟอร์มหยิ่งเชิดใส่ว่า “ชิส์ ไม่ได้ขับ ก็ไม่แคร์”
 
หารู้ไม่ ใครจะรู้ว่า ในใจผมเนี่ย ร้อนพล่านผ่าวๆ ราวกับโดนใครสักคน จับผมลงกระทะ
ไปทอดในน้ำมันร้อนๆ เตรียมเสริฟออกมาเป็น หมูชุบขนมปังทอด ทงคัตสึ กันถึงขนาดนั้น
เลยเชียวแหละ!!

ก็ดูสิครับ ะระยะหลังๆมานี้ Volkswagen ทำรถออกมาในภาพรวม ได้ดีขึ้นมากมายก่ายกอง
ดังนั้น โอกาสที่จะโดนผม เขียนด่าว่า ถึงขั้นไล่ตะเพิดให้กลับไปทำรถมาใหม่ เหมือนอย่างท่
ผู้ผลิตรายหนึ่งเคยโดนไปนั้น แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าจะมี อย่างมากที่สุด ก็แค่ว่า
การค้นหาจุดด้อย ส่งให้ชาวเยอรมันเขาเอาไปปรับปรุงแก้ไขกันต่อไปมากกว่า

สิ่งที่น่าจะเป็นคำถามในใจของหลายๆคนก็คือ ถ้าในเมื่อ Golf GTi กลายเป็นรถที่ขับสนุก
และดีเด่นรอบด้าน จนผมและ The Coup Team ถึงกับยกเอาไว้เป็น “สุดยอดรถขับล้อหน้าในดวงใจ”
แถม ผมยังคัดเลือกเอาไว้ให้เป็น 1 ใน รายชื่อของรถที่ ผมไม่อยากคืนรถ และอยากครอบครองเอาไว้เลย
กันถึงขนาดนี้

แล้ว Scirocco ผู้มีเส้นสายดึงดูดทุกสายตา มากกว่า Golf GTi จะทาบรัศมี พี่ชายของตนได้หรือเปล่า
มากน้อยแค่ไหน และอย่างไร แล้วในราคาเท่าๆ กัน ณ ระดับ 2.6 ล้านบาท คุณควรจะเลือกคันไหนดี?

เรามากำจัดความคาใจ กันเลยดีกว่า!

แต่…ก่อนจบอารัมภบทน้ำท่วมทุ่งข้างบนนี้ มี 2 ข้อที่อยากจะให้คุณๆ ได้ทราบไว้ก่อนจะเข้าเรื่องกัน

1. อย่าตกใจ ถ้าคุณจะเห็นคำว่า Golf GTi ปรากฎอยู่ในบทความนี้ มากเป็นพิเศษ
เผลอๆ จะมากกว่าชื่อ Scirocco เองด้วยซ้ำ ถ้าอยากรู้ว่าทำไม ก็ลองอ่านต่อไปเรื่อยๆดูครับ เดี๋ยวก็รู้เอง

2. ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว ถ้าจะเรียนรู้ หรือรู้จักอะไรสักอย่าง ก็ควรจะเรียนรู้ให้ลึกซึ้ง
ดังนั้น เราก็ควรจะมาทำความรู้จักกับประวัติความเป็นมา “อย่างย่อๆ” ของ Scirocco กันเสียก่อน

ขอย้ำว่า…นี่ย่อแล้วนะ…!

 อันที่จริงแล้ว Scirocco กับ Golf เอง ก็มีความเกี่ยวพันลึกซึ้งในสายเลือด กันมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่
Scirocco รุ่นแรก ถือกำเนิดขึ้นในโลกรถยนต์ เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 1974 และจัดแสดงครั้งแรกใน
งาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม ปีเดียวกัน เป็นหนึ่งในผลงานอันเอกอุของ Giorgio Giugiaro
แห่งสำนัก Ital Design (ที่เพิ่งโดน Volkswagen ซื้อกิจการไปเมื่อ เดือนที่แล้ว) ร่วมกับ บริษัทดัดแปลง
และออกแบบรถยนต์ Karmann จากเมือง Osnabruck และทีมวิศวกรของ Volkswagen ในเมือง Wolfsburg  
และถือเป็นรถยนต์รุ่นที่ 2 ในกลุ่มรถยนต์ยุคใหม่ ซึ่งถือกำเนิดขึ้น หลังยุคของเจ้าเต่าทอง และรถตู้หัวแตงโม
อันเป็นรถยนต์รุ่นขายดีของ ค่ายนี้ ที่เริ่มจะแผ่วแรงโรยราตามเข็มนาฬิกาที่ไม่เคยหยุดเดิน

เห็นชื่อ Karmann มาเกี่ยวข้อง ก็ไม่ต้องสงสัยไปไหนไกลหรอกครับ เพราะว่าหน้าที่ของ Scirocco
ถูกกวางตัวให้เป็นรุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change ของ รถสปอร์ตรุ่นดังในเมืองไทย ยุคสมัยที่
คุณปู่ยังหนุ่มแน่น อย่าง Karmann Ghia นั่นเอง!! 

รถรุ่นแรก มีรหัสโครงการ EA398 ใช้โครงสร้างวิศวกรรมพื้นฐานต่างๆ ร่วมกับ Golk Mk-I
เยอะแยะอย่างอยู่ ตั้งแต่ เครื่องยนต์วางขวาง บล็อก 4 สูบ 1,500 ซีซี คาร์บิวเรเตอร์เดี่ยว
ระบายความร้อนด้วยน้ำ 70 แรงม้า (BHP) ขับเคลื่อนล้อหน้า เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ
และอัตโนมัติ 3 จังหวะ วางบนโครงสร้างตัวถังแบบ Unit Body (สมัยนี้รู้จักกันในชื่อ
Monocoque) และระบบกันสะเทือนหลัง แบบ 4-Link

เหตุที่ใช้ชื่อรุ่น Scirocco ซึ่งแปลว่า “ลมแห่งทะเลทรายซาฮาร่าที่กระโชกผ่านอย่างรุนแรง
สู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน” นั้น ก็อาจจะเป็นเพราะ ชื่อรุ่นของ Volkswagen ในระยะนั้น
มักเป็นชื่อที่เกี่ยวข้องกับกระแสลม อย่างชื่อ Golf ก็มาจากคำว่า Gulf Stream ในภาษาเยอรมัน
คงเพราะอยากจะให้กระแสลมอันร้อนแรงคันนี้ ถาโถมพัดเข้าใส่ท้องถนน กระมัง

แล้วพวกเขา ก็เริ่มต้นได้สวย ในปี 1974 อันเป็นปีแรกที่ออกสู่ตลาด Scirocco ถูกผลิตขึ้น
มากถึง 24,555 คัน และในปี 1975 ยอดขายก็พุ่งพรวดพราดขึ้นมาเท่าตัว เป็น 58,942 คัน
เล่นเอาคู่แข่งอย่าง Ford Capri ถึงกับเซ็งไปเลย เมื่อสิ้นสุดอายุตลาด ในปี 1981 Scirocco Mk-I
ทำยอดขายทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 504,153 คัน

อย่างไรก็ตาม Volkswagen ก็เริ่มเห็นหนทางที่จะต้องปรับปรุง Scirocco รุ่นต่อไป ทั้งการเพิ่ม
พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังให้มากขึ้น ปรับเส้นสายตัวถังให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น พวกเขาจึงเริ่ม
โครงการพัฒนา รถรุ่นต่อไป เมื่อปี 1976 ในรหัส EA491 แม้ว่า Giorgio Giugiaro จะร่วมเสนอ
แบบรถเข้าประกวด แต่ท้ายสุด ผู้บริหาร ก็เลือกงานออกแบบ จากทีมของ Volkswagen เอง
การตัดสินใจ เสร็จสิ้นในปี 1977 แต่กว่าที่รถจะพร้อมออกสู่ตลาด ก็ต้องรอให้รถรุ่นเก่า กอบโกย
กันให้หนำใจเสียก่อน

พอเข้าสู่ปี 1981 เจเนอเรชันที่ 2 หรือ Scirocco Mk-II ที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง A1-Platform
จากรถรุ่นเก่า ร่วมกับ Golf Mk-II ไม่เว้นแม้แต่ระบบกันสะเทือนแทบทั้งหมด แต่มีเส้นสาย
ลู่ลมกว่าเดิม ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ ที่ลดลงจาก Cd 0.42 เหลือ Cd 0.38
วางเครื่องยนต์ 4 สูบ 8 วาล์ว 1,717 ซีซี 74 แรงม้า (HP) ก็เริ่มออกสู่ตลาด หลังจากนั้น ก็ทะยอย
เพิ่มเครื่องยนต์ และเพิ่มรุ่นย่อยใหม่เป็นระยะ ที่น่าจดจำที่สุด เห็นจะเป็นรุ่น Scirocco 16V
ในปี 1986 ที่วางเครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว หัวฉีด 123 แรงม้า (HP) ที่ 5,800 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 16.56 กก.-ม.ที่ 4,250 รอบ/นาที 

Scirocco Mk-II คันสุดท้าย เป็นรุ่น GT-II คลอดออกจากสายการผลิตของโรงงาน Karmann
ที่ Osnabruck เมื่อ 7 กันยายน 1992 ตลอดระยะเวลา 18 ปีที่อยู่ในตลาด Scirocco ทั้ง 2 ตัวถัง
ทำยอดขายสะสมได้มากถึง 797,734 คัน Volkswagen บอกว่า ตัวเลขนี้ บ่งบอกให้เห็นแล้วว่า
Scirocco ได้เบิกทาง นำพา พวกเขา เข้าสู่ตลาดกลุ่ม Sports Coupe ขนาดเล็ก-กลาง
เป็นผลสำเร็จ

เดี๋ยวก่อน! ถ้า ในเอกสารประชาสัมพันธ์ของ Volkswagen เขียนเอาไว้อย่างนี้จริงๆ
แล้วทำไม พวกเขา ถึงได้ยุติบทบาทของ Scirocco ไปดื้อๆกันละ?

เพราะรถรุ่นที่ 2 นั้น ทำยอดขายรวมทั่วโลกทั้งหมดได้แค่ 291,497 คัน
ถือว่า ลดลงจากรถรุ่นเดิม ไปเกือบครึ่งหนึ่ง เลยทีเดียว

เอ๋า! ก็เขาเปิดทางให้กับ Corrado ไงครับ อันที่จริง Volkswagen สร้างรถรุ่นนี้ขึ้นบนพื้นตัวถัง
ร่วมกับ Golf MK-II วางเครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.8 ลิตร 160 แรงม้า (PS) และผลิตจาก
โรงงานของ Karmann ใน Osnabruck ออกขายควบคู่กันกับ Scirocco นับตั้งแต่ เดือนมกราคม 1988
จนถึง 1992 นานราวๆ 4 ปี ทว่า เมื่อถึงกาลต้องยุติสายการผลิต ในปี 1995 Volkswagen ผลิต Corrado
ออกมาขายได้แค่ 97,521 คัน เท่านั้น 

แล้วทำไม Corrado ถึงยุติบทบาทไปเร็วจัง?

ก็ดูยอดผลิตทั้งหมดสิครับ มันย่ำแย่กว่า Scirocco Mk-II เสียอีก ทั้งที่อยู่ในตลาดนาน 6 ปี
เพราะมันขายไม่ค่อยออกนั่นเอง ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เนื่องจาก ราคาขายปลีก
ค่อนข้างแพง เมื่อเทียบกับขนาดและสมรรถนะของตัวรถ แถม รูปร่างหน้าตา มาในแบบพื้นๆ
อีกทั้งชื่อเสียงของ Volkswagen ด้านการทำรถสปอร์ต สมรรถนะสูง ในตอนนั้น ก็ยังไม่ค่อย
โด่งดังเท่าไหร่ ทั้งหมดนี้ เป็นเหตุผลที่ทำให้ Volkswagen ดูเหมือนจะเข็ดขยาดกับตลาด
รถ Sports-Coupe ขนาดกลาง ไปอีกนานหลายปี

หลังจาก VW Corrado คันสุดท้าย ขายออกไปในช่วงปี 1996 เวลาก็ล่วงเลยผ่านมาถึง
10 ปี ช่วงเวลาที่ห่างหายไปนี้ เราไม่รู้เลยว่า Volkswagen คิดอะไรเกี่ยวกับตลาด
รถ Sport Coupe อยู่บ้าง เพาะสิ่งที่เราเห็น ก็มีแต่ความพยายามในการบุกตลาดจีน
ไปจนถึง ความพยายามในการแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นแทบจะรอบด้าน ตั้งแต่
ยอดขายของ Golf รุ่นที่แล้ว (Mk-V) ไม่ค่อยจะเดิน จนต้องเร่งคลอดรุ่น MK-VI
ออกมาอย่างที่เห็น ไปจนถึงปัญหาที่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกับ Porsche เรื่องการ
ซื้อหุ้นอันวุ่นวายยุ่งเหยิง ที่เกี่ยวพันกันมาตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
ที่จนป่านนี้ ก็ยังไม่จบลงอย่างน่าพอใจของทุกฝ่ายเลย ไหนจะเรื่องการพัฒนา
เทคโนโลยีเครื่องยนต์กับเกียร์รุ่นใหม่ๆ ให้แซงหน้าคู่แข่งร่วมชาติกันไปเสียที ฯลฯ

จนกระทั่ง เมื่อเดือนมิถุนายน 2006 จู่ๆ Volkswagen ก็ออกมาประกาศว่า
พวกเขา พร้อมแล้ว สำหรับการนำ ตำนาน Sport Coupe ระดับพายุทะเลทราย
กลับคืนสู่ถนนทั่วโลกกันอีกครั้ง นั่นแหละ วงการรถยนต์ ถึงได้เริ่มหันกลับมา
จับตามอง Scirocco กันอีกครั้ง

โครงการ Scirocco ใหม่ เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 2002-2003 รูปลักษณ์ภายนอก เป็นผลงานของ Marc Lichte
หัวหน้าทีมออกแบบภายนอกของรถรุ่นนี้ ภายใต้การดูแลของ Walter de Silva ผู้กุมบังเหียนและชี้ชะตา
งานออกแบบของ Volkswagen มาช้านาน

Marc กล่าวว่า เป้าหมายในการพัฒนา Scirocco ใหม่ คือการสร้างรถ Sport Coupe ที่ “สปอร์ตที่สุด”
เท่าที่ VW เคยทำมา นอกจากจะต้องเย้ายวนให้ทุกสายตาที่มอง เหลียวตาม แม้รถจะแล่นผ่านไปแล้ว
ยังจะต้องรักษาไว้ ซึ่ง เอกลักษณ์ และคุณค่าสำคัญ ในการเป็นรถจาก VW ด้วย อีกทั้งยังจะต้องเป็น
รถสปอร์ตคูเป้ ที่สามารถขับใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน ต้องมีเส้นสายที่ สุดขั้ว คือ ทั้งเตี้ยสุดขั้ว
แบนสุดขั้ว กว้างสุดขั้ว แต่ในทุกสัดส่วน จะต้องสมดุลย์กับการใช้งานจริง

แรงบันดาลใจ ที่ Marc และทีมงาน นำมาใช้ในการออกแบบ Scirocco ใหม่ อยู่ที่ การนำบุคลิกดั้งเดิม
ของ Scirocco รุ่นก่อนๆ อันได้แก่ ความเบา กระทัดรัด มีรูปทรงแบบลิ่ม (Wedge Shape) คล่องตัว
และตอบสนองฉับไว ผสมผสานกับความคิดที่อยากจะสร้างรถ Coupe คันใหม่ ที่มีขนาดใหญ่โตกว่าเดิม
แต่ในขณะเดียวกัน มันยังต้องเป็นรถที่มีความเป็น รถสปอร์ต อย่างเต็มเปี่ยม มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ที่สำคัญ ยังต้องเป็นรถที่สามารถขับใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน และเพียบพร้อมดัวยอุปกรณ์ต่างๆ
ในราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ไม่ยากนัก

จากแบบร่างในจอคอมพิวเตอร์ สู่ภาพวาด Rendering ที่ต่อเนื่องมาเป็นแบบจำลองดินเหนียว
ขนาดเท่าของจริง 1 : 1 พวกเขาใช้เวลาในการสร้างสรรค์ รถ Sport Coupe คันใหม่ บนพื้นตัวถัง
A5-Platform หรือ PQ35 ร่วมกับ Golf Mk-VI รุ่นใหม่ และรถอื่นๆอีกหลายรุ่น อยู่พักใหญ่
ก่อนจะออกมาเป็นคันจริง

เส้นสายอันโฉบเฉี่ยว ทะมัดทะแมง และดุดันอยู่ในตัวแบบนี้ เราไม่ค่อยได้เห็นกันในรถยนต์
รุ่นผลิตขายจริง หรือ Mass Production จากค่าย Volkswagen กันได้บ่อยนัก และต้องถือว่า
กล้าดีทีเดียว ที่พวกเขาทำรถรุ่นนี้ ออกมาให้แตกต่างอย่างน่าตื่นตาตื่นใจกันขนาดนี้

ทีนี้ เมื่อรูปแบบของรถลงตัวแล้ว ก็ต้องเตรียมสายการผลิต ให้พร้อม ในการนี้
Volkswagen ประกาศออกมาเมื่อปี 2006 ว่าเลือกให้โรงงาน VW AutoEuropa
ในเมือง Palmela ประเทศโปรตุเกส รับหน้าที่ประกอบ Scirocco รุ่นใหม่

โรงงาน AutoEuropa เกิดขึ้นเมื่อ 24 มิถุนายน 1991 จากงานประกาศโครงการความร่วมมือ
มูลค่า 1,970 ล้าน Euro ของ กลุ่ม Volkswagen และ Ford โดย ฝ่ายแรกจะพัฒนา รถตู้
Minivan ขนาดกลาง 7 ที่นั่ง ออกขายร่วมกัน ทั้ง Volkswagen Sharan,Seat Alhambra และ
Ford Galaxy ที่คนไทยคงจะพอรู้จักกันอยู่แล้ว ขณะที่ Ford จะเตรียมโรงงาน
ขนาดใหญ่โตไว้ ถือเป็นโครงการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโปรตุเกสเลยทีเดียว
ทั้ง 3 รุ่น เริ่มออกสู่ตลาดยุโรป ในเดือน เมษายน 1995 และต่างก็ขายดิบขายดีใช้การได้

แต่ เมื่อเวลาผ่านไป Ford ตัดสินใจ เปิดหมวกลา ไม่สานต่อความร่วมมือกันอีก Volkswagen
ก็เลยซื้อหุ้นทั้งหมดในโรงงานจาก Ford กลับมา เมื่อ 1 มกราคม 1999 แม้จะยังคงผลิต มินิแวน
ทุกรุ่นต่อไป แต่ด้วยความต้องการที่ค่อยๆลดลงทั่วโลก ทำให้ยอดผลิตก็ต้องลดลงตามไปด้วย
เดือนกุมภาพันธ์ 2006 Ford ก็ยกเลิกการผลิต Galaxy รุ่นแรกไป นั่นทำให้ ผู้บริหารของโรงงาน
ที่รู้ล่วงหน้าแล้วในเรื่องนี้ ต้องพยายาม แข่งขันประมูล ร่วมกับบรรดาโรงงานอื่นๆของกลุ่มตน
ผ่านระบบ Volkswagens internal bidding system เพื่อหารถรุ่นอื่นมาประกอบขาย เลี้ยงคนงาน
กว่า 3,000 ชีวิต และผู้ผลิตชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง อีก 2.350 ราย ให้อยู่รอด จนกระทั่ง ในที่สุด
พวกเขาก็ได้ รถเปิดประทุน Eos ไปทำขายต่อในปี 2005 และในเดือนพฤษภาคม 2008 AutoEuropa
ก็พร้อมแล้วสำหรับการเป็นโรงงานเดียวในโลก ที่ได้รับสิทธิ์ให้ผลิต Scirocco III

แต่ก่อนหน้านั้น เพื่อเป็นการยืนยันว่างานนี้ Volkswagen จะเอาจริงกับโครงการนี้เสียที
พวกเขาก็เลยเข็นรถต้นแบบ คันสีเขียว ที่ชื่อว่า IROC ขึ้นแท่นหมุน อวดโฉม สู่สายตา
สาธารณชน ในงาน Paris Auto Salon เดือนกันยายน 2006 โดยนำเอาตัวอักษร 4 ตัว ตรงกลาง
จากชื่อ Scirocco มาใช้เป็นชื่อรถคันนี้ การเผยโฉมรถต้นแบบดังกล่าว นอกจากจะเป็นการยืนยัน
ถึงการกลับมาอีกครั้งของ Scirocco แล้ว ยังถือเป็นการประกาศให้คนรักรถทั่วโลกรู้ว่า เส้นสาย
ของ Scirocco รุ่นจำหน่ายจริง จะไม่หนีไปจากรถคันที่เห็นอยู่นี้อีกต่อไป

และเมื่อถึงเวลาเปิดตัว เวอร์ชันจำหน่ายจริง บนแท่นหมุนของงาน Geneva Motor Show
วันที่ 3 มีนาคม 2008 ผู้คนต่างพากันชื่นชอบในรถคันนี้อย่างมาก เมื่อถึงวันเปิดตัวต่อ
สื่อมวลชน พร้อมกับทริปทดลองขับ วันที่ 17 มิถุนายน 2008 ตามด้วยงานเปิดตัว
อย่างเป็นทางการเมื่อ 18 มิถุนายน 2008 และ เริ่มทำตลาดในเยอรมัน เมื่อ 29 สิงหาคม 2008
Volkswagen ก็ทำตามที่ตนเคยพูดไว้ ไม่ผิดเพี้ยน เส้นสายตัวรถทั้งคัน ยังคงเหมือนกัน
กับรถต้นแบบ IROC เช่นเดิม อาจจะแตกต่างกันบ้าง ก็แค่ชิ้นส่วนเปลือกกันชน พร้อม
กระจังหน้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่โตนัก

ด้วยความสวย โฉบเฉี่ยว แถมยังดูเท่ห์ อีกต่างหาก จึงเป็นเหตุผลหนึ่ง ในบรรดา
ความคิดเห็นของลูกค้าที่ ซื้อ Scirocco ไปขับ ทำให้ในปีแรกที่ออกสู่ตลาด คือ ปี 2008
การกลับมาเกิดอีกครั้งของ Scirocco ประสบความสำเร็จใช้ได้ ด้วยยอดผลิตรวม 20,472 คัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Scirocco จะถูกส่งออกจากโปรตุเกส ไปยังหลายประเทศทั่วโลก
แต่หนึ่งในจุดหมายปลายทางของรถแทบทุกคัน กลับไม่มีสหรัฐอเมริกา อยู่ในรายชื่อ

ในเดือน เมษายน 2007 Adrian Hallmark รองประธานของ Volkswagen America กล่าวว่า
Volkswagen จะไม่นำเข้า Scirocco ใหม่ ไปทำตลาดในสหรัฐฯ เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผล
ต่อยอดขายของ Golf GTi ซึ่งก็แน่ละ ถ้ามองจากในแค็ตตาล็อกแล้ว ทั้งคู่ ต่างกันแค่เปลือกตัวถัง
กับตำแหน่งนั่งขับนิดหน่อย แทบจะเท่านั้นเลย

อย่างไรก็ตาม มีการเปิดเผยในภายหลังว่า คนที่ตัดสินใจดังกล่าว คือ Martin Winterkorn  CEO
ของ Volkswagen สำนักงานใหญ่ที่เยอรมัน ไม่เพียงเท่านั้น ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด
ของ Volkswagen ที่ชื่อ Detlef Wittig ยังออกมาให้สัมภาษณ์กับ สำนักข่าว Bloomberg ในช่วง
เดือนมีนาคม 2008 อีกด้วยว่า ไม่เพียงแค่ โอกาสที่ Scirocco จะแย่งยอดขายจาก Golf GTi
เป็นประเด็นหลักแล้ว อีกปัจจัยหนึ่ง ที่สำคัญไม่แพ้ประเด็นแรกคือ ความแตกต่างจากอัตรา
แลกเปลี่ยนเงินตรา ระหว่าง เงิน Euro กับ U.S.Dollar นั่นหมายความว่า Scirocco นั้น แท้จริงแล้ว
เป็นรถที่เหมาะกับตลาดสหรัฐอเมริกามากๆ แต่ ด้วยอัตราแลกเปลี่ยน ในขณะนั้น มันไม่คุ้มเลย
ที่พวกเขาจะนำเข้าไปทำตลาดในสหรัฐอเมริกา เพราะพวกเขาแทบจะไม่ได้กำรี้กำไรอันใดเลย

ดังนั้น เราคนไทย ก็ควรจะดีใจ ที่ยังมีโอกาส ได้ขับ และเป็นเจ้าของ Scirocco ใหม่ รถซึ่งคนอเมริกัน
ได้แต่ฝันค้างน้ำลายยืดตอนกลางวัน ต่อให้พวกเขาเอาเงินมากองตรงหน้า Volkswagen America 
ก็จะบอกกับลูกค้าผมทองสุดรักของพวกเขาว่า “เสียใจนะยู ไอไม่ขาย!”

ตอนนี้ ก็ได้เวลา ที่เราจะมาพินิจพิเคราะห์ กับเปลือกนอกของ Sport Coupe คันนี้กันให้ชัดๆ เสียที

ขนาดตัวถังของ Scirocco มีความยาว 4,256 มิลลิเมตร กว้างถึง 1,810 มิลลิเมตร สูง 1,404 มิลลิเมตร 
ระยะฐานล้อ 2,578 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถเปล่าๆ ปาเข้าไป 1,318 กิโลกรัม ถ้าบรรทุกหนักเต็มพิกัด 
รวมของเหลวจะอยู่ที่ 1,760 กิโลกรัม เพราะน้ำหนักบรรทุกที่รับได้มากสุด อยู่ที่ 442 กิโลกรัม

โดยสรุปแล้ว Scirocco จะยาวกว่า Golf GTi 49 มิลลิเมตร กว้างกว่า 36 มิลลิเมตร 
เตี้ยกว่า 97 มิลลิเมตร แต่ทั้งคู่จะมีระยะฐานล้อ เท่ากัน พอดีเป๊ะ

ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ อยู่ที่ Cd 0.34 ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆ 
ก็ต้องถือว่า สูงพอกันกับ รถยนต์นั่งจากญี่ปุ่น ในยุค 1980-1990 กันเลยทีเดียว

ถ้าเปรียบเทียบกับ Scirocco ทั้ง 2 เจเนอเรชันก่อนหน้านี้ รวมทั้ง Corrado แถมเข้าไปด้วยอีกหนึ่งหน่อ
รุ่นที่ 3 ของ Scirocco นั้น ถือว่า มีพื้นที่ภายในห้องโดยสาร มากกว่า รถทั้ง 3 คันข้างต้น เนื่องจากพื้นที่
ด้านหลัง ไม่ได้ออกแบบให้ลาดลง แบบ Slope Hatchback เหมือนอย่างทั้ง 3 รุ่นเคยเป็นมา หากแต่คราวนี้
ทีมออกแบบ ใช้วิธี ลากเส้นแนวหลังคา ให้ค่อยๆไล่ลงไปทีละเล็กน้อย จนกระทั่ง สุดปลาย ณ ฝาประตู
ห้องเก็บของด้านหลัง เมื่อผสมผสานกับแนวบ่าข้าง อันเป็นแนวทางการออกแบบที่ได้รับความนิยม
มาจาก บ่าด้านข้าง ของ Volvo (รถต้นแบบ ECC ในปี 1992 และกลายมาเป็น S80 รุ่นแรก ในปี 1998)
ยิ่งเพิ่มบุคลิกทะมัดทะแมง แลดูน่าเกรงขามในแบบหนุ่มนักเรียนนอก เจ้าสำราญ ใช้การได้ดี
ควบคู่ไปกับ การเพิ่มพื้นที่เหนือซีรษะสำหรับผู้โดยสารทั้ง 2 คน ด้านหลัง และพื้นที่เก็บสัมภาระ
ด้านหลังรถ ไปด้วยในตัวเสร็จสรรพ!

Scirocco ใหม่ ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรก ที่ถูกออกแบบด้านหน้า ในสไตล์ เอกลักษณ์ใหม่ ของ Volkswagen
เพียงแต่ มาในแนวทางที่สปอร์ต และดุดัน กว่ารถรุ่นอื่นๆ ที่คลอดตามออกมา หลังจากนั้น ด้านหน้าของรถ
ถูกออกแบบให้ มีชุดไฟหน้า และกระจังหน้ารถแบบพลาสติกเงาสีดำ เข้าชุดกัน ดูเปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจ
ในตัวเอง แต่ยังแฝงรอยยิ้มเอาไว้เล็กน้อย เพื่อให้ทุกคนที่ได้พบ มองเห็นถึงความสวยแบบไร้กาลเวลา

ชุดไฟหน้า 2 วงกลม โคมด้านนอกเป็นแบบ Xenon พร้อมระบบฉีดน้ำล้างทำความสะอาดไฟหน้ามาให้
และมีไฟส่องสว่าง เมื่อหักเลี้ยวพวงมาลัยไปตามถนน หรือ Cornering Light มาให้ด้วย หักซ้าย ไฟฝั่งซ้าย
ก็ะติดขึ้นมา ถ้าเลี้ยวขวา ไฟฝั่งขวา ก็จะติดขึ้นมา และดับลงเอง เมื่อคืนพวงมาลัยตั้งตรง

มีไฟตัดหมอกหน้าที่เปลือกกันชนล่าง ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง (แต่ไม่มีไฟส่องสว่างด้านใต้กระจกมองข้าง
ในตอนกลางคืน แบบที่ Golf GTi เขามีมาให้) 

เสาหลังคากลาง B-Pillar ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ ด้านหลัง กระจกหน้าต่าง ขณะที่ เสาหลังคาคู่หลัง หรือ C-Pillar
มาในสไตล์ที่เสริมบุคลิกของรถให้เป็นเอกลักษณ์ ทุกจุดในรายละเอียดบนพื้นผิวตัวถังของ Scirocco นั้น
จงใจออกแบบมาให้เข้าคู่ สอดรับกันแทบทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่คิ้วที่ชายล่างของบานประตู และด้านข้าง
ของลำตัว ที่มีสีดำ ช่วยกันกระแทกได้จริง (แม้จะไม่ค่อยได้ผลกับ พวกจอดรถแบบชุ่ยๆและงี่เง่า ซึ่งมัก
มีปัญหากับการกะระยะ จนต้องจอดเบียดรถคันอื่นตลอดเวลา จนคนอื่นหรือแม้แต่เจ้าตัว ก็ยังเปิดประตู
เข้าออกจากรถ ไม่ได้ และเรามักพบคนเฮงซวยเหล่านี้ได้ ในพื้นที่จอดรถของห้างสรรพสินค้าทั่วไป ก็ตาม)

ชุดไฟท้าย สารภาพเลยว่า ชวนให้นึกถึง Mitsubishi Mirage 3 ประตู หรือ Colt รุ่นปี 1991-1995 ที่มีโผล่
เข้ามาขายในบ้านเราอยู่พักหนึ่ง ชะมัด คล้ายกันพอสมควรเลยทีเดียว มีไฟตัดหมอกหลังมาให้
มีเปลือกกันชนหลังขนาดใหญ่อ้วนปั๊กมาให้ เสริมความเซ็กซี่ ให้บั้นท้ายไปอีกแบบ

ล้ออัลลอย รุ่นมาตรฐาน จะเป็นแบบ 17 นิ้ว ขนาด 7J x 17 นิ้ว ลาย Long Beach สวมยาง 225/45 R17
แต่ในรุ่นเพิ่มออพชัน คันที่เห็นอยู่นี้ และรุ่น Highline อันเป็นรุ่นท็อป จะติดตั้งล้ออัลลอย 8J x 18 นิ้ว
ลาย Interlagos สวมด้วยยาง Dunlop SP Sport 01 ขนาด 235/40 R18 มาให้เป็นมาตรฐานจากโรงงาน

กุญแจรีโมทคอนโทรล มีสวิชต์ ปลดและสั่งล็อก แยกจากกัน หากจะติดเครื่องยนต์ ก็ยังต้องใช้
ตัวกุญแจ ซึ่งต้องกดปุ่มให้ดีดออกมา เป็นมีดพับ Swiss พร้อมระบบ Immobilizer ในตัว หน้าตา
ของรีโมท ก็เหมือนรีโมทกุญแจของ Golf GTi ไม่มีผิด

และจะว่าไป หน้าตา ก็เหมือนๆ กับรีโมทกุญแจ ของ Audi A3 ที่น้อง Toyd ใน The Coup Team
ของเรา ใช้อยู่ มากๆ จะแตกต่างกันก็แค่โลโก้บนรีโมท กับความเยินยับของปุ่มกดเท่านั้นเลย

รีโมทตัวนี้ สามารถสั่งเปิดฝาประตูห้องเก็บของได้ด้วย และเป็น 1 ใน 2 วิธีการเปิดฝาประตูที่ว่านี้
ทั้งที่รถทั่วไปในพิกัดเดียวกัน  เขามี 3 วิธี ส่วนอีกวิธีที่เหลือ เป็นอย่างไร ตามอ่านต่อไปข้างล่างครับ

อย่างไรก็ตาม น่าสังเกตว่า ไม่มีไฟส่องสว่างพื้นใต้กระจกมองข้างยามค่ำคืนมาให้อย่างที่ Golf GTi มี

บานประตู เป็นแบบ Frame Less ไร้เสากรอบประตู ยิ่งเสริมภาพลักษณ์ความเป็นรถสปอร์ตให้
เด่นเด้งยิ่งขึ้นไปอีก การที่มันเปิดกางออกได้มากถึง 80 องศา นั้น ดูเผินๆ เหมือนน่าจะช่วยให้
เข้าออกจากรถง่ายขึ้น แต่เปล่าเลยครับ อย่าลืมว่า การติดตั้งเบาะรถให้ต่ำเตี้ยเรี่ยพื้นขนาดนี้
รถ Sport หรือ Coupe คันไหนก็ตาม ไม่มีคำว่า เข้าออกสบายเลยสักคันเดียว  ต้องใช้แรง
ในการงัดยกร่างขึ้นมายืนข้างๆรถ มากกว่าปกติ ตั้งแต่ BMW 3-Series Coupe / Convertible
Mazda MX-5, Mercedes-Benz CLC-Class, Nissan 350Z หรือแม้แต่ Hyundai Coupe ก็มีปัญหา
นี้เหมือนกันทั้งนั้น ซึ้่ง ต้องทำใจครับ ถ้าจะซื้อรถประเภทนี้ต้องมั่นใจว่า ไม่มีปัญหาเรื่องกระดูก
และต้องเป็นคนที่ต้องแข็งแรงพอสมควร ข้อขาข้อเข่าข้อเท้าต้องดีใช้การได้

ไม่เช่นนั้น ก็ต้องดัดแปลงเบาะ ให้เหมาะสมกับการใช้งานของมนุษย์ล้อ Wheel Chair กันไปเลย
แบบนั้นละ พวกเขายิ่งชอบ เพราะบานประตูเปิดกางออกได้กว้างมากกกก

และ เหมือนเช่นรถยุโรปทุกยี่ห้อ ทุกรุ่น และทุกคัน ประตูมีน้ำหนักค่อนข้างเยอะ และเปิดกางออกได้
3 จังหวะ ดังนั้น เมื่อผลักประตูไปจนสุดแล้ว ระวังมันจะเหวี่ยงกลับมาปิดเองด้วยครับ ค่อยๆ เปิด
หรือไม่ก็ ดันออกให้สุดไปเลย แต่ทีละสเต็ป อย่าเปิดพรวดเดียวออกไป มิเช่นนั้น มันอาจจะย้อนกลับมา
ก่อแผล หรืองับนิ้วมือคุณผู้อ่านไปเลย ก็เป็นได้

แผงประตูด้านข้าง มีที่วางแขนในตัว ใช้งานได้พอดีจริง แต่ มือจับเปิดประตูนั้น ทำออกมาแบบ
สามเหลี่ยม เหมือนในรถต้นแบบ IROC นั่นละครับ วิศวกรเลยไม่ได้ทำมือจับบนเพดานหลังคา
มาให้แต่อย่างใด

นายกล้วย BnN แห่ง The Coup Team ของเรา ลงความเห็นว่า หน้าตาของมัน เหมือนกับ
ราวจับยึด ในห้องน้ำคนพิการ ตามห้างสรรพสินค้า และโรงพยาบาล ในบ้านเราชะมัด!!??

(คิดได้ไงเนี่ย??)

เบาะนั่งคู่หน้า มาในแนวสปอร์ต ดีไซน์แข็งๆ คล้ายกับ Golf GTi นั่นละครับ แต่แท้จริงแล้ว
สัมผัสกระชับตัวกำลังดี นั่งลงไปก็ไม่ได้แข็งมากมายอย่างที่คิดในตอนแรก โครงสร้างเบาะ
ดูเผินๆ อาจจะเหมือนๆกับ Golf GTi รุ่น 3 ประตู และใช้หนังแบบ Vienna ในการหุ้มเบาะเหมือนกัน
(ซึ่งใน Scirocco จะมีให้เลือก 2 สี คือ สีดำ ไปเลยอย่างที่เห็น และสีเบจ Cashmere ซึ่งสวยกว่า)
แต่อันที่จริงแล้ว ต่างกันหมด ทั้งแผงพลาสติกแปะฐานเบาะ ส่วนประกอบต่างๆและลายบนเบาะ  
จะไม่เหมือนกันเลย เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าเป็นแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบ Pretensioner & Load Limiter
ผ่อนแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ 

เบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารตอนหน้า เลื่อนขึ้นหน้า ถอยหลัง และยกสูงต่ำ ด้วยมือจับแบบกลไก
ถ้าจะปรับเอน ต้องใช้ ระบบมือหมุน หมุนกันจนมือหงิก แบบรถยุโรปสมัยก่อนๆ แต่แปลกว่า
มีสวิชต์ไฟฟ้า สำหรับที่ดันหลัง ติดตั้งมาให้ปรับกันสนุกมือ

ส่วนเบาะคนขับ จะปรับตำแหน่ง เลื่อนขึ้นหน้า ถอยหลัง ยกสูงต่ำ ปรับดันหลัง ฯลฯ
ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ทั้งหมด แม้กระทั่งจะโยกพนักพิง โน้มมาข้างหน้า เพื่อจะให้ผู้โดยสาร
ด้านหลัง เข้าออกจากรถ นอกจากมือจับโยกเข้าหาตัวแบบปกติ บริเวณไหล่ของเบาะแล้ว
ยังมีสวิชต์ไฟฟ้า สำหรับเลื่อนเบาะคนขับ ขึ้นหน้า-ถอยหลัง ให้ผู้โดยสาร กดเลื่อนได้เอง
อีกด้วย..อันที่จริง เมื่อรถรุ่นนี้ ย้ายมาเป็นพวงมาลัยขวาแล้ว น่าจะย้ายสวิชต์ดังกล่าวมาไว้
ทางเบาะหน้าฝั่งซ้ายมากกว่า เพราะมิเช่นนั้น ผู้โดยสาร มือซน ก็จะกดสวิชต์ เลื่อนเบาะ
ขึ้นหน้า ถอยหลัง แกล้งคนขับ ป่วนกันสนุกตลอดทริป ไปเลย

แต่ถ้าเป็นเบาะนั่งฝั่งซ้าย การโยกพนักพิง โน้มมาข้างหน้า เพื่อเปิดช่องทางให้ผู้โดยสาร
ด้านหลัง เข้าออก จากรถ นั้น ใช้มือจับโยก แบบกลไก เหมือนรถคูเป้ทั่วไป ที่ไร้ระบบไฟฟ้า
ตามปกติ

พื้นที่เหนือศีรษะ สูงกว่าที่คิดเอาไว้นิดหน่อย โชคดีที่รถคันนี้ ทำออกมาเพื่อเอาใจลูกค้าฝรั่งตัวโตๆ
ร่างสูงๆ ดังนั้น พื้นที่ด้านบน จึงมีพอสมควร และนั่นส่งผลให้การเข้าออกสู่เบาะคู่หลัง
สำหรับคนหุ่นโตๆ อย่างผม ทำได้ง่ายดาย พอกันกับ Volvo C30 ไม่มีผิด

ครั้งแรกที่เคยเข้าไปลองนั่ง Scirocco ในงาน Bangkok Internatinal Motor Show มีนาคม 2009
จำได้ว่า ครั้งนั้น รู้สึกไม่ค่อยดีกับความอึดอัด ที่สัมผัสได้จากการลุกเข้าลุกออก จากตัวรถ

แต่วันนี้ เมื่อลองมาใช้ชีวิตด้วยกัน 4 วัน 3 คืน ก็พบว่า อันที่จริง เมื่อเทียบกับรถคูเป้ หรือ
รถสปอร์ตหลายๆรุ่น ที่เคยทำรีวิวกันมา Scirocco ก็ไม่ได้แตกต่างจากรถเหล่านั้นเท่าใด
คือ ตอนเข้าออกหนะ ต้องวางมาด แล้วหย่อนตัวลงไปนั่งกันนิดนึง แต่ตอนนั่งขับ
กลับไม่ได้รู้สึกว่าอึดอัดมากมาย เหมือนอย่างใน Audi TT พี่น้องร่วมเครือเดียวกัน
แต่อย่างใด ทั้งที่ ถ้าเทียบกันแล้ว 2 คันนี้ มีพื้นที่กระจกหน้าต่าง บริเวณประตูคนขับ
และกระจกบังลมหน้า น้อยพอกันทั้งคู่ ซึ่งโดยปกติแล้ว ตำแหน่งกระจกที่มีไม่มากนัก
มักก่อความอึดอัดให้กับคนในรถมากกว่า รถที่มีพื้นที่กระจกหน้าต่างกว้างใหญ่ เป็นธรรมดา

สิ่งที่อาจจะทำให้หลายๆคนรู้สึกอึดอัดนั้น ผมมองว่า น่าจะมาจาก พื้นที่บริเวณแผงบังแดด
กับชุดแผงไฟในห้องโดยสาร ซึ่งติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ เตี้ยไปสักหน่อย จนสายตาเหลือบมอง
ครั้งใด ก็เห็นโผล่มาทันใด ในทันที ซึ่งรถสมัยนี้หลายๆรุ่น ก็มีปัญหาลักษณะนี้ และเป็นผล
มาจากการทำแนวเส้นหลังคาให้ลู่ลมมากขึ้น เพื่อผลทางด้านอากาศพลศาสตร์ จะว่าไปแล้ว
ปัญหานี้ Honda City รุ่นล่าสุด ก็เป็นเหมือนกันครับ

และแค่นั้นเลยที่ก่อปัญหา เพราะนอกนั้น ผมก็ไม่มีปัญหาประการใดกับห้องโดยสารของ Scirocco อีก

เบาะนั่งด้านหลัง นั่งได้แค่ 2 คน เหมือนทั้ง Volvo C30 Mercedes-Benz CLC ไปจนถึง BMW
ซีรีส์ 3 Coupe และรุ่น Convertible นั่นละครับ เพียงแต่ชุดพนักพิง ออกแบบมาให้ดูดี ละมีขนาด
ของพนักศีรษะในตัว มาเป็นแบบ See through กันไปเลย อีกทั้งยังมีจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก
มาตรฐาน ISOFIX มาให้ ทั้ง 2 ฝั่ง อยู่ด้านล่างสุดของพนักพิงนั่นละครับ มีเข็มขัดนิรภัยแบบ
ELR 3 จุดมาให้ ครบ เพดานด้านข้าง มีไฟอ่านหนังสือเล็กๆมาให้ทั้ง 2 ฝั่ง

ด้วยความอยากรู้ว่า หุ่นอย่างผม สูง 171 เซ็นติเมตร จะเข้าไปนั่งด้านหลังของ Scirocco ใหม่
ได้หรือไม่ ก็เลยลองปีนเข้าไปนั่งดู โดยให้ เบาะคนขับฝั่งขวา ปรับในระดับปกติ ที่ผมขับขี่
เป็นปกติ ในรถคันนี้ กับฝั่งซ้าย ที่เลื่อนพื้นที่วางขาขึ้นไปอยู่ในระดับปกติ

แน่นอนครับ ฝั่งขวาหนะ เข่าจะติดแบบเฉียดๆ แน่ๆ แต่ ถ้าเป็นฝั่งซ้าย พื้นที่วางขา
ก็ยังคงเหมือนเดิม คือ พอมีให้วางขาได้ และเหมาะสำหรับคุณหนูๆนั่งไปด้วยพร้อม
เบาะนิรภัยสำหรับเด็ก Child Seat มากกว่า

แล้วหัวละ? จะติดไหม? ดูภาพข้างล่างนี้เอาเองนะครับ

ผมนั่งเต็มก้น ไม่มีเลื่อนไหลลงมา จะพบว่า หัวของผม
เฉียดฉิวกับเพดานหลังคากันอย่างที่เห็น นั่นละครับ
ถือได้ว่า Scirocco เป็นรถที่ เดินทางไปด้วยกันได้ 4 คน
พอสบายๆ 

นอกจากนี้ เบาะหลัง แบ่งพับได้ ในอัตราส่วน 50 : 50 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง
แต่วิธีการพับเบาะลงมา คุณก็ต้องเอื้อมเข้าไป กดปุ่มพับเบาะ ตรงกลางระหว่าง พนักพิงทั้ง 2 ชิ้น
เมื่อพับเบาะลงมาแล้ว มันไม่สามารถพับให้แบนราบลงได้สุด ต่อเนื่องไปกับพื้นห้องเก็บของด้านหลังได้
อย่างว่าละครับ วัตถุประสงค์ เขาไม่ได้ออกแบบให้รถคันนี้ มาต่อกรกับ Honda Jazz สักหน่อย

แล้วทำไม Volvo C30 ทำได้? ก็เพราะถ้าไปดูดีๆ พื้นห้องเก็บของ ใน C30 จะสูงกว่า
และนั่นก็ทำให้ C30 สูญเสียพื้นที่วางของด้านหลัง ไปด้วย พร้อมกัน

เริ่มรู้สึกว่า เนื้อเพลง “ได้อย่างเสียอย่าง” ของ สองพี่น้อง อัสนี-วสันต์ โชติกุล ลอยออกมาให้ได้ยินเล่นๆ

ฝากระโปรงห้องเก็บของด้านหลัง ชวนให้ผมนึกถึง Volvo C30 ขึ้นมาตะหงิดๆ แม้ว่า ตัวชิ้นฝากระโปรงหลัง
จะมีขนาดใหญ่กว่า บานกระจกหลังของ C30 อย่างชัดเจนก็ตาม แต่ทั้งคู่ มาในอารมณ์เดียวกัน โดยไม่ได้นัดหมาย

ห้องเก็บของด้านหลัง มีขนาด 292 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน เมื่อยังไม่พับเบาะหลังลง
แต่ถ้าพับแล้ว ความจุห้องเก็บของด้านหลัง จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,006 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน
มีไฟส่องสว่างดวงเล็กๆยามค่ำคืนมาให้  อยู่ที่ผนังห้องเก็บของ ด้านขวา

เมื่อยกพรมปูพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบ ยางอะไหล่ แบบบาง ตามสมัยนิยม และเครื่องมือประจำรถ
นอนขดตัว อย่างที่เห็นเป็นระเบียบ ล็อกยึดตำแหน่งมาดี และยังมี ขอเกี่ยวพื้นห้องเก็บของไว้อีกด้วย

แผงหน้าปัด อาจดูเหมือนว่าคล้าย Golf GTi แต่ความจริงแล้ว ชิ้นส่วนที่เห็นจากภายนอก
ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ แค่ช่องแอร์ตรงกลาง ก็มีดีไซน์ต่างกันแล้ว Scirocco จะถูกประดับ
ตกแต่งห้องโดยสาร ด้วยแผง Silver finished ตามจุดต่างๆ ทั้งแผงควบคุมกลาง เหนือฝาปิด
ลิ้นชักเก็บของฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย มือจับแผงประตูข้าง และล้อมกรอบช่องแอร์ด้วย ลายอะลูมีเนียม

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ประดับด้วยลายอะลูมีเนียม ปาดขอบด้านล่างให้ตรงเฉียบแบบพวงมาลัย
ของรถแข่ง เหมือนใน Golf GTi เพียงแต่ รถคันที่เราทดลองขับ ไม่ได้ติดตั้งสวิชต์ ควบคุมเครื่องเสียง
มาให้ รายละเอียด ต้องอ่านต่อด้านล่าง

ตำแหน่งนั่งขับ สามารถปรับให้เข้ากับสรีระของทุกๆคนได้ง่าย พวงมาลัยปรับระดับสูง-ต่ำได้
และปรับระยะใกล้-ห่าง จากตัวผู้ขับขี่ได้ สวิชต์ไฟเลี้ยวอยู่ฝั่งซ้ายมือ สวิชต์ก้านปัดน้ำฝนอยู่ฝั่งขวา
และสวิชต์เปิด-ปิก ไฟหน้า ไฟตัดหมอกหน้า-หลัง แยกไปไว้ฝั่งขวาสุดของแผงหน้าปัด แบบรถยุโรปทั่วไป

ติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า พร้อมสวิชต์ สั่งตัดการทำงานของถุงลมฯฝั่งผู้โดยสารด้านซ้ายได้ ในกรณีที่
คิดว่าจะไม่มีใครมานั่งข้างๆคุณ อีก มีถุงมนิรภัยด้านข้าง สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า และม่านลม
นิรภัย สำหรับผู้โดยสารทั้งหน้า และหลัง รวมเบ็ดเสร็จแล้ว ให้ถุงลมนิรภัยมา 6 ใบ

สิ่งที่ต้องปรับปรุง ของ Scirocco มีอยู่ประการหนึ่งที่สำคัญ นั่นคือ การออกแบบมือจับบริเวณ
แผงประตูด้านข้าง ซึ่งอันที่จริง ดีไซน์แบบ สามเหลี่ยม ก็ใช้งานได้ดี และสวยงามอยู่ ทว่า
การเปิด-ปิดสวิชต์ กระจกหน้าต่างไฟฟ้า แบบ One-Touch ทั่ง 2 ฝั่ง นั้น ถ้าขับรถอยู่ กำลังจะ
เข้าด่านทางด่วน มือขวาจะเอื้อมมือไปกดสั่งระจกหน้าต่างให้เลื่อนลง ก็ต้องไปติดชะงัก
หรือไม่ก็เฉี่ยวกับมือจับสามเหลี่ยมอยู่พอดี ซ้ำร้าย ถ้าคิดจะปรับกระจกมองข้าง คุณต้องเอื้อมไป
หมุนสวิชต์ซึ่งติดอยู่กับแผงประตู ในแนวขนาน บ่อยครั้งที่ผมต้องการจะปรับกระจกมองข้างฝั่งขวา
ทว่า ดันไปปรับฝั่งซ้ายแทน จนต้องปรับแก้ใหม่กันอยู่หลายหนเลยทีเดียว ไม่สะดวกเลยครับ
ควรหาทางออกแบบแผงประตูด้านข้างใหม่ โดยยังคงเอาไว้ซึ่งการวางแขนที่ถูกต้องตาม
หลักสรีรศาสตร์อย่างนี้เอาไว้อย่างนี้ให้ได้ น่าจะดีกว่า

ชุดมาตรวัด มี มาตรวัดความเร็ว มาตรวัดรอบ สัญญาณเตือนต่างๆ รวมทั้ง จอ On-Board Computer
ไว้เป็นหน้าจอแสดงการทำงาน และเพื่อการปรับตั้งค่า ของระบบต่างๆในรถ บอกอุณหภูมิภายนอกรถ
เข็มทิศ นาฬิกา ฯลฯ รวมทั้งแสดงข้อมูลการขับขี่ ทั้ง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบ Real Time
แบบเฉลี่ย ความเร็วจริงที่ใช้ในการเดินทาง ความเร็วเฉลี่ย ระยะทางเฉี่ย ที่คาดว่าน้ำมัน 1 ถัง
จะเหลือพอให้เดินทางต่อไปได้ ฯลฯ การตั้งค่า เซ็ต 0 ต่างๆ ให้กดปุ่มขวาล่าง ใต้มาตรวัดความเร็ว

การวางตำแหน่งอุปกรณ์ต่างๆบนหน้าปัดนั้น ก็เหมือนกับ Golf GTi ไม่ผิดเพี้ยนเลย จะต่างกัน
ก็เพียงแค่ ชุดมาตรวัดของ Golf GTi จะมีการออกแบบให้มีกรอบวงกลม ยื่นออกมา เพื่อทำให้
รถดูหรู มีระดับ มากขึ้น กว่า Scirocco ก็เท่านั้นเอง แสงส่องสว่าง ใช้สีขาวนวลเช่นเดียวกัน
ปรับระดับแสงสว่าง ได้จากสวิชต์ ใกล้กับ สวิชต์ เปิด-ปิด ไฟหน้า ใกล้กับสวิชต์เสียบกุญแจ

การปรับเปลี่ยนฟังก์ชันต่างๆ ใช้ปุ่มขึ้นลง ที่อยู่ปลายสุดของก้านสวิชต์ปัดน้ำฝน ฝั่งขวามือ
ถ้าจะปรับโหมด บนหน้าปัด เช่นตั้งค่านาฬิกา ฯลฯ ใช้ปุ่มด้านซ้ายล่าง ในรูป แต่ถ้าจะ Set 0
ที่ Trip Meter กดปุ่มขวามือด้านล่างชุดมาตรวัด

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจกันสักหน่อยก็คือ Scirocco คันที่เห็นนี้ ยังไม่ใช่รุ่น Top
แต่เป็นรุ่นกลาง ติดตั้งออพชันเพิ่มเติมจากรุ่นพื้นฐาน 2.46 ล้านบาท มา 3 รายการ
ทั้งระบบช่วง่ล่างแบบ DSC (เดี๋ยวค่อยพูดถึงเรื่องนี้) แป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift
และจอ Multi Function Plus ราคาของรถคันที่อยู่ในรีวิวนี้ จึงอยู่ที่คันละ 2.63 ล้านบาท

ดังนั้น อุปกรณ์อำนวยความสะดวก ที่อาจไม่ถึงจำเป็นต้องมี จึงขาดหายไป 2-3 รายการ
ด้วยกัน และถ้าคุณจ่าย 2.68 ล้านบาท เพื่อรุ่น Highline คุณจะได้สิ่งที่ขาดหายไปดังกล่าว
ครบถ้วน นั่นหมายความว่า รุ่นท็อป จะแพงกว่า ตัวท็อปของ Golf GTi รุ่น Highline อยู่
ราวๆ 2 หมื่นบาท

ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมความเร็วคงที่อัตโนมัติ Cruise Control ชุดสวิชต์ ควบคุมเครื่องเสียง
บนพวงมาลัย ระบบเซ็นเซอร์ กะระยะถอยหลัง หรือ Park-Sensor ซึ่งระบบหลังสุดนี้ ผมมองว่า
ควรจะมีมาให้เป็นุปกรณ์มาตรฐานอย่างยิ่ง เนื่องจาก การถอยรถคันนี้เข้าจอดนั้น อาจเป็นเรื่องง่าย
ของผม แต่ไม่ได้หมายความว่า จะง่ายสำหรับคนทั่วๆไป

ส่วนเครื่องปรับอากาศ ในรุ่นพื้นฐาน ไม่ได้หรูหราอลังการเหมือน Golf GTi สิ่งที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน
ในโปรตุเกส เป็นเพียงสวิชต์เครื่องปรับอากาศ แบบ มือบิด 3 ช่อง หน้าตาที่แทบทุกคนคุ้นเคย เพราะ
เหมือนจะพบได้ในรถญี่ปุ่น ทั่วๆไป แถมยังไม่มีช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสารตอนหลังอีกด้วย ก็แน่ละ
ลูกค้าที่พวกเขามองเอาไว้มักจะเป็นกลุ่มคนโสด ควงแฟนไปเดทกัน 2 ต่อสอง นี่นา จะมีช่องแอร์หลังมาให้
ก็เกินจำเป็นไปนิด แม้คุณๆอาจจะเถียงว่า ขนาด BMW ซีรีส์ 3 ทั้งรุ่น Coupe E92 และ Convertible E93
เขายังอุตส่าห์ มีมาให้เลยก็เถอะ

แถมในวันที่อากาศร้อนจัด คุณอาจต้องใจเย็น กว่าแอร์ สักหน่อย รอให้มันทำงาน ส่งความเย็น
มาปะทะผิวกายคุณ เกิน 5 นาที ไปพักนึง แต่ถ้าเย็นขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ถึงขั้นเย็นฉ่ำหนาวจับใจ
ได้เรื่องเลยทีเดียว ถ้าอยากได้ระบบ Climatic ปรับอุณหภูมิอัตโนมัติแยกฝั่งซ้าย-ขวา ต้องรุ่น Highline

เหนือขึ้นไป เป็นชุดเครื่องเสียงระดับ Premium แบบมีจอ มอนิเตอร์ในตัว รุ่น RCD 510 8 ลำโพง
พร้อมเครื่องเล่น CD/MP3 และมี CD-Changer 6 แผ่นแบบ Built-in ในตัว มีช่องเสียบ AUX แยกต่างหาก
สำหรับการเสียบเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นเพลงเช่น iPod หรือ เครื่องเล่น MP3 แถมยังสามารถเสียบ SD Card
ได้อีกด้วย ยกชุดมาจาก Golf GTi อีกนั่นละครับ

คุณภาพเสียงนั้น ยังยืนยันว่า จัดอยู่ในเกณฑ์ ดีมากพอ จนคุณไม่ต้องไปเปลี่ยนชุดเครื่องเสียงให้เกินจำเป็น
เพียงแต่ เสียงของเปียโนที่ออกมา จะค่อนข้างแข็ง ไม่ถึงกับละมุน เหมือนนั่งฟังใน Concert Hall นัก
รวมทั้งเสียงกีตาร์ ที่อาจต้องพึ่งพาการปรับเสียงใส Trebal ให้ลดลงมานิดนึง ก็จะช่วยลดการบาดหูได้
อย่างไรก็ตาม การปรับเสียงต่างๆ ให้ ออกมา ใกล้เคียงกับ เสียงในขณะศิลปิน กำลังทำเพลงในห้องบันทึกเสียง
ในระดับใช้ได้  

ถือว่า ยังคงเป็นเครื่องเสียงติดรถยนต์จากโรงงาน ที่ผมชอบที่สุด ชุดหนึ่ง เป็นรองก็แค่ Mark Levinson ใน Lexus
LS460L บรรดาตระกูล Volvo รุ่นที่ติดตั้งระบบ Premium Sound System และดูเหมือนจะแค่นั้น! เหมือนเช่นที่
เคยเขียนเอาไว้ในรีวิว Golf GTi นั่นเอง

มองเป็นด้านล่าง ตรงแผงคันเกียร์ จากขวา ไปซ้าย จะมีสวิชต์ เปิด-ปิด ระบบ ควบคุมเสถียรภาพ ESP
กับ สวิชต์ ระบบ DCC เอาไว้สำหรับปรับการทำงานของระบบกันสะเทือนให้แข็ง อ่อน 3 ระดับ ซึ่งเรื่องนี
เดี๋ยวค่อยคุยกันในช่วงต่อไปข้างล่าง

ด้านข้างลำตัว ผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า มี ชุดคอนโซลกลาง ประกอบไปด้วย
ช่องวางแก้ว หลุมวงกลม 2 ตำแหน่ง แบบต่างระดับ ไม่มีฝาเลื่อนปิด-เปิด และวางแก้ว
ขนาดใหญ่ได้ แต่ไม่อาจจะวาง ชวดน้ำดื่ม 7-8 บาท ได้ในขณะรถกำลังแล่นอยู่เลย

ส่วนที่พักแขนนั้น สามารถปรับระดับสูง-ต่ำได้ คล้ายๆใน Mitsubishi Lancer Cedia
หรือ Nissan TIIDA แต่ ที่สำคัญก็คือ ล็อกตำแหน่งได้ และยังเลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลัง
เข้าใกล้ คันเกียร์ ได้อีกด้วย แต่เมื่อยกขึ้นมา ก็เป็นฝาเปิด ช่องวางของจุกจิกเล็กน้อย
ที่วางได้อย่างมาก ก็แค่ กล่อง CD บัตรต่างๆ นิดๆหน่อยๆ เท่านั้น เพราะ มันล็อก
สิ่งของจุกจิกเหล่านี้ได้ไม่ดีนัก

ทั้งหมดนี้ หน้าตา แทบจะโขกพิมพ์เขียว มากับ Golf GTi เลยทีเดียว ต่างกันตรงที่
ช่องวางแก้วน้ำของ Golf GTi มีฝาปิด และประดับด้วยลายอะลูมีเนียม ปัดเงา เท่านั้นเอง

ลิ้นชักใส่ของด้านหน้า มีขนาดใหญ่พอจะใส่ คู่มือประจำรถ และเอกสารทะเบียนกับ
ประกันภัย แต่ในเวลาที่อยากให้ เครื่องดื่มกระป๋อง เย็นเร็วๆ ก็ใส่เครื่องดื่มของคุณ
เข้าไปในลิ้นชักนั่นละ แล้วก็บิดช่องหมุนเปิด-ปิด ทิศทางลม จากเครื่องปรับอากาศ
ให้ถูกต้อง เพียงเท่านี้ กระป๋องน้ำอัดลมก็จะเย็นให้คุณดื่มได้ในเวลาไม่นานนัก

อย่าลืม เอาเอกสารประจำรถออกมาด้วยละ เดี๋ยวจะเปียกไอเย็น

เพดานหลังคาบุด้วยผ้าอย่างดี แบบเดียวกับที่พบได้ใน Mercedes-Benz และ BMW
รุ่นใหม่ๆ แผงบังแดด มีกระจกแต่งหน้า ทั้ง 2 ฝั่ง ซ้าย-ขวา เลื่อนเปิด-ปิด เมื่อไหร่
ไฟแต่งหน้า ที่ฝังไว้ บนเพดาน จะทำงานเอง ทันที แยกกันอิสระ

ไฟในห้องโดยสาร มี 4 ตำแหน่ง คือที่ไฟอ่านแผนที่ มาพร้อมกับสวิชต์ไฟทำงานเชื่อมกับ
การเปิดประตูรถ มี Dim-Light มาให้ และไฟอ่านแผนที่ เหนือ พื้นทีผู้โดยสารด้านหลังทั้ง 2 ฝั่ง

แต่ใครที่คาดหวังว่า ซันรูฟ จะเปิดเลื่อนได้สุด ขอแสดงความเสียใจด้วย หน้าที่ของ
หลังคากระจก Vent-Sunroof ที่เห็นอยู่นี้ มีหน้าที่แค่ เปิดเผยอ ระบายอากาศภายใน
ยามที่ใครสักคน เกิดตดในรถขึ้นมา เท่านั้นเลย

มันเลื่อนเปิด-ปิดไม่ได้เลยครับคุณผู้อ่าน…แอบเซ็งอย่างแรงเหมือนกันนะเนี่ย…

ซันรูฟ ที่เห็นเป็นเงาเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าหลังคาสกปรกนะครับ แต่ เป็นเงาสะท้อน
จาก Filter CPS ที่ติดอยู่กับกล้องถ่ายรูปของผมนั่นเอง พยายามแงะแล้วครับ
แต่มันแงะไม่ออก เลยต้องปล่อยให้ใส่ค้างเอาไว้อย่างนี้

กระจกมองหลัง มาในสไตล์ วงรี ก็มีขนาดเล็กไปนิดนึง คล้ายกับ MINI Cooper
รุ่นล่าสุดนั่นละครับ แต่มีขนาดพื้นที่กระจกมากกว่า ถือว่าเป็นชิ้นส่วน 1 ในหลายๆชิ้น
ที่ไม่ได้ใช้ร่วมกันกับ Golf GTi แต่อย่างใด แปะยึดไว้กับกระจกบังลมหน้า

ด้านทัศนวิสัยนั้น ครั้งแรก เมื่อผมได้ลองหย่อนก้นลงไปนั่งใน Scirocco ในยามที่เพิ่งมาเปิดตัว
ณ งาน Bangkok International Motor Show 2009 สัมผัสแรกที่นึกออกคือ “นี่มัน Audi TT จำแลงร่าง
เลยนี่หว่า! จะแคบ จะตีบตันกันไปถึงไหนเนี่ย?”

พอนำมาทดลองขับกันจริงๆ แม้จะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับย่ำแย่จนเลวร้ายขับไม่ได้เลยแต่อย่างใด
การมองเห็นทิศทางข้างหน้าชัดเจนดี ไม่มีปัญหาอะไร อาจมีแค่ว่า แนวขอบด้านบนของแผงบังแดด กับ
ชุดไฟส่องสว่างในรถ อยู่ใกล้กับกับสายตามากไปหน่อย

เสาหลังคาฝั่งขวานั้น หนา แต่กลับมีการบดบังรถที่แล่นสวนมา น้อยกว่าที่คิด อย่างไรก็ตาม
กระจกมองข้าง ฝั่งขวา ก็ยังมีการบดบัง โดยบริเวณด้านในของตัวพลาสติกที่ครอบอยู่ เหมือนกัน
ก็แน่ละ กระจกมองข้างหนะ Golf GTi เขายกจาก Scirocco เอาไปใส่ทั้งดุ้นเลยนี่ ดังนั้น
มุมมองการเห็น ก็เลยเหมือนกันราวกับลูกแกะ

การบดบังต่างๆ เป็นเช่นนี้รวมไปถึงฝั่งซ้ายมือด้วย กระจกมองข้าง ทั้ง 2 ฝั่ง มีเม็ดไฟเล็กๆ
กระพริบ พร้อมกับไฟเลี้ยว ที่เราเปิดเอาไว้ ข้างใดข้างหนึ่ง หรือ ไฟฉุกเฉิน ที่เปิดได้พร้อมกัน
ทั้ง 2 ข้าง มีหน้าที่ คอยเตือนผู้ขับขี่ ให้ระวังรถคันที่แล่นมาขนาบด้านข้าง ทุกครั้งที่คิดจะ
เปลี่ยนเลน (และเปิดไฟเลี้ยวไปด้วย) บรรยากาศ แม้จะชวนให้อุดอัดอยู่บ้าง แต่ก็แค่เล็กน้อย
ยังไม่เทียบเท่า Audi TT รุ่นแรก…ซึ่งอึดอัดมากกับหุ่นอย่างข้าพเจ้า!

และบั้นท้ายด้านหลังนั้น ถึงจะพอเห็นรถที่แล่นมาขนาบข้างอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับคู่แข้่งแล้ว
Volvo C30 กับ MINI ทำได้ดีกว่า กระนั้น ต้องไม่ลืมว่า รถที่เราขับอยู่นี้ เป็นประเภท Sport Coupe

อย่างว่าละครับ รถที่ถูกออกแบบมาในสไตล์นี้ หายาก ที่จะมีทัศนวิสัยโปร่งตา เว้นแต่ว่า
จะเป็นรถเปิดประทุนมาแต่กำเนิด ดังนั้น ถ้าซื้อ Scirocco คุณควรทำใจในประเด็นนี้ เอาไว้แต่เนิ่นๆนะครับ
ว่าคุณจะได้รถที่สวยจนผู้คนหันมองเหลียวหลัง ชนิดคอเคล็ดกันไปเลย แต่คุณก็คงต้องทนนั่งเก๊ก
และค่อยๆชำเลืองมอง รอบๆข้าง ให้เยอะกว่าปกติเข้าไว้ ในทุกครั้งที่คิดจะเลี้ยวกลับรถ หรือถอยหลังเข้าจอด

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

นอกเหนือจากการออกแบบตัวถังภายนอก และภายในแล้ว หัวใจสำคัญของรถยนต์ คือระบบขับเคลื่อน
Dr.Volker Engler รับหน้าที่เป็น Technical Project Manager ของโครงการพัฒนา Scirocco ใหม่
พวกเขาเลือกใช้โครงสร้างพื้นฐานตั้งแต่พื้นตัวถัง ยันเครื่องยนต์ ไปจนถึงระบบส่งกำลัง ที่มีใช้อยู่แล้ว
ใน Golf ใหม่ ทั้ง Mk-V และ Mk-VI มาติดตั้ง ให้กับ รถ Sport Coupe รุ่นนี้

Scirocco เวอร์ชันไทย ที่นำเข้าโดยไทยยานยนตร์ นั้น วางเครื่องยนต์ รหัสรุ่น EA888
เหมือน Golf GTi เลยนั่นละครับ เป็นบล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,984 ซีซี ฝาสูบทำจาก
Alminum Alloy เสื้อสูบทำจากเหล็กหล่อ กระบอกสูบ x ช่วงชัก 82.5 x 92.8 มิลลิเมตร
แต่ อัตราส่วนกำลังอัด เพิ่มขึ้นจาก 9.6 : 1 เป็น 9.8 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด
อีเล็กโทรนิคส์ ฉีดตรงเข้าห้องเผาไหม้ Direct Fuel Injection  เรียงลำดับการจุดระเบิด 1-3-4-2

เพิ่มระบบอัดอากาศ Turbocharge ของ Borg-Warner รุ่น K03 ซึ่งจนถึงป่านนี้
ผมก็ยังหาข้อมูล ไม่เจอเลยว่า เขาปรับบูสต์ กันเอาไว้อยู่ที่เท่าไหร่

ถึงแม้จะเป็นเครื่องยนต์เดียวกับ Golf GTi แต่ ตัวเลขพละกำลังสูงสุด กลับถูกลดทอนลง
จาก 210 เหลือ 200 แรงม้า (PS) ที่ 5,100 รอบ/นาที อย่างไรก็ตาม แรงบิดสูงสุด ยังคงตัวเลข
เอาไว้ในระดับเดียวกัน คือ 280 นิวตันเมตร (28.53 กก.-ม.) ที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,700
จนถึง 5,200 รอบ/นาที

อันที่จริง จะบอกว่าลดทอนลงก็คงไม่ถูกนัก นั่นเพราะว่า Golf GTi เปิดตัวตามมาหลัง Scirocco
1 ปีเศษ เลยได้ใช้เครื่องยนต์ EA888 เหมือนกัน แต่เป็นเวอร์ชันใหม่กว่า ซึ่งมีการปรับปรุง
พละกำลังให้แรงขึ้นไปอีก 10 แรงม้า กันอยู่แล้ว ดังนั้น เครื่องยนต์ที่วางใน Scirocco จึงยัง
ถือเป็นเวอร์ชันเดิม 200 แรงม้า นั่นเอง

ระบบส่งกำลังยังคงเป็น เกียร์อัตโนมัติ คลัชต์คู่ DSG 6 จังหวะ เหมือนใน Golf GTi เป๊ะ
ชนิดที่ว่า ยกถอดมาใส่ให้กันเลยทั้งดุ้น

เกียร์ลูกนี้ มีอัตราทดเกียร์ ดังนี้
เกียร์ 1                3.462
เกียร์ 2                2.150
เกียร์ 3                1.464
เกียร์ 4                1.079
เกียร์ 5                1.094 <—- พิมพ์ไม่ผิดครับ อัตราทด มาแบบเดียวกับ Focus TDCi เลยละ
เกียร์ 6                0.921
เกียร์ R               3.989
อัตราทดเฟืองท้าย   4.059

รายละเอียดของเกียร์ลูกนี้ มีให้อ่านกันอยู่แล้ว ใน Full Review VW Golf GTi
ดังนั้น เราจึงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงซ้ำเป็นคำรบสอง ถึงความยอดเยี่ยมกระเทียมดอง
ในด้านงานวิศวกรรมจากผู้ผลิตเกียร์ลูกนี้ที่ชื่อว่า Borg-Warner กันอีกแต่อย่างใด

เรายังคงทดลองจับอัตราเร่ง กันในยามค่ำคืน เพื่อรอให้เป็นช่วงที่ถนนว่าง รถโล่ง กระแสลม
ที่พัดเข้ามาด้านข้าง ไม่เยอะนัก ทั้งหมดนี้ เราคำนึงในเรื่องของความปลอดภัยเป็นสำคัญ  
และยังใช้มาตรฐานต่างๆ เหมือนเดิม คือ นั่งกัน 2 คน ผม (95 กิโลกรัม) และ เจ้ากล้วย BnN
แห่ง The Coup Team ของเรา (48 กิโลกรัม) เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า ผลลัพธ์ที่ได้ออกมา มีดังนี้

หากดูจากตัวเลขที่เราเก็บมาได้ จะพบว่า ทั้งคู่ ทำเวลาออกมาแทบไม่ได้แตกต่างกันเลย
อยู่ในระดับเทียบเท่ากัน ก็แน่ละ เครื่องยนต์มีพื้นฐานเดียวกัน ปรับจูนมาแรงพอกัน
แต่ เครื่องยนต์ EA888 ใน Golf GTi จะแรงกว่านิดนึง ลากได้ยาวกว่าชัดเจน 10 แรงม้า
ที่แตกต่างกันนั้น หมายถึง ความเร็วสูงสุด ที่จะเพิ่มมากขึ้นไปได้ดีกว่ากันอีกด้วย

การที่ Scirocco แอบมีน้ำหนักตัวรถเบากว่า Golf GTi นิดนึง (Scirocco 2.0 TSI น้ำหนักตัวรถเปล่า
อยู่ที่ 1,393 กิโลกรัม เมื่อรวมน้ำหนักบรรทุกเต็มพิกัด และของเหลวเต็มระบบ เข้าไป จะอยู่ที่
1,760 กิโลกรัม ส่วน Golf GTi จะมีน้ำหนักตัวรถเปล่าอยู่ที่ 1,414 กิโลกรัม และเมื่อรวมน้ำหนัก
บรรทุกเต็มพิกัดเข้าไป จะหนักไปถึง 1,890 กิโลกรัม) ทำให้หลายคนอาจเข้าใจไปว่า Scirocco
เหมือนจะพุ่งออกตัวไปไวกว่า Golf GTi เล็กน้อย แต่ความจริงจาก นาฬิกาจับเวลา บอกให้เรา
ได้รู้กันประจักษ์แจ้งแดงแจ๋เลยว่า เวลาที่ทั้งคู่ใช้ในการปีนขึ้นไป ถึงความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
และ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น มันแทบไม่ต่างกันเลย

แล้วสัมผัส จากการขับขี่ละเป็นอย่างไร? แตกต่างจาก Golf GTi หรือไม่?

ยืนยันว่า ถ้าวัดกันเฉพาะ ประเด็นอัตราเร่ง และการตอบสนองของเครื่องยนต์ กับ
ระบบส่งกำลัง แยกออกมาต่างหากแล้วละก็ ยืนยันครับ ว่า Scirocco ยังคงให้ความ
แรงสะใจ ดึงแผ่นหลังคุณติดพนักพิงเบาะ ไม่ต่างกันกับ Golf GTi เลย

แรงดึงที่เกิดขึ้น เหมือนที่เคยบอกไปในรีวิว Golf GTi ว่า มันใกล้เคียงกับ BMW 330d E92 Coupe
(คันนั้น แรงบิดสูงสุด ปาเข้าไป 520 นิวตันเมตร!!)  รวมทั้ง SAAB 9-5 รุ่นพิเศษ ล็อตท้ายๆ ซึ่งมี
แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ผมเคยเจอมา

ถ้าเห็นรถคันข้างหน้า ขับช้า วิ่งขวา แล้วเกิดอยากจะเร่งแซงเมื่อไหร่ ไม่จำเป็นต้องกดคันเร่งจมมิด
แค่เพิ่มน้ำหนักเท้าขวาลงบนคันเร่งนิดหน่อย แรงบิดสูงสุด จะมารอพร้อมดึงคุณให้พุ่งพรวดทะยานขึ้นไป
อย่างไหลลื่น ฉับไว และต่อเนื่อง แม้ว่าคุณจะ ใช้ความเร็วระดับ เกินกว่า 120 – 140 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป
แล้วก็ตาม

หรือถ้าอยากจะเล่นกับเกียร์ ด้วยตัวเอง เกียร์ DSG 6 จังหวะ ก็ทำงานไวอย่างเฉียบขาด และฉลาดมากๆ
สมกับที่ได้รับคำชมเชยมามากมายจากทั่วโลก จริงๆ เพราะเหมือนจะรู้ใจเราไปเสียหมด สามารถ ตบ
Shift Paddle ที่หลังพวงมาลัย เลือกเปลี่ยนเกียร์ ลงต่ำได้ทันที ถึง 2 จังหวะรวด ไวยิ่งกว่าชุดเกียร์ของ
จักรยานเมาเทนไบค์ ของ Shimano รุ่นท็อปๆ เสียอีก

พละกำลังจากเครื่องยนต์ทั้งหมด จะเริ่มปรากฎให้คุณเรียกใช้กันตั้งแต่ ระดับ 1,700 รอบ/นาที ไปจนถึง
5,200 รอบ/นาที อันเป็นช่วงที่แรงบิดจะแสดงศักยภาพเต็มที่ กระนั้น ในช่วงตั้งแต่ 5,300 – 6,200 รอบ/นาที
ซึ่งเป็นช่วงเข้าสู่รอบเครื่องยนต์สูงสุดหรือ Red-Line เครื่องยนต์ EA888 นี้ ก็ยังสามารถให้แรงบิดในย่าน
ความเร็วสูง ต่อเนื่องได้อีก พอสมควรเลยทีเดียว ความยืดหยุ่นในช่วงเกียร์ 5 นั้นค่อนข้างมาก และในช่วง
เกียร์ 6 แม้เพียงใช้นิ้วเท้าขวา พรมลงไปบนคันเร่ง แล้วกดลงไปประมาณ 1 ใน 8 รถก็ยังสามารถแซงขึ้นหน้า
เพื่อนร่วมทางที่ใช้ความเร็วระดับ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปได้สบายๆ

ในคืนวันที่ผมกำลังขับ Scirocco กลับบ้าน บนถนนบางนา-ตราด ช่วงหลังเที่ยงคืนไปแล้ว แถวๆ
ฝั่งรงข้าม ตึก Nation มี Honda Civic รุ่นปี 1993 ซีดาน แต่งแบบสตึๆ ซึ่งคาดว่าจะขับโดย 2 วัยรุ่น
คะนองหน่อยๆ ไม่มากนัก อยากจะอัดรถแข่งด้วย มาขนาบข้างผม ซึ่งขับเรื่อยๆ อยู่แค่ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง

คนนั่งข้างหันมามองผม แล้วเขาก็พยายามจะขนาบข้าง ผมรำคาญ ก็เลยกดคันเร่งลงไปประมาณ ครึ่งเดียว
Scirocco ก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อหันกลับมามองอีกที ต่อให้ Civic คันนั้น จะพยายามไล่ตามผม
ก็คงจะไม่ทันแน่ๆ เข็มความเร็ว ขึ้นไปอยู่ที่ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเมื่อเห็นว่า Civic คันนั้น กลายเป็น
จุดเล็กๆมากๆ ในกระจกมองข้างฝั่งขวาแล้ว ผมก็ถอนเท้า กลับมาขับป้วนเปี้ยนที่ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แล้วก็ชะลอรถ เลี้ยวเข้าหมู่บ้านไปอย่างชิล ชิล…

เมื่อถอนเท้าจากคันเร่ง ปล่อยรถให้ไหลต่อไป ความเร็วจะค่อยๆหน่วงลงอย่างช้าๆ จนกระทั่ง เมื่อความเร็ว
ค่อนข้างต่ำ เกียร์ ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนลดตำแหน่งลงมา ให้เหมาะสมกับรอบเครื่องยนต์ และความเร็วที่ใช้อยู่
เกียร์จะไม่ปล่อยเข้าเกียร์ว่างให้เลย แต่อย่างใด ดังนั้น ในบางช่วง อาจมีอาการหน่วงความเร็วลงมา ซึ่งถือว่า
เป็นพฤติกรรมที่ดี เพราะพร้อมให้ผู้ขับ กดคันเร่ง เรียกพละกำลัง พารถพุ่งทะยานกันต่อไปได้ในทันทีที่ต้องการ

อย่างที่เคยบอกไปในรีวิว Golf GTi อีกเช่นกันละครับว่า นี่แหละ คือ สัมผัส ที่เรา ในฐานะคนรักรถ
คนชอบขับรถ เฝ้าแต่เรียกร้องให้ผู้ผลิตรถยนต์ทุกราย ทำออกมาให้เราได้ซื้อหามาขับกันเสียที เพราะ
ทุกวันนี้ เราเองอยากจะได้รถที่มีพละกำลัง แรงแบบพอดีๆ สมดุลกับเงินค่าน้ำมันที่ต้องจ่ายออกไป
แต่ก็ต้องแรงพอให้ ทิ้งห่างจากการไล่ตาม แบบไร้สติ ของพวกเด็กแว๊นทั้ง 2 ล้อ หรือ 4 ล้อ ไปจนถึง
การขับไล่จี้บั้นท้ายของรถกระบะและ เอสยูวี บ้าพลัง ที่ยังไม่น่าจะสูญพันธ์ไปจากประเทศไทยง่ายๆ

ช่วงจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ Golf GTi มีเสียง “ปรึ้บ”!! ก่อนที่เกียร์ จะเปลี่ยนขึ้นไปสู่
ตำแหน่งที่สูงขึ้น อย่างไร Scirocco ก็มีเสียงแบบเดียวกันให้คุณได้ฟังเช่นเดียวกัน

เสียงปรึ้บ! ดังกล่าวเกิดจากการทำงาน ของกล่องสมองกลควบคุมเครื่องยนต์ ที่ทำงานประสานกัน
กับระบบส่งกำลัง ในจังหวะที่มีการเปลี่ยนเกียร์ภายใต้การกดคันเร่งที่รุนแรง เมื่อถึงจุดที่ต้อง
เปลี่ยนเกียร์ กล่องสมองกลจะสั่งลดองศาไฟจุดระเบิดลง ทำให้กำลังของเครื่องยนต์ในเสี้ยววินาที
ดังกล่าวลดน้อยลง ส่งผลให้จังหวะเปลี่ยนเกียร์ ลดอาการกระชากที่มีต่อเกียร์ น้อยลง ทำให้เกียร์
มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น

เช่นเดียวกัน ในจังหวะที่เล่นเกียร์เอง หากมีการชิฟท์ลงเกียร์ต่ำ ระบบจะทำการ
ลดองศาไฟจุดระเบิดให้เพื่อ ป้องกันความสึกหรอ หรือเสียหายของชุดเกียร์อีกด้วย

ทว่า การควบคุมม้าทั้ง 200 ตัว กับแรงบิด 280 นิวตันเมตร ใน Scirocco ตอนออกตัว “เต็มตีน”นั้น
อาจทำได้ไม่ถึงกับง่ายดายเท่า Golf GTi ถึงแม้จะมีระบบควคบคุมเสถียรภาพ ขณะเลี้ยวหรือเข้าโค้ง ESP
(Electronics Stability Program) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว ASR ((Anti-Slip Regulation)
มาให้เหมือนกัน กระนั้น หากคุณเหยียบคันเร่งจมมิดตอนออกตัว สิ่งที่คุณจะพบเจอตามมาในแทบจะ
ทันทีที่รถพุ่งออกไปก็คือ อาการ ล้อหมุนฟรีทิ้งจากแรงบิดเครื่องยนต์ ที่หมุนส่งไปยังล้อคู่น้ามากเกินไป
จนล้อคู่หน้า ไม่อาจยึดจับเกาะกับผิวถนนได้ หรือที่เรียกันว่า อาการ Torque Steer นั่นเอง ซึ่งก็เพียงแค่
พยายามถือพวงมาลัยให้ตรงๆ นิ่งๆ ต่อไปหรือไม่ก็ถอนเท้าจากคันเร่งไปเลย ถ้าพื้นมันลื่นเสียจน
เกินกว่าจะควบคุมไหว

คนที่ชอบขับรถ เร็วๆ แรงๆ และพอมีทักษะในการควบคุมรถมาบ้าง ก็น่าจะชื่นชอบ อาการติดพยศเล็กๆ
ของ Scirocco แบบนี้ กันไม่น้อย แต่สำหรับผมแล้ว ผมอยากได้ความมั่นใจได้ จาก Golf GTi มากกว่า
เพราะ ชีวิตประจำวันของผม อยู่บนท้องถนน มากว่าจะอยู่ในสนามแข่ง แต่ก็ไม่แน่ หากผมเกิดมา
และใช้ชีวิตในสนามแข่งบ่อยกว่าบนถนนจริง ผมคิดว่า คงจะชอบ บุคลิกของ Scirocco มากกว่านิดนึง
อย่างว่าละครับ ถนนในกรุงเทพฯ หรือแทบจะส่วนใหญ่ของประเทศไทย มันไม่ได้น่าขับแบบถนน
ตามชนบทในยุโรปนี่นา

พูดให้เข้าใจง่ายกว่านี้ก็คือ แม้จะใช้เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังเดียวกัน แต่ บุคลิกของ Scirocco
มัน “ทะโมน” กว่า Golf GTi ชัดเจน นั่นเอง

การเก็บเสียงทำได้ดีสมราคา หากคุณไม่เปิดม่านบังแดด ของซันรูฟ ซึ่งนั่นจะทำให้คุณ พอจะได้ยินเสียง
กระแสลม ที่ไหลผ่านหลังคา ไปพอสมควร แต่เสียงรบกวนในห้องโดยสารมีค่อนข้างน้อยมาก แต่ในช่วง
ความเร็ว ตั้งแต่ 180 – 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง เราอาจต้องเพิ่มเสียงพูดคุยในรถกัน มากว่า Golf GTi นิดนึง
เป็นธรรมดา

พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อม เพาเวอร์ผ่อนแรงแบบ Electro – Mechanical รัศมีวงเลี้ยว 11 เมตร
บอกกันก่อนเลยว่า ถึงพวงมาลัยจะเป็นชุดเดียวกัน แต่ด้วยความกว้างช่วงล้อที่มากขึ้นกว่า Golf GTi รวมทั้งการ
ปรับแต่ง ให้เหมาะสมกับบุคลิกของตัวรถ คุณจะสัมผัสได้ว่า การตอบสนองจะฉับไวกว่า Golf GTi นิดหน่อย
หากคุณชอบมุด นี่คือพวงมาลัยในแบบที่คุณน่าจะชื่นชอบ กว่า Golf GTi  แน่ๆครับ เพราะทันทีที่หักเลี้ยวเพียง
ไม่กี่มิลลิเมตร รถก็พร้อมจะพาคุณเปลี่ยนเลน อย่างฉับพลัน ออกจะหุนหันพลันแล่นใช้ได้เลย แต่ก็มีระยะฟรี
อยู่เล็กน้อย ไม่มากนัก ชวนให้ใครก็ตามที่ชอบขับรถ สนุกกับการปราบพยศของรถได้เล็กๆ มันส์ไม่หยอก
พวงมาลัยแบบนี้ เหมาะอย่างมากกับการขับรถโลดแล่น ลัดเลาะไปตามแนวโค้งต่างๆ ทั้งบนถนนหลวงในแถบ
ชนบท แถวๆ เขาใหญ่ หรือในสนามแข่งรถ ที่แก่งกระจาน 

อย่างไรก็ตาม พวงมาลัยก็ยังตอบสนองได้นิ่งสนิทดี ในย่านความเร็วสูง ในระดับ 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง
กระนั้น แม้จะหนืดกว่า พวงมาลัยของ BMW 330ii Cope E92 อยู่เล็กน้อย แต่ยังถือว่าน้ำหนักพวงมาลัย
เบา ไว และหนืดน้อยกว่า แต่คล่องแคล่วกว่า Golf GTi อยู่นิดนึง 

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต มีปีกนกล่าง พร้อม ซับเฟรมทำจากอะลูมีเนียม
มีเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลัง เป็นแบบ 4-Link แยกสปริงกับช็อกอัพออกจากกัน มีซับเฟรม และ
เหล็กกันโคลง มาให้ เช่นเดียวกัน ยกชุดมาจาก Golf GTi นั่นแหละ

อีกทั้งยังมีการติดตั้งระบบควบคุมการปรับช่วงล่าง และพวงมาลัยอัตโนมัติ DCC (Dynamic Chassis Control)
มาให้เหมือน Golf GTi ไม่มีผิด ระบบนี้จะทำหน้าที่ดูแลการปรับความแข็งอ่อน ของระบบกันสะเทือน
ความไวในการตอบสนอง ของพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า รวมทั้งการตอบสนองของระบบเบรก โดยอัตโนมัติ
ด้วยตัวของมันเอง ในตลอดเวลาที่คุณกำลังขับรถอยู่ ช่วยให้ Scirocco เข้าโค้งได้แม่นยำ และออกจากโค้ง
ได้ไวกว่ารถทั่วไป ด้วยอาการของรถขับสนุก แบบขับล้อหน้า ที่หาได้ไม่ค่อยจะบ่อยนัก

แต่ถ้าอยากจะเลือกให้ระบบทำงานตามที่เราต้องการ Volkswagen ก็เตรียมโปรแกรมมาให้ 3 ระดับ
โดยเลือกได้ด้วยการกดปุ่ม ที่ติดตั้งอยู่ชิดกับ ปุ่มเปิด-ปิด ระบบ ควบคุมเสถียรภาพ ESP ใกล้กับคันเกียร์
นั่นละครับ คุณสามารถปรับความแข็งอ่อน ได้เอง ทั้งหมด 3 ระดับ เริ่มจาก COMFORT สำหรับการขับขี่
ในเมือง ซึ่งจะเน้นความนุ่มนวล ขับสบาย ไม่กระแทกกระทั้นเท่าอีก 2 แบบที่เหลือ

Mode : NORMAL ระดับนี้คือความแข็งปกติ ระดับ Medium ดิบกลางๆ อันเป็นระดับที่เชื่อว่า
นักขับทั่วไป จะมองว่า กำลังดี ไม่แข็งไม่นิ่มจนเกินไป ตับไต้ไส้พุง ยังพอจะไม่เขยื้อนนัก
เหมาะกับการขับบนทางหลวงเมืองไทยค่อนข้างมาก ไม่แข็งไม่นิ่มเกินไป กำลังดี

และ Mode : SPORT  ระดับนี้ ถือว่า ดิบมาก แข็งตึงตังเข้าขั้น กันเลยทีเดียว ในโหมดนี้ พวงมาลัยจะถูก
ปรับความหนืดเพิ่มขึ้น และตอบสนองหนักแน่นฉับไว มากยิ่งขึ้นไปอีกนิดหน่อย การตอบสนองในภาพรวม
แข็งกระด้างจนสะเทือนเลื่อนลั่นกันมาก เอาไว้เล่นกับโค้ง ลัดเลาะตามแนวเทือกเขา ดีกว่า

ในโหมด COMFORT น่าแปลกว่าสัมผัสจากหลังพวงมาลัยของ Scirocco จะให้ความรู้สึกที่แข็งขึ้นกว่า
Mode COMFORT ของ Golf GTi อยู่นิดนึง แต่พอเป็น Mode SPORT แม้ยังคงความแข็งดิบสะใจ แต่
ก็ยังไม่กระเทือนเท่ากับ Golf GTi คือ ต่างกันนิดๆ ต้องจับสัมผัสดีๆ ถึงจะเจอ

 

ระบบห้ามล้อ อาจจะไม่ทันสมัย ไฮเทค เกินเพื่อน อย่างใน Golf GTi กระนั้น ก็ยังมี
ดิสก์เบรกมาให้ ครบทั้ง 4 ล้อ โดยจานเบรกคู่หน้า เป็นแบบมีรูระบายความร้อน เส้นผ่าศูนย์กลาง
312 มิลลิเมตร ส่วน จานเบรกคู่หลัง มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 253 มิลลิเมตร เบรกมือ ทำงานอยู่ที่ล้อคู่หลัง
มีระบบป้องกันล้อล็อกตายเมื่อเบรกกระทันหัน Hydraulic ABS ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนัก
บรรทุก EBPD และ ระบบเพิ่มแรงเบรกฉุกเฉิน Dual Brake Assist

การตอบสนอง? เหมือนถอดแบบมาจาก Golf GTi ไม่มีผิด หากต้องชะลอรถ จากความเร็วสูง ระบบเบรก
ของ Scirocco จะให้ความมั่นใจได้อย่างดีเยี่ยม หน่วงความเร็วได้ไวมาก และได้ตามใจกับเท้าขวาช่วยกันสั่ง

ทว่า การขับขี่ในเมือง ก็ยังเจอปัญหาเดียวกันกับ Golf GTi นั่นคือ แค่แตะเบรกเกาๆ รถก็จะหยุดฉึบ! ทันที
จนหัวทิ่มหัวตำ หัวคะมำไปหลายทีมาก ซึ่ง ถ้าสามารถแก้ไขอาการนี้ออกไปได้ ระบบเบรกของ Golf GTi
และ Scirocco ก็จะได้ใชื่อว่า เป็นระบบเบรกที่มีประสิทธิภาพดีเลิศ เป็นันดับต้นๆ เมื่อเทียบกับบรรดา
รถยนต์พิกัดเดียวกันรุ่นอื่นๆ

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

และแล้ว เหตุการณ์ ก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ไม่มีผิดเลย
ปั้มน้ำมัน Shell ตรงซอยอารีย์ เลิกขาย V-Power เบนซิน 95 ธรรมดาไปแล้ว
เพราะเขาเลือกจะสั่ง แก็สโซฮอลล์ V-Power 95 มาขายแทน ซึ่งก็ต้องถือว่า
โชคดี ที่ผมตัดสินใจ ขับรถ ไป สำรวจดูก่อนหน้าทำรีวิวครั้งนี้

เห็นแล้วก็ได้แต่บอกว่า เซ็ง เพราะว่า บริษัทน้ำมันอย่าง Shell ก็มัดมือชก
กับลูกค้าจนได้ในที่สุด และเราในฐานะผู้บริโภค ก็เรียกร้องอะไรไม่ได้เลย

แต่ผมไม่คิดอะไรมากครับ เพราะว่า นับจากนี้ ถ้าเราจะใช้บริการปั้มน้ำมัน Shell
แห่งนี้ ก็คงจะเป็นเฉพาะ ตอนนำรถยนต์ ที่ใช้เครื่องยนต์ ดีเซล มาเติม V-Power ดีเซล
กันต่อไป

แต่สำหรับ เบนซิน 95 นั้น ผมใช้วิธีแก้ปัญหาในเบื้องต้น ด้วยการ ข้ามฟากถนน
ย้ายปั้มน้ำมัน ไปเติม Caltex Techron Gold 95 กันเป็นการทดแทน อย่างที่เห็นกันอยู่นี้

เราเติมน้ำมันเบนซิน 95 กันเต็มถัง แต่ เติมเอาแค่หัวจ่ายตัดก็พอ เพราะรถประเภทนี้
กลุ่มลูกค้าที่ซื้อ จะไม่ค่อยซีเรียสเรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง มากเท่ากับรถประเภทอื่นๆ
งานนี้ เลยยังไม่ต้องเขย่ารถเพื่ออัดน้ำมันเข้าไปเต็มแน่นจนเมื่อยตุ้ม

บอกเอาไว้ให้เป็นข้อมูลกันสักนิดว่า ถังน้ำมัน ของ Scirocco มีความจุ 55 ลิตร
ซึ่งก็เท่ากับขนาดของถังน้ำมันใน Golf GTi เลยนั่นละ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทั้งคู่
มีมาให้เหมือนๆกัน 

เมื่อ Set 0 บน Trip Meter แล้ว เราก็ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ นั่งกันไป 2 คน ตามมาตรฐานเดิม
ทั้งผม คนขับ (95 กิโลกรัม) และ กล้วย BnN (แห่ง The Coup Team ของเรา (48 กิโลกรัม)
ออกเดินทาง จากปั้ม Caltex เลี้ยวกลับ บนถนนพหลโยธิน ในช่วงนี้ การจราจร ค่อนข้างติดขัด
ต้องรอจังหวะเลี้ยวกลับ อยู่นาน 3-4 นาที พอได้จังหวะ ก็เลี้ยวกลับ มุ่งหน้าไปยังปากซอยอารีย์
เราพบว่า ข้างในซอย ก็ติดขัดมหากาฬอีก เลยตัดสินใจ เลี่ยงไปเข้า ซอยตรงหน้าตึกชินวัตร 2
ลัดเลาะไปออกตรงปากซอย โรงเรียนเรวดี แล้วเลี้ยวซ้ายมาออกถนนพระราม 6 จากนั้นเลี้ยวขวา
ขึ้นทางด่วนพระราม 6 และมุ่งหน้าไปยังปลายสุด ของทางด่วนสายเชียงราก ที่อยุธยา เลี้ยวกลับ
ย้อนมา ขึ้นทางด่วนฝั่งตรงข้าม ขับย้อนเส้นทางกลับมาลงทางด่วน ที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
เหมือนเดิม

โดยตลอดทาง เรารักษาความเร็วไว้ที่ระดับ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยไม่มีระบบ Crise Control
นั่นหมายความว่า งานนี้ ต้องใช้เท้าขวานี่แหละ เลี้ยงคันเร่งให้นิ่งที่สุด ซึ่ง Scirocco เป็นรถอีกคันหนึ่ง
ซึ่งจะเลี้ยงความเร็วเอาไว้ที่ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้นยากมาก (แต่กลับจะทำได้ง่ายดายกว่า หากเป็น
ความเร็วระดับ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง)

จากนั้น พอมาถึงถนนพหลโยธิน เราเลี้ยวกลับรถ ตรงหน้าโชว์รูม Benz ราชครู
(ซึ่งก็อยู่ติดกับปั้ม Shell แห่งเดิมที่เราเคยใช้บริการนั่นแหละครับ) แล้วก็ชิดซ้าย
เข้าปั้ม Caltex เติมน้ำมันเบนซิน Techton Gold 95 ที่ปั้มเดิม และหัวจ่ายเดิม

มาดูตัวเลขที่ได้กันดีกว่า ระยะทางที่แล่นไป
บนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 92.9 กิโลเมตร

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ คราวนี้มากถึง 7.07 ลิตร

แน่นอน เมื่อคำนวนออกมาแล้ว ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
Scirocco จะทำได้เพียง 13.14 กิโลเมตร/ลิตร….

เดี๋ยวก่อน! มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมตัวเลขถึงได้ลดลง เมื่อเทียบกับ
รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังเดียวกัน กับ Golf GTi
แต่ต่างเวอร์ชันกันเท่านั้น

มีหลายสาเหตุที่พอจะอธิบายในเรื่องนี้ได้ ตั้งแต่ สภาพการจราจรติดขัด ในช่วงเริ่มต้นการทดลอง
การที่เราจำเป็นต้องเปลี่ยนปั้มน้ำมันกัน และเปลี่ยนหัวจ่ายที่เติม ซึ่ง ความไวในการตัดการจ่ายเชื้อเพลิง
ของหัวจ่าย แต่ละหัวนั้น ไม่เท่ากัน (นั่นคือสาเหตุที่ว่า ทำไมที่ผ่านมา เราถึงเลือกใช้หัวจ่าย ตู้ไหน
ก็จะใช้แต่ตู้นั้นตลอด และหัวจ่าย ก็มักจะเป็นหัวจ่ายเดิมตลอด) ส่วนรอบเครื่องยนต์ที่ต่างกันนั้น ในกรณีนี้
ผมไม่ทราบแน่ชัดว่า เกิดจากเหตุผลใด ถึงมีรอบเครื่องยนต์ ต่างกัน 100 รอบ/นาที

อย่างไรก็ตาม ถ้าอยากรู้ว่า น้ำมัน 1 ถัง จะแล่นไปได้ไกลแค่ไหน กว่าที่ไฟเตือนน้ำมันใกล้หมดถัง
จะสว่างขึ้นมา ผมก็เลยบันทึกภาพเก็บมาไว้ให้ชมกัน 

เนื่องจากคราวนี้ หลังทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเสร็จสิ้น พอเติมน้ำมันกลับเข้าไปเต็มถัง
ผมลืมกด Set 0 บนชุดมาตรวัด ดังนั้น วิธีคำนวนก็ต้องเปลี่ยนนิดหน่อย โดยสังเกตว่า ตัวเลข
ระยะทาง แสดงขึ้นมาเท่าไหร่ ให้ลบออกไป 92.9 กิโลเมตร นั่นละครับ

เราทำ อัตราเร่ง และ ทำ Top Speed ไป 1 – 2 ครั้ง ที่เหลือ ขับใช้งาน บนทางด่วน เจอรถติดบ้าง
แต่ส่วนใหญ่ ถนนจะโล่งสบาย ขับเรื่อยๆ ไม่เร็วเกิน 120 – 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระยะทางที่
ไฟเตือนน้ำมันหมด สว่างวาบขึ้นมา อยู่ที่ 533.9 กิโลเมตร เมื่อลบออกไป 92.9 กิโลเมตร
เท่ากับว่า น้ำมัน 1 ถัง จะแล่นได้ 441 กิโลเมตร ก่อนที่ไฟเตือนจะสว่างขึ้นมา ดังนั้น
น้ำมัน 1 ถัง น่าจะแล่นไปได้ ประมาณ 470 – 500 กิโลเมตร ไม่น่าจะเกินไปกว่านี้

********** สรุป **********
ชอบคันไหน รักแนวไหน ก็ซื้อคันนั้น


เป็นอย่างไรกันบ้างครับ อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ คาดว่าคงปวดตากันไปไม่น้อย
แถมยังพบแต่ คำว่า Golf GTi ตามมาหลอกหลอน กันอยู่หลายต่อหลายครั้ง

ก็บอกไปตั้งแต่แรกแล้วนี่ครับว่า  ในรีวิวนี้ คุณจะเห็นชื่อ Golf GTi บ่อยครั้งมาก
พอๆกันกับชื่อรุ่น Scirocco เลยด้วยซ้ำไป ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่อย่างใดในเมื่อ
รถคันนี้ ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรมร่วมกันกับ Golf GTi เลยนี่นา

ดังนั้น ในเมื่อ ทั้งคู่ มีสมรรถนะพอๆกัน แล้วความแตกต่างระหว่าง Scirocco
กับ Golf GTi มันอยู่ตรงไหนกันละ?

ผมเคยเปรียบเทียบ Golf GTi เอาไว้ว่าเป็น ชายหนุ่ม อายุราวๆ 28 ที่มีฐานะดี
มาจากตระกูลผู้ดีเก่า แต่ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี รักความสนุก เฮฮา บ้าบอ
อารมณ์ขันไปกับผองเพื่อน แต่ไม่รั่ว สุขุม รักครอบครัว เอาจริงเอาจัง ทำงานหนัก
รู้ลีมิทตัวเอง และมีของแรง เขาจะไม่ลุกขึ้นมา เอาเก้าอี้ซัดคุณจนหมอบในทันที
เมื่อคุณไปจ้องตาหาเรื่องกับเขาแต่ เขาจะเดินมาพูดกับคุณ ด้วยความสุภาพ น้ำเสียง
เบาๆ สงบๆ ว่า “คุณครับ ผมคิดว่า คุณอย่ามีเรื่องกับผมเลยดีกว่านะครับ มันไม่ดีหรอก”..!
โดยจะยังไม่โชว์ปืนพก ที่เหน็บมาข้างเอว ให้คุณเห็นโดยเด็ดขาด จนกว่าคุณเกิดอยากจะ
ลองดีกับเขาขึ้นมา

แต่บุคลิกที่แท้จริงของ Scirocco นั้น จะต่างออกไปนิดหน่อย

ขอให้นึกถึง หนุ่มนักเรียนนอก อายุ 25 – 26 ปี ที่เพิ่งจบการศึกษา ปริญญาโท เกียรตินิยม อันดับ 1
จากมหาวิทยาลัยดังๆในสหรัฐอเมริกา…หรืออังกฤษ มาจากตระกูลผู้ดีเก่า ครอบครัวเดียวกัน
กับพี่ชายอายุ 28 คนข้างบนนั้น และตอนนี้ ก็เริ่มทำงานกับ บริษัทใหญ่ข้ามชาติ เป็นคนทำงานเก่ง
พอกันกับเข้าสังคมเก่ง เป็นคนที่แต่งตัวเนี้ยบแบบวัยรุ่นเจ๋งๆ มีความคิดสร้างสรรค์ และมีความเป็น
กบฎอยู่ในตัว มีนิสัยรักความสนุก เฮฮา ทะลึ่งตึงตัง กว่าผู้พี่ อีกทั้งยังมีความเป็นหัวโจก พร้อมจะนำทัพ
เปิดศึกก่อเรื่อง ได้ง่ายดายกว่าพี่ชาย เป็นคนคิดเยอะ แต่ไม่รอบคอบนัก เอาแต่ใจตนเองและเจ้าอารมณ์
มากกว่าพี่ชายนิดหน่อย ไม่มากนัก มีสติ ไม่ถึงกับมุทะลุ ถ้าคุณคิดจะหาเรื่องเขาในผับ หมอนี่จะอัดคุณ
จนหมอบ โดยไม่รอให้คุณขอโทษเขาเลยแม้แต่เสี้ยววินาที แต่จะยังไม่ชักปืนออกมายิงคุณ หากคุณ
ไม่ชักปืนเล็งไปที่เขาก่อน

พูดกันง่ายๆก็คือ Scirocco เกิดมาในตระกูลเดียวกันกับ Golf GTi ผู้พี่ แต่มีนิสัย “ทะโมน”กว่า นั่นเอง

ดังนั้นข้อดี ข้อเสียต่างๆ ของ Scirocco ถ้าเทียบกับ Golf GTi ก็เลยเหมือนกันเป๊ะ อยู่ 2-3 ประเด็น
ข้อแรกคือ ความไม่ค่อยจะ User Friendly ที่เกิดขึ้นกับ สวิชต์พับและปรับกระจกมองข้างด้วยไฟฟ้า
ซึ่งติดตั้งในตำแหน่งที่ยากต่อการใช้งานอย่างแรง ข้อต่อมาก็คือ การชะลอรถในช่วงคลานไปตาม
สภาพการจราจรติดขัดของ กรุงเทพฯ ช่วงหัวค่ำ เบรกเบาๆกันแต่ละที หัวทิ่มหัวตำ หัวคะมำ
เหมือนกันเป๊ะ ไม่มีผิดเลยทั้งพี่ทั้งน้อง  และเสาหลังคาคู่หน้า-หลัง ที่หนาไปสักหน่อย
ทำให้พอจะมีการบดบังทัศนวิสัยบ้าง ในบางจังหวะของการขับขี่ในเมือง

แล้วถ้าเปรียบเทียบกับคู่แข่งพิกัดเดียวกันในตลาดละ?

จะให้นึกถึงใครได้บ้างกันละเนี่ย ประเทศไทย มีรถยนต์ประเภท Personal Sport Coupe แบบนี้
เข้ามาขาย ไม่เยอะสักหน่อย MINI Cooper และ Cooper S หนะเหรอ? รายนั้น ผมว่า แข็งกระด้างไป
อาจจะขับสนุก แต่ ความเหนื่อยล้าสะสม มันมากมายไม่แพ้รถกระบะ กันเลย และดูจะเป็น คู่แข่ง
คันเดียว ที่ BMW ตัดสินใจส่งเข้าประกวด

Mercedes-Benz ในพิกัดนี้ ดูจะมีแต่ CLC 200 Kompressor ซึ่งก็คือ C-Class Coupe มาปรับโฉม
Big Minorchange นั่นเอง พูดกันตรงๆก็คือ สู้ Scirocco ไม่ได้เลย ในแทบทุกประเด็น ไม่เว้นเรื่องราคา
ยกเว้นเรื่องเดียวคือชื่อชั้น ของแบรนด์ ที่ตราตรึงในใจคนไทยยิ่งกว่า แม้จะเป็นรถที่คนรักเบนซ์
ไม่ค่อยอยากจะแลนักซักเท่าไหร่ก็ตามเถอะ

หรือจะเป็น รถอิตาเลียน อย่าง Alfa Romeo BRERA ดูเหมือนน่าสนใจไม่แพ้กัน ถ้าไม่ติดที่ว่า ผู้จำหน่าย
ในบ้านเรานั้น ถึงจะสั่งเข้ามาแล้ว แต่ค่าตัว ก็ค่อนข้างแพงไปไกลเกินหน้าเกินตา Scirocco ไปเยอะ แถม
บริการหลังการขายก็ยังไม่ค่อยประทับจิต มิตรรักชาว อัลฟิสติโม เท่าใดนัก

ทีนี้ก็เหลือ Volvo C30 รถเล็กที่ผมชื่นชอบ อันที่จริง Volvo คันนี้ อาจจะไม่ได้ขับสนุกเท่ากับ Scirocco
คล่องแคล่วน้อยกว่า Scirocco นิดหน่อย แต่ถ้าคุณคิดจะนำไปแต่งต่อ ผมว่าไม่ใช่ปัญหา เพราะพื้นฐาน
ตัวรถนั้น ทำมาดีมากกว่าที่หลายๆคนจะคิดกัน แต่ด้วยค่าตัวในบ้านเรา ป้วนเปี้ยนแถวๆ 2.5 ล้านบาท พอกัน
Scirocco มาพร้อมเครื่องยนต์ Turbo TSI ที่ให้ความแรงสะใจได้มากกว่า C30 เครื่อง 2.0 ลิตร สหกรณ์
ไร้ระบบอัดอากาศ แถมยังไร้ความตื่นเต้น จาก Mazda 3 Ford Focus และ Volvo S40 กับ V50 ไปไกลโข
เลยกลายเป็นเรื่องน่าสงสาร ที่ C30 สาวน้อยของเรา จะโดนทิ้งไปไม่เห็นฝุ่น หากต้องมาวัดอัตราเร่งกัน
ในทางตรงยาว

แต่..ถ้าเป็น C30 T5 เครื่องยนต์ 5 สูบเรียง DOHC 20 วาล์ว Turbo 2,521 ซีซี 230 แรงม้า แรงบิดสูงสุด
320 นิวตันเมตร นั่นละก็…Scirocco ก็คงจะโดนแซงขึ้นไปได้ แบบไม่เห็นฝุ่น กระนั้น ค่าตัวและค่าอะไหล่ 
ของ C30 T5 เอง หากนำเข้ามาขายในไทยจริงๆ ก็น่าจะแพงพุ่งแรง แซง Scirocco ไปไกล พอๆ กันนั่นแหละ!

นี่เราวัดกันแค่รถที่มีตัวถังแบบเดียวกันเท่านั้นนะครับ และคงไม่ขอเอาไปเปรียบมวยกับรถเปิดประทุน
ทั้งหลาย ที่มีราคาพอกัน หรือแพงกว่าขึ้นไป เพราะ ยังไงๆ Scirocco จะชนะในเรื่องพื้นที่ห้องโดยสาร
รวมทั้งพละกำลัง กับความประหยัด แต่ อาจจะแพ้เรื่องความรื่นรมย์จากการขับขี่ กลางเช้าวันเสาร์
ในฤดูหนาว….ก็หลังคาซันรูฟ Scirocco มันเลื่อนเปิดได้ที่ไหนกันละครับ ทำได้แค่เผยอ ขึ้นมาเอง
โธ่ เศร้า!

แต่ ถ้าจะต้องเลือกกันจริงๆ  ถ้าจะต้องมาเปรียบคู่มวย กับพี่น้องร่วมตระกูลกันเอง
ระหว่าง Scirocco กับ Golf GTi แล้ว ถ้าในเมื่อ มันเหมือนกัน มากขนาดนี้
แล้วเราจะเลือกคันไหนดีละ?

หนำซ้ำ ค่าตัวยังใกล้กันอีก Scirocco มี 3 รุ่นให้เลือก รุ่นพื้นฐาน ราคา 2,460,000 บาท
แต่ถ้าเป็นรุ่นที่เติมอุปกรณ์ เพิ่มเข้าไป 3 รายการ ทั้งระบบ ช่วงล่าง DCC เพิ่มแป้นเปลี่ยนเกียร์
Paddle Shift ให้ และอุปกรณ์อื่นๆ เข้าไป ราคาก็อยู่ที่ 2,630,000 บาท และถ้าเป็นรุ่น Highline
ซึ่งเป็นรุ่นที่ผมว่า น่าซื้อที่สุด เพราะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ควรจะมี มาครบๆ เหมือนใน Golf GTi
เป๊ะ ค่าตัวจะอยู่ที่ 2,680,000 [าท

ส่วน Golf GTi รุ่นพื้นฐาน เปิดราคาแพงกว่าตัวล่างสุดของ Scirocco  20,000 บาท
อยู่ที่ 2,480,000 บาท แต่รุ่ Highline อันเป็นรุ่น Top จะถูกกว่า Scirocco Highline 2 หมื่นบาท
อยู่ที่ 2,660,000 บาท

ผมเชื่ออย่างมากว่า การทดลองขับ ที่โชว์รูม จะช่วยให้คุณพอตัดสินใจขึ้นมาได้บ้างแน่ๆ
ว่าคุณชอบคันไหนมากกว่ากัน เพราะทั้ง 2 คันนั้น บุคลิกการขับขี่ ไม่ได้แตกต่างกัน
มากมายจนเกินไปนัก และคนส่วนใหญ่ มักตัดสินใจได้ทันที ที่ลองขับแล้วทั้งคู่

แต่ถ้าลองขับแล้ว ก็ยังตัดสินใจไม่ได้อีก อารมณ์รักพี่เสียดายน้อง ประมาณนั้น
งั้น เอาอย่างนี้ ผมมี คำ สอง คำให้คุณเลือกครับ

ถามตัวเองให้ได้ ว่า อยากได้ความ “เร้าใจ” หรือความ “มั่นใจ”

ความเร้าใจนั้น คุณจะได้รับจาก Scirocco เต็มเปี่ยม มาในรูปแบบ รถ Sport Coupe ที่ทั้งแรง
คล่องแคล่ว ฉับไว แต่บางครั้ง ก็มีติดพยศมาเล็กๆ นิดๆ พอให้ตื่นเต้น กระชุ่มกระชวย
แถมยังเร้าสายตาจากผู้คนรอบข้างอีกมากมาย

แต่ความมั่นใจนั้น คุณจะได้รับจาก Golf GTi เพราะนอกจากทุกสิ่งที่คุณคาดหวังจะได้
จาก Scirocco ก็มีโผล่มาให้คุณครบถ้วน ยกเว้น เส้นสายที่อาจจะไม่โฉบเฉี่ยวเท่า
แต่ก็แลกมาด้วย ความสะดวกสบายเพิ่มขึ้นในทุกจุดของห้องโดยสาร แบบที่
Scirocco ยังทำได้ไม่ดีเท่า อีกทั้ง สั่งการทุกอย่าง ได้ดังต้องการ ไม่ต้องกลัวพยศ
เพราะมันจะไม่พยศ ถ้าคุณไม่กระหน่ำเฆี่ยนตีมากจนเกินไป

ถ้าชอบความ “มั่นใจ” ไปหา Golf GTi
แต่ถ้าชอบความ “เร้าใจ” ไปหา Scirocco

เพราะความแตกต่างกัน ที่แท้จริง จากรถสองคันนี้ มันอยู่ที่การมองจากผู้คนบนท้องถนน

ไม่ใช่สัมผัสจากหลังพวงมาลัย ที่เหมือนกัน 90 เปอร์เซนต์ ของทั้งคู่ นั่นสักหน่อย

————————————-///—————————————–

ขอขอบคุณ
คุณรณชัย จินวัฒนาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ
คุณสิทธิชัย ผ่องเมฆินทร์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
และคุณวศิน เพชรศิริ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด
บริษัท ไทยยานยนตร์ จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และการประสานงานต่างๆ อย่างดียิ่ง

น้องตี้ TEE Abuser  
สำหรับ ภาพถ่าย Outdoor ยามเย็น ที่สวยงาม ทุกภาพ

บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม

รีวิว Volkswagen Golf GTi
ทดลองขับ รถยนต์ ในกลุ่ม Sport & Specialty

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
และ TEE Abuser (เฉพาะภาพถ่ายภายนอกรถกลางแจ้งบนถนนเท่านั้น)
ลิขสิทธิ์ภาพวาด คอมพิวเตอร์กราฟฟิค เป็นของ Volkswagen AG. 
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
15 มิถุนายน 2010

Copyright (c) 2010 Text and Pictures
All of Computer Graphic pictures & illustration
is use by permission of  Volkswagen AG.
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
June 15th,2010

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่


—————————————–